บทที่ 18 ชัดเจนพอไหม ?
ผมนั่งตำส้มตำ เอ๊ย! ตำสมุนไพรแข็งๆ กับครกหินอย่างขะมักเขม้น ปล่อยให้พินเชอร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำงานเบาๆ อย่างเด็ดหรือหั่นสมุนไพรก่อนนำไปต้ม ส่วนก้อนหินผมก็สอนให้คอยช่วยหยิบสมุนไพรใส่ครกให้ทีละนิด เพราะถ้าเป็นพวกเมล็ดแข็งๆ ใส่ไปพร้อมกันทีเดียวไม่ได้ เวลาตำมันจะกระเด็นและไม่ละเอียด ผมทำงานไปสายตาก็มองมันพยายามหยิบของใส่ครกด้วยความเอ็นดู เวลาไม่แน่ใจก็เงยมามองหน้าเหมือนจะขอความมั่นใจ พอผงกหัวให้ก็ปล่อยลง แทบอยากจะทิ้งสากแล้วจับมันฟัดแทน มันเขี้ยวจริงๆ!!
เมื่อวานหลังจากกลับไปจากที่นี่ ผมกับไซเลอร์ก็กลับไปที่เรือนวสุธาเพื่อเตรียมของเดินทาง โดยมีไซเลอร์มาคอยบอกและช่วยดูว่าควรเอาอะไรไปบ้าง หลังจากกินอาหารเย็นร่วมกันที่บ้านใหญ่เรียบร้อยแล้วไซเลอร์ก็บอกเรื่องภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาให้คนที่บ้านรู้ ซึ่งท่านอลาสกัน ท่านไซรีน กับพี่ไซรอสก็รู้อยู่แล้ว เพราะท่านอลาสกันเพิ่งไปพบคิงเพื่อรายงานความก้าวหน้าของเรื่องที่ตามสืบมา ท่านไซรีนกับบรรดาภรรยาของท่านอื่นๆ ก็ต้องรับงานของควีนมาทำต่อ ส่วนพี่ไซรอสได้รับคำสั่งให้พาทีมเดินทางไปงมไข่มุกดำที่ทะเลไมเรส ช่วงนี้แต่ละคนนี่งานเข้ากันถ้วนหน้า
พอรุ่งเช้ามาก็เลยรีบมาเช็คของที่สำนักแพทย์ ของที่ท่านมอลทีสกับท่านลาซาเตรียมให้ครบแล้ว ผมเลยเตรียมส่วนประกอบที่จะนำไปใช้สกัดเห็ดกับไข่ให้พร้อม โดยมีพินช์เชอร์เป็นลูกมือช่วย ส่วนคนอื่นๆ ในสำนักก็แยกย้ายออกไปทำหน้าที่กันหมด เหลือแค่ไม่กี่คนที่รับผิดชอบเรื่องสมุนไพรยังคงทำงานอยู่ที่สวนสมุนไพรและในห้องเก็บสมุนไพร ส่วนไซเลอร์ที่ตามมาด้วย ท่านลาซาขอให้ไปช่วยคนของสำนักยกของอยู่ด้านนอก
พอเหลือกันอยู่ลำพังก็อดจะถามน้องไม่ได้
“พินช์เชอร์”
“ครับพี่ดิน”
“พี่ถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
“ได้สิครับ”
“เอ่อ... พินช์เชอร์ชอบร็อตเหรอ?”
เคร้ง!!
“เฮ้ย! พินช์เชอร์ เป็นอะไร มีดบาดรึเปล่า ไหนมาให้พี่ดูซิ” ผมรีบขยับไปจับมือน้องมาพลิกดูด้วยความเป็นห่วง พอเห็นว่าไม่มีแผลก็ถอนใจอย่างโล่งอก
“เกิดอะไรขึ้น” ไซเลอร์ที่วิ่งมาถึงถามขึ้น เอ่อ... อยู่ตั้งไกล ยังอุตส่าห์ได้ยินอีกนะ
“ไม่มีอะไรหรอกอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ” ผมหันไปตอบไซเลอร์ แต่คนถามไม่ได้สนใจคำตอบ ยืนคิ้วขมวดมุ่นสายตาจ้องไปที่มือของผมที่ยังจับมือพินช์เชอร์อยู่เขม็งจนผมต้องรีบปล่อยมือน้อง ขยับหัวที่เกือบจะโขกกันออกอีกหน่อย มันเป็นไปเองอัตโนมัติ ไม่รู้ทำไม
พอปล่อยปุ๊บคิ้วคนมองก็คลายลงปั๊บ แล้วก็หันมามองหน้าแล้วบอก
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ข้าไปช่วยท่านลาซาต่อก็แล้วกัน” พูดจบก็หันหลังเดินกลับไปโดยปราศจากรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย
เอ่อ... อาการเหมือนจะ... งอน ใช่รึเปล่าวะ ผมก็ไม่แน่ใจ ว่าแต่มันมีอะไรให้น่างอนล่ะ ผมเกาหัวอย่างงงๆ
“ก๊าส” เสียงก้อนหินทำให้ความคิดชะงักลง พอหันไปมองก็เห็นมันเอามือตบครกเหมือนเรียกให้ไปทำงานต่อ
“ครับๆ เจ้านาย ไปแล้วครับ” ไปถึงก็จับมันมาฟัดแรงๆ ด้วยความมันเขี้ยวทันที
พอฟัดจนพอใจก็กลับไปนั่งตำต่อ ตาก็เหล่มองพินช์เชอร์ พอน้องหันมาสบตาก็ย้ำอีกที
“ยังไม่ตอบพี่เลยนะ” นี่เผือกเพราะหวังดีล้วนๆ นะ ปกติไม่ชอบยุ่งเรื่องของใคร แต่เอ็นดูพินช์เชอร์เกินกว่าจะปล่อยไปเฉยๆ ขืนปล่อยให้จีบแบบนี้ต่อไป เชื่อว่าน้องต้องแดกแห้วแน่ๆ
“ครับ ชอบ” เจ้าตัวหลบตา ตอบกลับมาเสียงเบาหวิว หน้าแดงก่ำเหมือนมะเขือเทศลูกโตๆ
น่าฟัดพอๆ กับก้อนหินก็พินช์เชอร์นี่แหละ ไม่เคยคิดว่าเด็กผู้ชายจะดูน่ารักน่าฟัดได้ขนาดนี้ ปกติเจอแต่ยักษ์กับน้องๆ ยักษ์นานๆ จะได้เจอสิ่งมีชีวิตที่ตัวเล็กๆ สักที ได้แต่ระงับใจไม่ให้พุ่งไปฟัด เดี๋ยวมีดจะบาดมือน้อง พอนึกได้ก็รีบดึงมีดออกจากมือก่อน กลัวจะเขินจนเผลอหั่นมือตัวเองเอา
“พี่ดินดูออกด้วยเหรอครับ” พินช์เชอร์เงยหน้าแดงๆ ขึ้นมาถาม โอ๊ย! ขอฟัดสักทีได้ไหม
“อื้อ ก็พอจะดูออก” ที่จริงก็คงดูออกกันทั้งอาณาจักรนั่นแหละ
ยกเว้นคนถูกจีบ...
กรรมจริงๆ
“แต่ท่านร็อตไม่สนใจข้าเลย ท่าทางจะรังเกียจด้วยซ้ำ” พินช์เชอร์บอกหงอยๆ ผมเลยเอื้อมมือไปลูบหัวปลอบใจ จะบอกยังไงให้รู้ตัวโดยไม่ทำให้น้องใจเสียหว่า ว่าร็อตไม่ได้รังเกียจ แค่ เอ่อ กลัว... เฮ้อ!
“แฮ่ม” เสียงกระแอมจากข้างนอกทำให้ผมสะดุ้งเผลอชักมือกลับ โอ๊ย! นี่กูเป็นอาราย ทำไมถึงเกรงใจเจ้าของเสียงนัก ได้แต่เอามือลูบหัวตัวเองแก้เก้อ อยากจะตะโกนถามจริงๆ ว่าอะไรติดคอรึเปล่า โว๊ะ! ขัดคอจริงๆ
“พินช์เชอร์ทำอาหารไปให้ร็อตบ่อยเหรอ” ผมเลียบๆ เคียงๆ ถาม คนถูกถามก็หันมามองงงๆ เหมือนสงสัยว่ารู้ได้ยังไง แต่ก็ตอบแต่โดยดี
“ครับ”
“ทำเองด้วยเหรอ”
“ครับ”
“ทำไมถึงไม่ซื้อให้ล่ะ”
“ท่านพี่ข้าบอกว่าของที่ทำด้วยตัวเองจะทำให้คนได้รับประทับใจมากกว่าครับ” แต่เท่าที่รู้ คนรับดูจะหลอนมากกว่านะ
“แล้วเคยชิมก่อนเอาไปให้บ้างไหม”
“ไม่เคยครับ”
“อ้าว! ทำไมล่ะ” เผลออุทานด้วยความแปลกใจ
“ท่านร็อตทานอาหารรสจัดมากครับ แต่ว่าข้าทานเผ็ดไม่ได้ ทานทีไรปวดท้องมากๆ ทุกทีเลย ท่านพี่เลยห้ามข้าชิม”
โอเค เก็ทละ
จบ...
หมายถึง... จบเห่นะ มิน่าล่ะ รสชาติถึงได้เป็นอย่างนั้น
ผมชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะเล่าให้ฟังว่าร็อตพูดว่ายังไง พินช์เชอร์ฟังสักพักก็อ้าปากค้าง หน้าซีดลงเรื่อยๆ พอฟังจบก็คู้เข่าขึ้นมาซบหน้าลงแล้วคร่ำครวญ
“โอ๊ย! ตายแล้ว ข้าจะทำยังไงดี ป่านนี้ท่านร็อตไม่เกลียดข้าไปแล้วเหรอ ฮืออออออ!” ผมได้แต่ตบบ่าเบาๆ แล้วรีบชักมือกลับ เผลอหันไปมองทางประตู พอไม่ได้ยินเสียงอะไรลอยมาก็ลูบหัวปลอบน้องต่อ
พักประเด็นนี้ไปก่อน ยังมีอีกเรื่อง
“แล้วเจ้าเอายาไปให้ร็อตบ่อยเหรอ”
“ครับ” พินช์เชอร์เงยหน้าเบ้ๆ จากเข่าขึ้นมาตอบ
“ตอนเอาไปให้ได้เขียนสรรพคุณไว้ไหม” พินช์เชอร์คงจะพอเดาอะไรได้เลยทำหน้าแหยๆ อ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาทองฮุบอากาศ ก่อนจะบอกเสียงเบาหวิว
“ข้า...ลืม”
“...”
ครับ...
เจริญจริงๆ
คิดว่าชาตินี้จะจีบติดไหม ถามใจดู
ผมถอนหายใจด้วยความเพลียอีกที แล้วบอกไปว่าร็อตมีอาการหลังได้รับยายังไงบ้าง คนฟังหน้าซีดเผือดสลับแดงก่ำเปลี่ยนสีได้เหมือนกิ้งก่า ทั้งน่าขำทั้งน่าสงสารไปพร้อมๆ กัน ไม่อยากจะทำร้ายจิตใจหรอกนะ แต่ให้รู้ตัวตอนนี้ดีกว่าต้องแดกแห้วละวะ
“โอ๊ย!! ตายแล้ว! ตายแน่ๆ เลย ข้าคงตื่นเต้น เลยหยิบยาผิดขวดไปให้ พี่ดิน ข้าจะทำยังไงดี มิน่าล่ะ ท่านร็อตถึงพยายามหลบหน้าข้า ข้าต้องโดนเกลียดแล้วแน่ๆ เลย ฮือออออ!!!” พูดไปทึ้งหัวตัวเองไป แล้วอยู่ๆ น้ำตาก็หยดลงมาแหมะๆ อย่างน่าสงสาร อ้าว! เฮ้ย! ร้องเลย เวรแล้วไง
“โอ๋ๆๆๆ อย่าร้องนะ” ผมได้แต่ส่งผ้าเช็ดหน้าให้ พอทนไม่ไหวก็ดึงมากอดพร้อมกับช่วยลูบหัวลูบหลังปลอบใจ เลิกสนใจเสียงนกเสียงกาข้างนอกชั่วคราว
“พ... พี่ดินต้องช่วยข้านะ ฮืออออ”
“พี่จะพยายามช่วยก็แล้วกัน”
“จริงๆ นะ” พินช์เชอร์ผละออกจากอ้อมกอด เงยขึ้นมามองตาเป็นประกายอย่างมีความหวังทั้งที่น้ำตายังไม่แห้ง
น... น่ารัก
“ครับ” รับปากไปก่อนจะได้เลิกร้องซะที พอเห็นผมรับปากก็ยิ้มออกมาได้ เห็นแล้วอยากจะร้องเพลงให้ฟัง ‘อย่าฝากความหวังที่ฉันจนเกินไป เพราะฉันไม่ได้มีทุกอย่างที่ควรจะต้องรอ’
โธ่! ผมจะมีปัญญาไปช่วยใครได้ เกิดมายังไม่เคยจีบใครเลย เพราะคิดว่าจะตั้งใจเรียนให้จบก่อน อีกอย่างผมเป็นแค่เด็กรับใช้ฐานะต่ำต้อย คิดว่าคงไม่คู่ควรกับใคร เลยได้แต่มองสาวๆ ตาละห้อย เกิดมาก็เพิ่งจะเคยโดนจีบ แถมคนจีบยังเป็นผู้ชายทั้งสองคน ไม่รู้ควรจะดีใจหรือเสียใจดี
“ถ้าพี่ดินช่วยข้าต้องสำเร็จแน่ๆ เลย”
“ทำไมล่ะ” อะไรทำให้น้องมั่นใจขนาดนั้น
“ก็ดูท่านไซเลอร์จะรักพี่ดินมากเลย” ผมมองตามสายตาของพินช์เชอร์ไปทางหน้าประตูก็เห็นไซเลอร์ยืนกอดอกมองมาอยู่
เหี้ย! พ่อมา โอเคๆ ยอมรับก็ได้ว่าเกรงใจพี่มัน ผมขยับห่างจากน้องโดยอัตโนมัติ พินช์เชอร์หัวเราะคิกคักจนน่าตบให้หัวทิ่ม ได้ข่าวว่าเมื่อกี๊เพิ่งร้องไห้อยู่แหม่บๆ นี่หัวเราะได้แล้ว? เด็กเอ๊ย! ผมยีหัวเล่นด้วยความมันเขี้ยว
“ใกล้เสร็จหรือยังดิน” สงสัยจะเล่นกันนานไปหน่อย พ่อ เอ๊ย! ไซเลอร์เลยเดินมาถามใกล้ๆ ตาเขียวๆ นั่นขุ่นคลั่กเหมือนโดนตะไคร่น้ำเกาะ ผมหยิบลิสต์ที่จดไว้มาไล่ดูก็รีบหันไปตอบ
“ใกล้แล้วครับ เดี๋ยวต้มชุดนี้กรองน้ำก็เสร็จแล้ว” อย่างอื่นเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือชุดนี้แหละมัวแต่คุยเลยไม่เสร็จสักที พูดจบไซเลอร์ก็กลับไปทำงานต่อ ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วส่ายหัว กับพินช์เชอร์ก็ไม่เว้น ไม่รู้จะหวงอะไรนักหนา
เมื่อเห็นผมชักช้าไม่กลับไปประจำที่สักที ก้อนหินก็เอาเล็บครูดกับครกเรียกร้องความสนใจ
“พอๆ หินกูเสียวฟัน ไปเดี๋ยวนี้แหละครับเจ้านาย” พอกลับไปนั่งที่มันก็ขยับขึ้นมานั่งตักแล้วก้มลงหยิบสมุนไพรใส่ครกแทน สงสัยจะกลัวผมลุกออกจากที่อีก ตัวเท่าลูกหมา ก้มทีหัวจะทิ่ม แต่ก็ยังพยายาม ทำไมถึงทำตัวน่าฟัดขนาดนี้นะ ฮึ่ย! ฝากไว้ก่อนเถอะ ต้องเร่งมือทำงานก่อน เดี๋ยวพ่อมาตามอีก
หลังจากเตรียมของเรียบร้อยแล้ว พินช์เชอร์ก็พาผมไปที่ห้องต้มสมุนไพร ระหว่างที่รอเวลาให้น้ำเดือดและรอให้สมุนไพรเปื่อยจนกรองเอาน้ำได้ พินช์เชอร์ก็ชวนนั่งจิบชารอที่โต๊ะในห้องนั่นแหละ ส่วนก้อนหิน พินช์เชอร์เอาเนื้ออะไรสักอย่างมาให้ ผมเลยหั่นเป็นชิ้น แล้วเสียบไม้เล็กๆ ใส่จานวางไว้ให้มันนั่งกินบนโต๊ะ
“พี่ดินครับ”
“หืม”
“พี่ดินว่าท่านร็อตจะเกลียดข้าไหม” พินช์เชอร์ถามด้วยสีหน้ากังวล
“ไม่หรอก ร็อตใจดีจะตาย” ถึงหน้าจะดูดุๆ แต่ใจดีมาก ดูเวลาอยู่กับก้อนหินสิ ตามใจกันอย่างกับอะไร
“แล้วข้าต้องทำยังไงต่อครับ”
“อืม ก่อนอื่นก็ต้องไปขอโทษร็อตตรงๆ ก่อน อธิบายให้เข้าใจว่าไม่ได้ตั้งใจแกล้ง มันเป็นความผิดพลาด ร็อตน่าจะอภัยให้อยู่แล้วละ” อย่างร็อตต้องพูดตรงๆ ขืนอ้อมโลกให้ตายก็ไม่มีวันเข้าใจ
“ตะ... แต่ ข้าอาย” ยอมอายดีกว่าต้องแดกแห้วนะพี่ว่า
“อยากให้ร็อตกลัวเจ้าต่อไปรึไง” ขู่ไปเล็กน้อยเป็นการกระตุ้น
“ครับ ข้าจะไป” ดีมาก ว่าง่ายๆ จะได้โตเร็วๆ
“หลังจากนั้นก็หาอะไรที่ร็อตสนใจเป็นพิเศษไปให้ เอ่อ... ไม่ต้องทำเองแล้วนะ พี่แนะนำว่าซื้อไปเถอะ ถ้าตั้งใจซื้อไปให้ก็แสดงถึงความใส่ใจได้ไม่ต่างกันหรอก” บอกตรงๆ กลัวใจฝีมือน้องจริงๆ
“ข้าก็เห็นท่านร็อตสนใจแต่มังกรนั่นแหละ จนข้าอิจฉา อยากจะเกิดเป็นมังกรซะให้รู้แล้วรู้รอด”
“ทำไมล่ะ” ผมหันไปถามด้วยความสงสัย เพราะไม่เห็นประโยชน์ของการเกิดเป็นมังกรสักนิด ถามเสร็จก็ยกชาขึ้นมาจิบต่อ อืม ชาที่นี่หอมดีจริงๆ
“ท่านร็อตจะได้สนใจข้าบ้าง”
อ้อ!
“อีกอย่าง ท่านร็อตจะได้ขี่ข้าด้วยไง”
พรวด!!!
“แค่กๆๆๆๆ” ผมสำลักน้ำชาไอจนหน้าดำหน้าแดง พินช์เชอร์ก็ขยับมาลูบหลังให้ด้วยความตกใจ พอหายไอแล้วก็ถามขึ้นเสียงดัง
“ขี่เนี่ยนะ!” พินช์เชอร์เอียงคอมอง ทำหน้าสงสัยว่ามันแปลกตรงไหน
“ครับ ก็เป็นมังกรให้ท่านร็อตขี่ไปไหนมาไหนไงครับ อย่างน้อยก็ได้อยู่ใกล้ท่านร็อตตลอดเวลา แถมไม่โดนรังเกียจด้วย” พูดเสร็จก็ยิ้มเหมือนกลายเป็นมังกรไปแล้วจริงๆ
โอเค...
นี่ผมคิดลึกไป หรือน้องมันคิดน้อยไปวะ!!!
โอ๊ย! กูปวดหัวววว
กว่าจะเตรียมตัวเสร็จก็เล่นเอาสมองทำงานหนักมาก การคุยกับพินช์เชอร์ทำให้ผมเปลืองพลังงานยิ่งกว่าการเตรียมยาซะอีก ผมกับไซเลอร์ไปช่วยพินช์เชอร์ดูว่าเตรียมของในการเดินทางพร้อมไหม ขาดเหลืออะไรจะได้หาทัน ย้ำเรื่องเวลาเดินทางในพรุ่งนี้อีกครั้ง พอเรียบร้อยแล้วก็ลาท่านลาซากลับบ้าน
“ดิน ดินตื่น ถึงบ้านเราแล้ว” เสียงอ่อนโยนที่ดังขึ้นข้างหู กับแรงเขย่าเบาๆ ที่บ่าทำให้ผมสะดุ้งตื่น อ้าว! เผลอหลับไปเหรอ สงสัยอากาศข้างบนจะดีเกินไป
ผมก้มมองก้อนหินที่หันมากอดผมแน่นแล้วหลับไป แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นก็ยิ้มด้วยความเอ็นดู ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าแผ่นหลังของตัวเองพิงแนบสนิทกับอกกว้างๆ ของคนข้างหลัง เลยตัวแข็งทื่อ พอแหงนหน้าไปก็สบเข้ากับนัยน์ตาสีเขียวพราวระยับที่อยู่ใกล้ไม่ถึงคืบ ผมผวาลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วจนก้อนหินสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที
“ก๊าส” มันร้องประท้วง
“หึๆ” เสียงหัวเราะของคนข้างหลังทำให้รู้สึกร้อนๆ ที่หน้า ได้แต่จับก้อนหินไว้แน่นๆ รีบกระโดดลงจากหลังไซรัส แล้วเดินจ้ำๆ ตรงกลับเรือนวสุธาโดยไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะตามมาทันรึเปล่า
เมื่อเดินไปถึงก็เห็นคนในทีมเฮดีสที่เหลือรออยู่ตรงชานหน้าบ้านอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พอเห็นผมเดินไปชเนาเซอร์ก็เรียกเสียงดังมาแต่ไกล
“ดิน” จะเรียกเพื่อ?
จะหลบก็ไม่น่าจะทัน เลยได้แต่จำใจเดินตรงไป
“ดิน ทำไมหน้าแดงอย่างนั้นล่ะ ไปทำอะไรมา” พอเดินไปใกล้ชเนาเซอร์ก็ถามอย่างล้อเลียนจนน่าเตะ ส่วนคนอื่นๆ ถึงจะไม่พูดแต่ยิ้มกริ่มกันหมด นี่แหละถึงยังไม่พร้อมจะเจอ ผมยังรู้ตัวเลยว่าหน้ายังไม่หายร้อน โอ๊ย! จะเขินอะไรนักหนาวะดิน!
“หึๆ” แถมตัวต้นเหตุตามมาทันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้มายืนหัวเราะอยู่ใกล้ๆ เคยบอกไปรึยังครับว่าเกลียดเสียงหัวเราะแบบนี้ของพี่แกจริงๆ
“แน่ะๆๆ แอบไปทำอะไรกันมา” แน่ะพ่อง!
“ทำไมไม่ไปรอข้างใน” ไซเลอร์ถามเพื่อนๆ ที่ยืนพิงระเบียงบ้าง ขึ้นไปนั่งบนระเบียงบ้าง หักลงมาละจะหัวเราะให้ฟันร่วง แต่ละคนตัวไม่ใช่เล็กๆ
“ไม่อยากเข้าไปในเรือนหอพวกเจ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตน่ะ” มาสทิฟฟ์ตอบ สีหน้าล้อเลียนมาเต็มจนอยากกระโดดถีบยอดหน้า แต่เอาจริงๆ คงถีบไม่ถึง...
ว่าแต่... เรือนหอพ่อง!
“ฮ่าๆๆๆๆ” พอเห็นผมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก็ประสานเสียงหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ผมรู้สึกหน้าร้อนจนแทบจะระเบิด ได้แต่กอดก้อนหินไว้แน่น ส่วนเจ้าของเรือนหอ เอ๊ย! เจ้าของบ้านตัวจริงก็ยืนยิ้มไม่ค้านสักคำ
ครับ... เอาที่พี่ๆ สบายใจเลย ล้อได้ล้อไป กูก็อายไปสิ โอ๊ยยยย! นิสัย!
“หึๆ พอเถอะ เข้าไปคุยในบ้านกัน” อารมณ์ดีจริงๆ ต่างจากตอนอยู่ที่สำนักแพทย์ราวฟ้ากับเหว
ผมปล่อยให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญเดินเข้าบ้านไปก่อน ไซเลอร์คงเข้าใจอารมณ์ผมเลยเดินนำหน้าไป แต่ก่อนจะเดินผ่านยังมีหน้ามากระซิบบอก
“หูแดงนะ หึๆ”
ฮึ่ย! ขัดขาแม่งเลยดีไหม ผมได้แต่จับก้อนหินมาเอาหน้าซุกพุงมันแก้ร้อน มันก็ตบหัวสองสามทีเหมือนจะปลอบ มีแต่ก้อนหินนี่แหละที่น่ารักเสมอต้นเสมอปลาย คนอื่นแม่งน่าถีบถ้วนทั่วทุกตัวตน ฝากไว้ก่อนเถอะ! จำไว้เลย! ผมอาฆาตในใจ
พอสงบสติอารมณ์ได้ก็เดินขึ้นเรือนไป เห็นทุกคนนั่งคุยกันอยู่ แต่ยังอุตส่าห์เว้นที่ข้างๆ ไซเลอร์ไว้ให้ ผมแทบจะกลอกตา ได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินไปนั่งเงียบๆ พอเจอสายตาล้อเลียนก็อยากจะจับนิ้วก้อนหินไปจิ้มตาเรียงตัว
“พร้อมไหมดิน” ผมหันไปมองชเนาเซอร์งงๆ พร้อมอะไรวะ?
“เดินทางพรุ่งนี้ไง พร้อมไหม” เกริ่นนำหน่อยก็ได้ ใครจะไปตามทัน ไฮเปอร์จริงๆ คนอะไร
“ครับ ของทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว พรุ่งนี้ก็ออกเดินทางได้ แล้วนี่มาทำไมกันครับ” นี่ถามจริงจัง ไม่ได้ประชดประชันแต่อย่างใด
“มาทบทวนแผนการเดินทางกับตรวจของที่ต้องใช้กันอีกทีน่ะ” ร็อตตอบ
“เรียบร้อยไหมครับ”
“เรียบร้อยทุกอย่าง” มาสทิฟฟ์ตอบบ้าง
แล้วเมื่อไหร่จะกลับไป อันนี้คิดในใจ...
“เรื่องน้ำหอมที่แขนก้อนหิน เจ้ารู้แล้วใช่ไหมว่าท่านแม่ของข้าเป็นคนซื้อแจกคนที่เข้าประชุมทุกคน” พรีซาพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ทราบแล้วครับ” พรีซาถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ
“คนที่ได้ไปมีหลายคน ทั้งคนในและนอกอาณาจักร เลยไม่รู้มันไปโดนแขนก้อนหินได้ยังไง คงต้องใช้เวลาสืบหน่อย”
“ครับ ตอนนี้เรื่องรักษาควีนสำคัญกว่า ทุกคนก็อยู่กับข้าตลอด น่าจะไม่มีปัญหาอะไร” คิดในแง่ดีว่ามันน่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ เสียดายที่ก้อนหินพูดไม่ได้ ไม่งั้นรู้เรื่องกันไปนานแล้ว
“ขอโทษนะ”
“ห๊ะ! ขอโทษเรื่องอะไรครับ”
“ก็เรื่องมันยุ่งยากขึ้นเพราะน้ำหอมของท่านแม่ข้า”
“โธ่! มันเป็นเรื่องสุดวิสัย ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรอกครับ”
“ข้ารู้ แต่ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้อยู่ดี”
“อย่าไปคิดมากเลยครับ ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องกังวลไปล่วงหน้าหรอก แค่วันนี้ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดพอ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ถึงตอนนั้นก็พยายามแก้ปัญหาให้เต็มที่ก็พอ”
“ขอบใจ” พรีซายิ้มออกมาได้
“ครับ” ค่อยยังชั่วหน่อย ชินแต่กับพรีซาเวอร์ชั่นโรคจิต เวอร์ชั่นหมาหงอยแบบนี้ไม่คุ้นเลย กลับไปโรคจิตแบบเดิมเถอะเหมาะกว่าเยอะเลย โรคจิตกว่าพรีซาก็ผมนี่แหละทนหน้าหงอยๆ ของพี่แกไม่ได้ เฮ้อ!
“เราจะคอยคุ้มกันเจ้าทั้งคู่อย่างเต็มที่ ที่จริงคิงอยากให้ส่งไปคุ้มกันพวกเจ้ามากกว่านี้ แต่ท่านมอลทีสบอกว่ามันจะเป็นจุดสังเกต อีกอย่างคนยิ่งเยอะจะยิ่งทำให้การเดินทางล่าช้าไปด้วย” มาสทิฟฟ์เสริมขึ้น
ผมผงกหัวรับรู้ก่อนจะนึกขึ้นได้
“ข้ามีเรื่องสงสัย” ทุกคนหันมามองผมอย่างพร้อมเพรียง บอกแล้วไงอย่าจ้องพร้อมกัน มันเกร็ง! โว๊ะ!
“เอ่อ... ตอนข้าเข้าพบคิงกับท่านมอลทีส ข้าถามไปว่า เป็นไปได้ไหมว่าคนร้ายจะเป็นคนที่ต้องการแย่งตำแหน่งคิงแต่...”
“เป็นไปไม่ได้!!!” ครับ เข้าใจแล้วครับว่าเป็นไปไม่ได้ พูดเสียงดังขึ้นมาพร้อมกันมันตกใจนะเฮ้ย!
ขวัญเอ๊ย! ขวัญมา!
“ทะ...ทำไมล่ะ” พอถามออกไปก็ได้แต่แปลกใจ เมื่อแต่ละคนทำหน้าพิลึกไม่เว้นแม้แต่ไซเลอร์ ถ้ามีกล้องละอยากจะถ่ายรูปเก็บไว้จริงๆ
“คิงกับท่านมอลทีสให้มาถาม บอกว่าพวกเจ้าตอบได้ แถมยังบอกด้วยว่าพวกเจ้าเป็นว่าที่คิงรุ่นต่อไปทุกคนเลย”
แต่ละคนถอนหายใจเฮือกๆ จนกลัวอายุจะสั้นลงอีกหลายปี บรรยากาศดูอึมครึมขึ้นมาทันที
อ้าว! เป็นอะไรกัน! ผมได้แต่มองทุกคนงงๆ
“ที่นี่ไม่มีใครอยากเป็นคิงหรอก” ไซเลอร์หันมาตอบให้ผมหายข้องใจ แต่มันฟังแล้วดันน่าข้องใจยิ่งกว่าเดิมซะอีก
“ห๊ะ!!! ทำไมล่ะครับ”
ทุกคนหันไปสบตากันก่อนจะเริ่มตอบ
“ขี้เกียจ” ชเนาเซอร์
“เหนื่อย” มาสทิฟฟ์
“น่าเบื่อ” พรีซา
“ยุ่งยาก” ร็อต
ผมหันไปมองตัวเต็งข้างๆ ตัวอีกคน พี่แกหันมามองแล้วตอบนิ่งๆ
“วุ่นวาย ไร้อิสระ”
ครับ... ฟังดูรักบ้านรักเมืองมากครับพวกมึงๆ ทั้งหลาย
เฮ้ย! แบบนี้ก็ได้เหรอวะ!!!!
คนที่โลกโน้นแย่งตำแหน่งกันแทบตาย อาณาจักรนี้แม่งเสือกเกี่ยงกัน อเมซิ่งจริงๆ
“เจ้าก็เห็นว่าคนที่นี่รักอิสระมาก ตำแหน่งคิงต้องรับผิดชอบหลายๆ อย่าง แค่รับผิดชอบอาณาจักรเคลเบรอสน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะเราคุยกันรู้เรื่อง ง่ายๆ สบายๆ อยู่แล้ว แต่เรื่องที่ต้องประสานงานกับอีกสองอาณาจักรนี่สิ แค่นึกก็รู้สึกปวดหัวล่วงหน้าแล้ว” มาสทิฟฟ์ช่วยอธิบายต่อ แสดงว่านิสัยของคนอีกสองอาณาจักรคงจะทำให้พี่ๆ แกเวียนเฮดจริงๆ
“ถ้าไม่มีใครอยากเป็นคิง แล้วคิงแต่ละรุ่นได้มายังไง”
“...”
กริบ... เกิดเดดแอร์ขึ้นชั่วขณะ มันตอบยากขนาดนั้นเลยเหรอ?
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าอาณาจักรของเรา ตำแหน่งคิงไม่ได้สืบทอดกันทางสายเลือด” ไซเลอร์ถาม
ผมอ้าปากค้างแล้วส่ายหน้า ก็เพิ่งจะรู้ตอนนี้นี่แหละ
ไซเลอร์พยักหน้ารับรู้ก่อนจะพูดต่อ
“ตำแหน่งคิงแต่ละรุ่นจะได้มาจากการคัดเลือก คนของอาณาจักรเคลเบรอสทุกคนพออายุครบ 15 ปีก็จะมีกลุ่มที่มีลักษณะพิเศษปรากฏ คนกลุ่มนี้จะถูกส่งมาเรียนและเข้ารับการฝึกที่เมืองหลวง เมื่อถึงเวลา ใครชอบสายไหนก็แยกไปฝึกสายนั้นเฉพาะด้านไป อย่างสำนักแพทย์ ฝ่ายทหาร หรือครูฝึกมังกรตามที่เจ้าเคยเห็นมาแล้ว แต่ถ้าใครไม่ต้องการเข้ามาฝึกจะใช้ชีวิตต่อที่บ้านก็ได้ ไม่มีใครบังคับ ต่อให้เป็นคนที่ไม่มีลักษณะพิเศษแต่อยากจะเข้ามาฝึกฝนเรียนรู้ก็ได้เหมือนกัน แต่เชื่อเถอะ ว่าคนพวกนั้นยินดีจะเป็นกลุ่มคนธรรมดามากกว่า”
“แล้ววิธีเลือกคิงนี่เลือกกันด้วยวิธีไหนครับ”
“...”
อ้าว! เงียบทำไมอีกล่ะ
“คิงบางรุ่นได้ตำแหน่งมาเพราะชนะการต่อสู้ เจ้าก็รู้ว่าคนอาณาจักรเรารักศักดิ์ศรียิ่งชีพ จะแกล้งแพ้ก็ไม่ได้ เลยจำใจสู้กันอย่างเต็มที่ ใครชนะก็ได้ตำแหน่งคิงไป น่าสงสารจริงๆ” ชเนาเซอร์บอก ประโยคสุดท้ายนี่พึมพำกับตัวเองเบาๆ
“ทำไมไม่จับฉลากกันไปเลยล่ะ” ถ้ามันจะเลือกยากเลือกเย็นขนาดนั้น
“ก็มีนะ คิงองค์ปัจจุบันรับตำแหน่งมาเพราะจับฉลากได้นี่แหละ”
“....”
โอ๊ยยย! กูประชดดดด!!!
“คิงรุ่นก่อนหน้าได้ตำแหน่งเพราะเป่ายิ้งฉุบ” ชเนาเซอร์ยังคงพูดต่อไปอย่างเมามัน
“รุ่นก่อนหน้าโน้นก็ได้ตำแหน่งมาจากการเสี่ยงทาย บางรุ่นก็คัดจากอายุใครแก่สุดก็ซวยไป จากที่ฟังมา การคัดเลือกคิงแต่ละครั้งสนุกจะตาย แต่ถ้าได้เป็นเองนี่แหละน่าจะไม่สนุกเท่าไหร่” ชเนาเซอร์กล่าว
หนักกว่าเดิมอีกแม่ง! ใครมียาดมผมขอหน่อยได้ไหมครับ ฟังแล้วรู้สึกหน้ามืดพิกล
“แล้วแบบนี้ตอนบริหารงานจะไม่มีปัญหาเหรอครับ”
“ไม่หรอก คนที่เป็นตัวเต็งในการเข้ารับการคัดเลือกเป็นคิงแต่ละคนมีคุณสมบัติที่คู่ควรทุกคน ได้รับการอบรมและเตรียมความพร้อมมาอย่างดี เชื่อเถอะเห็นเกี่ยงๆ กันแบบนี้ แต่ไม่ว่าใครก็ได้เป็นก็ตามพอได้รับตำแหน่งแล้วก็จะทำหน้าที่กันอย่างเต็มที่ที่สุดทุกคน บ้างานกันทุกคน แถมคนที่เหลือก็จะสนับสนุนช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังไม่มีเกี่ยงงานกันแน่นอน”
ผมผงกหัวรับรู้อย่างมึนๆ ประเด็นนี้ผ่านได้
เคลเบรอสโอลลี่ คงจะมีที่นี่ที่เดียวแหละ อิสรเสรีฟรีดอมกันจริงๆ
“แล้วเรื่องชู้สาวอะไรแบบนี้ล่ะครับ”
“ถ้าในอาณาจักรเราไม่น่าจะมีปัญหานะ สำหรับที่นี่ถ้าตัดสินใจครองคู่กันแล้วก็เหมือนมีตราประทับของอีกฝ่ายอยู่ในตัว เป็นสัญลักษณ์แสดงความเป็นเจ้าของซึ่งกันและกัน เพื่อให้คนอื่นได้รับรู้จะได้ไม่เข้ายุ่งกับคนที่มีเจ้าของแล้ว” ไซเลอร์อธิบาย พร้อมกับสายตาที่มองตรงมาอย่างจริงจัง ทำเอาผมเผลอหลบตา
ปัดประเด็นนี้ตกไปอีกประเด็น
“แล้วคิดว่ามีเรื่องอะไรที่น่าจะเป็นสาเหตุบ้างไหมครับ”
“พวกข้านึกไม่ออกจริงๆ เพราะเราอยู่กันอย่างสงบสุขมาตลอด ภายในอาณาจักรก็สงบดี ความสัมพันธ์กับอีกสองอาณาจักรก็ไม่มีปัญหาอะไร ถึงจะทะเลาะกันบ้างก็มีแต่เรื่องไร้สาระตกลงกันได้ทุกเรื่อง บอกตามตรงว่าตอนนี้มืดแปดด้าน” มาสทิฟฟ์ตอบให้
“เฮ้อ! คงต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อนแหละครับ หาวิธีรักษาควีนให้หายก่อน ถ้าทรงฟื้นมา เราอาจจะได้คำตอบ” แต่มันก็อดคาใจไม่ได้จริงๆ ให้ตายสิ!
เราคุยกันต่ออีกสักพัก พอนัดแนะกันเรียบร้อย ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านไปพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางในวันพรุ่งนี้
(มีต่อ ขอจัดแป๊บค่า)