... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (I) บัลลังก์ปักษา l up : 19/08/17 [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (I) บัลลังก์ปักษา l up : 19/08/17 [END]  (อ่าน 488418 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12





ตอนที่ 29





มหาวิทยาลัยทัพไทย มหาวิทยาลัยเอกชนระดับต้นๆ ของประเทศ...

“โบรชัวร์ไรวะเนี่ย มาอยู่ในกระเป๋ามึงได้ไง” ไอ้โอ๊คที่อยู่ใกล้ๆ ดึงโบรชัวร์มหา’ลัยทัพไทยออกมาจากกระเป๋าของผม ตอนนี้สติผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อคืนผมนอนอยู่ที่ห้อง 503 คนเดียว และผมก็ไม่รู้เลยว่าอาสามันไปนอนที่ไหน

“แม่กูคงยัดเข้ามาตอนกูกลับบ้านเมื่ออาทิตย์ก่อน” แม่ผู้ยังไม่ค่อยมีบทบาทของผมไม่ธรรมดาเสมอ ที่ท่านทำแบบนี้คงเป็นเพราะอยากจะย้ำเตือนให้ผมรู้ว่าท่านยังไม่ลืมเรื่องนี้

“แปลว่าไรวะ”

“ถ้ากูไม่ได้เอทุกตัวเทอมนี้ กูต้องไปเรียนในที่ที่แม่กูชอบ”

โอ๊คดูอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบส่ายหน้าเพื่อเรียกสติ

“อาทิตย์ที่แล้วที่มึงไม่มา ไม่มีควิซสักตัว มึงโชคดีมากเลย แต่เนื้อหาแม่งยากขึ้นมาก มึงต้องไปอ่านเรื่องนี้นะ เรื่องธุรกิจ...”

ผมไม่ได้ฟังว่าโอ๊คมันพูดถึงเรื่องเรียนว่ายังไง สายตาของผมจับจ้องไปที่บันไดของคณะ อีกไม่นานพวกปีสองก็จะเดินลงมา ผมภาวนาให้ได้เจอกับอาสา

เพราะมันไม่รับสายผมเลย

ผมไม่เคยคิดว่าเวลาอาสาโกรธจะเป็นอะไรที่หนักขนาดนี้ ผมพยายามทำทุกวิถีทาง แต่อีกฝ่ายไม่ยอมเปิดโอกาสให้ผมเลย ผมส่งข้อความไปต่างๆ นานาทั้งยังโทรหาจนสายจะไหม้ ยังไงอาสาก็ยังไม่ยอมใจอ่อนสักที

แต่ผมจะไม่ยอมแพ้หรอกนะ

“ทนาย มึงฟังกูอยู่ป่ะเนี่ย”

“มึงว่าไงนะ”

“เชี่ย ถ้ามึงไม่ได้เอมึงก็จะไม่ได้อยู่มอนี้ต่อนะ”

“...”

“กูอยากอยู่กับมึงนะเว้ย”

ผมเลิกคิ้วมองหน้าไอ้โอ๊ค “กูชักจะขนลุกแล้ว”

“สัด ไม่ใช่ในแง่นั้นดิ กูรู้ว่ามึงมีพี่อาสาแล้ว เพียงแต่ว่าถ้ามึงไม่อยู่ กลุ่มบัญชีจากหอสามก็ไม่มีหนุ่มฮอตน่ะสิ”

“ไอ้ห่านเป็ด กูมีประโยชน์แค่นั้นเหรอ”

“เออ ไม่ได้ว่านะ แต่แม่งจริงว่ะ”

“ฟาย”

มันหัวเราะร่วน และก็พูดถึงบทเรียนต่อ แม้ว่ามันจะพูดเล่นกับผมแต่ดูเหมือนไอ้เชี่ยโอ๊คจะอยากให้ผมอยู่มหา’ลัยนี้ต่อมากๆ เลยนะครับเนี่ย ผมเองก็อยากอยู่ เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์ที่จะทำอย่างนั้นจริงๆ

ขาดอาสา ชีวิตผมมันก็เหมือนขาด Passion

“เจอตัวแล้ว” เสียงโหดๆ ของใครบางคนดังขึ้นเหนือหัวผม ไอ้โอ๊คกับเพื่อนคนอื่นๆ ยกมือไหว้กันใหญ่ ผมหันไปมอง เห็นไอ้ไมล์กำลังหน้าบึ้งมองผมอยู่ “มานี่ดิ๊ มีเรื่องจะคุยด้วย”

ผมรีบลุกทันที เพราะถ้าเกี่ยวกับอาสาล่ะก็ ผมพร้อมที่จะคุยทุกเมื่อนั่นแหละ

“ว่าไง” น้ำเสียงผมไม่สู้ดีเท่าไหร่เพราะความกังวล แต่ไอ้ไมล์มันไม่สนใจ

“มึงทำไรกับเพื่อนกู”

“หา?”

“มันไม่เคยเป็นแบบนี้”

“กูรู้ แต่มันไม่ยอมคุยกับกู”

ไมล์อ้าปากพะงาบๆ คล้ายต้องการจะต่อว่าผม แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ทอดถอนใจ ยอมใจเย็นกับผมขึ้นมา

“กูว่าที่อาสาแม่งโกรธขนาดนี้เป็นเพราะรูปนี้ว่ะ” ไมล์ชูรูปในจอโทรศัพท์ของมันให้ผมดู เป็นรูปเซลฟี่ของไอ้เชี่ยป๊อบกับคนอื่นๆ ที่งานศพของป้านลในคืนวันที่เราเพิ่งไปถึง

“โกรธเพราะรูปเซลฟี่เชี่ยป๊อบเนี่ยนะ”

“ไอ้เหี้ย ดูตรงมุมสิ” ผมตั้งใจมองดูตรงมุมรูป

เข้าใจแล้ว เข้าใจในทันทีว่าทำไมอาสาถึงโกรธ ก็ตอนที่ป๊อบมันเซลฟี่เพื่อบอกข่าวสารเพื่อนเก่าในเฟซ มันถ่ายติดผมตอนกำลังกอดปลอบแอลอยู่ แม้จะถ่ายติดแค่เล็กน้อยก็ตาม แต่มันก็พอจะเดาออกว่าเป็นผมกับแอล!

เวร เวรแล้ว ไอ้ป๊อบมึง!

“กูได้ข่าวมาว่าเชี่ยอาสามันคิดมากเรื่องมึงไม่เคยลืมแฟนเก่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แถมยังมาเจอรูปแบบนี้อีก เป็นใครใครก็คิดมากป่ะ” ไมล์โวยวาย “มึงรักเพื่อนกูจริงป่ะเนี่ย”

“ฟวย รักจริงดิวะ” ผมเริ่มหลุดอารมณ์โมโหบ้าง ตอนนี้ผมพาลไปหมดแล้ว “กูกอดมันเป็นครั้งสุดท้าย”

“ยังไงมึงก็ต้องไปเคลียร์กับอาสาเอง”

“มันยอมเคลียร์กับกูมั้ยล่ะ มันเอาแต่หนีกู”

“แต่กูรู้ว่าตอนนี้มันอยู่ไหน”

ผมชะงัก ก่อนจะมองไอ้ไมล์อย่างเว้าวอน

“งั้นมึงก็บอกกูเถอะ กูอยากให้ดราม่าเรื่องนี้ผ่านไปไวๆ กูคิดถึงมัน กูไม่ได้คุยกับมันมานานมากแล้ว”

ไมล์มองผมอย่างประเมิน “กูเชื่อใจมึงนะ กูถึงยอมหลีกทางให้มึง”

“ได้โปรดเชื่อใจกูต่อไป”

“งั้นมึงก็ช่วยทำให้มันกลับมาเป็นคนเดิมสักที”








ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าคณะผมจะมีห้องแบบนี้

มันเป็นห้องที่เอาไว้เก็บของโดยเฉพาะ แม้จะมีโต๊ะเลกเชอร์พร้อมใช้งานเหมือนห้องเรียนทั่วๆ ไป แต่สภาพมันก็เก่าเกินจะเปิดใช้ ที่น่าประหลาดใจยิ่งไปกว่านั้นก็คืออาสาใช้ห้องนี้ในการนอนแก้อาการแฮงก์ มันขอแยกตัวจากกลุ่มเพื่อนเพื่อจะมานอนที่นี่ ผมเห็นร่างของมันกำลังหลับฟุบโต๊ะทันทีที่เปิดประตูเข้าไป

ผมเลื่อนเก้าอี้ไปนั่งอยู่ใกล้ๆ อาสาก่อนจะจ้องมอง มองดูคนน่ารักที่ตอนนี้พยายามทำตัวเถื่อนดิบในแบบที่ไม่ใช่ตัวมัน ไรหนวดสีเขียวที่เริ่มขึ้น ทรงผมที่ยุ่งเหยิง บวกกับใบหน้าอิดโรยที่ดูก็รู้ว่าดื่มหนัก แม้จะโทรมจัดจนเรียกได้ว่าน่าจะเป็นจุดตกต่ำที่สุดในชีวิตของอาสา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มันดูน่ามองน้อยลงไปอยู่ดี

ผมทำให้มันเปลี่ยนไป ทุกอย่างเป็นความผิดของผมเอง ผมตัดสินใจปล่อยให้อาสาได้หลับตามอำเภอใจ จ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่รู้เบื่อ ไมล์เล่าให้ฟังว่ามันนอนอยู่ที่นี่ตั้งแต่เรียนคาบสิบโมงเช้า จนตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะเที่ยงแล้ว อาสาก็ยังไม่ขยับตัว
ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าตัวผมจะมานั่งจ้องใครได้นานขนาดนี้

ในที่สุดอาสาก็ขยับตัว ดวงตาของมันสะลึมสะลือก่อนจะกลายเป็นเบิกโพลงเมื่อได้เห็นว่าผมกำลังมองมันอยู่

“เหี้ย!” มันโวยลั่น

“มึงหนีกูไม่พ้นแล้วล่ะ” ผมกอดอก เหยียดขาไปที่เก้าอี้ซึ่งมันใช้หลับ อาสาจะได้หมดทางหนีเอาตัวรอด

“กูไม่มีอะไรจะคุยด้วย”

“อาสา” ผมโอดครวญ “ถ้าไม่คุยกันก็ไม่ดีกันสักทีนะ มึงชอบเหรอที่ต้องทะเลาะกับกูอ่ะ”

“...”

“หรือมึงชอบที่จะทำตัวแบบนี้ กูจะได้ไม่ต้องง้อ”

อาสามีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ฉิบหายแล้วไง ผมยั้งปากตัวเองเอาไว้ไม่ทัน

“ไม่อยากง้อก็ไม่ต้องง้อดิวะ”

“กูอยากง้อนี่ไง กูถึงได้นั่งรอมึงตื่น”

“นานหรือยัง”

“เกือบชั่วโมงมั้ง”

“เหี้ย” อาสาเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะตีหน้ายักษ์ใส่ผมอีกครั้ง “ถอยไป”

หมับ ผมคว้ามืออาสาเอาไว้แม้ว่าเจ้าของมือจะดิ้นพล่านไม่ยอมให้จับ

“เป็นไรเนี่ย ทำไมถึงโกรธขนาดนี้หา บอกกูมาหน่อย” เสียงของผมอ่อนลงไปมาก ไม่สิ ผมยังไม่ได้เสียงแข็งใส่มันเลย

“จะให้กูพูดจริงๆ น่ะเหรอ”

“ใช่สิ”

“มึง...ยังรักแอลอยู่”

“มั่วฉิบหาย”

คำพูดของผมขัดคำพูดอาสาจึงทำให้บรรยากาศเริ่มแย่ลงไปอีก

“กูพูดจริง มึงยังรักเขาอยู่ ไม่งั้นมึงคงไม่กอดปลอบเขา ไม่อยู่ช่วยงานเขาขนาดนี้”

“อาสา คนที่เสียคือแม่นมของแอล เขาเคยช่วยกูกับแอลหลายเรื่อง”

“กูรู้ว่ากูไม่ควรโมโห หรือถ้าโมโหก็ควรโมโหน้อยๆ แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ กูโมโหไปแล้ว”

“มึงฟังกูดิ” ผมพยายามพูดทุกวิถีทาง

“ไม่รู้ว่ะ เรื่องแอลมึงเคยทำให้กูมั่นใจได้สักกี่อย่างวะ”

“กูจบกับเขาแล้ว กูเคลียร์กับเขาทุกอย่างแล้ว”

“...”

“มานอนกับกูสิ จะได้รู้ว่ากูละเมอถึงชื่อเขาอีกหรือเปล่า”

“ไม่” อาสาไม่ติดกับผมง่ายๆ “เรื่องนี้กูเครียดจริงๆ”

“งั้นกูต้องทำไงอ่ะ มึงถึงจะรู้สึกดีขึ้น มึงถึงจะหายโกรธกู”

“กู...ไม่รู้”

“มึงชอบที่จะอยู่ห่างกับกูเหรออาสา”

“ก็กูโกรธ กูจะอยู่ใกล้มึงได้ไง”

“ถามจริง นี่เมนส์มาหรือไงวะ กูพูดอะไรมึงก็ไม่ฟัง ไม่สนใจเลย”

“เหี้ยเอ๊ย!” อาสาตวาดลั่น “ถอยไปเดี๋ยวนี้เลยนะ คุยกันตอนนี้ยังไงก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก”

เสียงโทรศัพท์ดังลั่นขัดจังหวะที่ผมจะพูดกับอาสา ผมหยิบขึ้นมาดูก่อนจะรู้ว่าผมเพิ่งทำอะไรบางอย่างผิดพลาดไป

คนที่โทรมาก็คือแอล อาสาเห็นชื่อนั้นเต็มสองตา มันไม่พูดอะไรกับผมทั้งนั้น แต่เดินออกจากห้องไปอย่างหงุดหงิดอารมณ์เสีย ทิ้งให้ผมนั่งคอตกอยู่แบบนั้น

ตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะพังลงไปแล้วจริงๆ เหรอวะ

[ฮัลโหลทนาย]

“ว่าไง”

[มึงลืมของ]

“หา?”

[บัตรนักศึกษาอ่ะ สงสัยหล่นจากกระเป๋าตังค์มึง]

“เหรอวะ”

[จำเป็นต้องรีบใช้มั้ย]

“ไม่ว่ะ”

[งั้นกูเก็บไว้ให้ก่อนนะ]

“โอเค ขอบใจมาก”

[อืม]

สิ่งที่ผมคุยกับแอลมีเพียงเท่านี้ แต่อาสาคงคิดไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้ว ผมขึ้นไปเรียนต่อด้วยสภาพซังกะตาย อาจารย์สอนอะไรมา ผมก็ไม่คิดที่จะเก็บมันเอาไว้ในหัวสมอง ไอ้โอ๊คกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้แต่เห็นอกเห็นใจผม แม้พวกมันจะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นสภาพผมก็คงเดากันได้เองว่าผมยังไม่พร้อมที่จะเล่า

หลังจากเรียนเสร็จ ผมรีบบึ่งไปยังห้องเรียนของอาสาทันที แต่เมื่อเห็นสีหน้าของไมล์ซึ่งส่ายหน้าเบาๆ ใส่ผมพร้อมกับยักไหล่ ผมก็รู้ได้ในทันทีว่าอาสามันโดดเรียน

โว้ยยย มันจะมากเกินไปแล้วนะ!

ผมกดโทรออกหาเต เพราะรู้ว่าโทรหาอาสายังไงมันก็ไม่รับ เตกลับไม่รู้ว่าอาสาอยู่ไหน สรุปก็คืออาสาหลบหน้าผมอีกครั้ง และผมก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นหามันจากตรงไหนดี

ผมขับรถออกจากคณะอย่างไร้จุดหมาย พยายามมองไปรอบๆ เพื่อหาอาสา ไม่นานนักผมก็เจอ แต่เป็นภาพที่ผมไม่ควรมาเจออย่างยิ่ง

อาสาขึ้นรถไปกับคนอื่น ดูจากรถแล้วไอ้คนอื่นที่ว่านี่น่าจะอยู่หอสี่

โว้ยยยย มึงจะอะไรนักหนากับไอ้เด็กหอนี้นักวะ

ผมขับรถไปจอดตัดหน้ารถที่อาสาเพิ่งขึ้น ตอนนี้ผมพังได้ทุกอย่างแม้กระทั่งรถของไอ้บ้าห่าเหวที่ไหนก็ไม่รู้นี่ ทันทีที่เดินไปถึงที่นั่งข้างคนขับ ผมก็เคาะกระจกอย่างบ้าคลั่งทันที

เอาให้พังไปข้าง

“ลงมา!”

รถเหี้ยนี่ติดฟิล์มสีดำรอบคัน แต่ผมเชื่อว่าอาสาเห็นผมและได้ยินเสียงผมอย่างชัดเจน

“ลงมา เรามีเรื่องต้องพูดกัน!”

“...”

“ถ้ามึงไม่ลงมา กูจะถือว่ามึงไม่อยากคบกับกูต่อนะ อาสา”

ความหึงหวงทำให้ผมพูดคำนั้นออกไปด้วยอารมณ์ รถบ้าคันนั้นขับออกไปโดยที่ไม่มีใครคนไหนลงมาจากรถเพื่อที่จะคุยกับผม
ไม่ใช่ทุกอย่างมันกำลังจะพัง แต่มันพังลงไปแล้วต่างหาก





[พาร์ตของเต]



ก๊อก ก๊อก ก๊อก




“อ้าวอาสา มีไรวะ เชี่ยไมล์ล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ” ผมถามทันทีเมื่อเห็นคนเคาะประตูห้องผม

“...” อาสาร้องไห้ครับท่านผู้ชม ผมตกใจจนลนลานไปหมด เกิดอะไรขึ้นวะ

“เฮ้ยยย มึงเป็นไรวะ ร้องไห้ทำไม”

“ทนาย มัน ฮึก มัน...”

“มันทำไม”

“มันเลิกกับกูแล้ว”

โชคดีที่ไมล์ตามมาสมทบพอดีหลังจากที่อาสาพูดคำสุดสะเทือนใจนั้นออกมา เพราะผมคิดว่าผมไม่สามารถปลอบใจมันได้เพียงคนเดียวแน่ๆ เรื่องแบบนี้ต้องช่วยกันฟัง ช่วยกันปลอบสิครับ เราสองคนปล่อยให้มันร้องไห้จนดีขึ้น ก่อนจะส่งทิชชูไปให้มันซับน้ำตา

“มันยังไม่ได้บอกเลิกมึงสักหน่อย อย่าเพิ่งคิดมากดิ” ไมล์พูด “เมื่อตอนกลางวันมันยังวิ่งตามจะไปง้อมึงอยู่เลย”

“ดูมันยอมแพ้เรื่องกูง่ายมาก”

“...”

“ตอนมาง้อก็ไม่รู้ว่ามาง้อหรือมาด่าอ่ะ”

ผมกับเตมองหน้ากัน ไม่รู้จะขำหรือจะอะไรดี ไอ้สองคนนี้มันทะเลาะกันหนักมากก็จริง แต่ดูก็รู้ว่าแม่งยังรักกันมากอยู่ดี

“คือมึงโกรธมัน?” ผมถาม

“ใช่”

“แล้วทนายมันก็มาง้อ”

“ใช่”

“มันง้อผิดวิธีว่างั้น”

อาสาเอาหมอนมาปิดหน้า “มั้ง แทนที่จะมาทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แม่งเอาแต่ว่ากูอ่ะ”

“เอางี้ มึงลองสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนนะ” ไมล์พูดบ้าง “ตอนนี้มึงทำอะไรอยู่ มึงรู้มั้ยว่ามึงเปลี่ยนไปมากแค่ไหน”

“ให้กูสองคนพูดมั้ย” ผมช่วยอีกแรง

อาสาไม่ยอมตอบ เพราะงั้นไมล์จึงต้องพยายามต้อนมันจนมุมอีกที

“ทนายมันเป็นคนขี้หึงนะ และสิ่งที่มึงกำลังทำอยู่คือทำในสิ่งที่มันไม่ชอบ มันก็ไม่แปลกป่ะวะที่มันจะโกรธมึงบ้าง”

“กูไม่ได้ทำอะไรขนาดนั้นนะ”

“เหรอ แค่ไปกินเหล้ากับคนนั้นคนนี้บ่อยๆ เนี่ยนะไม่ได้ทำอะไร” ผมพูดต่อ “อาสา มึงก็รู้ว่าทนายมันเริ่มชอบมึงเพราะอะไร มันอยากดูแลมึงปกป้องมึง แต่ดูสิ่งที่มึงทำกับมันดิ”

“เดี๋ยว มึงสองคนไม่ได้อยู่ทีมกูแต่อยู่ทีมทนายเหรอ!”

“อาสา ตั้งสติหน่อยไอ้สัด โกรธมันเรื่องแฟนเก่าจนลามไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย”

“นี่มึงรักมันมากจนลืมเหตุลืมผลไปแล้วเหรอวะ”

อาสากะพริบตาปริบๆ ก่อนจะทึ้งหัวตัวเองแรงๆ อีกหลายๆ ที

“กูบ้าไปแล้วว่ะ” มันยอมรับ “แต่จะให้ทำไง มันคือแฟนคนแรกของกู แล้วดูมันทำกับกูสิ”

“มันทำอะไร มันพยายามง้อมึง แต่มึงไม่สนใจมันเลย” ไมล์เอ่ย

“มันมาด่ากูนะ มันไม่ได้ง้อ”

“สัดเอ๊ย” ผมชักทนไม่ไหว “กูว่าเรามาหาทางจับพวกแม่งขังไว้ในห้องไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันดีกว่า ให้พวกมันได้กัน เดี๋ยวก็ดีกันเอง ชักรำคาญแล้วเนี่ย”

สิ้นเสียงของผม อาสากับไมล์ถึงกับอ้าปากค้าง

“กูพูดอะไรผิดอ่ะ ไอ้นี่ก็ไม่ฟัง ไอ้บ้านั่นก็ง้อแต่ง้อไม่ได้เรื่อง กูไม่ไหวแล้ว ไมล์ โทรตามทนายมานี่ดิ๊”

“เฮ้ย!” อาสาร้อง “มึงอย่าเพิ่ง ไอ้สัด”

“กูโทรออกเดี๋ยวนี้แหละ” ไมล์เองก็เล่นไปกับผมด้วย

“โอเค กูยอมแพ้แล้ว” อาสายกสองมือขึ้นมา “กูผิดเองที่ไม่รับฟังมันเลย”

“มึงเอาความรักมาบังตาไอ้สัด”

“ไม่ กูว่ามันใช้อารมณ์มากกว่า” ไมล์กอดอก จ้องอาสาเขม็ง

“โหดอ่ะ” อาสาโอดครวญเสียงอ่อย “พวกมึงโหดกับกูมากเกินไปแล้วรู้ป่ะ”

“มึงทำเกินไปไง ออกไปกับคนนั้นคนนี้ เวลานอนก็มานอนอยู่ห้องกู จนเรื่องกูกับเชี่ยไมล์ไม่มีห่าไรคืบหน้าเลย” นี่มันเป็นช่วงระบายอารมณ์ของผมเหรอครับ ทำไมผมโพล่งออกมาแบบไม่มียั้งปาก จนทำให้อีกสองคนที่เหลือมองหน้าเหมือนผมผิดปกติ
ก็ผิดจากที่ผมพูดที่ไหน ตั้งแต่ไมล์กลับมาจากทำกิจกรรม อาสาก็มีปัญหากับทนายพอดี ตอนนี้ห้อง 204 กลับมามีสมาชิกเหมือนก่อนที่ทนายจะมาอาศัยอยู่อีกครั้ง ตั้งแต่ทนายไปช่วยงานศพคนที่เกี่ยวข้องกับแฟนเก่าของมัน อาสาก็ไม่เคยไปนอนที่ห้อง 503 อีกเลย

เรื่องของผมกับไมล์จึงไม่มีอะไรคืบหน้า นอกจากพูดจาทักทายกันและก็ราตรีสวัสดิ์กันก่อนนอน จะกอดก็ไม่ได้ จะหอมจะจูบก็ไม่ได้ เพราะมีอาสาอยู่ในห้องด้วย

อาสาคงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรหรอก แต่ผมเนี่ยสิใจจะขาดอยู่แล้ว ผมอยากให้มันกับทนายคืนดีกันไวๆ ทุกฝ่ายจะได้แฮปปี้มีความสุขสักที

ไมล์กลืนน้ำลาย ดูมันเก้อเขินยังไงชอบกล ส่วนอาสาตอนนี้มีสีหน้ารู้สึกผิดไปแล้ว

“ตอนนี้มันคงคิดไปแล้วล่ะว่ากูกับมันเลิกกัน” อาสาเปรย

“ไปง้อดิสัด อย่าเรื่องมาก” ผมพูด

“กูเหรอที่ต้องง้อ”

“มันเห็นภาพมึงไปกับเหี้ยไหนก็ไม่รู้นะ”

“นั่นรถสัดตุ้ย กูแค่ติดรถมันกลับมา”

“...”

“พอมันเห็นไอ้ทนายเคาะกระจกรถ มันก็ขับหนีไปเลย”

“มึงเอาไปเล่าให้ทนายฟัง ไม่ต้องเล่าให้กูฟัง”

“แฟนเก่ามันยังโทรหามันอยู่เลย”

“ไปคุยกับมัน กูกับไมล์ไม่ใช่คนที่มึงจะต้องเคลียร์ด้วย”

อาสาอ้าปากจะพูดต่อแต่ผมขอเอ่ยขัด

“อาสา จะแฟนคนแรกหรือแฟนคนที่ร้อยมันก็ไม่สำคัญหรอกนะ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความรักของมึงทั้งคู่ ถ้ามึงสองคนยังรักกันอยู่ก็รีบๆ ดีกันเถอะ กูไม่รู้ว่าพวกมึงจะทะเลาะกันไปทำไมทั้งๆ ที่ยังแคร์กันฉิบหายแบบนี้ ช่วยกันประคับประคองความรัก อยู่ด้วยกัน มีความสุขกันไม่ดีกว่าเหรอวะ ทำไมต้องทะเลาะกัน แล้วถ้าทะเลาะทำไมไม่รีบเคลียร์ๆ กัน”

“...”

“เชื่อกูเถอะนะ อาสา ไปคุยกับมันดีๆ เถอะ เลิกใช้อารมณ์ ลองคุยกันด้วยเหตุผลดู”

“ทิฐิอ่ะลดลงมาบ้าง คนรักกันทำไมต้องวางฟอร์มใส่กันด้วยวะ” ไมล์ช่วยผมพูดด้วย

อาสานั่งคอตก ดูอับจนหนทางและไร้ทางออกอื่นนอกเสียจากต้องไปคุยกับทนาย

“คืนนี้กูขอรบกวนพวกมึงอีกสักคืนได้ป่ะ พรุ่งนี้กูจะกลับห้องตัวเองแล้ว”

ผมกับไมล์พยักหน้า โล่งใจที่ได้พูดทุกอย่างที่อยากจะพูดออกไป ตอนอาสาอยู่ห้องนี้ วิญญาณมันเหมือนหลุดออกจากร่าง แม้จะออกไปสังสรรค์บ่อยแต่ก็ใช่ว่ามันจะแฮปปี้ดี๊ด๊า ดูก็รู้ว่าประชดประชันเชี่ยทนาย พอผมเห็นว่ามันกำลังคิดจะไปเคลียร์ก็เริ่มอุ่นใจมากขึ้น อย่างน้อยเพื่อนผมก็ตัดสินใจถูก ไม่เอาอารมณ์มาเป็นที่หนึ่ง เพราะถ้ามันปล่อยให้ทุกอย่างเละเทะไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าบางทีมันอาจจะสายเกินไป

คนรักกัน ดีกันนั่นแหละถูกแล้ว

ตอนอาสาอาบน้ำ ผมกระซิบกระซาบกับไมล์อยู่ในห้อง

“ออกไปนอนข้างนอกกัน” ผมพูด

“หา?”

“โทรเรียกทนายมันลงมา แล้วเราก็ไปที่อื่นกัน”

“เอาจริงเหรอ อาสามันจะไม่โกรธเราเหรอ”

“มันจะขอบคุณเราทีหลัง”

[จบพาร์ตของเต]







“ฮัลโหล เชี่ยไมล์มีไรวะ”

[ลงมาที่ห้อง 204 ดิ๊ กูมีเรื่องจะคุยด้วย]

“เรื่องอาสาเหรอ”

[เออ]

“กูไม่รู้ว่ากูกับมันจะเป็นยังไงต่อ”

[อยากรู้ก็ลงมาดิวะไอ้สัด]







TBC*

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12






ตอนที่ 30




ห้อง 204

ไมล์มันเรียกผมให้ลงมาห้องเก่าทำไมวะ แต่ก็ดีเหมือนกันครับ ผมมีเรื่องจะคุยกับมันพอดี ตอนนี้หัวผมตื้อไปหมดตั้งแต่เห็นฉากที่อาสานั่งรถใครไม่รู้แล้วจากผมไป ทั้งๆ ที่ผมพูดออกไปถึงขนาดนั้นแท้ๆ มันยังบอกคนขับให้ออกรถ นั่นยิ่งทำให้ผมสับสนใหญ่ว่าอาสาจะเอาไงต่อเรื่องของเรา

ผมทำท่าจะเคาะประตูแต่ก็เห็นว่าประตูมันเปิดแง้มเอาไว้แล้ว เชี่ย เปิดไว้อย่างงี้ใช้ได้ที่ไหน แม้หอสามจะไม่มีข่าวว่ามีคนขโมยของแต่พวกแม่งก็ควรต้องระวังๆ ไว้ไม่ใช่เหรอวะ เห็นทีผมจะต้องเตือนเตกับไมล์ซะแล้ว ผมเข้ามาในห้องแล้วก็ปิดประตูให้
ห้องว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่สักคน

ไมล์มึงจะเซอร์ไพรส์อะไรกูหรือเปล่าวะ วันเกิดกูยังมาไม่ถึงนะ

“เชี่ยเต โฟมล้างหน้าห้องมึงจะหมดแล้วนะ” จู่ๆ อาสาก็โผล่ออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพเปลือยท่อนบน มีผ้าเช็ดตัวพันเอวหลวมๆ มันหุบปากฉับเมื่อเห็นผม ดูอึ้งมากเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาทั้งนั้น

ผมช็อกแดก เราเพิ่งปั้นปึ่งใส่กันมาแต่กลับมาเจอกันในสภาพนี้เนี่ยนะ

“เชี่ย” อาสาสบถก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในห้องน้ำ

ผมหลุดขำออกมาเล็กน้อย บรรยากาศเดิมๆ ของเราเริ่มกลับมาอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครตั้งใจ ผมมองไปรอบห้องอีกครั้งหนึ่งก่อนจะเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมไมล์ถึงบอกให้ผมลงมาที่นี่

เพื่อปรับความเข้าใจกับเจ้าตัวดีที่อยู่ในห้องน้ำตอนนี้นี่ไง

ผมนั่งรอบนเตียง ในห้องน้ำไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาอีกนอกจากเสียงน้ำหยดติ๋งๆ ผมคิดว่าอาสาน่าจะทำธุระในนั้นเสร็จแล้ว เพียงแต่ยังไม่กล้าออกมา

“ให้หยิบเสื้อให้เปล่า” ผมลองร้องตะโกนหยั่งเชิงดู

“ไม่ต้อง” อาสาร้องตอบกลับจากในห้องน้ำ

“จะนั่งอยู่ในนั้นทั้งคืนหรือไง”

“มึงจะอยู่ข้างนอกนั่นทั้งคืนหรือเปล่าล่ะ”

“ก็ไม่นะ”

“งั้นกูก็ไม่อยู่ในนี้ทั้งคืน”

ยอมใจ...คนเราจะงอนอะไรได้ถึงขนาดนั้นกันนะ ผมคว้าเสื้อผ้าอาสาที่ห้อยอยู่ในตู้ของเตกับไมล์ ดูจากสภาพแล้ว ผมคิดว่ามันน่าจะนอนอยู่ห้องนี้ตลอดช่วงที่ผมอยู่ช่วยงานศพป้านล

“เปิดประตูดิ ด้วยส่งเสื้อผ้าเข้าไปให้”

“ไม่”

“...”

“กูยังไม่พร้อม”

“ไม่พร้อมอะไรวะ”

“ไม่พร้อมที่จะคุยกับมึงไง”

ผมเลิกคิ้ว มองดูประตูห้องน้ำเหมือนมันเป็นใบหน้าของอาสา ก่อนจะทอดถอนใจ

“มึงออกมาเหอะ กูไม่คุยกับมึงก็ได้”

“...”

“อย่างน้อยก็ออกมาให้กูมองหน้ามึงหน่อย กูคิดถึงมึงโคตรๆ เลย”

ไม่มีสัญญาณตอบรับแม้กระทั่งเสียงน้ำหยด สักพักอาสาก็แง้มประตูห้องน้ำออกมาพร้อมยื่นมือขาวๆ รอรับเสื้อผ้า ผมพ่นลม ส่งเสื้อผ้าให้เจ้าตัวโดยที่ไม่คิดจะโกงอะไร

ผมกลับมานั่งที่เตียง สักพักหนึ่งอาสาก็เดินออกมาพร้อมกลิ่นหอม ผมชอบกลิ่นตอนอาสาอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เพราะนอกจากจะน่าดอมดมไปทั้งตัวแล้ว มันยังทำให้ผมสดชื่นขึ้นมาอีกต่างหาก

อาสาเอาผ้าเช็ดตัวไปตาก การกระทำของมันดูเก้อกระดากไปหมดเพราะผมมองตามมันทุกฝีก้าว ตอนนี้มันคงรู้แล้วล่ะว่าเตกับไมล์เรียกผมลงมาคุยกับมันเพื่อปรับความเข้าใจ เพราะไม่เห็นมันจะโวยวายอะไร อีกอย่างถึงโวยวายไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ไอ้สองตัวนั่นไปอยู่ส่วนไหนบนโลกแล้วก็ไม่รู้

อาสาเดินไปยังหน้าตู้เสื้อผ้า จากนั้นก็เริ่มละเลงครีมบำรุงประจำตัวของมัน มันขนของพวกนั้นลงมาไว้ข้างล่างนี่หมดเลย ผมก็ว่าทำไมของของอาสาที่อยู่ห้อง 503 ถึงหายไปตั้งหลายชิ้น

ผมจ้องเขม็งดูดีๆ ก็พบว่าคนน่ารักของผมกลับมาแล้วครับ อาสาโกนหนวดแล้วเป็นที่เรียบร้อย

“มองเหี้ยไรนักหนา” เห็นผมจ้องนานมันก็เลยเขิน

“คิดถึง” ผมพูดจากใจจริง

อาสาดูอึกอัก ไม่กล้าพูดอะไรต่อ ผมปล่อยให้มันประทินโฉมไปเรื่อยๆ เห็นแล้วเพลินตาดีครับ

“มึงจะไม่พูดอะไรเลยเหรอ” อาสาเอ่ยทำลายความเงียบ

“ก็กูบอกมึงไปแล้วว่าจะไม่พูดอะไร จะจ้องหน้ามึงอย่างเดียว”

“มันก็เกินไป” อาสาทำหน้าแปลกๆ จนผมหลุดยิ้ม “หัวเราะอะไรเล่า”

“เย็นลงหรือยัง”

“ว่าไงนะ”

“พร้อมคุยกับกูดีๆ หรือยัง กูสัญญาว่าครั้งนี้กูจะง้อมึงอย่างเต็มที่ ถ้ามึงไม่หายงอน กูจะไม่ออกไปจากห้องนี้เด็ดขาด”

“เพราะกูจะออกไปเอง”

“กูไม่ให้มึงออก”

อาสาขมวดคิ้วใส่ผมผ่านกระจก มันพูดทีเล่นทีจริงกับผมแล้ว แสดงว่าสัญญาณแห่งการคืนดีกันเริ่มโผล่มาให้ผมเห็นแล้วล่ะครับ
 
“เสร็จยัง” ผมถาม

“เสร็จแล้ว” อาสาวางครีมบำรุงของมันลง

ตอนนั้นผมกดโทรศัพท์โทรออกหาแอล อาสามองผมอย่างงงๆ ว่าผมทำอะไร มันยังไม่รู้ว่าผมกดโทรหาใคร

[ฮัลโหล ว่าไงวะทนาย]

“แอลเหรอ” สิ้นเสียงของผม อาสาถึงกับอ้าปากค้าง มันพยายามมาแย่งโทรศัพท์ไปจากมือผม พยายามขัดขวางการโทรของผมในครั้งนี้ ผมจับมือมันเอาไว้ เอียงหน้าหลบสุดชีวิต ผมคิดนานแล้วครับเรื่องนี้ ยังไงมันก็ห้ามผมไม่ได้

[อื้ม มีไรหรือเปล่าวะ]

“คุยกับอาสาให้หน่อยดิ มันไม่ยอมหายคิดมากเรื่องกูกับมึงอ่ะ”

“เชี่ยทนาย!” อาสาร้องอย่างเหลืออด

[หา! จริงเหรอวะ]

“ใช่ ง้อยังไงก็ไม่ยอมหายงอนเนี่ย”

[จะไม่เป็นไรแน่เหรอ]

“มึงก็เคยเห็นมันแล้วนี่ อีกอย่างหนึ่งถือซะว่าช่วยเพื่อนตาดำๆ คนนี้หน่อย” ผมมองตาอาสาที่ทำหน้าใกล้จะร้องไห้ “กูอยากคืนดีกับแฟนกูจะแย่อยู่แล้ว”

[เอาสิ]

ผมเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหู อาสายังคงต่อสู้กับผมอยู่ ผมขู่บังคับมันด้วยสายตาและการกระทำ จนในที่สุดมันก็ยอมผม ดูเหมือนว่ามันเขินแอลอยู่นิดๆ นะครับ แปลกดีเหมือนกัน

“ฮัลโหล สวัสดีครับแอล”

งานสุภาพก็มา...ผมมองอาสายิ้มๆ ปล่อยให้มันจมจ่อมไปกับบทสนทนาระหว่างมันกับแอล ส่วนผมน่ะเหรอ ก็คลอเคลียอาสาตามประสาคนที่ห่างเหินไปนานน่ะสิ

“จริงๆ แล้วเราก็ไม่อยากคิดมากอ่ะ แต่เราก็เผลอคิดไปแล้ว แหะๆ” อาสาทำสีหน้าตำหนิผม เพราะเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้แอลช่วยพูดก็ได้ ผมยักไหล่ไม่สนใจ ขณะที่เริ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้พวงแก้มของมัน มันหลบผมใหญ่ “อืม ครับ ครับ ครับ”

แม้ใจจะแอบกังวลนิดหน่อยว่าแอลจะพูดให้อาสาคิดมากเพิ่มขึ้นหรือเปล่า แต่ดูจากสีหน้าที่อ่อนลงบวกกับท่าทีที่เลิกขัดขืนผม ผมก็สัมผัสได้ทันทีว่าแอลนั้นพูดเพื่อผมมากแค่ไหน

บุญคุณในครั้งนี้ผมจะไม่ลืมเลย...

อาสามองหน้าผมระหว่างที่ฟังไปด้วย ผมไม่รู้ว่าแอลพูดอะไรบ้าง แต่ผมก็ทำได้แค่มองตาอาสาอย่างยืนยันในความจริงใจของตัวเอง

“จริงเหรอ”

อาสาทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“คนอย่างมันน่ะเหรอ”

เดี๋ยวก่อนนะ กลายเป็นนินทากูไปซะฉิบ

“แหะๆ ครับ ขอบคุณนะแอล”

“...”

“ได้”

“...”

“ผมสัญญา”

อาสาวางสายไปแล้ว มันคืนโทรศัพท์ให้ผมก่อนจะร้องด่าผมใหญ่

“ฟวยอะไรของมึง กูไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเลยไอ้ห่า แล้วเนี่ยไปดึงเขามายุ่งด้วยทำไม ทำไมมึงไม่พูดเคลียร์กับกูเอง ไอ้สัด”

“กูพูดแล้วมึงฟังกูมั้ยล่ะ กูต้องให้เชี่ยแอลมาช่วยยืนยันสิว่ากูกับมันไม่มีอะไรกันแล้วจริงๆ”

อาสาทำหน้าบึ้งตึงใส่ผม แม้จะเป็นสีหน้าที่ไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่หน้าแบบนี้นี่แหละครับที่แปลว่าเดี๋ยวก็หายงอน

“มันบอกว่าไงบ้าง” ผมลองถามดู

“เขาบอกว่าที่มึงอยู่ช่วยงานส่วนหนึ่งเป็นเพราะมึงรู้สึกผิดที่มึงทิ้งเขาให้เผชิญปัญหาตามลำพัง และมึงก็ผูกพันกับป้านล แม่นมของเขา”

“...”

“ตอนมึงอยู่ในงานศพ มึงแทบจะไม่ได้คุยอะไรกับเขาเลย เอาแต่เล่นโทรศัพท์”

“กูพยายามติดต่อมึงนี่ไง”

“เวลาอยู่กับเพื่อนก็ชอบพูดชื่อกูให้ฟัง”

“ก็กูรักมึงป่ะ กูก็ต้องพูดถึงแต่ชื่อคนที่กูรัก เพราะกูคิดถึงมันตลอดเวลา”

อาสาเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบาๆ “ได้ทีแล้วเอาดีเข้าตัวใหญ่”

“ก็เรื่องจริงอ่ะ” ผมโวยวาย “ถามเชี่ยป๊อบดูมั้ยล่ะ ให้โทรไปหาอีกคนมั้ย”

อาสายกมือห้าม “ไม่ต้องแล้ว เชื่อแล้ว”

“...”

“กูก็ผิดด้วยแหละที่กูใช้แต่อารมณ์”

แฟนผมดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด มันเลิกทำตัวแข็งขืนก่อนจะเอียงตัวเข้าหาผม

เหยดดดดดดด แฟนกูกลับมาแล้วโว้ยยยยยยยยยยยย

ผมรีบคว้าตัวอาสามากอดหมับเอาไว้ทันที สูดดมซอกคอกับแก้มหอมๆ ของมันอย่างเต็มที่เพราะอยากทำมาหลายวันแล้ว

“ไม่ใช่แต่มึงที่ขี้หึงแล้วล่ะ” อาสาเปรย ปล่อยให้ผมแต๊ะอั๋งได้ตามสบาย บางครั้งมันก็เอียงหลบเพราะจั๊กจี้ แต่ส่วนใหญ่จะยอมให้ผมดอมดมได้ตามต้องการ “กูก็ขี้หึง”

“แต่มึงหึงรุนแรงมากนะ”

“...”

“หึงทีนี่ประชดประชันกูใหญ่ ทำตัวเสเพลจนกูใกล้จะบ้า” ผมเลิกคิ้ว “พูดถึงเรื่องนี้ บอกกูมานะว่ามึงทำอะไรลงไปบ้าง”

อาสากะพริบตาปริบๆ ดูหวาดๆ ผมยังไงชอบกล

“ก็สังสรรค์”

“กับไอ้พวกหอสี่นั่นน่ะเหรอ”

“ช่าย”

“...”

“พวกวิศวะของหอสามด้วย”

ใจเย็นๆ ทนาย มึงใจเย็น

“ทันตะหอหนึ่ง”

ว่าไงนะ

“สถาปัตย์หอหก”

นี่ยังไม่หมดอีกเหรอ

“และก็...”

“พอ” ผมปั้นหน้าโหด คว้าข้อมือของอาสามาบีบแน่นแล้วกระชากตัวมันให้ออกไปจากห้อง 204 ซะ

“เชี่ยทนาย อะไรวะ” อาสาร้อง “หัวกูจะทิ่ม”

ผมไม่พูดอะไรทั้งนั้น ตอนนี้คนในหอสามที่เดินสวนมาต่างก็ตื่นตกใจกับความโหดของผม ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ทนายตอนที่โกรธที่สุด แม้กระทั่งอาสาคนที่ผมแคร์ที่สุดยังแสดงสีหน้าตื่นตกใจ

ใช่ ผมโกรธ ผมไม่คิดว่าอาสาจะออกไปกับคนมากมายขนาดนั้น!

ตอนที่ผมไม่อยู่ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มันไปดื่มไปกินกับคนอื่นแล้วมันทำอะไรอีก แน่นอนว่าผมไม่รู้ เพราะเตกับไมล์ไม่ได้ไปกับอาสาด้วย นั่นก็แปลว่ากลุ่มคนที่มันไปด้วยทั้งหมดนั่นอาจจะทำอะไรกับมันบ้าง ผมก็ไม่สามารถตอบได้ แต่แค่นึกภาพ สติผมก็แตกกระเจิงแล้ว

ผมโมโหจนหน้าดำหน้าแดง

ประตูห้อง 503 ถูกเปิดออก อาสาถูกผมผลักให้เข้าไปข้างในก่อนที่ผมจะปิดประตูลงกลอน

“ทนาย” อาสากลืนน้ำลาย “มึงเป็นอะไร”

ผมพยายามควบคุมอารมณ์อย่างที่สุด เราสองคนเพิ่งจะดีกันได้ไม่เท่าไหร่ ผมไม่อยากให้ลมเพชรหึงของตัวเองทำทุกอย่างพังลงไปอีกครั้ง

“กูเคลียร์ความผิดของกูไปแล้ว”

“หา?”

“ถึงเวลาที่มึงต้องเคลียร์ความผิดของมึงบ้าง”

อาสาทำสีหน้านึกไม่ถึง ขณะที่ผมพ่นลมหายใจฟึดฟัด ผมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองไปบางเม็ดเพื่อคลายร้อนระหว่างรอฟังว่าอาสาจะแก้ตัวยังไง

“มึงรู้ว่ากูเป็นคนขี้หึง”

“ใช่”

“มึงรู้ว่ากูหวงมึงมาก”

“ก็...ใช่”

“เพราะงั้นมึงต้องเข้าใจว่าทำไมกูถึงได้โมโหขนาดนี้” ผมไม่ได้เสียงดังใส่อาสา แต่เสียงของผมแข็งมากจนนัยน์ตาของอาสาสั่นระริก

“นอกจากดื่ม...มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนะ” อาสาแก้ตัว “กูแค่ออกไปดื่ม”

“มึงรู้จักคนมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ก็...ไม่อ่ะ”

“แล้วออกไปกับคนพวกนั้นทำไม”

“...”

“มึงกล้าไปทั้งๆ ที่ไม่มีไอ้เตกับไอ้ไมล์ได้ยังไง”

“กูอยากประชดมึง”

ผมพยายามควบคุมสติให้ถึงที่สุด ผมรู้ว่าที่อาสาทำไปทั้งหมดเพราะมันอยากประชดผม แต่ผมไม่คิดว่ามันจะทำขนาดนี้ เล่นใหญ่เกินไปขนาดนี้ มันทำให้ผมโกรธจนคลั่ง

“ถุงยางจะพร้อมไม่พร้อมกูไม่รู้ แต่มึงต้องพร้อม”

อาสาอ้าปากหวอ ก่อนที่ผมจะกระชากตัวมันให้ลงไปนอนบนเตียง

“คืนนี้มึงต้องเป็นของกู”

“ทนาย” กลิ่นหอมของอาสาช่างยั่วยวนกว่าเสียงอุทธรณ์ของมัน ผมรู้ว่าตอนนี้ตัวเองเต็มไปด้วยโทสะ แต่สติของผมก็ยังพอมีอยู่ สิ่งที่ผมกำลังจะทำ ไม่ใช่ผมต้องการจะกระทำการรุนแรงต่อคนที่ผมรัก แต่มันเป็นการ...ตีตราจอง

คนฮอตอย่างมัน คนที่เพิ่งออกไปกับคนนั้นคนนี้อย่างมันทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนที่คนอื่นๆ ปรารถนา ต้องโดนอะไรแบบนี้ถึงจะหายซ่าส์!

ริมฝีปากของผมคลอเคลียไปที่ซอกคอขาว ยิ่งมันเอียงตัวหลบ ผมก็ยิ่งอยากที่จะสัมผัสมันให้ได้มากขึ้น เหมือนเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผม มันขัดขืนผมแบบนี้ ผมก็ยิ่งต้องทำให้มันอ่อนลง และเมื่อไหร่ก็ตามที่มันคล้อยตามผม นั่นก็แสดงว่าผมนั้น...อร่อยพอ

“ทนาย มึงใจเย็น” มือไม้ของอาสาเริ่มพยายามผลักดันอกผม ผมเบี่ยงตัวหลบก่อนจะรวบจับมือคู่นั้นไปวางไว้เหนือศีรษะของอีกฝ่ายด้วยมือเพียงข้างเดียว “เฮ้ย”

มันคงไม่คิดว่าผมจะโหดขนาดนี้สินะ

โทษทีนะ มึงทำให้กูอดทนมานานมากแล้ว อีกทั้งเมื่อกี้มึงยังยั่วโมโหกูได้ถูกจุดอีก ยังไงคืนนี้มึงก็รอดยากว่ะ

มันกะพริบตามองผมอย่างเว้าวอน ขณะที่ดวงตาของผมนั้นเริ่มฉ่ำเยิ้ม มองอาสาที่อยู่ใต้ร่างเป็นขนมหวาน พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่ง ฉกชิมทุกอย่างที่อยู่บนตัวของมันทุกซอกทุกมุม ไม่มีขาดตกบกพร่อง

“ไม่ได้จูบกันนานแล้วนี่” เสียงของผมทั้งโหดทั้งหื่นปะปนกันไป “มึงคิดถึงจูบกูมั้ยอาสา”

“ทนาย คือ...”

ริมฝีปากของผมเข้าไปประสานแนบชิดกับริมฝีปากของอาสา คำพูดของมันถูกกลืนกลับลงไปในคอเพราะลิ้นของผมเกี่ยวกระหวัดและผลักดันมัน อาสาไอค่อกแค่กเพราะผมจู่โจมไวเกินไป แต่นั่นก็ใช่ว่ามันจะไม่ชอบ

เพราะลิ้นของมันก็เกี่ยวลิ้นของผมอยู่

แบบนี้แปลว่าไม่ใช่แค่ผมที่ต้องการ มันเองก็ต้องการมากมายเหมือนกัน

ผมเอื้อมมือไปปิดไฟในห้องให้มืดสนิท ก่อนจะใช้มือนั้นถอดเสื้อผ้าของอาสาออกอย่างรวดเร็ว ปากของผมยังทำงานอย่างเต็มที่ไม่ยอมปล่อยริมฝีปากของอาสาให้เป็นอิสระ แฟนของผมส่งเสียงครางอืออาเบาๆ เพราะเมื่อบรรยากาศเริ่มเป็นใจ เราสองคนก็เริ่มมีอารมณ์โรแมนติกร่วมกันมากยิ่งขึ้น

อาสาลุกขึ้นนั่งตอนที่ผมปลดเสื้อของมันทิ้งไป มือเล็กๆ ของมันช่วยผมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่เหลืออยู่ทีละเม็ดๆ ปากผมยิ้มกริ่มระหว่างที่กำลังจูบมันอยู่

“เริ่มโกรธน้อยลงแล้วเหรอ” แม้อาสาจะพูด แต่ปากของมันก็ยังติดกับปากของผม

“ก็ขึ้นอยู่กับว่า...มึงจะทำตัวถูกใจกูมั้ย”

เมื่อกระดุมถูกปลดจนหมดและเสื้อเชิ้ตก็ถูกโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี อาสาก็คุกเข่ายืดตัวขึ้น ทำให้ร่างขาวๆ ของมันอยู่ระดับเดียวกับศีรษะของผม นั่นแปลว่าผมจะทำอะไรกับร่างนั้นได้ตามอำเภอใจ จะจูบ จะหอม จะกัด หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมทำได้ทุกอย่าง
อีกฝ่ายอนุญาตแล้ว และเป็นการอนุญาตที่...เซ็กซี่มากๆ ด้วย

ผมเพิ่งรู้ว่าอาสาหุ่นเซ็กซี่มากก็วันนี้ ตัวมันขาวนวลเนียนไร้สิวไร้ที่ติไม่พอ มันยังดูบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้มลทินอีกต่างหาก แม้จะยอมตัวอ่อนกับผมด้วยแรงอารมณ์ปรารถนา แต่เรือนร่างที่สั่นงันงกของมันบางจังหวะก็เป็นการยืนยันได้อย่างดีว่าอาสายังไม่เคยผ่านเรื่องนี้ ยังไม่เคยผ่านมือใครมาก่อน และที่สำคัญ...มันพร้อมจะให้ผมเป็นคนสอนความรู้สึกดีๆ นี้แก่มัน

ผมตื่นเต้นจวนเจียนจะคลั่ง อยากฝากร่องรอยของผมเอาไว้บนตัวของอาสาไว้ทุกที่ ความร้อนแรงนั้นไม่ได้ออกมาจากลีลาที่ไร้เดียงสา แต่มาจากตัวของอาสาเลยต่างหาก

รู้สึกโชคดีที่ผมจะได้รับสิ่งนั้นมาเต็มๆ และนั่นก็ทำให้ผมใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น

ผมผลักอาสาลงไปนอนกับเตียง จากนั้นก็ขยับศีรษะไปตามเรือนร่างของอาสา สัมผัสร่างกายของอีกฝ่ายด้วยใจปรารถนา สร้างความเขินอายและเก้อกระดากให้อีกฝ่ายอย่างไม่มีวี่แววที่จะลดละ อาสายังใหม่กับอะไรแบบนี้ แต่ไม่ใช่ว่ามันจะไม่เปิดใจ มันพร้อมที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่ผมเป็นผู้นำให้ มันเขินอายในสิ่งที่ควรอาย และเอียงตัวรับในสิ่งที่ควรรับ

มันเก่ง ถือว่ามันเก่งมาก เพราะสามารถทำให้ผมจะเป็นบ้าตายเพราะมัน

“หายโกรธกูยัง” เสียงไต่ถามของอีกฝ่ายเป็นเสียงกระซิบแผ่วเบา ผมเลื่อนใบหน้าขึ้นไปใกล้ๆ ใบหน้าของอาสาพร้อมๆ กับกระซิบตอบ

“ยังเลย ทำไงดี”

อาสายื่นแขนมากอดรอบคอผม ก่อนจะเป็นฝ่ายเริ่มจูบ ระหว่างนั้นมือของผมก็อยู่ไม่สุข ลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างของอาสาอย่างปรารถนาที่จะสัมผัสทุกซอกทุกมุม ในใจยังเผลอคิดอย่างตื่นเต้นว่าความนวลเนียนบนร่างกายนี้กำลังจะเป็นของผม ยิ่งคิดแบบนั้นผมก็ยิ่งส่งผ่านความหวานผ่านลิ้นไปให้อาสาอย่างร้อนแรงจนมันอดที่จะส่งเสียงครางออกมาเบาๆ ไม่ได้
 
“ยังอีกเหรอ” งูพิษของผมเริ่มทำสีหน้าหยอกเย้า “ต้องทำอะไรอีกอ่ะ”

ใจผมสั่นระรัวไปหมด สายตาของอาสากำลังจะพิฆาตผม อารมณ์ของผมถูกปลุกจนกลายเป็นอารมณ์รุนแรงคล้ายกับเสือที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อ

เกิดมาก็เพิ่งเคยมีเหยื่อเป็นงูพิษที่น่าฟัด เซ็กซี่ และก็อ่อยผมได้อย่างที่ผมแพ้ราบคาบ

“นั่นสิ ต้องทำอะไรอีกนะ” ผมกระซิบ ค่อยๆ ปลดกางเกงของอีกฝ่ายออกอย่างชำนิชำนาญโดยไม่มองลงไปแม้แต่น้อย เพราะตาของผมไม่ว่าง กำลังจ้องมองดวงตาของอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งที่สุด อาสาเอียงตัวเข้ามาหาผม ดูเหมือนร่างมันจะอ่อนไปหมดตั้งแต่มือผมไปใกล้ส่วนนั้นของมันแล้ว

อืม...ไม่เบาเหมือนกันแฮะ นี่ขนาดผมยังไม่ได้ถอดอันเดอร์แวร์ของมันเลยนะ

“อย่ามอง” อาสาเอ่ย “อย่าเพิ่ง”

“ทำไมล่ะ” ผมเลิกคิ้ว ลูบไล้ไปทั่วต้นขาของอาสา “กูจำได้ว่ากูเคยจับแถวนี้นะ”

อาสาเอียงศีรษะมากระทบกับศีรษะผม คล้ายกับพยายามปกปิดใบหน้าแดงระเรื่อของตัวเอง

“มึงจับ...ข้างหลังไง”

ผมยิ้มกริ่ม “วันนี้จะจับข้างหน้า”

“ทนาย” อาสายังคงเขินอาย

“อาสา...มึงเป็นคนผิดอยู่นะ”

มันกลืนน้ำลาย จริงๆ แล้วตอนนี้ความโกรธของผมถูกความปรารถนาครอบงำไปหมดแล้วล่ะ เพียงแต่ว่าผมสามารถใช้เรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างได้

เพราะตอนมันยอมผม...แม่งโคตรฮอตอ่ะ ฮอตกว่าตอนไหนๆ ที่ผมเคยเจอซะอีก

“กูจะหายโกรธก็ต่อเมื่อมึงทำตัวดีๆ”

“ขี้บังคับ”

ผมแกล้งปล่อยมือจากขานวลเนียนของมัน “หรือวันนี้จะพอแค่นี้”

อารมณ์ของอาสาถูกปลุกแล้ว ผมพูดเพราะรู้ดีว่ายังไงอีกฝ่ายก็ไม่ยอมหยุดอยู่แค่นี้แน่ มันเอื้อมมือมาจับมือผมก่อนจะดึงลงไปแตะที่ต้นขาของมันตามเดิม

สิ่งนั้นว่าพีคแล้ว ยังมีที่พีคกว่า...

มันไม่ได้เลื่อนมือผมไปแตะที่แค่ต้นขาของมัน แต่มันเลื่อนมือผมไปแตะ...ข้างหลังของมันก่อนจะปล่อยมือ

อาสาจ้องมองผมอย่างเขินอายอย่างที่สุด ผมซึ่งสบตามันอยู่ถึงกับกลืนน้ำลาย นี่ช่างเป็นการยั่วยวนขั้นสุดยอด มันไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ขยับตัวนิด สบตาผมหน่อย ก็ทำผมเป็นบ้าได้แล้วอ่ะ

ผมก้มลงจูบมันอีกครั้ง ก่อนจะกระซิบข้างหู

“พร้อมเป็นของกูแล้วใช่มั้ย”

อาสาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้า

“ในลิ้นชักมีถุงยางสั่นและก็เจลสั่น แต่รู้มั้ยว่าอะไรสั่นที่สุด” ผมพูดไปนัวเนียอาสาไป

“มีเจลด้วยเหรอ”

“มีดิ”

“...”

“มึงจะได้เจ็บน้อยที่สุดไง”

“แล้วอะไรที่สั่นที่สุดล่ะ กูหรือเปล่า” เสียงของมันสั่น ตัวของมันก็สั่น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่สิ่งเหล่านี้หรอกที่สั่นที่สุด

“กูต่างหาก”

คำพูดของผมกระตุ้นอารมณ์ของเราทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี ใช่ ผมกำลังรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ การแสดงออกของผมอาจจะดูเชี่ยวชาญกว่าคนที่อยู่ใต้ร่าง แต่ทว่าความตื่นเต้นของผมกลับทำให้ตัวเองสั่นเทิ้ม คิดจินตนาการไปไกลลิบว่าหากทั้งหมดของอาสาเป็นของผมแล้ว ผมจะมีความสุขมากแค่ไหน

เหตุผลที่สั่น บางทีอาจเพราะมีความต้องการอย่างเอ่อล้นมากด้วยก็ได้

“อืมมม” ผมไม่หยุดปรนนิบัติอาสาอย่างอ่อนโยน ไล้ริมฝีปากไปตามเรือนร่างของมัน นุ่มนวลกว่าคู่นอนของผมคนไหนๆ จนผมนึกสงสัยในตัวเองว่าผมกลายเป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ปากของผมทำงานของมันไป ขณะที่อีกมือเริ่มคว้าของที่อยู่ในลิ้นชักซึ่งผมซื้อเตรียมไว้เมื่อนานมาแล้ว

วันนี้ถึงคราวจะได้ใช้มันสักที

ความโกรธและความหึงหวงของผมแปรเปลี่ยนเป็นความปรารถนาอยากจับจองตีตรา

“พร้อมยัง”

“...”

“ชิ้นสุดท้ายนี่ต้องถอดแล้วนะ” ผมกระซิบอีกฝ่ายเสียงพร่า อาสาหลับตาพริ้มเอียงอาย ไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ ผมกลืนน้ำลายมองดูร่างบางเอวคอดกิ่วที่ทำใจผมเต้นแทบบ้า มือของผมขยับลงไปยันบั้นท้ายของอาสาที่ไม่ค่อยมีเนื้อหนังสักเท่าไหร่ นี่มันยิ่งกระตุ้นอารมณ์ผมยิ่งกว่าตอนที่อาสาดึงมือของผมมาจับตรงนี้เอาไว้เองซะอีก

ผมทำสีหน้าพ่ายแพ้ หลงใหลอีกฝ่ายจนโงหัวไม่ขึ้น งูพิษตัวนี้คงเป็นงูพิษที่มีเสน่ห์ที่สุดในชีวิตของผม ความยั่วยวนที่ไม่ได้ตั้งใจแสดงออกของมันเป็นอะไรที่ผมหวงแหน ต้องการเก็บไว้ดูเพียงคนเดียวเท่านั้น

“ขอทีได้ป่ะ” ผมพูดระหว่างที่ค่อยๆ ดึงเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายของอาสาออกไปจากตัว “มึงอย่าไปทำแบบนี้กับใครได้มั้ย”

เมื่อมันล่อนจ้อนต่อหน้าผม มันสะดุ้งตกใจไปหมด ทั้งเขินอาย ทั้งตกใจกับคำพูดของผม

“กูทำอะไรผิดหรือเปล่า” อาสามีสีหน้าไม่สบายใจ

“ไม่”

“...”

“มึงเซ็กซี่เกินไป”

“...”

“มึงต้องเป็นของกูคนเดียว”

ผมลูบไล้สัมผัสตรงกลางหว่างขาของอาสา มันหลับตาพริ้ม ขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางสั่นเทิ้มกับมือไม้ที่จับตัวผมอย่างสะเปะสะปะเป็นหลักฐานชี้วัดได้อย่างดีว่าตรงส่วนนี้ของมันไม่เคยมีใครได้สัมผัสมาก่อน

จะยกเว้นก็แต่มือของเจ้าตัวเองนั่นแหละ

“ทนาย กู...”

“ไม่ต้องเขินแล้ว” ผมส่งเสียงยั่วเย้า “คืนนี้ในห้องนี้มีแค่เรา”

“...”

“ที่รัก” อาสาตื่นเต้นจนขนลุกชูชัน ผมค้นพบจุดอ่อนของอาสาในที่สุด คำว่า ‘ที่รัก’ สร้างความสั่นสะท้านให้มันอย่างยากที่จะมีคำพูดไหนทำได้

สาบานได้ว่าผมไม่เคยตื่นเต้นกับการนอนกับใครขนาดนี้มาก่อน อาสาผิดคาดไปมากสำหรับผม แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกของมันก็ตาม แต่มันก็เก่งมากที่ทำให้ผมจะคลั่งตายในช่วงตลอดระยะเวลาที่ร่างของเราทั้งคู่เกี่ยวประสานและการขยับกายเป็นจังหวะอย่างสุขสม ผมไม่เคยถึงจุดสูงสุดของความปรารถนาขนาดนี้ ไม่เคยคิดอยากกลืนกินใครสักคนมากมายขนาดนี้ คิดอยากจับจองทุกสิ่งทุกอย่างบนตัวของอาสาให้เป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว ไม่ให้ใครได้สัมผัสอีก

และผมไม่อยากให้ใครรู้ว่าอาสาเซ็กซี่และทำให้คนอื่นคลั่งตายได้

ลีลาของอาสาอาจจะอนุบาล แต่ความฮอตของมันพุ่งทะลุปรอทจนเกินมหา’ลัย

“ที่รัก เซ็กซี่ได้มากกว่านี้อีกใช่ป่ะ” เมื่อถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ คำพูดของผมก็ยิ่งส่อแววลามกมากขึ้นเท่านั้น “แสดงออกให้ผมเห็นหน่อย”

“ทนาย มึง...อย่า...”

“...”

“พอ...แล้ว”

ผม...พยายามหักห้ามใจของตัวเองที่สุดแล้วครับ แต่ผมก็ทำไม่ได้

มันโดนซะอ่วม แต่ก็โทษผมคนเดียวไม่ได้นะ

ก็งูพิษอย่างมัน...อยากเซ็กซี่เกินไปทำไมล่ะ








“ไง”

“อะไรไง ไม่ต้องถามเหี้ยไรทั้งนั้น จะนอนต่อ”

“กูอยากรู้ลีลากูอ่ะ”

“ห่าไรทนาย”

“ตอบมา ลีลาให้เท่าไหร่”

“สาด ใช่เรื่องมั้ยเนี่ย”

“ตอบมา นะๆๆ”

“เต็มร้อยเหรอ”

“เออ”

“เก้าสิบเก้ามั้ง”

“ทำไมไม่ให้เต็มไปเลยล่ะวะ”

“เดี๋ยวมึงได้ใจ”

“ฮ่าๆๆ”

“...”

“กูเชื่อ มึงครางเสียงดังดี”

“ไอ้ฟายยยยยยยยย”

“ตอนมึงครางนี่สุดยอดมากอ่ะ อยากฟังอีกทำไงดี”

“กูนอนละ”

“อาสา”

“อะไร”

“วันหลังทำกูโกรธบ่อยๆ นะ”

“ฟวยอะไรทนาย”

“ฮ่าๆๆ”

“...”

“กูรักมึง”

“...”

“หลับเหรอ”

“อืม”

“...”

“รักเหมือนกัน แต่ไว้ค่อยคุยกัน กูง่วงมาก แรงมึงอย่างกับควาย”

“ฮ่าๆๆ”







TBC*






ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12





ตอนที่ 31
พาร์ตของเต




หลังจากผมกับไมล์ปล่อยให้ทนายเคลียร์กับอาสาที่ห้อง เราทั้งสองก็มานั่งตบยุงอยู่ที่หน้าหอสาม เนื่องด้วยไม่มีใครอยากออกไปไกลจากหอเท่าไหร่ อีกทั้งเราก็กลัวว่าพวกมันจะไม่คืนดีกัน จึงต้องยังอยู่ใกล้ๆ เผื่อจะช่วยอะไรได้

อาสากับทนายเงียบมาก ผมกับไมล์เอาแต่มองหน้าและคุยกันว่าป่านนี้พวกมันจะดีกันหรือยัง

“มันรักกันมาก เดี๋ยวก็คงดีกันนั่นแหละ” ผมพูดให้ไมล์สบายใจ

“ถ้ามีเหี้ยอะไรแปลกๆ ทนายมันจะโทรหาเราเองใช่ป่ะวะ”

“ใช่”

ผมลอบแตะแก้มของไมล์แบบยิ้มๆ มันปัดมือของผมออก

“สัด นี่หน้าหอ เดี๋ยวมีคนมาเห็น”

ผมแบมืออย่างงงงัน “มึงกลัวใครมาเห็น”

“คนอื่นๆ ไง”

“กูนึกว่ามึงกลัวแค่อาสากับทนาย เพราะมึงกลัวพวกมันจะล้อ”

“...”

“แต่นี่มึงกลัวสายตาทุกคนเลยเหรอ”

ไมล์ยักไหล่ ก่อนจะก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ ไม่รู้อะไรเลยว่าผมกำลังคิดมากกับสิ่งที่มันเพิ่งทำ ใช่ครับ แค่มันปัดมือผมออกนั่นแหละที่ทำผมคิดหนัก

ผมถึงกับซึมไปเลย แต่ไมล์มันไม่รู้

เราสองคนปล่อยให้เวลาผ่านไป เมื่อหน้าหอเริ่มมียุงเยอะ พวกเราก็ย้ายกันไปนั่งบริเวณใต้ถุนที่มีเพียงซูเปอร์มาร์เก็ตเปิดอยู่ ไมล์ยังไม่รู้ว่าภายในใจของผมกำลังมีความตึงเครียด เพราะมันมัวแต่เล่นเกม ที่ผ่านมาแม้ว่าเรื่องราวระหว่างผมกับมันจะไม่ได้ก้าวหน้าไปไกลเกินกว่าจูบในคืนนั้น แต่ผมก็ไม่คิดว่าไมล์มันจะตัดฉับด้วยการบอกผ่านการยักไหล่ว่าเรื่องราวของเราไม่ควรเปิดเผยให้ใครได้รู้

แปลว่ามีแต่ผมที่จริงจังคนเดียว และมันก็แค่เล่นๆ ไปกับผมเพราะเพิ่งอกหักจากอาสางี้เหรอ

ระหว่างนั้นผมทักไปหาทนาย เพื่อที่จะบอกมันว่าถ้ามีปัญหาอะไรก็เรียกพวกผมกลับเข้าไปได้ มันไม่อ่านและก็ไม่ตอบ บางทีมันอาจจะกำลังตั้งใจง้ออาสาอยู่ก็ได้

“น้องอิ๊งเขาถามมาว่าทำไมมึงไม่ตอบไลน์เขาเลย” ไมล์พึมพำ

“อืม กูจะตอบเขาเดี๋ยวนี้แหละ”

อาสามันไม่ได้ประชดเป็นคนเดียวหรอก ผมก็ประชดเป็นเหมือนกัน ผมกดเข้าแอพฯ สนทนาระหว่างผมกับน้องอิ๊งทันที บนจอเป็นอะไรที่แชตหนักไปทางซ้ายมากครับ เพราะน้องอิ๊งเป็นฝ่ายทักผมมาอย่างเดียว ส่วนแชตทางฝั่งขวาซึ่งเป็นฝั่งของผมแทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย

ที่ผมทำแบบนั้นเพราะไม่อยากให้ความหวังเธอ แต่ในเมื่อไอ้ไมล์มันต้องการทำตัวเป็นพ่อสื่อนัก ผมก็จะลองทำตามสิ่งที่มันต้องการดูก็ได้

“ยืมโทรศัพท์หน่อยดิ” จู่ๆ ไมล์ก็พูดขึ้นมา

“ทำไมอ่ะ”

“โทรหาเพื่อนแป๊บหนึ่ง”

“โทรศัพท์ของมึงเป็นไร”

“โทรออกไม่ได้ เป็นไรไม่รู้”

ผมส่งโทรศัพท์ให้มัน ผมยังตอบน้องอิ๊งได้ไม่ถึงสองประโยคเลย ไอ้ไมล์ก็แย่งโทรศัพท์ของผมไปซะแล้ว

“พี่เตพี่ไมล์หวัดดีครับ” คนที่มาทักเราสองคนก็คือไอ้โอ๊ค เด็กปีหนึ่งคณะเดียวกันกับเชี่ยทนาย “เห็นทนายมันมั้ยพี่ พอดีผมซีรอกซ์สรุปบทเรียนมาให้”

“เห็นนะ มันอยู่...” ไมล์กำลังจะพูด แต่ผมตะครุบปากมันเอาไว้ได้ทัน

“มันเคลียร์กับอาสาอยู่ ยังไม่ว่าง”

“อ๋อเหรอครับ โอเคครับ”

โอ๊คเดินผ่านไป ไมล์หันมามองผมด้วยสายตางงงัน

“มึงไม่รู้หรอกว่าพวกมันเคลียร์กันถึงขั้นไหน ยังไงก็ต้องป้องกันเอาไว้ก่อน”

จู่ๆ ไมล์ก็ทำสีหน้าเก้อกระดากขึ้นมา ผมหันไปทางอื่นทันที ระหว่างเราเกิดเดดแอร์ขึ้นมาซะเฉยๆ

“ผ่านมากี่ชั่วโมงแล้ววะ” ไมล์ถาม

“สามมั้ง”

“ทนายยังไม่ตอบอีกเหรอ”

“ใช่”

ไมล์ตบยุงเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ ผมรู้สึกสงสารมันขึ้นมา ควรพามันไปไหนสักที่ดีมั้ยเนี่ย ถ้ายุงกัดมันจนเลือดหมดตัวนี่ผมควรทำยังไง

“มึงไม่โทรหาเพื่อนแล้วเหรอ” ไมล์กำโทรศัพท์ในมือผมแน่น ไม่ยอมยกขึ้นมาโทรสักที ผมก็เลยถามอย่างสงสัย

“เอ่อ...”

ผมฉวยโทรศัพท์ของตัวเองคืนมาก่อนจะเลิกคิ้วมองหน้าอีกฝ่าย

“หวงกูก็บอก ไม่เห็นต้องทำให้มันยุ่งยากมากเรื่อง”

“กูไม่ได้...”

สายตาโหดๆ ของผมปรามคำพูดแก้ตัวของไมล์อย่างได้ผลชะงัดนัก ไมล์คอตก ทำสีหน้าเหมือนเด็กโดนจับได้ว่าขโมยของเล่น

“กูงอนมึงอยู่นะ” ผมเปรย

“ว่าไงนะ”

“ทำไมมึงต้องสนใจสิ่งที่คนอื่นคิดด้วย”

“...”

“ทนายกับอาสาที่มึงควรแคร์มากที่สุด มึงยังไม่แคร์อะไรขนาดนั้นเลย อีกอย่างตอนที่พวกแม่งรู้ว่าเราสองคนเริ่มแปลกๆ กัน มันก็ไม่ได้ว่าอะไรสักคำ”

“...”

“นี่มึงเป็นอะไรของมึงวะ”

ได้ทีพูดแล้วผมก็ขอพูดหน่อยเหอะ ตั้งแต่มันกลับมาจากงานกิจกรรมของคณะ ไมล์มันก็แสดงออกครึ่งๆ กลางๆ กับผม เรื่องนี้โทษอาสาที่มาอาศัยอยู่ในห้อง 204 ของเราคนเดียวก็ไม่ได้ เพราะถ้าไมล์มันเล่นไปกับผมด้วย จะเร็วจะช้ายังไงมันก็ต้องคืบหน้า แต่นี่เหมือนกับมันออกตัวแรงแต่เบรกเองอย่างกะทันหัน ผมกับมันจึงไม่มีอะไรคืบหน้ามากไปกว่าจูบและบทสนทนาซึ่งมีคำว่าคิดถึงในช่วงที่เราสองคนห่างกัน

แทนที่จะมีคำพูดของไมล์มาช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่กลับมีเสียงแจ้งเตือนไลน์ดังขึ้นแทน ผมมองดูว่าใครทักมา และทันทีที่อ่านก็แทบจะขว้างโทรศัพท์ทิ้งด้วยความอิจฉา

LAWYER : ครั้งแรก 3-0 ว่ะ อาสายังใหม่อยู่
LAWYER : ทำกันที่ห้องกูนะ มึงกลับมาห้องมึงได้แล้ว


ไมล์ยื่นหน้ามาอ่าน แต่มันทันเห็นแค่ผลสกอร์

“คืนนี้มีแข่งเหรอวะ” ไมล์ทำสีหน้างง “ใครชนะอ่ะ ตั้งสามประตูแน่ะ”

แม้ว่ามันจะเคยหลงอาสาเข้าขั้นหัวปักหัวปำ แต่เรื่องนี้สำหรับไอ้ไมล์ยังเป็นอะไรที่ใสและบริสุทธิ์โคตรๆ มันไม่เคยทั้งข้างหน้าและก็ข้างหลัง เรื่องนี้ผมรู้ดี

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหัวร้อน ทั้งอิจฉาไอ้ทนายและก็เป็นห่วงอาสา กลัวว่ามันจะน็อค ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเชี่ยทนายแม่งกระหน่ำเพื่อนผมติดกันขนาดนั้นเลยเหรอ

สาดดดดดดดดดดดดดด กูรู้สึกแพ้เลยเนี่ย

“มึงจะกลับห้องมั้ย ทนายมันพาอาสากลับห้องตัวเองแล้ว” แถมยังขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดกันไปแล้วด้วย

“เอาสิ ง่วงจะตายห่าอยู่แล้ว”

“แต่เดี๋ยวกูออกไปข้างนอกนะ”

“มึงจะไปไหน”

“ร้านพี่น้อย”

“สัด ดึกแล้วนะ”

“กูเศร้า”

ผมโบกมือใส่ไมล์ไปแบบเลี่ยงๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินหนี ทิ้งให้มันนั่งงงอยู่ตรงนั้นคนเดียว ผมคิดว่าอีกสักพักยังไงมันก็คงกลับขึ้นไปบนห้อง ผมยังไม่มีอารมณ์ที่จะนั่งอยู่ในห้องเดียวกันกับมัน เพราะงั้นร้านเหล้านี่แหละคือคำตอบของผมในเวลานี้







ร้านเหล้าน้อย

คนในร้านเห็นหน้าผมจนชิน แทบจะยกเครื่องดื่มแบบเดิมมาเสิร์ฟให้ด้วยซ้ำ ผมเบรกๆ พนักงานเอาไว้ บอกว่าคืนนี้ขอลดปริมาณลง ขอดื่มแค่พอให้หลับสบาย อีกอย่างช่วงนี้ใกล้จะสอบไฟนอลแล้วด้วย มีงานหลายอย่างที่ผมยังเคลียร์ไม่เสร็จ

ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ขอมานั่งเป็นพระเอกเอ็มวีสักหน่อย ตั้งแต่อกหักจากอาสา ร้านพี่น้อยก็เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของผม นี่ถ้าผมอกหักจากไอ้เชี่ยไมล์อีก ผมจะสถาปนาร้านนี้เป็นบ้านหลังแรก และจะไม่ยอมกลับไปที่ห้อง 204 อีก

แปลกแต่จริงที่ความรักทำให้มิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมห้องเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดนี้

“พี่น้อยห้องนั้นยังว่างใช่ป่ะ” ผมพูดกับเจ้าของร้านซึ่งเดินผ่านมาพอดี

“สัด ยังจะถามอีกเหรอ ห้องนั้นเป็นห้องของมึงไปแล้วมั้ง”

“คืนนี้ขอนอนที่นี่อีกได้เปล่า”

“จะทำเหี้ยไรก็ทำ”

“...”

“ยังไงก็ใกล้จะสอบแล้ว ควบคุมตัวเองบ้างนะไอ้หนุ่มนักรัก”

“เข้าใจแล้วครับ”

ถ้าผมมีเงินคงมาขอเป็นหุ้นส่วนกับร้านนี้แล้วล่ะ พี่น้อยเปรียบเสมือนพี่ชายคนสนิทของผม เวลาผมมีปัญหาทีไร พี่มันก็มักจะให้ที่พักพิงแก่ผมเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มที่มีมาเติมไม่อั้นและก็ที่นอน ซึ่งบ่อยครั้งที่ผมดื่มจนเมาหัวราน้ำ แต่ผมก็ไม่เป็นไรเพราะพี่น้อยมีที่นอนให้ผมตลอด

ในหัวของผมตอนนี้มีแต่ไอ้เชี่ยไมล์ล้วนๆ ยิ่งผมรู้ใจตัวเองว่าชอบมัน ผมก็ยิ่งเอามันออกไปจากหัวไม่ได้ มันมากกว่าตอนที่ผมชอบอาสาหลายสิบหลายพันเท่า ความทรงจำระหว่างผมกับไมล์มีมากกว่าความทรงจำของผมกับอาสา ผมแคร์มันมากเกินไปมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และยิ่งพอผมเริ่มเปิดใจที่จะรับมันเข้ามา ใจของผมก็ยกให้มันไปหมดทั้งดวงอย่างไม่ได้คิดจะเผื่อใจอะไรเอาไว้

ถ้าไม่ใช่ไอ้ไมล์ผมก็คงไม่รู้สึกแบบนี้

‘เต อยากแดกเหล้าปั่นหลังมอว่ะ พาไปหน่อยดิ๊’

‘กูเศร้านะ แต่กูเศร้าน้อยลงเพราะกูมีมึง’

‘มึงไม่จีบอาสาเหรอวะ ทำไมถึงเอาแต่มาอยู่กับกูล่ะ’

‘จะมีใครยอมกูเท่ามึงอีก กูว่าไม่มีหรอก เพราะงี้ไงมึงถึงเป็นเพื่อนรักของกู ไอ้เชี่ยเต’

หลายประโยคจากคำพูดของไอ้ไมล์เริ่มลอยเข้ามาในหูของผม มันเป็นคำพูดในช่วงระยะเวลาที่เราสองคนอยู่ด้วยกัน ช่วงที่ไมล์เพิ่งสารภาพรักกับอาสาไป ผมก็ตัวติดกับมันเป็นตังเม ตอนนั้นผมรู้สึกเป็นห่วง กลัวมันทำอะไรบ้าๆ และที่สำคัญไมล์มันไม่เหมือนผม มันควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ เพราะมันเกิดมาท่ามกลางความเพอร์เฟ็กต์ไปทุกสิ่งอย่าง ผมจึงต้องตามคุมมันแจ

ตามจนลืมไปบางขณะว่าตัวเองก็ชอบอาสาเหมือนกัน

หรือผมเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนนั้น ทำไมตอนที่รู้ว่าทนายกับอาสาคบกันผมถึงยอมได้ง่ายๆ ไม่โมโห ไม่โวยวาย เข้าใจทุกอย่างโดยที่พวกมันสองคนไม่จำเป็นต้องมาขอโทษหรืออธิบายให้มากความ

เพราะลึกๆ ในใจแล้วผมไม่ได้ชอบอาสาขนาดนั้นหรือเปล่าวะ

หรือเพราะลึกๆ ในใจผมชอบใครอีกคนมานานมากแล้ว แต่ผมไม่รู้ตัว

แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับผม ที่มันยอมให้ผมจูบ ยอมซื้อโทรศัพท์ใหม่มาคุยกับผม ก็เป็นเพียงแค่ความหวั่นไหวชั่วครู่ ผมซวยที่ดันเข้าไปถูกจังหวะเอง และซวยที่เผลอรู้ตัวว่าชอบไอ้เหี้ยนี่มากไปแล้ว แต่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

ถ้าไม่ใช่ไมล์ ผมก็ไม่รู้สึกแบบนี้กับใครอีกแล้ว

บทคนมันจะนก ก็นกซ้ำนกซ้อนเลยเว้ยยยย

ผมยกแก้วขึ้นดื่มหนักๆ อีกหลายอึก เห็นทีดวงความรักของผมคงจะกุด บาปกรรมที่เคยล้อเลียนอาสาเอาไว้คงเริ่มเล่นงานผม ผมคงเป็นฝ่ายนกแทนมันไปแล้ว เพราะอาสามีคนมาหักปีกของมันเป็นที่เรียบร้อย แต่ผมกลับเป็นคนที่เพิ่งถูกใส่ปีกเข้ามา
ปีกสองชั้นในระยะเวลาอันสั้น

ผมดื่มจนคอพับคออ่อน เริ่มรู้สึกว่ามันมากไปจึงขอพี่น้อยไปอาศัยห้องหลังร้านนอน ห้องนี้ไม่ใช่ห้องธรรมดาๆ นะครับ เป็นห้องพักที่สะอาด พี่น้อยทำเอาไว้เผื่อคนอย่างผมนี่แหละ เมาแต่กลับหอไม่ไหวก็มานอนในนี้

ผมทิ้งตัวลงนอนแล้วหลับตาเผื่อจะลืมใบหน้าของไอ้เชี่ยเตได้บ้าง ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาการกระทำของมันทำเอาผมไม่แน่ใจอยู่หลายอย่าง พอมาถึงวันนี้ทุกอย่างคงชัดเจนแล้วสินะ จูบในคืนนั้นก็แค่เรื่องหวานๆ ประเดี๋ยวประด๋าว สำหรับไมล์อีกเดี๋ยวก็คงผ่านไป แต่สำหรับผมคงจะจำไปอีกนาน

“เฮ้ออออ” ผมนอนเอาแขนมาปิดหน้า สักพักก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามา คนคนนั้นก็คือน้องอิ๊ง!

ผมสะดุ้ง ตกใจอย่างแรงตอนที่เด้งตัวลุกขึ้นมานั่ง น้องอิ๊งเธอดูเมาๆ ผมรีบผลักตัวเธอออกตอนที่เธอเอียงร่างเข้ามาหา

“พี่เต อิ๊งบังเอิญมาดื่มร้านเดียวกันกับพี่เตค่ะ”

“...”

“อิ๊งบังเอิญมานอนห้องเดียวกันกับพี่เตอีกได้มั้ยคะ”

“ไม่ได้ครับอิ๊ง” ผมรีบปฏิเสธ “พี่เมาอยู่ตอนนี้ มันไม่ดีกับตัวอิ๊งนะ”

วันนี้เธอแต่งตัวโป๊มากจนสัญชาตญาณดิบเถื่อนของผมมันต่อต้านเหตุผล ผมพยายามไม่มองและดันตัวเธอออกไปห่างๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงโดนผมจัดหนักไปแล้ว แต่นี่ไม่ใช่

แค่คิดถึงหน้าไอ้ไมล์ ผมก็ไม่กล้าทำอะไรอิ๊งอีกแล้ว

“พี่เต อิ๊งต้องการพี่เต” เธอเมามาก มือของเธอเริ่มโอบรอบคอผม เตรียมพร้อมจะจูบแลกเอ็นไซม์กับผมทุกเมื่อ “อิ๊งคิดถึงพี่เตมาก คิดถึงไม่ไหวแล้วค่ะ”

“แต่พี่มีเจ้าของแล้วครับ”

“ไม่จริง พี่เตยังไม่มีแฟน”

“พี่ให้มันเป็นเจ้าของพี่ ทั้งๆ ที่มันยังไม่ได้เป็นอะไรกับพี่นี่แหละ”

“ไร้สาระ!” น้องอิ๊งโวยวายอย่างเมาๆ “ความรักมันไร้สาระ เรามาสนุกกันชั่วข้ามคืนเถอะค่ะพี่เต”

ผมคิดว่าเธอไม่ได้ชอบผมหรอกครับ แต่เธอหลงใหลสิ่งที่อยู่บนร่างกายของผมมากกว่า ผมคงเป็นวัตถุทางเพศของเธอ สามารถตอบสนองความต้องการของเธอได้อย่างตรงใจ ทว่าวันนี้ไม่ว่าจะยังไง ผมก็ไม่สามารถทำตามความปรารถนาของเธอได้

แค่คิดว่าเรื่องนี้จะทำให้ผมต้องห่างจากไอ้ไมล์ไปอีกหลายร้อยโยชน์ ใจผมก็จะขาดแล้ว

ตอนนี้เรื่องระหว่างผมกับมันไม่ได้ใกล้ชิดจนใกล้จะคบกันเลยด้วยซ้ำ

“อิ๊ง” เสียงที่สามดังขึ้นอย่างกะทันหัน

“ไมล์” ผมอ้าปากค้าง ไม่คิดว่ามันจะโผล่มาอยู่ที่นี่ตอนนี้

“เดี๋ยวพี่พาอิ๊งไปหาเพื่อนนะ”

“พี่ไมล์!”

“...”

“มาขัดจังหวะทำไม อิ๊งกำลังจะได้กันกับพี่เต!”

คำพูดนั้นกระแทกหน้าผมเต็มๆ ผมกลืนน้ำลายก่อนจะรวบรวมสติช่วยไมล์ลากตัวน้องอิ๊งออกไป

“มึงอยู่นี่แหละ” ไมล์เอ่ยเสียงเข้มกับผม

ผมทรุดตัวนั่งลงนิ่งๆ ไม่ยอมขยับเลยแม้แต่นิดเดียว

ไมล์พาอิ๊งออกไปจากห้อง ความวุ่นวายที่อยู่หน้าห้องทำให้ผมรู้ว่าอิ๊งเมามายเพียงใด เธอเริ่มโอดครวญและก็สะอึกสะอื้น ผมได้ยินเสียงเธอร้องตะโกน

“พี่ไมล์หักหลังอิ๊งแบบนี้ได้ไง! พี่ไมล์ก็ชอบพี่เตเหรอ! ชอบไอ้นั่นพี่เตเหมือนอิ๊งเหรอ!”

วะ...ว่าไงนะ ระหว่างที่ผมงงงัน ไมล์ก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมปิดประตูพอดี สีหน้าของมันดูปั้นยาก อาจเป็นเพราะอิ๊งเพิ่งตะโกนประโยคสุดท้ายไล่หลังมาพอดี

ไอ้นั่นของผมคือ...ไอ้นี่หรือเปล่าวะ ผมมองลงไปที่หว่างขาของตัวเอง

“สัด” ไมล์ทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ผม “กูถามได้มั้ย นี่ถ้ากูมาไม่ทัน มึงจะทำอะไรน้องโรงเรียนกูคนนี้หรือเปล่า”

ผมส่ายหน้า “ไม่ทำอ่ะ”

มันทำสีหน้าไม่เชื่อ “เสือเตน่ะเหรอจะไม่ทำ”

“กูทำไม่ได้จริงๆ”

“...”

“ตอนนี้กูอยากทำแต่มึง กูไม่อยากทำคนอื่น”

ไมล์มีทีท่าเหมือนอยากจะสำลักอะไรบางอย่างออกมา แต่ไม่มีให้สำลัก

“ฟวยไร เชี่ยเต”

“กูพูดจริง”

“...”

“กูชอบมึงไปแล้ว กูก็อยากทำเรื่องนั้นกับมึงดิ”

คำสารภาพตรงๆ ของผมทำเอาไมล์ถึงกับมีสีหน้าเก้อเขินเล็กๆ

“กูมารับมึงกลับ”

“กูเอารถมา”

“ฝากรถมึงไว้ที่นี่แหละ พี่น้อยคือพ่อมึงนี่ เขาดูแลรถมึงให้อยู่แล้ว”

แค่มันมารับผมก็ดีใจแล้วล่ะ เรื่องอื่นเอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังแล้วกัน ผมเดินตามหลังมันต้อยๆ เอื้อมมือไปจับมือของมันเอาไว้ตลอดช่วงระยะเวลาที่เดินออกจากร้าน

แปลกแต่จริง...มันไม่ยอมสะบัดมือผมออกเลย







“กูขับเองก็ได้นะ”

“มึงเมาอยู่”

“เปล่าสักหน่อย”

“...”

“ถ้ากูเมาคงหน้ามืดปล้ำน้องอิ๊งไปแล้ว”

เอี๊ยดดดดดดดดดดดดด

จู่ๆ คนขับอย่างไมล์ก็เหยียบเบรกกะทันหันจนหัวผมแทบจะทิ่มกับคอนโซลรถ ผมหันไปมองอีกฝ่ายอย่างตื่นตระหนก ไม่คิดว่ามันจะทำแบบนี้

ผมไม่เคยเห็นมันในมุมนี้มาก่อน

“มึง...” ไมล์มีทีท่าว่าจะด่าผม แต่ก็ไม่ด่า มันกลืนคำพูดลงคอไปซะงั้น

“มีไรล่ะ กูรอฟังอยู่”

“...”

“จริงๆ เรื่องเราสองคนเคลียร์ให้มันชัดๆ ไปเลยก็ได้นะ กูไม่...”

ผมยังไม่ทันพูดจบประโยค เชี่ยไมล์ก็จู่โจมด้วยการประทับริมฝีปากของมันลงบนริมฝีปากผมเป็นที่เรียบร้อย ผมลืมตาเบิกโพลงอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่ามันจะจูบแบบนี้และจูบตรงนี้!

มันผละออกพร้อมๆ กับกะพริบตาปริบๆ มองหน้าผม

“กูพอแล้ว ช่างหัวแม่งทุกอย่างแล้ว”

“...”

“เต มาเป็นแฟนกูเถอะ”

ผมอ้าปากค้าง เมื่อกี้ผมยังดื่มเหล้าเพราะเศร้าเรื่องมันอยู่เลย จู่ๆ มันมาขอผมคบได้ยังไง

“เรื่องอื่นค่อยคิด แต่ตอนนี้กูอยากให้มึงมาเป็นแฟนกูแล้ว” ไมล์กลืนน้ำลาย แกล้งทำหน้าเย่อหยิ่ง “นะ” แต่ทำไมประโยคดูอ้อนๆ ซะอย่างนั้น

“เกิดอะไรขึ้น” ขอผมถามหน่อยเหอะ “ทำไมกะทันหัน”

“ไม่รู้” ไมล์เอามือทึ้งหัว “ที่กูไม่ชัดเจนมาตลอดทั้งอาทิตย์ เพราะกูกลัวผิดหวัง”

“...”

“เรื่องระหว่างเรามันไวเกินไป”

ผมปลดเข็มขัดนิรภัยของมันก่อนจะดึงตัวมันเข้ามากอด ริมฝีปากของผมฝังตรงขมับของไมล์

“มันไม่ได้ไว แต่มันเริ่มนานแล้ว”

“...”

“กูนี่แหละเริ่มเอง ไม่มีใครรู้แม้กระทั่งตัวกู”

ไมล์หันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

“เชื่อกูเถอะ กูพร้อมที่จะอยู่กับมึง กูพร้อมจะดูแลมึงขนาดนี้ ยังไงกูก็หนีมึงไม่พ้น” ผมพูดให้มันเข้าถึงความรู้สึกที่อยู่เบื้องลึกในจิตใจของผม

ไมล์จ้องตาผมอย่างสุดซึ้ง เหมือนเรื่องกังวลที่มันเคยแบกเอาไว้เริ่มทยอยหายไปทีละนิดๆ ผมลูบหัวมันอย่างปลอบประโลม ก่อนหน้านี้ผมเองก็คิดมากและคิดไปเองก่อนเหมือนกัน รู้สึกแปลกๆ ที่ไมล์มันคิดได้และเป็นฝ่ายเข้ามาหาผม แต่ก็ยังดีกว่าการที่มันจะปล่อยผมหรือเทผมทิ้งไป

ผมไม่ลืมจูบในคืนนั้นง่ายๆ และจูบเมื่อกี้ผมก็จะไม่ลืมด้วย

“อยู่กันสองคนแค่นี้ จะทำให้เรื่องมันยุ่งยากมากมายไปทำไมวะ” ผมเปรยเบาๆ “เราอยู่ด้วยกันมามาก เรารู้กันอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นยังไง”

“...”

“ขอร้องนะไมล์ อย่าทำให้เรื่องยุ่งยากมากไปกว่านี้อีกเลย ใจกูมันจะไม่ไหวเอา”

“ใจกูเนี่ยจะไม่ไหว” ไมล์เอ่ยบ้าง “เพราะมึงยังไม่ได้ตอบตกลงคบกับกูเลย”

เออว่ะ “คบครับ คบ” ผมรีบตอบ

ไมล์เอียงคอมาซบกับไหล่ของผม “กูขอโทษนะ กูกลัวผิดหวังจริงๆ เพราะความรู้สึกเวลานกนี่มันไม่ได้หายง่ายๆ นะ”

“มึงจะนกเรื่องกูได้ไงวะ ในเมื่อกูยอมมึงขนาดนี้”

“...”

“ก่อนหน้านี้ถ้ามึงสั่งให้กูคบกับมึง กูคงคบอ่ะ”

“โม้สัด” ไมล์ตีแขนผม ก่อนจะผละออกไป มันจ้องมองผมเนิ่นนานอย่างผิดปกติจนผมต้องเอ่ยท้วง

“มีอะไรเหรอ”

ไมล์กลืนน้ำลาย มันดูเก้อกระดากกับคำพูดต่อไปของมันมาก อะไรวะ นี่มันชักจะทำให้ผมตื่นเต้นแล้วนะ

“กูเพิ่งรู้ว่ากูหวงมึงมากนะเต”

“หา?”

“เพราะงั้น...” ไมล์ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ มือของมันเริ่มจับไปที่เป้ากางเกงของผม

เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย

มึงหรือเปล่าที่เป็นฝ่ายเมาเอง ไอ้เชี่ยไมล์


“ไมล์ มึง...” แม้ผมจะต้องการ แต่ผมก็ต้องร้องเพื่อเรียกสติของอีกฝ่าย “มัน...ไม่ไวไปเหรอ”

“มึงบอกว่าเรื่องระหว่างเราสองคนมันเริ่มนานแล้วไม่ใช่เหรอ”

เหี้ย...แซ่บว่ะ ใจผมระทวยไปหมดตอนที่มือของมันเริ่มปลดซิปกางเกงของผม ผมขยับริมฝีปากเข้าไปจูบแลกลิ้นกับริมฝีปากบางนั้นอย่างเร่าร้อนระคนตื่นเต้น

บนรถเลยเหรอวะ...เอาจริงดิ มึงจะไม่สบายตัวนะไมล์

แม้ผมจะคิดแบบนั้นแต่มือของผมก็เริ่มจับไหล่ทั้งสองข้างของไมล์เอาไว้ เตรียมพลิกให้มันไปอยู่อีกเบาะเพื่อผมจะได้เป็นฝ่ายกระทำ แต่มันกลับจับแขนให้ผมหยุด

“อะไร” ผมอดพึมพำอย่างงงงันไม่ได้

“ใจเย็น ไอ้เสือ” ไมล์ยิ้มมุมปากอย่างเขินอาย “วันนี้แค่มือกูก็พอ”

เซอร์ไพรส์สัดอ่ะ นี่มันเซอร์ไพรส์ผมไปกี่เรื่องแล้ววะวันนี้ เอาเป็นว่าผมไม่สนใจหรอกครับว่ามันจะเร็วไปหรือจะอะไรก็ตามแต่ แค่ผมกับไมล์คิดเหมือนกันแค่นั้นผมก็พอใจมากแล้ว

เพราะยังไงเราทั้งคู่ก็ต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน...

เราเกิดมาเพื่ออยู่ห้อง 204 ของหอสามและตัวติดกัน...

“เฮ้ย!” ผมร้องลั่นเมื่อศีรษะของไมล์เริ่มก้มลงต่ำไปยังหว่างขาของผม

“กูขอโทษนะที่ทำมึงคิดมาก”

“...”

“หวังว่าสิ่งที่กูทำ จะทำให้มึงให้อภัยกู”

ถ้ามึงแซ่บขนาดนี้กูคงไม่ให้อภัยอย่างเดียวแล้วล่ะ กูคงยอมมึงทุกอย่างจริงๆ

ริมฝีปากของผมที่อ้าเผยอ เสียงครางที่แผ่วเบาแต่ทว่ามีความสุขถึงขีดสุด และมือของผมที่กอบกุมเส้นผมของไมล์จนยุ่งเหยิงไปหมดเพื่อระบายความสราญทางอารมณ์

ไมล์หยิบทิชชูมาเช็ดตรงนั้นให้ผมหลังจากเสร็จสิ้น ส่วนผมก็หยิบทิชชูมาเช็ดปากของไมล์สลับกันไป อดไม่ได้ที่จะมองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ

“อย่ามองแบบนั้นดิวะ”

“มึงคงหวงกูมากจริงๆ”

“หุบปากไปเลย”

“หวงแล้วทำไมยังบอกให้กูตอบไลน์น้องอีก”

“กูถึงกับยึดโทรศัพท์มึง มึงไม่เห็นเหรอ”

“คนอะไรปากไม่ตรงกับใจ”

“นี่ก็ตรงแล้วไง”

ผมหัวเราะในลำคอก่อนจะจูบอย่างดูดดื่มเพื่อให้รางวัลมัน

“เก่งมากอ่ะ” ผมกระซิบข้างหูไมล์ มันหน้าแดงก่ำ

“หุบปาก”

“...”

“อย่าไปบอกใครได้มั้ย”

“ฮ่าๆๆ” รู้สึกดีที่มันเขินอายเรื่องนี้ “กูไม่บอกใครหรอกว่าแฟนกูแซ่บ”

“...”

“เดี๋ยวแม่งฮอตเหมือนอาสาขึ้นมา กูนี่ตายห่าเลยนะ”

ผมเลื่อนใบหน้าไปกระซิบข้างหูมันอีกครั้ง

“แซ่บกับกูคนเดียวก็พอนะไมล์ อยากทำอะไรกูมึงทำเต็มที่ได้เลย ไม่ต้องเขิน ไม่มีใครรู้นอกจากกู”

มันดันหน้าของผมออกไป ผมเลื่อนตัวไปดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้มัน

ระหว่างที่ใบหูของผมอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าของมัน เชี่ยไมล์ก็กระซิบแผ่วให้ผมได้ยินเพียงคนเดียว

“ไอ้นั่นมึง...เป็นของกูคนเดียวแล้วนะ”

“...”

“มึงห้ามให้มันไปยุ่งกับคนอื่นเชียว”

“ให้กูสั่งมันเหรอ” ผมยิ้ม

“ใช่ มันเป็นของมึงนี่”

“มึงต่างหากที่เป็นคนสั่งมัน”

“...”

“ตอนนี้มันจะตื่นหรือมันจะหลับ ก็ขึ้นอยู่กับมึงแล้วไมล์”

“กูว่ากูออกรถดีกว่า”

“ดูเหมือนมันจะตื่นขึ้นมาอีกแล้วนะ”

“...”

“ไปต่อที่ห้องดีมั้ย”

“ฟาย ไม่เอา”

ก่อนรุ่งสางทนายได้รับข้อความไลน์จากผม

TAECHIT : ยังไม่ 1-0 แต่ก็คืบหน้ามากแล้ว
TAECHIT : กูต่อให้มึงก่อนไอ้สัด
TAECHIT : ป.ล. คะแนนความแซ่บของไมล์ เต็มสิบกูให้ล้านไปเลย
TAECHIT : หลงหัวปักหัวปำ ขอเข้าสู่สมาคมพ่อบ้านรักเมียหลงเมียอย่างเต็มตัว






TBC*

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12




ตอนที่ 32




ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ผมยอมรับว่าผมสดชื่นมาก

อาสายอมผมทุกอย่าง ตอนนี้มันไม่ได้เสพติดแค่จูบผมอย่างเดียวแล้วล่ะ แต่มันเสพติดเรื่องนั้นที่ทำกับผมด้วย แม่งโคตรร้อนแรงจนผมทั้งรักทั้งหลง ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะคิดเรื่องอื่นเลย

เช้าวันนี้ก่อนที่ผมจะไปเรียน ผมกำลังคลอเคลียนัวเนียอาสาเผื่อจะมีลุ้นอีกสักรอบ (ยอมรับว่าหื่น ก็อาสามันขาวน่าฟัดอ่ะ) ทว่าจู่ๆ อาสาก็จับศีรษะผมให้หยุดการกระทำ มันหยิบโทรศัพท์ที่แผดเสียงดังลั่นของผมขึ้นมา หน้าจอโชว์เบอร์แม่หรา

ผมถอนหายใจ ทิ้งตัวลงไปนอนหงายตรงอีกฝั่งของเตียงทันที

“ทำไมไม่รับสายแม่เลย” อาสาถาม

“เพราะยิ่งรับก็จะยิ่งทำให้กูเครียด” ผมตอบ

“เรื่องต้องสอบทุกตัวให้ได้เอใช่ป่ะ”

“ใช่” ผมพ่นลม “แม่กูเอาจริง”


อาสากะพริบตามองผม ก่อนจะตัดสินใจฉุดตัวผมให้ลุกขึ้นนั่ง “งั้นเราก็ต้องจริงจังเหมือนกัน”

“อย่าเพิ่งดิ กูหมกมุ่นอยู่กับการทำกับมึงอยู่เนี่ย”

ผมถูกอาสาตีแขนดังเพียะ

“มันไม่เท่เลยนะเว้ย เอาเรื่องเรียนให้รอดก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง” อาสาจับเสื้อผ้าของผมโยนมาให้ “รีบไปอาบน้ำซะ ไปตั้งใจเรียนกัน หลังจากวันนี้เป็นต้นไป มึงกับกูต้องอ่านหนังสือกันทุกวัน”

“แต่ว่า...”

“เราเสียเวลากันมามากแล้วนะ อีกอย่าง มึงก็ได้กูไปแล้วสามวันติด มึงอย่ามาโลภ”

อาสาลงจากเตียงไปแล้ว ผมอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าจู่ๆ ความสุขของผมจะถูกทำลายอย่างง่ายดายเช่นนี้ แต่ก็เอาเถอะ ถ้าผมยังอยากอยู่ใกล้ๆ ร่างขาวๆ บางๆ นั่นไปอีกหลายปี ผมจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้แม่ยอมให้ผมได้เรียนอยู่มหา’ลัยที่อยู่บ้านนอกบ้านนาแห่งนี้ต่อ

ถึงจะอยู่บ้านนอก แต่คนในมหา’ลัยก็แซ่บมากนะแม่ โดยเฉพาะแฟนผมเนี่ย...

นอกจากผมจะต้องได้เกรดเอทุกตัว ผมยังต้องให้แม่ยอมรับในตัวแฟนผมคนนี้ให้ได้อีก ซึ่งมันไม่ยากหรอก อาสามีเสน่ห์และน่ารักมาก ยังไงแม่ก็ต้องหลงมัน เหมือนที่แม่เคยหลงแอล

ผมขอให้เป็นแบบนั้น







คณะบัญชี

“เหยดเข้ สีหน้าท่าทางสดใสนะครับ” ไอ้โอ๊คเอ่ยแซวเมื่อเห็นผมโผล่มาเรียน

“ทำไมยังไม่ขึ้นไปเรียนอีกล่ะ” ผมถามมันกับเพื่อนคนอื่นๆ

“รอมึงอยู่เนี่ย”

“...”

“รอดูพี่อาสาด้วย ทำไมช่วงนี้ดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวล”

ผมตบกบาลมันเบาๆ จนขนมที่มันเคี้ยวอยู่แทบพุ่ง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่คอยแอบมองอาสาไปซะฉิบ
จากวันนั้นถึงวันนี้ อาสาก็ยังคงฮอตเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง ทุกสายตาของชายชาตรีต่างก็จับจ้องไปที่มันเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาของโลกเช่นเรื่องพระอาทิตย์ต้องตกทางทิศตะวันตกและก็ขึ้นในทิศตะวันออก

“มันเปลี่ยนไปจริงๆ เหรอ” ผมลอบถามความเห็น

“เปลี่ยนดิ ดูมีออร่าแห่งความสุขอ่ะ” เพื่อนอีกคนเอ่ย

“น่ารักขึ้นมาก”

“ดูอารมณ์ดีด้วย”

“มึงทำไรพี่เขาวะทนาย”

“ใครขออะไรพี่อาสาก็ให้”

ผมชะงักกึก หันไปมองไอ้คนพูดประโยคท้ายสุดซึ่งก็คือไอ้โอ๊ค

“มึงหมายความว่าไง”

“คนอื่นๆ เรียกมันว่าช่วงใจดีของอาสา” โอ๊คอธิบาย “ขอเบอร์ ขอเฟซบุ๊ก ขอไลน์ ได้หมดอ่ะตอนนี้”

ว็อทเดอะ...ผมสบถได้ไม่เต็มคำเพราะผมพุ่งตัวไปหาอาสาเป็นที่เรียบร้อยเพื่อไขข้อข้องใจ






ลับหลังของทนาย โอ๊คแบมือเพื่อรับเงินจากเพื่อนไปทั่ว

“จ่ายมา”

“...”

“กูบอกแล้วไงว่าทนายมันได้พี่เขาแล้ว”

“...”

“ยิ่งได้มามันก็ยิ่งหวงมากจนหน้ามืด คิกๆ นี่แหละทนายสไตล์”

“...”

“พี่อาสา ผมขอโทษที่ทำให้พี่มีปัญหานะครับ ผมร้อนเงิน ค่าชีทช่วงนี้แพงเหลือเกิน”








ผมเดินตามอาสาทันตอนที่มันเกือบเดินเข้าห้องเรียนไปแล้ว ผมคว้ามือของอาสาเอาไว้ มันทำหน้ายิ้มๆ ราวกับไม่รู้ว่าผมมีปัญหาที่จะมาเคลียร์

“มีอะไรเหรอ” เสียงหวานเชียวนะ ไอ้งูพิษ!

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“หา?” อาสามองเชี่ยไมล์อย่างงงๆ ไมล์ยักไหล่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ปล่อยให้ผมลากอาสาไปที่ไหนก็ได้ตามใจ
สถานที่ที่ผมพาอาสามาก็คือห้องเรียนที่เลิกใช้งานไปแล้วนั่นเอง อาสาเคยมาหลับแก้แฮงก์อยู่ในห้องนี้ ผมดันตัวอาสาเข้าไปข้างในห้องก่อนที่จะปิดประตูและก็ล็อกอย่างรวดเร็ว

“เกิดอะไรขึ้น”

“มึงเก่งอีกแล้วนะ”

อาสางงมาก “กูเก่งอะไร”

“มึงทำกูหึงจนเลือดขึ้นหน้าอีกแล้ว”

“กูทำอะไรวะ” อาสาดูไม่เข้าใจ

“สายสืบกูบอกมา...มันว่ามึงให้เบอร์ ให้เฟซ ให้ไลน์ทุกคนที่มาขอ”

อาสาทำหน้าเหมือนมีจุดจุดจุดเต็มหัวไปหมด

“จะบ้าเหรอ!” มันร้อง “มีคนมาขอก็จริง แต่กูไม่ได้ให้เลย”

ยังไงผมก็ห้ามเรื่องคนมาขอไลน์อาสาไม่ได้ เพราะงั้นผมจึงโฟกัสไปที่ประเด็นความประพฤติของอาสาแทน

“แล้วทำไมคนที่มาบอกกูถึงพูดแบบนี้ล่ะ”

“กูไม่รู้ มันใส่ร้ายกู”

“...”

“นี่กูนอนกับมึงทุกวัน แก้ผ้าให้มึงดูทุกวัน มึงยังกล้าคิดว่ากูไปทำแบบนั้นกับคนอื่นอีกเหรอวะ”

“...”

“กูเป็นแฟนมึงนะทนาย”

ผมเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา ยิ่งรู้ว่าสิ่งที่อาสาพูดมันเป็นความจริงผมก็ยิ่งรู้สึกอยากตีอกชกหัวตัวเองที่โมโหโดยไม่มีเหตุผลเลย อาสาทำหน้างอน ผมรีบจับมือมันเอาไว้อย่างง้อๆ

“ขอโทษ” ผมพูดออกมาจากใจ “ตั้งแต่กูได้มึง กูก็หวงมึงเพิ่มขึ้นมาแบบยกกำลังล้านอ่ะ”

“มึงก็มีสติหน่อยได้มั้ยวะ”

“มึงก็เลิกทำตัวฮอตสิ”

“อะไรคือการทำตัวฮอต กูไม่ได้ทำห่าอะไรเลยนะ”

“โอเค” ผมรีบพูดเอาใจก่อนที่เรื่องมันจะใหญ่ไปมากกว่านี้ “กูเชื่อใจมึง”

“มึงนี่นะ”

“...”

“กูหลงมึงจะตายห่า มึงก็ยังจะ...”

“อะไรนะ”

“เปล่า”

ผมเลิกคิ้ว นึกไปถึงฉากบนเตียงระหว่างผมกับอาสา เออจริงว่ะ ตอนที่มันครางนั้นมันเผยอะไรหลายอย่างออกมาให้ผมรู้ ซึ่งดูก็รู้ว่ามันพูดจริงๆ ไม่ได้พูดเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ผม

‘กูรักมึงนะ’
‘มึง...สุดยอดอ่ะ’
‘อย่าไปทำแบบนี้กับใครนะทนาย’
‘มึงทำแบบนี้กับกูคนเดียวได้มั้ย’

เอาล่ะ ตัดกลับเข้ามาสู่สถานการณ์ปัจจุบันก่อนที่ทุกอย่างจะสิบแปดบวกไปมากกว่านี้

“ที่รัก ผมผิดเองครับ ผมผิดเอง” เมื่ออยู่กันสองคน สรรพนามของผมก็เปลี่ยนไปบ้างตามจังหวะและโอกาสเพื่อเอาใจแฟน

“กูไปเรียนได้หรือยัง”

“หายงอนแล้วใช่มั้ย”

“งอนอะไรไร้สาระ”

“...”

“เออ หายงอนแล้วววว” อาสาเขย่ามือผมให้ผมสบายใจ

“โอเค เดี๋ยวไปส่ง”
มันคว้ามือผมไว้ให้หยุดขยับ

“อะไรอ่ะ”

“จูบก่อน” อาสาพูดกับผมยิ้มๆ

ยังไงเจ้างูพิษตัวนี้ก็เสพติดการจูบของผมอยู่ดี ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง









ร้าน Pink Chiffon

ผมเกลียดร้านนี้จริงๆ นะ แต่ไอ้เชี่ยโอ๊คมันไม่รู้ไงว่าผมเกลียด หลังจากที่ถูกผมสวดยับเรื่องที่มันเอาเรื่องของผมกับอาสาไปพนัน ผมก็บอกให้มันเอาเงินที่ได้จากเพื่อนทั้งหมดมาเลี้ยงขนมเพื่อน ซึ่งไอ้ร้านสีชมพูทั้งร้านเนี่ยเป็นร้านโปรดของไอ้เชี่ยโอ๊ค มันพาสาวมาร้านนี้บ่อยจนมีคูปองส่วนลดเยอะแยะไปหมด ทันทีที่ได้รับการร้องขอให้เลี้ยง มันก็ลากตัวเพื่อนทุกคนมาร้านนี้ เพราะเสียตังค์ทั้งทีก็อยากเสียน้อยๆ ช่วงนี้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเรื่องการเรียนสูงมากเหลือเกิน

ไม่ได้สังเกตสีหน้ากูเลยเหรอเพื่อน

ร้านนี้ไม่ผิดหรอกครับ เพียงแต่ผมไม่ชอบสีชมพูเท่านั้น ขนมเขาอร่อยดีและสาวๆ ที่มากินก็มีแต่คนที่ดูเป็นคุณหนูตัวขาวๆ ทั้งนั้นเลยด้วย เพื่อนที่มาในวันนี้กับไอ้โอ๊คก็เลยพลอยลืมเรื่องเสียตังค์ให้มันไปซะฉิบ กลายเป็นว่าชื่นชมมันที่พามาร้านซึ่งมีแต่สาวๆ น่ามองไปหมดแบบนี้

ผมคุยไลน์กับอาสา มันบอกว่าวันนี้เตจะพาไมล์ไปกินเอ็มเค พวกนั้นเห็นมันว่างมันก็เลยถูกลากไปด้วย นี่ผมรู้สึกผิดเลยนะเนี่ยที่ทิ้งแฟนไปเป็นก้างขวางคอคนอื่น

ARSA : ไม่เป็นไร ไม่ได้โกรธหรอก
ARSA : แค่คืนนี้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเท่านั้นเอง


ไอ้งูพิษ

ผมยิ้มกับข้อความของอาสา เห็นพูดแบบนี้มาหลายครั้งแต่ตกกลางคืนทีไรก็ไม่เห็นเป็นไปตามที่พูดทุกทีอ่ะ ระหว่างที่ผมกำลังจะถ่ายรูปเพื่อส่งไปรายงานกับอาสานั่นเอง จู่ๆ บรรยากาศรอบๆ โต๊ะก็ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น

เกิดอะไรขึ้นวะ

ผมเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ เพื่อนผมเงียบเพราะผู้มาใหม่น่าดึงดูดสายตาก็เท่านั้นเอง คนคนนั้นไม่ใช่อาสาครับ แต่เป็น...แอล
ข้างหลังแอลคือเชี่ยป๊อบ สองคนนี้มาด้วยกัน

ผมรีบก้มหน้างุด หลบหลังไอ้เชี่ยโอ๊คทันทีเพื่อแอบดูมันสองคน ไอ้โอ๊คแม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ยอมนั่งนิ่งๆ ให้ผมหลบซ่อน ผมรอให้แอลกับป๊อบเดินผ่านไป มันสองคนเลือกนั่งในที่ที่ผมไม่สามารถมองเห็นได้

“คนรู้จักเหรอ” ต่อมเผือกเพื่อนผมเริ่มทำงานทันที “ใครวะ ทำไมกูไม่เคยเห็น”

“เพื่อนกู” ผมตอบ

“คนที่มาคนแรกต้องอยู่หอสามดิ นี่หลุดไปอยู่หอไหนมา”

ความหน้าตาดีของแอลทำเอาเพื่อนผมถึงกับตั้งข้อสังเกต

“มันไม่ได้เรียนอยู่มอนี้” ผมพูดต่อ “ส่วนไอ้คนที่อยู่ด้านหลังมันเป็นเพื่อนสนิทกู อยู่หอหนึ่ง”

“กูเคยเห็นๆ” ไอ้โอ๊คเอ่ย “แล้วมึงหลบทำไมวะทนาย”

“ถ้าไม่หลบเดี๋ยวพวกเชี่ยแม่งก็ออกไปจากร้านอ่ะ ดูยังอยากเก็บเป็นความลับ กูเชื่ออย่างนั้นนะ”

“เฮ้ย เป็นแฟนกันเหรอ” โอ๊คร้อง

“กูไม่รู้”

“เขาว่ากันว่าใครก็ตามที่มาร้านนี้สองต่อสองส่วนใหญ่มักจะลงเอยกันนะ ร้านนี้ก็เลยดังมากไง”

ผมเลิกคิ้วขณะฟังไอ้โอ๊ค “เหรอวะ”

“มึงเคยพาอาสามามั้ยล่ะ”

ฉิบหาย...ผมเคยพามันมานี่หว่า “เฮ้ยยยยยยยยยย”

“ผิดจากที่กูพูดที่ไหน”

“แล้วที่มึงพาสาวๆ มาล่ะ”

“กูควงทีละสอง”

ผมทำหน้าหมั่นไส้ใส่เชี่ยโอ๊คก่อนจะนิ่งคิด ไอ้ป๊อบพาแอลมากินถึงที่นี่คงมีซัมธิงอะไรต่อกันนั่นแหละ ยังไงสักวันหนึ่งผมก็ต้องรู้อยู่ดี สิ่งที่ผมคิดมากไปกว่าเรื่องนี้ก็คือเรื่องความลี้ลับของร้านนี้นั่นแหละ

คนที่มาร้านนี้สองต่อสองส่วนใหญ่มักจะลงเอยกัน

ผมกับอาสาลงเอยแล้ว

ป๊อบกับแอลก็อาจจะลงเอยในไม่ช้า

เฮ้ยยย...แล้วพี่สงครามกับพี่อ้ายล่ะ

ทันทีที่นึกถึงสองคนนี้ผมก็ถึงกับปั้นหน้าไม่ถูก แม้จะเคยจิ้นเล่นๆ แต่พอมานึกภาพจริงๆ มันก็แปลกๆ อยู่นะครับ ประธานหอที่เป็นเพื่อนกันแต่เกลียดขี้หน้ากันมาลงเอยกันเนี่ยนะ

เอาเถอะ ไม่ใช่เรื่องของผมนี่ ผมปล่อยให้ขนมตรงหน้าหมดไป พร้อมๆ กับแอบลอบมองไอ้ป๊อบกับไอ้แอลเป็นระยะๆ ไม่เคยนึกเลยว่าพวกมันจะเหมาะสมกันขนาดนี้ ไม่เคยนึกเลยจริงๆ






หลังจากวันนั้นเรียกได้ว่าเข้าสู่การเตรียมสอบอย่างฮาร์ดคอร์โดยสมบูรณ์แบบ

อย่าถามเรื่องบนเตียงระหว่างผมกับอาสาเลยครับ แม้แต่เวลาสวีตกันยังไม่มี! แค่ผมขยับใบหน้าจะขอจูบ อาสาก็เอียงหน้าหลบแล้ว มันบอกว่าถ้าชนะคำท้าทายของแม่ จะจูบเป็นสิบเป็นร้อยครั้งก็ยังไหว ยังไงผมก็ควรตั้งใจกับการอ่านหนังสือเตรียมสอบก่อน บอกตามตรง...อาสามันเครียดกว่าผมอีกครับ

แม้ปากมันจะบอกว่าผมควรทำเพื่อตัวเอง แท้จริงแล้วผมก็ต้องทำเพื่ออาสาด้วย มันไม่เคยคุยกับแม่ผม แต่มันรู้ดีว่าซีอีโอแห่งโสภาพรรณกรุ๊ปคงมีอำนาจทำในสิ่งที่อยากทำทุกอย่าง จะว่าไปผมก็ยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของอาสาสักเท่าไหร่ รู้แค่ว่าที่บ้านทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและก็มีพี่ชายหนึ่งคนซึ่งเรียนอยู่อีกที่ชื่อว่าพี่อัศวิน

ส่วนตัวผมมีพี่น้องอีกสองคน เป็นผู้หญิงหนึ่งคน (ชื่อเล่นนิยาย ชื่อจริงวรรณศิลป์) พี่ชายหนึ่งคน (ชื่อเล่นชายชาญ ชื่อจริงยอดบุรุษ) ทั้งคู่กำลังศึกษาต่ออยู่ต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้พ่อกับแม่ผมมีเวลาที่จะมาจ้ำจี้จำไชผมมากยิ่งขึ้น ตอนที่ผมบอกจะลาออกจากคณะแพทยศาสตร์ พี่นิยายกับพี่ชายชาญสวดผมใหญ่อยู่เหมือนกัน แต่ผมก็อาศัยเอาความมึนของตัวเองนี่แหละต่อสู้กับทุกคนในครอบครัว ผมจึงรอดมาได้

...และก็มาเจอกับอาสาที่มหา’ลัยแห่งนี้

วันเวลาผ่านไปโดยที่เด็กหอสามสวมวิญญาณของเด็กหอหนึ่งเข้าไปอีกครั้งเหมือนเมื่อครั้งสอบมิดเทอม ผมอ่านหนังสือจนตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า ใช้ห้องส่วนกลางเป็นที่นอนเหมือนกับคนอื่นๆ เพราะต้องติวกันทั้งวันทั้งคืน แม้จะรู้ว่ามันยาก แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงมีความมั่นใจมาก อาจเป็นเพราะอาสาให้กำลังใจผมอยู่ไม่ห่างก็ได้

ช่วงก่อนวันสอบ อาสาขอตัวลงไปนอนกับเพื่อนที่ห้อง 204 และจะไปนอนกับเพื่อนเป็นเวลาทั้งหมดหนึ่งอาทิตย์จนกว่าจะสอบเสร็จ

“ไม่เอา!” ผมร้องลั่น “กูไม่มีกำลังใจจะสอบนะอาสา กูคงเอาเวลาไปคิดถึงมึงหมด”

“มึงต้องทำอย่างนั้นเพื่อสมาธิของมึง”

“กูไม่ได้...” ผมมองซ้ายมองขวาว่ามีคนแอบฟังอยู่หรือเปล่า “จะเอามึงทุกวันสักหน่อย”

“แต่ก็เกือบ” อาสาพูด “ไม่ได้นะทนาย มึงต้องตั้งใจ มึงต้องทำเพื่อกู”

“แต่ว่า...”

“ไม่มีแต่”

อาทิตย์ที่สอบทั้งอาทิตย์จึงเป็นช่วงเวลาที่เก็บกดมากที่สุดของผม ทั้งเก็บกดเรื่องที่ไม่ได้นอนกอดอาสา และก็เก็บกดเรื่องที่...ไม่ได้ทำอย่างว่า

ถ้าอาสาเสพติดการจูบ ผมก็เสพติดการทำอย่างนั้นกับมันนั่นแหละ ล้อผมมาเลย ผมไม่เถียงอะไรสักคำ ทั้งยังจะยอมรับแต่โดยดีด้วย

กว่าวันเวลาที่แสนทรมานจะผ่านพ้น กว่าการอดทนของผมจะพุ่งสู่ขีดจำกัด ในที่สุดผมก็สอบเสร็จสักที

มันไม่ได้ใช้เวลาแค่บรรทัดสองบรรทัดอย่างที่ท่านเห็นหรอกครับ มันนานกว่านั้นเยอะ ผมต้องแลกเอาเวลาของผมกับการอ่านหนังสือ ความเคร่งเครียดในช่วงสอบ และก็การคิดถึงอาสา สองอย่างแรกผมพอทนไหว เพราะมันเป็นเรื่องปกติของชีวิตนักศึกษา แต่ไอ้อย่างสุดท้ายเนี่ยสิที่เป็นอาสา

ผมไม่เคยห่างจากอาสาขนาดนี้มาก่อน ไม่คิดว่ามันจะเครียดกับเรื่องที่ผมท้าทายกับแม่ขนาดนี้ ถ้ามันไม่แคร์ มันคงไม่นอนแยกห้องกับผมหรอก ดูก็รู้ว่ากลัวผมจะถูกจับย้ายไปมหา’ลัยอื่นจริงๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำให้การแยกกันของเรานั้นไร้ประโยชน์ ผมทุ่มเทตั้งใจกับการสอบอย่างเต็มที่

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดผมก็น่าจะได้เอหมดนั่นแหละ หวังว่านะ...

วันนี้ผมวางแผนว่าจะไปเดตกับอาสาอย่างสุดเหวี่ยงก่อนจะไปดื่มฉลองสอบเสร็จกับพวกไอ้เตไอ้ไมล์ บรรยากาศระหว่างไอ้สองคนนี้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พวกมันดูสนิทกัน ตัวติดกัน ไม่ยอมให้ใครเดินไปแทรกกลางเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมกับอาสาเดินลงบันไดพร้อมพวกมันสองคน และก็แอบเห็นพวกมันจูงมือกันด้วยครับ

อย่าไปล้อพวกแม่งให้มากเดี๋ยวไก่จะตื่น...เห็นเพื่อนมีความสุขผมก็ดีใจ เดี๋ยววันนี้จะลองถามๆ ดูว่าเรื่องระหว่างพวกมันนี่ยังไง ไม่ได้จะล้อนะครับ ผมแค่ถามตามขั้นตอนอ่ะ ถ้าไม่ถามเดี๋ยวพวกแม่งก็หาว่าไม่ใส่ใจเพื่อนอีก

ระหว่างที่ผมเดินกลับหอสามหลังจากจอดรถเสร็จ ผมเห็นพี่อ้ายยืนอยู่หน้าหอสามและกวักมือเรียกผมยิกๆ

งานเข้าอะไรกูอีกหรือเปล่าเนี่ย

ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้ ผมก็ต้องหันหลังกลับและวิ่งหนีไปอย่างไว

“ชาย ไปจับตัวน้องมา” แม่ผมครับ แม่ผม! โสภาพรรณ บุญญวาณิชย์ในตำนาน ทำไมถึงมาอยู่หน้าหอสามได้วะ และที่หนักไปกว่านั้นคือไอ้ชายชาญนี่แหละ ปกติเวลานี้มันควรเรียนอยู่ที่ฟินแลนด์ไม่ใช่เหรอ

แต่ยังไม่ทันจะไปถึงไหนผมก็โดนไอ้ชายหิ้วคอเสื้อจนได้ มันก็เหมือนพี่สงครามเวอร์ชั่นคนดีไร้รอยสัก แรงเยอะฉิบหาย

“ไม่ได้เห็นหน้ามาตั้งนานแต่มึงกลับหนีกูเหรอวะทนาย” พี่ผมกล่าวยิ้มๆ

“กูไม่ได้หนีมึง กูหนีแม่”

“มานี่เลย” แม่กอดอกมองผม

“แม่มีอะไรอ่ะ ทำไมจู่ๆ ถึงโผล่มา” ผมมองหาพี่อ้าย พี่มันเดินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะอยากปล่อยให้ครอบครัวคุยกัน “หอชายล้วนไม่ให้ผู้หญิงเข้า แม่ออกไปเดี๋ยวนี้เลย”

ผมถูกไอ้ชายโบกกบาล

“นั่นแม่มึงนะ”

“สรุปมีอะไรอ่ะ”

“แม่ให้เวลายี่สิบนาทีไปเก็บของ”

“หา!”

“เราจะไปฮ่องกงกันเว้ย!” พี่ชายผมตบไหล่ผมราวกับคิดว่าผมจะยินดีกับเรื่องนี้ เดี๋ยว กูไม่ได้ยินดี ฮ่องกงอะไรวะ

“พ่อมีคุยงานอยู่ฮ่องกงหลายวันพอดี แล้วอีกสองวันพี่นิยายก็จะกลับมา ครอบครัวเราจะไปเที่ยวกัน”

“เดี่ยวนะแม่ ทำไมผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

ผมหลบฝ่ามือของแม่ที่จะเข้ามาตีซ้ำบริเวณที่ไอ้ชายเพิ่งตีผม

“ก็ทนายไม่รับโทรศัพท์แม่เลย”

มันเป็นความจริง ผมไม่รับสายแม่เลยเพราะรู้ว่าแม่จะโทรมาตอกย้ำเรื่องที่เราสองคนท้าทายกัน

“และตอนนี้แม่ก็จัดการจองตั๋วเครื่องให้แล้ว เพราะงั้นรีบไปเก็บข้าวของได้แล้ว”

“แม่แต่ว่า...” วันนี้ผมนัดแฟนเอาไว้!

“ไม่มีแต่”

“ไม่ไปไม่ได้เหรอ”

“ถ้าทนายไม่ไป สิ่งที่เราเคยคุยกันไว้จะถือว่าไม่มี” แม่ทำหน้าเจ้าเล่ห์ “และทนายจะต้องไปเรียนที่มอทัพไทยในทันที”

โคตรเผด็จการ ผมอ้าปากพะงาบๆ จะเถียง แต่ไอ้ชายรุนหลังผมให้เดินไปข้างหน้าแล้ว

“มึงไม่ต้องตามมา” ผมร้องใส่พี่ชายอย่างหงุดหงิด







[มีต่อนะคะ]






ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12







ห้อง 503

แม่ไม่ให้เวลาผมช็อกด้วยซ้ำ ยี่สิบนาทีของแม่คงจะให้ผมได้มีเวลาแค่โกยของที่จำเป็นลงไปในกระเป๋าเท่านั้น มือข้างหนึ่งของผมเก็บของ ส่วนอีกข้างผมโทรออกหาอาสาเพื่อเรียกตัวมันมาที่นี่ เพราะทันทีที่ผมไปเที่ยวฮ่องกงก็คงอีกนานกว่าเราจะเจอกันเนื่องจากอยู่ในช่วงปิดเทอมพอดี

สองอาทิตย์มันนานมากนะครับ เพราะสอบแค่อาทิตย์เดียวสำหรับผมก็ถือว่าเป็นอะไรที่นรกเอามากๆ ผมห่างกับอาสา ผมไม่ได้นอนกับมัน ผมไม่ได้จูบ ผมไม่ได้หอม!

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“อาสาหรือเปล่า เข้ามาเลย” ผมร้องบอก โยนโทรศัพท์ลงไปบนเตียงแทบจะในทันที

อาสาก้าวเข้ามาในห้อง มองดูผมที่เก็บกระเป๋าอย่างงงๆ

“เฮ้ย” มันพูด “งั้นก็แปลว่าคนที่ดูเหมือนคุณหญิงคุณนายข้างล่างนั่นก็คือ...”

“แม่กู”

“...”

“แม่จะมารับกูไปฮ่องกงว่ะ”

อาสาอ้าปากค้าง ดูมันตะลึงงันเกินกว่าจะพูดอะไรออกมา

“โคตรกะทันหัน” ผมพุ่งตัวเข้าไปใกล้อาสา เอานิ้วมือของตัวเองไปคลอเคลียแก้มขาว “ขอโทษนะ”

แม้มันจะอึ้งมาก แต่มันก็มีสติ “ต้องรีบใช่ป่ะ”

“ใช่”

“เอาอะไรไปบ้างล่ะ”

อาสาวางกระเป๋าของตัวเอง ก่อนจะมาช่วยผมจัดกระเป๋า ผมมองตามอย่างซาบซึ้งใจ เราสองคนช่วยกันหยิบนั่นหยิบนี่มาใส่ในกระเป๋าของผม อาสาคอยเช็กให้ว่าผมลืมอะไรหรือเปล่า มีการถามย้ำอยู่ตลอดว่าผมเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้ติดตัวไปหรือยัง

มันทำหน้าที่แม่บ้านได้เป็นอย่างดี แต่ต้องขอโทษที่พ่อบ้านจำเป็นจะต้องไปไกล ไม่ได้อยู่ชิดใกล้และคอยดูแล

หลังจากที่ทุกอย่างถูกเก็บลงกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ผมยังพอมีเวลาสำหรับกอดอาสาอยู่นิดหน่อย...ไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ ผมทั้งกอด ทั้งจูบ ทั้งหอมอาสาย้ำๆ ราวกับต้องการไม่ให้มันลืมสัมผัสของผมเวลาที่อยู่ห่างไกลกัน

ผมมองมันอย่างโหยหาก่อนจะทอดถอนใจ

“ต้องคิดถึงมากแน่ๆ”

“ไปเถอะ แม่รอนานแล้ว”

“ดูมึงเกรงใจแม่กูจัง”

“ก็ต้องเกรงใจสิวะ”

“...”

“ในเมื่อกูรักลูกชายเขานี่”

อาสาพูดถูกใจผมมากจนผมต้องดึงตัวมันเข้ามากอดอีกครั้ง ก่อนจะเชยคางมันขึ้นมาเพื่อมอบจูบดูดดื่มเหมือนกับที่ผมทำเป็นประจำ ร่างเล็กๆ ของอาสาถูกผมผลักลงไปบนเตียง มันถูกผมรุกล้ำอย่างเร่งด่วนและรวดเร็วจนมันตื่นตระหนกตกใจ

“ทนาย!” อาสาร้อง “มึงคิดจะทำอะไร”

ผมใช้นิ้วแตะริมฝีปากมันเพื่อไม่ให้โวยวาย เข่าของผมกันไม่ให้มันขยับตัวหนีไปไหน ก่อนที่ผมจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรออกหาชายชาญ

[ไรของมึง] มันรับสายผมแบบนี้ครับ

“ท้องเสียว่ะ”

[หา!]

อาสามองผมอย่างไม่เข้าใจ ผมมองมันยิ้มๆ ก่อนจะพูด

“ขออีกสิบห้านาที ไม่สิ” ผมเลื่อนใบหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูอาสา “ยี่สิบไปเลย”

[ทนาย เดี๋ยว]

ผมกดวางสายไปแล้ว

“ทนาย นี่มึง...” อาสายังไม่ทันจะโวยวายก็โดนผมกลืนกินคำพูดของมันด้วยริมฝีปากของผมเอง มันพยายามทุบตัวผมอย่างต่อต้าน แต่ก็ทำได้ยาก ดูเหมือนมันเองก็คิดถึงผมมากเหมือนกัน “ไม่เร่งด่วนไปหน่อยเหรอ”

“ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยป่ะ” เสียงของผมกระเส่าจนอาสาขนลุกชูชัน

“มึง...ทันหรือไง”

“เดี๋ยวลองดู”

อาสาไม่ค่อยแน่ใจ แต่ผมก็รุกล้ำเข้าไปถึงตัวมันซะแล้ว สิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่ความสุขเพียงชั่วครู่ แต่ผมต้องการจะฝากสัมผัสของผมเอาไว้บนตัวของอาสาก่อนที่เราจะห่างกันไป

“กูแค่ไม่อยากให้มึงลืมกูเท่านั้นเอง”

“ใครจะลืมมึงล่ะวะทนาย”

“มึง...พร้อมไวจัง”

“ก็ไม่ค่อยได้ทำป่ะ ตั้งแต่ที่ห่างกัน”

“ดี”

“...”

“คิดถึงกูให้มากๆ นะอาสา”

“...”

“ไอ้นั่นของมึงก็ต้องคิดถึงไอ้นั่นของกูให้มากๆ ด้วย”

“สาด พูดมาก เร็วๆ”

“หึ...ต้องการเหรอจ๊ะ”

“เร็ววววว”







“เมื่อกี้เห็นป่ะชาย”

“อะไรเหรอแม่”

“คนตัวขาวๆ น่ารักๆ อ่ะ”

“อ๋อ เห็นสิ เห็นมาแต่ไกลเลย”

“...”

“ดูดีจริงๆ สมคำเล่าลือ”

“ใช่ใช่ป่ะ”

“ครับ คนนี้แหละ”

“...”

“สะใภ้เล็กบ้านเรา”






จะไปฮ่องกงอะไร นี่มันเรียกว่ากำลังจะไปกรุงเทพมหานคร!

บ้านผมไว้ใจอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง เพราะงี้ไงผมถึงไม่ชอบรับสายโทรศัพท์จากแม่ แม่พาผมกลับเข้ามาในกรุงเทพฯ ไม่มีคำว่าจะไปฮ่องกงออกมาจากปากของแม่อีกต่อไป แต่มีคำว่า...

“เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดี”

งงเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พอหันไปหาชาย ชายก็เอาแต่ผิวปาก ดูมันสนุกที่จะเห็นผมถูกปั่นหัวมาก ระหว่างนั้นผมคอยทักไลน์ไปหาอาสา มันงอนผมนิดหน่อยเรื่องที่ว่าเราสองคนเมกเลิฟกันภายในยี่สิบนาที สิ่งที่มันงอนก็คือไม่ใช่ระยะเวลาอันสั้น แต่ผมกระทำกับมันรุนแรงเกินไป

ผ่านมาหลายชั่วโมง อาสายังไม่เลิกบ่นเรื่องที่เจ็บเลย แปลกแต่จริงที่ผมชอบอ่านในสิ่งที่มันบ่น มันดูน่ารักอ่ะ

ความน่ารักของมันทำเอาผมเลิกที่จะสนใจเรื่องแปลกๆ ของครอบครัวไปซะฉิบ แม่กับไอ้ชายอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ ผมไม่สนใจหรอก

ARSA : ไอ้เหี้ยยย
ARSA : เหมือนจะเป็นแผลด้วย
ARSA : ทำไมมึงถึงร้ายกับกูแบบนี้
LAWYER : ใช้เจลแล้วนะ
ARSA : ใช้น้อยเกินไปน่ะสิ
LAWYER : คราวหลังจะแก้ตัวใหม่นะ
LAWYER : มันรีบอ่ะ
ARSA : ไม่ให้แก้แล้ว
ARSA : ...
ARSA : แต่มาก็ดี
ARSA : มาให้ไว
ARSA : กูยังไม่หายคิดถึงมึงเลย


งูพิษก็คืองูพิษ ร้ายแป๊บเดียวประเดี๋ยวก็กลายเป็นอ่อย ผมยิ้มสุขใจขณะพิมพ์ตอบอาสา แต่แล้วไอ้ชายก็ฉวยโทรศัพท์ของผมไปเก็บกับตัว

“เหี้ยอะไร เอามา!” ผมอารมณ์เสียทันที

“มึงต้องฟังในสิ่งที่กูจะพูด”

“กูไม่ฟัง เอาโทรศัพท์กูมา”

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอาสานะ มึงไม่อยากฟังเหรอ”

ผมมองแม่สลับกับมองชาย เราสามคนนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่บนรถตู้ของบ้านที่กำลังมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ แม่วางโทรศัพท์ลงพร้อมถอดแว่น จากนั้นก็มองผมด้วยสายตาจริงจังปนจับผิด

“ทำไมมองแบบนั้น” แม่ผมน่ากลัวกว่าชายหลายร้อยเท่า

“แม่กับพี่ชายเราจับตาดูเรามานานมากแล้ว”

“ผมเหรอ ผมมีอะไรให้ดูอ่ะ”

“มึงเป็นน้องกู ยังไงก็กูต้องดูแล”

“...”

“มึงเป็นทายาทของคนที่มีเงินเป็นพันล้านนะ จะไม่ให้กูห่วงมึงได้ไง” ชายมันพูดเหมือนไม่ใช่ลูกอีกคนของแม่เลย “จู่ๆ มึงก็อยากไปเรียนมออะไรก็ไม่รู้ที่อยู่ไกลโคตรๆ กูอยู่ต่างประเทศก็จริง แต่กูเป็นพี่ชายมึง ยังไงกูก็อยู่เฉยไม่ได้”

“เอาล่ะ” ผมทำใจยอมรับได้ในที่สุด “พูดมา ใครเป็นสายให้”

“เยอะแยะ” ชายยักไหล่ “กูกับแม่รู้เรื่องมึงกับอาสาเรียบร้อยแล้ว”

“และแม่ไม่ว่า” แม่พูดต่อ ผมอดที่จะอึ้งไม่ได้จริงๆ ทำไมทุกอย่างมันดูง่ายไปหมดแบบนี้ล่ะครับ “คนที่ทนายควรจะเครียดไม่ใช่แม่ แต่เป็นครอบครัวฝั่งทางนู้น”

“ครอบครัวอาสาเหรอ”

“ใช่” พี่ชายผมตอบ “ครอบครัวเศรษฐรักษ์”

เศรษฐรักษ์คือนามสกุลของอาสาครับ ผมเกาหัวแกรกๆ เราสองคนไม่ค่อยคุยกันเรื่องประเด็นครอบครัว อาจเป็นเพราะระหว่างเรามีเรื่องนั้นเรื่องนี้เกิดขึ้นมากเกินไปและก็เกิดในเวลาที่กระชั้นชิดมากด้วย เราจึงให้ความสำคัญกับการดูแลกันและกันในปัจจุบันมากกว่าเรื่องการคุยกับครอบครัวในประเด็นที่เราคบกัน

แม้ใจผมจะชื้นเรื่องที่แม่ของผมไม่ว่า แต่ก็อดกังวลไม่ได้เรื่องครอบครัวของอาสา อย่าดูถูกการสืบของตระกูลบุญญวาณิชย์เชียวนะครับ ถ้าแม่สืบไม่เก่ง ป่านนี้แม่คงไม่ได้เป็นราชินีบนอาณาจักรหลายพันล้านหรอก

พ่อผมยังยอมแม่ผมเลย คิดดูก็แล้วกัน

“เขาน่ากลัวยังไง”

“เขาไม่ได้น่ากลัวอะไร”

“...”

“แต่แม่อยากให้ทนายทำตัวดีๆ ไปแนะนำตัวกับเขา บอกว่าเป็นคนที่กำลังคบกับลูกชายคนเล็กของเขาอยู่”

“เดี๋ยวนะ” มันชักจะคุ้นๆ เหมือนพล็อตละครหลังข่าว “ที่แม่สนับสนุนผมให้คบกับอาสาเพราะแม่อยากจะเกี่ยวดองทางธุรกิจกับที่บ้านของอาสาใช่ป่ะ”

“ใช่” แม่ยอมรับอย่างเชิดๆ

“โอเค ผมตกลง ดีล!” จะไม่มีการเล่นตัวอะไรทั้งนั้น เพราะคนที่บ้านผมอยากให้เกี่ยวดองเป็นคนที่ผมรัก เป็นแฟนของผม และก็เป็นคนที่ผมเพิ่งจะแสดงออกทางความรักกับมันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว ไม่ว่าจะยังไงผมก็สู้ตายแน่นอน

ในเมื่อทุกอย่างมันเข้าทางผมหมดแบบนี้แล้ว จะให้ผมอยู่เฉยๆ ได้ยังไง

“บ้านเศรษฐรักษ์ไม่ธรรมดา แม้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาจจะฟังดูเหมือนไม่มีอะไรมาก แต่เขามีหลายสาขา ครอบคลุมทั่วภาคอีสาน” ชายพูดอย่างเป็นทางการ “อนาคตบ้านเราจะขยายธุรกิจไปในแถบจังหวัดนี้ จะเป็นการดีหากเราสามพี่น้องมีใครสักคนได้เกี่ยวข้องกับนักธุรกิจชาวอีสานบ้าง”

คนคนนั้นก็ควรจะเป็นผมนี่แหละ

“แล้วทำไมต้องเตรียมตัวเตรียมใจขนาดนั้นน่ะแม่” ผมคล้อยตามอย่างง่ายดาย ถ้าเป็นเรื่องที่ทำให้ความรักของผมกับอาสามันง่ายขึ้น ผมคล้อยตามหมดนั่นแหละ

“งานนี้แม่ไม่อยากนกไง”

คำว่านกใช้กับเรื่องงานได้ด้วยเหรอเนี่ย

“คนรู้จักบ้านเศรษฐรักษ์กันมากโดยเฉพาะในภาคอีสาน ถ้ามึงเกี่ยวดองกับเขา มึงจะได้ทั้งตัวอาสา ได้ทั้งธุรกิจรับเหมา และที่สำคัญมึงก็จะได้คอนเนกชั่นทางฝั่งภาคอีสานด้วย มีแต่ได้กับได้”

“มึงคงศึกษาเรื่องนี้มานานมากแล้วสินะ” ผมอดประชดประชันไม่ได้

“ตอนแรกก็คิดว่าจะศึกษาของบ้านภารกร”

ถ้าผมมีน้ำอยู่ในปาก ป่านนี้คงพุ่งใส่หน้าแม่เต็มๆ แล้ว “ทำไมต้องภารกร” แค่คิดว่าจะได้เกี่ยวดองกับไอ้พี่คีนผมก็ขนลุกไปหมดทั้งตัวแล้วครับ ยังไงก็คิดแบบที่คิดกับอาสาไม่ลงแน่นอนพันล้านเปอร์เซ็นต์

“เราไม่มีสิทธิ์คิดด้วยซ้ำว่าทำไมต้องภารกร ที่จริงเราไม่มีสิทธิ์คิดอะไรเลยแหละ”

“แปลว่าอะไรวะ”

“แปลว่าไอ้บ้านนี้มันรวยกว่าเรามากกกกกกกกไงวะทนาย”

ผมลองใช้เวลานึกสักหลายๆ วิ จริงของพี่ผม ถ้าพี่คีนมันไม่รวยมากจริงๆ มันคงได้อยู่หอสามไปแล้วล่ะ เพราะหน้าตามันก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร

“แล้วต้องไปเจอเขาวันไหน” ผมชักตื่นเต้นขึ้นมา

“อีกวันสองวันนี้ พ่อกับแม่นัดเขาทานข้าวได้พอดี”

“แล้วแม่ไปนัดกับเขาว่าไง”

“คุยเรื่องธุรกิจน่ะ”

“...”

“แหม โสภาพรรณกรุ๊ปโทรนัดทั้งทีเขาก็ต้องสนใจที่จะคุยสิยะ”

“แล้วเรื่องเกรดเอ...”

“หยุด” แม่ยกมือห้ามผมไม่ให้พูดต่อ “คุณทัพเขาไม่ได้ต้องการนักศึกษาที่ไม่อยากเรียนมอเขาตั้งแต่แรก เขาอยากได้คนที่อยากเรียนมอเขาจริงๆ แม่ไปคุยกับเขามาเมื่อเดือนก่อนนี่เอง อ้อ แฟนเขาล้อหล่อ วันนั้นแม่เจอด้วยนะ”

“เดี๋ยว แล้วทำไมแม่ไม่บอกผมเลยล่ะว่าข้อตกลงของเราเปลี่ยนไป” การที่แฟนของคุณทัพหล่อไม่ได้ช่วยให้ผมลืมเรื่องนี้

“ก็แม่อยากให้ลูกตั้งใจเรียน”

ผมอ้าปากพะงาบๆ นึกถึงการทุ่มเทเกินมนุษย์มนาของผมตลอดสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา ให้ตายเถอะ ผมไม่ต้องทุ่มเทขนาดนั้นก็ได้ และก็ไม่ถึงกับต้องนอนแยกห้องกับอาสาก็ได้

เอาเวลาของผมคืนมา!

แต่ยังไงก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ ตอนนี้แม่เริ่มมีการท้าทายใหม่มาให้ผม และผมต้องชนะการท้าทายนี้ เพราะไม่อย่างนั้นล่ะก็ทางรักของผมกับอาสาเห็นทีว่าจะต้องไปต่อยากแน่นอน

เพราะนี่มันคือเรื่องของครอบครัวอาสาเชียวนะครับ




TBC*

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12




ตอนที่ 33
พาร์ตของอาสา






“เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะเข้ากรุงเทพฯ กันนะอาสา”

ทนายทำไมไม่ตอบไลน์ผม

“พ่อกับแม่มีคุยงานนิดหน่อย แต่ทางนู้นเขากำชับมาอยากให้พาลูกชายคนเล็กไปด้วย”

มันทำอะไรอยู่นะ

“ฟังแม่อยู่หรือเปล่าเนี่ย”

“ครับ” ผมสะดุ้งโหยงตอนที่แม่สะกิด “อะไรนะแม่ ผมได้ยินว่าไปกรุงเทพฯ”

“ใช่ เราจะไปกัน”

“...”

“เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ยลูก ตั้งแต่กลับจากมอ ดูใจลอยแปลกๆ นะเรา”

ผมจะบอกแม่ว่ายังไงดี จะให้บอกไปเลยเหรอว่าแฟนซึ่งเป็นผู้ชายเหมือนกันไม่ยอมตอบไลน์ ถ้าขืนพูดไปตรงๆ แบบนั้นมีหวังผมมองหน้าแม่ไม่ติดแน่

“ไม่มีอะไรครับ”

“อย่าลืมเก็บข้าวของและก็เตรียมตัวด้วย เราจะไปกันสักสองสามวัน”

เยส! ไปกรุงเทพฯ ที่เป็นบ้านเกิดของทนาย ช่วงเวลาที่พ่อแม่คุยงาน ผมอาจจะแอบโทรเรียกทนายออกมาเจอกันบ้างก็ได้ ผมได้ข่าวมาว่ามันยังไม่ได้ไปฮ่องกงเลย สรุปที่รีบกลับวันนั้นไม่ใช่เพราะต้องรีบบินไปฮ่องกงหรอกเหรอ แต่ก็ดีแล้วล่ะ ขอให้มันอย่าไปในช่วงเวลาที่ผมกำลังจะเข้ากรุงเทพฯ นี่เลย

“ทำไมยอมไปง่ายจังเลย ปกติต้องหาเหตุผลมาอ้างเพราะไม่อยากไปไม่ใช่เหรอ”

ผมยิ้มแห้งๆ ส่งให้แม่ มองดูท่านออกจากห้องนอนของผมไป ก่อนจะกลับมาสนใจโทรศัพท์อีกครั้ง ทนายไม่ยอมตอบไลน์ผมมานานมากกว่าสามชั่วโมงแล้ว และนั่นนับว่าเป็นสิ่งที่ผิดปกติมาก

ผมไม่รู้จะระบายเรื่องนี้กับใครดี ปิดเทอมครั้งนี้เป็นการปิดเทอมระยะสั้นก็จริง แต่ทันทีที่มาถึงบ้าน ผมก็เริ่มคิดถึงมหา’ลัยซะแล้ว อยากกลับไปอยู่หอสาม อยากไปเคาะห้อง 204 ของเชี่ยเตกับเชี่ยไมล์ที่พักหลังๆ ไม่ค่อยอยากเปิดต้อนรับผมเท่าไหร่

MILE : กูว่าทนายมันมีกิ๊ก
TAECHIT : เฮ้ย อย่าไปสร้างความร้าวฉานให้เพื่อนสิวะ
TAECHIT : สายกูบอกมาว่าเห็นมันควงสาวอยู่ในสยาม


ความเห็นของเพื่อนแต่ละคนช่วยได้มากจริงๆ #ประชด แทนที่พวกมึงจะทำให้กูรู้สึกดีขึ้น แต่มึงกลับใส่ไฟให้กูผิดใจกับทนายเนี่ยนะ

ผมไม่เชื่อพวกมันหรอก ยังไงก็ไม่เชื่อ แต่ถ้าทนายตอบผมช้าไปมากกว่านี้ ใจของผมก็คงจะเริ่มเอนเอียงไปทางคำพูดของไอ้สองคนนี้ เพราะงั้นผมจึงตัดปัญหาด้วยการเลิกสนใจโทรศัพท์แล้วเดินไปหาคนในครอบครัวแทน

ผมไม่กล้าพูดเต็มปากว่าบ้านผมรวย เพราะผมเคยเห็นคนที่รวยอลังการมากกว่าผมมาแล้ว คนพวกนั้นรวมตัวกันอยู่ที่หอสี่ครับ ไลฟ์สไตล์ของคนเหล่านั้นต่างจากผมมากๆ นั่นก็หมายความว่าผมก็เป็นนักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งนี่แหละ ไม่ได้ร่ำรวยมหาศาลอะไรขนาดนั้น

ทนายโทรมาหาผมในตอนบ่ายของวันนี้ เห็นทีว่าผมจะต้องถามถึงตอนที่มันหายไปสักหน่อย

[อาสา คิดถึงงงงงงงงงง]

อย่าใจอ่อนเชียวนะ อย่าเชียวนะ

“หายไปไหนมา” ผมถามเสียงแข็งได้มากที่สุดเท่านี้แหละ

[ไปทำนั่นทำนี่นิดหน่อยอ่ะ] ทนายมันไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลย

“ทำนั่นทำนี่คืออะไรวะ มีความลับกับกูเหรอ”

[จะบ้าเหรอ ก็แค่ตัดผม ทำหน้าอะไรนิดหน่อย]

“มึงไปทำหน้าอะไรของมึง” เจอกันอีกทีไม่ใช่แฟนผมจะหน้าเปลี่ยนเหรอครับเนี่ย!

[ก็แค่ไปทำให้มันใสอ่ะ]

“มึงจะไปไหน ทำไมต้องเสริมหล่อขนาดนั้น”

[อยากดูแลตัวเองเฉยๆ นี่แหละ]

ผมนิ่งคิดนิดหน่อย จริงๆ แล้วทนายก็แสดงออกตลอดเวลาว่าความหล่อนั้นไม่ใช่แค่สิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้ มันต้องดูแลตัวเองด้วย เพราะงั้นผมคิดว่าการที่มันหายไปดูแลตัวเองแบบนี้คงเป็นไลฟ์สไตล์ปกติของมัน ผมจะไม่เซ้าซี้เรื่องนี้อีก

“มึงไม่ได้ไปฮ่องกงแล้วเหรอ”

[เออ บ้านกูก็งี้แหละ ชอบอ้างเรื่องไม่จริงให้กูคล้อยตาม]

“มึงโอเคนะ”

[กูโอเค แม่กับพี่กูมีเหตุผลแหละ]

“...”

[ทั้งวันที่ผ่านมามึงทำอะไรบ้างวะ]

จะบอกว่ารอคุยแต่กับมันดีมั้ยครับ

“ก็นอนเล่นอ่ะ”

[...]

“นี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะเข้ากรุงเทพฯ กับที่บ้านนะ”

[เหรอ]

ผมประหลาดใจเล็กน้อยตรงที่ว่าทนายมันไม่ได้แสดงความดีใจอะไรเลย เราเพิ่งห่างกันได้สองสามวัน เวลาเท่านั้นไม่สามารถทำให้มันคิดถึงผมได้เลยหรือยังไง

ทำไมผมถึงคิดถึงมันจังล่ะ

“ไม่ดีใจสักหน่อยเหรอ”

[(ทนาย รถพร้อมแล้วลูก) อาสา แค่นี้ก่อนนะ มีธุระด่วน]

“เฮ้ย”

[คิดถึงนะ กูรักมึงมากๆ]

ทนายวางสายไปแล้ว ผมยังไม่ทันจะได้ตอบรับอะไรมันเลย ให้ตายเถอะ นี่มันอะไรกัน มันกลับบ้านไปแค่สองสามวันทำไมถึงได้เปลี่ยนไปจากตอนที่อยู่มหา’ลัยมากขนาดนี้

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามจะไม่คิดมากอะไรทั้งสิ้น ทนายก็แค่ตอบไลน์ช้า ไม่แสดงความดีใจที่ผมจะไปกรุงเทพฯ และอยู่ดีๆ ก็วางสายเท่านั้นเอง ปกติแล้วทนายมันไม่ใช่คนแบบนี้ มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้สิ เพราะงั้นผมต้องใจเย็นเข้าไว้ พร้อมกับท่องคาถาในใจว่าอย่าน้อยใจ อย่าน้อยใจ และอย่าน้อยใจ

แม่ของผมเดินเข้ามาในห้องอีกครั้ง คราวนี้ถือเสื้อเชิ้ตตัวหล่อของผมเข้ามาด้วย

“อะไรเหรอครับแม่”

“วันนั้นใส่ตัวนี้ไปนะ”

“เอ๋? มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ก็แหม...บ้านเราจะไปคุยธุรกิจกันนิดหน่อย และอีกฝ่ายเขาเหมือนสนใจในตัวอาสามาก แม่ก็เลยอยากให้อาสาหล่อที่สุดในวันนั้น” แม่ยิ้มแล้วบิดตัวไปมา ดูก็รู้ว่าอยากให้ผมช่วยให้การเจรจาทางด้านธุรกิจในครั้งนี้สำเร็จลุล่วง

“ได้สิครับ” แม้จะยังงงๆ ว่าอีกฝ่ายเขาจะสนใจในตัวผมทำไม แต่ผมก็ไม่อยากทำให้แม่ผิดหวัง เรื่องที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชายก็ยังไม่มีโอกาสบอกแม่ เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรที่ทำให้แม่แฮปปี้ได้ ผมจะทำหมดทุกอย่าง “งั้นวันนี้เราเข้าไปในเมืองกันมั้ย”

“ไปทำอะไรเหรอ”

“ผมอยากทำหน้านิดหน่อยน่ะครับ”

“เอาสิ แม่ก็อยากไปนวดหน้าเหมือนกัน”

ไม่ใช่เพราะผมว่าง ไม่ใช่เพราะผมอยากดูดีเพื่องานของที่บ้าน แต่เป็นเพราะทนายมันทำมาก่อนหน้านี้ และผมยอมมันไม่ได้
แฟนผมจะหล่อขึ้นโดยที่ผมไม่พยายามทำอะไรเลยไม่ได้ครับ เพราะในใจผมแอบกลัวนิดหน่อย มันตัวติดกับผมก็จริง แต่ถ้ามันทำตัวเพลย์บอย เล่นไปกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้เมื่อไหร่ เชื่อดิว่ายังไงหัวกระไดหอสามก็ไม่มีวันแห้ง

ผมต้องดูดีให้สมกับที่ผมมีแฟนดูดี นี่คือสิ่งที่ผมคิดในตอนนี้ครับ






[เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...]

ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว สำหรับคนที่อยู่ต่างจังหวัดแบบผม เวลานี้ถือว่าเป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว แต่สำหรับคนที่อยู่กรุงเทพฯ อย่างไอ้ทนาย เวลานี้อาจจะเป็นเวลาหัวค่ำ มันไม่ยอมรับสายผมแถมยังปิดเครื่องหลังจากที่เราคุยโทรศัพท์กันเมื่อตอนกลางวัน จากที่ไม่คิดมาก ตอนนี้ผมเริ่มคิดมากแล้วเนี่ย

มึงจะเอายังไงกับกูกันแน่...

ผมพยายามหาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลาสุดชีวิต เพราะไม่อยากให้สมองของตัวเองคิดไปในแง่ลบ แต่พยายามเท่าไหร่มันก็ทำไม่ได้อยู่ดี ชีวิตสมัยมัธยมและชีวิตในกรุงเทพฯ ของทนายเป็นอะไรที่ผมไม่เคยสัมผัสและไม่สามารถรับรู้ได้ มันอาจจะมีเด็กเป็นแสน มีกิ๊กเป็นล้าน อาจจะแวบไปหาคนนั้นคนนี้ ดีไม่ดีก็อาจจะ...กลับไปคุยกับแฟนเก่า

เรื่องแอลทำผมคิดไปเองต่างๆ นานาเสมอ แม้จะได้รับการยืนยันจากปากของแอลแล้วว่าระหว่างทนายกับเขาไม่มีอะไรกัน แต่เพราะเขาดูดีมาก (ขอย้ำ ดูดีมากกกกกก) ผมก็เลยชอบเก็บกลับมาคิดเล็กคิดน้อยไปตามประสาคนเพิ่งเคยมีแฟนและแฟนก็ดันหล่อพิฆาตแบบทำชาวบ้านวินาศสันตะโรได้

บทสนทนาในโทรศัพท์ตอนที่ผมคุยกับแอลเริ่มหวนกลับมาอีกครั้ง

‘อาสาอย่าคิดมากเลย สำหรับเราทนายมันมองว่าเป็นเพื่อนไปแล้วแหละ’

‘จริงเหรอ’

‘มันเอาแต่พูดถึงอาสา ไม่ว่าจะเดินไปไหนจะทำอะไร ก็บ่นถึงอาสากับเพื่อนตลอด’

‘คนอย่างมันน่ะเหรอ’

‘ยังไงเรากับมันก็ไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว อาสาเลิกคิดมากเรื่องของเรา เพราะตอนนี้เราอยากให้ทนายมันมีความสุขกับอาสานะ ‘

‘แหะๆ ครับ ขอบคุณนะแอล’

‘แต่เรามีอะไรอยากฝากสักหน่อยอ่ะ’

‘ได้’

‘สัญญากับเราได้มั้ยว่าจะไม่ทิ้งมัน เพราะตอนที่เราทิ้งมัน มันเจ็บปวดมาก เรายังรู้สึกผิดมาจนถึงวันนี้เลย เพราะงั้นอาสาอย่าทำในสิ่งที่เราเคยทำนะ สัญญากับเราสิ’

‘ผมสัญญา’

สิ่งเหล่านั้นย้ำเตือนให้ผมควรจะเลิกคิดมากเรื่องแอล เอาเป็นว่าตอนนี้ทนายควรมาเคลียร์กับผมได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ปล่อยให้ผมว่างจนคิดไปเองขนาดนี้ได้มันใช้ได้ที่ไหน

หรือมันชอบให้ผมประชดประชัน

นี่แหละครับข้อเสียของผม ชอบคิดไปเองเบอร์ใหญ่อีกทั้งยังประชดระดับรัชดาลัย ผมรู้แหละว่ามันไม่ดี แต่สาบานได้ว่าระหว่างที่ผมประชดประชันทนายนั้นผมไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ผมก็แค่ดื่มกับคนที่ผมรู้จัก ผมมีภูมิคุ้มกันและรู้จักการวางตัวมากพอ เพราะงั้นครั้งนี้ผมเริ่มเกิดความรู้สึกอยากประชดประชันขึ้นมาเล็กๆ ซะแล้ว

อย่าดิวะอาสา อย่าเลย เดี๋ยวจะเป็นปัญหาทีหลัง

คืนนั้นผมหลับไปด้วยอาการฟุ้งซ่านเข้าขั้นหนัก โดยที่ไม่มีการโทรกลับของทนายเลยแม้แต่สายเดียว







เพราะที่กรุงเทพฯ เรามีบ้านญาติ เราก็เลยนั่งเครื่องบินไปกันและให้รถของญาติมารับที่สนามบิน ตลอดเช้าที่เดินทางผมทำหน้าเซ็งจนไม่รู้จะเซ็งยังไง พ่อกับแม่ดูตื่นเต้นมาก พวกท่านเอาแต่คุยกันใหญ่ว่าหากการเจรจาครั้งนี้สำเร็จ บ้านเราจะได้อะไรกลับมาบ้าง โน่น นี่ และนั่น

จากที่อิน ตอนนี้ผมชักจะไม่อินซะแล้ว ทนายไม่ยอมติดต่ออะไรผมมาเลย มันเอาแต่เงียบซึ่งผิดวิสัยของคนที่บังคับผมให้ตอบไลน์มันทุกห้านาทีตอนที่เราห่างกันมากๆ

แบบนี้มันยังไงกันแน่วะ คนติดแฟนอย่างกูมันคิดมากนะเว้ยยยย!

รถตู้ของลุงผมมารับอย่างตรงเวลา ผมขึ้นไปนั่งพร้อมกับทำหน้าไม่สนใจสิ่งใดๆ บนโลก จู่ๆ พ่อผมก็ได้รับโทรศัพท์ จากใบหน้ายิ้มๆ ของพ่อก็แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง

พ่อมองผมระหว่างที่คุยโทรศัพท์ไปด้วย หลังจากนั้นพ่อก็ไม่ยิ้มออกมาอีกเลย

เกิดอะไรขึ้นวะ

“เลขาฯ พ่อโทรมา เหมือนอีกฝ่ายเขาอยากจะจับคู่ลูกชายพ่อกับลูกชายคนเล็กของบ้านเขา”

ผมอ้าปากค้าง แบบนี้มันยังมีอยู่ในสังคมไทยด้วยเหรอวะ ผมนึกว่ามีแต่ในละคร

“ลูกชายเขากับลูกชายเราเหรอคะ” แม่อ้าปากค้าง เอามือกุมอก

“มันก็แปลกอยู่สักหน่อยเหมือนกัน แต่พ่อซีเรียสเรื่องความสมัครใจของลูกเรามากกว่า” เสียงของพ่อเข้มมากจนทำให้ผมลืมความเครียดเรื่องทนายไปหมด คำพูดของพ่อมันมีความหมายโดยนัยว่าถ้าผมสมัครใจที่จะมีแฟนเป็นผู้ชาย พ่อก็จะโอเคอย่างนั้นใช่มั้ยครับ แม้ว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นจะไม่ใช่คนที่ทางฝั่งนั้นอยากจับคู่กับผมก็ตาม

ผมมองพ่ออย่างซึ้งๆ นึกไปถึงเรื่องที่ทนายเงียบใส่ผม ต่อมความอยากประชดประชันก็กลับมาอีกครั้ง

“ผมอยากไปเจอเขาก่อนครับ”

แม่อึ้งหนักกว่าเก่า ขณะที่พ่อขมวดคิ้วใส่ผมอย่างตกตะลึง

“อาสา แม่ว่า...”

“จริงๆ แล้วตอนนี้ผมเปิดกว้างครับแม่” ผมตัดสินใจพูดตรงๆ “ถ้าคนคนนั้นเขาทำให้ผมมีความสุขได้ ผมก็ไม่สนใจหรอกว่าเขาจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”

แม่มองหน้าพ่อก่อนจะทอดถอนใจ “เด็กรุ่นนี้”

“2017 สไตล์” พ่อยักคิ้วตอบ “ถ้าลูกไม่ชอบ พ่อกับแม่ก็จะไม่ว่า ความสุขของลูกคือสิ่งที่พ่อแม่ต้องการมากที่สุด รู้ใช่มั้ยอาสา”

“ผมรู้ครับ”

“...”

“ผมถึงโตมาเป็นเด็กที่มีความสุขแบบนี้ไง แม้ก่อนหน้านี้จะนกไปหน่อยก็ตาม”

“อะไรนะ”

“เปล่าครับ”








ผมอยู่บ้านลุงอย่างไม่ค่อยสงบสุขนัก

ไม่ใช่เพราะบ้านลุงอยู่ไกลหรือเพราะพ่อแม่ถกประเด็นเรื่องผมกลายเป็นเพศที่เปิดกว้าง แต่เป็นเพราะไอ้ทนายมันหายไปจากสารบบชีวิตของผมต่างหาก แม้สิ่งที่พ่อกับแม่กำลังพูดคุยกันอยู่จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซีเรียส แต่ก็อย่างที่พวกท่านบอก ความสุขของผมคือสิ่งที่พวกท่านต้องการที่สุด

พ่อยังอึ้งอยู่หน่อยๆ ส่วนแม่ก็คอยแต่ยกมือกุมอกอยู่บ่อยๆ โชคดีนะที่ครอบครัวเรายังมีพี่อัศวิน พี่ชายของผมอยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็เรื่องของผมอาจจะไม่ได้โรยด้วยกลีบดอกไม้เหมือนในขณะนี้ก็ได้

บุพการีของผมเริ่มกลับมาคุยกันเรื่องธุรกิจและการจับคู่ระหว่างผมกับลูกชายของฝ่ายนู้นอีกครั้ง ผมที่ได้ยินเรื่องนี้มาทั้งวันเริ่มรู้สึกเอือม จึงขอพ่อกับแม่ว่าจะเข้าไปเที่ยวแถวๆ ใจกลางกรุงเทพฯ สักหน่อย พวกท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้ผมได้ไปตามอำเภอใจ

เหยื่อที่ผมจะชวนให้ไปเที่ยวเป็นเพื่อนก็คือป๊อบ แม้มันจะมีศักดิ์เป็นเพื่อนสนิทของทนาย แต่ทว่าตอนนี้ผมเริ่มที่จะคุยกับมันได้แล้วครับ ได้ข่าวมาว่ามันกำลังกิ๊กกั๊กกับคนที่เรียนอยู่กรุงเทพฯ เพราะฉะนั้นมันเทียวไปเทียวมาระหว่างกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัดบ่อยเลยล่ะ

โชคดีที่ป๊อบว่าง มันบอกว่าเดี๋ยวจะขับรถมารับ ผมส่งโลเกชั่นไปให้ รออยู่ประมาณชั่วโมงกว่าๆ ได้ รถของป๊อบก็มาจอดเทียบหน้าบ้านของลุงแล้ว

“โทษทีนะ” ผมเอ่ยทักป๊อบ “ต้องรบกวนเลย”

“แฟนเพื่อนก็เหมือนแฟนเราป่ะ” ป๊อบฉีกยิ้มก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “อย่าไปบอกทนายมันล่ะว่าเราพูดงี้”

“ให้มันรับสายเราก่อนเหอะ”

“มันไม่รับสายอาสาเหรอ”

“...”

“ไอ้สัดนี่”

“ใช่มั้ย ไอ้ทนาย ไอ้สัด”

“ใจเย็นนะ” ป๊อบปลอบก่อนจะออกรถ “มันก็ไม่ตอบไลน์เราเหมือนกัน สองสามวันมานี่แม่งเงียบมาก ไม่รู้ทำห่าอะไรอยู่”

“อ้าว ไม่ใช่แค่เราที่โดนมันเงียบใส่เหรอ”

“โอ้โหอาสา ถ้าอาสาโดนทนายมันเงียบใส่ ก็แปลว่าเพื่อนมันทุกคนโดนกันหมดแล้วล่ะ มันแคร์อาสาจะตาย”

ผมทำหน้าไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดนั้น

“เราจะไม่พูดถึงทนายก็ได้ ว่าแต่อยากไปไหนล่ะ”

“แต่ก่อนทนายมันชอบเที่ยวไหนเหรอ”

“คงหนีไม่พ้นสยาม แต่หลังๆ แม่งชอบไปเอ็มควอเทียร์”

“งั้นไปเอ็มควอเทียร์”

“นี่กะจะไปตามหาทนายเหรอ” ป๊อบแซวผมยิ้มๆ

“ประมาณนั้นแหละ” ผมยอมรับ “ลำบากเนอะ แฟนไม่ยอมรับสายเนี่ย”

“นั่นสิ แม่งกวนตีนอาสากูแล้วมั้ยล่ะ สัดทนายเอ๊้ย”

“อะไรนะ”

“เปล่าๆๆ”







ห้างสรรพสินค้าเอ็มควอเทียร์

ผมเดินนำป๊อบที่เอาแต่เล่นโทรศัพท์ คนภายนอกที่มองมาคงจะคิดว่าป๊อบเหมือนเดินมาคุมผมอะไรทำนองนั้น ผมมองซ้ายมองขวา ทำเป็นไม่ได้มองหาใครเป็นพิเศษ แต่เอาเข้าจริงๆ ผมก็มองหาทนายนั่นแหละ

ท่ามกลางผู้คนนับพันหมื่นล้าน (เว่อร์) ผมคิดว่ายังไงผมก็ไม่มีทางมองเห็นทนายแน่ มันไม่มีทางมาเดินที่นี่เวลานี้ เพราะถ้าเป็นงั้นคงจะเป็นอะไรที่โคตรบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ

ทว่าอย่าได้ดูถูกโชคชะตาระหว่างผมกับไอ้ทนายเชียว

ผมเห็นมันเดินเคียงคู่กับสาวซึ่งดูก็รู้ว่าเป็นผู้ดีตีนแดง ทนายยิ้มร่าระหว่างที่หัวร่อต่อกระซิกกับเธอคนนั้น ผมรู้สึกเข่าใกล้จะทรุด นี่มันไม่ใช่ภาพที่ผมต้องการเห็นจริงๆ

“เวร” ป๊อบมองผมกับทนายสลับกัน “ไม่เป็นไรอาสา เดี๋ยวเราเคลียร์ให้”

ผมยื่นแขนไปขวางทางป๊อบ “ปล่อยมันเถอะ”

“เฮ้ย”

“เรารู้คำตอบแล้วว่าทำไมมันถึงไม่รับสายเรา”

ปฏิบัติการประชดประชันเริ่มขึ้น ณ บัดเดี๋ยวนี้





“อาสา ทรงผมอะไรน่ะลูก”

“หล่อมั้ยแม่”

“แปลกตาดี แต่เข้ากับลูกมากเลย”

“คนคนนั้นเขาเป็นยังไงบ้างครับ”

“หมายถึงลูกชายของฝั่งนู้นน่ะเหรอ ไม่รู้สิ แม่ก็ไม่เคยเจอ”

“ถ้าเขาดูดีก็คงจะดีนะครับ”

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่านี่ครับแม่”

“อาสา ถ้าลูกไม่ชอบ ลูกบอกแม่นะ สัญญา”

“ครับ”

“แต่ถ้าลูกชอบ...”

“ผมก็จะบอกแม่เหมือนเดิม”

“ตกลงตามนั้นนะ”
“...”

“เฮ้อ แต่แม่ได้ข่าวมาว่าเด็กคนนั้นไม่ได้โสดอยู่เนี่ยสิ”

“แม่ว่าไงนะครับ”

“เปล่าจ้ะ”









“ใจจะขาดแล้ว”

“เลือกที่จะทำเองไม่ใช่หรือไง”

“ผมไม่น่าพนันกับแม่เลย”

“...”

“ถ้าพรุ่งนี้ผมได้ใจพ่อกับแม่อาสา แม่อย่าลืมนะว่าต้องจ่ายตังค์ค่าทริปไปเที่ยวของผมกับอาสา”

“รู้แล้วล่ะน่า”

“จ่ายตังค์ชดเชยค่าที่ผมต้องห่างจากอาสาตลอดสองสามวันนี่ด้วย”

“รู้แล้ว”

“คุณแม่สายเปย์ แพ้พนันลูก”

“ทนาย หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ”




TBC*

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12





ตอนที่ 34
พาร์ตของอาสา





วันนี้ผมแต่งตัวพิถีพิถันเป็นพิเศษ พร้อมกับวางแผนไว้ในใจเป็นที่เรียบร้อยว่ายังไงผมก็ต้องได้แชะรูปลูกชายของคู่เจรจาธุรกิจของพ่อกับแม่ให้ได้ ถ่ายเสร็จปุ๊บผมจะลงไอจีปั๊บ ทนายจะต้องหัวร้อนแน่ๆ ยกเว้นเสียแต่ว่ามันไม่แคร์ผมแล้วอ่ะนะ

ผมไม่ได้อารมณ์ดีเหมือนที่กำลังเสแสร้งอยู่ แม้ใบหน้าจะยิ้มแย้มพูดคุยกับพ่อแม่ แต่ลึกๆ ในใจของผมก็ยังคงคิดกังวลเรื่องทนายอยู่ไม่สร่าง อยู่ดีๆ มันก็เปลี่ยนไปชนิดที่ว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เปลี่ยนจากที่คุยกับผมบ่อยๆ เป็นหายหน้าหายตาไปเลย และที่สำคัญคือเปลี่ยนจากผมเป็นคนอื่น

นี่มึงใช่ทนายคนที่กูรู้จักมั้ยเนี่ย

ผมถอนหายใจยาวๆ ขณะนั่งรถตู้เพื่อไปยังสถานที่นัดหมาย คู่เจรจาของพ่อแม่นัดทานอาหารกลางวันกับพวกเรา ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่า ใกล้จะถึงเวลานัดแล้วซึ่งก็คือเที่ยงตรง

หากท่านสงสัยว่าทนายโทรมาหาผมหรือยัง ผมขอตอบว่ายัง ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ข้อความสักข้อความและสติ๊กเกอร์สักตัวก็ไม่มีครับ

ครอบครัวผมแต่งตัวเป็นทางการมากเป็นพิเศษ พ่อกับแม่ใส่ชุดเก๋ที่นานๆ ทีจะหยิบออกมาใส่ ส่วนผมนั้นเหมือนกำลังจะไปงานแต่งงาน ถ้าหากมีเสื้อสูทตัวนอกสักหน่อยหรือเปลี่ยนรองเท้าจากผ้าใบสีขาวเป็นรองเท้าหนัง แค่นั้นผมก็สามารถเดินเข้าไปในงานแต่งงานได้เลยครับ

ปกติผมไม่ได้แต่งตัวแบบนี้หรอก แค่เสื้อยืดกับกางเกงเต่อๆ โชว์ข้อเท้าก็ถือว่าคูลมากพอสำหรับผมแล้ว แต่วันนี้เพื่อแม่และก็เพื่อการประชดไอ้ทนายอย่างเต็มรูปแบบ ผมจำเป็นต้องจัดเต็มสักนิดหนึ่ง

สถานที่นัดหมายคือร้านอาหารในโรงแรม BW GRAND

ผมพยุงแม่ตอนลงมาจากรถตู้ ลานจอดรถหน้าโรงแรมมีรถจอดอยู่ค่อนข้างเยอะ อาจเพราะวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วย ระหว่างที่แม่ผมกำลังลงมาจากรถตู้อย่างทุลักทุเล เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็พลันเกิดขึ้น

กรุงเทพฯ มันน่ากลัวก็ตรงที่ว่าอันตรายมันมีอยู่ทุกที่

“กรี๊ดดดดดด!” แม่ร้องลั่น กระเป๋าสะพายของแม่ถูกชายจากไหนไม่รู้วิ่งมาฉกเอาไปหน้าตาเฉย ผมที่ตั้งสติได้ก่อนรีบวิ่งตาม แต่ความฮาที่ไม่ควรเกิดก็เสือกจะเกิดกับผมในตอนนี้ ผมสะดุดหัวทิ่ม ต้องใช้ศอกยันพื้นคอนกรีตเอาไว้ กลายเป็นว่าผมได้แผลถลอกสดๆ มาอีกหนึ่งแผล

“รปภ.!” พ่อผมร้องเรียกเจ้าหน้าที่ของโรงแรม “มีโจรวิ่งราวกระเป๋าที่นี่!”

“อาสา ลูกไม่ต้องตาม” แม่ห้ามผมไม่ทันเพราะผมวิ่งฉิวไปแล้ว ไอ้โจรเหี้ยแม่งก็ฝีเท้าไวมากเหลือเกิน ไม่รู้ว่าไปกินพริกทั้งสวนมาก่อนจะขโมยของคนอื่นหรือเปล่า ทำไมถึงต้องกินพริกก่อนมาวิ่งเหรอครับ เพราะมันจะได้รีบวิ่งเร็วๆ เพื่อไปหาน้ำหาท่ามาดับความเผ็ดไง

จู่ๆ มันก็หายไปจากคลองสายตาของผม ผมหอบแฮกๆ มองหาโจรใหญ่ เมื่อไม่เจอผมก็เดินหาเอา รู้สึกว่าวันนี้จะต้องเป็นวันที่พังฉิบหายแน่ๆ เพราะสภาพผมตอนนี้ไม่เหมาะกับการไปอวดใครทั้งสิ้น

ผมตัดสินใจเดินกลับไปหาพ่อกับแม่ เพราะตามหาตัวโจรไม่เจอจริงๆ ทันทีที่ผมกลับไปถึง กระเป๋าก็อยู่ในมือแม่เรียบร้อยแล้ว
งงเลยกู

“เบอร์กิ้นลูกแม่ ใจหายหมดเลย”

ผมต่างหากที่เป็นลูกแม่อ่ะ ไม่ใช่กระเป๋า “ทำไมได้คืนล่ะครับ ใครเอามาคืน”

“มีพ่อหนุ่มคนหนึ่งเอามาให้เมื่อตะกี้อ่ะ คนอะไรไม่รู้ทั้งหล่อทั้งเก่ง” แม่ยังคงโอบกอดกระเป๋าอย่างหวงแหน ผมคิดว่าแม่ห่วงกระเป๋ามากกว่าห่วงของข้างใน

“แล้วจับโจรได้มั้ยครับ”

“มันวิ่งหนีน่ะ” พ่อตอบแทน “แต่ได้ของคืนก็ดีแล้วล่ะ ซวยไปนะแม่นะ”

“ผมไปหาซื้อยามาทำแผลก่อนนะ”

“ลูกเป็นแผลเหรอ”

“ไม่เป็นไรครับแม่ เล็กน้อยมาก ใช้ของจากเซเว่นก็ได้ พ่อกับแม่ไปตามนัดเลย เดี๋ยวผมตามไปทีหลัง”

“แต่ว่า...”

“นัดคุยธุรกิจต้องตรงต่อเวลาสิครับ”

พ่อกับแม่มองตามผมอย่างเป็นห่วง แต่ผมโบกมือบอกพวกท่านว่าไม่เป็นไร โชคดีที่บริเวณหน้าปากทางเข้าโรงแรมมีเซเว่นอยู่ใกล้ๆ ผมจึงไม่ต้องเดินไปไกลมากนัก

หน้าเซเว่นมีใครก็ไม่รู้หล่อมากกำลังนั่งอยู่ เขาใส่สูทแฟชั่นสีเทา กางเกงสแล็กส์สั้นเต่อเห็นข้อเท้า เป็นสไตล์ที่ถือว่าแม้แต่ผมที่ไม่ค่อยสนใจแฟชั่นยังมอง เหมือนนายแบบเอเชียหลุดออกมาจากนิตยสารยังไงยังงั้น มีกล้องถ่ายอยู่แถวนี้หรือเปล่าวะ เพราะท่านั่งเขาเหมือนกำลังโพสต์ท่าถ่ายแบบอยู่ยังไงยังงั้นเลย

การใส่สูทแฟชั่นแบบไม่ใส่เนกไทมันเท่อย่างงี้นี่เอง ถ้าผมจะไปงานแต่งในอนาคต ผมจะแต่งตัวแบบเขาก็แล้วกัน

ผมเดินเข้าไปในเซเว่น เลือกอุปกรณ์ทำแผลอย่างเร่งด่วนแล้วจ่ายตังค์ จากนั้นก็ออกมานั่งม้านั่งซึ่งเป็นคนละตัวกับที่นายแบบสูทแฟชั่นนั่งอยู่

แม้จะเป็นแผลเล็กๆ ที่ข้อศอก แต่เวลาล้างแผลด้วยแอลกอฮอล์นี่มันก็แสบใช่เล่น ผมไม่ลืมที่จะใช้น้ำเปล่าล้างแผลก่อนที่จะใช้แอลกอฮอล์ เพราะผมรู้สึกว่ามีดินติดอยู่ที่แผลของผมเลยครับ โคตรสยอง

พอผมเงยหน้าอีกทีไอ้นายแบบคนนั้นก็ลุกขึ้นเดินผ่านผมไปแล้ว

เดี๋ยว ทำไมท่าเดินคุ้นๆ น้ำหอมก็คุ้น และส่วนสูงก็คุ้น ผมอ้าปากค้างระหว่างที่มอง ตอนนั้นแม่ของผมโทรเข้ามาพอดี ผมก็เลยไม่ได้สนใจมองนายแบบคนนั้นต่อ

ทำไมคนคนนั้นถึงได้คล้ายทนายจังเลยวะ







ห้องวีไอพีที่ภัตตาคารชั้นสี่สิบสอง

ก่อนจะเข้าไป ผมทำใจอยู่นานเพราะรู้ว่าบทสนทนาที่อยู่ข้างในห้องต้องเป็นอะไรที่ผมรู้เรื่องนิดเดียวแน่ พวกผู้ใหญ่มักจะคุยเรื่องการตลาด แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผลประกอบการ อะไรเทือกๆ นั้นแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือคู่เจรจาของพ่อกับแม่พาลูกชายมาด้วย คนที่เขาพากันคิดจะจับคู่กับผมนั่นแหละ คิดไปคิดมาก็ตลก ผมยอมมาง่ายๆ ได้ไงวะ

“นั่นไงมาแล้ว”

“นี่ค่ะลูกชายของเรา ชื่ออาสาค่ะ”

ผมยกมือไหว้คนที่นั่งอยู่ข้างในห้องด้วยสายตาเบลอๆ พอได้สัมผัสบรรยากาศในห้องก็อยากหันหลังวิ่งหนีกลับไปซะอย่างนั้น เมื่อกี้ที่เห็นคนคล้ายทนาย ผมก็เริ่มรู้สึกผิดนิดหน่อยแล้วที่พาตัวเองมาอยู่ตรงนี้

พอตั้งสติดีๆ แล้วก็ได้รู้ว่าผมไม่ควรอยู่ที่นี่ นี่มันบรรยากาศการจับคู่แบบที่เหมยลี่เคยโดนในหนังเรื่องรถไฟฟ้ามาหานะเธอนี่ แล้วทำไมผมถึงยอมง่ายๆ เพียงเพราะต้องการประชดทนาย มันไม่ใช่เรื่องดีไม่ใช่เหรอถ้าหากทุกอย่างในวันนี้มันถลำลึกมากขึ้นไปอีก

ฉิบหาย ผมต้องถอยกลับ เพื่อตัวผม เพื่อทนาย

“หน้าตาน่ารักจังเลยนะคะ”

“ขาวจริงๆ”

ผมหันไปมองคู่เจรจา เฮ้ย ทำไมคุณโสภาพรรณ แม่ไอ้ทนายถึงมาอยู่ตรงนี้ ข้างๆ นั่นก็คือคนที่เหมือนทนายตอนแก่ ซึ่งจะเป็นใครไม่ได้นอกจากพ่อของทนาย

ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า...ไอ้คนที่นั่งอยู่ในสุดนั่นก็คือทนายงั้นสิ

มันมองผมอย่างอึ้งๆ และผมก็มองมันอย่างอึ้งๆ เหมือนกัน มันคือไอ้นายแบบสูทสีเทาหน้าเซเว่นนั่นแหละครับ แต่มันเปลี่ยนไปมากเพราะทรงผม การแต่งตัว และบุคลิกภาพ ผมไม่คิดว่ามันจะเสริมหล่อจนผมจำแทบไม่ได้ขนาดนี้ หล่อแบบที่ว่าหล่ออยู่แล้วก็ทำให้ตัวเองหล่อขั้นสุดยอดเข้าไปอีกอ่ะ

ทนายไม่ได้อึ้งที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ แต่มันดูอึ้งกับภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของผมมากกว่า ผมสีฟ้าอ่อนที่ผมเพิ่งไปทำมาเมื่อวานทำเอามันตาค้าง

“มองกันใหญ่เลย” แม่ผมพึมพำ “นั่งก่อนสิลูก นั่งตรงข้ามกับน้องทนายนั่นแหละ”

บุพการีมองผมอย่างเป็นห่วง กลัวผมจะตื่นตกใจวิ่งหนีออกไปจากห้อง ผมไม่ตกใจอะไรขนาดนั้นหรอก เพียงแต่ว่าผมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนหลอก ไม่ว่าทนายจะรู้หรือไม่ว่าการที่ผู้ใหญ่คุยกันครั้งนี้มันจะต้องเจอผม ผมก็มองว่ามันปิดบังผม มันแต่งตัวจัดเต็มขนาดนี้ดูก็รู้ว่าต้องการอวดครอบครัวของอีกฝ่าย นั่นหมายความถ้าไม่ใช่ผม มันก็พร้อมที่จะถูกจับคู่ในวันนี้เพราะมันทุ่มเทเปลี่ยนตัวเองอย่างเต็มที่

แค่คิดหน้าผมก็บึ้งแล้ว

แปลกแต่จริงที่ทนายหน้าบึ้งเหมือนกัน

ผมทิ้งตัวนั่งฝั่งตรงข้ามกับทนาย เราสองครอบครัวกำลังเผชิญหน้ากัน ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายยิ้มแย้ม ผิดกับผมและทนายที่มองกันเหมือนไม่ได้เป็นแฟนกันมาก่อน

เห็นทีว่ามึงกับกูมีเรื่องต้องคุยกันยาว...

“ได้ข่าวมาว่าอาสาก็เรียนอยู่มอ B เหมือนเจ้าทนายใช่มั้ย” พ่อของทนายชวนผมคุย

“ผมเรียนมอ B ครับ แต่ไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อน” ผมตอบยิ้มๆ ทนายถึงกับคิ้วกระตุก

“เอ่อ...” แม่ของทนายเริ่มงุนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า

“สนิทกันไว้ก็ดีนะลูก ได้ข่าวว่าอายุเท่ากัน ถึงแม้ว่าน้องทนายเขาจะเรียนซ้ำไปหนึ่งปีก็ตาม” แม่ผมช่วยพูดบ้าง

“ผมสนิทกับคนอื่นยากมากครับ ขอโทษครับ” ทนายตอบ

ผมเลิกคิ้ว มองทนายด้วยสายตาปรามให้มันเลิกขัดคอแม่ผม ส่วนทนายก็เหมือนจะส่งสายตาแบบนั้นมาให้ผมเหมือนกัน เราทุกคนปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง จากนั้นผู้ใหญ่ก็เริ่มพูดจาภาษาธุรกิจที่ผมกับทนายยังไม่มีส่วนในการตัดสินใจ

ผมสัมผัสได้ว่ามีเท้าใครก็ไม่รู้มาเขี่ยขาผมเล่น ผมขยับขาหนี แต่ไอ้เท้าเหี้ยนั่นก็ตามมาอีกจนได้ ผมจิกสายตาใส่ทนาย มันทำหน้าถมึงทึงใส่ผมพร้อมกับส่งสายตาขู่

“น้องอาสานี่หน้าตาน่ารักจริงๆ เนอะ ว่ามั้ยทนาย” แม่ของทนายชวนคุย

“ขอบคุณครับ” ผมตอบ

“ไม่เท่าไหร่ครับ” ทนายเอ่ย

สัด ผมทำปากขมุบขมิบเพื่อด่ามัน และตอนนั้นแม่ผมก็รีบพูดขึ้นมา

“ขอบคุณที่ทนายช่วยเอากระเป๋ามาคืนน้านะจ๊ะ” แม่ผมมีสีหน้าประทับใจ ผมอ้าปากหวอ คนที่เอากระเป๋ามาคืนแม่ผมก็คือทนายงั้นเหรอ “ถ้าไม่ได้ทนาย น้าต้องแย่มากแน่ๆ”

“ผมเรียกคุณน้าว่าแม่ได้มั้ยครับ” ทนายถามยิ้มๆ แม่มันคงงงว่าสรุปมันจะเอายังไง จะพายเรือต่อหรือจะคว่ำเรือ ส่วนผมน่ะเหรอ ขอกระโดดลงจากเรือลำนี้ก่อนดีกว่า เพราะผมชักจะงงไปหมดแล้วว่าเหตุการณ์ตรงหน้ามันคืออะไร

“ผมขอตัวสักครู่นะครับ” ผมพูดกับผู้ใหญ่อย่างนอบน้อม

“ได้สิจ๊ะ”

ผมเดินออกมาจากห้องเพื่อไปเข้าห้องน้ำ ไม่คิดว่าทนายจะเดินตามออกมาหรอก เพราะมันดูเข้ากันได้กับแม่ผมมากเป็นพิเศษ

แต่ผมคิดผิด...







ห้องน้ำภัตตาคาร

ทนายเดินตามผมเข้ามา มันกดล็อกประตูห้องน้ำเฉย เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงได้ร้องลั่น

“ทำห่าอะไร คนอื่นเขาจะเข้าห้องน้ำยังไง”

“บ้านกูเป็นเจ้าของที่นี่” ทนายไม่สนใจเสียงโวยวายของผม “ผมสีฟ้าของมึงนี่อะไร”

“แล้วมึงแต่งตัวหล่อไปทำไม มึงไม่รู้มาก่อนใช่มั้ยว่าคนที่ผู้ใหญ่จับคู่ให้คือกู มึงถึงแต่งตัวเต็มมาซะขนาดนี้”

“เพราะกูรู้ไง ถึงได้จัดเต็มอ่ะ” ทนายโวยวาย “กูรู้ว่าจะเจอพ่อแม่มึง กูก็เลยอยากหล่อที่สุดให้พวกท่านประทับใจ แต่มึงนี่ยังไงไม่ทราบ ไม่รู้ไม่ใช่เหรอว่าจะมาเจอกูอ่ะ ทำไมถึงต้องเปลี่ยนสีผม ทำไมถึงต้องแต่งหน้ามา”

มันรู้ด้วยว่าผมแต่งหน้ามานิดหน่อย “รู้ได้ไงวะ”

“ตอนอยู่มอกูอยู่กับมึงตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน เห็นมึงหมดทั้งตอนเสียวและก็ไม่เสียว” ไอ้เวรนี่ ดูพูดเข้า “กูก็ต้องรู้สิว่าตอนไหนมึงแต่งหน้าหรือไม่แต่ง”

“ก็แค่บีบีเอง”

“...”

“ทาตานิดหน่อย แม่ทาให้”

ทนายโกรธจนผลักผมไปชิดผนัง “จะดูดีไปเพื่อคนที่มึงไม่รู้จักทำไม มึงมีแฟนอยู่แล้วทั้งคน”

“ก็แฟนกูมันไม่ใส่ใจกูอ่ะ”

“กูหาตังค์ซื้อของให้มึง” ทนายร้อง “กูเพิ่งคิดได้ว่ากูยังไม่ได้ให้อะไรมึงเลย กูอยากหาของให้มึง”

“ด้วยการไม่ติดต่อกับกูงั้นเหรอ”

“กูพนันกับแม่ ไม่คุยกับอาสาหนึ่งวัน กูจะได้หนึ่งแสน”

“หา!” ผมอ้าปากค้าง “จริงเหรอ”

“กูท้ากับแม่ประจำแหละ”

“เดี๋ยว แม่มึงรู้จักกูด้วย?”

“ใช่”

“เขาสนับสนุนเราเหรอ”

“เออดิ คนออกทุนให้กูชุบตัวก็แม่กูนี่แหละ แม่อยากเกี่ยวดองกับครอบครัวมึง” ทนายทำสีหน้าเก้อเขินแปลกๆ

ผมพยายามคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดในเวลาอันสั้น “งั้นก็แสดงว่าครอบครัวมึงรู้ทุกอย่าง แต่ครอบครัวกูไม่รู้สักอย่างงั้นสิ”

“กูขอโทษ กูก็อยากให้มึงเซอร์ไพรส์ที่จู่ๆ แฟนมึงหล่อขึ้นแบบผิดหูผิดตา แต่กูเซอร์ไพรส์ไม่ลงเลยตอนที่เห็นมึงเปลี่ยนโฉมตัวเองอ่ะ ถ้าคนที่นั่งอยู่ในห้องไม่ใช่กูขึ้นมาล่ะวะ”

“กูุทำเพราะโมโห”

“...”

“เมื่อวานกูเห็นมึงอยู่กับผู้หญิง”

“พี่น้อยหน่าอ่ะนะ ครูสอนบุคลิกภาพกู”

“หา!”

“กูไปเรียนมา คอร์สระยะสั้นหนึ่งวันเต็มๆ” ทนายเอียงหน้ามากระซิบข้างหูผม “ทั้งหมดนี่ก็เพื่อมึง”

ที่มันแต่งตัวเหมือนนายแบบ ชุบตัวให้ออกมาดูดี ซุ่มเรียนบุคลิกภาพ อีกทั้งยังช่วยวิ่งจับโจรวิ่งราวให้แม่ผม ทั้งหมดนี่เพื่อให้แม่กับพ่อของผมชอบมันอย่างนั้นเหรอ

ผมรู้สึกว่าความโกรธกำลังลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง

“แม่มึงจะโอเคกับกูมั้ย” ทนายปล่อยผมในที่สุด มันเดินไปล้างมือด้วยท่าทางเท่ๆ พร้อมๆ กับส่องกระจก

อย่าไปแต่งตัวแบบนี้ที่มหา’ลัยเชียว พวกผู้หญิงต้องกรี๊ดมันมากแน่ๆ ผมพูดเลย แม่งโคตรหล่อ หล่อแบบที่ผมจ้องตาเป็นมันแบบไม่ปิดบัง

“อาสา ได้ยินหรือเปล่า”

“หา?”

“มองอะไรเหรอ” ทนายก้มหน้าสำรวจสภาพตัวเอง “แปลกใช่มั้ย”

“อืม”

“...”

“แต่หล่อมากเลย”

มันยิ้มกริ่มถูกใจก่อนจะก้มหน้าลงมาหอมแก้มผม “ถ้าเพื่อมึง กูหล่อได้มากกว่านี้อีกนะ”

“พอเถอะ” ผมพูด “แค่นี้กูก็ไม่อยากให้มึงออกไปไหนแล้วว่ะ ตอนเจอมึงแบบบังเอิญที่เซเว่น กูยังชมมึงในใจฉิบหาย กูจำมึงไม่ได้อ่ะ”

“อ๋อ ไอ้นั่นก็คือมึงสินะ ไอ้หัวฟ้า” ทนายทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “เราสองคนจำกันไม่ได้เหรอวะ”

เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วห้องน้ำ ทนายเดินเข้ามากอดพร้อมกับหอมแก้มผมอีกหลายๆ ฟอด

“ขอโทษที่หายไปนะ แต่กูต้องทำเพื่อเงินสองแสนจริงๆ”

“มึงจะซื้อของอะไรให้กูแพงขนาดนั้นวะ กูไม่เอา” ผมพูดจากใจจริง

“กูอยากซื้อให้”

“กูไม่เอา”

“งั้น...” ทนายทำหน้ากรุ้มกริ่ม มองไปที่ประตูแล้วหันมาหาผม “เราสองคนมาหลบพ่อแม่กันเถอะ”

“เอ๋?”

“กูไม่อยากกลับเข้าไปแล้วว่ะ พ่อแม่กูคงร่ายยาวเรื่องการต่อยอดธุรกิจห่าเหว”

“พ่อแม่กูก็คงคล้อยตามง่ายๆ เพราะพวกท่านเป็นแฟนคลับของโสภาพรรณกรุ๊ป”

ทนายหัวเราะ ก่อนจะจูงมือผมให้เดินออกไปจากภัตตาคาร และเราสองคนก็เดินออกจากโรงแรมไปเลย








บนรถ

ผมลอบมองดูทนายด้วยความประหลาดใจปนประทับใจ ภายในระยะเวลาอันสั้นคนเราสามารถเปลี่ยนลุคได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ
เอาจริงๆ ผมอดภูมิใจไม่ได้แฮะที่แฟนผมมันหล่อมากหล่อมายขนาดนี้

“จ้องขนาดนี้ แดกกูด้วยเลยจะดีกว่า กูอนุญาต” ดวงตาภายใต้แว่นกันแดดฉาบปรอทไม่รู้ว่าจะกรุ้มกริ่มมากแค่ไหน แต่ผมคิดว่าคงมากพอให้ผมทำสีหน้าไม่ถูก

“กูไม่แดก มึงไม่อร่อย”

“หูย สงสัยแดกบ่อยจนเบื่อแล้วสิ”

“บ้า ยังไม่เบื่อเลย”

“ฮ่าๆๆ” ทนายเอื้อมมือมาลูบหัวผม “กูชอบเวลาที่มึงพูดตรงๆ กับกูแบบนี้นะ”

“ทำไมอ่ะ”

“กูหลงมึงเพราะงี้”

“...”

“ถ้ามัวแต่กั๊กเพราะเขิน กูคงไม่รู้สักทีว่ามึงรู้สึกยังไง ฟินแค่ไหน กูเร็วไปหรือเปล่า หรือว่ามึงอยากต่ออีก...”

“เดี๋ยว ไอ้สัด ทำไมกลายเป็นเรื่องบนเตียง”

“ก็เราพูดเรื่องบนเตียงกันตั้งแต่คำว่าแดกแล้วนะครับ”

“ไอ้นี่” ผมสบถ “กามได้ทุกที่”

“มึงน่ารักจริงๆ นะวันนี้” ทนายส่งยิ้มมาให้ “ผมสีฟ้าทำกูใจสั่นเลยรู้ป่ะ”

“...”

“หึงด้วย”

“...”

“นี่ถ้าไม่ใช่กูจริงๆ กูอยากจะรู้นักว่ามึงจะอ่อยคนที่ผู้ใหญ่เค้าจับคู่กับมึงยังไง”

“กูไม่อ่อยหรอก ก่อนเงยหน้ากูคิดจะวิ่งหนีด้วยซ้ำ กูอยู่ในห้องต่อเพราะเห็นว่าเป็นมึง”

ทนายดูดีใจกับคำพูดของผม “จริงอ่ะ”

“จริงสิ” ผมทอดถอนใจ “แค่มึงไม่คุยกับกูสองสามวันกูก็คิดเป็นตุเป็นตะแล้ว กูรักมึงจะตาย ถ้าจะต้องคู่กับใครสักคน คนคนนั้นก็ต้องเป็นมึงอยู่แล้วสิวะ”

ทนายลูบหัวผมอีกครั้ง ดูมันรู้สึกดีกับคำพูดของผมมาก

“พ่อแม่มึงรู้จักกู แล้วพวกท่านชอบกูมั้ยวะ” ผมถามอย่างลุ้นๆ

“กูชอบ พวกท่านก็ต้องชอบ”

“...”

“จริงๆ ก็ชอบตั้งแต่เห็นนามสกุลมึงแล้วล่ะ บ้านกูก็งี้ อะไรที่เป็นธุรกิจได้ก็จะคิดแต่เรื่องทำธุรกิจ มึงอย่าน้อยใจเลยนะอาสา”

“กูไม่ได้น้อยใจ”

“...”

“ถ้าได้รักกับมึง พ่อแม่มึงจะพาครอบครัวกูดองปลาร้าขายกูก็ยอม”

ทนายหลุดขำเสียงดังลั่น “เออว่ะ ทำแบรนด์ปลาร้ากันมั้ย โสภาพรรณกรุ๊ปยังไม่มีแบรนด์ปลาร้านะ”

“อย่าเลย”

“...”

“บ้านพี่คีนทำไปแล้วว่ะ มันทำขายที่จังหวัดบ้านกูไม่ได้”

ทนายทำหน้าบึ้งตึง ก่อนจะไม่ยอมพูดเรื่องธุรกิจอะไรอีก

“ว่าแต่มึงจะขับรถพากูไปไหน”

“ที่รักอยากไปไหนล่ะ”

“ไม่รู้ แต่ก็ไม่อยากให้มึงไปโชว์ตัวกับคนอื่นในสภาพแบบนี้อ่ะนะ” ผมมองมันด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจ

“กูก็เหมือนกัน” ทนายมองผมผ่านแว่นกันแดด “ก่อนกลับมออย่าลืมย้อมผมกลับมาเป็นสีเดิมด้วย กูไม่อยากหึงเพิ่ม เพราะแค่นี้แม่งก็เยอะจะแย่แล้ว มึงมันฮอต”

“มึงก็ห้ามแต่งหล่อแบบนี้ที่มอนะ”

“กูจะไปแต่งในงานอะไรล่ะ”

“แต่งให้กูดูคนเดียวก็พอ” ผมพูดตรงๆ

ทนายมองผมอย่างถูกอกถูกใจ จากนั้นมันก็จอดรถข้างทาง ก่อนจะขยับตัวเข้ามาจูบผมอย่างนุ่มนวลอ่อนหวาน

“มึงรู้มั้ยว่ากูเรียกมึงในใจบ่อยๆ ว่าอะไร”

“มึงเรียกในใจกูจะได้ยินด้วยมั้ยล่ะ”

“ลองทายมาเถอะน่า”

“ที่รักเหรอ”

“หวานไป คนอย่างกูหวานขนาดนั้นเหรอ”

“ก็หวานนะ เฉพาะตอนทำ” จะว่าทนายมันหมกมุ่นคนเดียวก็ไม่ได้แล้วสิ

“อ่ะแฮ่ม ตอบคำถามมาก่อน”

ผมทำท่านึก นึกให้ตายยังไงก็นึกไม่ออก

“กูเรียกมึงว่างูพิษ” หลังจากได้ฟังคำเฉลย ผมนี่รีบตีแขนไอ้ทนายอย่างบ้าคลั่งเลยครับ เรียกห่าอะไร ทำไมมันฟังดูโคตรร้าย “โอ๊ย! แต่กูรักงูพิษตัวนี้ที่สุดนะ”

“ฟาย กูไม่ชอบ”

“งูพิษทั้งเจ้าเล่ห์ เหลี่ยมจัด ขี้อ่อย แต่บางครั้งก็อ่อนหวาน ยินยอมกู โซแดมฮอต และก็เซ็กซี่ มันไม่ดีเหรอวะแบบนี้”

ผมเริ่มลังเลใจ คำนี้มันดีใช่มั้ยครับทุกคน

“กูหลงมึงเพราะมึงเป็นงูพิษด้วย มึงจำไว้เลยอาสา”

“กูนึกมาตลอดว่ากูเป็นนก ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นงู”

ทนายยิ้มกริ่มก่อนจะใช้ริมฝีปากของมันมาแตะริมฝีปากของผม

“จะเป็นงูพิษหรือจะเป็นนก กูก็รักหมดนั่นแหละ”






“ลูกชายคุณโสภาพรรณเป็นไงบ้างลูก” คืนนั้นแม่ถามผมด้วยสีหน้าลุ้นๆ ดูก็รู้ว่ากลัวผมไม่เคาะให้ทนายมันผ่าน

จริงๆ แล้วมันผ่านตั้งนานแล้วล่ะครับแม่ ผมไม่รู้ว่าจะไปหาคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจได้จากที่ไหนอีก ไม่มีอีกแล้ว แต่จะให้พูดกับแม่ตรงๆ ถึงความจริงทุกอย่างมันก็ไม่น่าลุ้นสำหรับแม่น่ะสิ ขอแกล้งสักหน่อยดีกว่า

“แม่ว่าเขาหล่อดีนะ เขามีน้ำใจช่วยแม่ด้วย”

“...”

“เบอร์กิ้นเลยนะลูก มันไม่ใช่แค่กระเป๋า แต่มันคือเบอร์กิ้น”

“เอ่อ...”

“ลูกจะว่ายังไง”

“ยังไงก็ต้องดูกันต่อไปนะครับ”

“พิจารณาทนายหน่อยนะลูก ทางนู้นเขาบอกมาว่าทนายถูกใจลูกมากเลย”

“จริงเหรอครับ”

“เรียนจบอาจจะได้จัดงานแต่ง”

“หา!”

“ทางนั้นเขาพูดมาเองเลย แม่ก็ได้แต่ยักไหล่ แต่ก็แอบตื่นเต้นนิดหน่อย”

“นี่แม่คุยกับเขาวันเดียวแล้วแม่จะยกลูกชายให้เขาเลยเหรอ” ขอโวยวายหน่อยเหอะ

“ก็แหม...น้องทนายก็หล่อ คุณโสภาพรรณก็น่ารัก”

“ไม่รู้แหละ ตอนนี้ยังไงทนายก็ไม่ผ่าน”

“เอ๊ะ”

“ผมไม่ให้มันผ่านครับ”

แม่ทำหน้าบึ้งใส่ผม ผมหัวเราะลับหลังแม่ มองดูแม่ออกไปจากห้องนอนด้วยสายตาขี้เล่น มือของผมกดส่งข้อความบอกฝันดีกับคนรัก

ARSA : ฝันดีนะ
ARSA : ขอบคุณที่ทำเพื่อกู
ARSA : ถ้ากูไม่แต่งงานกับมึง แม่คงตัดกูออกจากกองมรดกว่ะ
ARSA : กูรักมึงมากนะทนาย








TBC*

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12





บทส่งท้าย





คืนธรรมดาๆ คืนหนึ่งที่มอ B แต่เป็นคืนที่ไม่ธรรมดาสำหรับผม

อาสาเมาเล็กน้อยครับท่านผู้ชม และตอนนี้มันก็เต้นอยู่กลางฟลอร์ อื้อหือ โคตรเซ็กซี่ เซ็กซี่ฉิบหาย จริงๆ แล้วท่าเต้นมันก็ไม่ได้อ่อยอะไรเลยครับ มันก็เหมือนผู้ชายเต้นในผับธรรมดาๆ ออกจะติดเป็นสไตล์เคป็อปนิดๆ ด้วยซ้ำ ผู้หญิงคนอื่นอาจจะมองว่าเท่ ผู้ชายคนอื่นอาจจะมองว่าน่ารัก แต่สำหรับผม ผมมองว่า...คืนนี้มันเสร็จผมแน่

จริงๆ มันก็เสร็จผมอยู่ทุกคืน ยกเว้นเสียแต่ว่าอาสามันเหนื่อยและไม่ไหว ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีแค่หนึ่งวันต่อสัปดาห์เท่านั้นเอง

“กรุ้มกริ่มใหญ่เลยนะสัด” ไอ้เตที่อยู่ข้างๆ พูดล้อเลียนผม

“เชี่ยไมล์ มึงไม่ออกไปเต้นให้เตมันดูล่ะ” ผมหันไปถามคนที่อยู่ข้างๆ ไอ้เตแทน

“เต้นไม่เป็นอ่ะ”

“...”

“แค่ได้ดูอาสาเต้นกูก็โอเคแล้ว”

“สัด” ผมปั้นกระดาษทิชชูแล้วโยนใส่เชี่ยไมล์ แต่ไอ้เตเอียงตัวมารับให้เต็มๆ “มึงสองคนเป็นแฟนกันแล้วงั้นสิ”

เตพยักหน้า ส่วนไมล์ยกแก้วขึ้นมาดื่มแทนคำตอบ

“ใครขอวะ”

เตชี้มือไปที่ไมล์ มันตีมือไอ้เตใหญ่

“ฮ่าๆๆ กูเดาผิด” ผมพูดทีเล่นทีจริง “นึกว่าจะเป็นไอ้เตซะอีก ดีใจกับมึงสองคนด้วยนะ”

“คนนกๆ ก็ต้องอยู่กับคนนกๆ” เตตอบ

เราสามคนชนแก้วกัน ผมหันไปมองอาสาอีกครั้ง ตอนนี้มันกำลังสนุกอยู่กับเพื่อนคณะบัญชี มันแอบมองผมเป็นระยะๆ สายตาของมันหวานฉ่ำมากกว่าปกติด้วยฤทธิ์ของน้ำเมา ผมรู้สึกได้เลยว่าสายตานั้นทำผมตื่นเต้นไปทั้งตัว

กูโดนงูพิษน้อยอ่อยอีกแล้ว

“ตอนแรกที่กูรู้จักอาสา กูไม่คิดว่าคนอย่างมันจะนกเลยนะ” ผมตัดสินใจพูดกับเพื่อนตรงๆ “มึงก็ดูหน้าตามันดิ น่ารักซะขนาดนี้”

“แต่ก่อนมันชอบผู้หญิงไง แม่งเลือกกลุ่มเป้าหมายผิด”

“ใช่ สำหรับอาสาต้องเป็นผู้ชายป่ะวะ”

แหม ไอ้คู่รักคู่นี้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ

“จริงๆ แล้วเท่าที่กูเคยได้ยินมา คำว่านกมันเกิดจากการอ่อยใครสักคนในร้านเที่ยวกลางคืน แล้วเขาไม่เล่นด้วยใช่ป่ะวะ” ไมล์หันมาถามผมกับเต

ผมยักไหล่ ส่วนเตตอบว่า “ตอนนี้เขาใช้คำนี้กันในทุกๆ ความผิดหวังแล้ว”

อาสากลับมาที่โต๊ะ มันเอียงตัวมาหาผมนิดหน่อย ผมโอบรอบตัวของมันอย่างไม่แคร์สายตาใครทั้งสิ้น ตอนนี้ข่าวเรื่องผมกับอาสาเริ่มกระจายไปทั่วมหา’ลัยแล้วครับ ให้ทายว่าจำนวนสายตาเพศผู้ที่มองอาสานั้นน้อยลงไปหรือเปล่า

กด 1 น้อยลง

กด 2 เท่าเดิม

กด 3 มากกว่าเดิม

คำตอบที่ถูกคือ 3 ยิ่งคิดก็ยิ่งเซ็ง! การที่อาสาเป็นแฟนกับผมแสดงว่าอาสาเปิดใจคบผู้ชาย นั่นหมายความว่าถ้าผมกับมันมีการเปลี่ยนแปลง ก็จะมีเหตุการณ์ผู้ชายหลายสิบคนมาเสียบต่อผมทันที

สรุปก็คืออาสาตอนนี้ฮอตในหมู่เพศผู้เพิ่มขึ้นมากแบบเท่าทวีคูณ และผมก็รู้สึกเหนื่อยแบบเท่าทวีคูณเช่นเดียวกัน

“กูไม่นกแล้วนะ” อาสาที่เมาแอ๋ตะโกนพูดกับเตและไมล์ “กูไม่นกแล้ว”

ผมมองแฟนตัวเองยิ้มๆ แม้มันจะพูดกับเพื่อนแต่ร่างกายของมันกำลังเบียดผมใหญ่เลย

“มึงไม่นกกับผู้ชาย แต่มึงนกกับผู้หญิงเว้ย” ไมล์ยิ้ม

“ไม่จริง!” อาสาร้องลั่น เดี๋ยว นี่มึงยังคิดว่ามึงจะไปสายผู้หญิงได้รอดอีกเหรอ

“ไม่จริงก็ไม่จริง”

“เดี๋ยว กูจะพิสูจน์ให้มึงดูเดี๋ยวนี้” อาสาลุกขึ้นยืน ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปหาผู้หญิงโต๊ะใกล้ๆ ผมมองตามอย่างไม่สบายใจ ดูเหมือนสาวๆ โต๊ะนั้นจะสนใจคนจากโต๊ะผมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ตอนที่อาสาทำหน้าหงิกก่อนจะเดินกลับมา ผมก็รู้เลยว่ามันแดกแห้ว

ขออนุญาตขำแฟนตัวเองแป๊บ

ผมโอบรอบตัวอาสาก่อนจะหอมแก้มไปอีกสักที

“โอ๋ๆ มีแฟนแล้วก็กลับรังมาอยู่กับแฟนซะนะ”

“ฮึ่ย” อาสากัดฟัน “เดี๋ยวจะลองไปที่โต๊ะผู้ชายดูบ้าง”

“หึๆ” ผมแกล้งยิ้มก่อนจะล็อกตัวมันเอาไว้อย่างแน่นหนา “ผู้ชายไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้ ห้ามมึงไปเล่นกับผู้ชายหน้าไหนโดยเด็ดขาด”

“ทำไมอ่ะ กูไม่นกนะ” อาสาทำหน้ามึนๆ ใส่ผม

“ใช่ไง มึงไม่นกเพราะมึงมีกูไงที่รัก” ผมหันไปหาเชี่ยไมล์ “มึงไม่น่าไปล้อมันเลย”

“ลองอ่อยทนายดูซิอาสา” เตยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย

“หา?”

“...”

“กับคนนี้ยังไงมึงก็ไม่นก เพราะงั้นลองอ่อยทนายให้กูดูเป็นขวัญตาหน่อย”

ผมถึงขนาดวางแก้วเพื่อรอดูการอ่อยของอาสาเลยครับ มันทำหน้ามึนๆ มองผมด้วยดวงตาที่อยู่ภายใต้แพขนตาอลังการ จากนั้นก็โอบรอบคอผม

“มีแฟนหรือยังครับ”

เฮือก...ปกติมึงไปโอบรอบคอใครแบบนี้ป่ะเนี่ย

“เอ่อ...”

“ถ้ายังไม่มี...ไปต่อกับผมมั้ย”

“มึงได้ไปกับพูดใครที่ไหนป่ะเนี่ย” ผมหน้าบึ้งใส่มัน “เคยพูดกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้หรือเปล่า”

อาสาส่ายหน้าดิก ก่อนจะชี้มือไปที่ไอ้เต “ไอ้เตมันบอกให้อ่อยมึง ก็ต้องพูดในสิ่งที่พูดได้แค่กับมึงป่ะวะ” อาสากลืนน้ำลาย คอเริ่มพับและตัวก็เอียงไปมา ผมรับตัวแฟนตัวเองไว้ก่อนจะพามันลุกขึ้นยืน

“กูไปนะ” ผมบอกลาเพื่อน

“ไปเคลียร์เหรอ” เตถามพร้อมทำหน้าล้อเลียน

“ใช่”

“...”

“กูน่าจะเคลียร์กับมันทั้งคืนเลย”







ห้อง 503

ว่ากันว่าคนเมาเป็นคนที่พูดความจริงออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจครับ เพราะงั้นผมคิดจะฉวยเอาโอกาสนี้พูดคุยอะไรหลายอย่างกับอาสา

มันนั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง ท่าทางน่ารักจนผมอยากเริ่มกิจกรรมนับตั้งแต่วินาทีนั้น แต่ยังทำไม่ได้ครับ ยังไงก็ต้องคุยกับมันก่อน

“อาสา”

“อืมมม” ดูมันง่วงนอนเอามากๆ

“มึงห้ามยุ่งกับคนอื่นนอกจากกูนะเข้าใจมั้ย”

“อืมมม”

“ที่ไมล์ท้าทายวันนี้ก็จบแค่วันนี้ วันอื่นไม่ต้องไปทำแบบนี้อีกแล้ว กับผู้หญิงก็ไม่ให้แล้ว โอเคมั้ย” ผมทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ก่อนจะกอดอีกฝ่ายเอาไว้ “ได้ยินมั้ยเนี่ย”

“อืมมม”

“กูรู้ว่ากูห้ามไม่ให้คนอื่นมองมึงยาก แต่กูห้ามมึงไม่ให้ไปยิ้มให้คนอื่นได้ เพราะงั้น...ทำเพื่อกูนะอาสา”

“รู้แล้วววว”

“สัญญาแล้วนะ”

“สัญญา”

“...”

“นอนได้ยัง ง่วงมากเลย”

ผมกลืนน้ำลาย “ไม่ได้สิ”

“เฮ้อ” อาสาถอนหายใจก่อนจะทำในสิ่งที่มันถนัดนั่นก็คือโอบรอบคอผม “รอบเดียวพอนะ ง่วง”

“ได้”

ผมรีบรับคำก่อนที่คนเมาจะเปลี่ยนใจ และหลังจากนั้นเราก็ทำกิจกรรมเหมือนกับที่เราเคยทำทุกวัน

เรื่องราวของผมกับนกที่อยู่บนบัลลังก์อย่างอาสายังคงดำเนินต่อไป แม้จุดเริ่มต้นจะมีความเรียบง่าย ไม่หวือหวา เพราะความรักระหว่างผมกับมันเกิดจากความใกล้ชิด ผมต้องการที่จะปกป้องมันจากอะไรหลายๆ อย่าง ผมทำในสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่กล้าทำกับอาสานั่นก็คือการปกป้องและอยู่เคียงข้างมัน

“ถ้ามีคนอื่นที่เข้ามาปกป้องมึงก่อนกู มึงจะชอบเขาป่ะอาสา” ผมถามอาสาตอนกลางดึก หลังจากเราสองคนเสร็จสิ้นกิจกรรมที่แสดงความรักต่อกัน

“ไม่ชอบดิวะ”

“...”

“เพราะกูชอบมึงคนเดียว ทนาย”

“...”

“มึงเป็นเทวดาของกูนะ”

ผมจำได้ อาสาไม่ชอบที่ตัวเองถูกเรียกว่านางฟ้านี่หว่า แต่ไหงกลับเรียกผมว่าเทวดาล่ะ ผมรู้สึกดีใจที่มันเรียกผมอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเพราะมันเมาหรือเพราะมันเหนื่อย แต่ก็เอาเถอะ ผมฟินไปแล้วนี่หว่า!

ถ้าอย่างนั้นเทวดาคนนี้จะปกป้องมึงต่อไป ให้สมกับที่มึงมอบความรักมา และไว้เนื้อเชื่อใจที่จะแบ่งที่ว่างตรงบัลลังก์ของมึงให้กูอยู่เคียงข้าง

เพราะนกบนบังลังก์ยังไงก็ต้องการใครสักคนที่เข้ามาปกป้องและดูแล

คนคนนั้นก็คือผมนี่แหละ

ผมจะทำหน้าที่ของผมต่อไปตราบนานเท่านาน...





(จบบริบูรณ์)







Talk


ในที่สุดก็อัพนิยายภาคแรกของเซ็ตจบลงแล้วค่า! เย้  :mc4:
เป็นอย่างไรกันบ้าง ใครอ่านมาถึงตรงนี้ต้องยอมรับในความอึด ถึก ทนมากๆ
5555

คนเขียนมีเรื่องจะเมาท์นิดหน่อยเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้

แรกเริ่มเดิมทีตั้งใจจะให้โทนเรื่องเป็นไปในทางคอมมิดี้
แต่พอเขียนๆ ไป ชักรู้สึกว่าเน้นปมความรักจนไม่สามารถเล่นมุขตลกอะไรแทรกได้
กลายเป็นว่าเป็นนิยายที่ค่อนข้างเบาในเรื่องมุข แต่หนักเรื่องปมความรัก

คนเขียนเขียนเรื่องนี้ในช่วงที่อารมณ์หน่วงและก็ดิ่งค่ะ
ระหว่างนั้นคนเขียนได้นำอารมณ์นั้นมาบรรจุในผลงาน...กลายมาเป็นเรื่องนี้
ซึ่งคนเขียนค่อนข้างชอบผลงานเซ็ตนี้ในเรื่องของการคุมโทนเรื่องภาษา
ไม่ค่อยมีเรื่องไหนโดดเด่นไปมากกว่าเรื่องอื่น
ทุกเรื่องเป็นไปในทิศทางเดียวกันหมด

สุดท้ายนี้อยากจะขอขอบพระคุณที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้นะคะ
เรื่องนี้หนังสือจะออกมาเป็นหนังสือในช่วงต้นเดือนกันยายน 2560 หรือในงาน one Y day ที่กำลังจะถึงนี้

หวังว่าจะเก็บทนายอาสากับเตไมล์ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจ
หรือบนชั้นหนังสือที่บ้านของท่าน ก็จะขอบพระคุณอย่างมากเลยค่ะ

สถานีต่อไป...สงครามอ้ายเนอะ
ไม่นานเกินรอแน่นอน เพราะ...เขาจะออกพร้อมทนายอาสาค่ะ 55555

ไปเจอกันที่เรื่อง สิบสองเศร้า #ราชาวิหค โลด

ออฟไลน์ Babelilong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
    • Facebook  เข้ามาขอเป็นเพือนได้เลย
แวะเข้ามาส่อง
อัพจนจบ
ง้อววว ดีงามมมม
 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
พิชิตตอนจบได้แล้ว อ่านรวดเดียวเลย อาสานี่งูพิษน้อยชัดๆ ส่วนทนายได้ทีเอาใหญ่เลย :hao3: ไมล์นี่ก็แซ่บพอกันแต่อยู่กับเตแล้วเคมีดีงาม ขอบคุณมากค่ะ ไปต่อที่พี่สงครามกับพี่อ้ายต่อไป  :L2:

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
กว่าจะไม่นก ลุ้นตั้งนานนนน 5555 อาสาโคตรน่ารักกกก

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
มันดีงาม ทั้งภาษา การเดินเรื่่อง สนุก ไม่เยิ่เย้อ 10/10 มั่กๆ

ออฟไลน์ Dealta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1

ออฟไลน์ Apinnoolek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
จบแล้ววว สนุกมากค่าาาา รอติดตามเรื่องต่อไปค่ะ :)

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ kredkaew26

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ว้าาาาาา เอาจริงๆ นะ ยังไม่อยากให้จบเลยอ่ะ  ว่าแต่พี่สงป๊อดนี่หว่า ^^ เจอพี่อ้ายมา 3 ปีแระ ยังไม่ถึงไหน 5555 สู้ทนายไม่ได้ ขานี้มาเร็วเคลมเร็วมากกกกกกกกกกกกกก หุ หุ  รอดูความป๊อดของอีพี่สงต่อ  :mew1: :hao3: :impress2:

ออฟไลน์ chayennnnnnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้ยยยๆๆ ความรักเข้าตา เบาหวานขึ้น
อิจรักนี้  รักคนเขียนนนนนนน  :man1: :man1: :heaven :heaven :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Elf_Carat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
 :pig4: :pig4: สนุกมาก รอติดตามเรื่องต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อาสานี่งูพิษจริงๆ ทนายไม่หลงก็ให้มันรู้ไป
ตอนแรกก็แอบจิ้นเตไมล์นะ มันดูมีบรรยากาศคู่รัก แล้วสุดท้ายก็เป็นแฟนกันจริงๆด้วย ขอบคุณมากๆเลยนะคะ :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ไรท์ สุดยอด ลงยาวววววววว
อ่านจุใจ อิ่มเลย ชอบบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

จบแล้ว น่ารักมากกกกก
ทนาย อาสา  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

นึกว่าแม่จะทำให้ดราม่า แม่กลับเห็ชอบ ดีงามตามใจทนายด้วยเลย
สองตระกูล ผูกพันทางธุรกิจ
แต่ลูกกับลูกรักกัน
ขอบคุณไรท์ มากกกก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ zazoi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 970
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-1
กรี๊ด ไม่คิดว่าอาสาพอมีแฟนแล้วจะน่ารักแบบนี้ ว่าแต่จะมีตอนพิเศษคู่นี้ออกมามั้ยคะ ชอบอ่พน่ารัก แถมครอบครัวสนับสนุนอีก มาอีกทีแต่งงานกันแล้วแน่ๆเลย

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ตอนแรกยังงงๆทำไมเรื่องมันเร็วๆแปลก เลื่อนลงมาดูเท่านั้นแหละ ตาแฉะไม่ต้องหลับต้องนอนเลย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ plafishy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มาอัพทีเดียวซะจุใจเลยค่ะ
กรี๊ดจบแล้ว ขอบคุณมากเลยค่ะ
รออ่านพี่สงครามกับพี่อ้ายต่อนะคะ

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีค่า :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ monkey_saru

  • ทำไมหัวใจถึงเอียงซ้าย...*
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 o13 o13 o13
เต็มอิ่มมาก อ่านรวดเดียวจบเลย 555555
ชอบอยู่อย่างนึงคือไอ้คู่นี้จะตรงไปตรงมากันมากไปไหมม 55555555 พูดกันได้ทุกเรื่องจริงๆ

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ Cupcake

  • @--##-หนูน้ำตาล-##--@
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-0
งดงาม

ขอบคุณมากค่ะ

 :3123:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จบไปซะแล้ว เล่นอัพจนจบ คนแก่ก็อ่านจนตาจะปิด จะตามไปที่ภาค 2 นะจ๊ะ  o13 o13 o13

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด