HEAVY WEIGHT รัก ▪️ หนัก ▪️ มาก [Story by ARPO]
บทที่ 13.2
HEAVY WEIGHT: 13.2 KG.
“ว่าแต่...มึงหายไปไหนมา?” ผมถามขึ้นหลังจากที่เราสองคนหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟา แน่นอนว่าไอ้โรห์ล้างเลือดที่ปากเรียบร้อยแล้ว
คนถูกถามนิ่งไปนิด
“ไปธุระให้พี่ฟารูกมาน่ะ”
“เกี่ยวกับธุรกิจเหมืองแร่น่ะหรอ?”
“อื้ม...” อย่างที่รู้กัน บ้านไอ้ชะรีฟมีกิจการเหมืองแร่อยู่ มันเคยบอกว่าบ้านมันขยายฐานกิจการมาถึงเมืองไทยเพื่อทำธุรกิจเกี่ยวกับเหมืองด้วย โดยมีท่านเทพจุติกับคุณพี่ฟ้าคนยิ้มสวยเป็นผู้ดูแล
“อ้อ...” งั้นให้อภัยได้ แต่ที่เคืองหน่อยๆก็คือไปแล้วไม่ยอมบอกผม “ทำไมไปไหนไม่ไลน์บอก”
คราวนี้นัยน์ตาคมหวานหลุบลง พูดเสียงแผ่ว
“ตอนนั้นคิดว่าพุกคงไม่สนใจไม่ได้อยากรู้” ผมนิ่งงันไป รู้สึกผิด อยากจะด่าตัวเอง
สิ่งที่ผมพูดไปด้วยความไม่คิด มันกลายเป็นตะกอนขุ่นข้นในใจของมันตลอดเวลา ตะกอนขุ่นที่พร้อมจะตีฟุ้งขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
“ขอโทษ…” อาม่าสอนเสมอผิดแล้วต้องยอมรับผิด “อย่าหายไปแล้วไม่บอกอีกนะ”
นัยน์ตาคู่สวยหวานย้อยจนรู้สึกหวานวาบ “อือ...ไม่หายไปแล้ว…”
ผมหน้าเห่อแต่ปากกลับยิ้มตาหยี สัส! หน้าเป็นแป๋ะยิ้มเปล่าวะ นึกถึงงานตรุษจีนเชิดสิงโตเลย กูกลัวโรห์โปรยซองอั่งเปาให้แทน
“อื้ม…”
ร่างสูงใหญ่ของไอ้แขกขยับข้าง ก้มหน้าเข้ามาใกล้จนผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น
“ขอ...จูบได้ไหม?” อะไรเนี่ย เอะอะขอจูบ เห็นกูให้หน่อย ขี้ขอเชียวนะมึง
“ไม่…” ผมสะบัดหน้าหนี
ใบหน้าคมเข้มดูผิดหวังเล็กน้อย
แม่ง! ชอบทำหน้าแบบนี้ไงถึงใจอ่อน
“ไม่…” ผมย้ำคำว่าปฏิเสธ…
“ไม่เห็นต้องถามก็ได้…” กลั้นใจพูดประโยคสุดท้ายออกไป ใจนี่เต้นตะลุงตุ้งแช่มาก
ลมหายใจอุ่นเข้ามาใกล้จนชิด ริมฝีปากหยุ่นของอีกฝ่ายเคลื่อนเข้ามาจนติดกับปากผม ผมกำมือแน่นด้วยความตื่นเต้น
ความอบอุ่นแนบลงมาค้างเอาไว้แบบนั้น ใจผมเต้นรัว หูอื้อไปหมด ไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงก้อนเนื้อซ้าย ตาลายพร่ามัวจนต้องหลับตา
มันไม่ได้ทำอะไรมากการแค่เอาปากมาแตะกับผมเนิ่นนาน สุดท้ายริมฝีปากร้อนแค่ดุนเบาๆที่ปากของผมก่อนจะถอนออกไป
ก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาพราวระยับด้วยความสุข ผมแอบอมยิ้มเล็กน้อย ขอให้มันไม่รู้สึกผิดที่จูบผมอีกต่อไปก็พอ
...ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่มันจูบผมตอนผมหลับ…
...ครั้งนี้ไม่เหมือนตอนเมื่อกี้ที่ผมกระโดดจูบปากมันจนฟันกระแทก…
ครั้งนี้...เป็นจูบที่เกิดจากความเต็มใจของผมทั้งสองคน
ผมคิดว่า...ผมชอบนะ…
“โรห์...ถามอะไรหน่อยสิ” ผมเริ่มคำถามใหม่ในขณะที่เรายังคงไม่ขยับตัวไปไหน
ช่วยด้วย! ตะคริวจะแดก!
“ว่า…”
“มึง...ช...ชอบ...กู…” จริงหรอ? ผมกลืนประโยคคำถามลงท้องไป มันตื่นเต้นจนพูดไม่ออก
คือผมไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมีใครมาชอบ ผู้หญิงยังไม่แล ผู้ชายแท้ที่ไหนจะเอากูครับ
ผมเลยแปลกใจว่าโรห์ชอบผมได้ไง มันหล่อขนาดเลือกใช้แล้วทิ้งยังได้ รวยขนาดเปย์แบงค์กาโม่คนก็ยังคว้าไว้ แต่ผม...ไม่เห็นจะมีอะไรเหมาะสมกันเลย
รูปร่างนี่กินขาด! คืออ้วนกินขาด! เงินพอมีแต่ใช้ไม่เคยพอ! หน้าตาเหมือนเด็กบนขวดซีอิ๊วขาวจนนึกว่าเป็นซีอิ๊วเสิ่นเจิ้น เอ่อ...หมายถึงกูหน้าเป็นของก็อปนะครับ
แต่ผมมั่นใจว่าผมก็เป็นคนดีในระดับที่สังคมรับได้ ไม่ได้ทำผิดหรือทำให้ใครเดือดร้อน ข้อนี้ผมมั่นใจมาก
“พุก...ฟังนะ…” มันพูดเสียงจริงจัง จนผมกลั้นหายใจ “คนต่างชาติคนหนึ่ง มาเมืองไทยคนเดียว ไม่เคยมีเพื่อน ไม่ได้อยู่กับครอบครัว สภาพแวดล้อมแปลกใหม่ ภาษาไม่คุ้นเคย อาหารไม่ค่อยได้กิน ถนนที่ไม่รู้จัก…”
เสียงทุ้มพูดแผ่วเบา ผมนึกภาพตามหากอาม่าถีบส่งผมไปที่อื่น ไปอยู่คนเดียวบ้าง...ผมคงเหงามาก
“ก็มีเหงาบ้าง แต่ก็พอไหว...วันหนึ่ง...มีคนอีกคนเดินเข้ามาแล้วทักว่า...นายชื่ออะไร? เอ๊ย! มึงเอ้ยนาย...พูดไทยได้เปล่าวะ”
ผมขำกิกๆ นึกไปถึงวันแรกๆที่เจอกัน
‘นายชื่ออะไร’
ผมเห็นมันนั่งอยู่ในโรงอาหารคนเดียว ดูไม่เข้ากับใครเพราะมันแตกต่าง รูปลักษณ์ที่แตกต่าง
‘มึงเอ้ยนาย...พูดไทยได้หรือเปล่า?’ ผมเริ่มหวั่นใจที่เห็นมันมองนิ่งๆไม่ตอบ
“แล้วคนๆนั้นก็เปลี่ยนมาพูดภาษาอังกฤษ”
‘แคน ยู เอ๊ย! ไอ้ห่านจิก! ที่เคยเรียนบอกว่าถ้าไม่สนิทให้พูดว่า คูด ที่เป็นสุภาพ เออใช่ๆ คูด ยู สปีก ไทย?’
“คูด ยู สปีก ไทย?” มันพูดออกเสียง สำเนียงต่างด้าวเชียวนะมึง ผมแอบหัวเราะคิกปล่อยมันพูดต่อ
“แต่ไอ้แขกนั่นเสือกไม่ตอบด้วยนะ มันหยิ่งมาก เลยซื้อข้าวมานั่งกินเป็นเพื่อนซะเลย สงสาร” ผมตอบให้ต่อ
เราสองคนกลับมานั่งข้างๆกันเหมือนเดิมที่ประจำบนโซฟา มองมือใหญ่แข็งแรงที่วางบนตัก เอื้อมมือตัวเองลงไปตีแปะๆแบบที่ชอบทำ
ไอ้แขกขำเบาๆ
“ตอนนั้นฉันกำลังคิดว่าคนๆนั้นเขาคิดจะทำอะไร ถึงเอาข้าวมานั่งกินด้วย แถมมีการถามด้วยนะว่ากินไหม?”
‘ยู โนว ข้าวมันไก่ เอ่อ ไรซ์ ชิกเก้น...อีทๆๆ?’
แล้วมันตอบว่าอะไรรู้ไหม?
“ไม่เป็นอะไร นายกินเถอะ” เสียงทุ้มเข้มพูด ผมฟังแล้วคิดถึงมากๆ
กูเอ๋อแดกตอนนั้น ผมแบบเฮ้ย!!! พูดไทยได้ทำไมไม่พูด ปล่อยให้กูฟุดฟิดฟอไฟฟองฟ่อดไปหมด
“หลังจากนั้นอยู่ๆเราก็สนิทกันยังไงไม่รู้ หึๆ แต่ฉันมานั่งรอพุกที่โรงอาหารบ่อยๆเพราะรู้ว่าพุกต้องมาแน่”
เหมือนกำลังโดนหลอกด่าว่ากูอ้วน!
“พอมีพุกอยู่ด้วยชีวิตฉันก็ไม่เหงาเท่าไร มีคิดถึงบ้านบ้าง แต่พุกก็หยิบยื่นครอบครัวให้ฉันเพิ่ม ฉันมีอาม่า มีป๊าม้า อากู๋ อาอี้ เฮียเคน เจ้แคท น้องคิท น้องจี๊ด” ผมดีใจที่นับครอบครัวผมเป็นครอบครัวของมัน “ทุกๆครั้งที่เจอพุก ฉันขอบคุณอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันเจอพุก ถ้าวันนั้นพุกไม่มาทัก ฉันก็ไม่คิดจะทักใครก่อน”
โรห์ไม่ได้เด็กมีปัญหา โรห์มีความสุขดีที่อียิปต์ แต่การมาประเทศใหม่ ใช้ชีวิตอยู่ใหม่ โดยไม่มีใคร
...ทุกๆครั้งของการเริ่มต้นใหม่…
...ไม่ใช่เรื่องง่าย…
สิ่งแรกที่โรห์ต้องการไม่ใช่ความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่สิ่งของ แต่เป็น…
ใครสักคนที่อยู่ข้างๆคอยเป็นกำลังใจให้เขาใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมใหม่ได้อย่างสมบูรณ์
“พุกคือกำลังใจที่ทำให้ฉันอยากอยู่ประเทศไทยนานๆ”
ผมพิงหัวลงไปบนไหล่กว้าง รู้สึกแข็งๆแต่อบอุ่น
“งั้นก็...อยู่ที่นี่นานๆเลยนะ”
โคร่ก!!!
เสียงพสุทากัปนาทดังสนั่น พื้นสะเทือนเดือนดิน
ใช่ที่ไหน!
เสียงท้องมารของกูเองครับ!
แม่งเสียบรรยากาศหมด ไอ้แขกลงไปขำกับโซฟา ไอ้ส้นตีน!
เมื่อกี้ยังซึ้งฉิบหาย! ตอนนี้เอาปี๊บมาคลุมหัวกูเถอะ กูอาย!
“หึๆ กินข้าวไหม?” กูเกลียดรอยยิ้มมุมปากกับตาวาววับของมึงเว้ย
“กินดิ! กูไม่ได้แดกข้าวมาหลายมื้อแล้ว” แยกเขี้ยวใส่แม่ง เพราะมันทำผมเครียดจนกินอะไรไม่ลง
“กินอะไร?”
“บุฟเฟ่” ประกาศกร้าวมากครับ คือต้องได้แดก!
“ตอนนี้?” อะไรวะ แค่เกือบสองทุ่มเอง “มันจะไม่ย่อยนะ กินดึกไป”
“งั้นจะกินอะไรเลือกมา” เสือกมาห่วงลำไส้กูอะไรตอนนี้
“สุกี้ไหม? อุ่นๆ”
“ชาบูก็เหมือนกัน”
“ไม่บุฟเฟ่”
แม่งชาบูไม่บุฟเฟ่มันไม่คุ้มเว้ย!!!
“โรห์จ้า” เสียงสองต้องมา
มันส่ายหน้า ลุกขึ้นยืนเดินหนีไป
“โรห์…” ผมเสียงอ่อย มันแทบไม่เคยเดินหนีผมเลยนะ ผมมองร่างสูงเดินกลับมาพร้อมกับเสียงกุญแจรถกระทบกัน
“อย่ากินเยอะนะ ดึกแล้ว…” มันยิ้มๆ
ผมรีบกระเด้งตัวขึ้น ยิ้มร่าแทบบินถลาไปหามัน
เรื่องร้ายๆผ่านไป เรื่องแดกๆ เอ๊ย! เรื่องดีๆก็จะตามมา
อิๆ
-------------------- 100% ---------------
สวัสดีค่ะ
หลังจากที่ปล่อยให้น้องนมมาวิ่งเล่นหลายวัน วันนี้หนูพุกกลิ้งมาหาทุกคนแล้วค่า
ตอนนี้ใครอ่านแล้วอยากให้ลองจินตนการตามโรห์นะคะ เราเคยรู้สึกแบบเดียวกับโรห์ตอนเราไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกาตอนมอปลายค่ะ วันที่ไปโรงเรียนวันแรก...เราได้แต่มองไปรอบๆค่ะ แบบนักเรียนอเมริกันเขารู้จักกันมาก่อนแล้ว เราเข้าไปใหม่ไม่รู้จักใครเลย สภาพแวดล้อมใหม่ พูดไม่เก่ง ไม่ใช่ว่าแบบอังกฤษที่เรียนๆไปจะใช้ได้นะคะ มันคนละเรื่องเลยค่ะ แบบตอนนั้นรู้เลยว่าภาษาอังกฤษโรงเรียนไทยช่วยอะไรเราไม่ได้เลยในเมกา วันแรกมันแย่จริงๆค่ะ
โรห์มาอยู่ไทยตัวคนเดียว สิ่งแวดล้อมใหม่ สิ่งที่เราเหมือนโรห์เราแค่ต้องการใครสักคนมาเป็นเพื่อนค่ะ เราไม่กล้าทักเพราะพูดไม่เก่ง ส่วนโรห์ก็ไม่ทักคนอื่น เรากับโรห์เคยอยู่ในจุดเดียวกัน แต่สุดท้ายเรามีนะคะมีเพื่อนคนเยอรมันเข้ามาคุยด้วย เราดีใจมากๆ เขามาแลกเปลี่ยนเหมือนกัน เราเลยคุยกันง่าย ตอนหลังสนิทกับเขามาก จนทักวันนี้ผ่านไป5-6ปีแล้ว เพือนเยอรมันยังเขียนโปสการ์ดมาหาเราอยู่ เราส่งกลับไปหาเขาที่เยอรมันเหมือนกันค่ะ
พูดซะยาว555 สรุปโรห์มีเพื่อนคือหนูพุกคนแรกในไทยนะคะ
คอมเม้นมาคุยกันได้ค่ะ เราขอกำลังใจจากทุกคน หรือจะติดแท็คหวีดใน #ชะรีฟหนูพุก #รักหนักมาก
ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ