Chapter 15
บอดี้การ์ด
Wherever you are, I’ll always make you smile
Wherever you are, I’m always by your side
Whatever you say, kimi wo omou kimochi
I promise you forever right now ผมใส่หูฟังแล้วเดินฮัมเพลงอยู่ในร้านขายซีดีมานานสองนาน พลางมองผู้ชายตัวสูงที่กำลังสนอกสนใจอยู่กับแผ่นเพลงวงโปรดของเขาเป็นระยะๆ เห็นว่าวงแทททูคัลเลอร์เพิ่งออกอัลบั้มใหม่ พอพี่กันหายจากไข้หวัดปุ๊บ เขาก็รีบปรี่มาซื้อเหมือนกลัวว่ามันจะหมดซะก่อน
เดือนหน้าวงโปรดของผมจะมาแสดงคอนเสิร์ตที่ไทย จำได้ว่าครั้งล่าสุดผมพลาดไปเพราะติดสอบเข้ามหาวิทยาลัย ดังนั้นรอบนี้ผมจะต้องไปให้ได้ และต้องกดบัตรให้ทัน
มือที่กำลังยื่นไปเพื่อจะคว้าอัลบั้มใหม่ล่าสุดของวันโอเคร็อคชะงักไปเมื่อใครอีกคนคว้ามันไปก่อน ผมหันไปมองผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง พอเห็นว่าเป็นใครก็เผลอร้องออกมาเสียงแผ่ว
“อ้าว”
“อ้าว กอด”
ผู้หญิงตัวเล็กกว่าผมคนนี้ มีใบหน้าคลับคล้ายกับผู้ชายคนนั้น เธอเป็นญาติทางฝ่ายพ่อของผม ซึ่งผมไม่เคยคลุกคลีด้วย ก็แค่รู้จักกันตามมารยาทก็แค่นั้น
“มาเรียนพิเศษเหรอ” เธอเอ่ยปากถาม ผมส่ายหน้าเบาๆ
ถึงสถานที่ที่ยืนอยู่จะเป็นแหล่งที่เรียนพิเศษของเด็กมัธยมและมหาลัย แต่ผมไม่ได้มาเรียนพิเศษ ก็แค่มาแวะร้านขายซีดีเพลงแล้วก็จะไปต่อ
“เปล่าอ่ะ”
“ไม่เจอกันนานเลย กอดสบายดีป่ะ”
“อือ”
“ยังคุยไม่เก่งเหมือนเดิมแฮะ”
ผมยิ้มจางๆให้เธอ
เราไม่เคยเจอกันเลยหลังจากที่แม่ผมประกาศว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวฝ่ายพ่อ ซึ่งนั่นมันก็หลายปีมาแล้ว ในความทรงจำของผม ภาพของเธอจึงเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆหน้าตาน่ารัก
“มากับใครเหรอ คุณน้าป่ะ” ผิดกับผมที่ไม่ค่อยพูด เธอเป็นคนที่เจื้อยแจ้วและเป็นคนร่าเริงแจ่มใส ผมส่ายหน้าเบาๆ
“เปล่าอ่ะ”
“แล้วมากับใครอ่ะ เห็นชะเง้อมองตั้งแต่เมื่อกี้”
พี่กันที่ซื้ออัลบั้มเสร็จเดินมาหยุดอยู่ข้างผม พอเขาเห็นคนแปลกหน้า เจ้าตัวก็ทำเพียงแค่ยิ้มให้อย่างมีมารยาท
“เสร็จละ ป่ะ”
“นี่ใครอ่ะ” ความอยากรู้อยากเห็นของคนเรามันไม่เคยมีที่สิ้นสุด เสียงใสๆรีบถามก่อนที่ผมจะเดินหนีออกไป นิ้วเรียวๆชี้ไปที่คนตัวสูงที่ยืนเลิกคิ้วอยู่ด้านข้าง
“รุ่นพี่อ่ะ” ผมตอบ
“รุ่นพี่…”
เธอไม่เชื่อหรอกว่าเป็นรุ่นพี่
“รุ่นพี่ต้องตัวติดกันขนาดนี้เลยเหรอ”
“ทำไมล่ะ รุ่นพี่กับรุ่นน้องตัวติดกันไม่ได้เหรอ” พี่กันสวนกลับทันควัน ผมแอบหลุดยิ้มออกมา
“เปล่าค่ะ ก็แค่สงสัย”
“งั้นผมจะพูดให้หายสงสัย รุ่นพี่รุ่นน้องเนี่ยตัวติดกันได้ครับ จับมือกันได้ด้วย” ไม่พูดอย่างเดียว เขาคว้ามือผมขึ้นมาจับแบบไม่ถามไม่ไถ่กันสักคำ
ญาติของผมเงียบไป ดูเธอตกใจที่เห็นพี่กันจับมือผม เธอวางอัลบั้มวงโปรดของเธอลงแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง ผู้หญิงวัยกลางคนอีกหนึ่งคนเดินเข้ามา พอเห็นหน้าแล้ว ผมก็รีบสะบัดมือออกจากพี่กันด้วยความรวดเร็วจนเขาแปลกใจ แต่คงไม่ทัน
ป้าเห็นมันแล้ว
“ทำอะไรน่ะลูก” ถึงแม้พี่สาวพ่อจะไม่พูดออกมา แต่จากสายตา เธอมองผมและพี่กันราวกับตัวประหลาด ผมขบเม้มริมฝีปากของตัวเองพลางจ้องมองป้าเงียบๆ
“ไม่มีอะไรค่ะแม่ แค่เจอกอด กลับกันเถอะค่ะ”
ญาติของผมพยายามเซ้าซี้ให้แม่ตัวเองเดินถอยกลับหลังไป แต่ก่อนจะไป เธอทิ้งคำที่ทำร้ายจิตใจผมอีกครั้ง ไม่ต่างจากตอนที่เธอกร่นด่าแม่ผมว่าไม่มีสมอง
“พวกผิดเพศ”
“ผิดเพศยังไงครับ” พี่กันขัดขึ้นทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ผมทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆ ไม่ห้ามด้วยซ้ำว่าเขาจะพูดอะไรออกไป ถ้าเปรียบเทียบระหว่างสามคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าผม ญาติ ป้า และพี่กัน
ตอนนี้ผมเลือกพี่กัน
ป้าหันมามองค้อนพี่กันตาขวาง ความหัวรั้นหัวดื้อไม่ต่างจากพ่อของผมเลยสักนิด
“ผมก็ผู้ชาย น้องก็ผู้ชาย ไม่ผิดนะครับ เพศเดียวกัน”
ป้าไม่กล้าต่อกรกับเขาหรอก พี่กันทั้งตัวสูงทั้งตัวใหญ่ เป็นใครใครก็กลัว พอเธอเห็นว่าสู้เขาไม่ได้ เลยเบนเข็มมาลงที่ผมแทน
“ถ้าพ่อแกรู้ คงเสียใจนะ แม่แกมันไม่มีปัญญาเลี้ยงดูลูกให้ปกติเหมือนชาวบ้านเขา”
ผมกำหมัดแน่น ทั้งโมโห ทั้งเสียใจ แต่ไม่อยากจะสนใจคำพูดของเธอ พยายามทำหูทวนลม เพราะเธอไม่ได้สำคัญอะไรกับชีวิตของผม เป็นเพียงแค่ผู้ใหญ่ที่ผมไม่อยากจะต่อปากต่อคำ
มือของผมดึงเสื้อพี่กันเพื่อจะบอกเขาว่ากลับกันเถอะ ไม่อยากยืนฟังคำพูดเหม็นเน่านั่น แต่เหมือนพี่กันจะไม่ยอมง่ายๆแฮะ
“คนที่ไม่ปกติคือคนที่เหยียดคนอื่นมากกว่าครับ ผมแนะนำให้ลูกสาวป้ากลับบ้านเปิดทีวีให้ป้าดูบ้าง จะได้รู้ว่าโลกตอนนี้มันไปถึงไหนแล้ว ไม่มีใครเขามาเหยียดเพศกันแล้วครับ”
พูดจบเขาก็จับมือผมแล้วลากออกจากร้านทันที
“ไอ้คนแบบนี้นี่มันผีเจาะปากมาพูดจริงๆว่ะ” เขาหัวร้อนจนเผลอบีบมือผมแน่น ผมมองพี่กันที่กำลังหงุดหงิดเป็นหมีตกมันอยู่ ก้มลงไปมองฝ่ามือของตัวเองที่อยู่ภายใต้ฝ่ามือของเขาพลางยิ้มออกมา
“ยิ้มไร โดนด่าขนาดนี้ยังยิ้มได้อีกไอ้ตัวนิ่ม”
“มีความสุขอ่ะ”
“นี่มึงบ้าป่ะเนี่ย โดนด่าแล้วมีความสุข”
พยักหน้าตอบเขาพลางเดินตามเขาต้อยๆ มือของพี่กันยังจับมือผมอยู่ มืออุ่นๆที่สามารถกอบกุมมือของผมจนมิด
ที่ผมมีความสุข ก็เป็นเพราะพี่ปกป้องผมนั่นแหละ
ผมกับพี่กันแวะหาอะไรกินก่อนจะแยกจากกัน เพราะวันนี้ใครอีกคนมีซ้อมแข่งบอลลีคของทางมหาวิทยาลัยที่กำลังจะมาถึงเร็วๆนี้ ส่วนผมเองก็ต้องกลับบ้านเพื่อไปรับเจ้ากอดเวอร์ชั่นสองออกจากโรงพยาบาลสัตว์
พอมาถึงโรงพยาบาลสัตว์ ผมก็รับเจ้ากอดเวอร์ชั่นสองกลับบ้าน หมอบอกว่าอาการดีขึ้นมากแล้ว เหลือแค่พักฟื้นเพื่อให้กลับมาบินได้อีกครั้ง
กว่าจะถึงบ้านก็ค่ำ ผมเอาเจ้ากอดไปใส่ไว้ในกรงพลางให้อาหารเสร็จสรรพ เดินเข้าไปในบ้านก็เห็นแม่นั่งอยู่ที่โซฟา สีหน้าไม่สู้ดีเท่าไร พอเห็นแบบนั้นแล้ว รู้เลยว่าต้องเป็นเรื่องที่ป้าบังเอิญไปเจอผมกับพี่กันที่ร้านขายซีดีเพลงแน่นอน
ผมไม่ได้ทักทายแม่ ตั้งใจว่าจะขึ้นห้องเลย แต่แม่ขัดขึ้นซะก่อน
“เมื่อกี้พ่อโทรมา”
เห็นมั้ย ผมเดาถูกจริงๆด้วย
“อือ”
“อือคืออะไร พ่อโทรมาด่าแม่ว่าเลี้ยงลูกยังไงให้ไปคบกับผู้ชายด้วยกัน”
“แล้วแม่เชื่อหรือเปล่า” หันไปสบตาแม่แท้ๆที่เลี้ยงผมมา ผมรู้ว่าแม่เป็นคนมีเหตุผล แต่เพราะตอนนี้แม่กำลังโมโหที่โดนเหยียบย่ำศักดิ์ศรีจากผู้ชายคนนั้น
ดังนั้นแม่สามารถพูดอะไรออกมาก็ได้ โดยจะทำร้ายผมให้เจ็บมากที่สุด
“เชื่ออะไร”
“เชื่อว่าผมคบกับผู้ชาย”
“ก็พ่อเขาบอกมาแบบนั้น”
“เขาไม่ใช่พ่อผม” อาจจะเป็นครั้งแรกที่ผมขึ้นเสียงใส่แม่ แต่นั่นคือความจริง “ผมไม่นับถือเขาเป็นพ่อ”
แม่เงียบไป น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยไม่ยอมหยุด ผมทิ้งระยะห่างระหว่างตัวเองกับแม่พอสมควร เราไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะพลาดพลั้งไปหรือเปล่า สิ่งที่ทำได้คือผมต้องใจเย็นและพยายามทำให้แม่เย็นลง
“แม่เชื่อในตัวกอดมั้ย” ผมถามเสียงแผ่ว เสียงสะอื้นดังออกมาจากลำคอของแม่
ผมไม่อยากทำร้ายแม่ ไม่อยากทำให้แม่เสียใจ
แม่พยักหน้าเบาๆ
“อือ ผมคบกับผู้ชาย” พอได้ยินแบบนั้นแม่ก็เงยหน้ามามองผม
“ผมเพิ่งตอบตกลงคบกับเขาเมื่อไม่กี่วันมานี้ แต่ผมชอบพี่เขามาเป็นเดือนๆแล้ว ถ้าแม่เข้าใจ กอดก็จะขอบคุณแม่ แต่ถ้าแม่ไม่เข้าใจ กอดก็จะอธิบายจนกว่าแม่จะเข้าใจ”
“กอด…”
“กอดเป็นแบบนี้ ถ้าแม่ไม่โอเค…”
“พอเถอะ”
สิ้นเสียงของแม่ ฝ่ามือบอบบางนั่นก็กวักมือเรียกผมเข้าไปหา แม่สวมกอดผมแน่นพลางลูบหัวผมเบาๆ
“แม่ไม่ได้โกรธอะไรเลย แค่ลูกบอกแม่แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว”
“ผมขอโทษ”
อ้อมกอดของแม่อบอุ่นเสมอ
เราสองคนอยู่ด้วยกันมานาน ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรผมก็มักจะเล่าให้แม่ฟัง ผมเชื่อมั่นในตัวแม่ว่าแม่เป็นคนแบบไหน เพราะแบบนี้ผมเลยไม่คิดที่จะปิดบังตั้งแต่แรกแล้ว ก็แค่รอเวลาที่เหมาะสมแล้วจะบอก แต่ดันมีคนชิงบอกซะก่อน
“เขาด่าแม่แรงมั้ย”
“ช่างเถอะ ถือซะว่าหมดเวรหมดกรรมก็แล้วกัน”
ผมยิ้มออกมา แม่วางฝ่ามือลงบนแก้มผมแล้วลูบเบาๆ
“สิ่งที่กอดทำแล้วมีความสุข แม่ก็มีความสุข แม่เลี้ยงกอดมาด้วยสองมือ ดังนั้นไม่ว่าใครจะพูดอะไร แม่อยากได้ยินจากปากกอดด้วยตัวเองถือเป็นคำขาด”
ผมไม่รู้จักว่าพ่อคืออะไร แต่ผมเข้าใจดีกับความหมายของคำว่าแม่ ผมนับถือผู้หญิงคนนี้ที่ทั้งทำงานและเลี้ยงลูกเพียงลำพัง แต่ต้องคอยมานั่งรับคำด่าสารพัดจากคนที่ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร เพราะแบบนี้ไงผมถึงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพ่อ
“แล้วป้าเขาพูดว่าไง” แม่กับผมมานั่งอยู่ในห้องครัวเพื่อคุยกันแก้เครียด มีข้าวโอ๊ตอุ่นๆสองถ้วยกับขนมปังฝรั่งเศสก้อนกลมอยู่ในถาด
“ก็พูดว่าพวกผิดเพศ”
“โหนังนี่ พูดจาบ้าอะไร”
“พี่กันก็เลยบอกไปว่า ผิดเพศยังไง พี่เขาก็ผู้ชาย ผมก็ผู้ชาย ถูกแล้ว”
แม่หัวเราะเสียงหลงพลางตบมือชอบใจใหญ่
“แม่ชอบผู้ชายคนนี้แฮะ แล้วพูดอะไรอีกมั้ย”
“ก็บอกให้ลูกเขาไปเปิดทีวีให้ป้าดูบ้าง จะได้รู้ทันโลกว่าตอนนี้โลกมันไปถึงไหนแล้ว อย่ามาเหยียดคนอื่นแบบนี้ ประมาณนั้นแหละ”
“ไอ้เด็กคนนี้นี่มันกล้าจริงๆ” ใช่ เขากล้าจริงๆ ซึ่งนั่นคือข้อดีที่ทำให้ผมตกหลุมรักเขานั่นแหละ
แม่เลื่อนมือมากุมฝ่ามือของผมพลางบีบเบาๆ
“แม่ดีใจนะ ที่กอดได้เจอคนดีๆ ทำให้แม่รู้ว่าเขาปกป้องลูกแม่ได้”
“ผมก็ปกป้องตัวเองได้นะ” มือของแม่บีบจมูกผม
“เลี้ยงยิ่งกว่าไข่ในหิน ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมขนาดนี้”
“แม่เลี้ยงลูกมา แม่รู้ว่ากอดเป็นคนซื่อขนาดไหน พวกพี่ๆหนูก็รู้ว่าหนูซื่อเลยเป็นห่วงเวลาหนูจะไปไหน เขาถึงได้พาหนูมาส่งบ้านไง”
ไม่ได้ซื่อหรอกแม่
ผมแค่ไม่สนใจใครเลยต่างหากล่ะ
ถ้าไม่เจอพี่กัน ผมก็คงเป็นไอ้กอดคนเดิมที่มีชีวิตเดิมๆ ไม่ได้ออกไปข้างนอกเที่ยวเล่น ไม่ได้ใช้ชีวิตสนุกๆ ไม่ได้รู้จักคนมากมาย ผมเป็นเพียงแค่มนุษย์เฉยชาที่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ
เราสองคนนั่งคุยกันจนถึงดึก ส่วนมากก็เป็นเรื่องพี่กันแล้วก็เรื่องเรียนของผม หลังจากคุยเสร็จผมก็ขึ้นห้องนอน อาบน้ำอาบท่าเตรียมจะล้มตัวลงนอน พลางนึกถึงใครบางคนที่ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะซ้อมบอลเสร็จหรือยัง
กดไล่ดูรายชื่อในโทรศัพท์มือถือ ชื่อหล่อฉุดไม่อยู่ยังคงเด่นหราอยู่ท่ามกลางรายชื่ออื่นๆ
เขาเก่งเรื่องทำตัวเด่นจริงๆสินะ
ผมกดโทรออกทั้งๆที่ใจเต้นรัว ไม่นานนักปลายสายก็รับเหมือนรออยู่ก่อนแล้ว
(ถึงบ้านยัง)
“ถึงแล้ว”
(อือกูเพิ่งเตะบอลเสร็จ กำลังจะไปหาอะไรกิน)
“กินอีกแล้วเหรอ” อนาคตเขาต้องกลายเป็นหมีอ้วนเข้าสักวันนั่นแหละ
(ทำไม มึงจะห้ามกูเหรอตัวนิ่ม ดูพุงตัวเองก่อน อย่ามาพูด)
“แม่ผมรู้เรื่องที่คบกับพี่แล้วนะ”
ผมพูดพลางกลิ้งตัวลงบนเตียง หยิบหนังสือเล่มโปรดขึ้นมานั่งอ่านไประหว่างคุยโทรศัพท์ด้วย ปลายสายเงียบไปสักพักก่อนจะตอบกลับมา
(แล้วเป็นไง)
“ก็โอเค”
(โอเคคือ)
“อนุญาตให้คบได้”
(เหรอ) ถึงเสียงของพี่กันจะดูไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร แต่เหมือนเขาจะหันไปคุยอะไรกับเพื่อน หลังจากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาว่า ‘ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยดีใจเว้ยยยยยยยยยยย’
เขาปิดลำโพงไม่สนิทนะ ผมได้ยินชัดเจนเลย
“ดีใจขนาดนั้นเลย”
(ใครดีใจ มึงมั่วละตัวนิ่ม)
“แต่ผมดีใจนะ”
(เออ มึงมันแฮปปี้ไวรัสไง คนไรวะโดนด่ายังยืนยิ้ม)
ใครจะไปสายไฝว้แบบพี่ล่ะคร้าบ
(ไอ้หมอมันชวนไปเขาใหญ่อาทิตย์หน้า ไปมั้ย)
เขาใหญ่เหรอ
ผมหันไปมองตารางเรียนบนกระดานไม้อัดข้างฝาผนัง ถึงอาทิตย์หน้าตารางจะค่อนข้างยุ่งช่วงวันจันทร์ถึงพฤหัส แต่ช่วงวันหยุดก็ว่างนะ แล้วถ้าเกิดพี่กันจะไปวันจันทร์ล่ะ ผมคงจะเสียดายตายเลย ใจอยากจะไปเที่ยวกับเขามากๆเลยล่ะ เพราะมันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อยากทำด้วยกัน
“วันไหนอ่ะ”
(ศุกร์เสาร์อาทิตย์ สามวัน)
บนตารางสามวัน ผมว่างทั้งสามวันเลย
เย้
(ไม่ไปไม่ได้ ไม่ต้องอ้างว่าไม่มีเงิน กูเอารถไปเอง อยากกินไรเดี๋ยวป๋าจัดให้)
“ผมอาจจะไปก็ได้”
(อาจจะคือไรครับน้อง)
“ถ้าพี่ขอร้องผมดีๆ” เขาเป็นผู้ชายที่น่าแกล้งจริงๆนั่นแหละ ยิ่งพอได้รู้จักหลายๆด้านของพี่กันแล้ว ก็ยิ่งอยากเห็นมันมากเข้าไปอีก เป็นความโลภที่ไม่จบไม่สิ้นแหละนะ
พอได้ยินประโยคนั้นเขาก็โวยวายขึ้นมาใหญ่เลย
(เดี๋ยวๆ มึงใครเนี่ย คายน้องกอดของกูออกมาเดี๋ยวนี้!)
คายบ้าไรเล่า!
“ขอร้องก่อนเร็ว เดี๋ยวผมไปด้วย”
(นี่มึงรู้จักต่อกรกับกูเหรอ)
“เร็วๆดิ”
ปลายสายเงียบไป
(ไปเที่ยวกับพี่นะครับตัวเล็ก)
ประโยคสั้นๆกระชับได้ใจความ น้ำเสียงทุ้มนุ่มหูที่ราวกับมากระซิบข้างหูด้วยตัวเอง ผมทิ้งหน้าลงบนหมอนแล้วร้องอ้ากเสียงดังจนแทบบ้า
ใครจะไปนึกว่าเขาจะพูดออกมาจริงๆล่ะ
ไม่มีทางเลย คนอย่างพี่กันน่ะนะ …
ไอ้พี่บ้า
ทำแบบนี้ก็ยิงผมให้ตายไปเลยเหอะ
(ตายไปยัง) พูดจบก็หัวเราะเอิ้กอ้ากสนุกเขาล่ะ
(อย่ามาดูถูกกูไอ้ตัวนิ่ม)
“ก็ดูผิดมาตลอดนะ”
(นั่นมุกหรือเปลือกหอยน่ะ)
ไม่รู้ทำไมการคุยโทรศัพท์กับเขาถึงเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาซะได้ ผมที่เป็นคนเงียบๆ แทบจะไม่เคยโทรออกหาใคร เป็นคนที่ยิงเดดแอร์ใส่คนอื่น แต่กลับมีเรื่องที่จะเล่าให้เขาฟัง พูดคุยกับเขาเรื่อยๆแบบไม่มีเบื่อ
อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นคนที่คุยได้ทุกเรื่องล่ะมั้ง
พี่กันน่ะ…ใจกว้างมากๆเลยครับ
ทั้งเรื่องทัศนคติ ความคิด มุมมองที่เขามีต่อโลกโหดร้ายใบนี้ เขาทำให้ทุกอย่างมันเป็นเรื่องง่าย มองโลกในแง่บวก และเป็นคนที่เคารพต่อผู้อื่นสม่ำเสมอ
“พี่กัน”
ผมขัดขึ้นระหว่างที่เขากำลังเล่าว่าวันนี้โดนเพื่อนสะกิดขาจนได้แผลถลอก
(หืม ว่าไง)
“ถ้าสมมติว่าแม่ไม่ยอมให้ผมคบกับพี่ พี่จะทำยังไง”
(กูก็จะอธิบายให้แม่มึงเข้าใจจนแม่มึงยอมให้คบนั่นแหละ)
“แล้วถ้าหลังจากนี้พ่อผมเอาเรื่องล่ะ พี่จะทำยังไง”
(กูก็จะสู้กับพ่อมึงอ่ะตัวนิ่ม ถามอะไรวะ คิดมากอะไรอีกหืม)
“เปล่า”
(ฟังนะ ต่อให้คนทั้งโลกจะค้านหรือหันหลังให้กับมึง กูเนี่ยแหละจะหันหน้าเข้าหามึง ไม่ต้องไปคิดว่าใครจะพูดอะไรโง่ๆใส่ ไม่ต้องไปใส่ใจ)
“พี่กัน…”
(กูจะปกป้องตัวเล็กของกูไง ใครหน้าไหนมันกล้าเดี๋ยวจะโดนตบ)
รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าผม การคุยโทรศัพท์กับเขา มีข้อดีหลายอย่างเหมือนกัน เพราะผมไม่ต้องซ่อนรอยยิ้มกว้างๆ ไม่ต้องซ่อนใบหน้าที่ร้อนผะผ่าว และไม่ต้องกลัวว่าเสียงหัวใจของตัวเองจะเต้นดังมากขนาดไหน
“พี่จะเป็นบอดี้การ์ดให้ผมเหรอ”
(เออ มึงเป็นคุณหนู เดี๋ยวกูเป็นบอดี้การ์ดให้)
“แต่บอดี้การ์ดตกหลุมรักคุณหนูตลอดเลยนะ พล็อตเดิมๆอ่ะ” ผมลองพูดแหย่เขาๆเล่น
(ต่อให้มึงเป็นคุณหนู กูเป็นบอดี้การ์ด หรือมึงเป็นคนใช้ กูเป็นแมลงสาบ…)
“…”
(กูก็ตกหลุมรักมึงตลอดอ่ะครับน้องกอด)// ถ้าพี่กันเป็นแมลงสาบ เราก็จะเป็นไบก้อนนะ