สิบเจ็ดปีก่อน
คฤหาสน์อัลฟอนโซ่, อิตาลี
เปลวเพลิงโหมกระพือตัดกับท้องฟ้าสีมืดมิดยามรัตติกาล เสียงกรีดร้องปะปนกับเสียงปืนดังขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความโกลาหลจากไฟที่ลามติดทั่วทั้งคฤหาสน์หลังยักษ์อย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น?!”
นิโคไลลืมตาตื่นขึ้นที่คฤหาสน์หลังงามซึ่งอยู่ติดกับคฤหาสน์หลังที่กำลังติดไฟ เด็กชายวัยเจ็ดปีขยี้ตาอย่างง่วงงุนเมื่อได้ยินเสียงตะคอกถามคนรับใช้ของดาห์เลียผู้เป็นมารดา ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความใจเย็นและการวางตัวนิ่งในทุกสถานการณ์
“ไอแซคแปรพักต์ครับ มันกับพวกคอยเป็นสายให้พวกกาวิโน่มาโดยตลอด พวกกาวิโน่ลอบเข้ามาตอนที่บอดี้การ์ดเปลี่ยนกะ ตอนนี้ยังไม่ทราบสถานะของคนในบ้านหลักครับ”
นิโคไลแง้มประตูห้องของตนอย่างแผ่วเบา เงี่ยหูฟังสิ่งที่เกิดขึ้นถึงแม้จะไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เด็กน้อยผละจากประตูห้องไปยังผ้าม่านสีดำข้างเตียงที่ปิดสนิท
นิโคไลอาศัยอยู่ในครอบครัวที่ประหลาด เขามักจะรู้สึกอย่างนั้น บิดาและมารดาของเขาไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันเหมือนกับเด็กคนอื่นๆที่นิโคไลรู้จัก แต่ข้อมูลนั้นเป็นสิ่งที่เขาถูกสอนมาตั้งแต่จำความได้ว่าไม่ให้พูดถึง
ในวันหยุดเช่นนี้นิโคไลจะอยู่กับมารดาที่คฤหาสน์ขนาดกลาง ดาห์เลียที่ไม่สามารถหย่าร้างกับบิดาของเขาได้ด้วยเหตุผลทางสังคมเลือกที่จะอยู่อย่างสันโดษตั้งแต่เด็กชายลืมตาดูโลก ดาห์เลียเป็นหญิงสาวชาวรัสเซีย ลูกสาวคนโตของแก๊งมาเฟียขนาดใหญ่ยังคงทระนงตนเป็นคุณนายใหญ่ของบ้าน ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเชือกที่คล้องความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลผู้มีอิทธิพลในโลกมืดทั้งสองตระกูลไว้ด้วยกัน ถึงแม้ว่าในเวลาไม่กี่ปีต่อมา คาร์ลอสจะพาเด็กสาวนักศึกษาชาวไทยคนหนึ่งเข้ามาอยู่กินด้วยประหนึ่งภรรยา ดาห์เลียก็ไม่แม้แต่จะกระพริบตากับการกระทำของสามีที่ถูกต้องตามกฎหมาย
นิโคไลต้องโตขึ้นมาพอสมควรถึงเข้าใจถึงคำว่า ‘คลุมถุงชน’ เพื่อผลประโยชน์ของตระกูล แต่ถึงแม้บิดาและมารดาของเขาจะไม่ได้รักกัน แต่ทั้งสองก็รักและเอ็นดูบุตรชาย ไม่เคยทิ้งให้เขาต้องรู้สึกขาดความอบอุ่น
คาร์ลอส บิดาของเขาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์อัลฟอนโซ่ ซึ่งเป็นคฤหาสน์เก่าแก่อายุนับร้อยปีที่เป็นของตระกูลอัลฟอนโซ่ย้อนกลับไปตั้งแต่รุ่นที่หนึ่ง นิโคไลใช้เวลาวันจันทร์ถึงศุกร์ที่นั่นกับชายหนุ่ม ถึงแม้คาร์ลอสจะไม่มีเวลาให้เขามากนักจากงานที่รัดตัวอยู่ตลอดเวลา แต่นิโคไลก็มีความสุขดีกับลูกน้องของบิดาและเงาของตนที่ไม่เคยห่างกาย
รวมถึงร่างเล็กร่างหนึ่งที่มักจะเดินเตาะแตะมากอดขาเขาเวลาที่เขากลับมาจากโรงเรียน เสียงเล็กๆอ้อแอ้ที่เรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’ และดวงตาสุกใสสีเทาอมฟ้าเหลือบสีเขียวคล้ายคลึงกับของบิดาของเขา
มิคาเอล น้องชายต่างมารดาวัยสองปีที่เขารักมากกว่าแก้วตาดวงใจ
น้องชายคนเดียวของเขา ที่ตอนนี้นอนหลับสนิทอยู่ในคฤหาสน์ที่กำลังลุกไหม้อยู่ในขณะนี้
“มิคาเอล!”
นิโคไลหมุนตัวกลับไปยังประตูห้องนอนของตน แต่ที่หน้าห้องมีร่างบอบบางของเด็กชายวัยเจ็ดปี เจ้าของเครื่องหน้าสวยหวานและเส้นผมดำขลับยาวสลวยราวกับเด็กหญิง ถึงแม้วรินทร์จะมีอายุมากกว่าเขาเกือบหนึ่งปี แต่นอกเหนือจากความได้เปรียบทางอายุ เด็กชายตรงหน้าอยู่ภายใต้อาณัติของเขาในทุกเรื่อง
“หลบ”
นิโคไลสั่ง ถึงแม้บิดาของเขาจะปฎิบัติต่อกรรณวัชร เงาของตัวเองประหนึ่งลูกแมวเหมียวที่มาคลอเคลียพันแข้งขา แต่ทุกครั้งที่เงาแห่งตระกูลเหลียนทำอะไรที่ชายหนุ่มไม่ชอบใจ ความเฉียบขาดและบทลงโทษที่รุนแรงของคาร์ลอสก็เป็นหนึ่งสิ่งที่นิโคไลเรียนรู้จากการสังเกตมาตั้งแต่เล็ก
“นิค อย่าไปเลยนะ มันอันตราย”
วรินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทุกสัญชาตญาณในร่างกายบ่งบอกว่าสิ่งที่ตนกำลังทำนั้นขัดกับคำสั่งของเจ้าชีวิต แต่เด็กชายไม่อาจปล่อยให้คนตรงหน้าต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วยเด็กที่มีสายเลือดร่วมกับตนเพียงครึ่งได้
“ริน หลบ”
นิโคไลพยายามขยับผ่านอีกฝ่าย แต่ร่างเล็กยังคงปักหลักอยู่กับที่ไม่ยอมให้เขาไปไหน
“นิค ขอร้องล่ะ…!!”
ร่างของวรินทร์ร่วงลงไปกองกับพื้นด้วยแรงของเด็กชายอายุน้อยกว่า ไม่ใช่ว่านิโคไลเก่งกาจเสียจนเงาตัวน้อยที่ถูกฝึกศิลปะป้องกันตัวมาตั้งแต่ยังเดินไม่ได้จะไม่สามารถหลบ แต่นิโคไลรู้ดีว่าวรินทร์ไม่มีสิทธิ์หลบ
“ฉันคงใจดีกับนายมากไป”
นิโคไลทิ้งท้ายก่อนจะก้าวผ่านร่างที่นอนฟุบอยู่บนพื้นไป
“มิคาเอล! ได้ยินพี่มั้ยมิคาเอล?!”
นิโคไลใช้ทางลับที่เชื่อมระหว่างรั้วของคฤหาสน์ทั้งสองหลังหลบรอดสายตาของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้าไปในอาณาเขตของคฤหาสน์อัลฟอนโซ่ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังพยายามควบคุมเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำตามแรงลมที่กรรโชกพัด แต่เปลวไฟที่ปะทุอย่างต่อเนื่องจากแรงระเบิดที่หาสาเหตุไม่ได้ทำให้คนที่อยู่ภายนอกไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ภายในได้ ท่ามกลางความโกลาหล ร่างเล็กของนิโคไลเล็ดลอดผ่านสายตาของทุกคนไปอย่างง่ายดาย เด็กชายยกมือขึ้นปิดจมูกและริมฝีปากเพื่อป้องกันควันเท่าที่ตัวเองจะทำได้ ตะโกนเรียกชื่อน้องชายขณะที่ฝ่ากลุ่มควันและเปลวเพลิงเข้าไปในห้องของเด็กน้อยวัยสองขวบ
“แง้!”
เสียงร้องไห้ของเด็กชายบนเตียงดังขึ้น นิโคไลตรงเข้าไปหามิคาเอลที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างขวัญเสีย อุ้มน้องชายตัวน้อยไว้ในอ้อมกอดแล้วรีบออกไปจากห้องให้เร็วที่สุดเท่าที่ร่างเล็กๆจะสามารถทำได้
ครืน!
ฝ้าเพดานที่ถูกเพลิงไหม้ตกลงมา นิโคไลห่อตัวใช้แผ่นหลังของตนเป็นเกราะกำบังให้น้องชายตามสัญชาตญาณ เด็กชายหลุดร้องออกมาเมื่อฝ้าแผ่นใหญ่ติดไฟตกลงมาใส่ร่างของตน แต่เพียงเสี้ยววินาทีฝ้าแผ่นนั้นก็ถูกใครบางคนยกออกจากตัวของเขา
“คุณหนู นายน้อย เป็นยังไงบ้างครับ?!”
เสียงนุ่มที่เขาคุ้นเคยดีเสียยิ่งกว่าเสียงของมารดาหรือบิดาของตนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล กรรณวัชรดึงร่างของนิโคไลให้ลุกขึ้นเมื่อมือเรียวเล็กอีกมือคว้าเอาน้องชายที่ยังสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดไปจากเขา
“ทำใจดีๆไว้นะลูก”
ณิรภาปลอบลูกน้อยทั้งที่ตนยังดูเสียขวัญ หญิงสาวที่ผันตัวจากการเป็นนักเรียนนอกมาเป็นภรรยาคนที่สองของมาเฟียใหญ่ได้เพียงสามปีกว่าใช้ผ้าชุบน้ำผืนเดียวที่ตนมีโปะลงบนจมูกของมิคาเอล กรรณวัชรอุ้มนิโคไลแล้วนำทางภรรยารองของเจ้าชีวิตของตนไปยังประตูลับประตูหนึ่งจากในหลายๆบานภายในตัวคฤหาสน์เพื่อไม่ให้พวกกาวิโน่ที่อาจยังไม่ถูกคนของตระกูลเหลียนกำจัดหมดดีได้มีโอกาสซุ่มโจมตีพวกเขาได้
“กรรณ พ่อล่ะ?”
นิโคไลถามคนที่กำลังอุ้มตนอยู่อย่างไม่เข้าใจ เขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายอยู่ห่างกายบิดาในเวลาคับขันเช่นนี้มาก่อน
“…”
“ท่านคาร์ลอสสั่งให้ผมพานายน้อยกับคุณณิรภาไปที่ปลอดภัยครับ ผมไม่ทราบว่าท่านอยู่ที่ไหน” กรรณวัชรเอ่ยขึ้นในที่สุด ดวงตาสีม่วงแปลกตาที่มีเพียงไม่กี่คนในตระกูลเหลียนได้ครอบครองไหวระริก คำสั่งของคาร์ลอสขัดกับสัญชาตญาณพื้นฐานของเงาที่ต้องปกป้องเจ้าชีวิตของตน กรรณวัชรตัดสินใจทำตามคำสั่งของชายหนุ่มถึงแม้นั่นจะหมายความว่าเขาต้องปล่อยให้คาร์ลอสสกัดกั้นผู้บุกรุกห้าคนไว้ด้วยตัวเองก็ตาม
“…”
แม้คำตอบจะไม่บ่งชัดถึงสถานะของบิดา แต่นิโคไลก็สามารถรับรู้ได้จากสัญชาตญาณว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก
นิโคไลถูกชื่นชมจากผู้ใหญ่รอบข้างในความสุขุมเยือกเย็นที่ได้รับการอบรมมาจากทั้งบิดาและมารดา แต่ในเวลานี้ เด็กชายรู้สึกถึงของเหลวร้อนๆที่เอ่อล้นจากดวงตาพร้อมกับหัวใจดวงน้อยที่แตกสลายเป็นเสี่ยง
พวกเขาออกมานอกบริเวณคฤหาสน์ได้อย่างปลอดภัย ที่ด้านหลังของคฤหาสน์ สิ่งที่นิโคไลเห็นคือร่างของมารดาของเขาที่ยืนอยู่กับลูกน้องสามชีวิต และเงาตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างหญิงสาวด้วยใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา แก้มขาวใสมีรอยฝ่ามือของนิโคไล
ประทับอยู่ แต่วรินทร์ไม่ได้สนใจบาดแผลบนใบหน้าของตน น้ำตาของร่างเล็กพรั่งพรูราวกับทำนบแตกเมื่อเห็นบาดแผลที่ถูกไฟลวกบนไหล่ของเจ้าชีวิต นิโคไลไม่ทันได้สังเกตด้วยซ้ำว่าตนบาดเจ็บจนกระทั่งดาห์เลียก้าวเข้ามาดูบาดแผลของเด็กชายแล้วดึงให้นิโคไลตามตนกลับไปที่คฤหาสน์หลังเล็กกว่า
“แม่ครับ น้อง…”
นิโคไลหันไปทางมิคาเอลที่ยังซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของมารดาของตน ดาห์เลียส่ายหน้า
“สองคนนั้นดูแลตัวเองได้ ลูกกลับไปให้หมอดูแผลกับแม่ก่อน” หญิงสาวหันไปหาผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าเธอร่วมสิบปีซึ่งยังคงกอดลูกน้อยด้วยท่าทีเสียขวัญ “ฉันช่วยเธอได้แค่นี้ หวังว่าคงจะเข้าใจ”
“ขอบคุณมากนะคะคุณดาห์เลีย”
ณิรภาตอบเสียงแผ่ว นิโคไลอยากจะอยู่กับมิคาเอลต่ออีกสักนิด แต่ความอ่อนเพลียหลังจากสำลักควันไฟและใช้พลังงานวิ่งฝ่ากองเพลิงเข้าไปหาน้อง ทำให้เปลือกตาของเด็กชายปรือปรอยจนแทบยืนไม่อยู่ สติของเขาเลือนรางเสียจนไม่สามารถจดจำสิ่งที่เกิดต่อจากนั้นได้
“ผมขอตัวครับ”
กรรณวัชรโค้งศีรษะให้ผู้มีศักดิ์เป็นภรรยาทั้งสองของเจ้าชีวิต ดาห์เลียเพียงแต่พยักหน้าเงียบๆ แต่ณิรภากลับเอ่ยห้ามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“คุณกรรณอย่ากลับเข้าไปเลยนะคะ ถึงคุณกลับไปตอนนี้ คาร์ลอสก็…”
หญิงสาวเม้มริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้นของตน กรรณวัชรขยับยิ้ม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนตัดกับเพลิงไหม้ที่โหมกระพืออยู่ด้านหลัง
“ขอโทษนะครับ แต่ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้”
ร่างโปร่งก้าวผ่านซากปรักหักพังจากการโดนไฟไหม้จนตกลงมาและร่างของผู้คนที่ยอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น บ้างเป็นศัตรูที่ถูกกำจัดทิ้ง บ้างก็เป็นเพื่อนร่วมสนามรบ ญาติในตระกูลที่เขารู้จักดี แต่ใบหน้าของกรรณวัชรยังคงเรียบเฉย ไม่แสดงถึงความอาลัยอาวรณ์ต่อการจากไปของผู้คนที่เขาเคยรู้จัก
จนกระทั่งเมื่อก้าวเข้าไปในห้องนอนใหญ่ของผู้นำตระกูลอัลฟอนโซ่คนปัจจุบัน กรรณวัชรยกมือขึ้นปิดปากของตนเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นที่จุกอยู่ที่คอเมื่อเห็นร่างที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง ทันทีที่เขาอยู่ในห้อง ระเบิดอีกลูกก็ถูกจุดชนวน เศษซากอาคารพังครืนลงมาปิดกั้นทางออกเพียงทางเดียว แต่กรรณวัชรไม่ได้คิดที่จะกลับออกไปอยู่แล้ว
ร่างโปร่งเหยียบย่ำร่างไร้ลมหายใจของศัตรูที่ถูกคาร์ลอสกำจัดทิ้งที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น คาร์ลอสขยับเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา ร่างสูงของชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าปีปรือตาขึ้นอย่างอ่อนเพลียจากของเหลวสีแดงฉานที่ซึมออกมาจากบาดแผลที่หน้าท้อง เส้นผมสีบลอนด์สว่างชุ่มไปด้วยเหงื่อเปียกลู่ติดหน้าผาก ดวงตาสีเทาอมฟ้าฉายแววอ่อนโยนเมื่อเห็นกรรณวัชรขยับเข้ามาใกล้ มือใหญ่ตบที่ที่ว่างข้างกายอย่างอ่อนแรง เงาผู้ซื่อสัตย์ทิ้งตัวลงข้างกายของเจ้าชีวิตของตนอย่างรู้งาน เอนศีรษะหนุนแขนแกร่งอย่างที่เคยทำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ใบหน้าหวานซบไหล่แกร่งที่มักจะเป็นที่พักใจให้เขาในวันที่รู้สึกเหมือนตนไร้ที่พึ่งพิง มือเรียวยกขึ้นดึงเชือกผูกผมสีแดงที่คาร์ลอสให้เป็นของขวัญเกิดออก ปล่อยเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มสลวยยาวประบ่าให้สยายเป็นอิสระ เขาได้เสียงหัวเราะในลำคออย่างโรยแรงพร้อมกับมือที่ยกขึ้นลูบศีรษะของเขา นิ้วเรียวยาวราวลำเทียนสอดผ่านกลุ่มผมสีน้ำตาลอย่างที่คาร์ลอสชอบทำตลอดมา
“เด็กโง่…กลับมาทำไม…”
กรรณวัชรหลุดหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา ทั้งที่เขาอายุน้อยกว่าอีกฝ่ายเพียงหนึ่งปีกว่า แต่คาร์ลอสยังคงยืนกรานที่จะเรียกเขาว่าเด็กน้อยของตัวเองเสมอ แขนเรียวโอบร่างของเจ้าชีวิตโดยระวังไม่ให้สัมผัสแผลกระสุนที่ยังคงมีเลือดซึมออกมาไม่หยุด ริมฝีปากเรียวสีแดงระเรื่อประทับจุมพิตลงบนแก้มสากอย่างแผ่วเบาราวแมลงปอแตะผิวน้ำ
“ก็ผมสาบานไว้แล้วนี่ครับ…”
คาร์ลอสแตะจมูกโด่งเป็นสันลงบนกลุ่มผมนุ่ม ทาบทับริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียนใสอย่างแผ่วเบาและเนิ่นนาน แขนแข็งแรงละจากบาดแผลกดไว้ ดึงร่างของคนคนเดียวที่คอยอยู่เคียงข้างเขาไม่ว่าในยามทุกข์หรือสุขเข้ามาในอ้อมกอดแน่นโดยไม่สนใจความเจ็บปวดของบาดแผล จูบซับน้ำตาที่ไหลรินลงมาตามพวงแก้มใสอย่างอ่อนโยน
กรรณวัชรไม่เคยเกรงกลัวความตาย
สิ่งที่เขากลัว คือโลกที่ไม่มีผู้ชายคนนี้อยู่เคียงข้าง
“นั่นสินะ…ฉันก็สาบานไว้แล้วนี่นา…”
คาร์ลอสเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่อ่อนล้าเต็มที แต่อ้อมกอดอุ่นของผู้นำตระกูลอัลฟอนโซ่ยังคงไม่คลายจากเงาของตน ถึงแม้เปลวไฟจะโหมกระพือเพียงไรก็ตาม
Till death do us part.
จนกว่าความตายจะพรากเราจากกัน