Chapter 4
สายฝนกับคนเหงา
อ่า…
ฝนตก
อยากจะเขกหัวตัวเองซักสิบทีที่ดันลืมเอาร่มออกมาจากหอ
ละอองฝนฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ สายฝนสีขาวกระหน่ำเทลงมาไม่หยุดเหมือนอัดอั้นมานาน ถนนด้านหน้าไร้ผู้คน มีเพียงเสียงซ่าๆดังก้องหูไปหมด
คนอื่นๆทยอยกลับบ้านไปหมดแล้ว ทั้งพี่รหัส ลุงรหัส เพื่อนของลุงรหัส และเพื่อนสนิทที่ต้องไปรับน้องสาวจากโรงเรียนกวดวิชา มีผมคนเดียวที่อยู่ต่อจนเกือบจะสี่ทุ่มเพราะยังอ่านไปไม่ถึงไหน
ขอบคุณยาแก้ไข้สองเม็ด อาการไข้ดีขึ้นหลังจากทานยาไป แต่พอออกมาเจอฝนตกหนักแบบนี้แล้ว ถ้าขืนลุยฝนกลับหอล่ะก็ พรุ่งนี้ได้นอนซมทั้งวันแน่ๆอ่ะ
เฮ้อ แต่ก็อยากกลับหอจัง
ลุยไปเลยดีมั้ยนะ
มือของผมยื่นออกไปจากที่กำบังของห้องสมุดสาธารณะ หยดน้ำหลายๆหยดหล่นกระทบฝ่ามือ
ผมชอบน้ำก็จริง แต่ไม่ยักจะชอบตอนฝนตก
ความฝันวัยเด็กของใครหลายๆคนคือการออกไปวิ่งเล่นน้ำฝน แต่ไม่รู้ทำไมพอเราโตขึ้น การออกไปตากฝนกลับกลายเป็นเรื่องไร้สาระ อย่างที่เขาว่ากันว่า เมื่อโตขึ้น ความคิดของเราเปลี่ยนแปลงไป คงเป็นเพราะโลกมันไม่สดใสเหมือนตอนเด็กๆล่ะมั้ง
จะว่าไป ทั้งๆที่เป็นหน้าร้อนแท้ๆ แต่พอฝนตก ทำไมถึงหนาวได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้
พอเห็นฝนแล้ว ก็ดันมีหน้าของใครอีกคนแทรกขึ้นมา
ใครอีกคนที่หายตัวไปตอนผมตื่นนอน
ป่านนี้พี่กันจะกลับถึงบ้านหรือยังนะ หรือติดฝนอยู่ที่ไหนหรือเปล่า
แล้วพรุ่งนี้ เราจะได้เจอกันอีกมั้ย
ผมเผลอหลับไปเพราะพิษไข้ มาตื่นเพราะแรงเขย่าเบาๆจากเพื่อนสนิทที่ซื้อยาลดไข้มาฝาก หันไปมองรอบๆตัวก็พบว่าคนตัวสูงหายไปแล้ว
เหลือทิ้งไว้เพียงแค่เสื้อคลุมไหมพรมสีเทาตัวใหญ่ที่คลุมร่างผมอยู่ กับความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขา แม้จะเป็นเวลาไม่นาน แต่กลับเหลือทิ้งไออุ่นจางๆเอาไว้
พอคิดได้แบบนั้น ก็เผลอเอามือไปจับหัวตัวเองเฉยเลย
ฝ่ามือของเขาใหญ่และอบอุ่นมาก
ผมจะจำมันไว้ให้แม่นเลยล่ะ
รอยยิ้มของผมหุบลงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบกับผืนน้ำจากที่ไกลๆ เงาตะคุ่มๆของใครสักคนกำลังวิ่งตรงมาทางนี้
ฝนตกหนักขนาดนี้ ยังมีคนวิ่งฝ่ามาอีกแฮะ
เงาจางๆแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างชัดเจนของผู้ชายตัวสูงสวมชุดนักศึกษาที่วิ่งฝ่าฝนตรงมายังที่ที่ผมยืนอยู่ มือสองข้างของเขาปิดกระหม่อมของตัวเองเอาไว้
พอผ่านพ้นละอองสีขาวมาปุ๊บ
สิ่งที่ชัดเจนในสายตาของผมคือนัยน์ตาคู่สวยของเขา ที่มองทีไรเหมือนโดนยิงทุกที
พี่กัน
“อ้าว ยังไม่กลับเหรอวะ”
คนตัวสูงสภาพตัวเปียกแฉะถามผม มือสองข้างบิดชายเสื้อชุ่มน้ำของตัวเอง สักพักก็เปลี่ยนไปขยี้หัวเปียกๆนั่นแล้วเสยมันขึ้นลวกๆ
เสื้อสีขาวลู่ไปกับผิวขาวเหลืองของเขา ขอบคุณที่เขาใส่เสื้อกล้ามไว้ด้านใน
เพราะแค่นี้ ก็ทำให้หน้าผมร้อนจนแทบจะทอดไข่ดาวได้ประมาณหนึ่งโหลแล้ว
“ไอ้กอด”
“…”
“กอด”
“…”
“ไอ้เด็กเด๋อ”
“ห๊ะ หา” ละสายตาจากเสื้อซีทรูของเขาไปมองหน้าคนที่ขึ้นเสียงใส่ พี่กันขมวดคิ้วมองหน้าผม ไม่ทันได้พูดได้จาอะไรมากไปกว่านั้นฝ่ามือของเขาก็วางลงบนหน้าผากของผมอย่างถือวิสาสะ
ถ้าให้เทียบความดังระหว่างเสียงฝนกับเสียงหัวใจของตัวเองตอนนี้
หัวใจที่เต้นรัวเหมือนกลองชุดชนะเลิศไปเลย
“หน้ามึงแดง ไข้ขึ้นอีกหรือไง”
“เหรอ”
“เหรอบ้าไร กูถามยังจะมาเหรอใส่อีก”
“แหะ”
“แล้วจะไปไหน”
“กลับหออ่ะ แต่ฝนตกก็เลยกลับไม่ได้แล้ว”
ผมพูดแล้วมองเลยออกไปยังสายฝนที่ยังตกไม่หยุด
ตอนแรกใจมันไปอยู่ที่หอแล้ว แต่พอรู้ว่าพี่กันยังไม่กลับ ก็เลยคิดว่าอยู่ห้องสมุดจนเช้าไปเลยก็ได้
ไม่ทันตั้งตัว คนตรงหน้ายื่นมือมาคว้าสายกระเป๋าผ้าที่ผมสะพาย ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางสองนิ้วเกี่ยวสายกระเป๋าแล้วลากผมกลับเข้าไปในห้องสมุด เปิดประตูออกมาปุ๊บ แอร์เย็นๆก็สาดกระทบกับร่างกาย หากแต่ใครอีกคนกลับไม่สะทกสะท้านต่อความหนาวเลยทั้งๆที่ตัวเปียกซะขนาดนั้น
“ไม่ต้องกลับ รอฝนหยุดค่อยกลับ”
น้ำเสียงโมโนโทนบอกกับผม แต่ไม่ยักจะหันมามองหน้า
พี่กันพาผมไปหยุดอยู่ที่โต๊ะริมสุดด้านใน เพื่อนสองคนของเขาที่นั่งอยู่ก่อนหน้าเงยหน้าขึ้นมา หนึ่งคนออกปากแซวเหมือนรอเวลานี้มานานแล้ว
“ไหนบอกไปซื้อน้ำ ทำไมได้น้องกลับมาวะ”
“เงียบปากไป”
“ฮ่าๆ”
ผมมองโต๊ะขนาดกลางสำหรับสี่คน ที่ไม่เห็นเขานั่งอยู่ที่เดิมเพราะว่าย้ายโต๊ะสินะ เพื่อนก็ทยอยกลับไปบางส่วนแล้วด้วย ไอ้เราก็นึกว่ากลับไปแล้ว
ที่ริมกำแพงที่เคยเป็นที่วางกระเป๋าของพวกเขา ถูกเคลียร์จนสะอาด ฝ่ามือหนักๆกดให้ผมนั่งลง จะหันไปถามเขาว่าแล้วตัวเขาล่ะจะไปไหน เพราะพี่กันตัวเปียกแฉะขนาดนี้ ขืนนั่งตากแอร์ได้หนาวตายแน่ๆ
แต่เหมือนจะได้คำตอบทันท่วงทีเมื่อเขาหยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นออกมาจากกระเป๋าเป้
“กูไปเปลี่ยนชุดก่อน พวกมึงสองคนห้ามชวนคุยเด็ดขาด”
“แถวนี้มีแมวด้วยว่ะ”
“หวงก้างอ่า เมี๊ยววว”
“ส้นตีนเหอะ”
“ฮ่าๆๆ”
พอคนตัวสูงเดินหายออกไปปุ๊บ เพื่อนทั้งสองของเขาก็เริ่มเปิดวงสนทนากับผมแบบไม่เกรงกลัวอำนาจของผู้ชายชื่อกันเลยสักนิด
“เมื่อกี้ไอ้กันมันออกไปซื้อชานมครับ”
“ชานมธัญพืชอ่ะ”
“แต่มันไม่ได้ชานมกลับมา”
“งงป่ะ”
ผมพูดไม่ค่อยเก่งเท่าไร เลยใช้วิธีพยักหน้าตอบกลับไป
“ฝนตกมั้ง” พึมพำออกไปเบาๆ เพื่อนสองคนของพี่กันหันมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา
ไม่ใช่เหรอ?
อาจจะเป็นเพราะว่าฝนตกก็ได้ ผมคิดว่างั้นนะ เขาอาจจะไปได้แค่ครึ่งทางแล้ววิ่งกลับมา
“แต่ร้านชานมอยู่แค่ตรงข้ามเองนะ”
“ขายาวๆอย่างมันวิ่งหกก้าวก็ถึง”
ห่ะ
เอ ผมไม่ทันสังเกตแฮะ
ไอ้นิสัยชอบกินชานมก็ไม่ได้มีมาตั้งแต่เกิดซะด้วยสิ เพิ่งมาชอบกินหลังจากได้เจอเขาเมื่อไม่นานมานี้เอง แถมไอ้เมนูชานมธัญพืชนี่ก็ไม่ได้มีทุกสาขา
ก็เลยไม่ได้สนใจเลยว่ามีร้านชานมตั้งอยู่ตรงข้ามห้องสมุด
“หกก้าวแต่ตัวเปียกเหมือนไปวิ่งวนรอบสยามเลย”
“กลัวเขาจะรู้ว่าแอบมองอยู่แน่ๆ”
“เนียนๆไป ไม่รู้หรอก”
“อ่ะงงเด้ งงเด้”
คุยกันอยู่สองคน เข้าใจกันอยู่สองคน
สักพักหนึ่งคนทางซ้ายเอาข้อศอกกระทุ้งสีข้างของคนทางขวา เป็นการส่งสัญญาณบอกถึงอันตรายที่กำลังเดินตรงกลับมาจากห้องน้ำ สองคนตรงหน้าเปลี่ยนบทคู่หูเม้ามอยเป็นบทคู่หูตั้งใจเรียน อ่านชีทกันอย่างขยันขันแข็ง
คนที่หายไปเปลี่ยนชุดเดินดุ่มๆเข้ามาพร้อมด้วยสีหน้าขวางโลกมาแต่ไกล จากชุดเปียกๆเมื่อกี้ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดสี เทาอ่อนกับกางเกงผ้าขาสั้นสีดำ
พี่กันนั่งเงียบสักพัก เมื่อสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเขาเลยใช้ขาถีบเพื่อนทั้งสองของตัวเอง ร้องโอดร้องโอยไปคนละทีสองที
“พวกมึงชวนคุยแน่ๆ”
“ชวนไร ไม่ได้ชวน”
“ใช่ ไม่ได้ชวน นั่งอ่านชีทอยู่เนี่ย อย่าใส่ร้ายเพื่อนดิวะ”
“นิสัยเสือกพวกมึงไม่ธรรมดา อย่าคิดว่ากูจะเชื่อ”
“ไม่เชื่อเหรอ ไม่เชื่อถามน้องดิ”
เอ้ย
โยนขี้มาให้เฉยเลยอ่ะ
เขาหันขวับมามองผม
“พวกมันชวนคุยมั้ย”
ถามเฉยๆก็ได้ ทำไมต้องทำหน้าโหดด้วยล่ะไอ้พี่บ้า
หันไปมองสองคนด้านหน้า หนึ่งคนขยิบตา อีกหนึ่งคนกระพริบตารัวๆส่งมาให้ เหมือนจะบอกผ่านทางความคิดว่า โกหกมันหน่อย ช่วยๆกันไป
ผมโกหกไม่เก่งซะด้วยสิ
แต่เอาไงก็เอาวะ
“เปล่าอ่ะ” พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ พี่กันทำหน้าไม่เชื่อสักเท่าไร เขาหันกลับไปมองเพื่อนสองคนของตัวเอง แล้วหันกลับมามองผมอีกรอบ
เพ่งมองพิจารณาอยู่ซักระยะ
“อืม”
เชื่อแล้วใช่ป่ะ
เฮ่อ ทั้งผมและเพื่อนสองคนของเขาถอนหายใจออกมาพร้อมกัน พี่กันม้วนชีทเป็นทรงกระบอกแล้วลุกขึ้นยืน ฟาดหัวเพื่อนไปคนละที
‘ปั่ก ปั่ก!’
“โอ้ยเชี่ยกัน!”
“ไอ้คนเถื่อน!”
“ตอแหลแล้วยังจะไปสั่งให้มันโกหกกูอีกนะ”
“แฮ่”
สายตาอำมหิตหันมามองหน้าผม เขายกชีทจะมาฟาดหัวผมโทษฐานที่สมรู้ร่วมคิดกับเพื่อนของเขา ผมรีบหลับตาปี๋ หดคอเป็นเต่า
“มึงนี่ก็เด็กขี้โกหก”
แหงะ
โดนตีแน่เลยอ่ะ
‘แปะ’
กระดาษม้วนวางลงบนหัวผมเบาๆ ไม่ได้แรงอย่างที่คิด เหมือนแค่แตะแล้วถอยกลับไป พอลืมตามอง พี่กันก็กลับไปนั่งควงปากกาเล่นอยู่ข้างๆแล้ว
“มีคนเรียนนาฏศิลป์แถวนี้ว่ะ”
“อะไรวะ
“รำเอียง!”
พี่กันปายางลบก้อนโตใส่เพื่อน
“กูก็เรียนนาฏศิลป์นะ”
“จะเล่นมุกรำเอียงล่ะสิ”
“รำคาญ!!”
แอบหันไปมองคนตัวสูงที่กำลังเถียงกับเพื่อนอยู่ ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะว่ากลัวจะโดนเห็น เลยต้องซ่อนครึ่งหนึ่งของใบหน้าอยู่ใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่
ถ้าขืนโดนเห็นตอนนี้ล่ะก็
เขาจะต้องแซวผมแน่ๆ เพราะตอนนี้ผมกำลังยิ้มจนเก็บอาการไม่อยู่
เหมือนเป็นบ้าไปแล้วจริงๆอ่ะ
นั่งอ่านมาไม่ถึงชั่วโมง ก็หลับหัวทิ่มโต๊ะกันหมดเลย
หันไปมองรอบตัว ทั้งพี่กันและเพื่อนของเขาสลบเหมือดกันเป็นแถบ มีเพียงผมคนเดียวที่ยังนั่งอ่านชีทไปเรื่อยๆ แม้จะอ้าปากหาวบ้างเป็นบางเวลา แต่วันนี้รู้สึกไม่ง่วงเท่าไร
นาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่ม คนในห้องสมุดยังคงไม่ขยับตัวไปไหน
ฝนเอง ก็ยังไม่หยุดตกซักที
‘ครืด’
ข้อความจากไลน์เด้งขึ้นบนหน้าจอ พอเห็นชื่อคนที่ทักมา ผมก็รีบพิมพ์ตอบ
พรุ่งนี้กลับบ้านมั้ยลูก แม่ผมเอง
*กลับพรุ่งนี้เย็นนะ
*แม่จะฝากซื้ออะไรแถวนี้มั้ย ไม่ฝาก
แม่จะพาไปกินอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ ผมกดส่งสติ๊กเกอร์ขยับได้กลับไป
*โอเค ผ่าน จะนอนหรือยัง *ยังค้าบ
*กอดอยู่ห้องสมุดที่สยามอ่ะ อย่านอนดึกมากรู้มั้ย
นอนละ
ฝันดีจ้า *ฝันดีครับ “อือ”
มือที่กำลังกดโทรศัพท์อยู่สะดุ้งเมื่อคนข้างๆจู่ๆก็ครางฮือออกมา พี่กันขยับตัวเล็กน้อย
ตื่นแล้วเหรอ
ชะโงกหน้าไปดู คนตัวสูงยังคงหลับตาอยู่ คิ้วขมวดพันกันยุ่งไปหมด
ใครจะไปนึกไปฝันว่าจะได้มานั่งดูเขานอนอยู่ตรงหน้าแบบนี้กัน พอได้มามองดูใกล้ๆแล้ว เขาเป็นคนที่ผิวค่อนข้างดี เนียนละเอียด สีผิวสม่ำเสมอ มีกระแดดบนใบหน้าบ้างประปรายตามแบบฉบับผู้ชายที่ชอบเล่นกีฬา
“ฮืม”
คนที่นอนอยู่ถอนหายใจออกมาพลางขยับหน้าหนีไปอีกทาง
นอนแบบนี้มันสบายที่ไหนกันล่ะ
ผมดึงเสื้อคลุมไหมพรมตัวหนาออกจากไหล่ ม้วนเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเพื่อที่จะทำเป็นหมอนให้ใครอีกคน มองอยู่สักพัก เมื่อเห็นแผ่นหลังกว้างๆที่ขยับเบาๆขึ้นลงเป็นจังหวะแล้ว เลยคิดว่าเขาคงไม่ตื่นขึ้นมาหรอกมั้ง
ช้อนมือไปใต้คอเขา แค่แตะเบาๆเท่านั้นแหละ เขาก็สะดุ้งตัวขึ้นมานั่งทันที ผมกระเด้งตัวกลับมานั่งที่เดิมแล้วกุมมือตัวเองไว้แน่น
ไอ้กอด
ไอ้บ้า
เกือบไปแล้ว!
“ทำอะไร”
ไม่รู้จะตอบยังไง เลยได้แต่นั่งเม้มปากเงียบๆ
จะทำหมอนให้ไง เห็นนอนไม่ค่อยสบายอ่ะ
ถ้าขืนพูดออกไปแล้วพี่กันเกิดไม่ชอบขึ้นมา ได้โดนเกลียดแน่ๆเลย
สายตาของอีกคนมองเลยไปยังเสื้อคลุมที่ถูกม้วนเป็นก้อนอยู่บนโต๊ะ เขาหยิบมาขึ้นมา คลี่ออก สะบัดมันเล็กน้อยโดยที่ไม่พูดอะไร
“ห่มซะ มือมึงเย็นขนาดนั้น”
“อ่ะ…”
เสื้อคลุมตัวใหญ่ลอยกลับมาตกบนหัวผม คลุมไปทั้งร่างตั้งแต่หัวไปถึงแขน
สายตามองลงไปยังฟิล์มกระจกที่ติดอยู่กับมือถือ เงาที่สะท้อนกลับมาคือใบหน้าของผมที่ขึ้นสีแดงจัด
ทำไมเขาเป็นคนแบบนี้กันนะ
ทำไมต้องมาอบอุ่นใส่กันขนาดนี้
ผมฟุบหน้าลงบนโต๊ะ รู้ได้เลยว่าตอนนี้ร่างกายร้อนระอุไม่ต่างกับลาวาจากภูเขาไฟ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไข้มันย้อนกลับมา หรือเป็นเพราะคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
น่าจะเป็นเพราะทั้งสองอย่างนั่นแหละ
แต่อย่างหลังมีอิทธิพลมากกว่าพิษไข้
เรียกมันว่า ‘Heartshot’ ก็แล้วกัน
ยิงมากลางหัวใจแบบนี้ เหมือนตายทั้งเป็นเลยจริงๆนะ
“เฮ้ย ตื่น” พี่กันหันไปปลุกเพื่อนของเขา
“อ้าว น้องหลับเหรอวะ”
“อือ พวกมึงจะกลับกันยัง”
“ฝนหยุดยังวะ”
“ไม่รู้ว่ะ”
“เออช่างแม่ง ห้าทุ่มกว่าละ กูไม่ไหวละง่วง”
เสียงกุกกักบนหัวของผมบ่งบอกว่าเพื่อนๆของเขากำลังเก็บของ ตั้งใจว่าจะเงยหน้าไปบอกลาเพื่อนๆของพี่กัน แต่ดันโดนฝ่ามือหนักๆกดหัวเอาไว้
“กลับก่อนนะเว้ยไอ้เถื่อน พรุ่งนี้เจอกัน”
“เออ อย่าหักโหมนะครับเพื่อน”
“ไปไกลๆตีนเลยไป!”
รอบกายเงียบลงอีกครั้ง คนตัวสูงถอนฝ่ามือออกไป ผมนอนนิ่งๆอยู่กับที่ มองนาฬิกาข้อมือที่ดังติ๊กต่อกติ๊กต่อก ไม่กล้าขยับตัวไปไหน อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้เราอยู่กันสองคนแล้ว
จะคุยอะไรดี
อยากคุยด้วย อยากคุยอีกเยอะๆ
“หิวข้าวป่ะ”
เสียงของพี่กันที่ถามขึ้นทำให้ผมดีใจจนต้องลุกขึ้นไปตอบเขา แต่ยังไม่ทันจะโผล่หน้าพ้นออกจากเสื้อคลุม ก็โดนฝ่ามือหนักๆของเขากดหัวลงไปนอนแปะลงบนโต๊ะอีกรอบ
อะไรอ่ะ
มากดหัวกันทำไม
คนจะคุยกันก็ต้องมองหน้ากันสิ
ผมกวาดมือสะเปะสะปะไปรอบตัว ตีมือที่เขากดหัวของผมเบาๆ พี่กันรีบส่งเสียงดุใส่
“ไอ้กอด”
“ก็อยากเห็นหน้านี่” ปล่อยเร็วๆ ปล่อยยย
บอกให้ปล่อยก็ยอมปล่อยแต่โดยดี เลิกผ้าออกมาเห็นใครอีกคนเบือนหน้าไปอีกทาง พี่กันลงมือเก็บของลงกระเป๋า ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา ผมเลยนั่งจ้องเขาอยู่แบบนั้น จ้องจนกว่าเขาจะหันกลับมาสนใจนั่นแหละ
ตามคาด พอโดนจ้องนานๆเข้า เขาถึงได้หันมาตะเบ็งเสียงใส่
“เห็นหน้าแล้วนี่ พอใจยัง”
“พอใจละ”
“พอใจงั้นก็เก็บของ”
“ไปไหนอ่ะ”
“กินข้าว”
“เหรอ” กินข้าวตอนห้าทุ่มอ่ะเหรอ
จะขุนผมให้เป็นหมูหรือไง เจอหน้าทีไรเรียกกินข้าวทุกที
“เหรออะไรอีก”
“เหงาป่ะ”
“เหงาไรวะ”
“ก็ … ไม่ได้คุยกันตั้งชั่วโมงกว่าๆอ่ะ”
เพื่อนพี่เขาอยู่ด้วย ผมเลยไม่กล้าชวนคุย
พี่กันชะงักไป
“แล้วไง ตอนนี้มึงกำลังชวนกูคุยไม่หยุดเนี่ย” ปากบ่นตัวก็เอี้ยวไปหยิบของบนโต๊ะมายัดใส่เป้ ผมก็เก็บของไปชวนเขาคุยไปเรื่อยเปื่อย
เผลออีกแล้ว
ทำไมเวลาเจอหน้าเขาทีไรถึงได้อยากจะพูดไม่หยุดปากขนาดนี้กันนะ
บางทีผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
เก็บของเสร็จเราสองคนก็มายืนอยู่ด้านหน้าห้องสมุด คนตัวสูงกว่ายื่นมือออกไปสัมผัสผ่านอากาศเย็นๆเพื่อดูว่าฝนหยุดตกจริงหรือเปล่า
“ปรอยๆ”
พอเห็นเขาบอกแบบนั้น ผมเลยยื่นมือออกไปบ้าง น้ำฝนเม็ดเล็กๆหล่นสัมผัสฝ่ามือ ยังไม่ถึงกับหยุดตกซะทีเดียว แต่ก็พอเดินกลับได้ล่ะนะ
‘กริ๊ง กริ๊ง’
เสียงโทรศัพท์บ้านรุ่นโบราณดังขึ้น จำได้แม่นว่าเป็นเสียงโทรศัพท์ของใครอีกคน ผมหันไปมองพี่กันที่ควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋า เมื่อคว้ามันได้เขาก็รีบกดรับ
“ว่า”
“เออ กำลังกลับ ว่าจะไปกินข้าว”
“ยัง กว่าจะถึงหอก็เที่ยงคืนมั้ง มึงเอาชีทสอดใต้ประตูไปก็ได้”
ดูจากการคุยแล้ว คงเป็นเพื่อนเขานั่นแหละที่โทรมา
ผมเมินสายตาห่างจากคนตัวสูงไปมองร้านชานมตรงกันข้ามกับห้องสมุด เพิ่งสังเกตเห็นว่ามันตั้งอยู่ตรงกันข้ามจริงๆ ขายาวๆอย่างพี่กันเดินหกก้าวก็ถึง
ถ้าเขาไปซื้อชานม ตัวก็ไม่น่าจะเปียกโชกขนาดนั้น แล้วทำไมถึงไม่ได้ชานมกลับมานะ หรือว่าร้านปิดแล้วก็เลยต้องวิ่งไปซื้ออีกที่ที่อยู่ไกลออกไป
คิดไปก็ปวดหัว
ถือว่าดีที่เขาโผล่มาตอนนั้น เพราะถ้าเขามาช้ากว่านั้นอีกซักห้านาทีหรือสิบนาทีล่ะก็ ผมคงตัดสินใจเดินลุยฝนกลับหอไป และคงจะไม่ได้คุยกับเขา ไม่ได้นั่งข้างๆเขา ไม่ได้เห็นด้านที่อบอุ่นมากๆของเขา และไม่ได้ไปกินข้าวกับเขาเป็นครั้งที่สอง
“ทำไม มึงเป็นเมียกูเหรอ กูจะกินกับใครก็เรื่องของกู!”
“เปล่า ไม่ได้กินคนเดียว”
“เออ”
“ไปกับไอ้ตัวขี้เหงา”
“อืม มันมองแล้ว”
“กูคุยโทรศัพท์นาน สงสัยมันเหงาละ”
ผมขมวดคิ้ว ตอนนี้คนที่มองเขาอยู่ก็มีผม หันไปมองหมาตัวสีน้ำตาลที่นั่งอยู่ริมกระถางต้นไม้ มันก็กำลังมองพี่กันอยู่
แล้วไอ้ตัวขี้เหงาที่เขาพูดเนี่ย
คือผมหรือหมากันนะ?
// นั่นน่ะสิ ตัวขี้เหงาของพี่กันคือใครอ่ะ หมาหรือกอด ถถถถถถ
สามารถติดแท็ก #Likeกัน ได้ทางทวิตเตอร์
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_