สูตรที่ 2
Japanese Cheese Tart
: อัลมอนด์ป่น/น้ำตาล/ไข่ไก่/แป้งอเนกประสงค์/เนยจืด - ครีมชีส/โยเกิร์ต/น้ำตาล/ไข่ขาว/ไข่แดง/วิปปิ้งครีม :
คืนแรกของการนอนกับพี่ทาร์ตออกจะทุลักทุเลไปสักเล็กน้อย ไม่รู้ว่าต้องจัดเตียงแบบไหน เอาหมอนข้างไว้ตรงกลางหรือเหวี่ยงทิ้งไปที่พื้นดีนะ มันเกะกะ เพราะปกติเคยนอนคนเดียว แต่มีอีกคนเพิ่มเข้ามาพื้นที่ในการขยับตัวก็น้อยลง ผมคิดไม่ตกจนเผลอยืนเกาหัว ในขณะที่อีกคนออกมาจากห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เดินเข้ามายืนซ้อนด้านหลัง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่ที่แสนคุ้นเคย ทำให้ตระหนักว่าเขาอยู่ใกล้เพียงใด
"ทำอะไรอยู่"
เขาเอ่ยถามด้วยเสียงไม่ดังมากนักแต่ด้วยความที่ขยับเข้ามาใกล้กันมาไปทำให้ผมสะดุ้ง พอหันไปก็ตาลีตาเหลือกขึ้นมาเพราะจมูกแทบจะชนแก้มใสๆ ของพี่ทาร์ต แถมยังเผลอถอยหลังจนชนเข้ากับเตียงแล้วล้มลงนอนแผ่ ทำให้เรียกเสียงหัวเราะจากอีกคนได้ง่ายๆ น่าอายชะมัด เผลอทำเรื่องเปิ่นๆ ลงไปอีกแล้วสิน่า
"โอย พี่ทาร์ต จะเข้ามาใกล้อะไรขนาดนั้นครับ เกือบไปแล้วไหมล่ะ"
ผมนอนแผ่ท่าปลาดาวแบบเดิมโดยไม่ขยับไปไหนเพราะรู้สึกปวดหลังตอนกระแทกลงบนเตียง พี่ทาร์ไม่เลิกหัวเราะกันสักที ใบหน้าหล่อๆ นั่นก็แดงเถือกไปหมด อะไรจะตลกขนาดนั้น ชัดเริ่มหงุดหงิดแล้วนะเว้ย เดี๋ยวก็ไล่ให้ไปนอนโซฟาห้องนั่งเล่นซะเลย
"จะคิดอะไรมากล่ะน้องปูน ตอนเด็กๆ หอมแก้มกันออกจะบ่อย"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กัน เขาดึงผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กขึ้นขยี้เส้นผมของตัวเองไปมา ผมมองภาพนั้นแล้วได้แต่เบ้ปากใส่ จะไม่ให้คิดมากได้ยังไงว่ะ ตอนนั้นกับตอนนี้เทียบกันได้ที่ไหน น่าขนลุกออก
"จะบ้าหรือไง มันไม่เหมือนกันเว้ย"
ผมพูดเสียงฉุนๆ ก่อนจะขยับนั่งพิงหัวเตียงแล้วคว้าเอาหมอนข้างมากอดไว้ พี่ทาร์ตชะงักมือแล้วหันมาเลิกคิ้วใส่กันอย่างกับว่าคำพูดที่ได้ยินไปเมื่อครู่แปลกประหลาด
"ครับๆ ทำไมล่ะ ขนลุกเหรอหรือกลัวเคลิ้ม"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงเย้าหยอกก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาจนจมูกแทบจะชิดกัน และด้วยความที่ผมตกใจเลยเผลอง้างเท้าถีบอีกคนจนผงะถอยหลัง ดีนะที่ไม่ตกเตียง
"โอย เจ็บนะปูน ถีบพี่ทำไม"
พี่ทาร์ตเงยมองด้วยใบหน้าเหยเกแล้วใช้มือลูบช่วงหน้าอกเพื่อบรรเทาความเจ็บ ผมแยกเขี้ยวใส่แถมด้วยการถลึงตาให้รู้ว่าเมื่อครู่ตัวเองไม่ผิด ก็เขาเล่นเข้ามาให้ระยะประชิด พูดจาชวนให้ขนลุกแบบนั้น
"ก็พี่ทาร์ตเล่นอะไรวะ ถ้ายังแกล้งกันอีกก็ลงไปนอนที่โซฟาด้านล่างเลยไป"
ผมพูดด้วยเสียงจริงจังแล้วมองพี่ทาร์ตด้วยสายตาดุๆ อีกฝ่ายยกมือขึ้นยอมแพ้แล้วถอนหายใจเบาๆ
"โอเคๆ ไม่แกล้งก็ได้แล้วครับปูน จะนอนหรือยัง"
พี่ทาร์ตถามแล้วเดินไปตากผ้าขนหนูในห้องน้ำ ผมส่ายหน้าแทนคำตอบเพราะจะอ่านการ์ตูนที่เพิ่งไปซื้อมาใหม่เมื่อสองวันก่อน และดูท่าทางเขาก็คงจะไม่นอนเหมือนกัน มีอาการเจ็ทแลคสินะ
"ก็ดี... พี่ยังปรับเวลาไม่ได้เลยว่ะ"
เขาทิ้งตัวลงนั่งพิงหัวเตียงข้างๆ กันแล้วหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่น พอดีที่สายตาของผมเหลือบมองหน้าจอสี่เหลี่ยมนั่น มันคือรูปคู่ชายหญิงซึ่งพอจะเดาได้ว่าเป็นพี่ทาร์ตกับพี่เจน อยากจะถามถึงสาเหตุที่เขาเลิกกัน แต่ปากกลับขยับไม่ได้ โธ่เว้ย จะเสือกเรื่องคนอื่นทั้งทีกลับใจไม่กล้าพอ
"นี่... พรุ่งนี้ปูนไปห้างกับพี่ได้ไหม อยากได้มือถือใหม่ว่ะ"
พี่ทาร์ตโยนโทรศัพท์ในมือกลับไปไว้ที่หัวเตียงแล้วหันมาบอกกันด้วยใบหน้าเรียบเฉย ผมเลิกคิ้วขึ้นก่อนพยักหน้าตกลงไป แอบสงสัยว่าที่อยากเปลี่ยนเครื่องใหม่นี่เพราะอยากลืมคนบางคนหรือเปล่านะ
"ได้ดิ แต่เครื่องที่พี่ใช้มันก็ยังใหม่ไม่ใช่เหรอ"
ถามลองเชิงไปแบบนั้น ถ้าเขาบอกสาเหตุจริงๆ ก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าเขาบอกปัดก็จงพึงระลึกไว้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว ผมทำทีท่าว่าไม่ใส่ใจในคำตอบมากนักแล้วเดินไปหยิบหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ออกจากชั้น พี่ทาร์ตยังคงเงียบแต่สายตากลับมองตามผม... เพื่ออะไรว่ะ
"เปลี่ยนเพราะไม่อยากใช้เครื่องเก่าแล้ว ขี้เกียจมานั่งลบอะไรหลายๆ อย่าง"
เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเป็นปกติ ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เหมือนเดิม แต่อยู่ๆ ศีรษะชื้นๆ ของเขาก็ซบลงมาบนไหล่กันซะอย่างนั้น
"พี่ทาร์ต... เป็นอะไรหรือเปล่า ง่วงเหรอครับ"
ผมถามออกไปเสียงเบาและไม่กล้าขยับตัวไปไหน ทั้งๆ ที่ไม่ชินสภาพแบบนี้แต่ก็ไม่อยากผลักไสเขา กำลังเสียใจอยู่หรือเปล่านะ เรื่องพี่เจนอะไรนั่น ควรทำยังไงดีวะ
"เปล่า... ปูนเคยรู้สึกเกลียดใครหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย ผมลอบมองปฏิกิริยาของเขา อยากเห็นสีหน้าตอนนี้ แต่ซบไหล่กันแบบนี้เลยหมดหวัง
"หือ เกลียดเหรอครับ มันก็มีบ้างนั่นล่ะ พี่ถามทำไม"
เรื่องเกลียดใครสักคนก็เป็นธรรมดาของมนุษย์โลกไม่ใช่เหรอ
"แล้วกับคนที่เคยรักล่ะ เกลียดเขาบ้างหรือเปล่าตอนเลิกกันไป"
พี่ทาร์ตยังคงถามต่อไป แต่ผมเริ่มสะกิดใจแล้วล่ะว่าเขากำลังจะพาเข้าสู่เหตุผลของการเลิกกับแฟนและการเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ตั้งแต่เมื่อตอนกลางวันล่ะมั้งที่คนข้างๆ นี้อยากระบายอะไรออกมา แต่ปัญหาคือผมไม่เคยมีแฟนนี่สิ ตอบยังไงดีวะ
"เอ่อ... ผมไม่เคยมีแฟนนะพี่ทาร์ต แต่ผมคิดว่ากับคนที่เคยรักแล้วเปลี่ยนเป็นเกลียดได้ เขาต้องทำเรื่องอะไรร้ายแรงไว้แน่ๆ"
ผมพูดไปตามที่คิดไว้ มันอาจจะเป็นกลางหรือไม่เป็นกลางก็ได้ ช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าอีกคนจะตัวสั่นขึ้นมาหน่อยๆ ล่ะ กำลังร้องไห้อยู่หรือเปล่านะพี่ชาย
"เจนนอกใจพี่น่ะ ก็คิดไว้ว่ากับคนนี้จะลองจริงจังดูสักครั้ง แล้วสุดท้ายก็... หึ"
โดยไม่คาดคิดว่าอยู่ๆ พี่ทาร์ตจะเล่าออกมาง่ายๆ ด้วยน้ำเสียงที่สั่นจนยากจะควบคุม เขาผละตัวออกแล้วใช้หลังมือเช็ดน้ำตาลวกๆ ผมอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะคนเจ้าชู้เมื่อคิดจะหยุดแล้วก็คือเขาต้องจริงจังกับคนนั้น... คงเจ็บปวดมากสินะ ควรปลอบยังไงดีล่ะ
"พี่ทาร์ต... กอดกันไหม เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น"
ผมซึ่งเป็นบุคคลที่ปลอบใครไม่เก่งที่สุดในสามโลกบอกกับพี่ทาร์ตไปแบบนั้นด้วยท่าทางอึกอัก เขามองกันนิ่งก่อนจะหลุดยิ้มออกมาแล้วดึงผมไปกอดเอาไว้แน่น แต่ก็พอจะหายใจออกล่ะนะ
"พูดปลอบไม่เป็นจนต้องเอาตัวเข้าแลกเลยเหรอน้องปูน"
พี่ทาร์ตว่าเสียงเย้าหยอกแล้วซบหน้าลงกับลาดไหล่ ปล่อยให้น้ำตาซึมผ่านเสื้อยืดสีขาวของผมไปเรื่อยๆ สถานการณ์แบบนี้ยังจะแกล้งคนอื่นอีก บ้าจริงๆ เลย
"พี่ทาร์ตหยุดพูดเล่นสักทีเหอะน่า"
ผมว่าเสียงดุๆ แต่ก็เอื้อมมือไปลูบแผ่นหลังของเขาเบาๆ พี่ทาร์ตส่งเสียงหัวเราะออกมาแล้วกระชับกอดกันมากขึ้น คนที่ดูร่าเริงตลอดเวลาอย่างเขามานั่งร้องไห้ซบบ่าคนอื่นนี่ดูไม่เข้ากันเอามากๆ เลยล่ะ
"อึดอัดไหมปูน"
อยู่ๆ เสียงแหบๆ ก็ถามขึ้น ผมไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอึดอัดในความหมายไหน แต่ก็ส่ายหัวแทนคำตอบไป ตอนนี้ไม่คิดอะไรแบบนั้นแล้วล่ะ แต่เห็นพี่เขาสามารถอ่อนแอต่อหน้าน้องชายคนนี้ได้ ก็รู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเราตลอดหลานปีที่ไม่เจอกันมันลดลงไปแล้ว
"ไม่หรอกพี่ทาร์ต ผมยังหายใจออกอยู่น่า สบายใจเมื่อไหร่ค่อยปล่อยก็ได้"
ผมพยายามตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทั้งที่ในใจกลับว้าวุ่น ไม่ชอบให้คนๆ นี้ร้องไห้ ไม่ชอบให้คนๆ นี้อ่อนแอเลย
"ถ้าพี่ไม่สบายใจทั้งคืน ปูนจะให้พี่นอนกอดไหมล่ะ"
ถามกันด้วยน้ำเสียงทะเล้นและยังไม่กลายอ้อมกอดออกจากกัน ผมได้แต่กรอกตามองบนเพราะเหนื่อยที่จะโวยวายให้เขาหยุดแกล้งกันสักที นี่ขนาดเจอกันแค่วันแรกยังโดนนับครั้งไม่ถ้วน ไม่อยากจะคิดถึงวันต่อๆ ไปเลย เฮ้อ แต่ก็ไม่ได้รำคาญอะไรหรอก ชีวิตมีสีสันดี... มั้ง
"แบบนั้นผมเสนอให้กอดหมอนข้างแทนนะพี่ อยู่ๆ จะให้ผู้ชายสองคนนอนกอดกันบนเตียงก็แปลกๆ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเนือยๆ กอดกันมันก็ได้อยู่หรอก แต่ถ้าให้นอนกอดกันมันจะดูเกินไปหรือเปล่า ที่สำคัญคืออึดอัดเว้ย ผมชอบนอนหงายให้ผ้าห่มทับตัวแค่นั้นล่ะ
"หมอนข้างมันไม่อุ่นนะ"
ยัง... ยังไม่จบ
"เลิกแกล้งแล้วปล่อยผมเลย จะนอนแล้ว"
ผมผลักเขาออกแล้วทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้เขาทั้งๆ ที่ตัวเอียงเกลียดการนอนตะแคงเพราะหายใจลำบาก ตอนแรกก็ว่าจะมองข้ามเรื่องโดนแกล้งไปเพราะเห็นอีกคนดราม่า แต่เอาไปเอามาทนไม่ได้ว่ะ
"โอเคๆ อย่างอนดิ"
พี่ทาร์ตยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจปะทะเข้ากับข้างแก้ม ผมต้องใช้มือดันไหล่เขาออกไปห่างๆ แล้วถลึงตาใส่ด้วยความหงุดหงิด พูดดีๆ ไม่ต้องเข้ามาประชิดจะได้ไหม มันขนลุกเนี่ย ตอนเด็กๆ อาจจะเคยสกินชิพกันบ่อยๆ แต่โตมาแล้วมันแปลกๆ นี่หว่า
"ไม่ได้งอนเว้ย ไม่ใช่ผู้หญิง"
ผมโวยเสียงไม่ดังนักกลับไปแล้วกระตุกผ้าห่มขึ้นคลุมหัวจนหมด หนังสือการ์ตูนก็ไม่ได้อ่านยังจะโดนกวนอีก มันน่าไล่ออกไปจากห้องจริงๆ ไหมล่ะ ไม่อย่างนั้นก็ไล่กลับบ้านไปนอนที่สนามหญ้า
"ถ้าปูนเป็นผู้หญิงพี่คงจีบไปแล้วล่ะ... น่ารัก"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอามือมาสะกิดแขนกันเล่น ผมทำท่าฟึดฟัดแล้วดึงผ้าห่มลงมาแยกเขี้ยวใส่คนขี้แกล้ง ไม่ไหวแล้วนะ จีบบ้าจีบบออะไร ถึงผมจะเป็นผู้หญิงก็ไม่ยอมคบกับมันหรอก เจ้าชู้เป็นปลาไหลขนาดนี้ ใครจะเอาอยู่ล่ะ ถ้ายังไม่เลิกเล่นแผลงๆ ผมจะถีบเขาลงจากเตียงจริงๆ ด้วย
"ไอ้พี่ทาร์ต อยากจะลงไปนอนข้างล่างใช่ไหม"
ผมว่าเสียงดุแล้วลุกขึ้นนั่งจ้องหน้าเขาอย่างจริงจัง พี่ทาร์ตรีบถอยห่างด้วยหน้าตาตื่นๆ แล้วยกมือขึ้นยอมแพ้กัน
"โอ้ นอนที่นี่ล่ะครับ ไม่แกล้งแล้วๆ พี่แค่ไม่อยากคิดถึงเรื่องเจนอีก ถ้าทำให้ปูนไม่พอใจก็ขอโทษด้วยนะ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ มองกันด้วยสายตาอ่อนล้า ผมอึกอักไม่กล้าแสดงอาการโมโหใดๆ อีกต่อไป ถ้าหยุดคิดสักนิดเรื่องราวอาจจะไม่ดำเนินมาถึงตอนนี้ก็ได้ โอย... ผมอยากเอาหัวโขกเตียงให้ตาย คนอกหักโคตรเข้าใจยาก
"ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้จะพาไปซื้อมือถือใหม่เนอะ เดี๋ยวเลี้ยงอาหารเกาหลีฉลองที่พี่ทาร์ตกลับไทยด้วย โอเคปะ"
ผมโบกมือไปมาเป็นสัญญาณว่าไม่ติดใจเอาความแถมด้วยความใจป๋าจะควักกระปุกตัวเองเลี้ยงข้าวพี่ทาร์ตไปอีก เอาเถอะ พี่ชายกลับบ้านทั้งทียอมเข้าเนื้อหน่อยจะเป็นไรไป
"โอเค ขอบคุณครับ แต่... ทำไมต้องอาหารเกาหลีวะ"
พี่ทาร์ตขมวดคิ้วมองกันด้วยความสงสัย ผมไหวไหล่แล้วเดินไปปิดไฟก่อนจะกลับขึ้นเตียงล้มตัวลงนอนและตอบคำถามอีกคนในความมืด
"ก็ผมชอบอะ"
ประโยคสั้นๆ จบทุกการซักถาม พี่ทาร์ตหัวเราะเบาๆ แล้วเอื้อมมือสะเปะสะปะมาขยี้หัวกันก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์สำหรับค่ำคืนนี้
"ฝันดีนะ"
"ครับ ฝันดี"
แปลกๆ ว่ะ มีคนมาบอกฝันดีก่อนนอน แต่ก็รู้สึกดีล่ะนะ
แสงแดดยามเช้าลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านสีครีมเข้ามาทำให้ทั้งห้องเกิดแสงสลัว เสียงนกร้องยามเช้าไพเราะแต่มันรบกวนการนอนชะมัด ผมรู้สึกตัวเพราะอึดอัดช่วงหน้าท้อง พอลองขยับตัวกลับพบว่ามีอะไรหนักๆ พากทับอยู่ ตอนนี้ถึงจะเป็นผีอำก็ไม่กลัวหรอก คนมันง่วงนี่ สติไม่ค่อยมีหรอก
ผมปรือตาขึ้นอย่างยากลำบากเพื่อมองดูสิ่งที่พาดทับหน้าท้องกันอยู่ แต่สายตากลับชะงักก่อนเพราะรู้สึกว่าตรงซอกคอมีลมอุ่นๆ เป่ารดอยู่... คงไม่ต้องลำบากหาต้นตอแล้วล่ะ พี่ทาร์ตนอนกอดกันไม่ผิดแน่ๆ เมื่อคืนบอกแล้วว่าให้เอาหมอนข้างไปก็ไม่ยอม เป็นไงล่ะ... เฮ้อ
"พี่ทาร์ต..."
ผมเรียกเสียงยานพร้อมกับตีมือลงบนแขนเจ้าปัญหาหลายๆ ครั้งเป็นการปลุก แต่พี่ทาร์ตไม่หือไม่อือเลยสักนิดเดียว สงสัยจะหลับลีก แต่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างคงอึดอัดตายแน่ๆ ปวดฉี่ด้วย งงตัวเองเหมือนกันว่านอนมาได้ยังไงตลอดคืน ทั้งๆ ที่ไม่ชอบให้ใครกอดถ้าไม่เต็มใจ
ผมตัดสินใจยกแขนแกร่งออกจากลำตัวแล้วก้าวลงจากเตียงก่อนจะเดินสะลึมสะลือเข้าไปฉี่ในห้องน้ำ เห็นสภาพตัวเองในกระจกบานใหญ่ถึงกับต้องเบือนหน้าหนี สารรูปดูไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว หัวยุ่งเหยิง หน้ามัน ตาบวม ช่างแม่ง กลับไปนอนดีกว่า
ในขณะที่กำลังก้าวขากลับเตียงก็ต้องสะดุดกึกเมื่อสายตาปะทะเข้ากับสภาพของพี่ทาร์ตที่นอนอยู่บนเตียง ขนาดนอนอ้าปากยังดูดี แต่ที่สำคัญคือเขาร้องไห้จนผมต้องนั่งยองๆ แล้วถือวิสาสะใช้มือปาดคราบน้ำตาออก คงจะฝันเรื่องไม่ดีอยู่ล่ะมั้ง ควรทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดี เรื่องเรียนน่ะเก่ง แต่เรื่องแก้ปัญหาหัวใจกลับติดลบ
ผมนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน เวลาล้วงเลยไปนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจระบุได้ รู้แค่เพียงว่าห้องทั้งห้องสว่างโล่เพราะแสงอาทิตย์ที่ขึ้นเต็มดวง และนั่นส่งผลให้มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของพี่ทาร์ตได้อย่างเต็มที่ จมูกโด่งเป็นสันจนน่าอิจฉา อยากลองจับดึงดูสักครั้งด้วยความหมั่นไส้ ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคนบนเตียงขยับตัวพลิกไปนอนหงาย แขนแกร่งควานหาอะไรบางอย่าง
ผมนั่งมองการกระทำของพี่ทาร์ตอยู่สักพักแล้วกลั้นขำไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังหาคืออะไร ไม่นานนักอีกคนก็ดีดตัวขึ้นนั่งจนผมผงะถอยหลังด้วยความตกใจ ทำอะไรของเขาเนี่ย ละเมอเหรอ
"ปูนอยู่ไหน..."
เขาเอ่ยถามด้วยเสียงงัวเงียแล้วปรือตาขึ้นช้าๆ ผมที่นั่งอึ้งอยู่ถึงกับเผลอเม้มปากแน่นเพราะไม่รู้ว่าจะถามหากันทำไม ดูพี่ทาร์ตจะเริ่มไม่สบอารมณ์แล้วด้วย ควรบอกไหมว่าผมนั่งอยู่ข้างเตียงเนี่ย...
"เอ่อ..."
กำลังจะร้องบอกว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้แต่พี่ทาร์ตหันมาเจอกันซะก่อนเลยได้แต่อ้าปากค้างแบบนั้นเพราะโดยสายตาดุๆ มองมา ไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่าวะ ไม่เห็นรู้ตัวเลย
"หายไปไหนมาครับ ทำไมไปนั่งอยู่ตรงนั้น"
ถามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ ก่อนจะคลานลงจากเตียงมาหากันแล้วทิ้งตัวลงนอนบนตักของผมอย่างหน้าตาเฉย จะขยับตัวหนีก็กลัวหัวพี่ทาร์ตโขกกับพื้นเลยได้แต่นั่งนิ่งๆ ให้ทำอะไรตามใจ
"ไปเข้าห้องน้ำ กลับมาพี่ก็นอนแผ่เต็มเตียงแล้วไง"
ผมตอบเสียงเบาเพราะกำลังโกหกอยู่ ที่จริงเตียงเหลือที่ว่างเยอะแยะแต่เลือกที่จะนั่งมองเขาเอง เพราะไม่ได้เจอกันนานเลยอยากทบทวนความหลังนิดหน่อย แอบเสียดายเหมือนกันที่ความสนิทของเราลดลง ทำให้ตอนนี้ไม่กล้าถามด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่ฝันอะไรอยู่หรือเปล่าถึงได้ร้องไห้
"อ๋อ... อืม เมื่อคืนนอนไม่หลับว่ะ แต่พอได้กอดปูนแล้วหลับสบายดี"
พี่เขาพูดแล้วคลี่ยิ้มบางๆ มาให้กัน ผมเบิกตากว้างพร้อมกับที่จังหวะหัวใจเริ่มเต้นถี่ขึ้น ในตอนแรกก็คิดว่าเขาละเมอ ที่ไหนได้จงใจกอดเหรอวะ ควรจะโกรธใส่ดีไหม ก็บอกแล้วว่าทำแบบนั้นมันแปลกๆ แล้วดูตอนนี้สิ นอนตักเหมือนเป็นแฟนกันเลย
"พี่ทาร์ต... บอกแล้วไงวะว่ามันแปลกๆ แล้วนี่มานอนตักกันอีก ขนลุกนะเว้ย"
ผมโวยเสียงไม่ดังมากนักแล้วก้มลงแยกเขี้ยวใส่คนที่ช้อนสายตามองกันแบบไม่สะทกสะท้านแถมยังใช้มือหนาดึงแก้มผมจนต้องปัดทิ้งก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะอารมณ์ดีของคนขี้แกล้งกลับมา
"น่าๆ จะเครียดไปทำไมล่ะ ชิลล์ๆ พี่น้องกัน ทำแค่นี้เรื่องปกติ"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วหลับตาลงอีกครั้งหนึ่ง ผมได้แต่เบ้ปากใส่เขาเพราะไม่รู้จะทำยังไง นี่ล่ะมั้งที่เขาบอกกันว่าเด็กไทยหัวโบราณแถมยังคิดมากอีก จะพยายามคิดว่าไม่มีอะไรในก่อไผ่แล้วกัน... ความจริงก็เห็นชัดๆ ว่าต่างคนต่างชอบผู้หญิงนี่เนอะ เลิกเครียดดีกว่า
"ครับๆ แล้วนี่พี่ทาร์ตจะนอนต่ออีกหรือไง ผมจะไปอาบน้ำ เริ่มหิวแล้ว"
"ไปกินติ่มซำกันไหม พี่เลี้ยงเอง ตอบแทนที่ปลอบเมื่อคืน"
พี่ทาร์ตลุกขึ้นแล้วขยี้หัวตัวเองหลังพูดจบ ผมคลี่ยิ้มกว้างแล้วรีบพยักหน้ารับความหวังดีนั่นทันที ก็ไปกินติ่มซำแต่ละครั้งราคาแพงแถมได้น้อยอีก... มีคนเลี้ยงจะกอบโกยให้หนักๆ จนท้องแตกเลย
"งั้นไม่เกรงใจนะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแล้วลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจไปมาและด้วยความไม่ทันระวังตัวให้ดีเลยถูกพี่ทาร์ตกะตุกกางเกงนอนลง แต่ดีที่มือไวคว้าเอาไว้ได้ก่อนมันจะกองลงไปกับพื้น แม่ง เผลอไม่ได้เลย!
"เฮ้ย! เล่นอะไรของพี่เนี่ย"
ผมโวยเสียงดังแบบไม่เกรงใจใครแล้วรีบดึงกางเกงกลับไปที่เดิม ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันก็เถอะ ใครจะชอบแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นวะ พี่ทาร์ตก็เอาแต่หัวเราะจนตัวงอไปหมด ถ้าไม่ติดว่าอายุห่างกันหลายปีจะเตะให้ ชอบเล่นอะไรแผลงๆ อยู่เรื่อย
"ขาเนียนนะเนี่ย ถ้าได้ลูบสักครั้งคงติดใจ"
พี่ทาร์ตเลียปากตัวเองแล้วขยับเข้ามาใกล้ผมให้ผมถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความระแวง มือเรียวยังคงจับขอบกางเกงเอาไว้แน่น รู้นะว่าเขาแกล้ง แต่มันอดไม่ได้ที่จะหวั่นใจ ขาเนียนๆ อะไรที่เขาบอกมันเป็นความจริง เพราะผมเป็นคนที่มีจนน้อย น้อยจนมองแทบไม่เห็นเลยล่ะ
"พี่ทาร์ต! ไม่เล่นดิ เดี๋ยวไล่กลับบ้านเลยนี่"
ผมว่าเสียงดุแล้วขมวดคิ้วมองคนที่แสร้งทำหน้าหงอย คือไม่ได้เนียนอะไรเลย เห็นแล้วยิ่งเพิ่มความหมั่นไส้ให้ทวีคูณไปอีก
"ใจร้ายว่ะ จะให้พี่ไปนอนที่ไหน กุญแจบ้านก็ไม่มี"
พูดด้วยเสียงน้อยใจแล้วส่งสายตาตัดพ้อมาให้กัน ผมอยากจะลากคอไอ้ฟ่อนกลับมาใจจะขาด ก็ไหนบอกว่าแค่มีนัดทำงานที่โรงเรียนไง ทำไมไปๆ มาๆ ดันไปแข่งวิชาการได้ หลอกลวงว่ะ ชอบกันประสาอะไรของมันเนี่ย แถมยังไม่ให้กุญแจบ้านไว้ให้พี่ชายมันอีก
"เรื่องของพี่ดิ ทำไมชอบเต๊าะกันตลอด สนุกเหรอวะ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ กลัวคนอื่นจะเข้าใจผิดกับการกระทำของพวกเรา เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
"นิสัยคนเจ้าชู้มั้ง"
พี่ทาร์ตตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ ผมไม่ได้ถอยห่างไปไหนเพราะอยากรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อ ยอมรับว่าเกลียดประโยคเมื่อครู่สุดใจ แต่ผมเป็นแค่น้องชายคนหนึ่งจะไปบอกให้เลิกเจ้าชู้ก็ไม่ใช่ไง
"ไม่เลือกเพศหน่อยเหรอ"
ถามด้วยน้ำเสียงปลงๆ ก่อนจะปล่อยขอบกางเกงตัวเองแล้วยกมือขึ้นเกาหัวไปมาด้วยความไม่เข้าใจ พี่ทาร์ตเป็นคนเจ้าใจยากมาแต่ไหนแต่ไร ความคิดน่าจะซับซ้อน ถ้าผมเลือกเรียนหมอคงทำเรื่องขอผ่าสมองพี่เขาออกมาวิเคราะห์
"เลือกสิ แต่กับปูนเป็นข้อยกเว้น"
คำตอบของเขาทำให้ผมเบิกตากว้าง ไม่เข้าใจว่าอยู่ๆ ทำไมตัวเองถึงมีสิทธิพิเศษขึ้นมาได้ ถ้าคิดย้อนกลับไปก็ตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้วที่พี่ทาร์ตจะใส่ใจกันมากกว่าปกติ เอาใจกันมากกว่าปกติ ใกล้ชิดกันมากกว่าปกติ จนใครๆ ก็แซวว่าเขาหลงน้องผิดคน ส่วนไอ้ฟ่อนแทบจะเป็นอากาศธาตุ
"ทำไม ผมเหมือนผู้หญิงเหรอไง ไม่แมนงี้เหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังเพราะไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ส่วนสูงก็ต่างจากพี่ทาร์ตแค่นิดหน่อย ขนาดตัวก็ใช่ว่าจะเล็กอะไร มาตรฐานชายไทยทั่วไป ไม่ผอมไม่อ้วน หน้าตาไม่ได้ติดสวยหรือหวาน แล้วทำไมชอบแกล้งกันนักนะ
"เปล่าๆ แมนครับ แต่... จะบอกไงดีวะ ปูนน่าแกล้งอะ พี่รู้แค่นี้ล่ะ ไปอาบน้ำเถอะ หิวแล้ว"
พี่ทาร์ตตอบแล้วโบกมือไล่กันซะอย่างนั้น พอเห็นผมที่ไม่นอมเคลื่อนไปไหนก็เดอนมาดันหลังกันเข้าห้องน้ำแถมยังหยิบผ้าขนหนูพาดบ่าให้เรียบร้อยอีก... ช่างแม่งเถอะ อยากแกล้งก็แกล้งไปถ้าเขาสบายใจผมก็โอเคล่ะวะ เมื่อไหร่เกินเลยกว่านี้ค่อยว่ากัน
ผมลงมาจากชั้นบนของบ้านพร้อมกับพี่ทาร์ตด้วยชุดสบายๆ เสื้อยืดกางเกงยีนส์ ชั้นล่างเงียบสงบปราศจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแม่ แต่พอจะเปิดประตูบ้านออกไปก็เจอกับกระดาษโน้ตใบโตที่ระบุว่าคุณนายไปเที่ยวกับเพื่อนๆ และให้ลูกสุดที่รักกับพี่ชายข้างบ้านหาข้าวเช้า เที่ยง เย็นกินเอาเอง... ก็นะ เป็นแบบนี้ประจำล่ะ
"โดนทิ้งแบบนี้บ่อยไหมปูน"
พี่ทาร์ตถามขึ้นในขณะที่ผมล็อกประตูบ้าน เขายืนพิงกำแพงด้วยท่าทางสบายๆ แต่ดูเท่จนน่าหมั่นไส้
"ก็... ประจำนั่นล่ะ ทุกวันอาทิตย์แม่จะออกไปสังสรรค์กับเพื่อน"
ผมตอบแล้วเดินผ่านพี่ทาร์ตไปยังลานจอดรถข้างบ้าน มินิฯ สีขาวสะอาดจอดนิ่งสนิทอยู่ข้างบีเอ็มฯ รุ่นใหม่ล่าสุด อยากจะอวดว่าเอารถไปเข้าคาร์แคร์มาเรียบร้อยแล้วนะ ไม่ใช่ความสมัครใจของผมหรอกแต่เพราะโดยพี่ชายตัวดีบังคับ... แค่เลอะโคลนนิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นรังเกียจ เหอะ
"แล้วปิดเทอมแบบนี้ไม่มีแพลนไปเที่ยวบ้างเหรอ"
พี่ทาร์ตถามต่อในขณะที่สอดตัวเข้ามานั่งในรถ ผมเหลือบมองเข้าเล็กน้อยก่อนจะเข้าเกียร์ถอยหลัง ดีหน่อยที่วันนี้ลุงคนสวนมาทำงานเลยไม่ต้องเสียเวลาลงไปเปิดประตูรั้วเอง
"ขี้เกียจขับรถ ขี้เกียจเดินทาง นอนอืดอยู่บ้านดีกว่า"
ผมตอบลวกๆ แล้วตั้งหน้าตั้งตาขับรถออกจากบ้าน ถนนยามเช้าในวันอาทิตย์คือสวรรค์ชัดๆ เพราะมันโล่จนสามารถเหยียบคันเร่งหนักๆ ได้เลย
"นี่คนหรือหมูวะ"
พี่ทาร์ตถามเสียงกลั้วหัวเราะจนผมต้องหันไปถลึงตาใส่ คนบ้าอะไรกวนประสาทได้ทุกเวลาจริงๆ อยากจะถีบให้ตกรถก็กลัวแม่จะด่าจนหูชา
"คนดิคน เห็นผมมีหางหรือไง หุ่นออกจะดีเนี่ย"
ผมพูดด้วยเสียงเซ็งๆ ก่อนจะบุ้ยปากเพราะไม่สบอารมณ์ตั้งแต่เช้า พี่ทาร์ตใช้ตาคมมองสำรวจกันตั้งแต่หัวจรดเท้า จะสำรวจอะไรนักหนา ไม่มีสมาธิขับรถไม่รู้หรือไง
"ไหน เปิดเสื้อให้พี่ดูหน่อยดิ มีพุงหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตทำเสียงเจ้าเล่ห์แล้วจ้องมองท้องของผมด้วยสายตาสนุกสนาน ผมเหลือบมองแล้วจิ๊ปากอย่างขัดใจ จะบ้าหรือไงอยู่ๆ จะให้ถลกเสื้อเนี่ยนะ หาเรื่องแกล้งกันไม่จบไม่สิ้นจริงๆ
"ไอ้พี่ทาร์ต เดี๋ยวผมจะจอดแล้วให้พี่โบกรถสองแถวไปเองเลยนะ"
ผมว่าเสียงดุๆ แล้วย่นคิ้วอยู่แบบนั้น ไม่เข้าใจว่าไอ้คนที่เพิ่งอกหักมานี่คึกอะไรขนาดนั้น ต้องแกล้งกันมาแค่ไหนถึงจะลืมแฟนเก่าไปได้วะ
"อ้าว... พี่แค่อยากพิสูจน์นี่หว่า ผิดตรงไหนเนี่ย"
ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกวนตีนหน่อยๆ แถมยังทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ใส่กันอีก จะไปด่าอะไรมากก็ไม่ได้เพราะพี่มันแก่กว่าหลายปี ผมต้องข่มใจแล้วท่องยุบหนอพองหนอ
"นั่งเงียบๆ ไปเลยก่อนที่ผมจะโมโห"
หลังจากคำพูดนั้นพี่ทาร์ตก็ยอมแพ้แล้วนั่งเงียบไปตลอดทางอย่างที่ผมบอกจริงๆ มีเหลือบสายตามามองกันบ้างแต่ผมเลือกที่จะไม่สนใจอะไร แต่จังหวะที่รถกำลังผ่านโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัยและโรงเรียนสตรีภูเก็ตเขาก็พูดขึ้น
"ตอนมัธยมพี่น่าจะเลือกเรียนที่นี่เนอะ สาวๆ เยอะดี"
พี่ทาร์ตชี้ไปที่โรงเรียนสตรีภูเก็ตที่อยู่ฝั่งซ้ายมือของเรา ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงแล้วเผลอเบ้ปากใส่ ความคิดของคนเจ้าชู้ก็มีแค่นั้นล่ะ คอยแต่จะมองสาวๆ อย่างเดียวมันใช้ได้ที่ไหน ถ้าพูดถึงโรงเรียนนี้จะได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนหญิงล้วนประจำจังหวัด แต่เมื่อหลายปีก่อนเริ่มรับนักเรียนชายเข้าไปศึกษาด้วย แต่มีจำนวนไม่มากคล้ายๆ ชนกลุ่มน้อยประมาณนั้น... เช่นเดียวกับโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัยที่เป็นโรงเรียนชายล้วนประจำจังหวัดและรับนักเรียนหญิงในจำนวนที่น้อยเหมือนกัน
"ความคิดของคนเจ้าชู้สินะ"
ผมพึมพำเบาๆ ไม่คิดเลยว่าพี่ทาร์ตจะได้ยิน พลาดที่สุดในชีวิตเลยว่ะ
"รู้ทันพี่อีกแล้วว่ะ แบบนี้รู้ใจด้วยหรือเปล่าน้อ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยเสียงหยอกล้อแถมยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจระอยู่ที่แก้ม ผมเผลอขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหนีระยะนั้นให้ไกล หัวชอบเต้นผิดจังหวะอยู่เรื่อยเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรบ้าบิ่น
"เกรงใจหน่อย นี่น้องพี่นะเว้ย เต๊าะอยู่ได้"
พยายามข่มอารมณ์สุดชีวิตแล้วหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายตรงหน้าเรือนจำจังหวัด อยากฆ่าพี่ทาร์ตว่ะ บอกให้เลิกแกล้งก็ไม่เลิก ผมควรจะปลงจริงๆ ใช่ไหม
"เต๊าะน้องตัวเองปลอดภัยที่สุดแล้ว ไม่มีหวั่นไหว ไม่มีเรื่องให้ตามแก้จนปวดหัว แถมยังเป็นผู้ชายด้วยกันอีก ชิลล์ๆ น่า"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยื่นมือมาตบบ่ากันเหมือนกำลังปลอบใจ ซึ่งอย่างที่เขาพูดมันก็จริงนั่นล่ะ เต๊าะน้องชายตัวเองเพื่อคลายเครียดมันปลอดภัยที่สุดแล้ว แถมยังเป็นผู้ชายด้วยกัน ไอ้เรื่องหวั่นไหวคงเป็นไปได้ยาก... แต่เรื่องหัวใจใครจะไปคาดเดาล่วงหน้าได้ล่ะ ความรู้สึกของคนผันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาน่ะสิ
"เออๆ ไม่เถียงกับพี่แล้ว เสียพลังงานเปล่าๆ"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงปลงๆ ก่อนจะจอดรถเมื่อถึงที่หมาย ‘ร้านซุปเปอร์ติ่มซำ’ ตั้งอยู่ที่บริเวณใกล้ๆ บขส.เก่า ขายาวๆ รีบก้าวอย่างรวดเร็วเพื่อตรงไปสั่งอาหารโดยมีพี่ทาร์ตตามมาอยู่ไม่ห่าง กลิ่นหอมของติ่มซำนึ่งสดทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเริ่มทำงาน จากที่ทนหิวได้ ตอนนี้แทบจะเขมือบทุกอย่างที่ขวางหน้า
ต่อด้านล่างนะ