ตอนที่๑๒
“จะ...เจ้า ทำไม” โซลาที่รีบเข้ามาพยุงพารัมถามอย่างตกใจเมื่อเห็นดวงตาสองสีนั้นชัดๆ “ช่างเถอะๆ มาๆตามข้ามาเจ้าเดินไหวไหม” โซลาปัดความสงสัยออกไปทันที การที่เธอเสี่ยงเข้ามาช่วยชายหนุ่มเอาไว้นั้นจะให้เสียเที่ยวไม่ได้เพราะมันหมายถึงชีวิตเธอและเด็กหนุ่มตรงหน้า
“โซลาเจ้ามาได้ยังไง” พารัมถามก่อนจะลุกตามโซลาออกมา
หากแต่ไม่มีคำตอบ โซลาผวาเข้าไปค้นร่างที่แน่นิ่งขององค์รัชทายาทแห่งอันราทันที
“ทำอะไรน่ะ” พารัมถามอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ลุกขึ้นมาช่วยโซลาค้นตัวคนที่หมดสติอยู่ตรงหน้าทันที
“เจอแล้ว” โซลาบอกก่อนหยิบเอาลูกแก้วสีใสที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือออกมาหากประกายที่สะท้อนออกจากลูกแก้วที่ดูธรรมดานั้นมาช่างแปลกตา
โซลาขยับตัวใกล้พารัมมือบางจับแก้มพารัมบีบเบาๆก่อนจะส่งลูกแก้วนั้นเข้าไปในปากทันทีทุกอย่างรวดเร็วจนพารัมไม่ทันได้ขัดขืน
“อย่างเพิ่งพูด มององค์รัชทายาทเอาไว้ เร็วๆสิ ไม่ต้องมองข้ามององค์รัชทายาทเอาไว้” โซลาบอก
“พารัมจำเป็นต้องทำตามอย่างไม่ทันตั้งตัวแต่แล้วทันทีที่เขาเพ่งมองร่างขององค์รัชทายาทแห่งอันราเพียงครู่ร่างของเขาก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นองค์รัชทายาทเสียเอง
“ช่วยข้าหน่อย” โซลาบอกก่อนออกแรงลากร่างขององค์รัชทายาทตัวจริงเข้าไปซ่อนในพุ่มไม้ พารัมในร่างของคินยังคงไม่เข้าใจอะไรนัก แต่ก็พอนึกรู้ว่านี่คงเป็นวิธีที่จะพาเขาออกไปจากวังหลวงนี้
“ฟังข้านะ...” โซลาหันมาบอกพารัมทั้งที่ตนเหนื่อยหอบจากการลากร่างของคินไปซ่อน “ตามข้ามาทางนี้...และไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น เราะจะออกไปจากวังหลวงนี้กัน” พารัมยังคงมีท่าทีไม่เข้าใจนัก แต่ก็ทำตามโซลาอย่างจนใจเพราะอย่างน้อยโซลาก็น่าจะไว้ใจได้ พารัมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น แต่เมื่อมองใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าที่แม้จะมีรอยแผลเป็นไม่น่าดูแต่แววตาที่สดใจจริงใจนั้นก็ทำให้พารัมไว้ใจได้ไม่ยากบางทีนี่อาจเป็นสัณชาติญาณของพวกอมนุษย์ก็เป็นได้
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
-----------------------------------------------------------------
-------------
หลังจากที่สหัสอาละวาดพังร้านอาหารในอันราเสียยับเยิน จนถูกจับระงับสติอารมณ์ด้วยโซ่สายฟ้า ทุกอย่างดูเหมือนจะถึงทางตัน เพราะเขาไม่สามารถรู้ได้ว่าพารัมถูกใครพาไปและไปที่ไหน แต่แล้วก็มีทหารมารายงานธันว่ามีหญิงสาวต้องการพบกับนายทหารแห่งนันทานคร ภาพของโซลาที่มาพบธันด้วยความร้อนรนนั้นดูไม่น่าสนใจเท่าเธอมาพร้อมข่าวบางอย่าง
“ข้าเห็นว่ามีคนลักพาตัวหนุ่มน้อยตาบอดไป” โซลาบอก เธอตัดสินใจมาแจ้งนายทหารแห่งนันทาเราะรู้มาว่าหนุ่มน้อยคนนั้นมาจากบันกุซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ขึ้นกับนันทานคร เพราะฉะนั้นนันทานครจึงมีสิทธิที่จะช่วยหนุ่มน้อยคนนี้ได้ไม่มากก็น้อย “ท่านไปช่วยเจ้าหนุ่มนั่นหน่อยเถอะ ตาก็บอดมองไม่เห็นจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ขนาดคนตาดีๆแข็งแรงทุกอย่างยังหายไปง่ายราวผักปลา” โซลาบอกกับธันอย่างกังวล
“ไปที่ไหน” เสียงถามราวกับคำรามของสหัสที่เดินออกมาจากมุมมืด
เขากับราซีนหลบฟังคำบอกเล่าของโซลามาตั้งแต่แรก เมื่อหญิงสาวบอกว่าเห็นพารัมโดนลักพาตัวไป จึงออกมาอย่างทนไม่ได้ ท่าทางใจร้อนที่ทำเอาธันถอนหายใจ
“วังหลวง...ข้าแอบตามไปจนเห็นว่าพวกนั้นจับหนุ่มน้อยตาบอดใส่เกวียนขนเสบียงที่ใช้ในงานเลี้ยงคืนนี้ก่อนจะเข้าไปในเขตกำแพงวัง” โซลากล่าวด้วยความเป็นห่วงเธอจึงแอบตามพวกนั้นไป
“ข้าจะไปขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทเอง” ธันบอก
“ในวังหลวงมีงานรื่นเริง ไม่ให้คนนอกเฝ้าหรอก” ราซีนบอก “งานเลี้ยงฉลองภายในแบบนี้เขาไม่ให้คนนอกเฝ้ากันหรอกมันเป็นประเพณีของวังหลวงทุกที่จนกว่าจะรุ่งสาง”
“งั้นข้าเข้าไปชิงตัวพารัมออกมาเอง” สหัสเอ่ยออกมาทำเอาทั้งราซีนทั้งธันส่ายหัวในความใจร้อน
“เอาให้อันรากับนันทานครรบกันเลยนะ เจ้าเป็นคนของพระสนมเธราถ้าเข้าไปอาละวาดต่อให้เอาพารัมออกมาได้ อันราก็ต้องสืบรู้ว่าเจ้าเป็นใคร แล้วความสัมพันธุ์ที่ดีต่อกันมันจะเหลืออะไร” ราซีนบอกออกมาอย่างเหนื่อยใจ
“ข้า...ข้าพอรู้วิธีเข้าไป” โซลาบอกเบาๆ
“ยังไง”
“งานเลี้ยงในวังปกติจะให้พวกผู้หญิงในหอนางโลมเข้าไปรับใช้อยู่แล้ว ตอนนี้พระจันทร์ยังไม่ตรงหัวหญิงสาวกลุ่มสุดท้ายคงยังไม่ถูกส่งเข้าไป...ถ้าแอบไปกับหญิงสาวพวกน่าจะเข้าไปได้ไม่ยาก พวกทหารไม่ค่อยกล้าตรวจค้นนักเพราะนางโลมบางคนเป็นคนโปรดของพวกขุนนางจึงไม่ค่อยมีใครกล้ายุ่ง” โซลาบอกก่อนนิ่งไปเพียงครู่ “ข้าจะลอบเข้าไปเอง” คำพูดนั้นทำเอาคนฟังคาดไม่ถึง
“ทำไมเจ้าต้องเสี่ยงด้วย มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่า...พวกนั้นจับตัวพวกชายหนุ่มไปทำไม”
“หมายความว่ายังไง” สหัสถามอย่างไม่เข้าใจ
“หนุ่มน้อยคนรักของเจ้าไม่ใช่คนแรกที่ถูกจับไป” โซลาหันมาบอกกับสหัสเธอจำได้ดีว่าอมนุษย์ผู้นี้คือคนรักของหนุ่มน้อยตาบอดคนนั้น ที่โมโหจนพังร้านอาหารแบบนั้นคงเพราะคนรักถูกจับไปสินะ
“หรือพวกท่านมีทางที่ดีกว่านี้” โซลาถามเมื่อทั้งสามยังคงเงียบ เธอจึงเอ่ยต่อ
“พวกท่านไปรอที่กำแพงวังหลวงฝั่งที่ติดกับเขตแดนป่าศักสิทธิ์ เดี๋ยวข้าจะพาหนุ่มน้อยคนนั้นไปส่ง...ระวังลำธารอย่าลงไป ถ้าเห็นท่านคงเข้าใจดีท่านสิงห์รา” โซลาหันไปบอกกับสหัส
“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร” สหัสถามเขาจะไว้ใจหญิงสาวที่เพิ่งเจอกันได้ยังไง ในเมื่อตอนนี้ศัตรูอยู่รอบตัว
“ท่านมีทางอื่นหรือ” โซลาย้อนถามก่อนถอนหายใจ “ข้าเป็นคนอันรา ถามท่านธันดูสิ บ้านข้าอยู่ที่นี่ถ้าข้าจะเล่นตลกล่ะก็ ท่านไปพังร้านพังบ้านข้าได้เลย” โซลาบอกก่อนยกผ้าคลุมใบหน้าของตนด้านที่เป็นแผลเป็นเอาไว้หลวมๆ “ข้าไปล่ะ พระจันทร์ขึ้นกลางท้องฟ้าเจอกันที่นอกกำแพงวัง-----------------------------------------------------------------------
----------------------
“ท่านแน่ใจนะ” เสียงของธันเอ่ยถามราซีนอย่างกังวล พลางเหลือบมองร่างของสหัสที่เริ่มสูงใหญ่ขึ้น ขนสีเงินค่อยๆงอกออกมาปกคลุมร่างกาย เพื่อบ่งบอกชาติพันธุ์สิงห์ราอย่างปิดไม่มิด
“ก็สาวน้อยคนนั้นบอกให้มารอตรงนี้ ไม่ใช่รึ” ราซีนเอ่ยออกมาด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน หากแววตากลับมีแววเคร่งเครียด
“ถึงโซลาจะเป็นคนดี ก็เถอะแต่การที่เราจะเสี่ยงแบบนี้มัน...” ธันยังคงกังวลเขาประจำการที่อันรามานานเขารู้จักทุกคนในอันรา แต่เขาก็รู้แค่เพียงสิ่งที่คนอันราอยากให้รู้ยังไงเขาก็เป็นคนนอก เรื่องบางเรื่องเขาเองก็ยากคาดเดา
“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนขี้กลัวนะ ธัน” ราซีนหันมากระตุกยิ้มใส่ธันเบาๆท่าทางกวนประสาทที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงได้ตะบันหน้าไปแล้ว คนอย่างธันไม่เคยเกรงใจใครนอกจากเจ้าเหนือหัวราชาแห่งนันทานคร องค์วิรัล
“อย่าทำให้เสียเรื่อง” น่าแปลกที่คนห้ามปรามกลับเป็นอมนุษย์ที่กำลังกลายร่างเต็มที่ ธันกับราซีนหันไปตามเสียงก็พบกับสิงห์ราขนาดโตเต็มวัย ขนสีเงินสะทอนวาววับกับแสงจันทร์ที่สาดลงมาเขี้ยวขนาดใหญ่โผล่พ้นริมฝีปากดูน่าขนลุกใบหน้าครึ่งสิงห์นั้นยากจะคาดเดาอารมณ์ ตั้งแต่เข้าใกล้เขตป่าศักสิทธิ์สหัสก็ปล่อยให้ร่างของตนนั้นกลับกลายเป็นสิงห์ราอย่างไม่ได้ต่อต้าน ราซีนมองร่างแสนสง่างามตรงหน้าอย่างนึกนิยมในใจสิงห์ราเป็นอมนุษย์ที่เป็นที่ต้องการในหมู่พรานค้าทาสเสมอมา ทั้งความงดงาม ความว่องไวและสัญชาตญาณการต่อสู้ที่ยากจะหาเผ่าพันธุใดมาเทียบนั้นทำให้ราคาของสิงห์ราในตลาดค้าทาสยิ่งพุ่งขึ้นสูง เขาคิดไม่ออกเลยจริงๆว่าถ้าเขาได้สิงห์ราตรงหน้าไปขายล่ะก็เขาจะได้เงินเข้ากระเป๋ามากขนาดไหน
“หน้าตาท่านเลวมากเลย” เสียงประชดนั้นมาจากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ธันเอ่ยออกมาอย่างทนไม่ได้เมื่อเห็นสายตาของราซีนที่กำลังตีราคาสหัส
“ขอบใจที่ชม” ราซีนตอบอย่างไม่ยี่หร่ะ
สหัสยืนนิ่งพร้อมจ้องเขม็งไปยังป่าศักสิทธิ์ที่ตั้งอยู่อีกฝากของลำธารที่ไหลเชี่ยว บริเวณนี้นั้นอยู่ห่างจากเขตชายป่าศักสิทธิ์เพียงแค่ลำธารกั้นมีเพียงสะพานไม้เก่าๆเชื่อมต่อระหว่างเมืองอันราและป่าศักสิทธิ์เท่านั้น
“ทำไมชายแดนตรงนี้ถึงไม่มีทหารเฝ้าเลยล่ะ” ราซีนถามอย่างสงสัย ปกติแล้วบริเวณเขตรอยต่อแบบนี้จะต้องมีทหารเฝ้ายามไม่ขาด
“พวกทหารจะประจำการอยู่ชายแดนอีกฝั่งเท่านั้น ชายแดนบริเวณนี้น่ะไม่มีใครใช้ข้ามมาอันราหรอก”
“ทำไม” ราซีนถามอย่างไม่เข้าใจหากแต่ธันยังไม่ทันได้ตอบก็เกิดเสียงแปลกๆขึ้นที่ลำธาร
จ๋อม!! เสียงเหมือนปลาขึ้นมาฮุบอากาศเรียกความสนใจจากสหัส ธัน และราซีนได้ไม่น้อย แต่กลับไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา
“อย่าเข้าไปใกล้” เสียงคำรามเบาๆในลำคอบ่งบอกถึงความระแวดระวัง สหัสเหลือบมองไปยังลำธารเพียงครู่ก่อนที่ดวงตาสีเทาเหลือบมองท้องฟ้าอีกครั้งดวงจันทร์ส่องแสงสว่างตาลอยมาเกือบกึ่งกลางท้องฟ้าแล้ว กรงเล็บใหญ่ที่สามารถตะปบหินแตกเป็นเสี่ยงๆได้ในพริบตาสั่นน้อยๆ ความเปนห่วงแล่นริ้วไปมาในความรู้สึกเขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้นัก ไม่มีท่านเธราคอยออกคำสั่ง ไม่มีหน้าที่แม่ทัพมาค้ำคอ สหัสที่ต้องทำตามความรู้สึกตัวเองนั้นช่างว้าวุ่นใจ
“เป็นห่วงเจ้ายักษ์น้อยรึไง” ราซีนเอ่ยทำลายความเงียบ เขามองท่าทีเครียดเกร็งของสิงห์ราตรงหน้าก่อนหัวเราะเบาๆ “ต่อให้เจ้ายักษ์น้อยตายก็ไม่ใช่ความผิดเจ้า ใครๆก็รู้ว่าพารัมน่ะแสบแค่ไหน ไม่ต้องกลัวเธราว่าหรอกรายนั้นน่ะใจดีจะตายเจ้าก็รู้” ราซีนพูดไปเรื่อยเหมือนไม่สนใจอะไรแต่ความจริงเขากำลังจับสังเกตท่าทางของสหัสอย่างไม่ล่ะสายตา แม้จะอยู่ในร่างของอมนุษย์แต่ราซีนรู้ดีว่าสิงห์ราตรงหน้ากำลังกังวลเป็นอย่างมาก กรงเล็บสั่นเทาไม่มีเสียงคำรามในลำคอเช่นเคย สิงห์ราไม่เคยเงียบสนิท เผ่าพันธุ์ที่หยิ่งผยองจะแผดเสียงคำราม ในลำคอแทบจะตลอดเวลาราวกับประกาศศักดาห์แห่งตน แต่ตอนนี้สหัสกลับเงียบเสียจนราซีนนึกแปลกใจ
“อย่าไปเที่ยวล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่น” เป็นธันที่อดไม่ได้ เขาจับแขนของราซีนดึงให้ออกห่างจากสหัสก่อนจะพูดออกไปอย่างไม่พอใจ ราซีนยักไหล่อย่างไม่ยี่หร่ะใบหน้างดงามยิ้มมุมปากราวนึกสนุก ผิดกับธันที่ไม่ตลกด้วย
---------------------------------------------------------------------------------------------------
โซลากับพารัมที่อยู่ในร่างของคิน ค่อยเดินลัดเลาะมาจนถึงริมกำแพงวังหลวงอย่างปลอดภัยแม้ระหว่างทางจะพบกับทหารเวรอยู่บ้างแต่กลับไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวนเพราะรู้กันดีในความเจ้าอารมณ์ขององค์รัชทายาทแห่งอันรา ว่าถ้าหากใครทำผิดใจเพียงนิดหัวก็สามารถหลุดออกจากบ่าได้เสมอ
เมื่อหลบอยู่ในเงามืดพารัมก็คายแก้วพรางร่างออกกมาทันที “แล้วจะทำยังไงต่อ” พารัมเอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างจนปัญญา ถ้าไม่ให้เขาอาละวาดแล้วหนีออกไป เขาก็คิดไม่ออกจริงๆว่าจะออกไปได้ยังไง
“กำแพงวังหลวงด้านหลังนี้ติดกับป่าศักสิทธิ์ถ้าเจ้าออกไปได้ก็จะเจอกับพวกของเจ้าที่รออยู่ ที่กำแพงจะมีช่องเล็กๆพอมุดออกไปได้”
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่ามีที่หนีออกไปได้” คำถามของพารัมทำเอาโซลานิ่งริมฝีปากบางเม้มแน่น
“เอาเถอะเรื่องนี้ถ้ามีโอกาสข้าจะเล่าให้ฟัง เจ้าชื่อพารัมสินะ” โซลาถามเพราะได้ยินสิงห์ราตนนั้นเรียกก่อนจะมองใบหน้าสะอาดสะอ้านนั้นอีกครั้ง
"สีดวงตาเจ้า... " เสียงทักเบาๆนั้นทำให้พารัมอยากจะหันหน้าหนี เขาไม่อยากสร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่เพิ่งเสี่ยงชีวิตช่วยเขาอย่างโซลา
"คือ..."
"งดงาม" โซลาบอกทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกจากดวงตาของพารัมนอกจากจะไม่มีท่าทีกลัวแล้วโซลายังดูเหมือนจะชื่นชอบดวงตาต่างสีคู่นี้ไม่น้อย
"ไม่กลัวเหรอ"
"ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าใบหน้าข้าแล้วล่ะ" โซลาตอบก่อนยิ้มกว้างตอบกลับมาแม้ดวงตาจะมีแววเจ็บปวด
“ไม่น่ากลัวสักนิด ไม่มีใครหมดจดหรอก” พารัมตอบก่อนส่งยิ้มให้คนที่พยักหน้ารับง่ายๆ ท่าทางง่ายๆและใจดีของโซลาทำให้พารัมนึกถึงพี่เธราของเขาไม่น้อยคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ
“ไปเถอะ ถ้าช้ากว่านี้เดี๋ยวสิงห์ราคนรักของเจ้าจะมาบุกวังหลวงเอา” โซลาพูดติดตลกก่อนลุกนำพารัมไปยังที่ใช้หลบหนี
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดวงตาสีเทาเงยขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง ดวงจันทร์จเลยกึ่งกลางท้องฟ้ามาสักพักแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววของพารัมและโซลาเลย สหัสสาวเท้าเข้าใกล้กำแพงวังหลวงเรื่อยๆ
“ลา ลา ลันลาล๊าลา” ทำนองเพลงแปลกหูเริ่มลองมาตามลม หึพวกมันเริ่มแล้วสินะ
“เสียงอะไร” คนที่เอ่ยถามคือราซีน คิ้วเรียวขมวดมุ่นเสียงเพลงที่ได้ยินนนั้นฟังดูชวนเคลิ้มหลับมากกว่าไพเราะ
“มนต์วารี” ธันตอบ
“ทำไมข้าง่วง” ราซีนพูดพลางสะบัดหัวไปมา
“เป็นพรานค้าทาสภาษา ไม่รู้จักมนต์นางวารี”
ราซีนเริ่มสะบัดหน้าไปมา เขาเป็นพรานค้าทาสมาหลายปีก็จริงแต่วารีเป็นอมนุษย์ที่แทบจะศูนย์หายไปจากสามดินแดนแล้วด้วยซ้ำ แม้จะเป็นในเมืองของพวกอมนุษย์เองก็ใช่ว่าจะเจอได้ง่ายๆ
“หันหน้ามานี่” เป็นธันที่จับราซีนให้หันมาพร้อมกับเอาเศษผ้ามาอุดหูทั้งสองข้างของเขา “หายใจลึกๆอย่าไปสนใจเสียงนั่น สนใจแค่ว่าพารัมจะมาเมื่อไหร่ก็พอ” ธันบอกพร้อมกับอาการหาวเล็กๆ แม้เขาจะพอรู้ว่ามนต์วารีนั้นจะทำให้หมดสติ และพยายามระวังตัวแล้วแต่คนธรรมดาอย่างเขาจะไปต้านได้สักเท่าไหร่
ลำธารที่เคยเงียบสงบเริ่มมีบางสิ่งแหวกว่ายไปมา สหัสส่งเสียงคำรามในลำคอเบาๆร่างครึ่งสิงห์หันมามองราซีนกับธันก่อนส่งสัณญานให้ระวังตัว
“วารี อาศัยในน้ำเต็มไปด้วยเวทย์มนลวงตา เสียงเพลงที่หลอกล่อจิตวิญญาณมนุษย์เอาไปเป็นอาหาร ข้านึกว่าจะสาปสูญไปซะแล้วมาหลบอยู่แถวนี้นี่เอง” เป็นสหัสที่เอ่ยขึ้น เมืองอมนุษย์นั้นเต็มไปด้วภูมิประเทศที่หลากหลาย พวกอมนุษย์จึงมีหลากหลายพันธุ์ ทั้งพวกที่อาศัยบนเขา บนต้นไม้ในถ้ำ หรือแม้กระทั่งในน้ำ
“แล้วเราจะทำยังไง”
“ไม่ต้องทำอะไรแค่รอ พารัมกับโซลาที่นี่ก็พอ พวกวารีก็ทำได้แค่หลอกล่อเราให้หมดสติหรือเผลอตัวลงไปในน้ำเท่านั้น ถ้าเราไม่หลงกลก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก” ธันบอก
“เจ้านี่รู้ดีจริงๆ”
“ข้าประจำอยู่อันรามานาน เรื่องพวกวารีนี้จำเป็นต้องรู้เอาไว้”
“ทำไม” เป็นสหัสที่ถามขึ้น
“ในนิทานพื้นบ้านเขาว่ากันว่า แต่เดิมนั้นชาวอันราบูชาและนับถือพวกวารี เพราะเมื่อแรกเริ่มอันรานั้นเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆที่ถูกรุกรานจากพวกอมนุษย์เสมอ พวกวารีจึงเสนอว่าจะช่วยปกป้องชาวอันราจากพวกอมนุษย์ทั้งหลายแต่มีข้อแลกเปลี่ยนคือชาวอันราจะต้องส่งเด็กหนุ่มที่งดงามมาบูชายัญทุกปี แต่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกเลือกเป็นเครื่องบูชายัญไม่ยินยอมเด็กหนุ่มคนนั้นเลยฆ่าพวกวารีแล้วดื่มเลือดของพวกมันเข้าไปจนแข็งแกร่ง เด็กหนุ่มกลับเข้ามายังหมู่บ้านรวบรวมผู้คนและสามารถสร้างเมืองอันราขึ้นมาได้ ชายหนุ่มคนนั้นจึงได้ขึ้นครองราชย์เป็นราชาองค์แรกของอันรา พวกวารีจึงโกรธแค้นและประกาศไว้ว่าจะฆ่าคนที่มีสายเลือดของกษัติย์แห่งอันราทันทีที่ข้ามมายังป่าศักสิทธิ์ และจะปล่อยให้อมนุษย์ทุกตนเข้าไปยังอันราได้โดยไม่ขัดขวาง” ธันเล่าสิ่งที่ตนรู้มาให้ราซีนฟัง
“พวกวารีที่แทบจะสูญสิ้นไปจากพาณา มารวมกันอยู่ที่นี่เพราะเหตุนี้เองหรอกรึ” สหัสพูดออกมาก่อนแสยะยิ้มเขาเองก็พอรู้มาว่าพวกวารีนั้น แต่เดิมเป็นเผ่าพันธุ์ที่สนิทสนมกับมนุษย์มากกว่าเผ่าพันธุ์อื่น จึงไม่มีอมนุษย์ตนไหนแปลกใจที่พวกวารีจะหายไป เพราะพวกในสายตาของอมนุย์นั้นมนุษย์ไม่มีใครไว้ใจได้ แม้แต่สหัสเองก็เคยเข้าใจแบบนั้นจนวันที่เขามีเจ้าของเป็นท่านเธรา
“พี่สหัส!!” เสียงเรียกดังลั่นที่ดูจะไม่สนใจใครนั้น ส่งผลให้สหัสหันไปมองทันทีร่างของพารัมนั้นเดินจูงโซลาที่ดูเหนื่อยหอบตรงมายังสหัสที่รออยู่
****คราวนี้พิมหายไปนานมากจริงๆ แต่กลับมาแล้วนะคะ
ฝาก #ดวงใจรักขสะ ด้วยค่า
อย่าเพิ่งลืม #ยักษ์อ่อย กันนะคะ