ตอนที่ 17 ห่อหมกในตำนาน
อีกเพียงแค่สองวันร้านอาหารมีคุณอนันต์ก็จะเปิดอย่างเป็นทางการแล้ว แม้ว่าจะไม่มีอะไรติดขัด ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี บุคลากรของร้านทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมันทำให้มีคุณมั่นใจว่าทุกอย่างจะต้องเป็นไปด้วยดี แต่เมื่อคุณขจีแนะนำว่าให้มีคุณทำบุญร้านก่อนที่จะเปิดอย่างเป็นทางการ มีคุณจึงเลือกเอาวันนี้เป็นวันทำบุญร้าน ซึ่งมีคุณเลือกเอาจากฤกษ์สะดวกของตัวเอง
นับตังค์ ใบเมี่ยงและพายพัดช่วยกันลงมือทำอาหารคาวหวานถวายเพลพระ คุณขจีก็มาช่วยดูแลด้วงให้ตั้งแต่เช้ามืด พอเธอรู้ว่าหนึ่งในเมนูที่นับตังค์จะทำวันนี้คือห่อหมก เธอจึงขอเข้ามาอยู่ในครัวด้วยเพราะรู้ดีว่าห่อหมกสูตรของคุณละม่อมไม่เป็นสองรองใครเลย
“ตังจะทำห่อหมกปลาช่อนกับห่อหมกทะเลครับ ตัวห่อหมกทะเลตัวนี้ ตังทำใส่ในเมนูร้านด้วย จะเป็นรสที่ชาวต่างชาติทานได้ง่ายหน่อย” นับตังค์บอกกับคุณขจีก่อนจะเริ่มต้นลงมือทำห่อหมก
นับตังค์เริ่มต้นจากนำปลาช่อนไปขอดเกล็ดออก เอาเครื่องในปลาออกพร้อมกับเลาะก้างทิ้งทั้งหมด จากนั้นก็นำไปล้างน้ำให้สะอาด ล้างดีแล้วก็นำปลามาซับน้ำให้แห้งก่อนจะลงมือแล่เนื้อปลาให้เป็นชิ้นขนาดไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป นับตังค์นำเนื้อปลาที่แล่แล้วใส่ลงในชามแก้วขนาดใหญ่ ขั้นตอนต่อมาก็นำไข่เป็ด น้ำตาลทราย น้ำปลาดีและเกลือ ผสมใส่ลงบนเนื้อปลาแล้วคนจนกระทั่งไข่เป็นสีเหลืองครีมและข้นขึ้น จากนั้นนับตังค์ก็นำหัวกะทิมาใส่เพิ่มแล้วก็คนเพื่อให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน
“พาย...มาคนต่อให้หน่อย”
นับตังค์ส่งพายขนาดเล็กให้พายพัดช่วยคนส่วนผสมต่อ ส่วนตัวเองไปจัดการเอาพริกแกงที่โขลกเองผสมกับหางกะทิคั้นสด ผสมจนเข้ากันแล้วก็นำไปเทรวมกับส่วนผสมเนื้อปลาในชามแก้วที่พายพัดคนอยู่ นับตังค์บอกว่าขั้นตอนต่อไปสำคัญที่สุด นั่นคือการคนไปเรื่อยๆ ต้องใจเย็นและลงน้ำหนักมือให้สม่ำเสมอ คนแรงไปเนื้อปลาจะเละได้ คนเบาไปส่วนผสมก็จะไม่เหนียวข้นเข้าเนื้อปลา ย่าละม่อมเคยสอนนับตังค์ว่า ยิ่งคนนาน ห่อหมกก็จะยิ่งอร่อย
พายพัดอาสาคนห่อหมกให้ต่อ นับตังค์จึงไปเตรียมในส่วนของกะทิที่จะใช้โรยหน้าและพวกผักรองก้น ซึ่งมีทั้งใบยอ โหระพา ผักกาดขาว พายพัดเพิ่งได้ความรู้ใหม่ว่าอาหารไทยมันมีขั้นตอนการทำละเอียดแบบนี้นี่เอง แค่การคนส่วนผสมก็ทำให้อาหารอร่อยขึ้นได้ด้วย
“เราจะรู้ได้ยังไงว่าใช้กะทิกี่กิโล” พายพัดถามในขณะที่ตั้งใจคนห่อหมกให้สม่ำเสมอ
“ปลาหนึ่งกิโลต่อกะทิสองกิโล กะทิน้อยไม่อร่อย แล้วเราควรคั้นเองจะได้กะทิที่มัน ข้นและหอม” นับตังค์ตอบ
“ไม่ต้องใส่แป้งเหรอ” ใบเมี่ยงอยากชิมห่อหมกฝีมือของนับตังค์แล้ว
“ไม่ใส่”
“ดีจัง ที่เคยกินเรารู้เลยว่าเขาผสมแป้งด้วย” ใบเมี่ยงบ่น
“ทำกินเองอร่อยกว่า” นับตังค์กินของดีจนเคยตัว ให้ไปกินอะไรที่อื่นก็ไม่ค่อยจะถูกปาก บางร้านอยากได้กำไรมากกว่าความภูมิใจจึงลดโน่นเติมนี่จนเสียรส แต่นับตังค์ก็เข้าใจว่าเศรษฐกิจแบบนี้ใครก็อยากได้กำไรเยอะๆ แต่มันคงไม่ใช่กับนับตังค์ ก็คงเป็นเพราะคำสอนที่ได้ยินย่ากับพ่อคอยพูดให้ฟังตลอดจนนับตังค์จำขึ้นใจและนับตังค์ก็นำมันมาใช้กับชีวิตทุกๆ ด้านก็คือ ‘คนเราถ้าซื่อกินไม่หมด ถ้าคดกินไม่นาน’ นั่นเอง
“อันที่จริงที่เกาะนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับห่อหมกนะ คนที่นี่ร่ำลือกันว่ามันเป็นห่อหมกในตำนาน” คุณขจีนึกขึ้นได้เลยเล่าให้ทุกคนฟัง
“ห่อหมกในตำนานเลยเหรอครับ” พายพัดรู้สึกสนใจ
“มันเป็นตำนานเล่ากันต่อๆ มา มีคุณยายคนหนึ่ง ท่านเป็นคนท้องถิ่น อาศัยที่เกาะนี้มานานมาก ซึ่งสมัยนั้นเกาะนี้ยังไม่มีไฟฟ้าเลย ใช้เครื่องปั่นไฟเอา เป็นชุมชนเล็กๆ อยู่กันไม่กี่ครอบครัว สามีของคุณยายเป็นคนที่ชอบทานห่อหมกมาก คุณยายก็จะทำห่อหมกปลาทะเลให้ทานบ่อยๆ เพราะเป็นของที่หาง่าย แต่มาวันหนึ่ง คุณตาอยากทานห่อหมกปลาช่อนนา ด้วยความที่ที่นี่เป็นเกาะมีแต่ทะเลล้อมรอบ จะหาปลานาก็ยากเต็มทน แต่ด้วยความที่สามีอยากกิน คุณยายก็ข้ามไปในตัวเมืองและหามาจนได้ แต่ในวันนั้นคุณตาออกไปตกปลาตั้งแต่เช้า ปรากฏว่าเรือล่มเพราะพายุเข้า ยังไม่ทันได้กินห่อหมกปลาช่อนนาที่คุณยายทำก็เสียชีวิตไปก่อน จากนั้นก็มีคนเล่าว่าเห็นวิญญาณของคุณตามาเดินแถวบ้านทุกคืนที่คุณยายทำห่อหมก คุณยายจะทำใส่บาตรทุกวันพระและแบ่งให้เพื่อนบ้านได้กิน เป็นที่ร่ำลือว่ามันอร่อยมาก เขาเลยตั้งชื่อกันว่าห่อหมกในตำนาน”
“แล้วคุณยายท่านเสียยังไงเหรอครับ” นับตังค์ถาม
“หลังจากที่คุณตาเสีย แกก็มักจะนั่งเรือเล็กข้ามไปที่ตัวเมืองเพื่อจะไปหาซื้อปลาช่อนมาทำห่อหมกถวายพระ ในวันนั้นเรือเล็กที่แกอาศัยไปล่มก่อนจะถึงฝั่ง แกอายุมากแล้วว่ายน้ำไม่ไหวก็เลยเสียชีวิตในทะเลเหมือนสามี แล้วก็เป็นที่เล่ากันอีกว่า ทุกวันพระจะได้กลิ่นห่อหมกลอยมาจากแถวบ้านแก แล้วก็เห็นคุณตาเดินวนเวียนอยู่เช่นเดิม แกคงรอกันและกัน” คราวนี้สายรุ้งเป็นคนเล่าต่อจากคุณขจี เพราะสายรุ้งได้ยินเพื่อนที่เป็นคนท้องถิ่นเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเช่นกัน
ใบเมี่ยงได้ฟังเรื่องคุณยายกับคุณตาแล้วรู้สึกสะเทือนใจในความรักที่ถูกพรากจากกันมากกว่าจะกลัวเรื่องผีสาง ได้แต่หวังในใจว่าคุณยายกับคุณตาคงจะได้อยู่ด้วยกันแล้วในตอนนี้
“หนูเมี่ยงทำมะม่วงลอยแก้วเหรอจ๊ะ” คุณขจีจูงหนูด้วงเดินมาดูใบเมี่ยงทำขนมเมื่อเห็นว่าใบเมี่ยงดูเศร้า เธอไม่อยากให้ทุกคนหดหู่ในวันมงคลแบบนี้ นึกตำหนิตัวเองในใจที่มาเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟัง
“ครับ อากาศร้อนแบบนี้ทานอะไรเย็นๆ จะได้ชื่นใจ” ใบเมี่ยงยิ้มให้คุณขจีก่อนจะส่งเนื้อมะม่วงที่ฝานบางๆ ให้ด้วง
“เปรี้ยวเหรอ” คุณขจีหัวเราะเมื่อด้วงชิมแล้วทำหน้าสั่น
ใบเมี่ยงแบ่งขนมที่จะถวายพระไว้ต่างหาก ส่วนที่เหลือจึงตักให้คุณขจีลองชิม หลังจากที่ได้ชิมขนมแล้ว ขจียอมรับว่าฝีมือการทำมะม่วงลอยแก้วของใบเมี่ยงนั้นอร่อยมาก เนื้อมะม่วงฝานจนเป็นแผ่นบาง น้ำลอยแก้วก็อร่อยครบรสเค็มหวาน กินกับมะม่วงที่มีรสเปรี้ยวนิดหน่อย ใส่น้ำแข็งบดละเอียดแล้วรู้สึกชื่นใจจริงๆ นึกเสียดายที่คุณอนันต์ไม่ได้อยู่ด้วยกันในวันนี้ เด็กรุ่นใหม่พวกนี้มีฝีมือเกินอายุและเป็นเด็กที่น่ารักทุกคน
“บ้านของคุณตาคุณยายตำนานห่อหมกอยู่ที่ไหนเหรอครับ” นับตังค์ถามขึ้นมา
“ถามทำไม จะไปเหรอ” พายพัดถามด้วยความสนใจ เพราะตัวเองก็อยากรู้เหมือนกัน
“ถ้ามีโอกาสก็อยากทำห่อหมกไปไหว้ท่านทั้งคู่” นับตังค์บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงสนใจ
“อยู่แถวทางขึ้นน้ำตกพระคราม ไม่ต้องขึ้นเขาไปนะจ๊ะ อยู่ลึกเข้าไปในเขตป่าพอสมควร ตอนนี้คงรกน่าดูไม่มีคนดูแลถางทางแถวนั้นแล้ว” คุณขจีหน้าหม่นหมองลงเมื่อพูดถึงตรงนี้ ซึ่งสีหน้าและท่าทางของคุณขจีทำให้นับตังค์แปลกใจ
“แต่มีคนตั้งศาลให้คุณยายกับคุณตานะคะ อันที่จริงศาลตั้งอยู่ตรงสามแยกทางขึ้นเขา แต่ชาวบ้านเขาถือกันว่าไม่ควรตั้งศาลให้ตรงสามแยก เลยย้ายศาลเข้าไปลึกหน่อย” สายรุ้งเล่าไปก็ตักผักไปรองไว้ที่ก้นกระทงใบตอง
“ตัง คนแค่นี้พอรึยัง” พายพัดถามเมื่อเห็นว่าห่อหมกมันเริ่มข้นมากแล้ว
“โอเค ช่วยกันหยอดใส่กระทงเลยจะได้นึ่ง กับข้าวอย่างอื่นเสร็จหมดแล้ว เดี๋ยวตั้งจัดห่อหมกทะเลเอง ตังทำแยกเอาไว้แล้ว” นับตังค์หันกลับมาสนใจอาหารของตัวเองเพราะยังมีห่อหมกทะเลที่ต้องนึ่งอีก นี่ก็ใกล้เวลาที่จะต้องถวายเพลแล้ว หากมัวแต่คุยอาจจะไม่ทันเวลา
.....
ขมิ้นขับรถไปรับพระภิกษุมาถึงที่ร้านแล้ว มีคุณนิมนต์หลวงตาและพระลูกวัดอีกสี่รูปเข้าไปนั่งที่อาสนะ ตุ้ย ม้าและเฮง เด็กเสิร์ฟทั้งสามคนของมีคุณมาคอยช่วยเป็นลูกศิษย์วัดให้หลังจากช่วยกันเตรียมเครื่องสักการะและสถานที่เรียบร้อยแล้ว
นอกจากคนในร้านแล้ว ก็มีคุณขจี สาลี่ มาร่วมงานบุญนี้ด้วย แถมด้วยแขกที่มีคุณไม่ได้เชิญและไม่คิดว่าจะมา นั่นก็คือ พญา พเยียและคีตะ ซึ่งคราวนี้ทั้งสามคนแสดงความเป็นมิตรจนมีคุณรู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่าการมาผูกมิตรธรรมดา
“ไปตามทุกคนในครัวมา บอกว่าพระมาแล้ว แล้วพอได้เวลาถวายเพลตุ้ยก็ให้ม้า เฮง มานี มีนา ไปช่วยยกสำรับที่นับตังค์เขาจัดเอาไว้มาได้เลย” มีคุณสั่งตุ้ยก่อนจะเดินไปหากลุ่มของพญา
“คุณ เราสามคนมาร่วมทำบุญด้วย คิวจัดขนมไทยมาถวายพระด้วยนะ ซื้อมาจากกรุงเทพเลย เจ้านี้อร่อยมาก ตำรับชาววัง” คีตะส่งกระเช้าที่บรรจุขนมไทยหลายอย่างให้มีคุณ
มีคุณเห็นป้ายชื่อร้านแล้วชะงักไป เขามองหน้าคีตะที่ดูไม่มีเลศนัยอะไรด้วยความชั่งใจว่าคีตะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจซื้อขนมร้านนี้มา แต่มีคุณก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ได้แต่เรียกมานีมารับกระเช้าไปจัดขนมใส่จานเตรียมถวายพระ
“ขอบคุณมากครับ แต่รู้ได้ยังไงว่าผมทำบุญร้านวันนี้” มีคุณถามทั้งสามคน
“พอดีเห็นคนของพี่คุณไปซื้อของที่ตลาด ถามมาเลยรู้ว่าพี่คุณจะทำบุญร้าน เราเลยอยากมาร่วมบุญด้วย เดี๋ยววันเปิดร้านคุณพ่อท่านก็จะมาร่วมยินดีด้วยนะคะ” พเยียเป็นฝ่ายตอบ เรียกมีคุณอย่างสนิทสนมจนคีตะเองยังนึกหมั่นไส้รุ่นน้องคนนี้
“อ๋อ ครับ ขอบคุณมากครับ เชิญนั่งก่อนครับ” มีคุณพยักหน้ารับรู้แต่ในใจไม่เชื่อในสิ่งที่พเยียพูด เพราะคนที่ไปซื้อของที่ตลาดก็คือนับตังค์ เขาเชื่อว่านับตังค์คงไม่พูดอะไรแน่
“คุณจะไม่ถามเลยเหรอว่าคิวมาทำอะไรที่นี่อีก” คีตะถือวิสาสะเกาะแขนของมีคุณ
“เอาไว้ค่อยคุยกันดีกว่านะคิว วันนี้ผมยุ่ง” มีคุณแกะแขนคีตะออกแล้วเดินเข้าไปหาคุณขจีที่เดินมาพร้อมกับด้วง
คีตะมองตามไปอย่างไม่พอใจแต่ก็ต้องระงับความหงุดหงิดเอาไว้แล้วลงไปนั่งข้างๆ พเยีย ส่วนพญาชะเง้อคอมองหานับตังค์ พอเห็นนับตังค์เดินตามขจีออกมาก็รีบส่งยิ้มให้ เห็นนับตังค์เลิกคิ้วทำหน้าประหลาดใจก่อนจะยิ้มกลับมาให้พญาก็ใจเต้นรัว ตอนนี้ทุกคนมากันครบแล้ว พญาถือโอกาสลุกมานั่งข้างนับตังค์ ส่วนมีคุณนั่งอยู่อีกข้างหนึ่งและพยายามจะไม่หงุดหงิดเพราะวันนี้เป็นวันดีๆ
...
ทุกคนฟังพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ด้วยความตั้งใจจนได้เวลาถวายภัตตาหาร พญาทำเป็นกระวีกระวาดช่วยนับตังค์ยกอาหารถวายพระ มีคุณได้แต่ถอนหายใจเพราะคีตะก็ตีเนียนมาจับมือเขาตอนช่วยถวายภัตตาหาร ไม่ต่างอะไรกับที่พญากำลังไปวุ่นวายกับนับตังค์เช่นกัน
เมื่อพระท่านฉันท์อาหารคาวหวานเรียบร้อยแล้ว หลวงตาก็บอกให้ทุกคนตั้งใจกรวดน้ำ นับตังค์เห็นหลวงพ่อมองมาทางตนก็นึกสงสัย นับตังค์นึกแปลกใจเพราะตอนที่ใส่บาตรหลวงตาก็มองจ้องมาแบบนี้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าท่านจ้องมองมาทางนับตังค์เพราะอยากให้พรหรือเปล่า บางทีท่านอาจไม่ได้โฟกัสอะไรทั้งสิ้น นับตังค์คงคิดไปเอง
“ไหนมานี่สิ” หลวงตาเรียกให้ด้วงเข้ามาหาใกล้ๆ หลังจากที่พิธีกรรมทุกอย่างเสร็จสิ้นลงแล้ว
“เปียกหมดเยย” ด้วงลูบหน้าตัวเองที่เต็มไปด้วยน้ำมนต์
“ชื่ออะไรล่ะเรา” หลวงตาถามด้วง ด้วงไม่ได้ตอบแต่มองหลวงตาตาปริบๆ
“ชื่อด้วงครับ แต่ผมยังไม่รู้ชื่อจริงเขาเลย” นับตังค์ตอบแทนด้วง เพิ่งมารู้สึกเหมือนกันว่าตัวเองยังไม่ค่อยรู้ประวัติของด้วงสักเท่าไหร่เลย
“หนูด้วงชื่อจริงชื่อพยัคฆ์เจ้าค่ะหลวงพ่อ” ขจีเป็นฝ่ายตอบแทนเพราะรู้ว่าด้วงชื่อจริงว่าอะไร
“ดีๆ โตขึ้นจะเก่งกล้าอย่างพยัคฆ์ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอกนะ” หลวงตาพูดแล้วลูบผมด้วงด้วยความเมตตา
”ไม่ห่วงก็ได้ครับ” นับตังค์คิดว่าหลวงตาพูดกับตัวเองก็เลยตอบไป หลวงตาไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่ยิ้มให้
“นิมนต์หลวงตาเลยครับ รถพร้อมแล้ว” มีคุณเดินเข้ามาบอกเมื่อขมิ้นมาบอกว่ารถพร้อมไปส่งพระกลับวัดแล้ว
“ธุครับหลวงตาก่อนด้วง” นับตังค์บอกก่อนจะก้มลงไปกราบหลวงตา
ด้วงก้มลงไปกราบพระตามนับตังค์ แต่ท่าทางยังเก้ๆ กังๆ ก้นกระดกสูงจนทุกคนยิ้มให้กับภาพที่เห็น พอหลวงตาและพระรูปอื่นเดินออกจากร้านไปแล้ว มีคุณก็เชิญทุกคนไปทานอาหารกลางวันที่จัดเตรียมเอาไว้ให้ รวมถึงพนักงานในร้านทุกคนด้วย
ขจีรู้สึกแปลกใจที่ลูกชายและลูกสาวของนายหัวพยนต์มาร่วมทำบุญในวันนี้ด้วย เป็นที่รู้กันดีว่านายหัวพยนต์ไม่ค่อยลงรอยกับเธอและคุณอนันต์สักเท่าไหร่ ถ้าให้เธอเดา เธอคิดว่าทั้งคู่คงเข้ามาผูกมิตรเพื่อขอซื้อที่ดินจากมีคุณ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ขจีหนักใจ มีคุณเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ ยากที่จะมาใช้ชีวิตที่เกาะแห่งนี้ตลอดไป หากมีคุณตัดสินใจขายที่ดินส่วนนี้ให้กับนายหัวพยนต์ รีสอร์ตของเธอคงไม่สงบสุขแน่ๆ แต่จะให้เธอซื้อที่ดินนี้เอาไว้ กำลังทรัพย์ของเธอคงสู้นายหัวพยนต์ไม่ได้ เธอจึงได้แต่หวังว่ามีคุณจะมีแนวคิดเดียวกับคุณปู่ของตัวเองคือการรักษาที่ดินตรงนี้เอาไว้ให้ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานยาวสืบไป
“โอ้โห ห่อหมกน่ากินมากเลยนะคะ น่ากินทั้งสองแบบเลย” พเยียเอ่ยปากชมหลังจากที่เห็นห่อหมกวางอยู่บนโต๊ะ จานแรกเป็นห่อหมกในกระทงใบตองแบบที่พเยียเคยเห็นทั่วไป ส่วนอีกแบบมีกุ้งก้ามกรามตัวใหญ่วางพาดอยู่บนถ้วยห่อหมก
“แค่เห็นก็อร่อยแล้ว” พญาพูดแต่สายตามองไปที่นับตังค์
“คงไม่ค่อยได้กินของอร่อยกันนิ” ขมิ้นพูดลอยๆ
“ใครจะไปโชคดีอย่างเราล่ะพี่บ่าวที่ได้ทานฝีมือเชฟตังทุกวัน” มานีรีบเสริม
“ทานกันเถอะ คุณป้าขจีรออยู่” มีคุณตัดบทเพราะเห็นพญาจ้องขมิ้นด้วยความไม่พอใจ
มีคุณกำลังจะเดินไปหานับตังค์ แต่คีตะรีบแทรกเดินเคียงคู่ไปกับมีคุณแล้วชวนมีคุณคุยจนไม่มีช่องว่างให้นับตังค์เข้ามาได้ นับตังค์จึงต้องหยุดให้มีคุณกับคีตะเดินนำไปก่อน พญาสบโอกาสจึงเดินเข้ายืนเคียงข้างนับตังค์ทันที
“น้องตังครับ คนไหนเมียน้องตังเหรอครับ” พญากระซิบถามเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน เขาอยากรู้ว่านับตังค์จะตอบยังไง ในเมื่อพเยียบอกว่าด้วงไม่ใช่ลูกของนับตังค์
“จะเอาคนไหนล่ะ เมียคนแรก คนที่สองหรือคนล่าสุด” นับตังค์ตอบแล้วอมยิ้ม
“มีหลายคนเลยเหรอ จุ๊ๆๆ แรงดีแบบนี้พี่ชอบ” พญาหัวเราะชอบใจ ซึ่งท่าทีหัวร่อต่อกระซิกของพญาขัดหูขัดตามีคุณเป็นอย่างมาก
ทุกคนเดินไปนั่งลงยังโต๊ะที่ถูกจัดเอาไว้ ต่างก็ช่วยกันตักข้าวรินน้ำกันเอง ยกเว้นพญา พเยียและคีตะที่นั่งรออยู่เฉยๆ ขจีนึกชื่นชมมีคุณที่ดูแลพนักงานในร้านราวกับเป็นคนในครอบครัว ให้มาร่วมรับประทานอาหารด้วยกันอย่างไม่ถือสาหรือแบ่งชนชั้น บอกตรงๆ ว่ามีคุณมีส่วนคล้ายคุณอนันต์อยู่มากทั้งท่าทางและอุปนิสัย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่กำลังจริงจังกับการทำงานหรือตอนเวลาที่ผ่อนคลาย
“คุณครับ อาหารอร่อยมากเลย ฝีมือของนับตังค์คนเดียวเลยเหรอ เก่งจัง ไปเรียนมาจากที่ไหนเหรอ” คีตะถามมีคุณก่อนจะมองไปที่นับตังค์
“เรียนจากที่บ้าน พ่อแม่ปู่ย่าตายายสอนมา...ครับ” นับตังค์ตอบก่อนจะหันไปเช็ดปากให้ด้วงที่กำลังเอร็ดอร่อยกับต้มจืดเต้าหู้อ่อน
นับตังค์รู้ว่าคีตะเป็นคนเอาขนมไทยจากร้านของคุณย่ามาร่วมทำบุญ ซึ่งนับตังค์แน่ใจว่าคีตะคงรู้แล้วว่านับตังค์เป็นใคร แต่ที่ไม่รู้ก็คือใครบอกเรื่องของนับตังค์ให้คีตะได้รู้และคีตะมีเจตนาอะไรถึงมาหลอกถามนั่นนี่อยู่ได้ นับตังค์ไม่อยากจะพูดดีด้วย แต่เกรงใจคุณขจีเลยต้องเติม ‘ครับ’ ไปในประโยคให้ดูอ่อนลง ที่นับตังค์อยากจะรู้มากที่สุดก็เรื่องที่คุณย่ายอมทำขนมให้ ในเมื่อท่านเลิกรับทำขนมให้คนอื่นมานานแล้ว จะทำขายเฉพาะสำหรับทานในร้านเท่านั้นเอง
“เก่ง เก่งตั้งแต่เด็ก” พญาลุกขึ้นปรบมือเสียงดัง ชมนับตังค์จนออกนอกหน้า
“ลุง เวอร์ไปแล้ว” นับตังค์บ่นพญาที่ชอบเล่นใหญ่ตลอด
“ไม่เวอร์ พี่ชิมห่อหมกฝีมือของน้องตังแล้ว หอมเครื่องแกงมาก เข้มข้นสุดๆ เนื้อปลาก็ดี เนื้อกุ้งก็เด้ง ใครได้ไปเป็นแฟนคงมีความสุขทุกวันเลย” พญายังคงชมไม่หยุด
“นั่นสิ ถ้าป้ามีหลานสาวจะยกให้เลย” ขจีเอ่ยชมนับตังค์ด้วย
“โชคดีนะครับที่คุณป้าไม่มีหลาน” พญารีบแทรก ขจีได้ยินพญาพูดแทรกขึ้นมาแล้วหุบยิ้มแทบไม่ทัน
“แล้วพายมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ เป็นเชฟเหมือนเชฟตังหรือเปล่า” พเยียรีบเปลี่ยนเรื่อง หันมาถามคนที่ตัวเองสนใจบ้าง ไม่อยากให้พญาทำเสียเรื่อง
สายตาและท่าทางของพเยียใครก็ดูออกว่าชื่นชอบพายพัดมาก มานีกับมีนารู้สึกว่าพี่น้องสองคนนี้ รวมไปถึงคนที่ชื่อคีตะกำลังจะเข้ามาทำให้ครอบครัวมีคุณอนันต์ต้องร้าวฉาน แต่ถึงจะไม่พอใจ มานีกับมีนาก็ต้องเก็บอาการเอาไว้ เพราะรู้ดีว่าตระกูลของนายหัวพยนต์ร้ายกาจแค่ไหน
“ผมตามแฟนมาครับ” พายพัดตอบสั้นๆ
พเยียได้ยินถึงกับพูดไม่ออก แต่สุดท้ายก็ยิ้มเจื่อนๆ ออกมาแล้วพยายามคิดว่าใครคือแฟนของพายพัด
“ที่จริงฝีมืออย่างนับตังค์น่าจะไปเป็นเชฟตามโรงแรมใหญ่ๆ ได้เลยนะ คุณไปเจอนับตังค์ที่ไหนเหรอครับถึงได้ชวนมาเป็นเชฟ” คีตะพยายามจะถามต่อ
“คงเป็นพรหมลิขิต” มีคุณตอบคีตะก่อนจะหันไปยิ้มให้นับตังค์ ซึ่งคำตอบของมีคุณก็ทำเอาพญากับคีตะนิ่งอึ้งตามพเยียไปติดๆ
“พรหมลิขิตหรือเป็นกรรมลิขิต” นับตังค์หันกลับมาพูดกับมีคุณ ที่ต่อปากต่อคำไม่ใช่เพราะเขิน แต่นับตังค์เห็นคุณขจีมองมาก็เลยทำตัวไม่ถูก ส่วนพญาได้ยินแล้วหัวเราะชอบใจที่มีคุณโดนนับตังแขวะ
คุณขจีฟังหนุ่มๆ สาวๆ คุยกันได้สักพักก็ขอตัวกลับไปที่รีสอร์ท นับตังค์ให้ขมิ้นช่วยห่อกับข้าวกับของหวานกลับไปให้คุณขจีด้วย พอคุณขจีไปแล้วคีตะก็พูดลอยๆ ขึ้นมาให้ทุกคนได้ยิน
“เป็นแค่ลูกน้องแต่กล้าต่อปากต่อคำกับเจ้านายจังนะครับ” คีตะตั้งใจต่อว่านับตังค์
“พูดถึงเรื่องกล้า ผมจะชวนทุกคนไปพิสูจน์ความกล้ากันดีกว่า” พายพัดรำคาญที่คีตะคอยกวนน้ำให้ขุ่นเลยเปลี่ยนเรื่อง เขาไม่อยากให้ราคากับคนอย่างคีตะ
“ว่ามาเลยค่ะพาย” พเยียรีบตอบรับทันที
“คืนนี้ใครจะไปพิสูจน์ตำนานห่อหมกกับผมบ้าง” พายพัดถามขึ้นมา พเยียได้ยินก็หน้าแดงเพราะคิดว่าพายพัดพูดสองแง่สองง่าม
“เรื่องแบบนี้ไม่ควรเอามาล้อเล่นนะพาย ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่” ใบเมี่ยงดุพายพัด รู้ว่าพายพัดชอบพิสูจน์สิ่งเร้นลับ แต่ใบเมี่ยงก็ไม่อยากให้พายพัดไปรบกวนเจ้าที่เจ้าทางแถวนั้น
พเยียทำหน้าเหรอหราเมื่อรู้ว่า ‘ห่อหมก’ ที่พายพัดพูดถึง คงไม่ใช่เรื่องทะลึ่งอย่างที่คิด
“พายไม่ได้ไปลบหลู่นะอุ๋งอุ๋ง พายแค่อยากเอาห่อหมกไปเซ่นไหว้คุณตา ห่อหมกของนับตังค์อร่อยมาก ถ้าคุณตาได้ชิมก็คงจะดี” พายพัดอธิบายให้คนรักฟัง พเยียได้ยินพายพัดเรียกใบเมี่ยงว่าอุ๋งอุ๋งก็เริ่มพินิจใบเมี่ยงอย่างจริงจัง
“ไปๆ ตังไป ลุงไปด้วยกันนะ หรือว่าป๊อด” นับตังค์ตอบรับก่อนจะชวนพญา มีคุณเห็นนับตังค์ชวนพญาก็ส่งสายตาดุๆ ไปให้นับตังค์
“น้องตังดูถูกพี่พญาคนนี้เสียแล้ว เรื่องไปดูห่อหมก พี่ถนัดนักเชียว เห็นมีคนพูดกันนานแล้วว่าเฮี้ยน เดี๋ยวพี่พญาคนนี้จะทำให้เห็นว่าอะไรเฮี้ยนกว่ากัน” พญาถือว่านี้เป็นโอกาสที่จะโชว์ความแมนให้นับตังค์ได้เห็น
“ตำนานอะไรเหรอ” คีตะถามเพราะไม่รู้เรื่อง
พเยียพอจะเดาออกว่าเป็นเรื่องตำนานห่อหมกจึงเล่าให้คีตะฟัง เพราะเธอก็เคยได้ฟังเรื่องนี้ต่อๆ มาเหมือนกัน คีตะได้ฟังก็ลูบแขนยกใหญ่
“เมี่ยงไม่ไปนะ เมี่ยงจะดูด้วงให้” ใบเมี่ยงไม่อยากไปเลยอาสาดูแลด้วงให้ พายพัดทำหน้างอเพราะอยากให้ใบเมี่ยงไปด้วยกัน
“บอสไปรึเปล่า” นับตังค์หันมาถามมีคุณที่นั่งทำหน้านิ่งตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว นับตังค์แอบเอานิ้วสะกิดที่ขาของมีคุณ แต่มีคุณก็ขยับขาหนี
“ไม่ไป พี่มีงานอีกเยอะต้องทำ” มีคุณปฏิเสธ
“เยียขอตัวดีกว่า พี่คิวจะไปเหรอคะ” พเยียหันมาถามคีตะ
“กลัวก็อยู่บ้าน” นับตังค์ยักคิ้ว
“ใครกลัว มีแต่คนบ้านนอกแค่นั้นที่เชื่อเรื่องไร้สาระ ไปก็ได้ คุณไปกับคิวนะ นะครับ มีคุณไปด้วยคิวก็อุ่นใจ” คีตะยักไหล่ให้นับตังค์ก่อนจะหันไปชวนมีคุณ
“อืม ไปก็ได้” มีคุณพยักหน้า
ที่มีคุณตัดสินใจไปไม่ใช่เพราะคีตะอ้อน แต่เพราะไม่อยากปล่อยนับตังค์ไปกับคนอย่างพญา เขายอมรับว่าเมื่อครู่หึงและหวงนับตังค์มาก เขาน้อยใจนับตังค์ที่แขวะเขาต่อหน้าคนอื่น ไม่ใช่ว่าไม่เคยโดนนับตังค์ต่อปากต่อคำ แต่ทำต่อหน้าพญาแบบนี้มันทำให้เขาหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ แถมยังชวนพญาก่อนที่จะชวนเขาอีก แต่เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยของนับตังค์อาการหงุดหงิดหึงหวงจึงเบาบางลงแล้วนึกเป็นห่วงแทน
“งั้นไปเจอกันที่ปากทางขึ้นน้ำตกตอนสองทุ่ม” พญาเอ่ยปากนัดหมายหลังจากที่อิ่มเอมกับอาหารกลางวันเสร็จสิ้นแล้ว
“ไม่ต้อง ตังจะไปรับเอง ไปรถคันเดียวพอ เดี๋ยวไปยืมรถคุณปู่ ลุงเตรียมพระห้อยคอไปเยอะๆ ก็แล้วกัน” นับตังค์บอกกับพญาก่อนจะหันมายิ้มให้พายพัด
“พี่จะรอนะ” พญายกยิ้มแม้จะตะขิดตะขวงใจกับตำแหน่ง ‘ลุง’ ที่นับตังค์มอบให้
พญาเตรียมแผนเอาไว้ในใจแล้ว ตั้งใจจะให้ลูกน้องของตัวเองไปรอแถวนั้นแล้วหลอกให้ทุกคนกลัว เขาจะถือโอกาสนั้นพานับตังค์แยกตัวออกมา แล้วปลอบประโลมจนน้องนับตังค์ซาบซึ้งใจ แค่คิดก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ ขอแค่ได้กอดปลอบพี่พญาคนนี้ตายตาหลับแล้ว
ก่อนจะกลับ พญาก็ขอคุยกับมีคุณเป็นการส่วนตัว มีคุณจึงเชิญพญาให้ไปคุยที่ห้องทำงาน คีตะจะขอตามมาด้วยแต่เจอพญาดุจนหน้าเจื่อนไป พเยียจึงต้องรีบพาคีตะออกไปนั่งเล่นรอที่สวนหย่อมของร้าน พเยียรู้ดีว่าเวลาพญาหงุดหงิดมันน่ากลัวกว่าที่คีตะจะคาดถึง
“ผมขอพูดแบบตรงไปตรงมาเลยนะ ผมอยากมาเจรจาเรื่องการขอซื้อร้านต่อจากคุณ อย่าเพิ่งปฏิเสธผม ผมไม่ได้เร่งรัดอะไรถ้าคุณยังไม่อยากขาย แต่ถ้าคุณมีแนวโน้มที่จะขาย ผมยินดีจะซื้อในราคาที่คุณเสนอมาแบบไม่ต่อราคาเลย ที่สำคัญ ผมยินดีจ่ายค่ามัดจำล่วงหน้าเอาไว้ก่อนครึ่งหนึ่งในกรณีถ้าคุณมีระยะเวลาให้กับทางผมได้รอ ลองเอาไปคิดดูนะครับ” พญาเปิดประเด็นแบบตรงไปตรงมา ยิ่งเห็นมีคุณเงียบก็ยิ่งคิดว่ามีคุณอาจจะสนใจในข้อเสนอ พญาหยิบกระดาษมาหนึ่งแผ่นแล้วเขียนตัวเลขสองแถวลงไปก่อนจะยื่นให้มีคุณ
“ที่จะคุยกับผมที่เท่านี้ใช่ไหม” มีคุณถาม เขารู้ว่าตัวเลขแถวแรกที่พญาเขียนใส่กระดาษมาให้คือเบอร์โทรของพญา ส่วนตัวเลขแถวที่สองนั้นทำให้มีคุณอึ้งไปเหมือนกัน เพราะมันคือจำนวนเงินที่พญาเสนอมา มันมากกว่าที่เขาตีราคาที่ดินที่นี่เอาไว้ถึงสามเท่า
“เรื่องธุรกิจก็มีแค่นี้ แต่เรื่องอื่นผมไม่คิดเจรจา” พญาพูดและวางท่าให้ดูเหนือกว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญกลับไปได้แล้วครับ ผมมีงานต้องทำต่อ ขอบคุณที่มาร่วมทำบุญร้าน อันที่จริงคุณน่าจะบอกผมก่อนว่าจะมา ผมจะได้ทำขนมจีบใส่แห้วเอาไว้ต้อนรับ” มีคุณเน้นคำว่าแห้ว
พญาจ้องหน้ามีคุณก่อนจะรีบหันหลังเดินออกจากห้องทำงานของมีคุณไป มีคุณหัวเราะตามไล่หลังไป แต่เมื่อพญาเดินไปไกลแล้วมีคุณก็ถอนหายใจ มองกระดาษในมือแล้วก็ตัดสินใจทิ้งมันลงไปในถังขยะ
(มีต่อด้านล่างค่ะ)
V
V