♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว  (อ่าน 38333 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“อื้อ เขาเป็นเพื่อนเหรอ”
ผมถามต่อด้วยความอยากรู้แล้วทำเป็นไม่สนใจที่จะเอาคำตอบโดยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดนั่นกดนี่ไปเรื่อยทั้งๆ ที่ในใจนั้นกำลังเรียกร้องสิ่งที่อยากรู้ ถ้าเป็นแค่เพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนก็คงไม่น่ามีปัญหาอะไรมากมาย ถ้าเกิดเป็นแฟนเก่าอาจจะมีการคุของถ่านไฟเก่าก็ได้ อะไรในโลกนี้ล้วนไม่แน่นอนอยู่แล้ว

“เปล่าหรอก เลขาฯ น่ะ”
พี่ทาร์ตตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแบบคนไม่ได้คิดอะไร แต่ผมกลับสะดุดกับคำว่าเลขาฯ เขาต้องทำงานใกล้ชิดกันอย่างนั้นเหรอ แล้วถ้าวันหนึ่งเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมาล่ะ...

“อ่า...”

“แต่ปูนไม่ต้องคิดมากนะ พี่ไม่ได้อะไรกับเขาหรอก สวยก็จริง แต่ก็ไม่ได้สนใจ”
เหมือนพี่ทาร์ตจะมองออกว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่เขาเลยบอกประโยคนั้นให้ผมสบายใจ ตอนนี้เชื่อเขานะ แต่ไม่สามารถเชื่อได้ว่าพี่นุ่นจะรามือไปหรือเปล่า ถ้าหากเธอคิดว่าคนๆ นี้เป็นเกย์ไปแล้วจริงๆ ก็คงปลอดภัยดีล่ะมั้ง

“อื้อ... ครับ”

หนังสนุกแต่ผมแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยเมื่อยังคิดเรื่องของพี่นุ่นวนเวียนอยู่ในหัวสมองไม่หยุด ทั้งๆ ที่พยายามไม่สนใจหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ทำไม่ได้เมื่อสายตาของเธอตอกย้ำว่าเสียดายพี่ทาร์ตมากแค่ไหน เกลียดตัวเองที่กลายเป็นคนขี้ระแวงเพราะมีความรักขนาดนี้

“ปูน เหม่ออีกแล้วนะ คิดมากเรื่องนุ่นหรือไง”
พี่ทาร์ตถามขึ้นในขณะที่เรากำลังเดินไปที่รถเพื่อจะกลับบ้านไปทำอาหารเย็นด้วยกัน เมนูคือพวกบาร์บีคิวทั้งหลายเพราะวันนี้ไตรมาตรนี้พี่อินสามารถทำยอดที่ร้านเหล้าได้ทะลุเป้ามากกว่าครั้งไหนๆ

“ก็... มันอดคิดไม่ได้นี่ครับ พี่นุ่นเขาทำงานใกล้ชิดกับพี่มากเลยนะ”
ผมว่าเสียงอ่อยแล้วเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองพื้นซีเมนต์ตรงหน้า พี่ทาร์ตถึงกับต้องดึงตัวผมเพื่อให้หลบต้นเสาตรงหน้า เกือบเจ็บตัวไปแล้วไหมล่ะมานอยด์อะไรไม่เข้าเรื่องตอนนี้

“ไม่ไว้ใจพี่เหรอ”
เขาถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคงมากนัก ผมถึงกับต้องเยหน้าขึ้นมาเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดวงตาคมฉายแววเศร้าออกมาอย่างชัดเจนและมันบ่งบอกให้รู้ว่าเขากำลังเสียใจที่โดนระแวง... อยากขอโทษสักร้อยครั้ง แต่ในสมองก็ยังคิดมากอยู่ดี กลัวอีกแล้ว เมื่อไหร่จะเลิกเป็นคนแบบนี้ได้สักทีวะกู

“เปล่าครับ แค่กลัวว่าพี่นุ่นจะทำอะไรขึ้นมา”
ผมรีบแก้ตัวทันทีเพราะไม่อยากให้พี่ทาร์ตทำหน้าเศร้าไปมากกว่านี้ ทั้งๆ ที่เขาหวังจะมีความสุขเวลาที่เราอยู่ด้วยกันสองคนแท้ๆ ทำไมต้องมีเรื่องดราม่าด้วยวะ

“เขาจะมาทำอะไรพี่ได้ครับปูน ป๊าจะย้ายเธอไปอยู่สาขาต่างจังหวัดแล้วล่ะ”

“ทำไมล่ะ...”
ผมถามต่อแทบจะทันทีเมื่อได้ยินคำว่าย้ายจากปากของพี่ทาร์ต ความรู้สึกในตอนนี้กำลังดีใจที่เธอจะออกห่างจากเขาสักที

“ไม่รู้สิ พี่ไม่ได้สนใจหรอก”
คำตอบของพี่ทาร์ตชัดเจนจนทำให้ผมต้องเม้มปากเพื่อกลั้นยิ้ม นี่ถึงขนาดไม่รู้เลยเหรอว่าเลขาฯ ส่วนตัวโดนย้ายไปทำงานที่อื่นเพราะสาเหตุอะไร

“อ่า... ครับ”

หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยจนถึงบ้าน ในระหว่างที่พี่ทาร์ตกำลังเตรียมของเพื่อทำบาร์บีคิวผมก็คิดอะไรบางอย่างออก แล้วถามเรื่องที่ค้างคาใจจากคำพูดของไอ้กู๊ดก่อนหน้านี้

“พี่ทาร์ตครับ... ผมขอถามอะไรสักอย่างได้ไหม”

“ถามมาสิ อยากรู้อะไรล่ะ”

“ปกติที่พี่มีแฟน... คบกันนานแค่ไหนถึงจะมีเซ็กซ์กันเหรอครับ”
ท้ายประโยคผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงเบาราวกระซิบ อยู่ๆ มันก็กระดากปากขึ้นมาซะเฉยๆ แต่ดูท่าทางพี่ทาร์ตจะตกใจพอดูถึงขนาดทำหัวหอมใหญ่ในมือกลิ้งลงบนพื้น

“ห๊ะ ทำไมอยู่ๆ ก็ถามเรื่องแบบนี้วะ”
พี่ทาร์ตถามกลับด้วยน้ำเสียงประหลาดใจแล้วก้มเก็บหัวหอมใหญ่ที่กลิ้งอยู่บนพื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมจับจ้องและฉายแววคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ ผมรีบเบนหน้าหนีแล้วแสร้งทิ้งตัวนั่งลงด้วยท่วงท่าที่ทำให้ดูเหมือนสบายๆ ไม่ได้เคร่งเครียด

“ก็แค่อยากรู้เฉยๆ ตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ทั้งๆ ที่พยายามควบคุมแทบตายไม่ให้มันสั่น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้คงไม่หลุดปากถามอะไรแบบนี้ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวและเป็นอดีต ใครๆ คงไม่อยากให้รื้อฟื้น ตัวผมเองก็เหมือนกัน บางทีคำตอบของเขาอาจจะทำให้เจ็บก็ได้

“ตอบได้ดิ อย่าเพิ่งนอยด์ แต่พี่กลัวว่าปูนจะเอาไปคิดมากต่างหาก”

“จะคิดมากเพื่ออะไรเล่า”

“โอเคๆ ก็คบกันประมาณสองสามเดือนนี่ล่ะ”
พี่ทาร์ตตอบแล้วลอบมองปฏิกิริยาของผมอยู่เงียบๆ ซึ่งนั่นทำให้ผมไม่สามารถแสดงอาการอะไรออกไปได้นอกจากพยักหน้ากลบเกลื่อนความตกใจ

“เหรอครับ...”

“แล้วนี่เราอยากรู้ไปทำไม”

“ก็ถามเฉยๆ หรอกน่า ไม่มีอะไรครับ”

“ครับๆ”

หลังจากนั้นพี่ทาร์ตก็ลงมือเตรียมอาหารต่อและผมก็ช่วยหยิบเนื้อและผักที่หั่นเรียบร้อยแล้วเสียบไม้จนหมดแล้วยกออกไปด้านนอกเพื่อทำการย่าง อีกประมาณสิบนาที่พี่อินกับไอ้ฟ่อนจะตรงมาที่นี่หลังจากที่ไปเที่ยวทะเลกันมาอย่างหนำใจ น่าอิจฉาเนอะ แต่ก็ไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอของคู่นั้น ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ชวนแล้วล่ะแต่พวกเราปฏิเสธเอง

“เอ่อ พี่ทาร์ต แล้วช่วงนี้พี่แบบว่า... มีอารมณ์อะไรอย่างว่าหรือเปล่าอะ”
ผมยังไม่เลิกสงสัยจนต้องออกปากถามพี่ทาร์ตอีกรอบ และมันเป็นประเด็นใหญ่พอตัวเลยล่ะ นี่สิถึงจะเป็นเรื่องคาใจที่แท้จริง ไอ้ฉิบหายเอ้ย ต้องโทษไอ้กู๊ดคนเดียวเลยที่ทำให้ผมกล้าถามอะไรแบบนี้ออกไป

“หือ... มันก็มีบ้างล่ะ อยู่ใกล้ปูนทีไรก็หื่นทุกที”
ไอ้พี่ทาร์ตก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่มเหมือนกำลังเดาใจผมออกว่ากำลังระแวงอะไรอยู่ ถ้าไม่ใช่คนโง่เง่าก็คงจับทางได้ไม่ยาก แถมเขาไม่มีทีท่าว่าจะตกใจเหมือนครั้งที่แล้วเลยสักนิด สรุปว่าผมพลาดสินะที่ถาม...

“ห๊ะ... บ้า ผมเป็นผู้ชายนะ”
เป็นผมเองล่ะที่เผลอร้องออกไปอย่างตกใจ ใครจะไปคิดว่าพี่ทาร์ตจะมีอารมร์แบบนั้นแทบตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน แก้มมันก้พาลจะร้อนๆ ขึ้นมายังไงก็ไม่รู้ แย่แล้ว...

“แต่ปูนก็เป็นแฟนพี่ไม่ใช่หรือยังไง มีอารมณ์กับแฟนไม่เห็นจะแปลก”
พี่ทาร์ตขยับเข้ามาใกล้จนผมต้องถอยหลังหนีออกไปหลายก้าว ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ปล่อยจานบาร์บีคิวให้ร่วงลงกับพื้นเพราะตกใจ แต่มันก็จริงของเขานะที่จะรู้สึกแบบนั้นเวลาอยู่กับแฟน ไม่ปฏิเสธหรอกว่าเคยเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

“โอเคๆ เข้าใจแล้ว... พี่ จัดการมันยังไงอะ”
ปลายประโยคแทบจะกลายเป็นการพ่นลมออกมา แต่โชคดีหรือร้ายก็ไม่รู้ที่ห้องครัวเงียบจนได้ยินเสียงพูดนั่นอย่างชัดเจน นี่กูหน้าด้านกล้าถามเรื่องอะไรแบบนี้ออกไปได้ยังไงวะ โอย

“มือไงครับ”
เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่ผู้ชายทุกคนเคยปฏิบัติมาก่อน แต่ผมกลับนั่งหน้าร้อน เพราะไม่คิดว่าเขาจะพูดตรงไปตรงมาขนาดนี้

“อ๋อ...”

“ปูนคิดว่าพี่ไประบายออกกับคนอื่นหรือยังไง”
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงดุๆ แล้วใช้สายตาคมจ้องกันจนผมสะดุ้งแล้วรีบละล่ำละลักบอกเขาว่าไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น ทั้งๆ ที่คิดไว้ตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว

“เปล่านะ เปล่า ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลย”
ผมรีบปฏิเสธเป็นพัลวันพร้อมกับโบกมือเป็นการยืนยันว่าไม่ได้คิดอะไรจริงๆ หวังว่าตัวเองจะโกหกได้แนบเนียนนะคราวนี้

“หึหึ ครับๆ ไม่คิดก็ไม่คิด”
แล้วต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่มีใครปริปากอะไรกันอีกเลยเพราะพี่อินกับไอ้ฟ่อนมาถึงแล้ว

ผมคิดว่าคืนนี้อาจจะต้องเข้ากูเกิ้ลแล้วศึกษาประสบการณ์เสียตัวครั้งแรกของผู้ชาย...




----------------------------------------

ปูนควรจะคิดดีๆ ก่อนตัดสินใจทำอะไรนะลูกนะ... 555555555

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ gookgik

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-6
ปูนคงอยากบอกว่าถ้าตัวเองเสียตัว  ต้องโทษไอ้กู๊ดที่บิ้วซะปูนคิดมาก กลัวพี่ทาร์ตเปลี่ยนใจ ว่าแต่ปูนไม่ต้องไปศึกษาทฤษฎีหรอก
รอปฏิบัติจริงกับพี่ทาร์ตเลยดีกว่า 

---------------------------
:L2: :pig4: เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ




ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 24

Red Velvet Lava Cake
: แป้งอเนกประสงค์/เบกกิ้งโซดา/ผงโกโก้/สีผสมอาหารสีแดง/น้ำตาล/น้ำมันพืช/นม/กลิ่นวนิลลา/น้ำส้มสายชู :





การหักโหมทำงานหนักมันทำให้สุขภาพร่างกายของคนเราถดถอยอาจจะถึงขั้นป่วยหนักเลยก็เป็นได้ แต่ทั้งๆ ที่รู้ว่าสักวันต้องเป็นแบบนั้นแต่คนบ้างานอย่างพี่ทาร์ตก็ยังไม่ยอมวางมือสักที แม้กระทั่งเวลาเข้านอนอย่างตอนนี้ ยังเอาแฟ้มเอกสารมาเปิดอ่าน ไปเป็นแฟนกับกระดาษเลยไหมล่ะ แม่ง สนใจผมที่นอนมองตาปริบๆ เหมือนลูกหมาโดนเจ้าของเมินบ้างเถอะน่า

พี่ทาร์ตเอาแต่นั่งอ่านเอกสารให้มือไม่หยุด บ้างก็ขมวดคิ้วบ้างก็เพ่งจนตาแทบถลน ดูๆ ไปคงมีอะไรให้เครียดน่าดู อาจจะเป็นพวกรายงานผลกำไรของโรงแรมซึ่งผมไม่เคยอยากเข้าไปยุ่งอะไรเกี่ยวกับตัวเลขพวกนี้เลย มันน่าปวดหัวจะตายไป 

ผมอยากจะเข้าไปอ้อนก็กลัวว่าเขาจะเสียสมาธิ เลยทำแค่นอนมองเฉยๆ เพราะไม่อยากเป็นเด็กงี่เง่างอแงจนใครๆ หนักใจ แต่ดูเหมือนว่าตัวเองจะเผลอจ้องมากไปหน่อยเลยทำให้พี่ทาร์ตรู้ตัว แฟ้มเอกสารถูกวางลงบนตักก่อนที่ดวงตาคมจะเบนมาทางนี้

"มีอะไรหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ แต่ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มที่มักมีให้กันเสมอ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะตัดสินใจคว้าแฟ้มเอกสารบนตักของเขาเอาไปวางที่โต๊ะหัวเตียงแล้วพาหัวทุยๆ ของตัวเองเข้าไปแทนที่

"อ่านเอกสารมาทั้งวันแล้ว จะไม่หยุดพักบ้างหรือไงครับ"
ผมถามก่อนจะช้อนตามองอีกคนด้วยความเป็นห่วง ถ้าสังเกตจะรู้ว่าพักหลังๆ มานี้ขอบตาเขามีรอยคล้ำจางๆ แถมหน้าตายังดูโทรมๆ คล้ายคนอดนอน พี่ทาร์ตเป็นพวกบ้างานมากจริงๆ

"เป็นห่วงพี่เหรอ"
เข้าก้มลงมาจนปลายจมูกของเราแตะกันเบาๆ ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ยืดตัวขึ้นไปจุมพิตริมฝีปากหยักแทนคำตอบ แฟนทั้งคนไม่ห่วงก็บ้าแล้ว

"ทำแบบนี้ยั่วกันหรือเปล่าครับ"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่มก่อนจะเริ่มใช่ปลายจมูกซุกไซร้ไปตามซอกคอ ผมดิ้นเล็กน้อยก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างดันอกเขาเอาไว้ สภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นแบบนั้นยังจะหื่นอีกคนเรา ถ้าขืนให้ทำอะไรขึ้นมาจริงๆ คนที่อารมณ์ค้างคงเป็นผมแบบไม่ต้องสงสัยเลยว่ะ

"ผมแค่จุ๊บแทนคำตอบ ไม่ได้ยั่วซะหน่อย หื่นตลอดเลยนะพี่ทาร์ต"
ผมว่าก่อนจะเอื้อมมือไปดีงแก้มด้วยความหมั่นไส้ อะไรๆ ก็ชอบคิดเข้าข้างตัวเองทั้งนั้นเลยว่ะ มีวันไหนบ้างที่เลิกหื่นได้... อยากจะบอกว่าเรื่องเสียตัวครั้งแรกอะไรนั่นกูเกิ้ลช่วยได้เยอะนะ บางคนบอกเจ็บโคตรๆ บางคนบอกเสียวโคตรๆ บางคนบอกเดินไม่ได้ไปสองสามวัน บางคนบอกมันส์จนหยุดไม่ได้... สรุปว่าควรจะเชื่อใครดีวะ ตัดสินใจรุกปล้ำพี่ทาร์ตซะเองคงจะดีกว่าหรือเปล่า

"เคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่าพี่หื่นทุกครั้งที่อยู่ใกล้ปูน"
เขายืนยันคำพูดด้วยการก้มลงมาประกบปากอย่างนุ่มนวล ค่อยๆ ขบเม้มเบาๆ ก่อนจะใช้ลิ้นร้อนละเลียดชิมอย่างเชื่องช้า มือหนาประคองใบหน้าเอาเหมือนกับกลัวว่าผมจะปฏิเสธหนี ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะใช่แต่ในตอนนี้พร้อมรับมือแล้ว... ถ้าให้พูดตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมคงพร้อมเสียตัว

"ถ้าพี่ขอทำมากกว่าจูบปูนจะให้ไหม"
น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยกระซิบข้างหูจนทำให้ขนลุกทั่วทั้งตัว ผมรู้สึกว่าภายในห้องอุณหภูมิร้อนขึ้นอย่างน่าประหลาด จำได้ลางๆ ว่าเปิดแอร์ไว้ที่ยี่สิบองศาเลยนะ... หรือมันจะเสีย

"จะ... ทำอะไรล่ะครับ"
แกล้งถามออกไปทั้งๆ ที่รู้ว่าเข้าหมายความว่าอะไร ผมในตอนนี้ไม่กล้าสบตากับเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวหัวใจจะวายตายซะก่อน นี่มันครั้งแรกของผม เซ็กซ์ครั้งแรกในชีวิต ผู้ชายคนแรกและคาดว่าจะเป็นคนสุดท้าย กำลังวอนขอกันอยู่ตรงหน้า ให้ตายเถอะ...

"เป็นของพี่ได้ไหม"
ไม่มีการอ้อมค้อมใดๆ อีกต่อไปแล้วเมื่อต่างคนต่างรู้สึกว่าบางที่อะไรๆ ก็สมควรแก่เวลาของมันแล้ว ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตาของเขาก่อนจะเม้มปากเข้าหากันแน่น ควรจะตอบว่าอะไรดีล่ะ เชิญเลยครับ ผมพร้อมแล้ว หรือว่า อืม คำเดียว... โว้ย ทำไมต้องยอมเสียตัวขนาดนี้ด้วยวะเนี่ย ผมคงต้องรุกแล้วสินะ ลุกขึ้นมารับน่ะ ฮือ

"อ่า... อื้อ"
สรุปผมก็หน้าบางเกินกว่าจะตอบตกลงแบบประโยคยาวๆ ใครจะหน้าด้านหน้าทนเชิญชวนให้คนอื่นปล้ำตัวเองได้ล่ะวะ ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยยั่วใครด้วยซ้ำ... แม่ง ถอนคำพูดทันไหม เห็นสายตาของพี่ทาร์ตแล้วผมคงไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอย่างน้อยสองวันแน่ๆ

"จะไม่เปลี่ยนใจทีหลังใช่ไหม"

"อือ... คิดมาดีแล้วน่า"
เกลียดคำถามที่สั่นคลอนความมั่นคงนั่นฉิบหาย จริงๆ ก็อยากเปลี่ยนใจอยู่หรอก แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เห็นแก่ความหื่นของเขาจะยอมให้ก็ได้

"หึ น่ารักจังครับ พี่สัญญาว่าจะเบามือที่สุด"
เขาก้มลงจูบหน้าผากเหมือนประทับรอยคำมั่นสัญญาให้ผมได้อุ่นใจ

"ครับ ผมเชื่อพี่ทาร์ตนะ"
ผมตอบรับด้วยรอยยิ้มหวานๆ ก่อนจะเบนสายตาหลบเมื่อมือหนาเริ่มลูบไล้ตามสะโพกมน ตอนนี้รู้สึกว่าหัวใจทำงานหนักมาก เต้นถี่จนแน่นหน้าอกไปหมด ร่างกายร้อนวูบคล้ายคนเป็นไข้ นี่น่ะเหรออาการที่เรียกว่ากำลังมีอารมณ์ร่วมกับคนที่รัก มันแตกต่างกับตอนนี้เป็นฝ่ายเพ้อเจ้อไปคนเดียวสุดๆ

ผมกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับการปรนเปรอของพี่ทาร์ต ซึ่งเขามีความชำนาญจากการผ่านศึกรบมานับครั้งไม่ถ้วนเลยทำให้ร่างกายที่ไม่เคยผ่านเรื่องอย่างว่าอ่อนยวบและโอนอ่อนตามได้โดยง่าย ริมฝีปากหยักไล่ดูดเม้มมอบความเสียวซ่านให้อย่างไม่หยุดหย่อน เสื้อผ้ากองกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณเหลือเพียงแค่อันเดอร์แวร์ตัวน้อยที่ทำหน้าที่ปกปิดส่วนสำคัญ ดีนะที่วันนี้ป๋ากับแม่ไปต่างจังหวัด ไม่อย่างนั้นคงจะได้ยินเสียงประหลาดๆ แน่ๆ

"อ๊ะ... พะ พี่ทาร์ต เจ็บ"
ผมร้องเสียงแผ่วเมื่อโดนเขาดูดดึงยอดอกอย่างแรง มันทั้งเสียวและเจ็บในคราวเดียวกัน พี่ทาร์ตผงกหัวขึ้นมองกันเล็กน้อยก่อนจะแลบลิ้นเปียกชื้นเลียเบาๆ คล้ายจะปลอบ ยิ่งทำแบบนั้นปลายเท้าของผมก็ยิ่งจิกเกร็งมากกว่าเดิม ใจจะขาดรอนๆ อยู่แล้ว อึก

ผ่านมารวบห้านาทีที่พี่ทาร์ตยังคงวนเวียนอยู่แถวๆ หน้าอกของผม ไม่รู้ว่าติดใจอะไรนักหนา แต่พอได้สังเกตดีๆ แล้วจะเห็นถึงความปกติ เขานิ่งไปเหมือนไม่ได้ขยับเขยื้อนอีก หรือว่า...

ผมลองเขย่าไหล่และลองขยุ้มเส้นผมมันเงานั่นดู แต่เขาไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ท่าทางคงเพลียจัดจนสามารถทิ้งสติสัมปชัญญะแล้วหลับได้!

ผมกำลังมีอารมณ์สุดๆ แต่เขาดันหลับ โอ้โห ค้างอยู่บนยอดมะพร้าวเลยไหมล่ะกู! ยอมรับว่าหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย แต่พอได้สัมผัสตัวพี่ทาร์ตแบบจริงจังกลับได้รู้ว่าทฤษฎีโหมงานหนักจะป่วยนั้นเป็นเรื่องจริง ในเมื่อเขาตัวร้อนอย่างกับไฟเดือดร้อนไอ้คนขี้ตกใจให้ต้องตาลีตาเหลือกลงจากเตียงไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัว

"ผมจะเอางานของพี่ไปซ่อนแล้วนะ แม่ง ป่วยจนได้"
ผมบ่นอุบแล้วเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เขาไปเรื่อยๆ เพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย ครั้นออกเสียงปลุกเท่าไหร่พี่ทาร์ตเพื่อให้ลุกขึ้นมากินยาแต่ก็ไม่ยอมขยับเลยทำได้แค่เพียงรอดูอาการแบบใกล้ชิด ถ้าไข้ไม่ลดคงต้องโทรเรียกไอ้ฟ่อนให้มาช่วยแบกพี่ชายไปโรงพยาบาล

ตลอดทั้งคืนผมครึ่งหลับครึ่งตื่นเพราะกังวลว่าคนข้างตัวจะอาการหนักขึ้นหรือเปล่า เช้ามาเลยตกใจหน้าตัวเองในกระจกที่ใกล้เคียงหมีแพนด้าเข้าไปทุกที กว่าจะอาบน้ำและจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก็พบว่าคนป่วยนอนลืมตามองเพดานอยู่ก่อนแล้ว

"พี่ทาร์ต เป็นยังไงบ้างครับ รู้สึกดีขึ้นไหม"
ผมรีบเดินเข้าไปหาคนป่วยทั้งๆ ที่ตัวเองยังมีผ้าขนหนูผืนเล็กอยู่บนหัว ด้วยความเป็นห่วงเลยทำให้ลืมไปแล้วว่ายังไม่ได้จัดการเป่าผมให้แห้ง

"เจ็บ... คอมาก"
เสียงแหบแห้งของเขาหลุดออกมาจากริมฝีปากซีดทำให้ผมต้องกุลีกุจอออกจากห้องเพื่อไปเอาน้ำดื่มที่ชั้นล่างและพบว่าแม่บ้านมาทำงานพอดิบพอดีเลยได้อาหารเช้าพร้อมยาติดมือไปด้านบนด้วย ใช้เวลาเพียงไม่นานแต่กลับเจอพี่ทาร์ตที่กำลังจะเคลิ้มหลับอีกรอบ

"เฮ้ยพี่ อย่าเพิ่งหลับครับ ลุกขึ้นมากินข้าวกินยาก่อน"
ผมวางถาดอาหารเอาไว้แล้วตรงไปหาอีกคนที่ดูมึนๆ เบลอๆ และพยายามดันตัวลุกขึ้น จากสภาพแล้วคงพาสังขารตัวเองไปล้างหน้าแปรงฟันไม่ไหวแน่ๆ

"ง่วง"
พี่ทาร์ตบอกสั้นๆ ในตอนที่ผมเข้าไปประคองเขาให้นั่งพิงหัวเตียง ผิวเนื้อยังคงร้อนไม่ต่างจากเมื่อคืนสักเท่าไหร่ อาการแบบนี้น่าเป็นห่วง ควรไปหาหมอ

"พี่ทาร์ต ผมว่าเราไปหาหมอกันดีกว่า ตัวร้อนมากเลยเนี่ย"
ผมพูดไปก็เอื้อมมือแตะหน้าผากคนตรงหน้าไปด้วยความเป็นห่วง สารภาพตามตรงว่าไม่เคยดูแลคนป่วยแบบนี่เลย ถ้าขืนปล่อยไว้อาจจะอาการหนักกว่าเดิมหรือเปล่านะ แต่ความคิดทั้งหมดกลับสะดุดกึกเมื่อพี่ทาร์ตส่ายหน้าช้าๆ เป็นเชิงปฏิเสธ

"ไม่เอา แค่ก กินยา นะ นอนพัก เดี๋ยวก็หาย"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงแหบๆ ไอออกมาเป็นระยะ ผมเลยได้แต่ถอนหายใจกับความดื้อรั้นของคนตัวโต เออ หายแน่ๆ เสียงพี่น่ะ หายไปแล้ว! ต้องเอาขนมมาล่อเหมือนเด็กๆ ตอนอยากให้เชื่อฟังอะไรปะวะ ถึงจะยอมไปหาหมอด้วยกันเนี่ย ป๋ากับแม่ ป้าอุ่นกับลุงตั้มก็ไม่อยู่... ไม่มีใครมีอำนาจพอจะออกคำสั่งเลยว่ะ หรือจะโทรไปฟ้องดี

"เออ หายแน่ๆ เสียงพี่อะนะ"
ผมพูดประชดแล้วผละตัวออกจากพี่ทาร์ตเพื่อไปหยิบถาดอาหารมาตั้งบนโต๊ะตรงหัวเตียง พี่ทาร์ตเบะปากลงเมื่อเห็นข้าวต้มในถ้วย เข้าใจว่ามันจืดชืดไม่น่ากิน แต่จะให้เอาของรสชาติจัดๆ มาประเคนตอนนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่

"ไม่กินได้ปะวะ แค่เห็นก็ แค่กๆ จะอ้วก"
ทั้งๆ ที่ป่วยจนแทบไม่มีเสียงก็ยังพยายามเถียงแถมยังไอใส่กันอีก แต่อย่าหวังว่าผมจะใจดี เพราะถ้าไม่กินข้าวต้มนี่ก็ไม่มีอะไรกินแล้ว

"หยุดพูด แล้วก็กินๆ เข้าไป ถ้าเรื่องมากผมจะโทรไปฟ้องลุงตั้มแล้วนะว่าพี่ดื้อ"
ผมว่าเสียงดุแล้วยกถ้วยข้าวต้มส่งให้เขา พี่ทาร์ตมองมันนิ่งก่อนจะยอมรับไปแบบไม่เต็มใจ ทำไมตอนป่วยใครๆ ก็ชอบงอแงเหมือนเด็ก ไม่เข้าใจจริงๆ

"ไม่ป้อนหน่อยเหรอ"
พี่ทาร์ตถามกลับมาแล้วส่งสายตาอ้อนๆ ให้กัน ผมทำหน้าเหวอไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้ารัว ถ้าต้องมานั่งป้อนข้าวให้ขอมุดหายไปจากตรงนี้ดีกว่า บรรยากาศคงหวานจนมดไต่แน่ๆ

"กินเองเลย เดี๋ยวผมไปเตรียมของมาเช็ดตัวให้พี่อีก"
ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นยืน เหลือบมองคนบนเตียงเล็กน้อยก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาหยิบกะละมังเพื่อเอาไปรองน้ำ ได้ยินเสียงคนป่วยบนงึมงำตามท้ายประมาณว่าใจร้ายๆ อะไรทำนองนั้น

หลังจากรอคนหน้าบึ้งกินข้าวกินยาเสร็จก็ได้เวลาของการเช็ดตัว แต่ผมอยากมุดรูหนีสุดๆ เพราะพี่ทาร์ตจัดแจงถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแค่บ็อกเซอร์ติดตัว จะรู้หน้าที่ดีเกินไปปะวะ แล้วส่งสายตากรุ้มกริ่มมาเพื่ออะไร ป่วยจริงๆ หรือเอาไดร์มาเป่าหน้าผากให้ร้อน

"โอย"
ผมร้องออกมาเบาๆ ก่อนจะลงมือเช็ดตัวให้เขาด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ไม่รู้ทำไมตอนนี้อะไรๆ ก็ขัดเขินไปซะหมด เพราะดวงตาคมคอยจับจ้องทุกการกระทำโดยไม่ละไปไหน มันไม่ใช่ความหมายซาบซึ้ง แต่เป็นการบ่งบอกว่าพร้อมกลืนกินกันทุกเมื่อ น่าจะไม่รอดแล้วล่ะกู ไม่เกินพรุ่งนี้พี่ทาร์ตหายเป็นปลิดทิ้งแน่ๆ แล้วผมจะลงไปนอนตรงนั้นแทนเอง

โชคดีที่รอดพ้นสายตาโลมเลียหรือโชคร้ายให้ผมเตรียมใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะหลังจากที่ผมเช็ดตัวให้เขาเรียบร้อย คนป่วยก็เข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็ว ลมหายใจเข้าออกยังส่งเสียงฟืดฟาดเล็กน้อยแต่ไม่มากเท่าเมื่อคืน เดาว่าตื่นมาคงรู้สึกดีกว่าเดิมแน่ๆ

ผมหยิบเอาโน้ตบุคมากางบนตักเพื่อทำงานอยู่ข้างๆ เตียง ไม่กล้าไปไหนไกลเพราะกลัวว่าเขาอาจจะไข้ขึ้นอีก ตอนนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เพราะการโหมทำงานหนักมากเกินไปบวกกับพักผ่อนไม่เพียงพอ ใบหน้ายามหลับของพี่ทาร์ตยังคงดูดีเหมือนยามตื่น แต่มันไร้พิษสงค์ใดๆ สนผมเผลอยิ้มออกมา ไม่น่าเชื่อว่าสุดท้ายแล้วพี่ชายข้างบ้านที่รู้จักมักจี่กันมาตั้งแต่เด็กๆ จะกลายมาเป็นแฟนคนแรกและคนปัจจุบันของผม

การแอบมองจบลงเมื่อเขาเริ่มขยับเปลือกตา ผมเหลือบมองเขาก่อนจะยกโน้ตบุคไปตั้งบนโต๊ะทำงานแล้วกลับมาดูอาการ สีหน้าดูมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเมื่อเช้า ตัวไม่ค่อยร้อน แต่อะไรๆ ก็ไม่แน่นอน คงต้องรอดูกันต่อไป เพราะเขาว่ากันว่าคนไม่เคยป่วยพอป่วยขึ้นมาจะเป็นหนัก

"รู้สึกดีขึ้นไหม ตัวไม่ค่อยร้อนแล้วนะครับ"
ผมพูดก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง พี่ทาร์ตพยักหน้ารับคำแต่นิ้วเรียวกลับชี้ไปที่คอของตัวเอง เป็นอันรู้ว่ายังเจ็บ ก็แน่ล่ะ มันไม่ได้หายง่ายขนาดนั้น

"เดี๋ยวผมเอาน้ำอุ่นกับยาอมมาให้กินแล้วกัน ตอนเย็นจะออกไปซื้อยาแก้อักเสบให้"
ผมร่ายยาวก่อนจะลุกขึ้นเพื่อไปเอาสิ่งที่บอกไป แต่มือเย็นๆ ของพี่ทาร์ตกลับรั้งกันเอาไว้แล้วออกแรงกระตุกจนผมล้มทับคนที่นอนยิ้มกริ่มอยู่ ครั้นจะยันตัวออกห่างกลับโดนแขนแกร่งรัดรอบตัวไม่ให้หนี สถานการณ์เหมือนในละครหลังข่าวเด๊ะๆ นางเอกกำลังจะเสียตัว... แต่ผมเป็นผู้ชายนะเว้ย ควรเป็นข้อยกเว้น

"พี่ทาร์ตเล่นอะไรวะ ปล่อยเหอะ"
ผมบอกเสียงอู้อี้เพราะใบหน้าซุกอยู่ตรงอกแกร่งของเขา จะผงกหัวขึ้นก็โดนมือหนากดไว้ นี่กะจะฆ่ากันหรือเปล่าวะ ทำไมแรงเยอะแบบนี้ รั้งกันไปรั้งกันมาคอแทบเคล็ด

"อยากได้ยาวิเศษ พี่... จะได้หายไวๆ"
เสียงแหบแห้งของพี่ทาร์ตดังขึ้นก่อนที่มือหนาจะถือวิสาสะลูบไล้แผ่นหลังของผมจนรู้สึกสยิวขึ้นมาดื้อๆ ไม่เข้าใจว่ายาวิเศษที่เขาหมายถึงคืออะไร บนโลกนี้มีที่ไหนวะ หรือผมต้องไปเรียนฮอกวอตส์กับศาสตราจารย์สเนป...

"คืออะไรครับ บนโลกนี้มีที่ไหน"
ผมบ่นแต่ก็ยอมนอนนิ่งๆ ให้อีกคนลูบหัวเล่น แต่คำตอบของพี่ทาร์ตมันทำให้ความรู้สึกบางอย่างตีตื้นขึ้นบนใบหน้า... จะตรงไปไหนวะคนเรา

"ปูนคือยาวิเศษของพี่ไงครับ"
คำพูดของพี่ทาร์ตทำให้ผมหน้าร้อนอย่างช่วยไม่ได้ มันดูซึ้งๆ ชวนให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจ

"เหรอครับ แล้วยาวิเศษต้องทำอะไรบ้างพี่ทาร์ตถึงจะหายป่วย"
ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเพราะรู้สึกเขิน ไม่ว่าเขาจะให้ทำอะไรในตอนนี้ผมอาจจะใจอ่อนยอมง่ายๆ ก็ได้ บางทีความรักของเราคงเริ่มต้นมานานแสนนาน แต่ไม่มีใครกล้าก้าวผ่านเส้นบางๆ ของคำว่าพี่น้อง แต่ปัจจุบันนี้ทุกอย่างลงตัวแล้ว

"ต้องให้พี่... กิน"
สิ้นคำพูดของพี่ทาร์ตผมถึงกับกระตุก ความหมายนั้นคงเป็นอะไรที่มันลึกซึ้งเกินกว่าที่เป็นอยู่ ยอมรับว่าทำใจกับเรื่องนี้มาพอสมควร เพราะในชีวิตของเราเซ็กซ์ไม่ได้สำคัญแต่มันคือส่วนประกอบเล็กๆ ของความรัก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรับหรือรุก สุดท้ายแล้วความรู้สึกระหว่างคนสองคนก็ไม่ได้เปลี่ยนไป แต่คงเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะใช้แขนหยัดตัวให้ลุกขึ้นเพื่อสร้างระยะห่างระหว่างเราเพื่อที่ดวงตาทั้งสองคู่จะสอดประสาน ยอมรับอย่างเต็มอกว่าตอนนี้เขินมากแต่เพราะอยากส่งถ่ายความรักโดยไม่เปล่งเสียงให้อีกฝ่ายรับรู้ ริมฝีปากบางกดลงอย่างแผ่วเบาที่ปลายคางมนได้รูปคล้ายกับการอนุญาตให้พี่ทาร์ตทำตามต้องการ

"แน่ใจแล้วเหรอครับ พี่... รอได้"
พี่ทาร์ตเอ่ยถามกันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือหนาเอื้อมมาลูบแก้มกันอย่างแผ่วเบาจนผมคลี่ยิ้มบางแล้วพยักหน้ารับโดยไม่ลังเล ไหนๆ ก็รักขนาดนี้และไม่คิดจะมีคนอื่นต่อ ยอมเป็นของเขาก็ไม่ได้แย่ เพราะสุดท้ายแล้วเราก็เป็นผู้ชายเหมือนๆ กัน ไม่ท้องหรอกน่า จริงไหม... และถ้าเกิดท้องได้ขึ้นมา ผมเชื่อว่าคนๆ นี้จะรับผิดชอบด้วยชีวิตทั้งหมดที่เหลืออยู่

"ให้ผม... เป็นของพี่นะครับ"
กระดากอายเกินกว่าจะสู้หน้าเลยได้แต่ก้มลงซบเข้ากับลาดไหล่กว้าง แอบสูดกลิ่นประจำตัวของเขาเข้าไปหนึ่งช่วงลมหายใจ นี่ขนาดยังไม่ได้อาบน้ำทำไมถึงมีกลิ่นหอมล่ะ หึหึ ผมคงบ้าไปแล้วสินะ

"น่ารักจังครับ... แต่พี่ยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันเลยนะ"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วก้มหน้าลงมาจูบกลางกระหม่อม ผมผงกหัวขึ้นก่อนจะใช้มือดึงจมูกของเขาแรงๆ ด้วยความหมั่นไส้ คนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มใครสนเรื่องนั้นวะ เสียอารมณ์ชะมัด แต่สุดท้ายผมก็ขำตามอยู่ดี

"งั้นให้เวลาสิบนาทีครับ ถ้าเกินผมไม่ยอมแล้วจริงๆ ด้วย"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงทะเล้นก่อนจะแกล้งขย่มตัวตรงช่วงหน้าตักของเขาแล้วกระโดดลงจากเตียงเมื่อมือปลาหมึกกำลังจะคว้าเอว พี่ทาร์ตถึงกับขมวดคิ้วแล้วเด้งตัวขึ้นมา มีเซเล็กน้อยเพราะพิษไข้อ่อนๆ น่าสงสารจัง แต่หมั่นไส้คนหื่นมากกว่า

"แสบนักนะแฟน"
พี่ทาร์ตบ่นแล้วชี้หน้าคาดโทษผมไว้ เชื่อเถอะว่าเขาอาบน้ำแค่ห้านาทีและตะไม่เสียเวลาแต่งตัวให้ยุ่งยาก เพราะไหนๆ ก็ต้องถอดออกอยู่ดี

"เอ้า ผมเริ่มจับเวลาแล้วนะ ช้าอดไม่รู้ด้วย หึหึ"
ผมแกล้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจับเวลา  พี่ทาร์ตเลยรีบดีดตัวลงจากเตียงแล้วเดินตรงเข้าห้องน้ำอย่างทุลักทุเล ยังไม่หายดีทำไมหื่นแบบนี้นะ ถ้าเขาเผลอหลับกลางอากาศเหมือนครั้งที่แล้วอีกผมไม่ยอมจริงๆ ด้วยว่ะคราวนี้ อย่าหวังว่าจะได้กินไอ้ปูนอีกเลย หึ

อากาศหนาว เป็นสิ่งแรกที่สมองคิดได้เมื่อเสื้อผ้าของผมถูกปลดเปลื้องโดยเขาที่คร่อมกันอยู่ด้านบน พี่ทาร์ตมีเพียงผ้าขนหนูสีขาวผืนเดียวปกปิดร่างกาย กล้ามหน้าท้องเป็นลอนๆ ช่างน่าอิจฉา ชาตินี้ทั้งชาติผมคงไม่มีมันหรอก

"หนาว..."
ผมครางเสียงแผ่วแล้วใช้มือปกปิดร่างกายด้วยความอายเพราะพี่ทาร์ตใช้สายตาโลมเลียกันจนรู้สึกวาบหวิวไปหมด เขายกยิ้มเล็กน้อยแล้วโน้มตัวลงมากระซิบถ้อยคำที่ทำให้อุณหภูมิร่างกายพุ่งสูงปรี๊ด

"เดี๋ยวพี่จะ 'กอด' แฟนให้อุ่นเองครับ"
สิ้นประโยคชวนวาบหวิว มือร้อนถูกส่งมาประคองใบหน้ากันก่อนที่ริมฝีปากจะทาบทับลงมาอย่างนุ่มนวล บดเบียดกันช้าๆ ค่อยๆ ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อลิ้นชื้นสอดแทรกเข้าไปด้านใน ความชำนาญของพี่ทาร์ตทำให้ผมอ่อนระทวยราวกับขี้ผึ้งลนไฟ แขนสองข้างคล้องคอเขาไว้อย่างต้องการที่ยึดเหนี่ยว อ่า... ทำไมถึงรู้สึกว่าเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆสีขาวกันนะ มีความสุขเหลือเกิน

สองร่างกอดก่ายกันด้วยความรักและแรงปรารถนา ครั้งแรกของผมจะเจ็บไหมนั่นคือความกังวลที่รบกวนตลอด จนเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรเย็นๆ จากทางด้านหลังความคิดทุกอย่างก็ชะงักกึก ใบหน้าชื้นนิ่วลงเพราะรู้สึกแปลกประหลาดปวดแปลบไม่คุ้นชิน

"อะ..."
ผมร้องออกมาก่อนจะเม้มปากแน่นเมื่อมันเสียงมันน่าอาย แถมยังไม่กล้าสบตากับคนที่กระทำการอุกอาจโดยให้เจลหล่อลื่นสูตรเย็นป้ายทางด้านหลัง... จะทำให้คลั่งไปถึงไหนครับพี่ทาร์ต แค่นี้ก็จะละลายเป็นของเหลวอยู่แล้ว เห็นใจกันบ้างสิ

"เม้มปากทำไมครับ ไม่ต้องกลั้นเสียงหรอก พี่อยากฟัง"
น้ำเสียงนุ่มๆ เอ่ยบอกกันก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะแนบลงบนแอ่งสะดื้อให้ผมสะดุ้ง ความวาบหวามเกิดขึ้นทันทีส่งผมให้อารมณ์ปั่นป่วนไปหมด ไม่ไหว ไม่ไหวแล้วจริงๆ อึดอัดจนแทบบ้า

"อายจะตาย อึก"
ผมพูดได้แค่นั้นเมื่อรู้สึกว่านิ้วของเขาเริ่มขยับช้าๆ อยู่ในตัว สายตาที่จ้องมองมานั่นราวกับสิงโตที่พร้อมจะเขมือบเหยื่อเข้าไปทั้งตัว... ถ้าเปลี่ยนใจตอนนี้คงไม่ทันแล้ว ถึงแม้ว่าครั้งแรกจะเจ็บ แต่เชื่อว่าความรักจะเยียวยามันได้อย่างดี

"เด็กดี ถ้าไม่ไหวบอกพี่นะ จะหยุดให้"

"อ๊ะ มะ ไม่เป็นไรครับ ทำต่อเลย"
เหมือนเป็นคำอนุญาตให้เขาทำตามใจชอบ ผมไม่ว่าอะไรถ้าหากอยู่ๆ เขาจะรุนแรงขึ้นมา เพราะเมื่อคนเรามีอารมณ์เรื่องเซ็กซ์สติสัมปชัญญะในการยับยั้งจะน้อยลงเท่าตัว ถึงจะไม่เคยมีประสบการณ์แต่ก็เข้าใจในเมื่อเราก็ต่างเป็นผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น

กิจกรรมอันร้อนแรงดำเนินต่อไปไม่รู้นานเท่าไหร่ แต่จำได้ว่าครั้งแรกที่เขาเข้าไปในตัวนั้นเจ็บแทบจะขาดใจ มือจิกลงบนแผ่นหลังของพี่ทาร์ตอย่างแรงจนได้กลิ่นของคาวเลือดจางๆ ยิ่งเริ่มขยับผมก็ยิ่งลงแรงมากขึ้น แต่เขาพร่ำบอกว่าระบายได้เต็มที่เลย ไม่ต้องห่วงอะไร ผ่านไปชั่วอึดใจความเสียวซ่านก็เข้ามาแทนที่จนร่างกายบิดเร่าไปหมด... อ่า นี่สินะการขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ด ที่ใครๆ ชอบพูดกัน แต่รู้อะไรไหม เมื่อลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งก็เจอเข้ากับนรกขุมใหญ่ ปวดร้าวไปทั้งตัวโดยเฉพาะสะโพก แม่งเอ้ย เหมือนโดนรถชนเลย




ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"อึก..."
ผมเม้มปากแน่นเมื่อลองขยับตัวเพื่อจะลงจากเตียง ความเจ็บแล่นริ้วไปทุกส่วนของร่างกายจนน้ำตาเล็ด เมื่อครู่ยังอยู่บนสวรรค์แล้วทำไมตอนนี้ตกนรกวะแม่ง

"เฮ้ยๆ อย่าขยับดิปูน"
พี่ทาร์ตส่งเสียงห้ามกันมาแต่ไกล ผมเพิ่งสังเกตว่าเขาเพิ่งเข้ามาทางประตูห้องนอน ใบหน้าหล่อเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ในมือของเขาถือถุงอะไรบางอย่างเอาไว้ อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าหายไปไหนมา

"เจ็บ"
ผมบอกเขาสั้นๆ ด้วยดวงตาที่มีน้ำใสๆ คลอหน่วย ไม่ได้อยากร้องไห้แต่มันเจ็บมากต่างหาก พี่ทาร์ตตรงเข้ามาหากันแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอย่างแผ่วเบา คงกลัวมันจะกระทบกระเทือนล่ะมั้ง

"ขอโทษนะครับที่ทำให้เจ็บ"
พี่ทาร์ตมีสีหน้าสำนึกผิด เขาก้มลงมาจูบหน้าผากกันอย่างแผ่วเบาคล้ายกำลังปลอบประโลมอาการเจ็บ ผมคลี่ยิ้มบางก่อนจะใช้มือวางทาบลงบนแก้มสากตรงหน้า ไม่ใช่ความผิดใครสักหน่อย จะขอโทษกันทำไม

"ขอโทษทำไมล่ะครับ ไม่ได้ทำอะไรผิด"
ถึงจะพูดได้ไม่เต็มเสียงนักเพราะเจ็บช่วงล่างแต่ผมใช้ดวงตาสื่อความหมายว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆ เข้าใจคำว่าสมยอมและไม่ห้ามปรามปะ ตอนมีอารมณ์จะรุนแรงมากแค่ไหนผมก็โอนอ่อนตามหมดล่ะ ก็มีความสุขนี่...

"แต่ปูนเจ็บ..."
เขายังไม่วายส่งสายตารู้สึกผิดมาให้กันขนผมต้องดึงจมูกของคนคิดมากเบาๆ

"ครั้งแรกมันก็เจ็บอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ถึงพี่จะทำเบาแค่ไหนก็เถอะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ก็แอบซี๊ดปากอยู่เหมือนกันเพราะเผลอออกแรงขยับมากไปหน่อย ตอนนี้แม่งถ้าปวดหนักขึ้นมาคงไม่กล้าถ่ายจริงๆ

"แต่..."
พี่ทาร์ตยังคงไม่หยุดแสดงสีหน้าแบบนั้นจนผมต้องใช้นิ้วตัวเองแตะปากของเขา ฟันคนอื่นแล้วรู้สึกผิดตลอดหรือเปล่าวะ ถ้าเป็นกับคู่นอนที่ผ่านมาแล้วทุกคน ผมคงรู้สึกแย่มากๆ เลยล่ะ

"ไม่แต่แล้วครับ เมื่อกี้หายไปไหนมาเหรอ"
ผมเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครูเขามาจากด้านนอก ในมือยังคงถือถุงสีขาวแซมสีเขียว คล้ายกับยา...

"อ๋อ ไปซื้อยามาให้น่ะ มีแก้อักเสบแล้วก็ยาทา"
พี่ทาร์ตบอกแล้วหยิบของให้ถุงออกมาโชว์ มันเป็นยาแคปซูลสีหวานกับหลอดยา ตอนไปซื้อต้องบอกเภสัชกรแบบไหนวะ ไม่อายเหรอ อยากถามแต่เก็บไว้ก่อนดีกว่า กลัวตัวเองจะอายจนระเบิดตูมขึ้นมาเมื่อได้คำตอบ

"อ่า... ขอบคุณนะครับ"
ผมเอ่ยขอบคุณแล้วหลับลงเพราะความเหนื่อยล้า อยากนอนต่ออีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วค่อยลุกขึ้นมาอาบน้ำ แต่ประโยคที่พี่ทาร์ตพูดออกมาทำให้ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง... ฉิบหายแน่ๆ

"เดี๋ยวพี่ทายาให้เนอะ แล้วเดี๋ยวกินข้าวเสร็จค่อยกินยา"
เขาบอกด้วยน้ำเสียงปกติแถมเปิดหลอดยาเตรียมบีบ ผมถึงกับลืมตาโพลงแล้วเอื้อมมือไปรั้งทันทีก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรลงไป

"ดะ เดี๋ยวครับ ผมทาเองดีกว่า"
ผมละล่ำละลักบอกออกไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่พี่ทาร์ตกลับขมวดคิ้วแล้วขยับหลอดยาหนีกันดื้อๆ ดวงตาคมจ้องมองมาอย่างไม่เข้าใจ โอย... จะทำยังไงดีวะเนี่ย

"ดียังไง ปูนมองเห็นซะที่ไหนกัน"
พี่ทาร์ตบอกเสียงแข็งแถมด้วยทำตาดุใส่กัน ผมได้แต่เบือนหน้าหนีเพราะที่เขาพูดมามันถูกทั้งหมด แต่ว่า...

"มะ ไม่เอานะพี่ทาร์ต ให้ผมทำเองเถอะ"
ผมยังคงดื้อดึงจะทำเองเพราะมีเหตุผลบางอย่างที่มันน่าอายเอามากๆ ยังไงล่ะ

"อย่าดื้อสิครับ"
พี่ทาร์ตมองกันด้วยสายตาเป็นห่วงแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวกันเบาๆ รู้ว่าเขาหวังดี แต่... เฮ้อ โอย ไม่น่าเลยกู ทำไมต้องมีความรู้สึกแบบนี้ด้วยวะ

"ไม่ได้ดื้อนะ แต่เกรงใจ"

"มันมีอะไรที่ต้องเกรงใจอีกวะ มาถึงขึ้นนี้แล้วนะเมีย"
คำพูดของพี่ทาร์ตทำให้ผมสะดุ้งโหยงไม่พอยังต้องซี๊ดปากอีก เจ็บเพราะขยับตัวและอายเพราะคำว่า 'เมีย' แม่ง ครั้งเดียวเลื่อนสถานะเลยเหรอ เป็นแฟนเหมือนเดิมได้หรือเปล่าอะ

"พี่แม่ง... เรียกผมแบบนั้นได้ไง"
ผมประท้วงเสียงเบาแล้วหยิบหมอนอีกใบมาปิดหน้าเอาไว้ แค่นอนซมเพราะโดนจัดหนักก็อายจะแย่ ไหนต้องมากน้าร้อนเพราะสรรพนามที่ใช้เรียกอีก

"เอ้า ก็มันเรื่องจริงนี่ครับ"
เขาพูดแบบไม่สะทกสะท้านแถมยังส่งรอยยิ้มหวานๆ มาให้ จากที่จะขว้างหมอนใส่กลับกลายเป็นว่าต้องเลื่อนปิดทั้งหน้าเหมือนเดิม โอย พลาดครั้งเดียวพังทั้งชีวิต ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่มันอายเว้ย เป็นผู้ชายแต่โดนเรียกว่าเมีย... ฮือ

"เออๆ จะเรียกอะไรก็ตามใจเลย แต่เอายามาให้ผมเถอะ"
ผมไม่อยากจะเถียงกับเขาเลยเปลี่ยนเรื่องกลับมาเป็นทวงหลอดยาต่อ

"ไม่ครับ"
น้ำเสียงหนักแน่นมาก

"พี่ทาร์ตอะ"
ผมเริ่มใช้เสียงอ้อนๆ แล้วขยับเข้าไปกอดแขนทั้งๆ ที่ปวดช่วงล่างแทบขาดใจ นี่พยายามสุดชีวิตแล้วนะ ยอมๆ สักทีเหอะ แค่ทายาเองเว้ย

"ปูน... ไม่ดื้อครับ"
เสียงแข็ง ตาดุกว่าเดิมอีก ท่าทางจริงจังแบบนี้ของเขา ยังไงๆ คงไม่ยอมอ่อนข้อให้กันแน่ๆ ผมเม้มปากแน่นก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเมื่อตัดสินใจพูดความจริงที่เป็นเหตุผลต้องดื้อ

"เปล่า... แค่กลัวว่าเดี๋ยวจะเผลอมีอารมณ์ขึ้นมาอีกอะ ถ้าเป็นแบบนั้นต้องแย่แน่ๆ"
ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังมากนัก ก่อนจะงับปากลงบนหมอนแล้วช้อนตามองพี่ทาร์ตอย่างขอร้อง เพราะความรู้สึกตอนนี้มันยังหวิวๆ ถ้าโดนปลุกอีกคงไม่พ้นเกิดกิจกรรมเข้าจังหวะอีกรอบแน่ๆ ไม่ไว้ใจตัวเองเว้ย

"เอ่อ... พี่เข้าใจแล้วครับ งั้นปูนทายาเองก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปยกถอดอาหารขึ้นมาเนอะ"
พี่ทาร์ตทำหน้าอึ้งๆ แถมยังพูดตะกุกตะกักจนหน้าแดง เขาลุกขึ้นยืนตัวตรงทันทีเพราะจะไปทำตามที่พูดเอาไว้ แต่คิดเกรอว่าผมจะปล่อยโอกาสดีๆ ให้หลุดลอย ขอแกล้งให้เขินมากกว่าเดิมเถอะ... เอาคืนซะหน่อยแล้วกัน

"ครับผม พี่ทาร์ต..."
ผมรั้งเขาด้วยเสียงอ้อนๆ พี่ทาร์ตหันขวับกลับมาด้วยใบหน้าที่ยังแดงเหมือนเดิม ท่าทางอึกอักของเขาทำให้รอยยิ้มเล็กๆ ของผมผุดขึ้น

"ครับ"
เขาตอบรับกลับมาเสียงสั่น

"รักนะ"
ผมบอกรักเขาด้วยน้ำเสียงชัดเจนแล้วขยำหมอนในมือแน่น จะแกล้งให้เขาเขินแต่ดันเขินซะเอง ไอ้อ่อนเอ้ย

"รักเหมือนกันครับ"
พี่ทาร์ตบอกรักกลับมาพร้อมรอยยิ้มเขินๆ ผมก็ตายสิครับ แฟนใครวะ โคตรน่ารัก!





--------------------------------------------

พี่ทาร์ตทำความฝันสำเร็จแล้วนะ? 55555555
น้องปูนเอ้ย เป็น 'เมีย' มันเปลี่ยนไม่ได้นะลูกนะ

ปล. ตอนหน้าตอนสุดท้ายแล้วนะ + บทส่งท้าย 1 บทจะจบแล้ว
หลังจากนี้คงรวบรวมต้นฉบับส่ง สนพ อีกเหมือนเดิม
สาธุ ขอให้ผ่านๆ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
ในที่สุดปูนก็เสร็จพี่ทาร์ตจนได้  :z1: :z1: :z1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ gookgik

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-6
พี่ทาร์ตขนาดเป็นไข้ ยังจัดการปูนเรียบร้อยโรงเรียนพี่ทาร์ต  ขอยกนิ้วให้ o13

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 25

Strawberry Chocolate Tart
: โอรีโอ้/เนยจืดละลาย/ดาร์กช็อกโกแลต/วิปปิ้งครีม/สตรอเบอร์รี่ :




เวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วแต่ผมยังไม่ได้นอนเพราะยังไม่สามารถจัดกระเป๋าเดินทางได้อย่างลงตัว หยิบนั่นออกใส่นี่เพิ่มมาราวๆ สองชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เสร็จสักที จนพี่ทาร์ตที่นั่งอ่านเอกสารอยู่บนเตียงต้องลงมาช่วย

"เมื่อไหร่จะเสร็จครับแฟน ใกล้เที่ยงคืนแล้วนะ"
พี่ทาร์ตทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นฝั่งตรงข้ามกัน วันนี้พอเขากลับจากที่ทำงานก็ตรงมาหาผมที่บ้านทันที เพราะพรุ่งนี้ต้องไปเรียนซัมเมอร์ที่เกาหลีและต้องห่างกันไปอีกหนึ่งเดือน ถือว่าเป็นระยะวัดใจหลังคบกันมาเกือบหนึ่งปี

"ก็คิดอยู่ว่ามันควรเอาไปหรือไม่เอาไปดีอะ"
ผมหยิบหนังสือนิยายแล้วพลิกไปมาก่อนจะวางลงที่เดิม ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรเอาไปอ่านฆ่าเวลาตอนนั่งเครื่องหรือเปล่า กลัวจะเอาไปลืมไว้ที่เกาหลีเพราะมันเป็นเรื่องโปรด หาซื้อตามร้านก็ไม่ได้แล้วด้วย

"ไม่ต้องเอาไปหรอก ขึ้นเครื่องก็ควรนอนพักผ่อนมากกว่า"
พี่ทาร์ตหยิบหนังสือเอาไปตั้งบนโต๊ะแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวกันด้วยรอยยิ้ม ผมมองอย่างชั่งใจก่อนพยักหน้ารับ นอนก็นอนวะ แต่เชื่อสิว่าไอ้กู๊ดไม่ปล่อยกันง่ายๆ หรอก ครั้งนี้ก็ได้ที่นั่งติดกันอีกแล้ว ส่วนไนน์ก็ตัวติดเป็นปาท่องโก๋กับแฟนเหมือนเดิม

"อื้อ ไม่เอาก็ได้ พรุ่งนี้ไปส่งผมหรือเปล่า"
ผมช้อนตามองเขาด้วยแววตาอ้อนๆ เพราะคราวที่แล้วพี่ทาร์ตไม่ได้ไปส่งกัน

"อืม... ไปดีไหมครับ"
พี่ทาร์ตถามกลับมาด้วยใบหน้าที่ยกยิ้มเล็กน้อย แต่ผมเข้าโหมดอึมครึมแล้วล่ะ ทำไมต้องถามกลับด้วยทั้งๆ ที่ต้องการคำตอบ

"ให้ตอบนะ ไม่ใช่มาถามกลับแบบนี้"
ผมปัดมือพี่ทาร์ตทิ้งแล้วหันไปล็อกกระเป๋าเดินทางแล้วขยับตัวขึ้นเตียงโดยทำเป็นเมินเขา หลายวันมานี้พูดกันแทบนับคำได้เพราะต่างคนต่างยุ่ง พอมีเวลาก็กวนตีนกันอีก เซ็งจริงๆ เลย

"งอนเหรอคนดีของพี่"
เขาขยับตัวขึ้นมานั่งบนเตียงแล้วสอดมือกอดผมจากด้านหลังก่อนที่คางมนๆ จะมาลงมาบนลาดไหล่คล้ายกับกำลังอ้อน แต่จะยอมใจอ่อนง่ายๆ ไม่ได้ เดี๋ยวเสียนิสัยกันพอดี

"ไม่ได้งอน"
ผมตอบน้ำเสียงแข็งแล้วหลบเลี่ยงปลายจมูกซุกซนของเขาที่เอาแต่จะไซร้ซอกคอกัน ง้อแบบนี้พี่ทาร์ตแม่งได้กำไรเต็มๆ

"อื่อ ไอ้พี่ทาร์ต หยุดเลยนะ"
ผมส่งเสียงประท้วงเมื่อเขากดริมฝีปากลงบนซอกคอจนได้แล้วดูดดึงจนรู้สึกเจ็บ พรุ่งนี้ถ้ามันเป็นรอยแดงจะทำยังไง แม่ง เอาพลาสเตอร์ปิดก็ยิ่งเด่น ไอ้กู๊กได้ล้อยันแก่แน่ๆ

"หยุดแน่ครับถ้าเลิกโกหกพี่"
เขาพูดจบก็เป่าลมใส่หูกันเบาๆ แถมท้ายด้วยการขบเม้มติ่งหู ผมสะดุ้งเฮือกเพราะรู้สึกตัวร้อนวูบวาบคล้ายกำลังจะมีอารมณ์ ช่วงนี้กระตุ้นนิดๆ หน่อยๆ ก็เคลิ้มตามพี่ทาร์ตแล้ว บ้าจริง

"เออๆ ก็งอนนิดหนึ่ง ตกลงว่าไม่ไปส่งกันจริงๆ ใช้ปะครับ"
ผมยอมแพ้แล้วรีบพูดทุกอย่างที่คิดออกไปจนหมด เพราะกลัวว่าเขาจะเล่นอะไรแผลงๆ พี่ทาร์ตส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกดปลายจมูกลงมาบนแก้มแล้วสูดลมหายใจฟอดใหญ่ เกลียดไอ้ทักษะการฉวยโอกาสขึ้นเทพนี่จริงๆ เลย อยู่ใกล้กันทีไรผมเป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกที

"พรุ่งนี้พี่ติดประชุมบอร์ดบริหารน่ะ ขอโทษจริงๆ ครับ"
พี่ทาร์ตเอ่ยขอโทษกันเพราะเขาเพิ่งรู้ว่ามีประชุมพรุ่งนี้หลังจากรับปากไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่กำหนดเวลายังไม่ออกแน่นอนเลยทำให้ผมงอแงอยู่แบบนี้ รู้ว่าตัวเองกำลังงี่เง่า แต่จะไม่ได้เจอกันหนึ่งเดือนเลยหวั่นๆ

"อือ... ขอโทษครับ ผมงี่เง่าอีกแล้ว"
ผมเอ่ยขอโทษเขากลับไปเมื่อทบทวนอะไรหลายๆ อย่างแล้ว ไม่อยากทำให้หนักใจและคิดกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องขณะที่เขาต้องทำงาน

"ปูนตั้งนาฬิกาปลุกหรือยัง"
พี่ทาร์ตผละอ้อมกอดออกแล้วดึงตัวผมให้นอนลงพร้อมๆ กับเขา เรากอดกันอยู่แบบนั้น และไม่คิดว่าจะปล่อยจนเช้า...

"หึ ยังไม่ตั้งครับ อยากให้พี่ทาร์ตเป็นคนปลุก"
ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะขยับตัวไปซุกอกแกร่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สาเหตุหลักไม่ใช่เพราะต้องการไออุ่นแต่เป็นการปิดบังความอายต่างหาก อยากตีปากตัวเองสักสิบครั้งที่หลุดพูดอะไรแบบนั้นออกไป

"แต่นาฬิกามันก็ต้องปลุกพี่นะปูน ถ้าขืนนอนเพลินกันจะตกเครื่องเอา"
พี่ทาร์ตว่าเสียงกลั้วหัวเราะแล้วขยี้หัวกันเบาๆ ผมถึงกับส่งเสียงจิ๊จ๊ะเพราะโดนขัดใจ คล้ายจะกวนตีนแต่มันคือเรื่องจริงที่ต้องทำ ไม่ตั้งนาฬิกาปลุกชีวิตอาจจะบรรลัยก็ได้

"ตกก็ดีนะ ผมขี้เกียจไป"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก การไปเรียนซัมเมอร์มันสนุกดี ได้เพื่อนใหม่ๆ เยอะ แต่บางทีก็เบื่อเพราะคิดถึงคนที่บ้าน...

"ได้ไงครับ นั่นเรียนซัมเมอร์นะ เดี๋ยวก็ไม่จบหลักสูตรหรอก"
พี่ทาร์ตใช้น้ำเสียงดุๆ เตือนกันจนผมต้องช้อนตามองด้วยความน้อยใจ ทำไมต้องจริงจังด้วยวะ ทั้งๆ ที่ผมพยายามจะเล่นเพื่อคลายอาการคิดมากของตัวเอง บางทีก็กลัวเขาไปเจอคนใหม่ๆ แล้วเกิดถูกใจ

"ไม่ดุดิ แค่ล้อเล่นเอง"
ผมยืดตัวขึ้นไปจุ๊บปลายคางของพี่ทาร์ตก่อนจะกลับมาซุกหน้าที่อกของเขาเหมือนเดิม ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ หลุดออกมา คงชอบใจล่ะมั้งที่เจอไอ้ปูนโหมดลูกหมาอ้อน นี่ไปจำๆ จากไอ้ขนมมาเลยนะ

"ครับๆ ไม่ดุก็ได้ แล้วปูนง่วงหรือยังพี่จะได้ปิดไฟ"

"ง่วง แต่ยังไม่อยากนอน"
ผมยังคงออกอาการอ้อนเขาต่อทั้งๆ ที่หนังตาจะปิดอยู่รอมร่อ แถมยังต้องตื่นเช้าเพื่อไปขึ้นเครื่องที่สนามบินอีก เดือดร้อนแม่ต้องไปส่งด้วย

"ทำไมล่ะ"
พี่ทาร์ตถามกลับก่อนจะใช้มือหนาลูบแก้มกันเบาๆ ผมหลับตาลงเพื่อให้สัมผัสนั้นชัดเจนขึ้น อยากจดจำเอาไว้ให้คิดถึงเวลาต้องห่างกัน

"ก็... พรุ่งนี้ต้องห่างกันแล้วนี่หว่า มันไม่ชิน"
ผมบ่นเสียงงุ้งงิ้งแล้วกระชับอ้อมแขนตัวเองให้แน่นขึ้น ปกติทำตัวเป็นปาท่องโก๋ตลอด แต่พอไปเรียนซัมเมอร์หน้าก็ไม่ได้เจอ สัมผัสก็ไม่ได้สัมผัส โคตรไม่ชินเลยจริงๆ

"แค่เดือนเดียวเองน่า จิ๊บๆ พี่สัญญาว่าจะคิดถึงปูนทุกวันเลย ดีปะ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแล้วชูนิ้วก้อยตรงหน้า ผมมองนิ่งก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา พี่ทาร์ตคิดว่าแฟนตัวเองอายุกี่ขวบวะนั่น

"พูดอย่างกับผมเป็นเด็กๆ ไปได้"

"อ้าว ไม่อยากให้คิดถึงเหรอ"
พี่ทาร์ตถามกลับด้วยน้ำเสียงแปลกใจแล้วใช้นิ้วก้อยจิ้มแก้มกัน ถ้าใครมาเห็นคงอิจฉา แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าผมทรมานหัวใจมากแค่ไหนเวลาอยู่ใกล้เขา อะไรๆ ก็พาลขัดเขินทำตัวไม่ถูกสักที ไม่ชินเลย

"อยากดิ แต่มันดูปัญญาอ่อนอะ"

"หึ เจ้าเด็กน้อยขี้งอแง"
พี่ทาร์ตจับใบหน้าของผมไว้แล้วกดจูบลงมาหนักๆ ด้วยความมันเขี้ยวจนต้องร้องประท้วง ถ้าปล่อยไว้นานๆ เชื่อว่าคืนนี้จะไม่ได้นอนไปตามระเบียบ

"อื้อ อะไรเล่า"
ผมยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเมื่อพี่ทาร์ตยอมผละตัวออกไป และทำเพียงส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้กัน

"ตั้งใจเรียน เวลาผ่านไปไวจะตาย เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนจะขยับเข้ามาใกล้จนปลายจมูกชนกัน ผมมองตาเขาก่อนจะกดจูบลงบนริมฝีปากเบาๆ คงคิดถึงแย่เลยว่ะ

"อือ ก็ได้..."

"เก่งมาก"
พี่ทาร์ตเอื้อมมือมาขยี้หัวผมก่อนที่เราจะกอดกันนอนหลับไปตลอดทั้งคืน

นาฬิกาปลุกแผดเสียงดังลั่นห้องแต่ผมยังเอาแต่ซุกตัวเข้ากับอกแกร่งเพราะไม่อยากตื่น พี่ทาร์ตขยับตัวเอื้อมมือไปปิดมันก่อนจะกดปลายจมูกลงมากลางกระหม่อม

"ตื่นได้แล้วครับ"
น้ำเสียงงัวเงียเอ่ยบอกกันแทบฟังไม่รู้เรื่อง ผมอยากจะนอนต่อแต่จำใจต้องตื่นเพราะไม่อยากทำให้พี่ทาร์ตเสียเวลาในการนอน เขามีประชุมช่วงเช้าเลยอยากให้ออมแรงไว้

"อือ ผมไปอาบน้ำแล้วนะ พี่นอนต่อเถอะ"
ผมผละออกจากอ้อมกอดแล้วลุกขึ้นขยี้ตาเบาๆ พี่ทาร์ตใช้มือแตะต้นแขนกันทำให้ต้องหันไปมอง

"ครับ มีอะไรเหรอ"
ผมถามออกไปแต่ได้รับคำตอบเป็นการที่พี่ทาร์ตยันตัวลุกขึ้นมาแตะปากกันไม่นานก่อนจะผละออกไปแล้วส่งยิ้มหวานมาให้

"เดินทางปลอดภัยนะที่รัก"

"อะ ครับ"
ผมตอบได้แค่นั้นก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากของพี่ทาร์ตแทนคำขอบคุณก่อนจะลงจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัว

ระหว่างทางไปสนามบินผมนั่งแทะแซนวิชอย่างเหม่อลอย อยากให้แม่ยูเทิร์นรถกลับบ้านใจจะขาด รอบนี้ทำไมรู้สึกว่าเกาหลีมันน่าเบื่อ ทั้งๆ ที่ผ่านมาอยากไปแทบตาย

"ปูนคะ เป็นอะไรหรือเปล่า"
แม่ถามกันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนผมต้องละสายตาจากวิวข้างทาง แซนวิชในมือถูกงับเข้าปากคำโตเพื่อปกปิดอารมณ์ตอนนี้ก่อนจะส่ายหน้าเพื่อยืนยันว่าไม่เป็นอะไร เพราะไม่อยากให้แม่เป็นกังวล

"ไม่ลืมอะไรไว้ใช่หรือเปล่า ถ้าลืมแม่เอาไปให้ถึงเกาหลีไม่ได้นะ"

"อื้อ... ไม่ลืมหรอกครับ"
ความจริงอยากตอบว่าลืมใจไว้ที่พี่ทาร์ตก็กลัวว่าแม่จะไล่ลงจากรถ

"อื้ม ตั้งใจเรียนล่ะ อย่ามัวเถลไถล เข้าใจไหม"

"ครับผม วางใจได้เลย"

หลังจากที่แยกจากแม่ผมก็ลากกระเป๋าเดินทางใบโตไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ก่อนจะพากันไปเช็คอินและขึ้นเครื่อง คราวนี้ไอ้กู๊ดดูท่าทางจะตื่นเต้นกว่าปกติ หรือเพราะผมอารมณ์ไม่คงที่กันแน่ว่ะ เลยเห็นอะไรๆ น่าเบื่อไปซะหมด

"ปูน..."
ไอ้กู๊ดส่งเสียงเรียกกันเมื่อเครื่องบินขึ้นได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ผมไม่ได้หันไปสนใจเพื่อนแต่จ้องมาเมฆปุยๆ ด้านนอกหน้าต่าง เผื่อบางครั้งอาจจะทำให้ความคิดวุ่นวายในหัวหายไป

"อือ"
ผมตอบรับแค่สั้นๆ แล้วใช้มือเท้าคางเอาไว้เมื่อเริ่มรู้สึกเบื่อ เพิ่งแยกจากพี่ทาร์ตไม่เท่าไหร่แต่กลับคิดถึงเขาขึ้นมา แย่จริงๆ

"เป็นอะไรของมึง ไม่พูดไม่จา"
น้ำเสียงของไอ้กู๊ดเจือไปด้วยความห่วงใย มันแตะมือลงบนไหล่คล้ายกำลังปลอบประโลม ผมถอนหายใจเบาๆ แต่ไม่ยอมละสายตาไปไหน มองท้องฟ้าก็เพลินดีเหมือนกัน หลีกหนีความวุ่นวายของบรรดาเพื่อนๆ ร่วมทางได้ดี

"เบื่อๆ อะ"

"แปลก ปกติมึงต้องตื่นเต้นดิ ไปเกาหลีนะเว้ย"
น้ำเสียงแปล่งๆ แบบไม่อยากเชื่อคำพูดดังขึ้น ไม่แปลกพี่ไอ้กู๊ดจะมีอาการแบบนี้ เพราะโดยปกติแล้วผมจะตื่นเต้นกับการไปเยือนเกาหลีมากกว่าใคร เพราะชอบศิลปินที่นั่นมาก แต่ครั้งนี้ความรู้สึกต่างออกไป สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นกลับกลายเป็นแฟนของตัวเอง

"อือ"

"เดี๋ยวๆ มึงลืมเอาวิญญาณมาเหรอ"
ไอ้กู๊ดเอื้อมมือมาประคองหน้ากันและบังคับให้สบตา ผมพ่นลมหายใจเบาๆ ใส่มันก่อนจะสะบัดออก ทำไมต้องมากวนตอนอารมณ์ไม่ปกติด้วยวะ

"ก็เบื่อไง"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายแล้วแสร้งหยิบนิตยสารที่เสียบอยู่ตรงเบาะด้านหน้าขึ้นมาอ่าน ไม่อยากสบตาไอ้กู๊ดตอนนี้เพราะกลัวว่ามันจะจับความรู้สึกบางอย่างได้ เพราะยังไม่อยากโดนตอกย้ำและโดนแซว

"เบื่ออะไรของมึง"
ไอ้กู๊ดถามย้ำด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายพอกัน เข้าใจว่ามันเป็นห่วง แต่ผมไม่อยากทำตัวเป็นเด็กงอแงงี่เง่าในสายตาของใครๆ ทั้งนั้น บางทีก็กลัวว่ามันจะเอาเรื่องไปบอกพี่ทาร์ตแล้วทำให้เขากังวล

"เออน่า อย่ากวน"
ผมบอกปัดๆ ไปเพราะไม่อยากพูดอะไรมาก ขี้เกียจจะโดนเพื่อนเทศนาชุดใหญ่เพราะรู้ว่าตัวเองกำลังออกอาการงอแงเหมือนเด็กๆ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย พี่ทาร์ตเป็นแฟนคนแรก จะคิดถึงก็ไม่แปลกหรือเปล่า...

"หรือว่าเบื่อที่ต้องอยู่ห่างกับพี่ทาร์ตเป็นเดือนๆ"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ดวงตาทอประกายระยิบระยิบราวกับจับความรู้สึกกันได้ ผมทำได้เพียงเบ้ปากใส่มันเพราะไม่รู้จะเถียงความจริงข้อนั้นยังไง สุดท้ายก็ต้องยอมรับชะตากรรม

"รู้ดีนะมึง"
ผมพูดเสียงเหน็บแนมแล้วเบนสายตากลับไปมองท้องฟ้าได้นอก รูปร่างประหลาดๆ ของก้อนเมฆทำให้เราจินตนาการไปได้หลายอย่าง แต่มันไม่ได้ลดอาการคิดถึงใครบางคนลงเลย แย่เนอะ

"กูเพื่อนมึงนะปูน อย่าเป็นเด็กขี้งอแงสิวะ เดือนนึงมันแป๊ปเดียวเองเหอะ"
ไอ้กู๊ดเอื้อมมือมาตบบ่ากันเบาๆ เหมือนให้กำลังใจ ผมหันไปมองแล้วพยักหน้ารับแกนๆ ก็พยายามไม่งอแงอยู่นี่ไง มึงอย่าพูดย้ำมากๆ สิวะ เดี๋ยวร้องใส่แม่งเลย

"เออๆ พยายามอยู่ แล้วมึงล่ะ หน้าบานเป็นกระด้งเลยนะจะได้เจอแทจุนเนี่ย"
ผมแซวมันด้วยความหมั่นไส้เพราะสังเกตว่าไอ้กู๊ดหน้าระรื่นกว่าปกติ ดูคล้ายๆ คนกำลังพบเจอเรื่องที่ทำให้มีความสุข

"ใช่ที่ไหน มึงก็มั่วไปเรื่อย"
ไอ้กู๊ดเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยทันทีเมื่อประโยคเมื่อครู่จบลง อย่างที่มันว่านั่นล่ะ ผมเดามั่วๆ เพราะตอนนี้สถานการณ์ช่างราบเรียบ ไร้ซึ่งความคืบหน้าใดๆ เหมือนต่างคนต่างถึงจุดอิ่มตัวหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ เพราะแทจุนไม่ได้เอาอะไรมาปรึกษากันเลยในช่วงนี้

"ถามจริง พวกมึงไปถึงขั้นไหนแล้ว"
ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะเปลี่ยนท่าทางมาเท้าคางรอคำตอบ ไอ้กู๊ดไหวไหล่เล็กน้อยเหมือนไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอะไร

"ยังไม่ถึงไหน"
คำตอบของมันเป็นไปอย่างที่ผมพอจะเดาได้ เพราะรู้นิสัยกันดี ไอ้กู๊ดเป็นคนประเภทไม่ชอบมีข้อผูกมัดกับใคร ความคืบหน้าส่วนมากก็เปลี่ยนจากคุยเป็นขึ้นเตียง ยังไม่มีใครเปลี่ยนจากคุยแล้วเป็นแฟนสักคน

"ทำไมวะ แทจุนจีบมึงมาจะครบปีแล้วนะ"
ผมถามออกไปเพื่อหวังว่ามันจะมีเหตุผลที่ดีกว่าไม่ชอบผูกมัด เพราะเวลาหนึ่งปีไม่ใช่น้อยๆ ถ้าไม่ชอบไม่รักก็ควรปฏิเสธไปตรงๆ ไม่ใช่ทีเล่นทีจริงให้ความหวังคนอื่นแบบนี้ พ่อแม่มันควรเปลี่ยนชื่อให้นะ จากนายแสนดีเป็นนายแสนเลว...

"กูไม่ชอบผูกมัดกับใครไง ไม่มีสถานะก็ดีแล้ว"
คำตอบไม่ได้แต่ต่างจากที่ผมคิดเอาไว้เลย แถมดูไอ้กู๊ดจะไม่เดือดร้อนอะไรกับเรื่องนี้ อย่าให้เดาว่ามันรู้สึกอะไรกับใครยังไง เพราะแม่แต่เรื่องที่มันชอบหรือเลิกชอบผมเกิดขึ้นเมื่อไหร่ยังไม่รู้ตัวเลย...

"แต่ถ้าแทจุนไปผูกมัดกับคนอื่นมึงจะยอมเหรอ"
ผมถามออกเพราะคิดว่าไอ้กู๊ดคงรู้สึกอะไรขึ้นมาบ้าง ถึงมันจะไม่ชอบผูกมัดกับใครแต่มันก็หวงของ หวงคน หวงที่

"ก็... คงไม่ยอมมั้ง"
ไอ้กู๊ดยักคิ้วกวนๆ ส่งมาให้หลังพูดจบ มันคือความเห็นแก่ตัวที่มีมาแต่ไหนแต่ไร แก้ไม่หายสักที แต่ครั้งนี้แววตาของมันไม่ได้ปกติอย่างแต่ก่อนเพราะมันมีความสั่นไหวถึงแม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่เพื่อนสนิทอย่างผมมองออก

"นั่นไง เจอกันคราวนี้ก็เคลียร์ๆ ให้จบสักที จะคบหรือจะหยุดความสัมพันธ์ก็เลือกเอาสักอย่าง"
ผมพูดเสียงดุๆ แล้วผลักหัวมันด้วยความหมั่นไส้ คนหล่อจำเป็นต้องเลือกได้แบบนี้ทุกคนหรือเปล่านะ

"เออๆ สั่งจังนะแม่"
มันบ่นงุ้งงิ้งแล้วย่นจมูกใส่กันเหมือนเด็กโดนขัดใจ มีอย่างที่ไหนมาเรียกคนอื่นว่าแม่วะ เดี๋ยวพ่อโบกคอหักเลยนี่

"อะไร กูเป็นเพื่อน"
ผมว่าเสียงแข็งแล้วแยกเขี้ยวใส่มันเป็นเชิงขู่ แต่ได้รับเสียงหัวเราะในลำคอกลับมา

"จ้าๆ ไม่เถียงกับมึงแล้ว"

"ดี"

เกาหลีใต้ยังคงเป็นเมืองที่ทำให้ผมตื่นเต้นได้เสมอ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนอะไรๆ จะกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว มื้อแรกที่มาเหยียบที่นี่คือบิบิมบับให้โรงอาหารมหา'ลัย หลังจากนั้นก็พากันไปเก็บสัมภาระที่หอก่อนจะลงมาฟังอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะเข้าคลาสเรียนในอีกสองวันข้างหน้า

ผมนอนแผ่อยู่กลางเตียงด้วยสภาพของคนหมดแรงไม่อยากทำอะไรต่อ ส่วนไอ้กู๊ดนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ปลายเตียง รูมเมทที่เป็นคนเกาหลีออกไปหาเพื่อนข้างนอก

"นอนเป็นปลาดาวเลยนะมึง"
ไอ้กู๊ดเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มาพูดด้วยแล้วก้มกลับไปมองอีก ดูท่าทางช่วงนี้มันจะติดโซเชี่ยลหนัก เพราะตั้งแต่ลงจากเครื่องก็เห็นกดนั่นกดนี่อยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จะแชทกับใครนักหนา ของผมนี่เงียบเหมือนป่าช้า แม้แต่พี่ทาร์ตยังไม่ทักมา อยากร้องไห้วันละร้อยรอบจริงๆ

"เหนื่อย เพลีย อยากตาย"
ผมพูดออกไปด้วยความเบื่อหน่ายแล้วพลิกตัวคว่ำลงกับเตียง ใบหน้าซุกกับหมอนก่อนจะว้ากใส่มัน ว่างจนไม่รู้จะทำอะไร เพื่อนก็เมินกัน แฟนก็หาย หึ!

"ห๊ะ ถึงขนาดอยากตายเลยเหรอวะ"
ไอ้กู๊ดแทบจะขว้างโทรศัพท์เมื่อได้ยินคำว่าอยากตาย มันทำหน้าตาตื่นๆ ใส่กันแถมยังคลานเข้ามาหา แววตาแสดงความเป็นห่วงแบบไม่ปิดบัง ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่ากำลังโดนประชดอยู่

"เออ จะนอนแล้ว ปิดไฟด้วย"
ผมบอกก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคอแล้วหลับตาลงเพื่อตัดรำคาญทุกๆ สิ่ง หลับๆ ไปจะได้เลิกคิดฟุ้งซ่านสักที ทั้งวันยังไม่เลิกคิดถึงพี่ทาร์ตอีก บ้าฉิบหาย

"เดี๋ยวๆ มึงจะไม่รอจีฮุนหน่อยเหรอวะ"
ไอ้กู๊ดเอ่ยถึงชื่อรูมเมทอีกคน เอาจริงๆ ผมลืมไปแล้วว่ามาอาศัยห้องคนอื่นอยู่ แต่จะให้นอนลืมตาอยู่มันก็ไม่มีอะไรทำไง น่าเบื่อจะตายจริงๆ นั่นล่ะ

"กูไม่มีอะไรทำ มึงเอาแต่เล่นมือถือ พี่ทาร์ตก็แม่งหายเข้ากลีบเมฆ"
ผมบ่นทั้งๆ ที่ยังหลับตาก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากัน ความรู้สึกโหวงๆ เกิดขึ้นอีกแล้ว พี่ทาร์ตไม่เคยเงียบหายไปนานขนาดนี้เลยนะเว้ย เป็นอะไรหรือเปล่า

"ถ้าจะบ่นขนาดนี้มึงเอาผ้าคลุมหัวแล้วนอนเถอะ จีฮุนกลับมาค่อยปิดไฟ"
ไอ้กู๊ดว่าด้วยเสียงฉุนๆ แล้วเอื้อมมือมาผลักหัวกันจนผมต้องลืมตามาจ้องเขม็ง ไม่สนใจกันแถมทำร้ายอีก ถีบสักทีดีไหม

"หึ เบื่อมึง!"

"อะไรอีกครับคุณปูน"

"ไม่รู้ นอนล่ะ"
สุดท้ายผมก็หนีมันไปนอนจนได้ งอนฉิบหาย แต่ไม่พูด กลัวจะโดนหาว่าเป็นเด็กไม่รู้จักโต...


ผมขยับตัวซุกหาไออุ่นเมื่ออากาศเริ่มหนาวลงในตอนเช้าตรู่ แต่เมื่อประสาทสัมผัสรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่พาดอยู่บนเอวเลยต้องลืมตาโพลงอย่างช่วยไม่ได้ เพราะความทรงจำมันบอกว่าผมนอนเตียงเดี่ยว แล้วคนที่กอดกันอยู่คือใครวะ!

ดวงตารีหรี่มองคนที่นอนหายใจสม่ำเสมอก่อนจะต้องตกใจเมื่อใบหน้านั้นช่างแสนคุ้นเคยและวนเวียนอยู่ในความคิดถึงมาตลอดเมื่อวาน หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมาจากอก สมองกำลังคิดวิเคราะห์อย่างหนักว่าทำไมพี่ทาร์ตถึงมาโผล่ที่นี่แล้วขึ้นหอมาได้ยังไง... หรือผมกำลังฝัน แต่หยิกตัวเองแล้วเจ็บนะ




ต่อด้านล่างนะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"พี่ทาร์ต..."
ผมเรียกชื่อเขาไม่ดังนักแล้วพยายามสอดส่ายสายตามองที่เตียงอื่นๆ พบว่ามันว่างเปล่า จีฮุนกับไอ้กู๊ดหายไปไหนวะ

"อืม ง่วง"
เสียงงัวเงียทำให้ผมต้องกลับมาสนใจคนที่กอดกันเอาไว้ ตอนนี้สับสนและมึนงงไปหมดแล้ว ตกลงว่าเขาบินตามมาอย่างนั้นเหรอ อะไรวะ คือยังไง โอย

"ตื่นมาคุยกันก่อนดิ ทำไมอยู่ๆ มาโผล่ที่นี่ได้อะ"
ผมเอื้อมมือไปดึงแก้มเขาเพื่อเป็นการปลุก แต่พี่ทาร์ตกลับนอนนิ่งๆ ไม่ยอมขยับหรือลืมตา สงสัยเพิ่งลงจากเครื่องแล้วตรงดิ่งมาที่นี่เลย

"นั่งเครื่องบินมาไงครับแฟน"
น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับมาเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่ผมรู้ว่าเขากำลังกวนตีนเลยบีบแก้มแรงๆ ด้วยความมันเขี้ยว

"ไม่ใช่ ทำไมอยู่ๆ ถึงมาเว้ย อย่ากวนตีนดิ"
น้ำเสียงสะบัดเล็กๆ ก่อนจะยอมปล่อยมือออกจากแก้มเมื่อพี่ทาร์ตเริ่มซี๊ดปากและลืมตาขึ้น ตื่นได้สักทีนะคนเรา

"กลัวใครบางคนคิดถึงเลยมาหา"
พี่ทาร์ตส่งสายตาหวานๆ มาให้จนผมได้แต่ก้มหน้าลงจนคางแทบชิดกับอก แม่ง... บรรยากาศมันชวนให้คิดลึกไปถึงไหนต่อไหนไหมล่ะ

"ขี้ตู่ว่ะ ใครเขาจะคิดถึงพี่"
ผมบ่นเสียงอู้อี้แล้วพยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ เขารู้ทันไปหมดซะทุกเรื่อง แย่จริงๆ

"เหรอ แล้วทำไมเสียงหัวใจของปูนดังจังเลยครับ"
ไม่ว่าเปล่าแถมยังเอาหูมาแนบที่อกของผม ทำอะไรไม่เคยปรึกษากันเลย ครั้นจะขยับตัวหนีก็โดนรั้งเอวไว้อย่างแน่นหนา ยอมแพ้จริงๆ

"อะ... เอาหน้าออกไปนะเว้ย แล้วนี่เพื่อนผมไปไหนกันหมด"
ผมพยายามผลักพี่ทาร์ตให้ออกไปห่างๆ แต่กลับโดนกอดจนแน่นขึ้น สุดท้ายก็เลยถอดใจยอมอยู่นิ่งๆ ให้คนขี้แกล้งซบอก ดูท่าทางเขาจะชอบด้วย

"ออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว มันบอกว่าขี้เกียจอยู่เป็นก้าง อยากทำอะไรก็เชิญตามสบาย"
พี่ทาร์ตพูดด้วยเสียงอู้อี้เพราะใบหน้ายังซุกอยู่ที่เดิม แถมยังขยับจมูกถูไถหน้าอก นี่มันจะมากเกินไปแล้วหรือเปล่า เช้าๆ อารมณ์ขึ้นง่ายผู้ชายทุกคนน่าจะรู้ดี... แต่เขาไม่หยุดแค่นั้นยังเอามือสอดเข้ามาใต้เสื้อยืดแล้วลูบไล้ตรงเอวจนรู้สึกสยิว

"เฮ้ย อย่าลูบ จะทำอะไร อื้อ ไอ้พี่ทาร์ต ไม่เอา"
ผมร้องประท้วงแล้วทุบไหล่เขาให้หยุดทำ แต่ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุเพราะพี่ทาร์ตงับปากลงบนยอดอกผ่านเสื้อยืด โอย แม่ง ใจจะขาดอยู่รอมร่อแล้วกู!

"หิว"
พูดด้วยน้ำเสียงกระเส่าจนผมรู้สึกถึงความอันตรายที่กำลังมาเยือน ตายแน่ๆ โดนแน่ๆ หนีไปไหนไม่ได้แล้วว่ะ เสือกนอนด้านในติดผนังด้วย โอย ถ้าเจอหน้าไอ้กู๊ดเมื่อไหร่จะจับเขกหัวให้เข็ดเลย!

"กะ ก็ลุกไปหาอะไรกินดิวะ"
ผมพูดเสียงสั่นแล้วพยายามดันตัวพี่ทาร์ตให้ถอยไปห่างๆ แต่อย่าหวังว่าไอ้คนหื่นกามมันจะยอมถอยไปง่ายๆ

"กินเปียกปูนไง ไม่ได้เหรอ"
ถามกันด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแถมยังใช้ปลายจมูกไล้ไปตามกรอบหน้าและจบด้วยการประกบรอมฝีปากลงมาชกชิม... น้ำลายบูด แม่ง ผมยังไม่ได้แปรงฟันนะเว้ย!

"มะ ไม่... อื้อ"

สุดท้ายก็เรียบร้อยโรงเรียนพี่ทาร์ต แม่ง!

ผมเดินย่องช้าๆ เพราะระบมช่วงล่างไปหมด มีพี่ทาร์ตที่คอยเดินประคองอยู่ข้างๆ ไม่ห่าง ที่จริงก็อยากโกรธเขาอยู่หรอกแต่ทำไม่ลง เพราะว่าเมื่อครู่ก็เผลอสมยอมไปด้วย... ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษทั้งสองฝ่าย พอดวงตารีพบเจอไอ้กู๊ดในระยะสายตาเลยชี้หน้าคาดโทษมันทันที

"เพราะมึงเลยไอ้กู๊ด สัด"
ผมด่าเมื่อพี่ทาร์ตพาผมมานั่งรอที่โต๊ะ ในส่วนของห้องอาหาร ไอ้กู๊ดเลิกคิ้วขึ้นและเอียงคอด้วยความงุนงงแต่ไม่นานนักมันก็ยกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้น

"โธ่ๆ โดนหนักสินะมึง เดินขาถ่างขนาดนี้"
มันว่าเสียงกลั้วหัวเราะแล้วขยับเข้ามาจิ้มแก้มกันเพื่อหยอกล้อ ผมปัดมือมันทิ้งด้วยความหงุดหงิดผสมความอาย แม่ง ท่าเดินบ่งบอกขนาดนั้นเลยเหรอวะ อุตส่าห์แอ๊บเต็มที่แล้วนะ ดีหน่อยที่พี่ทาร์ตเดินไปสั่งอาหารให้กัน ไม่อย่างนั้นผมคงอายกว่านี้ร้อยเท่า

"ยังจะพูดอีกนะ ไอ้เหี้ย"
ผมด่ามันด้วยใบหน้าบึ้งตึง จะขยับแต่ละทีก็เกรงใจก้นตัวเอง มันไม่ได้เจ็บเหมือนครั้งแรก แต่ก็ระบมหนักอยู่เหมือนกัน จะกี่ครั้งๆ ก็ไม่ชินสักที...

"อย่าเกรี้ยวกราดสิ"
ไอ้กู๊ดกลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดง ส่งผลให้ผมต้องแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะฟาดมือลงบนไหล่ของมันอย่างไม่ปรานี เลิกล้อกันได้แล้วน่า มึงไม่เป็นเมียคนอื่นบ้างให้มันรู้ไปสิ หึ!

"มึงก็อย่ากวนตีน ไม่งั้นกูจะยึดแทจุนทั้งวัน"
ข้อต่อรองของผมช่างอ่อนนัก เพราะดูท่าทางไอ้กู๊ดไม่ได้เป็นคนหึงเรี่ยราดอะไร มีแต่พี่ทาร์ตล่ะมั้งที่ยังตึงๆ กับแทจุนไม่เลิก กลัวว่าผมจะไปเป็นผัวเขา...

"ผัวมึงคงยอมหรอก ~"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นอย่างหน้าตาเฉย ไม่มีแววเกรงกลัวกันสักนิดเดียว ผมล่ะเกลียดมันจริงๆ เลย

"หุบปากไป"
ผมใช้น้ำเสียงดุๆ แล้วผลักหัวมันแรงๆ ด้วยความหมั่นไส้ แต่ไอ้กู๊ดก็ยังยิ้มหน้าระรื่นได้เหมือนเดิมทุกประการ ถีบแม่งเลยดีไหม กลางห้องอาหารนี่ล่ะ

"หูย แรงอะ เออ แล้วตกลงจะไปไหนกันวะ"
เหมือนมันจะรู้ตัวว่ากำลังโดนปองร้ายก็เลยเปลี่ยนเรื่องไปถามเกี่ยวกับทริปไปเที่ยววันนี้ มีไกด์เป็นแทจุนเจ้าเก่า

"โซลทาวเวอร์"

"ห๊ะ... ถามจริง ใครเป็นคนคิดสถานที่"
ไอ้กู๊ดถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อหูสักเท่าไหร่ เพราะโซลทาวเวอร์มันให้อารมณ์โรแมนติกที่คู่รักชอบไปกัน แล้วดูบรรดากรุ๊ปทัวร์นี้สิ มีแต่ผู้ชายตัวสูงไม่น่าจะมรมุมมุ้งมิ้งอะไรแบบนั้น

"กูอยากไปเอง"
ผมตอบไปตามความจริงเพราะตั้งใจว่าถ้ามีแฟนก็อยากพาไปโซลทาวเวอร์ด้วยกัน แต่มันแปลกเพราะตอนนี้คนที่คบด้วยดันเป็นผู้ชายนี่ดิ... ตอนคิดน่ะ คิดว่าตัวเองจะมีแฟนเป็นผู้หญิงไง

"อุ้ย จะไปคล้องกุญแจเหรอจ๊ะ"

"เลิกล้อเลียนคนอื่นสักที ไอ้แสนเลว"

"โอ๋ๆ ไม่งอนดิวะมึง"
ง้อกันด้วยหน้าตากวนตีนก็อย่างอเลยดีกว่าไอ้สัด!

"โอ๋พ่อง กูอยากไปคล้องกุญแจแล้วไง มีปัญหาเหรอ"
เริ่มหงุดหงิดจนแทบจะพุ่งไปกระชากคอเสื้อเพื่อน แต่ติดตรงที่ขยับตัวก็ร้าวไปถึงสมอง อ่า... ความเจ็บที่มีความสุข

"ก็เปล่า แต่มึงมีมุมนี้กับเขาด้วยเหรอวะ มุ้งมิ้งฉิบหาย"
มันเลิกคิ้วมองกันด้วยความแปลกใจเพราะปกติแล้วผมไม่ได้มีมุมแบบนี้สักเท่าไหร่ ก็เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้มุ้งมิ้งอย่างใครเขา

"จริงๆ ก็อยากลองไปคล้องกับแฟนสักครั้ง แต่ตอนนั้นคิดว่าจะมีแฟนเป็นผู้หญิงไง ที่ไหนได้... ยืนหล่ออยู่นู่น"
ผมพยักพเยิดหน้าไปทางพี่ทาร์ตที่กำลังส่งยิ้มหวานให้แม่ค้าขายอาหาร ไอ้กู๊กถึงกับขำแล้วพยักหน้าราวกับเห็นด้วยก่อนจะพูดสิ่งที่คิดออกมา

"หล่อวัวตายควายล้มเลยมึง"

"เออ กูว่าพี่ทาร์ตไม่น่าจะยอมคล้องกุญแจกับกู"
ผมขมวดคิ้วเมื่อคิดว่าคนอย่างพี่ทาร์ตคงไม่ยอมทำอะไรหวานๆ อย่างการคล้องกุญแจกับหนุ่มน้อยหรอก ถ้าเป็นสาวๆ อาจจะยอมก็ได้

"หือ กูว่ายอม"
แต่ไอ้กู๊ดคิดต่างออกไปจนผมต้องท้าพนัน เอาจริงๆ ผมว่าผมรู้จักพี่ทาร์ตดีที่สุดนะ

"พนันไหมล่ะ"

"ว่ามา"

"ถ้ากูแพ้พนันมึงต้องขอคบแทจุนบนโซลทาวเวอร์ ถ้ามึงชนะกูเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่"
ผมยักคิ้วกวนๆ ให้มันไปเมื่อพูดจบ ไอ้แผนเนี่ยเพิ่งคิดได้เมื่อสองวินาทีที่แล้วเลย ลงทุนสุดๆ ด้วยนะเออ

"เดี๋ยวๆๆ ทำไมตอนมึงแพ้คนซวยเป็นกูอะ นี่ยังไม่ได้เตรียมตัวเหี้ยอะไรเลย"
ไอ้กู๊ดบอกเสียงหลง ใบหน้ายังคงดูตื่นๆ อยู่ ไม่แปลกที่มันจะตกใจอะไร เพราะผมเล่นของสูงกับความรู้สึกคน แต่เชื่อเถอะน่าว่ามันจะดีสำหรับทั้งคน ขืนกั๊กกันไปกั๊กกันมาหมาคาบไปแดกซะก่อน

"หึหึ กูอยากให้เพื่อนขอเป็นแฟนแบบโรแมนติกหน่อย"

"วุ่นวายจริงๆ"
มันส่ายหัวคล้ายจะปลง แต่ใบหน้ากับขึ้นสีระเรื่อหน่อยๆ ไอ้กู๊ดก็มีมุมเขินแบบน่ารักๆ ด้วยนี่หว่า

"ทำได้ไหมล่ะ"
ผมถามย้ำด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยเพราะอยากกระตุ้นความกล้าและเอาชนะของมัย เชื่อเถอะว่าได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์

"เออๆ ถึงมึงจะแพ้หรือชนะ กูจะขอแทจุนเป็นแฟนบนโซลทาวเวอร์แล้วกัน... แค่คิดก็เขินแล้วแม่ง"
ไม่ใช่เขินธรรมดานะ เขินมากถึงขนาดหลบสายตาผมเลยเถอะ อยากให้แทจุนมาเห็นฉิบหาย

"สัญญาแล้วนะ"
ผมเหล่สายตามองมันอย่างไม่เชื่อถือ ไอ้กู๊ดเบ้ปากใส่กันแล้วพ่นคำที่ทำให้รอยยิ้มแย้มขึ้นได้ไม่ยาก

"เออ เดี๋ยวซื้อกุญแจไปคล้องด้วย แม่ง พอใจยัง!"
ทำเป็นโวยวายกลบเกลือนความเขินสินะ. ผมรู้ดีหรอก ขอแกล้งหยอกสักหน่อยแล้วกัน หึหึ

"น่ารักว่ะคุณแสนดี ~"

ผมและพี่ทาร์ตกำลังเดินนำหน้าไอ้กู๊ดกับแทนจุนที่คุยกันกะหนุงกะหนิงอยู่ด้านหลัง ท่าทางน่าหมั่นไส้จนต้องแอบเบะปากใส่อยู่หลายครั้ง ปากบอกไม่ชอบผูกมัดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอมีใครมองคนของตัวเองก็แทบจะแยกเขี้ยวใส่เขา ซึนเดเระจริงๆ เลย

"ทำไมปูนอยากมาโซลทาวเวอร์ล่ะ"
พี่ทาร์ตถามขึ้นในขณะที่เรากำลังเดินอยู่ในชั้นขายของที่ระลึก ผมเลิกคิ้วมองเขาก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะไม่รู้จะบอกยังไงดี อยากมาคล้องกุญแจกับแฟนงี้เหรอ อายตายเลย

"ก็... ชั้นบนมันดูวิวได้ไง"
ผมบอกปัดไปทั้งๆ ที่ไม่เคยสนใจวิวทิวทัศน์มากนัก ปกติไม่ชอบเที่ยวแนวธรรมชาติสักเท่าไหร่ ชอบที่ที่มีแสงสีมากกว่า


"อ๋อ นึกว่าอยากมาคล้องกุญแจกับพี่ซะอีก"
พี่ทาร์ตแซวกันก่อนจะเอื้อมมือมาพาดบ่า ผมสะดุดลมหายใจตัวเองเพราะเขาพูดแทงใจ ได้แต่หวังว่าความลับยังคงเป็นความลับอยู่เหมือนเดิม

"บ้าน่า หวานเลี่ยนตายเลยแบบนั้น"
ผมแสร้งทำหน้าแหยๆ ทั้งๆ ที่ใจอยากชวนเขาไปคล้องกุญแจด้วยกันจะตาย นานๆ ครั้งจะมีโอกาสมาเที่ยวไกลๆ พร้อมกันแบบนี้

"ปูนจะเข้าไปดูของที่ระลึกในร้านหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตถามเมื่อเราเดินเข้าใกล้ร้านขายของที่ระลึกเข้าไปทุกที ผมพยักหน้าเพราะอยากรู้ว่าด้านในขายอะไรบ้าง ตอนแรกกะว่าจะไปร้านเทดดี้แบร์แต่ตัดใจ ผู้ชายกับตุ๊กตาหมีไม่เข้ากันเท่าไหร่หรอก

"ไปครับ พี่ทาร์ตจะซื้ออะไรหรือเปล่า"

"ก็ว่าจะซื้อของไปฝากคนที่บ้านนั่นล่ะ"

"อ๋อครับ... เฮ้ย มึงจะเข้าไปในร้านด้วยกันปะ"
ผมตอบรับแล้วกันไปถามไอ้สองคนด้านหลังที่ทิ้งช่วงห่างพอตัว คือเหมือนแยกกันมายังไงไม่รู้ น่าหมั่นไส้จนอยากแยกแทจุนออกจากเพื่อนสนิท

"โนๆ เดี๋ยวกูกับแทจุนขึ้นไปดาดฟ้าเลย"
ไอ้กู๊ดตอบแล้วชี้มือขึ้นไปด้านบน ส่วนแทจุนเอาแต่ยิ้มกว้างส่งมาให้ อยากจะบอกว่าวันนี้เด็กมันแต่งตัวโคตรน่ารัก เชิ้ตสีชมพูอ่อนกับกางเกงสีขาวขาสั้น รองเท้าผ้าใบ ปล่อยผมลงแบบธรรมชาติไม่มีการเซ็ต แถมด้วยแว่นตากลมๆ สมควรที่ไอ้กู๊ดจะหวง

"โอเค ไว้เจอกันนะมึง"
ผมโบกมือให้เพื่อนแล้วเดินเข้าร้านขายของที่ระลึกไปพร้อมกัน แต่พี่ทาร์ตกลับบอกว่าขอตัวไปเลือกซื้อของฝากอีกทางหนึ่งเพื่อความสะดวกรวดเร็ว ซึ่งผมก็ไม่ได้ขัดอะไร แยกย้ายกันดูของที่ต้องการจะได้ไม่เสียเวลาไปเที่ยวต่อ

ผมหยิบนั่นดูนี่ไปเรื่อยจนได้ของติดไม้ติดมือไปฝากคนที่บ้านเล็กน้อย ตอนเดินผ่านโซนขายกุญแจยังมองจนตาละห้อย ซื้อไปก็คงไม่ได้คล้องอยู่ดี ส่วนพี่ทาร์ตหิ้วถุงลูกโตเดินมาหากันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แถมในมือยังมีปากกาติดมาด้วย ไม่รู้จะซื้อมาเพื่ออะไร

"ไปดาดฟ้ากัน"
ผมเอ่ยปากชวนก่อนจะถือวิสาสะแตะแขนพี่ทาร์ตเบาๆ ให้ออกเดิน จริงๆ อยากคล้องแขนแต่ดูจากสายตาคนรอบข้างแล้วมันไม่สมควร บ้านเมืองที่นี่ส่วนมากจะแอนตี้พวกรักร่วมเพศอยู่พอตัว

บรรยากาศยามใกล้พระอาทิตย์ตกทำให้วิวโดยรอบของโซลทาวเวอร์ดูสวยแปลกตา คู่รักชายหญิงต่างก็ยิ้มแย้มดูมีความสุข บางคนกำลังเดินวนรอบๆ เพื่อหาที่ว่างสำหรับคล้องแม่กุญแจ บางคนกำลังเตรียมโยนลูกกุญแจทิ้ง บางคนกำลังโพสต์ท่าเพื่อให้แฟนตัวเองถ่ายรูป ความรักอบอวลไปทั่วบริเวณจริงๆ เลยว่ะ

"มองหาไอ้กู๊ดให้หน่อยดิพี่"
ผมสะกิดคนข้างๆ ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรสักอย่างโดยที่สายตาสอดส่ายมองไปทั่วบริเวณเพื่อหาเพื่อนสนิท ไม่ใช่ว่าลากแทจุนไปข่มขืนแล้วนะ ทำไมหาไม่เจอสักที

"หึ เดี๋ยวมันก็โผล่มาเองล่ะน่า"
พี่ทาร์ตตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วหันมาคลี่ยิ้มให้กันในขณะที่ผมขมวดคิ้วมอง

"ก็ได้ๆ แล้วพี่เขียนอะไรอยู่"
ผมชะโงกหน้าไปดูแต่กลับมองไม่เห็นเพราะขนาดของในมือของพี่ทาร์ตมันชิ้นเล็ก เขายืดตัวขึ้นแล้วคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม

"แบมือมาสิ"
เขาบอกก่อนจะยื่นกำปั้นข้างหนึ่งมาตรงหน้า ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยแต่ก็ยอมทำตามที่เขาบอก

"เอาไปเขียนชื่อเนอะ"
พี่ทาร์ตวางแม่กุญแจสีฟ้าพาสเทลลงในมือของผมแล้วยักคิ้วกวนๆ ส่งมาให้ ถามว่าตอนนี้รู้สึกยังไง ขอตอบเลยว่าอึ้งมาก

"อ่า..."
ผมพยักหน้ารับแบบมึนๆ แล้วรับปากกามาจากพี่ทาร์ตแล้วหมุนตัวหนีเขาไปทางอื่นเพราะรู้สึกว่าตัวเองแก้มร้อนฉ่า อยู่ๆ ก็ได้คล้องกุญแจแบบไม่ต้องขอ จะรู้ใจกันเกินไปแล้วครับแฟน เขินว่ะ ทำไงดี

สรุปว่าผมได้มีโมเม้นท์คล้องกุญแจกับแฟนแบบมึนๆ แถมสียังหวานซะผู้หญิงยังอาย พี่ทาร์ตเอื้อมมือมากอดไหล่กันอย่างสนิทสนมโดยไม่แคร์สายตาคนรอบข้าง ถ้ามองเผินๆ ก็เหมือนพี่น้องธรรมดา แต่บรรยากาศและสถานที่โดยรอบนั้นบ่งบอกสถานะได้ชัดเจนที่สุด

"ฮันนีมูนที่โซลก็ดีเนอะ บรรยากาศดี"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นเมื่อเราเงียบกันไปนาน ผมหันขวับไปมองหน้าเขาด้วยความตกใจ อะไรคือฮันนีมูนครับคุณ ยังไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย

"ฮันนีมูนบ้าอะไรของพี่ เราไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย"
ผมแกะมือปลาหมึกของเขาออกจากตัวแล้วขยับถอยห่าง ไม่ใช่เพราะรำคาญแต่เขินจนหัวใจเต้นแรกต่างหาก ไม่ไหว...

"เหรอ งั้นรอปูนเรียนจบพี่ขอแต่งงานเลยดีไหม"
เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วยิ้มกรุ้มกริ่มส่งมาให้กัน ผมผงะถอยหลังแล้วเบนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะรู้สึกว่าแก้มร้อนจนแทบระเบิด อยู่ๆ ก็โดนขอแต่งงาน จะให้รู้สึกยังไงวะ บรรยากาศรอบๆ ก็โคตรโรแมนติกอีก หัวใจจะวาย

"เฮ้ย ผู้ชายเหมือนกันจะแต่งยังไง"
แสร้งทำเสียงตกใจแต่ไม่กล้ามองหน้าเขา พี่ทาร์ตขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกว่าลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดลงบนหัว อุตส่าห์หนียังตามมาอีกนะ...

"แต่งได้สิ มีเยอะแยะไป"
เขาก้มลงมากระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงร่าเริงจนผมนึกหมั่นไส้ อยากจะเตะให้กระเด็นแต่เหมือนตัวเองจะไร้เรี่ยวแรงเพราะเขิน

"จะทำอะไรก็ทำเหอะ ห้ามได้ที่ไหนเล่า"
ผมบ่นเสียงงุ้งงิ้งเพราะไม่สามารถขัดความต้องการของเขาได้ อีกใจหนึ่งก็อยากมีงานแต่งงานเป็นของตัวเองอยู่เหมือนกัน ถึงจะไม่ได้เป็นเจ้าบ่าวอย่างผู้ชายปกติทั่วไปก็เถอะ

"ถือว่าตอบตกลงแต่งงานกันแล้วนะ"
พี่ทาร์ตถามย้ำด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแถมยังรวบเอวผมเข้าไปกอดแบบไม่แคร์สายตาใคร จังหวะนี้ไม่มียางอายกันแล้ว ความโรแมนติกมันผลักดันให้ยอมโอนอ่อนตาม

"เออ แต่งก็แต่ง อย่าลืมมาขอแล้วกัน อีกสองปี!"
ผมบอกเขาทีเล่นทีจริงแล้วได้แต่ซุกหน้าลงบนอกแกร่ง ถึงมันจะเป็นเรื่องของอนาคตที่เราไม่สามารถกำหนดได้ แต่ตอนนี้มีความสุขก็เพียงพอแล้ว

ความรักดีๆ ควรรักษามันด้วยความซื่อสัตย์และความจริงใจ




------------------------------------------

ตอนที่ 25 มาแล้วน้า หวานนิดๆ เลี่ยนหน่อยๆ 555555
ส่วนบทส่งท้ายจะมาอาทิตย์หน้าเนอะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาจนจบเรื่องน้า -/\-

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ถือว่าซ้อมฮันนีมูนนะน้องปูน ฮึ่ยยยยย อิจฉาอ่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ gookgik

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-6
เป็นการขอแต่งงานที่โรแมนติกมาก สมแล้วที่เป็นพี่ทาร์ต รักจริงหวังแต่ง

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



จบหลักสูตร



'เราเป็นแค่พี่น้องกัน'

ผมสะดุ้งตื่นทันทีเมื่อความฝันเมื่อครู่มันช่างบีบหัวใจ เพดานสีขาว บวกกับกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ของโรงพยาบาลทำให้เกิดความสับสน ตกลงแล้วระหว่างตัวเองกับพี่ทาร์ตมีสถานะแบบไหนต่อกัน แล้วทำไมอยู่ๆ ผมถึงมานอนให้น้ำเกลืออยู่ที่นี่วะ 

หรือผมเป็นแค่เจ้าชายนิทราที่เพิ่งตื่นมาเจอกับความจริงที่ว่า 'พี่ทาร์ตก็แค่พี่ชายข้างบ้าน' โอย ทำไมปวดหัวแบบนี้ ห้องเงียบจนน่าวังเวง ใครอธิบายอะไรได้หรือเปล่าเนี่ย!

"ตื่นแล้วเหรอ"
น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจนผมต้องหันขวับไปมอง พี่ทาร์ตมีสภาพคล้ายคนเพิ่งผ่านการอาบน้ำมา ใบหน้าเรียบเฉยไม่ได้แสดงอาการยินดียินร้ายอะไร ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

"ผม... มาอยู่นี่ได้ยังไงครับ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ดวงตารีมองไปรอบๆ ห้องสีขาวด้วยความสงสัย ทำไมคิดถึงเหตุผลที่มานอนโรงพยาบาลไม่ออกเลยวะ สมองตื้อไปหมด

"ปูนเป็นลมกลางแดด พี่เลยรีบพามาโรงพยาบาลเนี่ย"
พี่ทาร์ตเดินเข้ามารินน้ำใส่แก้วแล้วส่งให้ผมดื่มก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับอยู่

"แล้วตอนนั้นเราทำอะไรกันอยู่ครับ"
ผมส่งแก้วน้ำคืนให้เขาแล้วถามสิ่งที่คิดไม่ออก ไม่รู้สิ เหมือนเพิ่งตื่นแล้วสติยังไม่เข้าที่เข้าทาง จำอะไรไม่ได้สักอย่าง อย่าบอกนะว่าเป็นลมถึงขั้นความจำเสื่อม...

"ไปเที่ยวทะเลไง จำไม่ได้เหรอ"
พี่ทาร์ตตอบพลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ เขาขยับใบหน้าเข้ามาใกล้กันเหมือนต้องการสำรวจอะไรบางอย่าง แต่ผมจำอะไรไม่ได้จริงๆ ไม่คิดจะแกล้งเลย

"มัน... มึนๆ คิดอะไรไม่ออกอะ"
ผมตอบก่อนจะหลบสายตาของเขา ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่โดนจ้องมองก็ไม่สามารถสู้ได้สักที แล้วไอ้อาการกึ่งจริงกึ่งฝันผมเชื่อว่าใครหลายๆ คนอาจจะเคยเป็น บางครั้งทำสิ่งหนึ่งในความจริงไปแล้ว แต่ตื่นขึ้นมาอีกวันกลับคิดว่าสิ่งที่ทำไปเมื่อวานนั้นตกลงทำจริงหรือทำแค่ในฝัน... ประหลาดดี

"งั้นนอนพักไปก่อน เดี๋ยวพี่เรียกพยาบาลให้"
พี่ทาร์ตทำท่าจะลึกจากเก้าอี้เพื่อยืดตัวไปกดปุ่มเรียกพยาบาลแต่ผมกลับรั้งชายเสื้อของเขาเอาไว้ ตอนนี้มีเรื่องคนใจอยากจะถาม อย่าเพิ่งเอาคนอื่นมาเป็นก้างขวางคอสิ

"อย่าเพิ่ง..."
ผมบอกเสียงอ่อยเมื่อโดนพี่ทาร์ตจ้องมาด้วยสายตาสงสัย แต่ไม่นานก็กลับกลายเป็นว่าเขาระบายยิ้มน้อยๆ แล้วยอมนั่งลงที่เดิมก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวกันเบาๆ

"ครับ มีอะไรเหรอ"

"คือว่า... เมื่อกี้ผมฝัน แต่ไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไร"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เมื่อคิดย้อนไปถึงความฝันเมื่อครู่ อยู่ๆ ก็เกิดความกลัวและสับสนขึ้นมาอีกครั้ง ฝันหรือความจริงกันแน่วะ

"หืม ยังไงครับ"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันปกติธรรมดาเหลือเกิน หรืออาจจะคิดมากไป

"แบบว่า... มันเหมือนจริงมากจนผมสับสน"
ผมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น อยากถาม อยากรู้ แต่กลัวสิ่งที่จะได้รับกลับมาจากเขา ทำไมต้องไม่แน่ใจอะไรมากขนาดนี้ด้วยวะ

"....."
เขานิ่งเงียบเหมือนรอให้ผมพูดต่อ

"ผมขอถามอะไรอย่างนึงได้ปะ"
ผมหันไปสบตากับเขาแล้วถามออกไปแบบนั้น เพราะไม่กล้าเล่าเรื่องที่ตัวเองสงสัยออกไป กลัวว่ามันจะเป็นเรื่องจริง แล้วถ้ามันไม่จริงคือต้องหน้าแตก อายแบบไม่มีที่ซุกหน้าหนีด้วยสิ

"หลายๆ อย่างก็ได้"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะ ดูท่าทางเขาจะไม่รู้ว่าผมกำลังคิดอะไร กลายเป็นคนไม่รู้ทันตอนนี้ก็ดีเหมือนกันล่ะมั้ง

"ตอนนี้เราเป็นอะไรกันเหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มก่อนจะเบนสายตาหลบ เพราะรู้สึกขอบตาร้อนผ่าวเพราะความกลัวของตัวเอง อยู่ๆ อะไรๆ มันก็ดูจะลำบากไปซะหมด น้ำตาจะไหลว่ะ

"แล้วปูนคิดว่าไงล่ะครับ"
เขาไม่ได้ตอบแต่ถามกลับมายิ่งทำให้ผมคิดหนักมากขึ้น แล้วตกลงมันยังไงกันแน่วะ

"คือผม..."

"เป็นลมถึงขนาดลืมเลยเหรอว่าเราเป็นอะไรกัน"
พี่ทาร์ตพูดแทรกขึ้นมาแล้วเลื่อนมือมาหยิกแก้มกันด้วยความมันเขี้ยว ผมเบิกตาโตเพราะตกใจกับการกระทำไม่มีปี่มีขลุ่ยของเขา

"ก็... กลัวเหมือนในละครที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นแค่ฝันอะ"
ผมพูดเสียงเบาเพรารู้สึกว่าอะไรๆ มันชัดเจนขึ้น บางอย่างในใจลึกๆ กำลังร้องบอกว่าตัวเองกำลังเพ้อเจ้อ


"ในฝันนี่เจ็บสะโพกอย่างตอนนี้ปะ"
พี่ทาร์ตถามด้วยแววตากรุ้มกริ่มก่อนจะเลื่อนมือมาจับสะโพกกัน ผมถลึงตามองเขาเพราะคำถามมันกำกวมแปลกๆ

"ห๊ะ... ถามอะไรเนี่ย"

"ก็ก่อนที่ปูนจะไปเดินตากแดดแล้วเป็นลมล้มพับเนี่ย พี่จัดซะหนัก..."
ไม่พูดเปล่าแต่บีบมือลงบนสะโพกของผมไม่แรงมากนัก แต่รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นริ้วขึ้นมาตามสันหลัง ชัดเจนจนต้องเม้มปากเข้าหากันแน่น ตอนนี้รู้แล้วว่าเมื่อครู่แค่ฝัน

"อึก..."

"คราวนี้ยังจะคิดอะไรวุ่นวายอีกไหมครับเมีย สงสัยติดละครมากไปหน่อยล่ะมั้ง จินตนาการโคตรล้ำเลย"
เขาว่าเสียงกลั้วหัวเราะแล้วแนบริมฝีปากลงมาบนแก้มด้วยความมันเขี้ยว ปลายจมูกโด่งถูกไถไปมาจนผมต้องใช้มือฟาดไหล่ของเขา ขนลุกไปหมดแล้ว นี่ขนาดผมนอนป่วยอยู่บนเตียงยังแกล้งกันขนาดนี้ ไม่อยากคิดสภาพตอนได้กลับบ้านเลย เละแน่ๆ

"อย่าพูดดิ... กะ ก็คนมันกลัวอะ อื้อ"
พูดยังไม่ทันจบก็โดนไอ้คนหื่นกามทุกเวลางับเข้าที่ซอกคอก่อนจะดูดเม้มให้ผมรู้สึกเสียวหน้าท้องวาบ โอย เกลียดตัวเองที่ไม่สามารถวิ่งหนีได้ ติดสายน้ำเกลือเนี่ย

"กลัวอะไรหืม"
ถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าแต่ยังไม่ยอมขยับใบหน้าออกจากซอกคอ แถมยังกดจูบย้ำลงไปอีก รักกันมากใช่ไหมครับ ปล่อยผมนอนสบายๆ สักวันได้ไหมเนี่ย นี่ป่วยนะ ช่วยเข้าใจหน่อยสิ!

"กะ กลัวว่าพี่จะไม่ได้เป็นแฟนผมจริงๆ"
ได้แต่ใช้มือปัดป้องเขาแล้วตอบกลับไปเสียงสั่น ในใจกังวลว่าจะเสียงตัวบนเตียงโรงพยาบาลหรือเปล่า ผมยังไม่อยากเปลี่ยนบรรยากาศขนาดนั้นเว้ย เดี๋ยวใครมาเห็นเข้านี่ตายกับตายเลยนะ

"ก็ไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วนะตอนนี้"
พี่ทาร์ตผละตัวออกไปแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แววตาไม่มีความขี้เล่นหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย หมายความว่ายังไงที่ไม่ได้เป็นแฟนกันวะ ย้อนแย้ง สับสนไปหมดแล้วเว้ย!

"อะไรนะ เราเลิกกันที่ทะเลเหรอ!"
ผมโผลงออกไปแล้วจ้องหน้าพี่ทาร์ตด้วยความตื่นตกใจ แต่เขากลับหลุดหัวเราะแล้วขยับเข้ามาดึงตัวผมไปกอดไว้หลวมๆ อะไรวะ จะร้องไห้แล้วเนี่ย!

"เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ ครับคนป่วย พี่แค่จะบอกว่าตอนนี้พี่เป็นผัวปูนก็เท่านั้นเอง ทำไมชอบคิดในแง่ลบตลอด"
เสียงพูดกลั้วกัวเราะทำให้ผมสะดุดลมหายใจตัวเองแล้วสำลักออกมาเบาๆ เมื่อครู่ถ้าฟังไม่ผิดจะได้ยินคำว่า 'ผัว' ใช่ไหม ไอ้บ้านี่!

"อะ... ไอ้พี่ทาร์ต พูดอะไรวะ ไม่อายบ้างหรือไง"
ผมบ่นเสียงดังเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้น พยายามเม้มปากอย่างสุดความสามารถไม่ให้ยิ้มไปกับคำบ้าๆ นั่น ทำไมต้องใจเต้นกับคำว่าผัวๆ เมียๆ ทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายด้วยวะ เกลียดตัวเองเว้ย

"ระดับนี้ไม่มีอะไรต้องอายแล้วครับ อีกไม่กี่วันจะแต่งงานกันอยู่แล้ว ลืมเหรอ"
พี่ทาร์ตบอกเรื่องที่น่าตกใจมากกว่านั้นออกมา ผมถึงกับเบิกตาโตเพราะลืมไปซะสนิท เออว่ะ เพิ่งโดนขอแต่งงานไปเมื่อตอนรับปริญญา อีกไม่กี่วันก็จะจัดงานอยู่แล้ว โอย อะไรของผมวะเนี่ย สติหายไปอยู่ที่ไหน

"อะ... ลืมสนิทเลย
ผมพูดเสียงเบาแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความอาย จะแต่งงานอยู่แล้วแต่คิดอะไรเป็นตุเป็นตะ ขายขี้หน้าฉิบหายเลย โอ้ย

"เมียเอ้ยเมีย ต่อไปมีแววจะเป็นอัลไซเมอร์แน่ๆ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยเสียงสูงจนผมต้องลดมือลงแล้วมองหน้าเขาด้วยสายตาดุๆ ทำไมพูดแบบนี้วะ...

"ไม่หรอก พี่แช่งผมปะเนี่ย จะมีเมียน้อยเหรอ"
ผมจ้องเขม็งก่อนจะคว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้แน่น อย่าบอกนะว่านิสัยเดิมๆ กำลังจะหวนกลับมา

"เฮ้ยๆ เปล่าๆ ไม่ใช่แบบนั้น อย่าดุสิ"
พี่ทาร์ตรีบปฏิเสธเป็นพัลวันแล้วดึงมือของผมไปกุมเอาไว้อย่างแผ่วเบาก่อนจะกดจูบลงไป

"อย่าให้รู้นะครับว่าคิดจะนอกใจ"
ผมเหล่สายตามองเขาอย่างคนไม่สนิทใจ ใครจะไปรู้เรื่องอนาคตล่ะจริงไหม ตั้งแต่คบกันมาผมเลิกนิสัยคิดมากไม่ได้เลย เพราะทุกเรื่องของเขาสำคัญเสมอ

"คบมาตั้งขนาดนี้แล้ว ไม่นอกใจหรอกน่า"
พี่ทาร์ตกดจูบลงมาบนหน้าผากของผมคล้ายให้คำมั่นสัญญาก่อนจะเลื่อนลงมาขบเม้มริมฝีปากเบาๆ อย่างหยอกล้อ ไอ้บ้านี่ชอบฉวยโอกาสอยู่เรื่อย

"ให้มันจริงเถอะครับคุณว่าที่สามี"
ผมใช้มือทั้งสองข้างคล้องคอเขาไว้แล้วมองนิ่ง พี่ทาร์ตถึงกับหลุดยิ้มแล้วโน้มตัวลงมามอบจูบหวานละมุนให้กันอีกครั้ง

"เชื่อใจผมได้ครับคุณว่าที่ภรรยา"

ผมคิดว่าสูตรความรักของเราไม่ได้เพอร์เฟ็คหรอก แต่มันเป็นสูตรที่ลงตัวที่สุดแล้วต่างหาก




---------------------------------------------

จบแล้วฮับ ขอบคุณที่ติดตามกันมาอย่างยาวนาน
หลังจากนี้มาลุ้นกันเนอะว่าจะได้ตีพิมพ์หรือเปล่า

ทาร์ต/ปูน : รักทุกคนนะครับ /มินิฮาร์ท

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
                                         :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
                                 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:  :katai2-1:

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนกว่าจะรักกันได้ก็ปากแข็งนะพี่ทาร์ต พอเป็นแฟนกันนี่หวานเชียว
ขอบุณมากค่าา  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ Gatjang_naka

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ van16

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 875
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2

ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 407
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1

ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 407
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
เพิ่งรู้ว่าคือนักเขียนคนเดียวกับเรื่องพี่ยูถึงว่ากลิ่นอายอบอุ่นเหมือนกันมากแต่พระเอกทุกคนก็ยังมีความหื่นสูง 5555555 ชอบมากค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด