◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 28 {27.02.62}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 28 {27.02.62}  (อ่าน 116751 ครั้ง)

ออฟไลน์ somakimi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 154
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
«ตอบ #150 เมื่อ08-06-2017 09:02:51 »

 :z3: :z3: :z3: โอ้ยยยยย!!! เพิ่งมาอ่าน ความตะมุตะมินี้คืออัลไลลลล ดิ้นนนนๆๆๆสนุกค่ะพีคคคคมากจะตายแร้วววว!!! :heaven :heaven

ออฟไลน์ piinkchompoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
«ตอบ #151 เมื่อ10-06-2017 01:30:27 »

ตัวนิ่มน่ารักจังเย้ยยยย ฮรื่อออ  :hao3:

ออฟไลน์ naplatoo

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
«ตอบ #152 เมื่อ10-06-2017 10:31:37 »

อิพี่กัน คนบร้าาาาาาาา เขินไปหมดแล้ว
ทำไมกูต้องเขินแทนน้องกอดด้วยวะ  :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ leenanhyun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +102/-2
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #153 เมื่อ10-06-2017 13:59:03 »

Chapter 10
สายตาโกหกไม่เป็น


            ‘สถานีต่อไป สยาม Next Station Siam’

            ผมก้าวลงจากตัวรถไฟฟ้า ยืนมองผู้คนรอบกายที่เดินผ่านกันไปมา น่าแปลกที่ท่ามกลางผู้คนมากมาย วันนั้นผมถึงสังเกตเห็นเขาเป็นคนแรก น่าแปลกที่ผมเลือกเขา คนที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

            อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อน แม้แดดจะร่มลงไปบ้างแต่ก็ยังส่งไอร้อนระอุวาบๆ พอออกจากรถไฟฟ้าแล้ว หลายๆคนจึงเลือกที่จะเดินเข้าห้างทันที สำหรับผมตกเวลาเย็นๆแบบนี้เป็นเวลาที่ไม่รีบเร่ง จึงเลือกที่จะเดินไปตามทางเดินร่มๆเพื่อตรงไปที่ห้องสมุดสาธารณะที่ประจำ

            หน้าจอโทรศัพท์บอกเวลาห้าโมงเย็น ผมเลือกที่จะบอกเพื่อนสนิทและพี่รหัสของตัวเองว่าผมไม่เข้าชมรมหมออยากติวแล้ว เพราะคนอื่นที่ไม่ใช่หมออาสาจะติวให้

            แค่คิดก็รู้สึกร้อนไปทั้งหน้า คำที่พี่กันพูดออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อน มันยังคงดังก้องอยู่ในหัว

            “แต่กูชอบรอยยิ้มของมึงมากกว่า”

            คำพูดของเขา ไม่ว่าคำไหน มันมีอิทธิพลกับหัวใจผมแทบทั้งหมด

            ขาสองข้างมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องสมุด หันไปมองร้านชานมด้านหลัง เพียงแค่เสี้ยววินาทีผมก็ตัดสินใจเลือกซื้อชานมธัญพืชสองแก้ว ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะบ่นอยู่เสมอๆว่าไม่อยากให้ผมซื้ออะไรให้เขา แต่เวลาเจออะไรที่เขาชอบ ก็ดันคิดถึงเขาตลอด

            ระหว่างที่กำลังรอชานม การแจ้งเตือนของไลน์ก็เด้งขึ้นบนหน้าจอ

            ข้อความจากเพื่อนสนิทเด้งขึ้นมา

            มึงไปไหนวะช่วงนี้ บอกกูหน่อยได้มั้ย

            หายตัวตลอด พอถามก็บอกว่ามีธุระ

            แล้วจู่ๆก็บอกว่าไม่อยากติวแล้ว

            อะไรวะกอด


            ข้อความที่เต็มไปด้วยอารมณ์น้อยใจ ผมรีบพิมพ์ตอบกลับไป

            *ไม่ได้หายไปไหน

            *จำคนที่กูบอกว่าขอเบอร์บนรถไฟฟ้าได้ป่ะ

            *กูกำลังตามจีบเขาอยู่อ่ะ

            เหมือนอีกฝ่ายกำลังรอคำตอบอยู่ รีบพิมพ์กลับมาด้วยความรวดเร็ว

            เหรอ

            แล้วกูล่ะ เคยเห็นกูอยู่ตรงนี้บ้างมั้ย

            เออช่างเหอะ

            ตามสบายแล้วกัน


            ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นข้อความของเพื่อนที่ส่งกลับมา ยอมรับว่าอารมณ์ดิ่งลงไปหลังจากได้อ่าน ความคิดมากทำให้ผมพยายามสรรหาว่าตัวเองผิดอะไรทำไมจู่ๆเขาถึงมาโกรธผม ทั้งๆที่ก่อนจะเจอพี่กัน เขาก็ไม่เคยจะเซ้าซี้อะไรเวลาผมหายตัวไปคนเดียว

            รีบกดโทรศัพท์ต่อสายหาเขา แต่คนที่รับกลับไม่ใช่เพื่อนสนิทของผม

            “ลุงเหรอ”

            (อือ กอดอยู่ไหนน่ะ)   

            “อยู่สยามอ่ะ”

            (ไอ้แสบมันไม่อยากคุยด้วยเลยให้ลุงคุยแทน ทะเลาะอะไรกันป่ะวะ)

            “ผมไม่รู้”

            ตอบตรงๆเลยว่าผมไม่รู้ว่าโดนโกรธเพราะเรื่องอะไร แต่เดาๆได้ว่าน่าจะมีอยู่เรื่องเดียวล่ะนะ

            “คงเป็นที่ผมออกจากชมรมมั้ง”

            (ไม่น่าใช่)

            “นอกนั้นก็ไม่รู้แล้วล่ะ”

            กัดริมฝีปากด้วยความเคร่งเครียด ทั้งชีวิตไม่ค่อยจะมีเพื่อนเท่าไร ดังนั้นผมจึงแคร์เพื่อนคนนี้เอามากๆ ถ้าโดนโกรธเมื่อไรล่ะก็ ก็จะรีบเคลียร์ให้จบตอนนั้น เหมือนที่กำลังทำอยู่นี่แหละ

            “ผมทำอะไรผิดหรือเปล่า”

            เสียงโวยวายจากปลายสาย เหมือนทะเลาะอะไรกัน จากที่เป็นลุงรหัสรับสาย จู่ๆก็เปลี่ยนเป็นพี่รหัสที่มาคุยกับผมแทน

            (ยัยหนู)

            “ครับ”

            (ผู้ชายที่คุยโทรศัพท์กับพี่วันนั้นคือคนที่กอดตามจีบอยู่เหรอ)

            อ่า รู้จนได้แฮะ

            “อือ ผมขอโทษ”

            (พี่ไม่ได้โกรธอะไร ไม่ต้องขอโทษ เดี๋ยวไอ้แสบมันก็หายงอนเองแหละ อย่าคิดมากนะ)

            “แต่ว่า…”

            (ก็เพื่อนกันนี่นา อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ก็ต้องมีหวงบ้างเป็นธรรมดาแหละ)

            “…”

            (ถ้างั้นพี่วางก่อนนะ กอดระวังตัวด้วยล่ะ อย่าให้ใครเขาแกล้งได้นะยัยหนู)

            พูดจบก็ตัดสายไป เหลือทิ้งเพียงความกดดันที่ถาโถมเข้ามา บรรยากาศรอบตัวจากที่เคยสดใส ทำไมผมรู้สึกว่ามันอึมครึมขึ้นมาซะเฉยๆ

            ผมรับแก้วชานมธัญพืชสองแก้วมาไว้ในมือ จากที่อยากกินดันรู้สึกมวนๆท้องไม่อยากจะแตะมันเท่าไร เดินเข้ามาในห้องสมุดก็รีบสอดสายตาหาคนคุ้นตา แวบแรกคือผู้ชายผิวขาวสวมแว่นทรงกลม พี่หมอสี่โบกมือเรียกผมอยู่ตรงโต๊ะริมหน้าต่าง

            พอเดินมาถึงโต๊ะ ผมก็วางแก้วชานมสองแก้ว ไม่เห็นใครอีกคนอยู่แถวนี้ มีเพียงแค่พี่หมอสี่และเพื่อนเบอร์หนึ่งเบอร์สองของพี่กัน เขาอาจจะยังมาไม่ถึงก็ได้ ผมค่อยๆทรุดตัวลงนั่งข้างๆพี่หมอสี่

            แก้วชานมแก้วหนึ่งผมเลื่อนเข้าหาตัว ส่วนอีกแก้วเลื่อนไปให้คนผิวขาวข้างตัว

            “อ้าว กอดไม่กินเหรอ”

            ส่ายหน้าเบาๆเป็นการตอบ เหมือนพวกเขาสามคนจะสังเกตว่าผมดูซึมๆลงไป ถึงได้พยายามจะทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น

            “เอ้อ เดี๋ยวไอ้กันก็มา มันไปซื้อขนมน่ะ”

            “สงสัยจะเหมามาทั้งห้างมั้ง หายไปเป็นชาติแล้วเนี่ย”

            ถ้าเป็นเวลาปกติผมอาจจะขำออกมาแล้ว หรือน้อยที่สุดก็ยิ้มออกมา แต่ตอนนี้ทำเพียงแค่นั่งจ้องจอโทรศัพท์เพื่อรอข้อความจากเพื่อนสนิทของตัวเอง

            ข้อความยังหยุดค้างอยู่

            ตามสบายแล้วกัน

            เพราะความไม่สบายใจทำให้ต้องพิมพ์ตอบกลับไปเพื่อที่จะขอโทษ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าใครอีกคนคงไม่อยากจะคุยด้วยไปสักพักนั่นแหละ

            *ขอโทษ

            *ดีกันนะ

            “ไอ้เถื่อนมาโน่นละ” พี่หมอสี่พูดขึ้น ผมไม่ได้หันไปมองใครอีกคนที่กำลังเดินเข้ามา คนตัวสูงมาหยุดอยู่ข้างๆผม เขาวางถุงขนมลงบนโต๊ะพร้อมเสียงบ่นอุบ

            “กูจะมาติวแล้วพวกมึงเสนอหน้ามาทำซากไรกัน”

            “ชู่ววว”

            “หือ มีไรกันวะ”

            เขาทรุดตัวนั่งลงข้างผม เงยหน้าไปสบตาเขาเล็กน้อย วันนี้พี่กันแปลกตาไปกว่าวันก่อนๆ เหมือนผมจะสั้นลงแฮะ พอเป็นแบบนั้นเลยเผยให้เห็นใบหูที่ชัดเจน  เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนที่มีใบหูค่อนข้างใหญ่ แต่กลับลงตัวกับโครงหน้าชัดๆนั่นเสียเหลือเกิน

            ผมยื่นแก้วชานมธัญพืชให้คนตรงหน้า พี่กันเลิกคิ้ว

            “อะไร”

            “ซื้อมาให้”

            “แล้วไม่กินอ่ะ”

            “ไม่อยากกินอ่ะ”

            เขารับแก้วชานมไป ผมเลยหันกลับมานั่งเงียบๆนิ่งๆต่อ

            “เอ่อ กูว่ากูกลับบ้านก่อนดีกว่า ลืมไปพอดีแม่นัดกินข้าว”

            จู่ๆพี่หมอสี่ก็ลุกพรวด กวาดของทุกอย่างบนโต๊ะลงกระเป๋าแล้วรีบเดินดุ่มๆออกไปจากห้องสมุด ผมหันมองด้วยความไม่เข้าใจ

            “เออ กูก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมให้ข้าวหมา”

            “หือ มึงเลี้ยงหมาด้วยระ… อ้อใช่ๆ กูลืมให้อาหารปลา”

            “กลับก่อนนะเว้ยเถื่อน”

            เพื่อนเบอร์หนึ่งเบอร์สองของพี่กันลุกตามออกไป ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่มากเข้าไปอีก

            นี่ผมมาทำลายบรรยากาศการอ่านหนังสือของพวกเขาหรือเปล่านะ

            “ทำไมไปกันหมดล่ะ”

            “เพราะมึงทำหน้าเหมือนตูดไง” นิ้วชี้เรียวๆของใครอีกคนสัมผัสลงตรงกลางระหว่างคิ้วของผม พี่กันมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร เขาดูหงุดหงิด ไม่ชอบใจ

            “มีอะไร ใครทำอะไรมึง”

            “ไม่มีหรอก”

            “มึงโกหกไม่เก่งรู้มั้ยไอ้กอด”

            พี่กันดันผมให้เขยิบเข้าไปนั่งด้านใน ที่ที่พี่หมอสี่เคยนั่ง ก่อนเขาจะเขยิบตามเข้ามา กลายเป็นว่าตอนนี้ผมนั่งชิดริมกำแพงอยู่ในซอกหลืบ แล้วคนตัวสูงก็นั่งปิดทางออกเอาไว้

            “เห็นนี่มั้ย” เขาชูตะเกียบให้ผมดู ตะเกียบที่แถมมาพร้อมกับถาดซูชิ

            จู่ๆเขาก็หักตะเกียบดังเป๊าะ ตะเกียบไม้สีน้ำตาลอ่อนหักครึ่งออกจากกันทำเอาผมตกใจ

            “ใครทำมึงซึมกูจะหักคอมันให้เหมือนตะเกียบนี่เลย”

            อ่า

            เขาเป็นคนเถื่อนจริงๆสินะ

            “มีอะไรเล่าให้ฟังได้นะ แม้กูจะไม่อยากฟังก็ตาม”

            ผมถึงกับกุมขมับ

            แล้วเขาจะให้ผมเล่าทำไมกัน ในเมื่อตัวเขาไม่อยากฟังเนี่ย

            “งั้นไม่เล่า”

            “เล่ามาเหอะ”

            “แต่พี่กันไม่อยากฟังอ่ะ”

            “ก็เพราะถ้าฟังกูจะหงุดหงิด กูจะโมโหไอ้คนที่ทำให้มึงกลายเป็นแบบนี้ไง”

            พูดไปก็เอาตะเกียบมาตีหัวผมเหมือนคนอารมณ์เสีย ทั้งๆที่คนอารมณ์เสียน่ะคือผมนะ แต่ทำไมเขาถึงดูอารมณ์เสียกว่าผมอีกล่ะ คนบ้า

            “ถ้าให้เดา เรื่องเพื่อนใช่มั้ย”

            หันขวับไปมองเขา

            “รู้ได้ไงอ่ะ”

            “กูมันเมพไง”

            เมพ …

            “เมพคือไรอ่ะ”

            “เมพขิงๆ มึงไม่รู้จักเหรอ”

            “ไม่อ่ะ” ถ้ารู้จะถามหรือไงไอ้พี่บ้า

            พี่กันกำลังหนีบซูชิเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆเหมือนมันอร่อยมาก ผู้ชายคนนี้เป็นผู้ชายที่กินได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่ไม่อ้วน เขาทำได้ยังไงกันนะ

            “มันทำไม เพื่อนทำไรมึง เดี๋ยวกูจะเอาตะเกียบเนี่ยไปจิ้มตามัน”

            เดี๋ยวๆ

            ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้กันนะ หลุดมาจากยุคคนเถื่อนหรือไง

            “ไม่มีไรอ่ะ เขาแค่โกรธที่ผมออกจากชมรมมั้ง”

            “ห๊ะ โกรธเรื่องอะไรติงต๊องชิบหาย”

            “แล้วก็คงโกรธเรื่องที่ผมมาอยู่กับพี่บ่อยๆ” คนตัวสูงปล่อยซูชิตกลงบนถาด เขาหันมามองผมนิ่งๆ จู่ๆก็กดโทรศัพท์ออกไปหาใครสักคน

            “เออ ที่มึงเล่านี่เรื่องจริงป่ะ”

            “กูไม่อยากเชื่อไง แต่ตอนนี้เชื่อแล้ว”

            “โมโหแล้วด้วย เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับปืน”

            “เดี๋ยวก็โดนยิง”

            คุยเสร็จก็วางสายไป ผมได้แต่นั่งกระพริบตาปริบๆมองเขา

            ตั้งแต่รู้จักเขามา เขาไม่เคยเป็นแบบนี้ ตอนนี้พี่กันไม่ต่างอะไรกับกระทิงที่พร้อมจะขวิดทุกคนที่เดินผ่านหน้าเขา หรือถ้าเขาเป็นปืน เขาก็พร้อมจะลั่นไกใส่คนที่ทำให้เขาอารมณ์เสีย

            “ทำไมพี่ถึงดูอารมณ์เสียจัง”

            “กูน่ะเหรออารมณ์เสีย”

            ผมพยักหน้าหงึกๆ คนตัวสูงนิ่งไป เหมือนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเขากำลังหน้าบูดหน้าบึ้ง พี่กันไอกระแอมเล็กน้อยแล้วกลับมานิ่งสุขุมเหมือนเดิม

            “หิวป่ะ”

            “ไม่อ่ะ”

            “ไม่ก็กินเข้าไป กินแล้วเดี๋ยวมาติวกัน”

            “ไม่ติวได้มั้ยอ่ะวันนี้” มองเขาด้วยสายตาเชิงร้องขอ ผมไม่มีอารมณ์จะทำอะไรเลยนอกจากล้มตัวลงนอน

            “ได้”

            หือ

            ง่ายแบบนี้เลยเหรอ

            “อยากกินไร มีทั้งซูชิ คุกกี้ ขนมเค้ก ทาโกยากิ” สารพัดของกินถูกยื่นมาตรงหน้าผม จากจะติวกลายเป็นชวนกินแทน แต่ผมไม่อยากกินอะไรเลย ทั้งๆที่ซูชินี่ของโปรดผมด้วยซ้ำ

            “ไม่อ่ะ”

            พี่กันเกาหัวจนยุ่งเหยิงไปหมด

            “แล้วให้ทำไง”

            คำพูดของเขาทำให้ผมกระพริบตาปริบๆ

            “ทำอะไร”

            “ทำให้มึงกลับมายิ้มไงไอ้ตัวนิ่ม”

            ใจของผมเต้นรัวขึ้นมา พี่กันพูดเสร็จก็เท้าคางมองหน้าผม นัยน์ตาสีสวยของเขาจ้องมาไม่หยุด เหมือนพยายามจะอ่านสิ่งที่อยู่ในใจของผม

            ผมสบตากับพี่กัน แต่เพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็ต้องหลบตา ไม่สามารถต้านทานสายตาของเขาได้เลยจริงๆ หลายวินาทีผ่านไปใครอีกคนยังคงจ้องผมไม่ยอมหยุด ยิ่งจ้อง ใจก็ยิ่งเต้นแรงเหมือนจะเป็นไข้ ความร้อนจำนวนมากพุ่งขึ้นมากองบริเวณใบหน้าจนผมต้องปิดใบหน้าของตัวเองเอาไว้

            “อย่าจ้องดิ”

            “หึ”

            หัวเราะในลำคออย่างชอบใจ 

            “กูรู้ว่ามึงเครียดเรื่องเพื่อน แต่เพื่อนก็เป็นแบบนี้แหละ หวงเพื่อนเป็นธรรมดา”

            “เหรอ”

            “อือ แต่ถ้าหวงมากไปแสดงว่าเพื่อนแอบชอบมึงแล้ว”

            “ห๊ะ” ผมลดมือลงแล้วมองหน้าพี่กัน ครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาพูดออกมาเมื่อกี้

            เพื่อนแอบชอบผมน่ะเหรอ

            ไม่น่าเป็นไปได้

            ก็มันแอบชอบพี่รหัสของผม… ไม่ใช่เหรอ

            “คนเราอ่ะนะ โกหกได้ทุกอย่าง แต่สายตาอ่ะโกหกไม่ได้” เขาชี้นิ้วไปที่ดวงตาของตัวเอง แล้วหันไปมองคนรอบๆตัว พี่กันมองไปยังโต๊ะๆหนึ่งที่มีหนุ่มสาวสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน

            “สองคนนั้นอ่ะเพื่อนกัน ทีนี้ดูสายตาออกมั้ย ว่าใครคิดเกินกว่าเพื่อน”

            ผมมองตามสายตาของคนตัวสูงไปหยุดอยู่ที่ผู้หญิง สายตาที่ผู้หญิงมองผู้ชาย คือสายตาของความเป็นเพื่อน มันผิวเผินไม่ได้ลึกซึ้ง แต่ก็แฝงด้วยความเป็นห่วง ในขณะเดียวกันเมื่อหันกลับไปมองสายตาผู้ชาย มันอบอุ่น การมองคนตรงหน้าเหมือนเขาเป็นคนสำคัญ อยากทะนุถนอม แววตาที่อ่อนลงไปเวลาเขาหัวเราะ

            นั่นคือสายตาของคนแอบรัก

            “ผู้ชาย”

            “อือ ก็ดูออกนี่”

            พี่กันหันกลับมาสบตาผม

            “ทีนี้พอจะนึกออกยัง เวลาเพื่อนมองมึง มันมองแบบไหน”

            เวลาเพื่อนมองผมอย่างนั้นเหรอ

            นึกย้อนไปตั้งแต่สมัยรู้จักกันแรกๆ สายตาของเพื่อนสนิทจะแฝงไปด้วยความเอ็นดูผมเสมอๆ เวลาผมห่างออกจากตัว เขาก็จะมีท่าทีไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไร ซึ่งตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นเพียงแค่อาการหวงเพื่อน แต่หลังๆสายตาของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนไป

            ผมเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่น

            มันเป็นสายตาที่อบอุ่น ต้องการทะนุถนอม เมื่อไรก็ตามที่ผมอยู่ข้างเขา มันจะเปลี่ยนจากการพึ่งพา เป็นการปกป้อง ราวกับผมเป็นสิ่งสำคัญของเขา

            ไม่จริงน่า…

            เงยหน้าสบตาพี่กันด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งกังวล ทั้งกดดัน

            การที่เพื่อนสนิทชอบเรา มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นใช่มั้ย

            แล้วถ้ามันแย่ล่ะ จะถึงขั้นไหนกัน

            ฝ่ามือของพี่กันวางลงบนหัวของผม ขยี้มันเบาๆเหมือนที่เขาชอบทำ แค่ความอบอุ่นของเขาแผ่มาเผื่อผม ก็รู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาดใจ

            “อย่าไปคิดมาก เรื่องปกติของโลก”

            “แต่ว่า…”

            “ถ้ามันจะเลิกคบกับมึงเพราะเรื่องแบบนี้ คำว่าเพื่อนที่ผ่านมาก็ไม่มีความหมายว่ะ”

            คนตรงหน้าพูดเหมือนกับว่าเขาเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้ว ซึ่งนั่นทำให้ผมเบาใจขึ้นมาเล็กน้อยที่ยังมีเขาอยู่ข้างๆ แม้จะยังไม่รู้จักเขาดีพอ แต่การที่เขาพูดแบบนี้มันแสดงถึงความเอาใจใส่คนรอบข้างของเขา

            พี่กันเป็นคนดีมากๆเลยนะ แต่ก็โหดเหี้ยมมากๆเหมือนกัน

            “รู้สึกดีขึ้นยัง”

            ผมพยักหน้าเบาๆ

            “ดีขึ้นละ”

            “ทีนี้มองตากู แล้วบอกมาว่าเห็นอะไร”

            นัยน์ตาสีสวยของพี่กันมองจ้องมาที่ผมนิ่งๆ นี่เขากำลังเล่นบ้าอะไรอยู่นะ

            ผมสบตากับเขาได้ไม่เกินสิบวินาทีหรอก คนใจบาป!

            “เร็วๆ อย่าให้รอ”

            สูดอากาศหายใจเข้าปอดลึกๆ ผมสบตากับพี่กันพลางกลั้นหายใจไปด้วย นัยน์ตาสีสวยของเขาคือสิ่งแรกที่ผมตกหลุมรัก เราสบตากันวันนั้น วันที่เขาเก็บหนังสือมาคืนผม

            แววตาของพี่กันมีหลายๆสิ่งซึ่งผมไม่สามารถตอบได้ มันเป็นสายตาที่บ่งบอกถึงความอบอุ่นแต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความเยือกเย็น มันเป็นสายตาที่อ่อนโยนแต่ในขณะเดียวกันมันก็แข็งกร้าว

            สิบวินาทีจริงๆที่ผมสามารถสบตาเขาได้ เพราะหลังจากนั้นผมก็หมดอากาศหายใจแล้วต้องรีบหลบตาเขา คนตัวสูงหัวเราะออกมาเบาๆ

            “แต่ถ้าเราไม่สามารถสบตาเขาได้ รู้มั้ยมันหมายถึงอะไร”

            ผมกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกฝืดเคือง

            เสื้อคลุมของพี่กันลอยมาโปะลงบนหัวผมอีกครั้ง ผมคว้ามันห่อตัวเองเอาไว้

            สิ่งที่พี่กันถาม ในความคิดของผมมันอาจจะหมายถึง

            เราตกหลุมรักเขา จนไม่กล้าสบตากับเขา

            เพราะเรากลัวว่าเขาจะรู้ ว่าเราชอบเขามากขนาดไหน

            “ข้อหนึ่ง เราโกหก”

            “ข้อสอง เรามีความลับอะไรบางอย่าง”

            “และข้อสาม”

            ข้อสาม…

            “เราตกหลุมรักเขา”

            ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

            เสียงหัวใจของผมดังจนตัวเองได้ยินชัดเจน มันเต้นรัวราวกับจะตอบรับคำพูดของพี่กัน

            “ตอนแรกกูอยากจะใช้เวลาทำความรู้จักมึงให้นานกว่านี้”

            ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ

            เราควรจะเรียนรู้กันไปเรื่อยๆไง

            “แต่พอไอ้หมอมาเล่าเรื่องเพื่อนมึงให้ฟังแล้ว บอกตามตรง กูหวงว่ะ

            พี่กัน…

            ตั้งแต่เราเจอกัน ผมไม่เคยนึกไม่เคยฝันหรอกว่าจะได้เข้าใกล้ผู้ชายคนนี้มากขนาดนี้ เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีจนไม่กล้าเข้าไปทำความรู้สึก เขาสร้างกำแพงไว้สูงจนผมคิดหลายครั้งว่าจะสามารถทลายมันเข้าไปได้หรือไม่

            ที่ผ่านมาผมรู้ว่าพี่กันเองก็คงรู้สึกอะไรบางอย่าง ทั้งคำพูดของเขาที่ไม่เคยปฎิเสธ สิ่งที่เขาทำให้ผมมาตลอด แต่ผมไม่เคยคิดจะเร่งความรู้สึกเหล่านั้น ต้องการให้มันเป็นไปเรื่อยๆ ค่อยๆซึมซับมัน

            “ดังนั้นถ้ามึงกำลังจีบกูอยู่ล่ะก็”

            “…”

            “พอละ”

            “พี่กัน”

            “ถึงตากูจีบมึงบ้างแล้ว ไอ้น้องกอด”





// มาจีบเราหน่อย เราอ่อยนานแล้วนะพี่กัน!!!
สามารถติดแท็ก #Likeกัน ได้ทางทวิตเตอร์น้ะง้าบ
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_


ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #154 เมื่อ10-06-2017 15:47:53 »

โอ๊ยยยยยย ตายยยยยย ตายอย่างสงบ  :heaven  หมดเวลาเล่น ได้เวลาเอาจริง #พี่กันกล่าว

ปล. ชอบตรรกะทดสอบสบตา 10 วิอ่ะ มันใช่มากกก  โกหก / มีความลับ หรือไม่ก็ แอบรัก  แอร๊ยยยย  :-[

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #155 เมื่อ10-06-2017 16:21:33 »

อ่านไปยิ้มไป >\\<

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #156 เมื่อ10-06-2017 16:23:04 »

 :pig4:

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #157 เมื่อ10-06-2017 17:20:30 »

รีบจีบรีบเป็นแฟนกันสักที จะได้กันท่ากะเพื่อนน้องได้นะพี่กัน

ออฟไลน์ .Koi4541

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #158 เมื่อ10-06-2017 17:49:44 »

พึ่งอ่านจบยาวๆเลย อยากบอกว่า ชอบมากกกกกกกก ฮือออ อ่านแล้วยิ้มไปเขินไป เป็นเรื่องที่น่ารักมากจริงๆค่ะ!! จะติดตามต่อไปน้าา เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^

ออฟไลน์ windwrite

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #159 เมื่อ10-06-2017 18:06:40 »

ฟินเฟ่อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
« ตอบ #159 เมื่อ: 10-06-2017 18:06:40 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #160 เมื่อ10-06-2017 20:28:26 »

อื้ออออ เขินแทนน้องกอดได้ไหมอ่ะพี่กัน

ออฟไลน์ Pin_12442

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #161 เมื่อ10-06-2017 20:47:25 »

อยากโดนยิงงี้บ้าง

ออฟไลน์ manow1

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #162 เมื่อ10-06-2017 20:49:49 »

พี่กัน น่ารักนะเรา เขินแทนน้องกอดด

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #163 เมื่อ10-06-2017 21:38:38 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Papangtha

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #164 เมื่อ11-06-2017 01:08:56 »

งื้ออออพี่กัดตะจีบน้องกอด
น้องกอดยอมตั้งแต่ตอนนี้ละมั้งงง555555555

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #165 เมื่อ11-06-2017 19:20:08 »

ในที่สุดพี่กันก็เอาจริงล่ะเหวยยยยย หลังจากอ่อยน้องกอดเองอยู่นาน 5555

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #166 เมื่อ11-06-2017 23:16:40 »

โอ้ยๆๆๆๆตายๆๆๆๆพุธโธธัมโมสังโฆ

เขิลอะไรขนาดนี้ๆๆๆๆๆๆๆ
โอ้ยยยยยยยเขิลลลลลล

แบบพี่กันเนี่ยมีที่ไหนบ้างๆๆๆๆๆ

โอ้ยยยยยยยนนรักเลย

รีบมาต่อน้าาาาาาาา

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #167 เมื่อ12-06-2017 12:19:29 »

โอ๊ยยยยยย เขิน !!!

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #168 เมื่อ12-06-2017 15:42:15 »

นี่ยังไม่ใช่จีบกอดอยู่อีกหรอ! :hao3:

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #169 เมื่อ13-06-2017 03:13:08 »

โอ๊ย พี่กัน!! กรี๊ดมาก555 ทำไมรู้สึกว่าแต่ละคำพูดแต่ละการกระทำจะดาเมจขนาดนี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
« ตอบ #169 เมื่อ: 13-06-2017 03:13:08 »





ออฟไลน์ Benzsu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #170 เมื่อ14-06-2017 03:03:08 »

หวีดดดดด ทำไมน่ารักขนาดนี้คะพี่กัน น้องกอดจะละลายแล้วนั่น  :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #171 เมื่อ14-06-2017 21:42:50 »

จีบกันไปมาเมื่อไหร่จะได้คบกัน อิอิ น้องกอดพี่กันจีบเรางั้นหนูก็ไม่ต้องเปย์พี่กันแล้วนะ. 555555 ชอบๆ. จีบก่อนต้องเปย์คิดได้ไง

ออฟไลน์ ดาวลูกไก่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #172 เมื่อ14-06-2017 23:46:05 »

ต้องเตรียมใจเท่าไหร่ให้พร้อมรับความฟินระดับพี่กันคะ โอยยยย ใจน้อง  :pighaun:

ออฟไลน์ monetacaffeine

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-5
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #173 เมื่อ14-06-2017 23:50:31 »

จะแย่งกันจีบทำไมมม ผู้ชายพวกนี้ทำอะไรยุ่งยากจริงๆ ชอบก็คบเลยดิเอ้อ

ออฟไลน์ kratair

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #174 เมื่อ14-06-2017 23:54:12 »

 :-[ :-[

ออฟไลน์ iamtsubame

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #175 เมื่อ16-06-2017 00:12:39 »

พี่กัน มีความทำลายล้างสูงมากกกกก :-[

ออฟไลน์ SOMCHAREE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-2
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #176 เมื่อ16-06-2017 22:11:09 »

แหม ต้องมีตัวกระตุ้นนะค่ะพี่กันนนน

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #177 เมื่อ17-06-2017 12:23:45 »

พอมีคู่แข่งเท่านั้น พี่เถื่อนก็เปิดตัวเลย  :m20:
ต่อไปนี้ น้องกอด ต้องเล่นตัวให้มากนะ หนู  :z1:
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ  :L2:
ปล. เข้ามาอ่านตามคำแนะนำครับ

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
«ตอบ #178 เมื่อ18-06-2017 01:38:47 »

นี่เกินจีบนานแล้วค่ะ แถวบ้านเรียกคบกันแบบไม่ระบุสถานะะ

ออฟไลน์ leenanhyun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +102/-2
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
«ตอบ #179 เมื่อ18-06-2017 13:42:12 »

Chapter 11
ซุ่มซ่ามเป็นเหตุ



          เหรียญบาทเหรียญสุดท้ายหล่นลงในช่องซื้อตั๋วรถไฟฟ้า พร้อมกับบัตรสี่เหลี่ยมที่กระเด้งออกมาจากตัวเครื่อง รับบัตรมาไว้ในมือแล้วเดินผ่านช่องสอดตั๋วเข้าไปสู่ชานชาลาต้นสาย ผู้คนมากมายเตรียมตัวขึ้นรถไฟฟ้าในยามเช้าเพื่อไปปฎิบัติหน้าที่ของตนเองเฉกเช่นทุกๆวัน

            วันนี้อากาศร้อนจัด ร้อนชนิดที่เรียกได้ว่าเครื่องปรับอากาศบนรถไฟฟ้าไม่สามารถส่งความเย็นถึงทุกคนได้ หลายๆคนต่างใช้อุปกรณ์ส่วนตัวอย่างมือหรือกระดาษยกขึ้นมาพัดเพื่อระบายความร้อน

            ผมไม่ได้นั่งเหมือนทุกๆครั้งแต่โดนดันจนกระเด้งมายืนตัวลีบอยู่ริมประตูอีกฟาก ภายในรถไฟฟ้ามีเพียงเสียงจากโฆษณาบนโทรทัศน์เครื่องจิ๋ว ผู้คนต่างก้มหน้าจ้องมองโทรศัพท์ในมือของตนเอง บ้างก็อ่านหนังสือ บ้างก็เหม่อมองออกไปนอกตัวรถ

            ส่วนผมเลือกที่จะกดโทรศัพท์ส่งข้อความไปหาเพื่อนสนิทที่เงียบไม่ยอมตอบตั้งแต่เมื่อวาน

            *หายโกรธยัง

            *ดีกันเถอะ

            *เดี๋ยวพาไปกินขนม

            ข้อความถูกอ่านในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ผมสามารถยิ้มออกมาได้นิดหน่อย

            แต่เจ้าตัวก็ไม่ยักจะพิมพ์ตอบกลับมาสักที

            *กูเข้าใจนะ ว่ามึงรู้สึกยังไง

            รู้สึกยังไงล่ะ

            โอ้ ทีแบบนี้ตอบซะเร็วเลยแฮะ

            *ก็แบบ

            *แอบชอบกู

            อีกฝ่ายเงียบไป คราวนี้ใช้เวลาอยู่นานพอสมควรกว่าจะตอบกลับ อาจจะเป็นเพราะว่ากำลังตกใจที่จู่ๆผมพิมพ์ไปหาแบบนั้น บอกตามตรงเลยว่าถ้าพี่กันไม่บอก ผมก็คงโง่ดักดานไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทกำลังแอบชอบตัวเองอยู่

            รู้ตัวมั้ยว่าพิมพ์อะไรมา

            *รู้

            แล้วถ้ากูแอบชอบมึงจริงๆ จะทำไง

            เลิกคบ? เกลียดกู?


            *ก็

            *ดีใจนิดๆแหละมั้ง

            ห๊ะ

            จะพูดแบบไหนดี คือผมไม่ได้รังเกียจหรืออะไร ไม่ได้โมโหหรือจะเลิกคบกับเขา แต่แค่รู้สึกว่าการที่เพื่อนตกหลุมรักเรา มันหมายความว่าเขาแคร์เรามากๆ ผมเข้าใจความรู้สึกของคนแอบชอบแต่ไม่มีโอกาสได้บอก มันอึดอัดอยู่ข้างใน ยิ่งเป็นเพื่อนแล้ว ยิ่งพูดไม่ได้เข้าไปใหญ่

            ขนาดคนแปลกหน้าอย่างพี่กัน ผมยังไม่สามารถพูดออกไปตรงๆได้เลย
           
            *จะเลิกคบได้ไง

            *มึงเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของกูนะ

            *แต่กูอยากขอโทษ

            *เพราะกูมีคนที่ชอบแล้วจริงๆ

            ขอโทษทำไม

            ไม่ได้โกรธไรมึงขนาดนั้นหรอก

            แค่น้อยใจ ว่าทำไมมึงถึงไม่ชอบกูบ้าง

            อยากเห็นคนที่มึงชอบขึ้นมาเลย ว่าจะดีกว่ากูแค่ไหนกัน


            *ไม่ได้ดีกว่าหรอก

            *เขาแค่เป็นคนที่ใช่ แค่นั้นเอง

            ในชีวิตเรา เรามักเจอจิ๊กซอว์หลากรูปแบบ บ้างก็ต่างกัน บ้างก็เหมือนกัน บ้างก็ลงล็อค บ้างก็ไม่สมบูรณ์ ความสัมพันธ์ของผมกับพี่กัน ก็เหมือนจิ๊กซอว์ที่ลงล็อค ในขณะที่ความสัมพันธ์ของผมกับเพื่อนสนิท มันคือจิ๊กซอว์รูปแบบเดียวกันที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่ไม่มีวันลงล็อค

            ที่ผมคิด ก็ประมาณนั้นแหละนะ

            *มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกู รู้ป่ะ

            อือ

            ว้า ยอมแพ้ความมุ่งมั่นของมึงจริงๆอ่ะ

           
            เพื่อนสนิทส่งสติ๊กเกอร์ทำหน้าเศร้ามาให้ แต่เบื้องหลังนั้นผมคิดว่าเขาคงจะยอมแพ้แล้วจริงๆนั่นแหละนะ
           
            รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก อย่างที่พี่รหัสบอก เขาไม่สามารถโกรธผมได้นานหรอก อาจจะเป็นเพราะเราผูกพันธ์กันมานานพอสมควร แต่ผมอยากจะคงสถานะเพื่อนกับเขาเอาไว้ ไม่รู้สิ ผมว่าระหว่างฐานะเพื่อนกับฐานะคนรัก เขาเป็นเพื่อนได้ดีกว่าคนรักนะ

            แล้วไอ้นั่นมันว่าไงมั่ง ชอบมึงกลับบ้างป่ะ

            คำถามของเพื่อนสนิททำให้ผมหน้าร้อนหูร้อน ยิ่งอากาศร้อนๆแบบนี้แล้ว มันก็ยิ่งทำให้ร้อนมากขึ้นไปอีก นึกย้อนไปถึงคำพูดเมื่อวานที่พี่กันพูดกับผม

           
            “ดังนั้นถ้ามึงกำลังจีบกูอยู่ล่ะก็”

            “พอละ”

            “ถึงตากูจีบมึงบ้างแล้ว ไอ้น้องกอด”



            ผมเข้าใจความหมายของสิ่งที่ใครอีกคนพูดอย่างลึกซึ้ง แต่ผมไม่สามารถทำได้ เพราะความตั้งใจแรกที่ผมมีต่อเขา คือการจีบเขาต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้จักเขาดีพอ

            การจีบคนๆหนึ่ง สำหรับผมแล้วมันไม่ใช่การทำให้เขาประทับใจเพียงแค่อย่างเดียว แต่ผมคิดว่ามันคือการเรียนรู้ซึ่งกันและกันมากกว่า

            ซึ่งตอนนี้ผมรู้จักพี่กันเพียงแค่สิบเปอร์เซ็นต์จากหนึ่งร้อย

            ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากรู้

            ยังมีอะไรอีกหลายๆอย่างที่อยากทำกับเขา

            *ไม่รู้อ่ะ

            *คงชอบมั้ง

            ตอบเพื่อนสนิทกลับไปแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋า ใช้เวลาไม่นานขบวนรถก็นิ่งลง ผมก้าวลงจากรถตามฝูงชนจำนวนมาก เข้าแถวสอดบัตรเหมือนคนอื่นๆ

            ช่วงอาทิตย์สองอาทิตย์นี้จะเป็นช่วงที่ยุ่งจนหัวปั่น ทั้งงานทั้งกิจกรรมที่ถาโถมเข้ามา ดังนั้นจากปกติจะได้กลับหอช่วงเย็น ก็จะเลื่อนเป็นช่วงดึก ถ้าวันถัดไปไม่มีเรียนเช้า ก็หมายความว่าผมจะต้องกลับบ้านดึกตลอด

            แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว

            เดินออกมาจากตัวสถานีเพียงแค่ไม่กี่ก้าว ก็ต้องหยุดนิ่งเมื่อเห็นคนตัวสูงที่ยืนดูดชานมอยู่ไม่ไกล ท่ามกลางฝูงชน เขาดูโดดเด่นขึ้นมาเหมือนกับยีราฟในฝูงไก่ อาจจะเปรียบเทียบเวอร์เกินไป แต่นั่นคือความจริงที่ผมเห็น

            ไม่เคยถามเลยแฮะว่าส่วนสูงที่แท้จริงของพี่กันคือเท่าไร

            เดาว่าร้อยแปดสิบกว่าๆนั่นแหละ อาจจะเกินร้อยแปดสิบห้า เพราะขึ้นรถไฟฟ้าทีไรหัวจะชนเพดานรถไฟทุกครั้งไป

            “มาได้ไงอ่ะ”

            คำทักทายแบบฉบับเจ้าเก่าเจ้าเดิม พี่กันดูดชานมในแก้วเสียงดัง หมดแก้วพอดี

            “เหาะมามั้ง”

            “เหรอ พี่เป็นไซอิ๋วเหรอ”

            “เออ ขี่หมูทะลุฟ้าไง”

            ผมหลุดขำ

            “ไปเรียนใช่ป่ะ” พยักหน้าตอบคำถามเขา ช่วงนี้ไม่รู้ว่าทำไม ไม่ว่าจะไปที่ไหนเขาก็จะโผล่มาให้เห็นเสมอๆเหมือนมีจีพีเอสติดตามตัวผม ทั้งๆที่เราเรียนคนละมหาวิทยาลัยกัน เขาเรียนอีกเส้นทางหนึ่ง ผมเรียนอีกเส้นทางหนึ่ง

            “ทำไมถึงรู้ว่าเรียนกี่โมงอ่ะ”

            คนตัวสูงดึงกระดาษเอสี่ที่สภาพดูไม่ได้ออกจากกระเป๋ากางเกงพลางยื่นมาตรงหน้าผม คลี่มันออกเพื่อดูสิ่งที่ถูกพิมพ์อยู่บนกระดาษ ตารางเรียนของผมปรากฎอยู่บนนั้น เด่นหราชัดเจน

            “ได้มายังไง”

            “กูมีสายไง”

            เขาเป็นสายลับหรือไงกัน รู้กระทั่งตารางเรียนของผม แถมยังปริ้นท์ออกมาเก็บไว้อีก คนบ้า

            “แล้วรู้ได้ไงว่าจะมาตอนนี้อ่ะ”

            “ปกติแล้วมึงจะมาก่อนเวลาประมาณชั่วโมงถึงสองชั่วโมง จริงมั้ย”

            พยักหน้าตอบอีกครั้ง

            เขารู้รายละเอียดเกี่ยวกับผมขนาดนี้เลยเหรอ

            แอบดีใจแฮะ

            “เดี๋ยวไปส่ง”

            “เหรอ”

            “เหรอไรครับเด๋อ ต้องพูดว่าดีใจมากๆเลยครับ สุดหล่อจะไปส่ง”

            “อืม ดีใจมากๆเลยครับ สุดหล่อจะไปส่ง”

            คนตัวสูงหันขวับมาระหว่างที่เราสองคนกำลังเดินตรงไปยังบันไดเลื่อน

            “ว่าง่ายจังเนอะ”

            “ผมเป็นคนซื่อๆอ่ะ”

            พี่กันยิ้มมุมปากส่งมาให้ เขาเดินนำหน้าผมไปยังบันไดเลื่อนแล้วเป็นฝ่ายก้าวลงไปก่อน ขาของผมก้าวตามไป เพราะรีบเดินเลยแอบกะจังหวะการเหยียบบันไดเลื่อนพลาดเล็กน้อยทำให้เซไปด้านหน้า พี่กันไม่ได้หันมามองแต่เหมือนเขาจะเดาออกจากเสียงเบาๆที่ผมร้องออกไปเมื่อกำลังจะสะดุดหัวทิ่ม แขนยาวๆยื่นกลับมาดันอกของผมเอาไว้ ทำให้สามารถกลับมายืนทรงตัวได้

            นี่ขนาดเขาไม่ได้หันหลังกลับมา เขายังรู้เลยว่าผมจะล้ม

            เป็นคนที่น่าเหลือเชื่อจริงๆนั่นแหละ

            พี่กันน่ะ…

            ตอนนี้ผมยืนอยู่เหนือคนตัวสูงเล็กน้อย ถึงจะยืนคนละขั้น แต่ความสูงของเขาไม่ลดลงเลย แผ่นหลังของเขาเผชิญหน้าผมอยู่ วันนี้เขาสวมชุดนักศึกษา พับแขนเสื้อขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า สะพายกระเป๋าหนังใบโปรดและรองเท้าผ้าใบคู่โปรด

            “วันนี้ไม่มีเรียนเหรอ”

            “มี แต่เรียนเย็น”

            “ผมเลิกเย็นนะช่วงนี้ ถ้าพี่จะติวก็คงต้องเป็นดึกๆเลยอ่ะ”

            “กิจกรรมเยอะล่ะสิปีหนึ่ง”

            “อือ”

            “ถ้างั้นติวดึกๆก็ได้ ห้องสมุดที่สยามเนี่ยแหละง่ายดี”

            ตอบแต่ก็ไม่ยอมหันมามอง ทำให้ต้องสะกิดเขาเบาๆ

            “พี่กัน”

            “ว่า”

            “ทำไรอ่ะ”

            เห็นเขายุกยิกๆอยู่ เลยชะโงกหน้าไปมองผ่านไหล่กว้างๆของเขา พี่กันกำลังสนใจอะไรบางอย่างบนหน้าจอโทรศัพท์ ซึ่งมองเพียงแค่ครั้งแรกก็รู้เลย

            เขากำลังเล่นเกมงูอย่างใจจดใจจ่อ

            จู่ๆก็มีข้อความเด้งเข้ามา ทำให้เขาต้องกดออกจากเกมเพื่อไปดูข้อความนั้น บนหน้าจอของโทรศัพท์ไม่มีแอพพลิเคชั่นใดๆเกี่ยวกับโซเชียลเลย ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเกมที่ไม่ต้องใช้อินเตอร์เน็ตในการเล่น 

            คำพูดของหมอสี่ดังขึ้นมาในสมองผมเหมือนประกาศผ่านออกมาทางโทรโข่ง

            “มึงก็บอกให้เพื่อนรักมึงเล่นไลน์บ้าง ชีวิตจะใช้โทรศัพท์เติมเงินไปยันตายเหรอ”

            “พี่จะใช้โทรศัพท์เติมเงินไปยันตายเหรอ” พี่กันกดหยุดเกมไว้ก่อน เขาหันมามองผม นัยน์ตาสวยๆนั่นทำให้ผมนิ่งไป

            จะว่าไงดี มีอำนาจทางสายตา

            ใช่เลย คำนั้นแหละ

            “ไอ้หมอสอนเหรอคำนี้อ่ะ”

            “เปล่า ก็แค่อยากเล่นไลน์กับพี่บ้าง”

            “ไม่เล่น ไม่ชอบ”

            “ทำไมล่ะ”

            “เดี๋ยวติด”

            “ติดไลน์เหรอ”

            “ติดมึง”

            ร่างกายถูกแช่แข็งไปชั่วขณะหนึ่ง คนตัวสูงหัวเราะชอบใจใหญ่ เขาเดินนำออกไปอีกครั้ง ส่วนผมก็ได้แต่เดินตาม ใครว่าการเดินตามไม่มีความสุข ผมชอบนะ เดินตามเขา เขาจะได้ไม่หายไปไหน

            “แต่ผมอยากเล่นไลน์กับพี่นะ”

            “มันเปลืองค่าเน็ต”

            อ่า ใบ้กินเลยแฮะ

            ค่าอินเตอร์เน็ตทางมือถือสมัยนี้มันก็แพงหูฉี่จริงๆนั่นแหละ

            “ไม่ต้องเล่นหรอก”

            “เดี๋ยวจะโผล่หน้ามาให้เจอทุกวัน”

            “เจอให้เบื่อไปเลย”

            ผมยิ้มออกมา

            ไม่เบื่อหรอก จะไปเบื่อได้ยังไงกัน ก็ผมชอบพี่นี่นา

            อากาศร้อนๆทำให้ตัวชุ่มเหงื่อไปหมด แม้จะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการเดินถึงตึกคณะ แต่ก็สามารถเบิร์นไปหลายแคลอรี่ คนตัวสูงเหงื่อชุ่มหลังจนเสื้อนักศึกษาแนบไปกับแผ่นหลังกว้าง บ่งบอกว่าเขาต้องร้อนมากแน่ๆ

            “แดดเผาหมาตายควายล้ม”

            “แต่ผมไม่เห็นพี่ล้มนะ”

            “ตัวนิ่ม เดี๋ยวมึงจะโดนขวิด”

            ขอบคุณร่มไม้ในตัวมหาลัยของผมที่ช่วยบดบังแสงอาทิตย์ในตอนเที่ยง และขอบคุณลมร้อนวาบๆที่พัดผ่านมา ไม่ได้ช่วยให้เย็นขึ้นแม้แต่นิดเลย

            “ส่งแค่นี้ก็ได้นะ”

            “ไปกินข้าวก่อนป่ะ”

            ผมดูนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์ เวลาเที่ยงครึ่ง วันนี้มีเรียนตอนบ่ายโมงครึ่ง เหลือเวลาอีกถมเถ ดังนั้นจะไปกินข้าวก็คงไม่เสียหายอะไร

            “ก็ได้ อยากกินที่ไหนอ่ะ”

            “แนะนำหน่อยดิ”

            “ตึกวิศวะ”

            ตอบแบบไม่ลังเลใจเลย เพราะตั้งแต่เข้าปีหนึ่งมา พวกผมก็ชอบไปกินที่ตึกวิศวะกันประจำเพราะอาหารอร่อยและมีให้เลือกหลายอย่าง อีกทั้งคนไม่ค่อยเยอะเท่าไร เพราะนักศึกษาคณะนี้ก็อพยพกันไปกินที่คณะอื่น

            โรงอาหารเวลานี้มีคนบ้างประปราย ใครอีกคนพอเดินเข้ามาก็หูตาวาว จากที่เดินผ่านมาหลายๆร้าน เขาดูจะชอบทุกร้านแฮะ

            สุดท้ายพี่กันก็เลือกอาหารที่ง่ายที่สุดในบรรดาร้อยพันเมนู

            ข้าวผัดกระเพรากุ้ง โปะไข่ดาวไม่สุก

            ผมมองจานข้าวที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ แล้วก้มมองจานผัดมาม่าใส่ไข่ของตัวเอง

            ว่าเขา ผมเองก็กินเมนูสิ้นคิดไม่ต่างจากเขาสักเท่าไร

            คนตัวสูงนั่งลงตรงข้ามกับผม ถึงจะเคยกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ แต่ก็ไม่ชินสักทีอ่ะ

            เราสองคนนั่งกินข้าวกันเงียบๆ มันเป็นความเงียบที่ไม่ใช่ความอึดอัด แต่เป็นความสบายใจมากกว่า ถึงจะไม่มีใครอีกคนมาเซ้าซี้ แต่ก็รู้ได้ว่าเขานั่งอยู่ข้างหน้านะ

พี่กันเป็นคนที่ เวลาเขากินข้าวเขาจะเงียบเพราะจะสนใจกับอาหารตรงหน้าเอามากๆ

            “ชอบกินใบกระเพราป่ะ” น้ำเสียงโมโนโทนถามขึ้น

            “ชอบ ผมชอบกินผัก”

            พูดจบ เขาก็เอาช้อนกับส้อมหนีบใบกระเพราในจานของเขามาให้ผมทีละใบสองใบ

            “ไม่กินผักเหรอ”

            “กูเป็นสัตว์กินเนื้อ”

            “พี่เป็นไดโนเสาร์เหรอ”

            “หน้ากูมันดึกดำบรรพ์ขนาดนั้นเลยเหรอ”

            แล้วถ้าผมตอบว่าดึกดำบรรพ์ เขาจะตบผมด้วยกรงเล็บของเขาไหมล่ะ

            “ชอบกินแต่แตงกวา”

            ผมจดบันทึกความชอบของเขาเพิ่มลงไปในสมอง

            “แล้วอะไรอีก”

            “ผักกาด”

            “เหรอ”

            “ผักกอดด้วย”

            “ผักกอดหน้าตาเป็นไงอ่ะ”

            “หน้าตาน่ากอดหน่อยๆ”

            เขาส่งยิ้มหวานมาให้ นอกจากแดดประเทศไทยที่ร้อนระอุแล้ว พี่กันก็ร้อนระอุเช่นกัน

            ใจผมสั่นไม่หยุดเลย คุณพระช่วย

            “กินเสร็จเดี๋ยวกูไปหาไอ้หมอที่ตึกวิทย์ ไปด้วยกันป่ะ”

            มันก็แน่นอนอยู่แล้วที่ผมจะตอบว่าใช่

            เราใช้เวลากินข้าวไม่นานก็เดินมาที่ตึกวิทย์ เห็นพี่หมอสี่นั่งอยู่ใต้ตึกถือถุงอะไรบางอย่างอยู่ในมือ คนผิวขาวใส่แว่นทรงกลมโบกมือให้ผมอย่างเป็นมิตร เขาทักทายผมก่อนที่จะทักทายเพื่อนเขาด้วยซ้ำ

            “สวัสดีครับกอด วันนี้ไปติวกับพี่มั้ย”

            “ตีนก่อนมั้ยล่ะหมอ”

            คนตัวสูงรีบเข้ามาขวางทันทีเลย

            “แหมๆ หวง อ่ะนี่ของที่สั่ง” พี่หมอสี่ยื่นถุงกระดาษในมือให้กับพี่กัน ผมไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ก็อยากรู้ว่ามันคืออะไร และดูเหมือนใครอีกคนจะรู้เขาถึงได้ยื่นถุงกระดาษมาให้ผม

            “ของมึง”

            “หือ”

            ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง พี่กันยักคิ้ว

            ถุงกระดาษใบใหญ่มาอยู่ในมือผม แหวกมันออกดูก็พบว่าเป็นเสื้อคลุมไหมพรมสีเทาแบบเดียวกันกับของคนตัวสูงที่ชอบเอามาคลุมหัวผมบ่อยๆ ผมกระพริบตาปริบๆมองเสื้อในถุง

            “อะไรอ่ะ”

            “ของขวัญให้กับความพยายาม”

            ความพยายาม…

            ความพยายามอะไรกัน

            “เก็บมันไว้ดีๆ ของขวัญชิ้นแรกจากกู”

            คลี่ยิ้มออกมาจางๆ นี่เป็นของขวัญชิ้นแรกจากเขาจริงๆ ถามว่าความรู้สึกตอนนี้เป็นแบบไหน มันดีใจปนอยากจะร้องไห้ออกมาซะให้ได้

            “ไม่มีขายที่ไทยนะน้องกอด อยากได้ต้องสั่งจากญี่ปุ่น”

            “จริงเหรอ” ผมมองพี่หมอสี่สลับกับใครอีกคนที่มองมาเงียบๆ

            “มันไม่มากไปหน่อยเหรอ”

            คนตัวสูงยื่นมือมาขยี้หัวผมเบาๆ

            “ของขวัญพิเศษ กูก็ต้องให้กับคนพิเศษ”

            “…”

            “จริงป่ะ”

            ผม…

            กลายเป็นคนพิเศษของพี่แล้วเหรอ

            เขินเลยแฮะ

            “แล้วเอาไง จะกลับเลยป่ะ” พี่กันละสายตาจากผมไปคุยกับพี่หมอสี่ต่อ ทิ้งให้ผมยืนกอดลูบเสื้อคลุมไหมพรมนุ่มนิ่มนั่นด้วยความปลื้มใจอยู่ลำพัง

            การถักทอที่สวยงามแบบไร้ที่ติ ดูจากแบรนด์แล้วน่าจะราคาไม่ใช่เล่นเลย ไหมพรมนุ่มนิ่มเบาสบายแต่สามารถให้ความอบอุ่นเป็นอย่างดี ไซส์ต่างจากไซส์ของพี่กัน อันนี้เป็นไซส์ที่เล็กลงมา ใหญ่กว่าตัวผมเล็กน้อยแต่ไม่ได้ใหญ่มากเหมือนของใครอีกคน ตลกดีเหมือนกันนะ ที่ประเทศไทยอากาศร้อนขนาดนี้แต่เขากลับให้ของขวัญผมเป็นเสื้อคลุมกันหนาว

            ผมสัญญาว่าจะเก็บมันอย่างดีเลย

            ระหว่างที่สองคนคุยกัน พวกเขาก็ออกเดินไปด้วย ผมที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับเสื้อในมือดันเผลอสะดุดขาตัวเองจนเกือบจะหน้าทิ่ม ดีนะที่แขนของใครอีกคนดึงเสื้อของผมไว้ทัน ไม่อย่างนั้นได้แผลอีกรอบแน่ๆ

            “สะดุดอีกละ เดินระวังๆหน่อยดิวะ”

            “สะดุดที่ตึกวิทย์ด้วยนะน้องกอด”

            พี่หมอสี่แซวพลางหัวเราะขำ จนพี่กันต้องท้วงเพราะความซุ่มซ่ามของผม

            “เด๋อไง ตอนนั้นมันก็ไปสะดุดที่สนามบอล พันเป็นมัมมี่เลย”

            “ซุ่มซ่ามน่ารักดีออก”

            ที่มหาลัยของผมมีเรื่องเล่าอยู่หลายอย่าง หนึ่งในหลายๆอย่างนั่นคือเรื่องของการสะดุด ถ้าสะดุดที่ลานเกียร์ของตึกวิศวะ ก็จะได้แฟนวิศวะ ถ้าสะดุดที่พรมของตึกอักษร ก็จะได้แฟนอักษร ดังนั้นหลายๆคนก็เลยคิดไปว่า ถ้าอย่างนั้นสะดุดที่ไหนก็คงจะได้แฟนจากคณะนั้นล่ะมั้ง อะไรประมาณนี้ ถามว่าผมเชื่อไหม ก็ไม่ค่อยเท่าไร

            ตั้งแต่ผมเข้ามาในมหาวิทยาลัย นี่คือครั้งแรกเลยที่ผมสะดุด

            จะว่าไป ก็เห็นพี่กันใส่เสื้อช็อปอยู่นะ

            “พี่กัน…”

            เขาคงไม่ได้เรียนคณะวิทยาศาสตร์หรอกใช่มั้ย

            “อือ”

            พี่หมอสี่เป็นฝ่ายตอบคำถามแทน

            “ไอ้กันมันเรียนคณะวิทยาศาสตร์”

            ใจเต้นรัวขึ้นมาทันที

            คนตัวสูงมองหน้าผมสลับกับพี่หมอสี่ เขาคงไม่รู้เรื่องเล่าเหล่านี้หรอกเพราะว่าเราอยู่กันคนละมหาลัย 

            “ถ้างั้นกูไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันที่สนามบอล เจอกันนะครับน้องกอด” พี่หมอสี่ยิ้มให้ผมพลางโบกมือลาเพื่อนของเขาแล้วเดินดุ่มๆออกไปกับกลุ่มเพื่อนที่ยืนรออยู่ไกลๆ

            พี่กันหันมามองผม เขาขมวดคิ้วแล้วบ่นออกมาเหมือนหมีกินผึ้ง

            “ยืนยิ้มอยู่นั่นแหละ”

            ก็ผมมีความสุขนี่นา

            “จะไปเรียนยัง”

            “ไปแล้ว”

            “เออ เดี๋ยวเดินไปส่ง”

            “ไม่ต้องหรอก” ยกมือห้ามเขา ขืนเดินไปด้วยกันตอนนี้ล่ะก็

            ละลายตายกลางแดดนั่นแหละ เจอทั้งไออุ่นจากแสงอาทิตย์ ไออุ่นจากเขา

            “กูจะไปส่ง”

            “แต่ผมไปเองได้”

            “แน่ใจ?”

            ผมพยักหน้าตอบเสียงทุ้มๆของเขา แม้จะไม่ได้สบตา แต่ก็รู้ได้ว่าพี่กันคงจะยอมถอยแต่โดยดี

            “เจอกันคืนนี้นะ น่าจะสี่ห้าทุ่มอ่ะ”

            “อือ เจอกัน”

            หมุนตัวหันหลังเพื่อจะเดินกลับตึกคณะ แต่เสียงโมโนโทนกลับดังขึ้นมาก่อน

            “เรื่องสะดุดอ่ะ อย่าเพ้อเจ้อ”

            “…”

            “จะสะดุดที่ไหน มึงก็มีแฟนเป็นเด็กวิทย์อยู่ดีนั่นแหละ”

           



// ค่ะพี่กัน ได้หมดถ้าสดชื่นนน

รักกันชอบกอด รักกอดชอบกัน ติดแท็ก #Likeกัน ผ่านทางทวิตเตอร์ได้นะคะ
ขอบคุณทุกๆคนที่คอยติดตามและเอ็นดูเด็กสองคนนี้ ขอบคุณที่ไปพาคนอื่นให้มารู้จักกอดกัน
ขอบคุณมากๆจริงๆค่ะ <3

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด