Chapter 37: [Then] ชิ้นส่วนสุดท้าย
‘พวกมันมาแล้วค่ะคุณผู้หญิง’
เสียงของใบเตย ลูกสาวของแต้วดังขึ้นผ่านหูฟังขนาดจิ๋วในหูของเธอทำให้เกศราผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก เธอประเมินความสามารถของพวกกาวิโน่ต่ำไป ภายใต้การฝึกฝนของไอแซค คงจะมีพวกหัวกะทิเกิดขึ้นมากมายทำให้พวกมันส่งคนมาเร็วขนาดนี้
แต่ก็ดีเหมือนกัน...เธออยากจะพักผ่อนเต็มทีแล้ว
‘คุณผู้หญิงคะ...อย่าทำแบบนี้เลยนะคะ’
เสียงของหญิงสาวสั่นเครืออย่างห้ามไม่อยู่ แต้ว ผู้หญิงที่เลี้ยงเธอมาไม่ต่างจากมารดาหรือพี่สาวแท้ๆปฏิเสธที่จะอยู่ดูวาระสุดท้ายของเกศรา และถึงแม้ว่าใบเตยที่อยู่บนดาดฟ้าของตึกฝั่งตรงข้ามพร้อมสไนเปอร์คู่ใจจะไม่ได้ใกล้ชิดกับเธอมากนัก แต่หญิงสาวก็เป็นคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของเธออีกคน
“ฝากดูแลแม่ของเธอด้วยนะเตย”
เกศราตอบกลับไปเพียงแค่นั้นก่อนจะถอดหูฟังออกแล้ววางลงข้างกาย เธอเหนื่อยมามากแล้ว ถึงเวลาที่เธอจะได้ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วกลับไปหาพี่ชายของเธอที่รออยู่อีกฝั่งเสียที
หญิงสาวขยับยิ้มเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เธอเกิดมาเป็นคนตระกูลเหลียน ถึงแม้ครึ่งหนึ่งของเวลาในชีวิตเธอจะหันหลังให้กับครอบครัวที่ให้กำเนิดและเลี้ยงเธอมา แต่ในวันนี้เกศราเลือกที่จะจากไปอย่างคนตระกูลเหลียน...
…ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าแม้ว่ามัจจุราชจะยืนอยู่หน้าประตูของเธอ
เมฆาเดินออกมาจากห้องพักของมารดาด้วยศีรษะที่หนักอึ้งจากข้อมูลที่ตนเพิ่งได้รับรู้ ร่างสูงรู้สึกว่าที่ตนยังไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกเท่าที่ควรคงเป็นเพราะความช็อคที่ยังคงไม่หายไปง่ายๆ
“ไม่…”
ยังไงเขาก็ทำใจเชื่อเรื่องบ้าๆที่แม่เพิ่งเล่าให้เขาฟังไม่ลง
อาจจะเป็นยาแก้ปวดที่หมอสั่ง ทำให้มารดาของเขาเพ้อออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว
ใช่...ต้องเป็นยาแก้ปวดแน่ๆ
ร่างสูงตัดสินใจหมุนตัวกลับไปทางที่ตนจากมาอีกครั้ง แม้ว่าตนใกล้จะถึงรถของตัวเองแล้วก็ตาม
เขาต้องเข้าไปเห็นด้วยตาตัวเองว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะฤทธิ์ของยาแก้ปวดที่ทำให้มารดาเกิดภาพหลอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถทำจิตใจให้สงบได้หลังจากนี้
“นี่น่ะเหรอตัวอันตรายที่เขากลัวกันนักหนา ก็แค่คนป่วยใกล้ตายป่ะวะ? ดีไม่ดีปล่อยไปซักวันสองวันเดี๋ยวก็ตาย จะจ้างเรามาทำไมตั้งหลายคน”
เสียงที่ดังลอดออกมาจากห้องของมารดาทำให้เมฆาชะงักฝีเท้า
ใครน่ะ?
“จะบ่นทำไมวะ? เงินสูงขนาดนั้นก็ทำๆไปเหอะ”
“ไม่ใช่มันตายแล้วเหรอวะ? นอนนิ่งขนาดนี้”
“มึงก็ฉีดยาเข้าสายน้ำเกลือไปนั่นแหละ เพื่อความแน่ใจ ไหนๆก็มาแล้ว”
ร่างสูงเปิดประตูเข้าไปทันทีที่ได้ยินดังนั้น ภายในห้องมีชายหนุ่มวัยฉกรรจ์หกเจ็ดคนยืนอยู่ข้างเตียงของมารดาของเขา เมฆาพุ่งเข้าไปหาคนที่ถือเข็มฉีดยาโดยไม่ต้องคิด ในหัวของเขาไม่มีแม้แต่ทางออกที่จะทำให้เขาสามารถต่อสู้กับชายร่างยักษ์หกเจ็ดคนแล้วช่วยเกศราหนีออกไปได้อย่างปลอดภัย แต่เขารู้ว่ายังไงเขาก็จะไม่ปล่อยให้มารดาเป็นอะไรไปโดยเด็ดขาด
“เฮ้ย! จับมันสิวะ!”
คนที่ถูกเมฆาโถมตัวเข้าใส่ตะโกนสั่งพร้อมยกแขนขึ้นปัดป้องการโจมตี เมฆารัวกำปั้นใส่อีกฝ่ายไม่ยั้งด้วยหวังว่าจะลดจำนวนคู่ต่อสู้ลง แต่ชายอีกคนที่ตัวใหญ่กว่าเขามากจับเมฆาเหวี่ยงออกจากร่างข้างใต้
เพล้ง!
เมฆาเงยหน้าขึ้นตามเสียงเมื่อเห็นชายที่ถูกหวดด้วยแจกันดอกไม้ล้มลงกับพื้น เกศราที่แกล้งหลับอยู่เมื่อครู่ไม่รอให้ศัตรูตื่นจากความตกตะลึง คว้าเสาน้ำเกลือมาหวดใส่คนที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดด้วยแรงที่คนป่วยอย่างเธอไม่ควรจะมี
“เมฆ! หนีไปลูก!”
“เฮ้ย! เก็บมันสิวะ!”
คนที่ถูกหวดด้วยแจกันตะคอก มือข้างหนึ่งกุมศีรษะที่มีเลือดอาบลงมาตามใบหน้า แต่ก่อนที่ลูกน้องของเขาจะได้ทำตามคำสั่ง ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างที่ถูกเปิดไว้ก็ล้มลงไปต่อหน้าทุกคนพร้อมกระสุนที่ฝังอยู่ในศีรษะ
“อะไรวะเนี่ย?!”
“ฆ่ามันทั้งคู่นี่แหละ เร็ว!!”
แต่คนที่สองและสามซึ่งอยู่ใกล้หน้าต่างโดนสอยร่วงลงไปตามกันโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า เมฆาที่ยังคงตกตะลึงกับการเห็นคนเป็นๆถูกยิงต่อหน้าต่อตาแทบจะทรุดตัวลงไปกองกับพื้นเมื่อมารดาที่เขาเคยคิดว่าเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนที่สุดในโลกดึงเสาน้ำเกลือออก เผยให้เห็นโลหะแหลมที่ถูกซ่อนอยู่ภายในแล้วแทงเข้าไปที่อกของชายอีกคน มือเรียวเล็กคว้าเข็มยาพิษบนพื้นแล้วปักมันลงบนต้นแขนของชายที่ทรุดตัวลงบนพื้นด้วยแววตาเย็นชา
ราวกับว่านี่ไม่ใช่การฆ่าคนครั้งแรกของเธอ
“ตาย!!”
“เมฆ ระวัง!”
ภาพตรงหน้าของเมฆาค่อยๆช้าลงราวกับว่าสมองของเขาพยายามสลักทุกวินาทีลงในความทรงจำ ชายคนเดียวที่ยังมีลมหายใจอยู่ในตอนนี้ชักปืนออกมา ร่างสูงรู้สึกถึงร่างบอบบางที่เป็นผู้นำเขาออกมาสู่โลกภายนอกโถมตัวเข้ามาบังลูกกระสุนให้กับลูกชายคนโตของเธอ
ปัง!!
ร่างของเกศราทรุดลงในอ้อมกอดของลูกชาย เช่นเดียวกับคนร้ายที่ล้มลงบนพื้นพร้อมรอยเลือดที่ไหลออกมาจากอก แต่กระสุนที่ปลิดชีพของชายหนุ่มไม่ได้มาจากมือปืนปริศนาที่เมฆามองไม่เห็นตัว แต่มาจากประตูห้องซึ่งอยู่ด้านหลังของเมฆา
“เกศ…”
ชายวัยกลางคนชุดกาวน์สีขาวก้าวเข้ามาในห้อง ในมือมีปืนพกสีดำด้านที่ปากกระบอกปืนยังคงร้อนจากการถูกใช้งาน หมอระพีพัฒน์ที่เขาจำได้ว่าเป็นหนึ่งในทีมแพทย์ที่รักษามารดาของเขา และผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแห่งนี้ก้าวเข้ามาในห้อง ปิดประตูแล้วทรุดตัวลงตรงหน้าหญิงสาวที่นอนหายใจรวยรินในอ้อมกอดของเมฆาด้วยแววตาเจ็บปวด แต่ไม่มีท่าทีว่าจะเริ่มปฐมพยาบาลหญิงสาวที่มีเลือดซึมออกมาจากแผลที่ท้อง
“พี่…พี….”
เกศราเอื้อนเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายอย่างยากลำบาก มือเรียวขาวซีดเอื้อมไปหานายแพทย์ที่จับมือเธอมากุมไว้แน่น
“พี่อยู่นี่เกศ...”
“หมอครับ! ทำอะไรซักอย่างสิ!!!” เมฆาตะคอกเสียงแข็งอย่างไม่เข้าใจ ทำไมคนคนนี้ถึงยังไม่ช่วยแม่ของเขา
“ไม่เป็นไรลูก...” เกศรายกมืออีกข้างขึ้นแตะใบหน้าของลูกชายอย่างปลอบประโลม “แม่เป็นคนเลือกเอง....แม่เหนื่อยแล้วเมฆ...แม่เหนื่อยเหลือเกิน....”
“แม่…แม่อย่าพูดแบบนั้นสิครับ...แม่อยู่กับเมฆสิ...” เมฆารู้สึกว่าขอบตาของตนร้อนผ่าว ร่างสูงไม่คิดแม้แต่จะยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ค่อยๆไหลออกมาราวกับรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
“แม่รักเมฆนะลูก...ดู..ดูแลน้องกับพ่อด้วยนะ...” ลมหายใจของเกศราเริ่มขาดห้วง เมฆากระชับอ้อมกอดของตนเมื่อรู้สึกถึงตัวตนของมารดาที่กำลังค่อยๆเลือนหาย เกศราเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วโดยที่ไม่ละสายตาไปจากลูกชาย “พี่พี...พี่กรรณมาแล้ว...”
เมฆากลั้นเสียงสะอื้นที่จุกอยู่ในอกไม่ไหวอีกต่อไป ไหล่กว้างสั่นระริกตามความรู้สึกที่เหมือนหัวใจของตัวเองกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง
“อือ…ฝากทักทายเจ้ากรรณด้วยนะ” ระพีพัฒน์ตอบหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้ดวงตาจะฉายชัดถึงความเจ็บปวดที่ต้องห้ามตัวเองไม่ให้ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเกศรา “ไม่ต้องห่วงทางนี้นะ พี่จะดูแลให้”
‘เกศต้องไปค่ะพี่พี...เพื่อตระกูลเหลียน เพื่ออัลฟอนโซ่ เพื่อครอบครัวของเกศ....เกศต้องไป’
เขายังคงไม่รู้ว่าวิญญาณของเพื่อนจะให้อภัยเขาที่ยอมปล่อยให้น้องสาวจากไปต่อหน้าต่อตาหรือไม่ แต่นั่นเป็นเพียงอีกความผิดหนึ่งที่ระพีพัฒน์จะเก็บไว้เครียดตอนที่เขาก้าวเข้าไปในหุบเหวนรกอเวจี
ที่ที่เขาคงไม่ได้เจอกรรณวัชรอยู่ในนั้น
“แม่…” เมฆาสะอื้น เกศรายิ้มให้ลูกชายอย่างอ่อนโยนเป็นครั้งสุดท้าย หญิงสาวดึงให้ลูกชายก้มศีรษะลงมาแล้วกระซิบคำสั่งเสียสุดท้ายของตนให้เพียงแค่เมฆาได้รับรู้
ระพีพัฒน์ให้คนของตัวเองเข้ามาจัดการกับศพที่นอนเกลื่อนอยู่ในห้อง เมฆาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนกำลังทำอะไรตอนที่นายแพทย์สูงวัยสั่งให้เขาเข้าไปล้างตัวในห้องน้ำ เสื้อผ้าเปื้อนเลือดของเมฆาถูกกำจัดทิ้งและแทนที่ด้วยชุดที่เขาติดไว้ในตู้เสื้อผ้าของที่นี่เผื่อจำเป็นต้องนอนค้าง ร่างสูงนั่งเหม่อลอยอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องซึ่งบัดนี้ไร้ร่างของมารดาที่มักจะหันมาทักทายเขาด้วยรอยยิ้มทุกครั้งที่เปิดประตูเข้าไป
“พี่เมฆ...ฮึก...”
“เมฆ…”
เขาไม่รู้ว่าพ่อกับน้องชายทั้งสอง รวมถึงเหล่าแม่บ้านและคนสวนมาถึงโรงพยาบาลเมื่อไหร่ เขาไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะ
ยกมือขึ้นสวมกอดธารธาราและทินกรที่สะอื้นร่ำไห้กอดเขาไว้ราวกับเด็กน้อยที่กำลังหลงทาง ทุกเหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นเพียงภาพเบลอๆที่เขาไม่รู้ว่ามาจากสมองที่อ่อนล้า หรือคราบน้ำตาที่ยังคงไม่แห้งเหือดไป
“กลับมาช้าจั...เมฆ! เป็นอะไร?!”
เมฆารวบเอาร่างของมธุวันเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเองแน่นทันทีร่างโปร่งเปิดประตูห้องของพวกเขา ร่างสูงซุกหน้าลงกับไหล่ของคนรัก ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาอีกครั้ง เสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างสั่นเครือเป็นครั้งแรกหลังจากที่เกศราจากไป
“แม่…แม่เมฆไปแล้ว...”
มธุวันกอดเมฆาไว้แน่นพอๆกับที่เมฆากำลังกอดตัวเองไว้ เมฆาไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่แบบนั้นนานแค่ไหน แต่ตัวตนของมธุวันที่ยังคงเด่นชัดในอ้อมกอดของเขาทำให้เมฆาตัดสินใจได้
เขาจะปกป้องหมอก...ต่อให้ต้องแลกด้วยลมหายใจของเขา เขาก็จะปกป้องอีกฝ่ายด้วยตัวของเขาเอง!
“หมอก เรื่องของเรา ลืมมันไปให้หมดจะได้มั้ย”
แม้จะเป็นคนเอื้อนเอ่ยคำลา แต่เมฆากลับรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองต่างหากที่กำลังแตกเป็นเสี่ยง ใบหน้าที่เปื้อนใบด้วยคราบน้ำตาและแววตาไม่อยากเชื่อของคนรักกรีดแทงทุกอณูของร่างกาย
หากทำได้ เมฆาคงจะเลือกลบความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับตัวเองออกไปจากสมองของมธุวัน ถึงแม้ว่าการพบกันครั้งต่อไปอีกฝ่ายจะหันมามองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็จะเป็นคนเดียวที่ต้องทรมาน
แต่สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ คือการดันมีดที่ปักเข้าไปกลางหัวใจของคนที่เขาสาบานจะปกป้องด้วยชีวิตให้มิดด้าม
“ฉันก็จะลืมมันเหมือนกัน”
นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เมฆาพูด ก่อนที่โลกทั้งใบของเขาจะแตกสลาย
ชายหนุ่มหันหลังให้กับร่างที่ทรุดตัวลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ทิ้งคนที่เขาไม่เคยอยากเห็นน้ำตาให้สะอื้นฮักอยู่บนพื้นแล้วตัดใจก้าวออกไปจากห้อง
หลังจากงานศพของเกศราซึ่งถูกระพีพัฒน์ลงบันทึกว่าเกิดจากหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน การลอบทำร้ายเมฆายังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงแม้ว่าเหตุการณ์พวกนี้จะยังเกิดกับคนรอบตัวของมธุวันคนอื่นๆด้วยอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมพวกกาวิโน่ถึงได้ใช้การกลั่นแกล้งแบบเด็กๆปั่นหัวเขาให้ระแวงแทนการจู่โจมอย่างซึ่งหน้าก็ตาม
นาวินทร์กลับไปอิตาลีและขาดการติดต่อไปตั้งแต่ก่อนงานศพของมารดาของเขา เมฆาจึงไม่สามารถหาข้อมูลได้มากนักด้วยตัวคนเดียว แต่ชายหนุ่มยังคงปักใจเชื่อว่า พวกมันกำลังดมกลิ่นใกล้เข้ามาถึงตัวของมธุวันเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าเมฆาจะไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเข้าใกล้มธุวันในที่สาธารณะอีกหลังจากนั้น แต่วงของคนที่โดนกลั่นแกล้งและลอบทำร้ายที่ค่อยๆแคบลงมาทำให้เขารู้ว่าเวลาของตนกำลังหมดลง
ทันทีที่ขับรถออกมา เมฆารู้สึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกายเขาที่กรีดร้องให้เลี้ยวรถกลับเข้าไปในคอนโด กลับไปสวมกอดมธุวันไว้ จุมพิตศีรษะและขมับของคนรักแล้วจูซับน้ำตาเขาเป็นต้นเหตุ พร่ำบอกรักและอ้อนวอนให้อีกฝ่ายให้อภัย แต่เขารู้ว่าตัวเองมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับไป
ยิ่งเขามาสามารถจบเรื่องบ้าๆนี่ได้เร็วเท่าไหร่ มธุวันก็จะยิ่งปลอดภัยเร็วขึ้นเท่านั้น
เขารู้มาว่าคืนนี้นิโคไล อัลฟอนโซ่ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของอิตาลีที่เป็นฉากบังหน้าของชายหนุ่มมาติดต่อธุรกิจในประเทศไทย และเขาไม่คิดที่จะปล่อยโอกาสที่จะรู้ข้อมูลของสถานการณ์ให้มากกว่านี้หลุดลอยไปได้
Rrrrrr
เสียงเรียกเข้าที่เมฆารู้ดีว่าเป็นของคนรักที่เพิ่งกลายเป็นอดีตได้ไม่ทันข้ามวัน ชายหนุ่มรู้ดีว่าไม่ควรรับสาย แต่ร่างกายยังคงไม่ฟังคำสั่งของสมอง รู้ตัวอีกที เสียงหวานที่แหบพร่าจากการร้องไห้ก็ดังลอดออกมาบีบหัวใจของเขาจากปลายสายเสียแล้ว
“เมฆ..ลืมกระเป๋า...”
แสงไฟสว่างจ้าเป็นสิ่งแรกที่เมฆาเห็น ก่อนที่แรงปะทะจากรถที่พุ่งเข้ามาชนจะน็อคเอาอากาศออกไปจากร่างของเขาในชั่วพริบตา
โครม!!!!
มีคนเคยพูดว่าก่อนตาย คนเราจะเห็นช่วงชีวิตของตัวเองเหมือนภาพยนตร์ที่เล่นอยู่ในหัว แต่นอกจากความทรงจำที่ประกอบด้วยรอยยิ้มสดใสและไออุ่นจากร่างของมธุวัน เมฆาไม่เห็นอย่างอื่นนอกจากความมืดที่กำลังดึงเขาให้จมลงไป
"เมฆ!!"
เสียงของคนรักที่ดังอยู่ข้างหูทำให้เมฆาที่กำลังจะยอมแพ้ให้กับแรงดึงรู้สึกตัวและพยายามดิ้นรนหนีจากกรงเล็บมัจจุราชที่กำลังเอื้อมคว้าวิญญาณของเขา
ใช่แล้ว...เขาจะมาตายตรงนี้ไม่ได้
เขายังมีคนที่ต้องปกป้อง...
หมอก...
เขาต้องกลับไปหาหมอก...
เมฆาดิ้นรนด้วยเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย ก่อนที่แสงสว่างสีขาวจะโอบล้อมเขาและพรากเอาสติสัมปชัญญะของชายหนุ่มให้ดับวูบไป
-----------
ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่โหวตหมูน้อยเข้ารอบรางวัลเซ็งเป็ดอะวอร์ดรอบแรกนะคะ
จบพาร์ทThenอย่างเป็นทางการซะที5555