พิมพ์หน้านี้ - ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Ch0cmint ที่ 04-03-2017 21:59:43

หัวข้อ: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 04-03-2017 21:59:43
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ เริ่มเรียน -P.1- (04/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 04-03-2017 22:05:33
(http://i.imgur.com/NUA5mW9.png)




"คุณคิดว่าขนมหวาน จะหวานเท่ารักของผมกับเขาหรือเปล่า?"







(http://i.imgur.com/nnGK38g.png)

• เริ่มเรียน • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3591351#msg3591351)
• สูตรที่ 1 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3595975#msg3595975)
• สูตรที่ 2 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3597400#msg3597400)
• สูตรที่ 3 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3598816#msg3598816)
• สูตรที่ 4 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3600666#msg3600666)
• สูตรที่ 5 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3603327#msg3603327)
• สูตรที่ 6 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3605192#msg3605192)
• สูตรที่ 7 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3608185#msg3608185)
• สูตรที่ 8 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3610754#msg3610754)
• สูตรที่ 9 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3615642#msg3615642)
• สูตรที่ 10 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3617952#msg3617952)
• สูตรที่ 11 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3621774#msg3621774)
• สูตรที่ 12 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3624388#msg3624388)
• สูตรที่ 13 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3627436#msg3627436)
• สูตรที่ 14 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3630677#msg3630677)
• สูตรที่ 15 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3633896#msg3633896)
• สูตรที่ 16 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3636590#msg3636590)
• สูตรที่ 17 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3637864#msg3637864)
• สูตรที่ 18 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3640596#msg3640596)
• สูตรที่ 19 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3642549#msg3642549)
• สูตรที่ 20 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3644270#msg3644270)
• สูตรที่ 21 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3645335#msg3645335)
• สูตรที่ 22 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3647724#msg3647724)
• สูตรที่ 23 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3650255#msg3650255)
• สูตรที่ 24 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3652765#msg3652765)
• สูตรที่ 25 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3656315#msg3656315)
• จบหลักสูตร • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58605.msg3659893#msg3659893)







Fanpage : https://www.facebook.com/Ch0cmint/
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ เริ่มเรียน -P.1- (04/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 04-03-2017 22:09:03
เริ่มเรียน




'พี่ชายข้างบ้าน' เป็นบุคคลที่ยังอยู่ในความทรงจำแต่มันช่างเลือนลางเหลือเกิน สมัยเด็กๆ จำได้ว่าทุกๆ วัน 'พี่ทาร์ต' จะมาขลุกตัวอยู่ที่บ้านของผม เอาขนมจากที่ร้านมาฝากบ้าง มาช่วยสอนการบ้านบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะมาชวนกันเล่นเกมมากกว่า

เขาย้ายไปเรียนไฮสคูลที่อเมริกาโดยทิ้ง 'น้องชายข้างบ้าน' อย่างผมที่ตอนนั้นอยู่เพียงชั้นประถมเอาไว้ ในช่วงแรกๆ อาการติดพี่ทำให้งอแงอยู่บ่อยๆ จนพ่อแม่สงสารแต่ช่วยปลอบใจได้แค่อย่างเดียว ไม่สามารถส่งผมไปเรียนที่นั่นกับเขาได้ ก็รายจ่ายสูงลิบลิ่วขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นปัจจุบันนี้จะให้ตามไปเรียนก็ไหว

พี่ทาร์ตแก่กว่าผมหกปีถือว่าห่างกันพอตัว บางเรื่องความคิดของเราทั้งคู่ก็ต่างกันคนละแนว... ล่าสุดที่เราคุยกันคงเป็นเมื่อสามวันที่แล้วล่ะมั้ง อืม

'จะกลับไทยแล้วนะเว้ย อยากเจอชะมัดเลยน้องเปียกปูน - พี่ทาร์ต'

เกลียดแม่ง... บอกไม่รู้กี่รอบแล้วว่าให้เรียกปูนเฉยๆ เรียกชื่อเต็มทีไรรู้สึกว่าตัวเองเขียวๆ ดำๆ ทั้งๆ ที่มีผิวก็ขาวจนซีดอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่พี่ทาร์ตไปเรียนไฮสคูลยันจบปริญญาโท เรายังไม่เคยเจอหน้ากันสักครั้งเดียว ได้แต่คุยผ่านทางโซเชี่ยล เห็นรูปถ่ายบ้างประปรายเลยอดตื่นเต้นไม่ได้ที่พรุ่งนี้จะได้เจอกันตัวเป็นๆ ผ่านมาเก้าปีแล้วสินะ... ความสนิทสนมมันก็คงเจือจางลงไปมาก อาจจะต้องเริ่มต้นทำความรู้จักกันใหม่ด้วยซ้ำล่ะมั้ง

ผมยังคงนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงแม้เวลาจะล่วงเลยเข้าช่วงเที่ยงวันเพราะไม่มีใครอยู่บ้าน ท้องไม่ได้ประท้วงว่าหิวเลยสักนิด คงเป็นเพราะเกิดความตื่นเต้นที่จะได้เจอเขาล่ะมั้ง คิดถึงจนไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ยังไง แต่ที่แย่กว่านั้นคือควรวางตัวยังไง เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว จะให้ปฏิบัติเหมือนตอนเป็นเด็กคงไม่ใช่ แล้วอีกอย่างคือพี่ทาร์ตจะพาแฟนกลับมาที่บ้านด้วย เชื่อว่าป้าอุ่นคงโวยวายบ้านแตกแน่ๆ

Rrrrr

เสียงริงโทนดังขึ้นจนผมต้องรีบเอื้อมมือไปหยิบเครื่องมือสื่อสารจากบนหัวเตียงขึ้นมาดูหน้าจอ มันปรากฏชื่อคนโทรเข้าเป็นภาษาอังกฤษ P' Tart แปลกใจเล็กน้อยที่อยู่ๆ เขาก็โทรมาแบบนี้ ร้อยวันพันปีไม่เคยใช้เสียงคุยกัน มีแต่พิมพ์ตัวหนังสือเท่านั้น ผมลังเลอยู่สักพักแต่ก็ยอมเลื่อนหน้าจอรับสาย

"ฮัลโหล"
ผมกรอกเสียงราบเรียบลงไปและพยายามควบคุมอาการตื่นเต้น เพราะนี่นับเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ยินเสียงเขาผ่านโทรศัพท์ ไม่ใช่ดูไลฟ์สดผ่านโซเชี่ยล ปลายสายเสียงดังเล็กน้อยอาจจะกำลังปาร์ตี้เลี้ยงส่งอยู่ก็เป็นได้

'ไฮ ~ น้องปูนของพี่'
คำทักทายแรกจากเขามาพร้อมเสียงทุ้มนุ่มที่ทำให้ใจกระตุก ไม่เคยคิดเลยว่าบุคคลที่หล่อเหลาคมคายติดโหดจะเสียงละมุนขนาดนี้ แล้วมันคืออะไรที่เรียกว่าน้องปูนของพี่วะ ไปเป็นของมันเมื่อไหร่เนี่ย

"อะไรของพี่วะ เมาเหรอ"
ผมถามกลับไปก่อนจะขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงดังแทรกเขามา ไม่ใช่ว่าปาร์ตี้ไปนัวเนียผู้หญิงไปนะ น่าเกลียดฉิบหาย

'เมา... เปล่า คอทองแดงขนาดกินไวน์แทนน้ำเนี่ยนะ เด็กๆ น่า'
เสียงกลั้วหัวเราะตอบกลับมาได้อย่างน่าหมั่นไส้ ใครจะไปรู้ชีวิตพี่ล่ะวะว่าดื่มไวน์แทนน้ำก็ได้ด้วย ไม่ได้เจอกันตั้งเก้าปีใครมันตรัสรู้ได้บ้างถ้าเจ้าตัวไม่บอก คิดแล้วก็น่าหงุดหงิด พรุ่งนี้เบี้ยวไม่ไปรับที่สนามบินให้นั่งแท็กซี่กลับบ้านให้เข็ด หลงทางก็ช่างแม่ง

"ขี้คุย แล้วโทรมามีอะไรครับ พี่ทาร์ตปาร์ตี้อยู่ไม่ใช่เหรอ"
แอบแขวะไปเล็กน้อยให้ปลายสายสำนึกผิด แต่เปล่าเลย เขาหัวเราะเสียงใสกลับมาให้ผมได้เบะปากหมั่นไส้เล่นๆ เสี่ยงลองถามไปว่าเขาปาร์ตี้อยู่นั้นเป็นความจริงหรือเปล่า ก็เสียงเพลงมันดัง เสียงคนรอบข้างก็น่าหงุดหงิด โหวกเหวกโวยวายอะไรนักหนาก็ไม่รู้

'แค่โทรมาเตือนว่าพรุ่งนี้อย่าลืมไปรับพี่ที่แอร์พอร์ตด้วย เออ... พี่ปาร์ตี้อยู่ เสียงดังเกินไปปะวะ'
ที่แท้ก็กลัวว่าผมจะลืมไปรับเขา จริงๆ ก็กังวลอยู่นิดหน่อยนะ เพราะไม่รู้ว่าหน้าตาของพี่ทาร์ตกับในรูปถ่ายเหมือนกันมากแค่ไหน ขืนไปทำตัวป้ำๆ เป๋อๆ ต่อหน้าเขาก็แย่ดิ ไม่อยากทำให้การพบกันครั้งใหม่เป็นความทรงจำที่แย่สักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้อยากจะด่าให้หูชาเหลือเกิน เพิ่งรู้เหรอว่าฝั่งตัวเองเสียงดังมากแค่ไหน หึ!

"ไม่ลืมหรอกน่า ผมไม่ใช่ปลาทองสักหน่อย พี่กลับไปปาร์ตี้เหอะครับ"
ออกปากไล่ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อยและลุกขึ้นนั่งก่อนจะใช้มือขยี้หัวไปมา ตอนนี้เริ่มหิวแล้วสิ ต้องไปอาบน้ำแล้วลงไปหาอะไรยัดใส่ปากสักที

'โอเค อือ เจนอย่าเพิ่งจูบสิครับ ไอคุยกับน้องอยู่นะ'

"....."
เหี้ยอะ โคตรเหี้ยเลย ไม่ได้อยากรับรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพี่ทาร์ตกับใครทั้งนั้น แม่ง โคตรประเจิดประเจ้อ จะว่าอิจฉาอยู่เล็กๆ ก็คงใช่ ก็ผมมันไม่มีแฟนนี่หว่า หน้าตาก็ธรรมดาไม่ได้โดดเด่นอย่างใครเขา

'ยูต้องสนใจไอสิทาร์ต ไอเป็นเกิร์ลเฟรนด์ของยูนะ'
อ่าว... ผมนี่หมาเลยครับ ก็เข้าใจว่าเธอเป็นแฟน แต่พี่ทาร์ตคุยกับผมไม่ถึงสิบนาทีเนี่ยนะ จะเรียกร้องความสำคัญอะไรขนาดนั้น พี่เจนอะไรนี่คงไม่ถูกชะตากันแน่ๆ

'เออๆ ไอสนใจเจนก็ได้... ปูนๆ ยังอยู่ปะ'
พี่ทาร์ตถามกลับมาด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิด ผมเดาว่าต้องโดนพี่เจนอะไรนั่นทำหน้างอใส่อยู่แน่ๆ มีแฟนเป็นผู้หญิงก็ลำบากนะบางที แต่จะให้มีแฟนเป็นผู้ชายเขาก็คงไม่เอาหรอกมั้ง ได้ข่าวว่าเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ

ผมถอนหายใจเล็กน้อยเพราะรอสายอยู่นานแล้ว รอจนจะถอดเสื้อผ้าเสร็จแล้วด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าโทรศัพท์แนบหูอยู่คงเปลือยล่อนจ้อน ปากบางเบ้ออกด้วยความเบื่อ เสียงพี่เจนง้องแง้งเป็นภาษาอังกฤษรัวๆ ลอดมาตามสาย เฮ้อ ไปเคลียร์กันให้จบๆ เหอะ ประสาทจะเสีย

"อยู่ครับ พี่ทาร์ตควรวางสายแล้วไปเคลียร์กับแฟนสักที น่ารำคาญอะ"

'โว้ เจ้าอารมณ์จังนะน้องปูน โอเคๆ วางสายแล้วครับ พรุ่งนี้เจอกัน จุ๊บ'
แล้วสายก็ตัดไปพร้อมกับผมที่สบถคำด่าตามหลังไปเป็นกระบุง เป็นเหี้ยอะไรต้องมาจุ๊บส่งท้ายให้ขนลุกขนพองด้วยวะ แม่งเอ้ย

ผมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็พาขายาวๆ ก้าวลงจากบันไดทีละขั้นอย่างไม่รีบร้อน ภายในบ้านเงียบสงบจนน่าวังเวง แต่ก็ยังแว่วเสียงไอ้ฟ่อนดังมาจากข้างบ้าน ไม่รู้โหวกเหวกโวยวายอะไรของมัน น่ารำคาญฉิบหาย ถึงจะเป็นน้องแท้ๆ ของพี่ทาร์ตแต่นิสัยต่างกันราวฟ้ากับเหว

คนพี่จะออกแนวเฮฮาปาร์ตี้ไม่คิดอะไรมาก แต่คนน้องจะขี้โวยวายขี้หงุดหงิดเอาแต่ใจสารพัดสารเพไปหมด บางทีผมไปนั่งเล่นกับมันก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาดื้อๆ อีกอย่างคือพี่ทาร์ตกับชิฟฟ่อนอายุห่างกันแปดปี เท่ากับมันเป็นน้องของผมสองปี

"พี่ปูน!!"
เสียงไอ้ฟ่อนตะโกนดังมาจากรั้วข้างบ้านทำให้ผมที่กำลังจะเดินผ่านหน้าต่างบานกระจกใสต้องหยุดชะงักแล้วเปลี่ยนทิศทางไปคุยกับมันแทน ขืนทำเป็นไม่ได้ยินหรือไม่สนใจคงบุกมาหาถึงบ้านแน่ๆ

ผมตรงเข้าไปเปิดบานกระจกหน้าต่างออกแล้วยืดตัวออกไปเพื่อจะคุยกับฟ่อน สีหน้าท่าทางของมันดูจะตื่นเต้นอยู่มาก ให้เดาคงไม่พ้นเรื่องพี่ทาร์ต... แต่จะว่าไปทางนั้นก็บินไปหาบ่อยนี่หว่า

"มีอะไรวะฟ่อน เสียงดังฉิบหาย ไม่กลัวคนข้างบ้านเอาขวดปาหัวหรือไง"
ผมว่ามันด้วยเสียงดุๆ แล้วเท้าแขนลงบนขอบหน้าต่าง ไอ้ฟ่อนเบะปากลงจนเป็นเส้นโค้งบ่งบอกว่ากำลังไม่พอใจ แต่ไม่กล้าโวยวายหรอกเพราะผมจะด่ามันทันทีที่ทำตัวงี่เง่าใส่

"คนข้างบ้านฟ่อนมันก็พี่ปูนไม่ใช่เหรอไง"
มันยอกย้อนกลับมาด้วยใบหน้าเซ็งๆ ที่พูดไปเมื่อครู่ผมหมายถึงคนอื่นๆ บริเวณรอบๆ ปะวะ กูคงไม่เอาแค่ขวดปาอะ ขอระเบิดเลยแล้วกัน

"คุยกับมึงแล้วปวดหัว"
ผมยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ พร้อมกับเบ้ปากใส่ไอ้ฟ่อนที่ยืนเบะปากอยู่ริมรั้ว ไม่พอใจแล้วชอบทำตัวอย่างกับเด็กผู้หญิงขี้งอน อนาคตป้าอุ่นคงมีลูกเขยแน่ๆ ผมฟันธงเลย คิดแล้วก็เพลียแทนว่ะ

"พี่ปูนอะปากร้าย เพราะแบบนี้ไงเลยหาแฟนไม่ได้สักที"
ได้ทีด่ากูอีกไอ้เด็กเวรเอ้ย! ไม่วายยังย่นจมูกใส่อีก ผมทำท่าจะปีนหน้าต่างออกไปกระทืบมันให้จมดินอยู่รอมร่อแต่ไอ้ฟ่อนไหวตัวทันแล้วหลบไปอยู่หลังต้นไม้ซะอย่างนั้น คิดว่ามันจะบังตัวเองได้หรือไง แต่ผมขี้เกียจออกแรงว่ะ เมื่อวานไปวิ่งมาเมื่อยขาจะแย่

"ปากวอนหาตีนนะไอ้ฟ่อน กูจะมีหรือไม่มีแฟนหนักหัวมึงมากหรือไง พูดอย่างกับตัวเองมี"
ผมยืนกอดอกพิงขอบหน้าต่างแล้วมองไอ้เด็กที่โผล่หัวออกมาจากหลังต้นไม้ มันส่งยิ้มแห้งๆ มาให้กันก่อนจะทำการใหญ่โดนลากบันได้แล้วปีนข้ามรั้วมาหา เดี๋ยวนะ... ประตูบ้านก็มีทำไมมึงไม่เข้าทางนั้นวะ โอ๊ย สติ! เสือกเสียหลักกลิ้งลุนๆ บนสนามหญ้าอีก กูจะบ้าตาย

"โอย เจ็บๆ พี่ปูนมาช่วยฟ่อนหน่อย"
ไอ้ฟ่อนนอนร้องโอดโอยอยู่ในสนามข้างบ้าน ผมปีนขอบหน้าตาที่อยู่แค่ระดับขาอ่อนออกไปแล้วยืนค้ำหัวมันอยู่เฉยๆ ดวงตาคมมองด้วยความสะใจ ทางดีๆ ให้เข้าก็มีดันไม่เข้า ชอบทำอะไรที่มันผาดโผนก็สมควรแล้วล่ะ จะไปช่วยให้เปลืองแรงเพื่ออะไรไม่ทราบ

"ตกลงมาเองก็ลุกขึ้นเองสิวะ ประตูก็มีทำไมไม่เข้ามาทางนั้น ประสาทนะมึง"
ผมใช้เท้าเตะไหล่มันไปเบาๆ แล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งที่โต๊ะในสวน ไอ้ฟ่อนทำลุกขึ้นด้วยตัวเองก่อนจะใช้มือปัดเศษหญ้าออกแรงๆ ท่าทางแบบนั้นคงหงุดหงิดแล้วล่ะ แต่ใครจะสน ทำตัวเองทั้งนั้นและผมไม่จำเป็นต้องแคร์

"พี่ปูนแม่ง ตลอดอะ ไม่เคยรักฟ่อนเลย รักแต่พี่ทาร์ตสินะ"
พูดเสียงง้องแง้งแล้วทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามด้วยใบหน้าบึ้งตึง ดวงตากลมที่มองมาฉายแววไม่พอใจอย่างไม่ปิดบัง ถือว่าเป็นข้อดีของน้องมันนะที่เป็นคนเปิดเผย รู้สึกยังไงก็แสดงออกทางสีหน้าและท่าทางจนหมดเปลือก ผมไหวไหล่อย่างไม่สนใจคำพูดของมันสักเท่าไหร่ บอกไม่ได้หรอกว่ารักพี่ทาร์ตมากกว่าฟ่อนหรือเปล่า ห่างหายกันไปตั้งหลายปีแล้วนี่นา

"ไม่รู้เว้ย ก็มึงซุ่มซ่ามเองปะฟ่อน แล้วนี่ป้าอุ่นไม่อยู่หรือไง"

"ชิ เออๆ ซุ่มซ่ามเองล่ะ แม่ออกไปวัดกับญาติๆ อะ กลับอีกทีคงตอนบ่ายเลยมั้ง"
มันพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ สีหน้าราบเรียบไม่บอกอารมณ์ใดๆ ไอ้ฟ่อนเป็นเด็กที่ไม่ชอบคลุกคลีกับญาติตัวเองสักเท่าไหร่เพราะเคยโดนพวกเขาหาว่าบุคลิกไม่แมน โตมาคงเป็นตุ๊ด เป็นผมก็ไม่อยากจะสุงสิงกับใครที่ตัดสินเราจากภายนอกเหมือนกัน แต่ถึงจะเป็นตามที่เขาว่าจริงๆ แล้วมันจะหนักหัวใครที่ไหน ในเมื่อป้าอุ่นเองบอกว่ายอมรับสิ่งที่ลูกเป็นได้ทั้งนั้น เป็นแม่ที่โคตรประเสริฐจริงๆ

"อืม กินอะไรมาหรือยัง"
ผมถามออกไปเผื่อว่าตอนไปเอาข้าวมานั่งกินจะได้ตักให้มันด้วย ฟ่อนส่ายหัวเป็นคำตอบ ดูจากรูปการณ์แล้วป้าอุ่นคงออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แล้วเด็กในร้านขนมคงไม่ได้ซื้ออะไรติดไม้ติดมือมาฝากแน่ๆ

"ยังเลยพี่ปูน ขอฝากท้องด้วยได้ปะ"
มันพูดด้วยน้ำเสียงออกอ้อนแถมยังขยับเข้ามาใกล้แล้วเอาหน้าถูกับไหล่ผมอีก รู้สึกขนลุกซู่จนต้องผลักหัวไอ้ฟ่อนออกไปห่างๆ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นขยะแขยงเมื่อโดนน้องตวัดสายตามอง

"เออ... อ้อนก็ไม่ได้ คนอะไรโคตรแข็งกระด้างเลย"
พูดจบก็เบะปากใส่กันซะอย่างนั้น และด้วยความหมั่นไส้ผมเลยเอื้อมมือไปดึงแก้มไอ้ฟ่อนจนยืดออก มันโวยวายปัดป่ายยกใหญ่คงจะเจ็บ แต่ผมกลับสะใจว่ะ ขี้งอนอย่างกับผู้หญิง ทุกวันนี้สงสัยว่าตอนเกิดน้องมันคงหยิบอวัยวะเพศมาผิดแน่ๆ

"มาขอฝากท้องไม่พอแถมยังด่ากูอีก... กลับบ้านไปหาแดกเอาเองไป"
ผมออกปากไล่แล้วโบกมือแถมไปด้วย แต่แทนที่มันจะออกอาการฮึดฮัดใส่แบบปกติที่เคยทำกลับนั่งนิ่งๆ ก่อนจะส่งสายตาอ้อนวอนมาให้กัน มันต้องมีอะไรมากกว่าการมาฝากท้องแน่ๆ ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงตั้งคำถามและไม่นานปากสีชมพูบางๆ นั่นก็พูดเรื่องที่ต้องการออกมา

"อย่าไล่น้อง ฟ่อนขอโทษนะพี่ปูน ~ พรุ่งนี้ขอไปรับพี่ทาร์ตด้วยได้ไหมอ่า"
กูว่าแล้วว่าต้องมาเรื่องพี่ทาร์ตแน่ๆ ผมเหล่มองมันด้วยความสงสัย แค่ไปรับพี่ทาร์ตกลับบ้านแค่นี้ทำไมต้องอยากไปด้วย ได้ข่าวว่าเดือนที่แล้วก็แห่ไปเยี่ยมที่อเมริกามาหมาดๆ คงไม่ใช่เพราะความคิดถึงแน่ๆ ทำไมชอบมีเรื่องอื่นแอบแฝงตลอดวะ

ฟ่อนส่งยิ้มหวานมาให้กัน ปากบางสีชมพูคลี่ยิ้มสดใสอย่างเอาใจ มันก็ดูน่ารักน่าจับกดอยู่หรอก แต่ความรู้สึกตงิดๆ ว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นคืออะไร ตาขวากระตุกยิกๆ ขนาดนี้... ฉิบหายแน่ๆ

"ฟ่อน เอาตรงๆ มึงจะไปรับพี่ทาร์ตที่สนามบินทำไม"
ผมถามเสียงนิ่งแล้วใช้ดวงตาคมมองบุคคลที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กัน ฟ่อนเม้มปากอย่างครุ่นคิดก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ท่าทางเหมือนคนกำลังหงุดหงิด หรือว่า...

"ฟ่อนไม่ชอบพี่เจนอะไรนั่น ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมพี่ทาร์ตก็โดนผู้หญิงคนนี้แย่งความสนใจไปตลอด"
คิดไว้ไม่มีผิดว่าต้องเกี่ยวกับพี่เจนอะไรนั่นแน่ๆ เพราะผมเพิ่งโดนเธอแย่งความสนใจไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อสักพักที่ผ่านมานี่เอง ฟ่อนเบ้ปากและทำหน้าตาไม่สบอารมณ์ มือบางกำหมัดไว้แน่นก่อนจะทุบลงกับโต๊ะแรงๆ ผมไม่ได้ห่วงน้องนะแต่กลัวโต๊ะจะพังมากกว่า พอดีซื้อมาแพง

"เออ แล้วมึงจะไปทำอะไรเขาไม่ทราบ จะงัดข้อกับพี่ทาร์ตหรือไง ไล่พี่เจนกลับอเมริกางี้เหรอ"
ผมถามน้องออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แสดงอาการใดๆ ทั้งที่ในใจก็สนับสนุนให้ฟ่อนอาละวาดใส่พี่ทาร์ตเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ไม่มีสิทธิ์อะไรขนาดนั้นไงเป็นแค่น้องชายข้างบ้านที่ไม่ได้สนิทกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไปก้าวก่ายชีวิตเขาเดี๋ยวจะโดนหาว่าเสือกอีก มันเจ็บปวด

"พี่ทาร์ตไม่ได้จริงจังอะไรกับพี่เจนหรอก ผมว่าคงคบกันเพราะเรื่องเซ็กซ์อะ บางครั้งก็ดูเหมือนเขาไม่ได้รักกัน"
ฟ่อนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ สีหน้าดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับความสัมพันธ์แบบนั้นของพี่ชายตัวเอง เรียนจบป.โทนี่มันก็อายุเยอะแล้วนะ จะไม่คบใครให้เป็นเรื่องเป็นราวแล้วแต่งงานมีครอบครัวบ้างเหรอ หรือน้องมันแค่มโนไปเองเพราะไม่ชอบพี่เจนวะ ผมสงสัยจริงๆ

"เดี๋ยวไอ้ฟ่อน แล้วมึงไปรู้เรื่องเขาลึกขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ไปนอนใต้เตียงเขามาหรือยังไง ถึงได้รู้ว่าระหว่างพี่ทาร์ตกับพี่เจนคบกันแค่เรื่องบนเตียง"
ผมขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อถามจบแล้วยื่นหน้าเข้าไปมองไอ้ฟ่อนใกล้ๆ อย่างต้องการคำตอบ คนเราจะพูดอะไรออกมาสักอย่างนั้นมันต้องมีมูลล่ะ... น้องเป็นคนช่างสังเกตอาจจะมีอะไรที่ผิดแปลกออกไปล่ะมั้ง ไม่รู้สิ ผมไม่เคยมีแฟนและไม่เคยเจอพี่ทาร์ตกับพี่เจนตอนคบกันสักหน่อย

"พี่ปูน... อย่าเข้ามาใกล้ดิ หายใจลำบากอะ"
ฟ่อนพูดเสียงตะกุกตะกัก ใบหน้าหวานๆ นั่นแดงระเรื่ออย่างน่ารัก แต่ผมถึงกับต้องผละตัวออกห่างอย่างรวดเร็วเพราะลืมไปแล้วว่าน้องมันแอบชอบ... ก็นะ มันไม่ได้เป็นตุ๊ดอะไรอย่างที่ญาติกล่าวหาหรอกแต่เป็นเกย์... รับด้วย

"เมื่อไหร่จะเลิกชอบกูสักทีวะฟ่อน ไปหาคนใหม่ที่เขารักมึงเถอะ รอกูไปก็เสียเวลาเปล่าๆ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วยกมือขึ้นลูบหัวเด็กน้อยที่ทำหน้าหงอยอยู่ใกล้ๆ ฟ่อนส่ายหน้าเบาๆ เพื่อปฏิเสธคำแนะนำทิ้ง ไม่รู้ว่าน้องถูกใจอะไรผมนักหนา แต่นับถือที่มันกล้าเดินเข้ามาบอกตรงๆ ว่าชอบกัน ไม่ได้รังเกียจอะไร แต่สำหรับผมแล้วคนตรงหน้าก็แค่น้องชายคนหนึ่งที่ไม่สามารถคิดเกินเลยได้จริงๆ

"ถ้าเลิกชอบได้ง่ายๆ ฟ่อนทำไปแล้วปะวะ จะมานั่งรอคนไร้หัวใจอย่างพี่ปูนไปทำไม รู้ปะว่านิสัยพี่กับพี่ทาร์ตคล้ายๆ กันนะถึงมันจะคนละโลกเลยก็เถอะ เพราะคนหนึ่งสนุกกับคู่ควงไปวันๆ แต่ไม่ได้รัก ส่วนอีกคนสนุกกับการใช้ชีวิตประจำวันแต่ไม่ยอมรักใคร ฟ่อนอยากรู้ว่าพวกพี่กำลังรออะไรกันอยู่ อยากรู้ว่าคนที่พวกพี่จะยอมมอบความรักให้หน้าตาเป็นยังไง"

"....."
เออว่ะ ผมรออะไรอยู่กันแน่ ที่ยังไม่ยอมมีแฟน คนมาจีบก็มีบ้างนั่นล่ะ แต่พอเผลอใจรู้สึกดีด้วยก็ดึงสติกลับและเลิกคุยกับเขาไปซะอย่างนั้น แล้วพี่ทาร์ตล่ะรออะไรอยู่ทั้งๆ ที่ก็มีแฟนมาตั้งหลายคนแต่ไม่ยอมมอบความรักให้ใครสักที นี่เรียกว่าความเหมือนที่แตกต่างปะ โคตรงง

"หรือต่างฝ่ายต่างรอกันและกันอยู่"
ฟ่อนมองลึกเข้ามาในดวงตาของผมคล้ายกับต้องการค้นหาคำตอบบางอย่างที่เขากำลังสงสัย แต่มันไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก เพราะตัวผมยังไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร ความรักหน้าตาเป็นแบบไหนกันแน่เพราะไม่เคยมอบความรู้สึกแบบนั้นให้ใครที่ไหนมาก่อน

แต่... เรื่องเชี่ยอะไรของไอ้ฟ่อนที่หาว่าผมรอพี่ทาร์ตแล้วพี่ทาร์ตก็รอผมวะเนี่ย นั่นผู้ชายนี่ก็ผู้ชาย จะรออีกฝ่ายหาพระแสงของ้าวอะไรกัน มันคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่สุดแล้วในโลกนี้ จำไว้!!




----------------------------------------------------

แอบมาลงอินโทรเรื่องใหม่ล่ะ คึคึ ฝากติดตามกันด้วยน้า

หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ เริ่มเรียน -P.1- (04/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-03-2017 22:46:40
เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ตลอดไปเสียหน่อยนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ เริ่มเรียน -P.1- (04/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: maekkun ที่ 04-03-2017 23:30:41
ติดตามค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ เริ่มเรียน -P.1- (04/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 05-03-2017 10:39:24
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ เริ่มเรียน -P.1- (04/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: karamailpraleen ที่ 05-03-2017 12:51:40
ชื่อน่ากินจังเลย :hao6: จะมีคนมาดามใจฟ่อนไหมนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ เริ่มเรียน -P.1- (04/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 05-03-2017 16:34:16
รอติดตามค่ะๆ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 1 -P.1- (12/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 12-03-2017 11:05:25
(http://i.imgur.com/hePzHip.png)


สูตรที่ 1


Nutella Cheese Pie

: แครกเกอร์/เนยจืด/ครีมชีส/น้ำตาลไอซิ่ง/นูเทลล่า/วิปปิ้งครีม/สตอเบอร์รี่(สำหรับตกแต่ง) :



อากาศช่วงเช้าในวันนี้ร้อนอบอ้าวจนต้องสละผ้าห่มเร็วกว่าเวลาอันสมควร มือเรียวควานหารีโมทเครื่องปรับอากาศที่ตั้งไว้ข้างๆ ตัวแล้วกดปุ่มให้ความเย็นเพิ่มขึ้นอีกเพื่อจะได้นอนต่ออย่างสบาย แต่ความคิดนั้นกลับหยุดชะงักเมื่อนาฬิกาปลุกแผดเสียงเตือนซะลั่นห้องนอน ผมขยี้ตาด้วยความงัวเงียแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแทน พอเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอในใจก็ร้องอุทานดังมากว่า... ฉิบหาย! ตอนนี้เวลาเกือบจะแปดโมงครึ่งเข้าไปแล้ว พี่ทาร์ตจะแลนดิ้งตอนเก้าโมงตรง ตายแน่ๆ จะโดนด่าไหมเนี่ย นัดกันครั้งแรกในรอบหลายปีผมก็ดันจะสายซะแล้ว

ผมดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงอย่างรีบร้อน ผ้าห่มพันแข้งขาไปมาจนสะดุดล้มลงกับพื้น กว่าจะพาตัวเองไปห้องน้ำได้ก็หัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่นานหลายนาที สุดท้ายเลยตัดสินใจว่าแค่ล้างหน้าแปรงฟันก็พอเพราะขืนช้ากว่านี้ที่สนามบินรถจะเยอะ ในตอนแรกไอ้ฟ่อนจะไปด้วยกันแต่สุดท้ายมันก็ติดนัดของทางโรงเรียนซะอย่างนั้น นี่มันวันเสาร์นะจะให้เรียนหรือทำกิจกรรมอะไรนักหนาก็ไม่รู้ บางครั้งก็รู้สึกดีที่หลุดพ้นวัยมัธยมมาได้ แต่บางครั้งก็รู้สึกอยากกลับไปตรงจุดนั้นเพราะวัยมหา'ลัยวุ่นวายจนน่าปวดหัวเหมือนกัน ปิดเทอมก็ไม่มีอีกเพราะคณะและสาขาที่ผมเรียนต้องไปซัมเมอร์ที่เกาหลีในเทอมสาม...

เสียงวิ่งลงบันไดดังลั่นจนคนที่อยู่ในครัวโผล่หน้าออกมาต้อนรับกันด้วยน้ำเสียงดุๆ ปกติผมจะเป็นเด็กดีเสมอ แม่สั่งอะไรก็ทำตาม แต่วันนี้ขอแหกกฏหน่อยแล้วกัน รีบจริงๆ

"แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามวิ่งลงบันไดแบบนั้น ถ้าตกลงมาแข้งขาหักจะทำยังไง"
น้ำเสียงนุ่มๆ หวานๆ แต่แฝงไปด้วยความดุเอ่ยขึ้น ผมหันไปยิ้มแหยๆ ให้แม่แล้วเข้าไปกอดอ้อนเพื่อลบล้างความผิดของตัวเองทันที การที่เป็นลูกคนเดียวมันก็ดีนะ ไม่มีตัวเปรียบเทียบตอนทำผิดให้ได้น้อยใจหรอก

"ปูนระวังแล้วนะแม่ แต่วันนี้รีบจริงๆ"
ผมบอกก่อนจะยืดตัวขึ้นมาหอมแก้มแม่ไปฟอดใหญ่ เธอขมวดคิ้วแล้วผละตัวออกห่างไปเล็กน้อยเพื่อมองหน้ากัน สายตาเต็มไปด้วยคำถาม คงอยากรู้สินะว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมีธุระอะไรรีบร้อนขนาดนั้น

"ธุระอะไรวันหยุดล่ะปูน จะออกไปไหน"
แม่ถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจแล้วขมวดคิ้วใส่กัน ผมคลี่ยิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยบอกเธออย่างตื่นเต้นว่ากำลังจะไปทำอะไร

"ไปรับพี่ทาร์ตที่สนามบินครับแม่ เขากลับมาไทยแล้ว!"
ผมบอกก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปกอดแม่แน่นๆ หลังพูดจบ ในตอนแรกไม่คิดเลยว่าตัวเองจะตื่นเต้นได้ขนาดนี้แค่จะได้เจอคนที่หายหน้าหายตาไปนานเกือบสิบปีก็เท่านั้นเอง... แม่ง เป็นใครกันวะมาทำให้คนอื่นเขาทำตัวไม่ถูกแบบนี้ ได้ข่าวว่าก็แค่พี่ชายข้างบ้านคนหนึ่งเท่านั้น

"โอ้ยลูก เบาๆ หน่อยค่ะ พี่เขากลับมาแล้วเหรอ ให้แม่ไปด้วยไหม"
แม่พูดด้วยน้ำเสียงดีใจไม่แพ้กันแล้วดันไหล่ให้ผมปล่อยเธอออกจากอ้อมกอด เผลอตื่นเต้นเกินไปหน่อยเลยควบคุมตัวเองไม่อยู่สักเท่าไหร่

"ไม่ดีกว่าครับ แม่รออยู่ที่บ้านนี่ล่ะ ไม่เกินเที่ยงปูนคงกลับบ้านมาพร้อมพี่ทาร์ต"
ผมไม่อยากให้แม่ต้องลำบากเดินทางเพราะบ้านของเราอยู่ในตัวเมืองแต่สนามบินกลับอยู่อีกอำเภอ ซึ่งนับว่าไกลอยู่พอตัว ประเด็นสำคัญคือเธอเมารถน่ะ... ทรมานแย่

"งั้นก็รีบไปรีบกลับ กุญแจรถอยู่ในตู้เซฟเล็กของป๋านะ"
แม่บอกที่เก็บกุญแจรถเสร็จสรรพแต่ผมส่ายหน้าพรืดเพราะไม่อยากเอารถราคาแพงของป๋าออกไปขับหรอก ไม่ไว้ใจความสามารถในการขับรถของตัวเองสักเท่าไหร่

"ไม่ๆ เอารถผมไปนี่ล่ะครับ"
ผมพูดรัวจนแม่หลุดขำ ที่เธอเสนอให้เอารถป๋าไปก็เพราะว่าเจ้ามินิคูเปอร์ยังอยู่ในสภาพเลอะโคลนเต็มไปหมด ไม่มีเวลาเอาไปล้าง คิดดูสิว่าสีขาวมันจะสกปรกขนาดไหนกัน... เอาไปลุยตอนฝนตกมานั่นล่ะ อีกอย่างคือป๋าไปต่างประเทศด้วยล่ะ

"สกปรกมากเลยนะปูน พี่ทาร์ตจะว่ายังไงล่ะหื้ม"
แม่เอื้อมมือมาดึงแก้มกันแล้วคลี่ยิ้มบางด้วยความเอ็นดู ผมมุ่ยหน้าลงเมื่อคิดว่าอีกคนจะล้อเรื่องสภาพรถที่ดูไม่จืด คนเขาอุตส่าห์เสียเวลาไปรับเชียวนะ ไม่อยากนั่งก็ไม่ต้องนั่ง เรียกรถแท็กซี่ แอร์พอร์ตบัส ไม่ก็รถสองแถวกลับบ้านเองเลยก็แล้วกัน!

"ช่างหัวพี่ทาร์ตดิแม่ ผมไปรับก็บุญแล้วเนี่ย"
ผมบ่นเสียงอุบอิบในลำคอแต่แม่หูดีเกินไปจึงมองกันด้วยสายตาดุๆ รู้อยู่หรอกว่าไม่ควรพูดอะไรแบบนั้นกับคนที่อายุมากกว่าตัวเองเกือบสิบปี แต่มันอดไม่ได้นี่หว่า... แอบหมั่นไส้เรื่องที่เขากับแฟนจู๋จี๋กันผ่านโทรศัพท์ให้ฟังด้วยเถอะ อิจฉาว่ะ

"ปูน ไม่พูดแบบนั้นค่ะ จะไปรับพี่เขาก็รีบๆ เลย ขับรถดีๆ ล่ะ"

"ครับๆ ปูนไปแล้วนะ"

ผมขับเจ้ามินิฯ คู่ใจตรงออกจากใจกลางเมืองภูเก็ตมุ่งหน้าไปตามถนนสายหลักเพื่อไปสู่สนามบินนานาชาติที่ตั้งอยู่ในอำเภอถลาง ในวันเสาร์ช่วงเช้าแบบนี้จราจรไม่ค่อยติดขัดสักเท่าไหร่เนื่องจากเป็นวันหยุด ถ้าวันปกติล่ะก็... แทบจะเรียกว่ากรุงเทพฯ ขนาดย่อมเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่ถนนโล่ง ตัวเลขดิจิตอลบอกอัตราความเร็วอยูที่หนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งอีกประมาณสามสิบนาทีก็จะถึงที่หมาย

ตอนนี้สารภาพเลยว่าท้องร้องโครกครากเพราะยังไม่ได้กินอาหารเช้า อยากจะแวะซื้ออะไรในเซเว่นสักหน่อยก็เกรงใจคนที่รออยู่ เหลือบตามองเวลาที่คอนโซลรถแล้วต้องถอนหายใจ ฉิบหายแล้วไงเก้าโมงครึ่ง แต่แปลกตรงที่อีกฝ่ายไม่โทรตามกันเลยด้วยซ้ำทั้งๆ ที่เครื่องน่าจะแลนด์ดิ้งได้สักพักแล้วหรือกำลังจูงมือแฟนสวีทอยู่ในสนามบิน... เหอะๆ

ผมเลี้ยวซ้ายเข้าประตูสนามบินตอนเวลาเกือบสิบโมง มือข้างหนึ่งควานหาเครื่องมือสื่อสารเพื่อจะติดต่ออีกคนแต่เป็นจังหวะพอเหมาะที่มีสายเรียกเข้าจากเขาพอดี แหม... เหมือนรู้ใจเลยว่ะ ดีเหมือนกันจะได้ไม่เปลืองค่าโทร

"ฮัลโหลพี่ทาร์ต"
ผมสไลด์หน้าจอเพื่อกดรับแล้วกรอกเสียงลงไปก่อนบังคับรถไปที่จุดรับผู้โดยสารขาเข้า

'ไฮ ~ ถึงยังวะ พี่ยืนรออยู่หน้าประตู'
อีกคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติไม่ได้แสดงอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด ผมสอดส่องสายตาจนเห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ผิวขาวออร่า สวมแว่นตาสีชายืนสะพายเป้ใบโตและที่พื้นยังมีกระเป๋าเดินทางใบยักษ์อีก มั่นใจว่าเป็นเขานั่นล่ะ แต่แปลกใจเล็กน้อยเพราะส่วนสูงกับร่างกายของเขานั่นล่ะ ตัวใหญ่ฉิบหาย... หุ่นดีโคตรๆ น่าอิจฉา

"ถึงแล้วดิ พี่ใส่เสื้อกล้ามสีดำสะพายเป้แล้วก็ใส่แว่นตาสีชาๆ ปะ"
ผมบรรยายสิ่งที่เห็นในระยะไกลออกไปเพราะตอนนี้รถกำลังจอดรับผู้โดยสารอยู่หลายคัน ถ้าใจร้อนอยากกลับบ้านคงต้องเดินมาขึ้นรถเองแล้วล่ะ เพราะกว่าจะไปถึงที่พี่ทาร์ตยืนคงเกือบสิบนาที

'เยป รถคันไหนวะ เดี๋ยวพี่เดินไปหา อากาศภูเก็ตร้อนฉิบหาย'
น้ำเสียงพี่ทาร์ตเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย ถึงจะเป็นช่วงปลายปีแต่อากาศที่นี่ไม่เคยหนาวเลยสักครั้ง ที่ใครๆ เขาเรียกว่าเมืองฝนแปดแดดสี่นั่นคือเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัย อุณหภูมิเฉลี่ยรายวันนี่ไม่ต่ำกว่าสามสิบองศา ผมตกใจเล็กน้อยนะที่เขาใช้คำว่า 'ฉิบหาย' ทั้งๆ ที่ไปเป็นเด็กนอกตั้งนาน... สงสัยติดมาจากเพื่อนสมัยเรียนมัธยมต้น

"มินิฯ สีขาว"
ผมตอบสั้นๆ เพราะคิดถึงสภาพรถตัวเองแล้วไม่รู้ว่าคนอื่นยังเห็นมันเป็นสีขาวอยู่หรือเปล่า... ตอนนี้เริ่มละอายใจจนอยากกลับบ้านไปเอารถป๋ามาใช้ อยากร้องไห้

'มินิคูเปอร์สีขาว... เหี้ย นั่นยังเรียกว่าขาวอีกเหรอวะปูน สกปรกมาก'
พี่ทาร์ตเพ่งมาทางผมอยู่นานก่อนจะอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ นั่นยิ่งทำให้อยากจะหนีกลับบ้านซะตอนนี้ แม่พูดไม่มีผิดเลยว่าเขาต้องทักเรื่องรถแน่ๆ โอย ปูนผิดไปแล้วครับที่ดื้อและไม่เชื่อฟัง อยากตาย อายฉิบหาย

"ด่ารถผมอยู่ได้ ถ้าไม่อยากนั่งก็เรียกสองแถวกลับบ้านเองเลยนะ"
ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงประชดก่อนจะวางสายใส่กัน ก็บอกแล้วไงว่าถ้ารังเกียจไม่อยากนั่งก็เรียกสองแถวกลับบ้านเองแล้วกัน ชาวต่างชาติเพียบเลยด้วย... คนประเทศเพื่อนบ้านทั้งนั้น

พี่ทาร์ตเหมือนจะกลัวการต้องนั่งรถกลับบ้านเองเลยรีบสาวเท้ามาหากันแล้วเคาะกระจกรัวๆ ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าเขาใกล้ๆ ในระยะประชิด หล่อเหี้ยๆ หล่อกว่าในรูปอีก แม่งเอ้ย นี่ถ้าเขาเลือกไปเรียนต่อกรุงเทพฯ แทนที่จะเป็นอเมริกานะ ตอนนี้คงกลายเป็นเน็ตไอดอลไม่ก็ดาราไปแล้วล่ะมั้ง แล้วดูผมสิ อาตี๋ตาชั้นเดียว หน้าตาโคตรธรรมดา มีดีแค่ขาวจนจะเป็นกระดาษนี่ล่ะ

ผมคงตะลึงนานเกินไปพี่ทาร์ตเลยแยกเขี้ยวใส่กันแล้วทำสัญญาณมือให้ลดกระจกลงเดี๋ยวนี้ เมื่อดึงสติกลับมาได้ก็ทำตามอย่างรวดเร็ว กลัวโดนสวดน่ะ ขี้เกียจจะฟัง

"นั่งนิ่งเป็นหินอยู่ได้ เปิดท้ายรถให้พี่หน่อยเว้ย"
เสียงทุ้มๆ ดังแหวกเสียงเพลงในรถเข้ามา ผมโบกมือเป็นเชิงว่าจะไม่เปิดให้ เพราะกระเป๋าแค่นั้นเอาตั้งไว้ที่เบาะหลังคงสะดวกกว่า จากที่ดูสถานการณ์รอบตัวแล้วเขาคงกลับมาคนเดียวไม่ได้หนีบเอาแฟนไทยคำอังกฤษคำกลับมาด้วย

"เอายัดไว้เบาะหลังได้เลยครับ"
ผมรีบบอกต่อเพราะเห็นพี่ทาร์ตขมวดคิ้วแน่น เขาได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้ารับและรีบยัดสัมภาระของตัวเองให้เข้าที่และสอดตัวเข้ามานั่งข้างคนขับในเวลาต่อมา พอระยะห่างระหว่างเราลดลงไอ้ความตื่นเต้นที่เหมือนจะลืมเลือนไปแล้วได้กลับมาอีกครั้ง จะเปิดไฟเลี้ยวเพื่อให้สัญญาณว่าจะออกรถยังเปิดด้านผิด สติหน่อยนะปูนนะ!

"โตขึ้นเยอะเลยนะน้องปูนของพี่ เป็นหนุ่มแล้ว"
น้ำเสียงทะเล้นเอ่ยขึ้นเมื่อเราออกจากสนามบินนานาชาติภูเก็ต ผมหน้าตึงขึ้นมาเล็กน้อยกับคำว่า 'ของพี่' ไม่เข้าใจว่าไปเป็นของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ฟังแล้วขนลุกขนพองแปลกๆ สยองว่ะ

"โตแล้วดิ ไม่เจอกันเก้าปีนะพี่ ใครจะตัวเท่าเมี่ยงเหมือนเดิม"
ผมพูดเสียงขึ้นจมูกเพราะฉุนอยู่เล็กน้อย ถ้าคนเราไม่โตขึ้นแล้วจะให้ตัวหดลงหรือยังไง พี่ต้นขำออกมาเล็กน้อยแล้วถอดแว่นตาสีชาเหน็บไว้กับคอเสื้อ ใบหน้าดูดีขึ้นกว่าตอนที่ยืนรอรถอยู่มาก ก็แอร์มันหนาวจนมือจะแข็งอยู่แล้ว อยากปรับอุณหภูมิอยู่หรอกแต่ก็สงสารคนที่มาจากต่างประเทศแล้วเจอแดดภูเก็ตแบบนี้

"นั่นสินะ นั่นสิน้า ~ แล้วมีแฟนหรือยังล่ะ"
พี่ทาร์ตทำเสียงทะเล้นใส่กันอย่างอารมณ์ดี ผมถึงกับลอบเบ้ปากเพราะหมั่นไส้ สบายเป็นคุณชายสุดๆ ไปเลยเอนเบาะลงไปนอนเนี่ย ไม่เข้าใจบ้างเหรอว่าน้องอิจฉาและหิวมาก... แต่มันคืออะไรที่อยู่ๆ ถามว่ามีแฟนหรือยังวะ แทงใจชะมัด สิบแปดปีแล้วที่โสดสนิทไม่กิ๊กกั๊กกับใครสักคน ตอบไปจะโดนหัวเราะหรือเปล่านะ ก็เขาน่ะเสือผู้หญิงเปลี่ยนแฟนบ่อยยิ่งกว่าใช้กระดาษทิชชู่อีก

"อะไรของพี่เนี่ย อยู่ๆ ก็ถาม"
ผมเหลือบมองเขาเล็กน้อยเพราะอยากรู้ว่าตอนนี้อีกคนกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ พี่ทาร์ตส่งยิ้มกวนๆ มาให้กันก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ จะนั่งให้มันดีๆ เหมือนชาวบ้านไม่ได้หรือไงกัน แล้วเอาแขนมาเท้าเบาะคนอื่นเพื่ออะไร น่าอึดอัดเป็นบ้า

"ก็อยากรู้เฉยๆ เห็นไอ้ฟ่อนเล่าให้ฟังว่าตามจีบปูนอยู่ไม่ใช่เหรอ"
พี่ทาร์ตถามด้วยเสียงทะเล้น ซึ่งผมได้แต่ย่นจมูกใส่เขาเมื่อคิดถึงไอ้ฟ่อน รายนั้นน่ะจะเรียกว่าตามจีบก็ไม่ถูกสักเท่าไหร่หรอก มาตื้อ มาอ้อนมากกว่า ไม่ได้จริงจังขนาดต้องขอให้เป็นแฟนอะไรขนาดนั้น ถ้ามันจริงจังป่านนี้คงร้องไห้ดราม่าใส่ทุกวันไปแล้วมั้ง

"ปล่อยผมไปเหอะพี่ ตามใจไอ้ฟ่อนไม่ไหวหรอก"
ผมตอบทีเล่นทีจริงไปเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ทาร์ตแคร์ไอ้ฟ่อนมากแค่ไหน แต่ก่อนไม่เคยจะสนใจน้องตัวเองด้วยซ้ำ อยากจะทำอะไรก็ทำ เจ็บตัวกลับมาก็ไม่เคยโอ๋ ซ้ำเติมแถมด้วย แต่เขาก็รักกันดี ความสัมพันธ์แบบประหลาดๆ ระหว่างพี่น้องล่ะสินะ ผมเป็นลูกคนเดียวไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอก

"พี่ก็ว่าอย่างนั้นล่ะ ใครเอาใจมันได้คงเก่งมาก"
เขาพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วขยับไปนั่งให้เข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม ผมเหลือบมองเขาแล้วชั่งใจว่าจะถามเรื่องส่วนตัวดีหรือเปล่า เพราะความสงสัยมันยังค้างคาอยู่ในความคิด ก็ไหนตอนคุยไลน์กันบอกจะพาพี่เจนกลับมาด้วยไง... ก็เพิ่งข้ามไปวันเดียว จะเปลี่ยนใจอะไรไวขนาดนั้น

"พี่ทาร์ต... ผมขอถามอะไรหน่อยได้ปะ"
ผมเอ่ยปากไปแบบนั้นอย่างลืมตัวว่าเราไม่ได้สนิทถึงขั้นถามเรื่องส่วนตัวของกันและกันอีกแล้ว แต่จะบอกให้เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงยาก เพราะรายนั้นหันมามองกันแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามใส่กันเรียบร้อย จะให้ทำเป็นสนใจการขับรถเพื่อเบี่ยงประเด็นก็ไม่ได้เพราะติดไฟแดง จังหวะเหมาะจนอยากร้องไห้

"จะถามอะไรล่ะครับน้องปูน"
พี่ทาร์ตกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มกวนๆ ผมขยับตัวจนไหล่ชิดกับกระจกรถ ไม่รู้ว่าไอ้นิสัยขี้แกล้งของเขาจะเลิกได้เมื่อไหร่ ชอบเข้ามาใกล้ทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำอยู่ตลอด ไม่ใช่เพราะว่าหวั่นไหวอะไรหรอก คิดดูสิตอนมีคนหน้าตาดีมาอยู่ใกล้ๆ ก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

"พี่เลิกเอาหน้าเข้ามาใกล้ผมได้ไหม มันอึดอัด"
ผมดันไหล่อีกคนให้ถอยห่างออกไป พี่ทาร์ตหัวเราะออกมาก่อนจะยอมกลับไปนั่งที่ตัวเองดีๆ

"แกล้งนิดแกล้งหน่อยก็ไม่ได้"
พูดเหมือนจะงอนๆ กันแต่หน้านี่ยิ้มสะใจสุดๆ ผมเบ้ปากใส่เขาด้วยความหมั่นไส้ ตั้งแต่เด็กๆ แล้วที่ไม่เคยเอาชนะคนๆ นี้ได้เลย

"นึกว่าโตแล้วจะเลิกแกล้งคนอื่นได้สักที"
ผมบ่นงึมงำก่อนจะเข้าเกียร์เพื่อออกรถมุ่งสู่ตัวเมือง ก่อนจะกลับบ้านคงต้อฃแวะหาอะไรกินก่อน เพราะว่าตอนนี้เริ่มปวดท้องแล้ว ไม่น่ารีบออกจากบ้านเพื่อมารับคนขี้แกล้งแบบนี้เลย น่าหงุดหงิดชะมัด เจอกันครั้งแรกในรอบหลายปีไม่เห็นจะทำเรื่องประทับใจให้จำบ้างเลยวะ

"เรื่องอะไรต้องหยุดแกล้งคนอื่น สนุกดีออกน่า"
พูดแบบไม่สำนึกแล้วยังเอื้อมมือมาผลักหัวกันเบาๆ อีก ถ้าไม่ติดว่าขับรถจะต่อยให้ เล่นอะไรแผลงๆ ตลอดเลย

"เออๆ ไม่เถียงด้วยแล้ว"
ผมบอกปัดๆ ก่อนจะตั้งใจขับรถต่อเพื่อหาร้านกินข้าว ที่จริงอยากจะแวะร้านติ่มซำแต่พอเหลือบมองเวลาที่คอนโซลรถแล้วต้องถอดใจ สิบโมงกว่าเกือบสิบเอ็ดโมง... เขาคงปิดร้านไปนอนกันหมดแล้วล่ะ

"จะถามอะไรก็ถามมาเลย รออยู่"
เขาบอกแบบนั้นก่อนจะเคาะปลายนิ้วลงบนต้นขาตัวเอง ผมเผลอกลั้นลมหายใจไปหนึ่งจังหวะเพราะคิดจะบ่ายเบี่ยง อยู่ๆ ก็เกิดไม่แน่ใจว่าเป็นสิ่งที่ควรถามออกไปหรือเปล่า ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวคนอื่นมันเสียมารยาท... แต่อยากรู้อะ ถ้าอย่างนั้นเสี่ยงถามแล้วกัน

"เอ่อ ไหนว่าจะพาแฟนกลับมาภูเก็ตด้วยกันไม่ใช่เหรอ ทำไมพี่ทาร์ตถึง..."
ปลายประโยคถูกอีกคนพูดแทรกขึ้นมาซะก่อนเลยทำให้ผมต้องชะงักไว้เพียงเท่านั้น

"เลิกแล้ว"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งผมคิดว่าอาจจะหูฝาดเลยถามย้ำอีกรอบเพื่อความแน่ใจ ไม่จริงหรอกที่อยู่ๆ ก็เลิกกันกะทันหันแบบนี้

"ห๊ะ... อะไรนะพี่"

"พี่เลิกกับเจนแล้ว"
พี่ทาร์ตย้ำชัดกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ชวนใจสั่น ไม่มีร่องรอยของความเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว ผมไม่รู้หรอกว่าเขาปกปิดเก่งหรือไม่ได้รู้สึกอะไรจริงๆ กันแน่ แต่ด้วยความเป็นเสือผู้หญิงแล้วความคิดเลยเอนเอียงไปอย่างหลังมากกว่า

"อ๋อ... โอเคครับ"
ผมตอบกลับไปแค่นั้นเพราะไม่กล้าถามละลาบละล้วงมากกว่านี้ มันดูเสียมารยาทเกินไปถ้าจะถามถึงเหตุผล พี่ทาร์ตเป็นคนนิสัยดีนะ แต่เสียอย่างเดียวเรื่องที่ไม่จริงจังกับใครนี่ล่ะ... ผู้หญิงทุกคนก็พร้อมใจที่จะเป็นของเล่นไว้ให้เขาควงไปวันๆ คนหล่อก็แบบนี้ล่ะ ใครๆ ก็ อยากเอาตัวเข้าแลกกันทั้งนั้น เฮ้อ

"ไม่ถามต่อเหรอว่าเลิกกันทำไม"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนกำลังลองใจในความอยากรู้ของผม ถ้าเขาอนุญาตก็อยากถามจริงๆ นั่นล่ะ คิดมากจนเผลอเม้มปากแน่นทำให้อีกคนสังเกตกันได้ทันที แต่ไหนแต่ไรมาคนๆ นี้เซ้นส์ดีเสมอ เอาง่ายๆ คงเรียกว่ารู้ทัน

"อยากรู้ก็ถาม ไม่ต้องซีเรียส"

"แต่มันเสียมารยาทนี่ ไม่ได้สนิทกันแบบเมื่อก่อนสักหน่อย"
ผมบ่นพึมพำเบาๆ พอให้เขาได้ยิน พี่ทาร์ตหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือหนามายีหัวกันเบาๆ อย่าสนิทสนม นี่เขากำลังสร้างความคุ้นเคยหรือเปล่านะ ตอนแรกก็อยากปักออกอยู่หรอกเพราะผมเสียทรง แต่เอาไปเอามาก็รู้สึกดีเหมือนกัน จริงๆ ก็แอบคิดถึงสัมผัสของเขานะ ห่างหายกันมาตั้งนาน

"คิดมากจริงๆ เลยว่ะ ถ้ารู้สึกแบบนั้นเรามาเริ่มต้นสนิทกันใหม่ก็ได้ ดีไหม"
พี่ทาร์ตผละมือออกไปแล้วแต่ผมรู้สึกได้ถึงการจ้องมองของเขา ตอนนี้ความรู้สึกตื่นเต้นและอึดอัดจางลงไปบ้างแล้วจากตอนแรก ถ้ากลับมาสนิทกันง่ายๆ ก็คงดี เพราะการมีพี่ชายให้เราอ้อนสักคนมันดีจะตาย ทุกวันนี้ยังแอบอิจฉาไอ้ฟ่อนอยู่เลย ถึงเขาจะดูมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับน้อง แต่พอถึงเวลาที่มีเรื่องให้ช่วยก็ช่วยอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องขอร้อง อาจจะพูดได้ว่าปากร้ายใจดีหรือเปล่านะ

"ก็ดีนะ แต่สนิทด้วยการแกล้งกันผมว่ามันไม่เวิร์คว่ะ"
ผมแอบเหล่มองเขาอย่างรู้ทัน พี่ทาร์ตเลยได้แต่ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเพราะโดนดักไปซะแล้ว แต่เชื่อว่าเดี๋ยวคนอัจฉริยะอย่างเขาก็หาทางตีสนิทได้อยู่ดี

หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกเพราะพี่ทาร์ตเอาแต่มองวิวข้างทางที่ไม่ได้สัมผัสมาหลายปี บางทีก็ชี้นั่นถามนี่ไปตลอดทาง ซึ่งผมก็เต็มใจที่จะตอบออกไปอย่างไม่รำคาญ

สุดท้ายแล้วผมก็ลืมแวะกินข้าวจนพาพี่ทาร์ตกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ แม่ออกมารับเมื่อได้ยินเสียงรถ ทั้งสองคนโผเข้าหากันอย่างน่าหมั่นไส้ ทั้งกอดทั้งหอมแก้ม ดูท่าทางจะลืมลูกชายของตัวเองไปซะแล้ว แถมยังสั่งให้ขนกระเป๋าลงอีก อะไรวะ สรุปผมเป็นลูกที่ถูกเก็บมาเลี้ยงเหรอ มีความลำเอียงอะ แต่เดี๋ยวสิ... มีอะไรแปลกๆ นะ

"แม่ๆ เดี๋ยวก่อน"
ผมร้องเรียกแม่ที่กำลังเดินกอดเอวลูกชายสุดที่รักเข้าบ้าน เธอหันมาเลิกคิ้วใส่กันเป็นเชิงถามว่ามีอะไร ในขณะที่ผมกอดเป้ใบยักษ์ของพี่ทาร์ตอยู่ อยากจะบอกว่ากนักยิ่งกว่ากระสอบข้าวสารอีกมั้ง

"อะไรเจ้าปูน"

"ทำไมปูนต้องขนกระเป๋าพี่ทาร์ตเข้าบ้านเราด้วยอะแม่"
ผมถามออกไปด้วยความสงสัย ก็แล้วทำไมไม่ให้เอาไปเก็บที่บ้านพี่ทาร์ตล่ะ ทำอย่างกับจะให้เขาค้างที่นี่เลย... แต่จะว่าไป ทำไมป้าอุ่นไม่ออกมารับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนวะ

"อ้าว ทาร์ตไม่ได้บอกปูนเหรอลูก"
แม่ร้องเสียงหลงแล้วหันไปขอคำตอบจากลูกชายสุดที่รักแทน พี่ทาร์ตโผล่มาที่บ้านเมื่อไหร่ผมจะกลายเป็นเด็กที่เก็บมาเลี้ยงทันที โลกเรามันช่างโหดร้ายจริงๆ

พี่ทาร์ตส่ายหน้าพรืดแล้วหันมามองผมด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ไอ้ผมนี่งงเป็นไก่ตาแตกไปแล้ว ตกลงมันอะไรยังไงกันแน่เนี่ย ข้าวก็ยังไม่ได้กิน หงุดหงิดนะเว้ย หนักก็หนักเนี่ย ถ้าไม่เกรงใจจะขว้างเป้ทิ้งแล้ว

"ผมนึกว่าน้องรู้แล้วน่ะครับแม่พลอย เลยไม่ได้บอก"
พี่ทาร์ตพูดด้วยท่าทางนอบน้อม เสียงนุ่มๆ นั่นทำให้แม่ยิ้มกว้างอีกแล้ว จำไม่ได้เหรอว่าผมเป็นลูกชายอะ แล้วไอ้คนที่ยืนข้างๆ เป็นเด็กข้างบ้านไง... อยากร้องไห้ ใครก็ได้ช่วยที ไม่อยากมีพี่ชายแล้ว!

"จ้าๆ ปูน... พี่ทาร์ตต้องนอนที่บ้านเรายาวจนถึงสิ้นปีเลยล่ะ เพราะป้าอุ่นบินไปต่างประเทศกะทันหัน ส่วนฟ่อนมีแข่งวิชาการที่กรุงเทพฯ ก็เลยจะอยู่เที่ยวปีใหม่ด้วย"
แม่อธิบายกลับมารัวๆ จนผมได้แต่ยืนอ้าปากหวอ เพราะกว่าจะถึงปีใหม่ก็อีกตั้งครึ่งเดือนเชียวนะ ไม่ได้เตรียมใจที่จะต้องมีสมาชิกเพิ่มมาในบ้านสักเท่าไหร่ ก็ด้วยเหตุผลเดิมที่ยังรู้สึกไม่สนิทกันนั่นล่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงดีใจจนกระโดดกอดพี่ทาร์ตไปแล้ว

"เข้าใจแล้วใช่ไหมลูก อย่าเอาแต่อ้าปากสิ แมลงวันจะเข้าไป"
แม่พูดเสียงกลั้วหัวเราะ ส่วนพี่ทาร์ตหันมายักคิ้วกวนๆ ใส่กัน ผมหุบปากฉับทันที อยากจะปาของในอ้อมแขนทิ้งจริงๆ นะ มาอาศัยบ้านคนอื่นแล้วยังใช้คนอื่นขนของให้อีก

"แม่! นี่ผมลูกไงจำไม่ได้เหรอ"
พูดด้วยเสียงงอนๆ ก่อนจะเดินไปใกล้ แม่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วพาพี่ทาร์ตเข้าไปในบ้านอย่างหน้าตาเฉย ดูเขาสิ ไม่สนใจผมอีกแล้วล่ะ เกิดมาเป็นไอ้ปูนนี่มันรันทดจริงๆ

แม่สรุปเองเสร็จสรรพว่าให้พี่ทาร์ตนอนห้องของผมแทนที่จะเป็นห้องนอนแขก โดยให้เหตุผลว่าขี้เกียจทำความสะอาดและจะได้ให้ลูกทั้งสองคนกระชับความสัมพันธ์กัน... คือ ถามความคิดเห็นกันก่อนไหมล่ะ แล้วต้องทำตัวแบบไหนตอนอยู่กับพี่เขาในห้องนอนสองต่อสอง มันแปลกๆ ก็เพราะปกติมันเป็นอาณาเขตของเราคนเดียว

"ถ้าปูนไม่สะดวกเดี๋ยวพี่ไปทำความสะอาดห้องนอนแขกเองก็ได้นะ"
พี่ทาร์ตบอกในขณะที่ผมวางเป้ลงที่ปลายเตียง เขาหยุดยืนอยู่ไม่ห่างจากกันเท่าไหร่ ใบหน้าหล่อเหลานั่นไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลยสักอย่าง ทำไมถึงได้เป็นคนที่เดายากเสมอเลยนะ

"แม่บอกให้นอนห้องนี้ก็นอนเถอะพี่ทาร์ต ผมยังไงก็ได้ครับ แต่ขอเปลี่ยนผ้าปูที่นอนก่อนแล้วกัน"
ผมพูดอย่างไม่ติดใจอะไรมากมาย ทั้งๆ ที่ในใจปฏิเสธเป็นล้านๆ รอบ มันรู้สึกขัดเขินแปลกๆ นี่นา คนไม่ได้เจอกันตั้งนานหลายปีมาอยู่ด้วยกัน... ก็ยอมรับว่าเป็นคนคิดมากและแคร์ความรู้สึกคนอื่นพอตัว เฮ้อ

"พี่รู้ว่าปูนอึดอัดน่า"
เสียงน่ะฟังดูสบายๆ จนถ้าไม่สังเกตจะไม่รู้เลยว่าพี่ทาร์ตกำลังขมวดคิ้วอยู่ ด้วยความที่กลัวว่าอีกคนจะไม่สบายใจเลยรีบอธิบายทันที

"เฮ้ย พี่ทาร์ต... คือก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้น มันก็แปลกๆ ไง เราไม่เจอกันนานผมเลยทำตัวไม่ค่อยจะถูกอะ"
ผมพูดรัวจนลิ้นแทบพันกันก่อนจะยกมือขึ้นลูกท้ายทอยเผื่อว่าจะลดอาการประหม่าลงได้บ้าง พี่ทาร์ตที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงเหลียวมามองกันก่อนจะหลุดยิ้ม แล้วย้ำคำพูดเดิมที่เคยบอกกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

"บอกแล้วไงว่าพี่จะทำให้เราสนิทกันเหมือนเดิมเอง"
มือหนาเอื้อมมาตบบ่ากันให้ผมผ่อนคลายลง ก็ช่วยได้เยอะเหมือนกันล่ะมั้ง ตอนนี้สมองเบลอๆ ตื้อๆ

"อื้อครับ เดี๋ยวผมเอาผ้าปูที่นอนมาเปลี่ยนให้นะ"
ผมหันตัวกลับเพื่อจะเดินไปยังตู้เสื้อผ้าแต่โดนมือหนารั้งแขนกันไว้ซะก่อน

"ไม่ต้องๆ บอกพี่มาว่ามันอยู่ไหนก็พอ เดี๋ยวจัดการให้ ส่วนปูนไปหาอะไรกินไป"
พี่ทาร์ตละมือออกเมื่อผมหันไปรับฟังเรื่องที่เขาพูด เขายังจำได้ที่ไอ้ปูนคนนี้บ่นว่าหิวทั้งๆ ที่ตัวเองลืมไปแล้ว น่าทึ่งจริงๆ ผู้ชายคนนี้

"อ่า... จะดีเหรอวะพี่"
ผมถามออกไปด้วยความเกรงใจ เขาเป็นคนมาขออาศัยก็จริงแต่ก็นับว่าเป็นแขกขอฃบ้านคนหนึ่ง จะใช้ให้ทำนั่นทำนี่ก็ไม่สะดวกใจสักเท่าไหร่นี่หว่า

"เออน่า ดีอยู่แล้ว ก็หิวไม่ใช่หรือไงครับ"
พี่ทาร์ตยกเรื่องหิวขึ้นมาทำให้ผมเพิ่งคิดขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า ถ้าเขาจะทำเองก็ปล่อยให้เขาทำดีกว่า เถียงไปเถียงมาจากที่จะสนิทกลายเป็นทะเลาะกันเดี๋ยวแย่กว่าเดิม

"อื้อ งั้นผมไปกินข้าวนะ ส่วนผ้าปูที่นอนอยู่ในตู้นั้นครับ"
ผมบอกเขาก่อนจะชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าตรงมุมห้อง พี่ทาร์ตมองตามไปก่อนจะยกมือทำสัญญาณว่าโอเคแล้วคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย อยากจะบอกเขาให้หยุดยิ้มสักที เพราะมันน่าอิจฉา คนอะไรจะหล่อวัวตายความล้มแบบนี้

"โอเค เดี๋ยวพี่ทาร์ตจะจัดการให้น้องปูนนะครับ"
พี่ทาร์ตบอกกันแบบนั้นด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วบิดขี้เกียจไปมา เสื้อกล้ามสีดำของเขาเปิดขึ้นเล็กน้อยจนทำให้เห็นกล้ามหน้าท้อง อ่า... เกลียดพี่ชายคนนี้ชะมัด ซิกแพคนั่นอยากมีเหมือนกันว่ะ แต่ผมเป็นคนที่ขี้เกียจออกกำลังกายไง วาดเส้นแทนได้ปะวะ

"ขอบคุณนะ"
เอ่ยคำขอบคุณกับเขาก่อนจะหันหลังเดินจากมาเพราะไม่ต้องการให้ตัวเองเกิดความอิจฉามากไปกว่านี่ ยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งว่าพี่ทาร์ตเป็นคนที่หล่อเลือกได้จริงๆ ส่วนผมนี่เป็นคนหน้าตาธรรมดาๆ ที่เรื่องมากเอาการ... ถึงได้โสดยันทุกวันนี้ไง

ผมลงมาจากชั้นสองของบ้านก็เจอแม่ที่กำลังนั่งดูซีรี่ย์เกาหลีอยู่ในห้องนั่งเล่น คาดว่าเธอคงเตรียมอาหารเที่ยงไว้เรียบร้อยแล้วล่ะมั้ง... แล้วพี่ทาร์ตกินข้าวมาหรือยังวะ ลืมถาม โอย ไอ้ปูนเอ้ย เรื่องแค่นี้ยังคิดไม่ได้อีก

"ยืนเกาหัวทำไมลูก หน้ายุ่งเชียว"
แม่หันมาถามกันในขณะที่ผมกำลังหงุดหงิดงุ่นง่านกับตัวเองอยู่ มือเรียวชะงักกึกแล้วรีบจัดทรงผมให้เข้าที่ก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างๆ

"ปูนลืมถามว่าพี่ทาร์ตจะกินข้าวเที่ยงหรือเปล่า"
ผมเหลือบมองไปทางชั้นบนเล็กน้อยก่อนจะทำหน้าเพลียๆ ท่าทางของพี่ทาร์ตดูร่าเริงเป็นปกติก็จริงแต่แววตาก็ทำให้รู้ว่าเขาเหนื่อยล้าอาจจะทางร่างกายหรือทางจิตใจ... มีอาการเจ็ทแลคด้วยมั้ง

"ขึ้นไปถามสิลูก แล้วพี่เขาทำอะไรอยู่ข้างบนล่ะ"

"เปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ปูน แต่เขาอาสาทำเองนะแม่"
ผมรีบบอกก่อนที่จะโดนเทศน์เอา แม่หัวเราะออกมาน้อยแล้วพยักหน้ารับคำพูดนั่น

"จ้าๆ แต่ไปดูพี่เขาหน่อยเถอะ อาจจะหลับไปแล้วก็ได้ เดินทางมาไกลขนาดนั้น"
แม่ยิ้มแล้วยกมือขึ้นลูบหัวกันเบาๆ ก่อนจะไล่ให้ผมไปดูลูกชายคนโปรดของเธอที่ชั้นบน




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 1 -P.1- (12/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 12-03-2017 11:05:53
ผมเลือกที่จะเคาะประตูสองสามครั้งเผื่อว่าอีกคนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือทำอะไรส่วนตัวอยู่ แต่รออยู่นานก็ไม่มีเสียงตอบรับเลยถือวิสาสะย่องเข้าไปดู สรุปแล้วร่างสูงใหญ่นอนแผ่อยู่บนเตียงกำลังกลับอย่างสบายด้วยอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่กำลังเย็นสบาย มองๆ ไปแล้วตอนนี้พี่ทาร์ตดูน่ารักไร้พิษสงค์ใดๆ เหมือนเป็นเด็กตัวน้อยที่ไร้เดียงสา ไม่มีความเจ้าชู้ และเพิ่งได้สังเกตผ้าปูที่นอนในตอนที่เดินเข้าไปใกล้ ยังไม่ได้เปลี่ยนเลย สงสัยร่างกายคงน็อกไปซะก่อน

"เจน..."
เสียงทุ้มแหบดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะกำลังจะห่มผ้าให้คนที่นอนหลับอยู่ ชื่อที่ออกจากปากนั้นเป็นชื่อของแฟนเก่า... จะเรียกแบบนั้นได้ไหมนะ เพราะเขาเพิ่งเลิกกันไปเอง

"พี่ทาร์ต..."
ผมพึมพำชื่อของคนที่ละเมอก่อนจะเลื่อนผ้าห่มให้คลุมร่างกายของเขาเอาไว้แล้วผละตัวออกมายืนมอง เขาขมวดคิ้วแน่นเหมือนกำลังเผชิญความฝันอันแสนเลวร้าย ถ้าให้เดาคงเกี่ยวข้องกับพี่เจน บางทีนะ บางทีพี่ทาร์ตอาจจะรักพี่เจนก็เป็นได้ เพราะผมได้ยินฟ่อนเล่าว่ากับคนนี้คบมานานที่สุดแล้ว แต่ใครหลายๆ คนมักบอกว่าผู้ชายเป็นประเภทที่รู้ตัวช้า เสียใจช้า... ไม่รู้สิ ไม่เคยอกหักนี่หว่า

"เกลียด..."
พี่ทาร์ตพูดขึ้นมาอีกคำ ผมแทบหยุดหายใจเมื่อได้ยิน ความอยากรู้ทวีคูณขึ้นเป็นสองเท่าจากเดิม เหตุผลที่ทำให้เขาทั้งสองคนเลิกกันกะทันหันคืออะไรนะ ไม่ใช่ว่าอยากเสือกหรอกแต่เป็นห่วงเขา จากผู้ชายที่ชอบควงผู้หญิงเป็นว่าเล่น แต่คบพี่เจนได้นานเป็นปีๆ มันต้องรักกันบ้างล่ะน่า หลังจากนี้จะเสียใจจนไม่กินไม่นอนหรือเปล่านะ

ผมกลับออกมาจากห้องนอนอย่างเงียบเชียบแล้วลงไปกินข้าวกับแม่แต่สองคน วันนี้กับข้าวมีแต่ของโปรดของพี่ทาร์ตทั้งนั้น... แต่ไม่รู่ว่าตอนนี้เขายังจะชอบเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า น้ำพริกกะปิ ไข่เจียว แกงเลียงกุ้งสดและใบเหลียงผัดไข่ อาหารสไตล์คนภาคใต้

"พี่ทาร์ตโตขึ้นหล่อมากเลยเนอะปูน"
แม่พูดในขณะที่ผมตักข้าวเพิ่มจานที่สอง อย่าหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ก็กินรวบมือเช้ากับมื้อเที่ยงไง

"ใช่แม่ ปูนเห็นที่สนามบินยังตกใจเลย ดูดีกว่าในรูปถ่ายเยอะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนจะวางจานข้าวลงและตักไข่เจียวใส่จาน จะให้บอกว่าพี่เขาหล่อสักกี่ครั้งผมก็ยังอิจฉาอยู่เหมือนเดิมแต่ก็แอบภูมิใจนะที่คนรู้จักและเคยสนิทกันหน้าตาดีขนาดนี้ ตอนเขาเข้ามาใกล้นี่พาลใจสั่นทุกที คล้ายๆ ฟีลเจอนักร้องเกาหลีตอนไปดูคอนเสิร์ตเลยว่ะ ฮึย แต่ยืนยันนะว่าผมไม่ได้พิศวาสคนเพศเดียวกัน

"พี่เขาคงจะมีแฟนแล้วใช่ไหม"
แม่ถามต่อ ซึ่งทำให้ผมที่กำลังจะตักจ้าวใส่ปากชะงักมือ แฟนอย่างนั้นเหรอ... ก็เพิ่งเลิกกันไปไง คนอย่างพี่ทาร์ตหาใหม่ได้ไม่ยากนักหรอก ถ้าเป็นผมนี่สิเกิดได้เจอคนที่ใช่คงไม่ปล่อยเขาไปไหนแล้วล่ะ

"มีนะแม่ แต่เลิกไปแล้วก่อนกลับมาภูเก็ตนี่ล่ะครับ"
ผมตอบกลับไปแล้ววางช้อนลงเพราะรู้แล้วว่าเรื่องนี้คงโดนแม่ซักยาวเหยียด ป้าอุ่นคงฝากมาถามด้วยล่ะ... รายนั้นเขาไม่ชอบลูกสะใภ้เป็นสาวฝรั่ง

"อ้าว เลิกกันก่อนกลับมาบ้านน่ะเหรอ ทำไมล่ะ"
แม่ขมวดคิ้วยุ่ง ผมส่ายหน้าแทนการตอบคำถามเพราะไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน ไม่สนิทอย่าคิดยุ่มย่ามอะไรประมาณนั่น ซึ่งเป็นตัวผมเองที่เกรงใจความเป็นส่วนตัวของเขาน่ะ

"ปูนไม่กล้าถามอะ แต่เมื่อกี้พี่เขาก็ละเมอชื่อแฟนที่เพิ่งเลิกไปนะ"

"อย่างนั้นเหรอ ปูนก็ช่วยๆ ดูแลพี่ทาร์ตหน่อยแล้วกันนะลูก เพิ่งกลับมาคงไปไหนมาไหนไม่ถูก ถ้าว่างๆ ก็พาพี่เขาไปผ่อนคลายบ้างเนอะ"

"ครับๆ แต่ขอทุนทรัพย์ในการพาลูกชายสุดที่รักของแม่ไปเที่ยวด้วยนะ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะเลยไปรับมะเหงกมาจากแม่ แค่ขอเงินเองอะ ทำไมต้องดุด้วย นี่เพื่อพี่ทาร์ตเลยนะเอ้อ

"เดี๋ยวแม่ขอจากป๋าให้แล้วกัน ถ้ารู้คงดีใจ"
แม่พูดน้ำเสียงเยาะเย้ยเล็กน้อยแล้วลุกไปจากโต๊ะอาหาร ปล่อยให้ผมนั่งทำหน้าบูดเป็นตูดหมึกอยู่คนเดียว ฮึ่ย ไม่กินแล้วข้าวอะ ขัดใจๆ ที่สุดเลย

เอ้อ... ใช่สิ ทั้งแม่ทั้งป๋าเลย ใครๆ ก็รุมรักพี่ทาร์ตอะ ตกลงว่าผมเป็นลูกใครกันแน่เนี่ย น้อยใจเว้ย ถ้าป้าอุ่นกับลุงตั้มกลับมาเมื่อไหร่จะยึดไว้กับตัวเองเลยคอยดู จะแย่งบ้าง หึ!





------------------------------------------------

ตอนที่ 1 มาแล้วนะทุกคน ขอโทษที่ปล่อยให้รอนานไปหน่อย
เพิ่งปั่นตอนพิเศษเรื่อง Alcohol Addict จบเอง

ปล. นิยายเรื่องนี้เราแอบใส่ส่วนผสมขนมด้วยนะ 55555 เหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ฮือ
ปล.2 รูปขนมเราวาดเองนะ อาจจะกากไปสักหน่อย แต่ก็อยากวาดประกอบ มันน่ารักดี (เหรอ?) 5555
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 1 -P.1- (12/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 12-03-2017 11:13:09
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 1 -P.1- (12/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-03-2017 11:39:40
ทำไมละเมอว่าเกลียดล่ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 1 -P.1- (12/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 12-03-2017 16:18:23
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 1 -P.1- (12/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Melonlove ที่ 12-03-2017 17:11:10
 :pig4: :pig4: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 1 -P.1- (12/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Mickey199663 ที่ 12-03-2017 19:42:46
ละเมอหาแฟนเก่าว่าเกลียดนี่เกลียดอะไร อยากรู้เรื่องแฟนเก่าเลยว่ารักจริงๆ หรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 1 -P.1- (12/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: gakuen ที่ 13-03-2017 00:03:23
 :katai1: :katai1: รอออออ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 1 -P.1- (12/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: gakuen ที่ 13-03-2017 00:25:28
''แม่ นี่ลูกไงจำไม่ได้หรอ" 555555โอ้ยสงสารน้องปูน
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 2 -P.1- (14/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 14-03-2017 22:07:22
(http://i.imgur.com/3r47oVj.png)


สูตรที่ 2


Japanese Cheese Tart
: อัลมอนด์ป่น/น้ำตาล/ไข่ไก่/แป้งอเนกประสงค์/เนยจืด - ครีมชีส/โยเกิร์ต/น้ำตาล/ไข่ขาว/ไข่แดง/วิปปิ้งครีม :




คืนแรกของการนอนกับพี่ทาร์ตออกจะทุลักทุเลไปสักเล็กน้อย ไม่รู้ว่าต้องจัดเตียงแบบไหน เอาหมอนข้างไว้ตรงกลางหรือเหวี่ยงทิ้งไปที่พื้นดีนะ มันเกะกะ เพราะปกติเคยนอนคนเดียว แต่มีอีกคนเพิ่มเข้ามาพื้นที่ในการขยับตัวก็น้อยลง ผมคิดไม่ตกจนเผลอยืนเกาหัว ในขณะที่อีกคนออกมาจากห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เดินเข้ามายืนซ้อนด้านหลัง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่ที่แสนคุ้นเคย ทำให้ตระหนักว่าเขาอยู่ใกล้เพียงใด

"ทำอะไรอยู่"
เขาเอ่ยถามด้วยเสียงไม่ดังมากนักแต่ด้วยความที่ขยับเข้ามาใกล้กันมาไปทำให้ผมสะดุ้ง พอหันไปก็ตาลีตาเหลือกขึ้นมาเพราะจมูกแทบจะชนแก้มใสๆ ของพี่ทาร์ต แถมยังเผลอถอยหลังจนชนเข้ากับเตียงแล้วล้มลงนอนแผ่ ทำให้เรียกเสียงหัวเราะจากอีกคนได้ง่ายๆ น่าอายชะมัด เผลอทำเรื่องเปิ่นๆ ลงไปอีกแล้วสิน่า

"โอย พี่ทาร์ต จะเข้ามาใกล้อะไรขนาดนั้นครับ เกือบไปแล้วไหมล่ะ"
ผมนอนแผ่ท่าปลาดาวแบบเดิมโดยไม่ขยับไปไหนเพราะรู้สึกปวดหลังตอนกระแทกลงบนเตียง พี่ทาร์ไม่เลิกหัวเราะกันสักที ใบหน้าหล่อๆ นั่นก็แดงเถือกไปหมด อะไรจะตลกขนาดนั้น ชัดเริ่มหงุดหงิดแล้วนะเว้ย เดี๋ยวก็ไล่ให้ไปนอนโซฟาห้องนั่งเล่นซะเลย

"จะคิดอะไรมากล่ะน้องปูน ตอนเด็กๆ หอมแก้มกันออกจะบ่อย"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กัน เขาดึงผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กขึ้นขยี้เส้นผมของตัวเองไปมา ผมมองภาพนั้นแล้วได้แต่เบ้ปากใส่ จะไม่ให้คิดมากได้ยังไงว่ะ ตอนนั้นกับตอนนี้เทียบกันได้ที่ไหน น่าขนลุกออก

"จะบ้าหรือไง มันไม่เหมือนกันเว้ย"
ผมพูดเสียงฉุนๆ ก่อนจะขยับนั่งพิงหัวเตียงแล้วคว้าเอาหมอนข้างมากอดไว้ พี่ทาร์ตชะงักมือแล้วหันมาเลิกคิ้วใส่กันอย่างกับว่าคำพูดที่ได้ยินไปเมื่อครู่แปลกประหลาด

"ครับๆ ทำไมล่ะ ขนลุกเหรอหรือกลัวเคลิ้ม"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงเย้าหยอกก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาจนจมูกแทบจะชิดกัน และด้วยความที่ผมตกใจเลยเผลอง้างเท้าถีบอีกคนจนผงะถอยหลัง ดีนะที่ไม่ตกเตียง

"โอย เจ็บนะปูน ถีบพี่ทำไม"
พี่ทาร์ตเงยมองด้วยใบหน้าเหยเกแล้วใช้มือลูบช่วงหน้าอกเพื่อบรรเทาความเจ็บ ผมแยกเขี้ยวใส่แถมด้วยการถลึงตาให้รู้ว่าเมื่อครู่ตัวเองไม่ผิด ก็เขาเล่นเข้ามาให้ระยะประชิด พูดจาชวนให้ขนลุกแบบนั้น

"ก็พี่ทาร์ตเล่นอะไรวะ ถ้ายังแกล้งกันอีกก็ลงไปนอนที่โซฟาด้านล่างเลยไป"
ผมพูดด้วยเสียงจริงจังแล้วมองพี่ทาร์ตด้วยสายตาดุๆ อีกฝ่ายยกมือขึ้นยอมแพ้แล้วถอนหายใจเบาๆ

"โอเคๆ ไม่แกล้งก็ได้แล้วครับปูน จะนอนหรือยัง"
พี่ทาร์ตถามแล้วเดินไปตากผ้าขนหนูในห้องน้ำ ผมส่ายหน้าแทนคำตอบเพราะจะอ่านการ์ตูนที่เพิ่งไปซื้อมาใหม่เมื่อสองวันก่อน และดูท่าทางเขาก็คงจะไม่นอนเหมือนกัน มีอาการเจ็ทแลคสินะ

"ก็ดี... พี่ยังปรับเวลาไม่ได้เลยว่ะ"
เขาทิ้งตัวลงนั่งพิงหัวเตียงข้างๆ กันแล้วหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่น พอดีที่สายตาของผมเหลือบมองหน้าจอสี่เหลี่ยมนั่น มันคือรูปคู่ชายหญิงซึ่งพอจะเดาได้ว่าเป็นพี่ทาร์ตกับพี่เจน อยากจะถามถึงสาเหตุที่เขาเลิกกัน แต่ปากกลับขยับไม่ได้ โธ่เว้ย จะเสือกเรื่องคนอื่นทั้งทีกลับใจไม่กล้าพอ

"นี่... พรุ่งนี้ปูนไปห้างกับพี่ได้ไหม อยากได้มือถือใหม่ว่ะ"
พี่ทาร์ตโยนโทรศัพท์ในมือกลับไปไว้ที่หัวเตียงแล้วหันมาบอกกันด้วยใบหน้าเรียบเฉย ผมเลิกคิ้วขึ้นก่อนพยักหน้าตกลงไป แอบสงสัยว่าที่อยากเปลี่ยนเครื่องใหม่นี่เพราะอยากลืมคนบางคนหรือเปล่านะ

"ได้ดิ แต่เครื่องที่พี่ใช้มันก็ยังใหม่ไม่ใช่เหรอ"
ถามลองเชิงไปแบบนั้น ถ้าเขาบอกสาเหตุจริงๆ ก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าเขาบอกปัดก็จงพึงระลึกไว้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว ผมทำทีท่าว่าไม่ใส่ใจในคำตอบมากนักแล้วเดินไปหยิบหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ออกจากชั้น พี่ทาร์ตยังคงเงียบแต่สายตากลับมองตามผม... เพื่ออะไรว่ะ

"เปลี่ยนเพราะไม่อยากใช้เครื่องเก่าแล้ว ขี้เกียจมานั่งลบอะไรหลายๆ อย่าง"
เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเป็นปกติ ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เหมือนเดิม แต่อยู่ๆ ศีรษะชื้นๆ ของเขาก็ซบลงมาบนไหล่กันซะอย่างนั้น

"พี่ทาร์ต... เป็นอะไรหรือเปล่า ง่วงเหรอครับ"
ผมถามออกไปเสียงเบาและไม่กล้าขยับตัวไปไหน ทั้งๆ ที่ไม่ชินสภาพแบบนี้แต่ก็ไม่อยากผลักไสเขา กำลังเสียใจอยู่หรือเปล่านะ เรื่องพี่เจนอะไรนั่น ควรทำยังไงดีวะ

"เปล่า... ปูนเคยรู้สึกเกลียดใครหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย ผมลอบมองปฏิกิริยาของเขา อยากเห็นสีหน้าตอนนี้ แต่ซบไหล่กันแบบนี้เลยหมดหวัง

"หือ เกลียดเหรอครับ มันก็มีบ้างนั่นล่ะ พี่ถามทำไม"
เรื่องเกลียดใครสักคนก็เป็นธรรมดาของมนุษย์โลกไม่ใช่เหรอ

"แล้วกับคนที่เคยรักล่ะ เกลียดเขาบ้างหรือเปล่าตอนเลิกกันไป"
พี่ทาร์ตยังคงถามต่อไป แต่ผมเริ่มสะกิดใจแล้วล่ะว่าเขากำลังจะพาเข้าสู่เหตุผลของการเลิกกับแฟนและการเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ตั้งแต่เมื่อตอนกลางวันล่ะมั้งที่คนข้างๆ นี้อยากระบายอะไรออกมา แต่ปัญหาคือผมไม่เคยมีแฟนนี่สิ ตอบยังไงดีวะ
"เอ่อ... ผมไม่เคยมีแฟนนะพี่ทาร์ต แต่ผมคิดว่ากับคนที่เคยรักแล้วเปลี่ยนเป็นเกลียดได้ เขาต้องทำเรื่องอะไรร้ายแรงไว้แน่ๆ"
ผมพูดไปตามที่คิดไว้ มันอาจจะเป็นกลางหรือไม่เป็นกลางก็ได้ ช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าอีกคนจะตัวสั่นขึ้นมาหน่อยๆ ล่ะ กำลังร้องไห้อยู่หรือเปล่านะพี่ชาย

"เจนนอกใจพี่น่ะ ก็คิดไว้ว่ากับคนนี้จะลองจริงจังดูสักครั้ง แล้วสุดท้ายก็... หึ"
โดยไม่คาดคิดว่าอยู่ๆ พี่ทาร์ตจะเล่าออกมาง่ายๆ ด้วยน้ำเสียงที่สั่นจนยากจะควบคุม เขาผละตัวออกแล้วใช้หลังมือเช็ดน้ำตาลวกๆ ผมอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะคนเจ้าชู้เมื่อคิดจะหยุดแล้วก็คือเขาต้องจริงจังกับคนนั้น... คงเจ็บปวดมากสินะ ควรปลอบยังไงดีล่ะ

"พี่ทาร์ต... กอดกันไหม เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น"
ผมซึ่งเป็นบุคคลที่ปลอบใครไม่เก่งที่สุดในสามโลกบอกกับพี่ทาร์ตไปแบบนั้นด้วยท่าทางอึกอัก เขามองกันนิ่งก่อนจะหลุดยิ้มออกมาแล้วดึงผมไปกอดเอาไว้แน่น แต่ก็พอจะหายใจออกล่ะนะ

"พูดปลอบไม่เป็นจนต้องเอาตัวเข้าแลกเลยเหรอน้องปูน"
พี่ทาร์ตว่าเสียงเย้าหยอกแล้วซบหน้าลงกับลาดไหล่ ปล่อยให้น้ำตาซึมผ่านเสื้อยืดสีขาวของผมไปเรื่อยๆ สถานการณ์แบบนี้ยังจะแกล้งคนอื่นอีก บ้าจริงๆ เลย

"พี่ทาร์ตหยุดพูดเล่นสักทีเหอะน่า"
ผมว่าเสียงดุๆ แต่ก็เอื้อมมือไปลูบแผ่นหลังของเขาเบาๆ พี่ทาร์ตส่งเสียงหัวเราะออกมาแล้วกระชับกอดกันมากขึ้น คนที่ดูร่าเริงตลอดเวลาอย่างเขามานั่งร้องไห้ซบบ่าคนอื่นนี่ดูไม่เข้ากันเอามากๆ เลยล่ะ

"อึดอัดไหมปูน"
อยู่ๆ เสียงแหบๆ ก็ถามขึ้น ผมไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอึดอัดในความหมายไหน แต่ก็ส่ายหัวแทนคำตอบไป ตอนนี้ไม่คิดอะไรแบบนั้นแล้วล่ะ แต่เห็นพี่เขาสามารถอ่อนแอต่อหน้าน้องชายคนนี้ได้ ก็รู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเราตลอดหลานปีที่ไม่เจอกันมันลดลงไปแล้ว

"ไม่หรอกพี่ทาร์ต ผมยังหายใจออกอยู่น่า สบายใจเมื่อไหร่ค่อยปล่อยก็ได้"
ผมพยายามตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทั้งที่ในใจกลับว้าวุ่น ไม่ชอบให้คนๆ นี้ร้องไห้ ไม่ชอบให้คนๆ นี้อ่อนแอเลย

"ถ้าพี่ไม่สบายใจทั้งคืน ปูนจะให้พี่นอนกอดไหมล่ะ"
ถามกันด้วยน้ำเสียงทะเล้นและยังไม่กลายอ้อมกอดออกจากกัน ผมได้แต่กรอกตามองบนเพราะเหนื่อยที่จะโวยวายให้เขาหยุดแกล้งกันสักที นี่ขนาดเจอกันแค่วันแรกยังโดนนับครั้งไม่ถ้วน ไม่อยากจะคิดถึงวันต่อๆ ไปเลย เฮ้อ แต่ก็ไม่ได้รำคาญอะไรหรอก ชีวิตมีสีสันดี... มั้ง

"แบบนั้นผมเสนอให้กอดหมอนข้างแทนนะพี่ อยู่ๆ จะให้ผู้ชายสองคนนอนกอดกันบนเตียงก็แปลกๆ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเนือยๆ กอดกันมันก็ได้อยู่หรอก แต่ถ้าให้นอนกอดกันมันจะดูเกินไปหรือเปล่า ที่สำคัญคืออึดอัดเว้ย ผมชอบนอนหงายให้ผ้าห่มทับตัวแค่นั้นล่ะ

"หมอนข้างมันไม่อุ่นนะ"
ยัง... ยังไม่จบ

"เลิกแกล้งแล้วปล่อยผมเลย จะนอนแล้ว"
ผมผลักเขาออกแล้วทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้เขาทั้งๆ ที่ตัวเอียงเกลียดการนอนตะแคงเพราะหายใจลำบาก ตอนแรกก็ว่าจะมองข้ามเรื่องโดนแกล้งไปเพราะเห็นอีกคนดราม่า แต่เอาไปเอามาทนไม่ได้ว่ะ

"โอเคๆ อย่างอนดิ"
พี่ทาร์ตยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจปะทะเข้ากับข้างแก้ม ผมต้องใช้มือดันไหล่เขาออกไปห่างๆ แล้วถลึงตาใส่ด้วยความหงุดหงิด พูดดีๆ ไม่ต้องเข้ามาประชิดจะได้ไหม มันขนลุกเนี่ย ตอนเด็กๆ อาจจะเคยสกินชิพกันบ่อยๆ แต่โตมาแล้วมันแปลกๆ นี่หว่า

"ไม่ได้งอนเว้ย ไม่ใช่ผู้หญิง"
ผมโวยเสียงไม่ดังนักกลับไปแล้วกระตุกผ้าห่มขึ้นคลุมหัวจนหมด หนังสือการ์ตูนก็ไม่ได้อ่านยังจะโดนกวนอีก มันน่าไล่ออกไปจากห้องจริงๆ ไหมล่ะ ไม่อย่างนั้นก็ไล่กลับบ้านไปนอนที่สนามหญ้า

"ถ้าปูนเป็นผู้หญิงพี่คงจีบไปแล้วล่ะ... น่ารัก"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอามือมาสะกิดแขนกันเล่น ผมทำท่าฟึดฟัดแล้วดึงผ้าห่มลงมาแยกเขี้ยวใส่คนขี้แกล้ง ไม่ไหวแล้วนะ จีบบ้าจีบบออะไร ถึงผมจะเป็นผู้หญิงก็ไม่ยอมคบกับมันหรอก เจ้าชู้เป็นปลาไหลขนาดนี้ ใครจะเอาอยู่ล่ะ ถ้ายังไม่เลิกเล่นแผลงๆ ผมจะถีบเขาลงจากเตียงจริงๆ ด้วย

"ไอ้พี่ทาร์ต อยากจะลงไปนอนข้างล่างใช่ไหม"
ผมว่าเสียงดุแล้วลุกขึ้นนั่งจ้องหน้าเขาอย่างจริงจัง พี่ทาร์ตรีบถอยห่างด้วยหน้าตาตื่นๆ แล้วยกมือขึ้นยอมแพ้กัน

"โอ้ นอนที่นี่ล่ะครับ ไม่แกล้งแล้วๆ พี่แค่ไม่อยากคิดถึงเรื่องเจนอีก ถ้าทำให้ปูนไม่พอใจก็ขอโทษด้วยนะ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ มองกันด้วยสายตาอ่อนล้า ผมอึกอักไม่กล้าแสดงอาการโมโหใดๆ อีกต่อไป ถ้าหยุดคิดสักนิดเรื่องราวอาจจะไม่ดำเนินมาถึงตอนนี้ก็ได้ โอย... ผมอยากเอาหัวโขกเตียงให้ตาย คนอกหักโคตรเข้าใจยาก


"ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้จะพาไปซื้อมือถือใหม่เนอะ เดี๋ยวเลี้ยงอาหารเกาหลีฉลองที่พี่ทาร์ตกลับไทยด้วย โอเคปะ"
ผมโบกมือไปมาเป็นสัญญาณว่าไม่ติดใจเอาความแถมด้วยความใจป๋าจะควักกระปุกตัวเองเลี้ยงข้าวพี่ทาร์ตไปอีก เอาเถอะ พี่ชายกลับบ้านทั้งทียอมเข้าเนื้อหน่อยจะเป็นไรไป

"โอเค ขอบคุณครับ แต่... ทำไมต้องอาหารเกาหลีวะ"
พี่ทาร์ตขมวดคิ้วมองกันด้วยความสงสัย ผมไหวไหล่แล้วเดินไปปิดไฟก่อนจะกลับขึ้นเตียงล้มตัวลงนอนและตอบคำถามอีกคนในความมืด

"ก็ผมชอบอะ"
ประโยคสั้นๆ จบทุกการซักถาม พี่ทาร์ตหัวเราะเบาๆ แล้วเอื้อมมือสะเปะสะปะมาขยี้หัวกันก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์สำหรับค่ำคืนนี้

"ฝันดีนะ"

"ครับ ฝันดี"
แปลกๆ ว่ะ มีคนมาบอกฝันดีก่อนนอน แต่ก็รู้สึกดีล่ะนะ

แสงแดดยามเช้าลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านสีครีมเข้ามาทำให้ทั้งห้องเกิดแสงสลัว เสียงนกร้องยามเช้าไพเราะแต่มันรบกวนการนอนชะมัด ผมรู้สึกตัวเพราะอึดอัดช่วงหน้าท้อง พอลองขยับตัวกลับพบว่ามีอะไรหนักๆ พากทับอยู่ ตอนนี้ถึงจะเป็นผีอำก็ไม่กลัวหรอก คนมันง่วงนี่ สติไม่ค่อยมีหรอก

ผมปรือตาขึ้นอย่างยากลำบากเพื่อมองดูสิ่งที่พาดทับหน้าท้องกันอยู่ แต่สายตากลับชะงักก่อนเพราะรู้สึกว่าตรงซอกคอมีลมอุ่นๆ เป่ารดอยู่... คงไม่ต้องลำบากหาต้นตอแล้วล่ะ พี่ทาร์ตนอนกอดกันไม่ผิดแน่ๆ เมื่อคืนบอกแล้วว่าให้เอาหมอนข้างไปก็ไม่ยอม เป็นไงล่ะ... เฮ้อ

"พี่ทาร์ต..."
ผมเรียกเสียงยานพร้อมกับตีมือลงบนแขนเจ้าปัญหาหลายๆ ครั้งเป็นการปลุก แต่พี่ทาร์ตไม่หือไม่อือเลยสักนิดเดียว สงสัยจะหลับลีก แต่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างคงอึดอัดตายแน่ๆ ปวดฉี่ด้วย งงตัวเองเหมือนกันว่านอนมาได้ยังไงตลอดคืน ทั้งๆ ที่ไม่ชอบให้ใครกอดถ้าไม่เต็มใจ

ผมตัดสินใจยกแขนแกร่งออกจากลำตัวแล้วก้าวลงจากเตียงก่อนจะเดินสะลึมสะลือเข้าไปฉี่ในห้องน้ำ เห็นสภาพตัวเองในกระจกบานใหญ่ถึงกับต้องเบือนหน้าหนี สารรูปดูไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว หัวยุ่งเหยิง หน้ามัน ตาบวม ช่างแม่ง กลับไปนอนดีกว่า

ในขณะที่กำลังก้าวขากลับเตียงก็ต้องสะดุดกึกเมื่อสายตาปะทะเข้ากับสภาพของพี่ทาร์ตที่นอนอยู่บนเตียง ขนาดนอนอ้าปากยังดูดี แต่ที่สำคัญคือเขาร้องไห้จนผมต้องนั่งยองๆ แล้วถือวิสาสะใช้มือปาดคราบน้ำตาออก คงจะฝันเรื่องไม่ดีอยู่ล่ะมั้ง ควรทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดี เรื่องเรียนน่ะเก่ง แต่เรื่องแก้ปัญหาหัวใจกลับติดลบ

ผมนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน เวลาล้วงเลยไปนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจระบุได้ รู้แค่เพียงว่าห้องทั้งห้องสว่างโล่เพราะแสงอาทิตย์ที่ขึ้นเต็มดวง และนั่นส่งผลให้มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของพี่ทาร์ตได้อย่างเต็มที่ จมูกโด่งเป็นสันจนน่าอิจฉา อยากลองจับดึงดูสักครั้งด้วยความหมั่นไส้ ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคนบนเตียงขยับตัวพลิกไปนอนหงาย แขนแกร่งควานหาอะไรบางอย่าง

ผมนั่งมองการกระทำของพี่ทาร์ตอยู่สักพักแล้วกลั้นขำไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังหาคืออะไร ไม่นานนักอีกคนก็ดีดตัวขึ้นนั่งจนผมผงะถอยหลังด้วยความตกใจ ทำอะไรของเขาเนี่ย ละเมอเหรอ

"ปูนอยู่ไหน..."
เขาเอ่ยถามด้วยเสียงงัวเงียแล้วปรือตาขึ้นช้าๆ ผมที่นั่งอึ้งอยู่ถึงกับเผลอเม้มปากแน่นเพราะไม่รู้ว่าจะถามหากันทำไม ดูพี่ทาร์ตจะเริ่มไม่สบอารมณ์แล้วด้วย ควรบอกไหมว่าผมนั่งอยู่ข้างเตียงเนี่ย...

"เอ่อ..."
กำลังจะร้องบอกว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้แต่พี่ทาร์ตหันมาเจอกันซะก่อนเลยได้แต่อ้าปากค้างแบบนั้นเพราะโดยสายตาดุๆ มองมา ไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่าวะ ไม่เห็นรู้ตัวเลย

"หายไปไหนมาครับ ทำไมไปนั่งอยู่ตรงนั้น"
ถามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ ก่อนจะคลานลงจากเตียงมาหากันแล้วทิ้งตัวลงนอนบนตักของผมอย่างหน้าตาเฉย จะขยับตัวหนีก็กลัวหัวพี่ทาร์ตโขกกับพื้นเลยได้แต่นั่งนิ่งๆ ให้ทำอะไรตามใจ

"ไปเข้าห้องน้ำ กลับมาพี่ก็นอนแผ่เต็มเตียงแล้วไง"
ผมตอบเสียงเบาเพราะกำลังโกหกอยู่ ที่จริงเตียงเหลือที่ว่างเยอะแยะแต่เลือกที่จะนั่งมองเขาเอง เพราะไม่ได้เจอกันนานเลยอยากทบทวนความหลังนิดหน่อย แอบเสียดายเหมือนกันที่ความสนิทของเราลดลง ทำให้ตอนนี้ไม่กล้าถามด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่ฝันอะไรอยู่หรือเปล่าถึงได้ร้องไห้

"อ๋อ... อืม เมื่อคืนนอนไม่หลับว่ะ แต่พอได้กอดปูนแล้วหลับสบายดี"
พี่เขาพูดแล้วคลี่ยิ้มบางๆ มาให้กัน ผมเบิกตากว้างพร้อมกับที่จังหวะหัวใจเริ่มเต้นถี่ขึ้น ในตอนแรกก็คิดว่าเขาละเมอ ที่ไหนได้จงใจกอดเหรอวะ ควรจะโกรธใส่ดีไหม ก็บอกแล้วว่าทำแบบนั้นมันแปลกๆ แล้วดูตอนนี้สิ นอนตักเหมือนเป็นแฟนกันเลย

"พี่ทาร์ต... บอกแล้วไงวะว่ามันแปลกๆ แล้วนี่มานอนตักกันอีก ขนลุกนะเว้ย"
ผมโวยเสียงไม่ดังมากนักแล้วก้มลงแยกเขี้ยวใส่คนที่ช้อนสายตามองกันแบบไม่สะทกสะท้านแถมยังใช้มือหนาดึงแก้มผมจนต้องปัดทิ้งก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะอารมณ์ดีของคนขี้แกล้งกลับมา

"น่าๆ จะเครียดไปทำไมล่ะ ชิลล์ๆ พี่น้องกัน ทำแค่นี้เรื่องปกติ"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วหลับตาลงอีกครั้งหนึ่ง ผมได้แต่เบ้ปากใส่เขาเพราะไม่รู้จะทำยังไง นี่ล่ะมั้งที่เขาบอกกันว่าเด็กไทยหัวโบราณแถมยังคิดมากอีก จะพยายามคิดว่าไม่มีอะไรในก่อไผ่แล้วกัน... ความจริงก็เห็นชัดๆ ว่าต่างคนต่างชอบผู้หญิงนี่เนอะ เลิกเครียดดีกว่า

"ครับๆ แล้วนี่พี่ทาร์ตจะนอนต่ออีกหรือไง ผมจะไปอาบน้ำ เริ่มหิวแล้ว"

"ไปกินติ่มซำกันไหม พี่เลี้ยงเอง ตอบแทนที่ปลอบเมื่อคืน"
พี่ทาร์ตลุกขึ้นแล้วขยี้หัวตัวเองหลังพูดจบ ผมคลี่ยิ้มกว้างแล้วรีบพยักหน้ารับความหวังดีนั่นทันที ก็ไปกินติ่มซำแต่ละครั้งราคาแพงแถมได้น้อยอีก... มีคนเลี้ยงจะกอบโกยให้หนักๆ จนท้องแตกเลย

"งั้นไม่เกรงใจนะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแล้วลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจไปมาและด้วยความไม่ทันระวังตัวให้ดีเลยถูกพี่ทาร์ตกะตุกกางเกงนอนลง แต่ดีที่มือไวคว้าเอาไว้ได้ก่อนมันจะกองลงไปกับพื้น แม่ง เผลอไม่ได้เลย!

"เฮ้ย! เล่นอะไรของพี่เนี่ย"
ผมโวยเสียงดังแบบไม่เกรงใจใครแล้วรีบดึงกางเกงกลับไปที่เดิม ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันก็เถอะ ใครจะชอบแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นวะ พี่ทาร์ตก็เอาแต่หัวเราะจนตัวงอไปหมด ถ้าไม่ติดว่าอายุห่างกันหลายปีจะเตะให้ ชอบเล่นอะไรแผลงๆ อยู่เรื่อย

"ขาเนียนนะเนี่ย ถ้าได้ลูบสักครั้งคงติดใจ"
พี่ทาร์ตเลียปากตัวเองแล้วขยับเข้ามาใกล้ผมให้ผมถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความระแวง มือเรียวยังคงจับขอบกางเกงเอาไว้แน่น รู้นะว่าเขาแกล้ง แต่มันอดไม่ได้ที่จะหวั่นใจ ขาเนียนๆ อะไรที่เขาบอกมันเป็นความจริง เพราะผมเป็นคนที่มีจนน้อย น้อยจนมองแทบไม่เห็นเลยล่ะ

"พี่ทาร์ต! ไม่เล่นดิ เดี๋ยวไล่กลับบ้านเลยนี่"
ผมว่าเสียงดุแล้วขมวดคิ้วมองคนที่แสร้งทำหน้าหงอย คือไม่ได้เนียนอะไรเลย เห็นแล้วยิ่งเพิ่มความหมั่นไส้ให้ทวีคูณไปอีก

"ใจร้ายว่ะ จะให้พี่ไปนอนที่ไหน กุญแจบ้านก็ไม่มี"
พูดด้วยเสียงน้อยใจแล้วส่งสายตาตัดพ้อมาให้กัน ผมอยากจะลากคอไอ้ฟ่อนกลับมาใจจะขาด ก็ไหนบอกว่าแค่มีนัดทำงานที่โรงเรียนไง ทำไมไปๆ มาๆ ดันไปแข่งวิชาการได้ หลอกลวงว่ะ ชอบกันประสาอะไรของมันเนี่ย แถมยังไม่ให้กุญแจบ้านไว้ให้พี่ชายมันอีก

"เรื่องของพี่ดิ ทำไมชอบเต๊าะกันตลอด สนุกเหรอวะ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ กลัวคนอื่นจะเข้าใจผิดกับการกระทำของพวกเรา เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่

"นิสัยคนเจ้าชู้มั้ง"
พี่ทาร์ตตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ ผมไม่ได้ถอยห่างไปไหนเพราะอยากรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อ ยอมรับว่าเกลียดประโยคเมื่อครู่สุดใจ แต่ผมเป็นแค่น้องชายคนหนึ่งจะไปบอกให้เลิกเจ้าชู้ก็ไม่ใช่ไง

"ไม่เลือกเพศหน่อยเหรอ"
ถามด้วยน้ำเสียงปลงๆ ก่อนจะปล่อยขอบกางเกงตัวเองแล้วยกมือขึ้นเกาหัวไปมาด้วยความไม่เข้าใจ พี่ทาร์ตเป็นคนเจ้าใจยากมาแต่ไหนแต่ไร ความคิดน่าจะซับซ้อน ถ้าผมเลือกเรียนหมอคงทำเรื่องขอผ่าสมองพี่เขาออกมาวิเคราะห์

"เลือกสิ แต่กับปูนเป็นข้อยกเว้น"
คำตอบของเขาทำให้ผมเบิกตากว้าง ไม่เข้าใจว่าอยู่ๆ ทำไมตัวเองถึงมีสิทธิพิเศษขึ้นมาได้ ถ้าคิดย้อนกลับไปก็ตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้วที่พี่ทาร์ตจะใส่ใจกันมากกว่าปกติ เอาใจกันมากกว่าปกติ ใกล้ชิดกันมากกว่าปกติ จนใครๆ ก็แซวว่าเขาหลงน้องผิดคน ส่วนไอ้ฟ่อนแทบจะเป็นอากาศธาตุ

"ทำไม ผมเหมือนผู้หญิงเหรอไง ไม่แมนงี้เหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังเพราะไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ส่วนสูงก็ต่างจากพี่ทาร์ตแค่นิดหน่อย ขนาดตัวก็ใช่ว่าจะเล็กอะไร มาตรฐานชายไทยทั่วไป ไม่ผอมไม่อ้วน หน้าตาไม่ได้ติดสวยหรือหวาน แล้วทำไมชอบแกล้งกันนักนะ

"เปล่าๆ แมนครับ แต่... จะบอกไงดีวะ ปูนน่าแกล้งอะ พี่รู้แค่นี้ล่ะ ไปอาบน้ำเถอะ หิวแล้ว"
พี่ทาร์ตตอบแล้วโบกมือไล่กันซะอย่างนั้น พอเห็นผมที่ไม่นอมเคลื่อนไปไหนก็เดอนมาดันหลังกันเข้าห้องน้ำแถมยังหยิบผ้าขนหนูพาดบ่าให้เรียบร้อยอีก... ช่างแม่งเถอะ อยากแกล้งก็แกล้งไปถ้าเขาสบายใจผมก็โอเคล่ะวะ เมื่อไหร่เกินเลยกว่านี้ค่อยว่ากัน

ผมลงมาจากชั้นบนของบ้านพร้อมกับพี่ทาร์ตด้วยชุดสบายๆ เสื้อยืดกางเกงยีนส์  ชั้นล่างเงียบสงบปราศจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแม่ แต่พอจะเปิดประตูบ้านออกไปก็เจอกับกระดาษโน้ตใบโตที่ระบุว่าคุณนายไปเที่ยวกับเพื่อนๆ และให้ลูกสุดที่รักกับพี่ชายข้างบ้านหาข้าวเช้า เที่ยง เย็นกินเอาเอง... ก็นะ เป็นแบบนี้ประจำล่ะ

"โดนทิ้งแบบนี้บ่อยไหมปูน"
พี่ทาร์ตถามขึ้นในขณะที่ผมล็อกประตูบ้าน เขายืนพิงกำแพงด้วยท่าทางสบายๆ แต่ดูเท่จนน่าหมั่นไส้

"ก็... ประจำนั่นล่ะ ทุกวันอาทิตย์แม่จะออกไปสังสรรค์กับเพื่อน"
ผมตอบแล้วเดินผ่านพี่ทาร์ตไปยังลานจอดรถข้างบ้าน มินิฯ สีขาวสะอาดจอดนิ่งสนิทอยู่ข้างบีเอ็มฯ รุ่นใหม่ล่าสุด อยากจะอวดว่าเอารถไปเข้าคาร์แคร์มาเรียบร้อยแล้วนะ ไม่ใช่ความสมัครใจของผมหรอกแต่เพราะโดยพี่ชายตัวดีบังคับ... แค่เลอะโคลนนิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นรังเกียจ เหอะ

"แล้วปิดเทอมแบบนี้ไม่มีแพลนไปเที่ยวบ้างเหรอ"
พี่ทาร์ตถามต่อในขณะที่สอดตัวเข้ามานั่งในรถ ผมเหลือบมองเข้าเล็กน้อยก่อนจะเข้าเกียร์ถอยหลัง ดีหน่อยที่วันนี้ลุงคนสวนมาทำงานเลยไม่ต้องเสียเวลาลงไปเปิดประตูรั้วเอง

"ขี้เกียจขับรถ ขี้เกียจเดินทาง นอนอืดอยู่บ้านดีกว่า"
ผมตอบลวกๆ แล้วตั้งหน้าตั้งตาขับรถออกจากบ้าน ถนนยามเช้าในวันอาทิตย์คือสวรรค์ชัดๆ เพราะมันโล่จนสามารถเหยียบคันเร่งหนักๆ ได้เลย

"นี่คนหรือหมูวะ"
พี่ทาร์ตถามเสียงกลั้วหัวเราะจนผมต้องหันไปถลึงตาใส่ คนบ้าอะไรกวนประสาทได้ทุกเวลาจริงๆ อยากจะถีบให้ตกรถก็กลัวแม่จะด่าจนหูชา

"คนดิคน เห็นผมมีหางหรือไง หุ่นออกจะดีเนี่ย"
ผมพูดด้วยเสียงเซ็งๆ ก่อนจะบุ้ยปากเพราะไม่สบอารมณ์ตั้งแต่เช้า พี่ทาร์ตใช้ตาคมมองสำรวจกันตั้งแต่หัวจรดเท้า จะสำรวจอะไรนักหนา ไม่มีสมาธิขับรถไม่รู้หรือไง

"ไหน เปิดเสื้อให้พี่ดูหน่อยดิ มีพุงหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตทำเสียงเจ้าเล่ห์แล้วจ้องมองท้องของผมด้วยสายตาสนุกสนาน ผมเหลือบมองแล้วจิ๊ปากอย่างขัดใจ จะบ้าหรือไงอยู่ๆ จะให้ถลกเสื้อเนี่ยนะ หาเรื่องแกล้งกันไม่จบไม่สิ้นจริงๆ

"ไอ้พี่ทาร์ต เดี๋ยวผมจะจอดแล้วให้พี่โบกรถสองแถวไปเองเลยนะ"
ผมว่าเสียงดุๆ แล้วย่นคิ้วอยู่แบบนั้น ไม่เข้าใจว่าไอ้คนที่เพิ่งอกหักมานี่คึกอะไรขนาดนั้น ต้องแกล้งกันมาแค่ไหนถึงจะลืมแฟนเก่าไปได้วะ

"อ้าว... พี่แค่อยากพิสูจน์นี่หว่า ผิดตรงไหนเนี่ย"
ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกวนตีนหน่อยๆ แถมยังทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ใส่กันอีก จะไปด่าอะไรมากก็ไม่ได้เพราะพี่มันแก่กว่าหลายปี ผมต้องข่มใจแล้วท่องยุบหนอพองหนอ

"นั่งเงียบๆ ไปเลยก่อนที่ผมจะโมโห"
หลังจากคำพูดนั้นพี่ทาร์ตก็ยอมแพ้แล้วนั่งเงียบไปตลอดทางอย่างที่ผมบอกจริงๆ มีเหลือบสายตามามองกันบ้างแต่ผมเลือกที่จะไม่สนใจอะไร แต่จังหวะที่รถกำลังผ่านโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัยและโรงเรียนสตรีภูเก็ตเขาก็พูดขึ้น

"ตอนมัธยมพี่น่าจะเลือกเรียนที่นี่เนอะ สาวๆ เยอะดี"
พี่ทาร์ตชี้ไปที่โรงเรียนสตรีภูเก็ตที่อยู่ฝั่งซ้ายมือของเรา ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงแล้วเผลอเบ้ปากใส่ ความคิดของคนเจ้าชู้ก็มีแค่นั้นล่ะ คอยแต่จะมองสาวๆ อย่างเดียวมันใช้ได้ที่ไหน ถ้าพูดถึงโรงเรียนนี้จะได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนหญิงล้วนประจำจังหวัด แต่เมื่อหลายปีก่อนเริ่มรับนักเรียนชายเข้าไปศึกษาด้วย แต่มีจำนวนไม่มากคล้ายๆ ชนกลุ่มน้อยประมาณนั้น... เช่นเดียวกับโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัยที่เป็นโรงเรียนชายล้วนประจำจังหวัดและรับนักเรียนหญิงในจำนวนที่น้อยเหมือนกัน

"ความคิดของคนเจ้าชู้สินะ"
ผมพึมพำเบาๆ ไม่คิดเลยว่าพี่ทาร์ตจะได้ยิน พลาดที่สุดในชีวิตเลยว่ะ

"รู้ทันพี่อีกแล้วว่ะ แบบนี้รู้ใจด้วยหรือเปล่าน้อ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยเสียงหยอกล้อแถมยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจระอยู่ที่แก้ม ผมเผลอขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหนีระยะนั้นให้ไกล หัวชอบเต้นผิดจังหวะอยู่เรื่อยเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรบ้าบิ่น

"เกรงใจหน่อย นี่น้องพี่นะเว้ย เต๊าะอยู่ได้"
พยายามข่มอารมณ์สุดชีวิตแล้วหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายตรงหน้าเรือนจำจังหวัด อยากฆ่าพี่ทาร์ตว่ะ บอกให้เลิกแกล้งก็ไม่เลิก ผมควรจะปลงจริงๆ ใช่ไหม

"เต๊าะน้องตัวเองปลอดภัยที่สุดแล้ว ไม่มีหวั่นไหว ไม่มีเรื่องให้ตามแก้จนปวดหัว แถมยังเป็นผู้ชายด้วยกันอีก ชิลล์ๆ น่า"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยื่นมือมาตบบ่ากันเหมือนกำลังปลอบใจ ซึ่งอย่างที่เขาพูดมันก็จริงนั่นล่ะ เต๊าะน้องชายตัวเองเพื่อคลายเครียดมันปลอดภัยที่สุดแล้ว แถมยังเป็นผู้ชายด้วยกัน ไอ้เรื่องหวั่นไหวคงเป็นไปได้ยาก... แต่เรื่องหัวใจใครจะไปคาดเดาล่วงหน้าได้ล่ะ ความรู้สึกของคนผันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาน่ะสิ

"เออๆ ไม่เถียงกับพี่แล้ว เสียพลังงานเปล่าๆ"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงปลงๆ ก่อนจะจอดรถเมื่อถึงที่หมาย ‘ร้านซุปเปอร์ติ่มซำ’ ตั้งอยู่ที่บริเวณใกล้ๆ บขส.เก่า ขายาวๆ รีบก้าวอย่างรวดเร็วเพื่อตรงไปสั่งอาหารโดยมีพี่ทาร์ตตามมาอยู่ไม่ห่าง กลิ่นหอมของติ่มซำนึ่งสดทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเริ่มทำงาน จากที่ทนหิวได้ ตอนนี้แทบจะเขมือบทุกอย่างที่ขวางหน้า




ต่อด้านล่างนะ

หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 2 -P.1- (14/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 14-03-2017 22:08:00
“พี่ทาร์ตอยากกินอะไรบ้าง เดี๋ยวผมสั่งให้”
ผมหันไปถามคนที่ยืนข้างๆ กันแล้วกลับไปสนใจอาหารตรงหน้าเพราะต้องใช้ระบบชี้สั่งก่อนที่จะมีคนเอาไปเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ ติ่มซำจะขายเป็นเข่งๆ ราคาประมาณยี่สิบห้าบาท

“ไม่รู้จะกินอะไรดี ฝากปูนสั่งด้วยแล้วกัน เดี๋ยวพี่เข้าไปหาโต๊ะนั่งนะ”
เขาพูดก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่ากันแล้วคลี่ยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน ผมไหวไหล่เล็กน้อยก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาชี้ติ่มซำที่ตัวเองอยากกินไปเรื่อยๆ ราวสิบเข่ง พร้อมกับสั่งซาลาเปาและบะกุ๊ตเต๋ (กระดูกหมูตุ๋นยาจีน) ให้กับอีกคน ไม่รู้ว่าจะกินหรือเปล่านี่สิ เพราะเขาห่างหายจากอาหารประเภทนี้ไปนาน ก็เล่นไม่ยอมกลับบ้านเลยตลอดเก้าปีสิบปีที่ผ่านมา ถ้าไม่ติดว่าเป็นพี่ชายข้างบ้านผมคงลืมเขาไปแล้วล่ะ

“ผมสั่งซาลาเปากับบะกุ๊ตเต๋มาเผื่อพี่ด้วยนะ”
ผมบอกแล้วทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามของพี่ทาร์ต เขากำลังกดโทรศัพท์ด้วยหน้าตาบอกบุญไม่รับ ดวงตาคมช้อนมองกันแค่ครู่เดียวก่อนที่เขาจะพยักหน้าให้กัน ท่าทางแบบนั้นเลยทำให้ต่อมเผือกเริ่มทำงานอีกแล้ว...

“ทำอะไรครับ เล่นเกมเหรอ”
ผมถามไปแบบนั้นก่อนจะคลี่ยิ้มบางให้ พี่ทาร์ตมองกันนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้กันโดยไม่ยอมตอบคำถามอะไร สถานการณ์แบบนี้อาหารคงไม่อร่อยแล้วล่ะมั้ง

“เอามาให้ผมทำไม”

“เอาไปดูเองสิ ขี้เกียจพูดถึงน่ะ”
พี่ทาร์ตพูดจบก็จับมือผมแล้วยัดโทรศัพท์ให้กันก่อนจะผละออกไปเพราะพนักงานเข้ามาเสิร์ฟอาหารแบบพอดิบพอดี

“ให้ผมดูจะดีเหรอ”
ผมถามไปแบบนั้นเพราะเกรงใจที่จะดูอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา พี่ทาร์ตพยักหน้ารับแล้วหยิบซาลาเปาขึ้นมากิน เอาวะ เจ้าของเขาอนุญาตก็ขอดูหน่อยแล้วกัน

ผมก้มลงดูหน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ปรากฏรูปชายหญิงคู่หนึ่งกำลังจูบกันในห้องนอน คำบรรยายใต้ภาพเขียนชื่อของคนสองคนเอาไว้ทำให้รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร... พี่เจนกับแฟนคนใหม่ เพราะแบบนี้ใช่ไหมคนตรงหน้าถึงได้ละเมอว่าเกลียด นอกใจแล้วเปิดตัวกันอย่างชัดเจนขนาดนี้ แย่ว่ะ

“พี่ทาร์ต... กินเยอะๆ นะ แล้วมือถือเนี่ยไม่เอาแล้วใช่ปะ ผมขอยึดนะ ไม่ให้คืนแล้ว”
ผมพูดจบก็จัดการปิดเครื่องแล้วยัดลงกระเป๋ากางเกงของตัวเองทันทีโดยไม่รอให้อีกคนอนุญาตใดๆ พี่ทาร์ตที่กำลังคาบซาลาเปาคาปากอยู่ถึงกับมองกันอึ้งๆ คงไม่คิดว่าน้องตัวเองจะกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้สินะ ถึงจะปลอบใครด้วยคำพูดไม่เป็นแต่ก็มักหาการกระทำมาลบล้างได้เสมอ ไม่ต้องห่วงหรอก

“ไม่รอพี่อนุญาตหน่อยเหรอวะ”
พี่ทาร์ตเอาซาลาเปาออกจากปากแล้วพูดขึ้น ผมส่ายหน้าแรงๆ จนผมสะบัดตามไปด้วย เรื่องอะไรจะรอคำตอบล่ะ ขืนไม่ยอมให้ยึดคราวนี้จะทำยังไง ไม่อยากให้เขาซึมเศร้านี่นา เขาน่ะต้องร่าเริงถึงจะถูก

“ไม่อะ เลิกสนใจมันแล้วกินเข้าไปเยอะๆ เลย อุตส่าห์สั่งมาให้กิน บะกุ๊ตเต๋นี่อร่อยนะ กินดิๆ”
ผมเลื่อนทุกอย่างไปตรงหน้าพี่ทาร์ตพร้อมกับคลี่ยิ้มกว้างให้ พยายามแสดงอาการร่าเริงใส่เขาทั้งๆ ที่ในใจหวั่นกลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถปลอบคนๆ นี้ได้เป็นครั้งที่สอง แต่ผิดคาดไปหน่อยเพราะเขาหัวเราะออกมาแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวกันจนยุ่งเหยิง

“ครับๆ จะกินให้หมดเลย”

หลังจากที่อิ่มท้องกันเรียบร้อยแล้วผมก็ขับรถพาพี่ทาร์ตวนรอบเมืองเพื่อเป็นการฆ่าเวลารอห้างเปิดเพื่อจะไปซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ และสวนสาธารณะสะพานหินที่ตั้งอยู่สุดสายถนนภูเก็ตบรรจบกับทะเลก็เป็นที่หมายในการหยุดพักในครั้งนี้ บริเวณโดยรอบปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ให้บรรยากาศร่มรื่นเหมาะแก่การมาปิคนิก เดินเล่น และยังมีศูนย์กีฬา โรงยิม สระว่ายน้ำไว้ออกกำลังกายอีกด้วย

ผมจอดรถเทียบริมฟุตบาทก่อนจะพาอีกคนไปเดินเล่นดูทะเลที่ไกลสุดลูกหูลูกตา พี่ทาร์ตทิ้งตัวลงนั่งบนก้อนหินที่ตั้งเรียงรายเป็นแนวไปตลอดสาย ดวงตาคมทอดมองไปด้านหน้าอย่างเหม่อลอย ตอนนี้คงไปขัดจังหวะความคิดของเขาไม่ได้เลยทำได้แค่นั่งลงข้างๆ ค่อยลอบมองเป็นระยะๆ

“ปูน...”
เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อกันขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปนาน ผมหันไปมองเขาก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร แต่เพิ่งค้นพบว่าอีกคนไม่ได้สนใจกันเลยด้วยซ้ำเพราะดวงตาของเขายังทอดมองน้ำทะเลสีฟ้าครามตรงหน้าเหมือนเดิม

“ครับพี่ทาร์ต”
ผมขานรับไปแล้วทอดสายตามองไปด้านหน้าบ้าง แต่กลับกันตรงที่พี่ทาร์ตกลับหันมามองทางนี้ กำลังเล่นอะไรกันอยู่วะ ใครหันมาสบตากันก่อนแล้วแพ้แบบนั้นหรือเปล่านะ

“พี่อยู่กับปูนแล้วสบายใจว่ะ พูดจริงๆ นะ ถ้าน้องเป็นผู้หญิงพี่จีบจริงๆ ด้วย”
พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมเผลอกลั้นหายใจ ตั้งแต่เจอหน้ากันได้ยินประโยคแบบนี้มากี่ครั้งแล้ววะ แต่เพราะไม่ใช่ผู้หญิงและไม่มีวันเป็นไปได้ผมเลยหัวเราะออกมาไม่ดังมากนักเพราะยังเกรงใจคนรอบข้างอยู่

“อย่าพูดในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้น่า แล้วถ้าผมเป็นผู้หญิงจริงๆ คงไม่กล้าคบคนเจ้าชู้หรอก กลัวโดนนอกใจ”
ผมพูดทีเล่นทีจริงแล้วเหล่มองอีกคนว่าจะมีปฏิกิริยายังไง พี่ทาร์ตนิ่งไปก่อนจะขยับเข้ามาใกล้กัน

“ถ้าเจอผู้หญิงแบบปูน พี่จะเลิกเจ้าชู้ว่ะ”
เขากระซิบกันเบาๆ แล้วผละตัวออกไปก่อนจะคลี่ยิ้มให้แล้วลุกขึ้นจากโขดหินเดินทอดน่องไปตามทางเรื่อยๆ ทิ้งให้ผมมองตามไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ผู้หญิงแบบผมอย่างนั้นเหรอ... ถ้าเป็นพี่ทาร์ตสักวันอาจจะหาเจอก็ได้ล่ะมั้ง

“เฮ้ย รอผมด้วยดิพี่ทาร์ต จะไปไหนล่ะนั่นเดี๋ยวก็หลงหรอก!”
ผมรีบตะโกนไล่หลังคนที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ แล้วรับวิ่งตามไปทันที เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศแล้วเดินไปเดินมาคนเดียวกลัวจะหลงเอาจริงๆ น่ะสิ ถึงสวนสาธารณะมันไม่ได้ลึกลับซับซ้อนก็เถอะ กลัวสาวๆ จะลากเขาไปด้วยนั่นล่ะ ผู้ชายหล่อๆ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ปลอดภัยแล้วนะจะบอกให้

พี่ทาร์ตหันมามองก่อนจะยักคิ้วกวนๆ ให้กันแล้วออกวิ่งไปตามทางเพื่อแกล้งให้ผมวิ่งตาม โอย ไอ้พี่บ้าเอ้ย อย่าให้จับตัวได้นะ จะเตะให้ก้นช้ำเลยคอยดู!





----------------------------------------------------

ตอนที่ 2 มาแล้วเนอะ รู้กันแล้วนะว่าทำไมพี่ทาร์ตละเมอว่าเกลียด...
สงสารเขาเนอะ แต่มีน้องปูนคอยปลอบแล้วนี่สิ หูยย

เต๊าะน้องเหลือเกิน บ้าบอๆๆๆๆๆ

ปล. ฝากติดตาม ฝากติชมกันด้วยน้า
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 2 -P.1- (14/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-03-2017 22:49:10
คนเจ้าชู้
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 2 -P.1- (14/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-03-2017 23:31:41
พี่ทาร์ตระวังหยอดมากเต๊าะมากน้อยหวั่นไหวมารับผิดชอบด้วย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 2 -P.1- (14/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Toon_TK ที่ 15-03-2017 09:58:04
ชอบน้องก็พูดมาาาา
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 2 -P.1- (14/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-03-2017 10:10:44
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 2 -P.1- (14/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 15-03-2017 12:54:40
หยอดน้องบ่อย ๆ น้องก็หวั่นไหวและเจ็บเองคนเดียวสิ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 2 -P.1- (14/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 15-03-2017 21:18:39
ชอบๆๆๆๆๆ ชอบความเต๊าะของพี่ทาร์ต หายเศร้าเร็วๆเด้อ ผู้หญิงนิสัยไม่ดีคนนั้นนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 3 -P.1- (17/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 17-03-2017 13:09:20
(http://i.imgur.com/HBVYzfA.png)


สูตรที่ 3

Apple Cinnamon French Toast
: ขนมปัง/นม/ไข่ไก่/ผงชินนาม่อน/เกลือ/เนย/แอปเปิ้ล/วิปปิ้งครีม/น้ำตาลไอซิ่ง/ครีมชีส/กลิ่นวนิลลา :



นาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาตีสองแล้ว เป็นช่วงที่มนุษย์เราสมควรจะล้มตัวลงนอนพักผ่อนเพื่อให้ระบบร่างกายได้หยุดหรือซ่อมแซมส่วนต่างๆ แต่พี่ทาร์ตยังนั่งอยู่บนเตียงทั้งๆ ที่วันนี้ก็ใช้พลังงานไปเยอะ ไหนจะเดินเล่นสวนสาธารณะ ไหนจะเดินห้างจนขาลาก แถมตอนหัวค่ำยังไปเดินหลาดใหญ่ (ตลาดนัดวันอาทิตย์ในย่านเมืองเก่า) ที่ถนนถลางอีก กลับถึงบ้านแทบคลานด้วยซ้ำ

ผมไม่ได้โวยวายเรื่องที่เขายังไม่ปิดไฟ เพราะตัวเองสามารถนอนได้ท่ามกลางแสงสว่าง แต่แค่แปลกใจเพียงเท่านั้น เพราะหลับหนึ่งตื่นจนปวดฉี่ลุกขึ้นมา อีกคนก็ยังอยู่ในท่าเดิมคือนั่งกอดเข่า ดวงตาคมจ้องรายการโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ  ไม่รู้ว่าจดจ่อหรือเหม่อลอยกันแน่

"พี่ทาร์ต"
ผมเอ่ยเรียกชื่ออีกคนแล้วขยับตัวลุกขึ้นด้วยสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น พี่ทาร์ตยังคงนั่งนิ่งๆ ไม่รับรู้อะไรสักอย่างจนเริ่มน่าเป็นห่วงและได้คำตอบว่าที่เขาจ้องโทรทัศน์เนี่ยเหม่อเต็มๆ อาการอกหักมันหนักกว่าที่คิดไว้หรือเปล่านะ

ผมมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเดินลงจากเตียงเพื่อไปจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับมาดึงสติพี่ทาร์ตอีกครั้ง แต่เหมือนว่าจะคิดผิดไปนิดหน่อยเมื่อไม่เจออีกคนอยู่ที่เดิมแล้ว แต่ดีที่สายตาเหลือบไปเห็นประตูกระจกตรงระเบียงด้านนอกเปิดเอาไว้  สงสัยจะไปยืนทำเอ็มวีดูดาวรับลมอยู่แน่ๆ

"พี่ทาร์ต"
ผมเรียกเสียงดังขึ้นกว่าครั้งแรกนิดหน่อยแล้วเดินไปยืนข้างๆ เขาที่ทำแค่เพียงเบนสายตามามองกันเล็กน้อย ท้องฟ้าสีดำยามค่ำคืนที่ประดับด้วยดวงดาวดึงดูดดวงตาคมให้จับจ้องอยู่แบบนั้น ควรจะเริ่มบทสนทนาอะไรดีนะ

"ทำไมยังไม่นอน"
ผมแทบจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาดที่เลือกใช้คำถามแบบนั้น พี่ทาร์ตหันมาคลี่ยิ้มบางแล้วขยับปากตอบกลับมา

"นอนไม่หลับว่ะ ดีเนอะที่นี่มีดาวให้ดู"
พี่ทาร์ตหันหน้ากลับไปแหงนมองดวงดาวบนฟ้าเหมือนเดิม ผมไม่กล้าจะถามต่อว่าเพราะเรื่องพี่เจนหรือเปล่าที่ทำให้นอนไม่หลับ

"อืม ชอบดูดาวเหรอพี่"
ผมถามกลับไปสั้นๆ แล้วใช้แขนเท้าขอบระเบียงเอาไว้ก่อนจะแหงนหน้ามองดวงดาวเช่นเดียวกับอีกคน พี่ทาร์ตส่ายหัวแทนคำตอบแล้วยกมือเสยผมขึ้นเมื่อสายลมปะทะเข้ามา

"เปล่า ไม่ได้ชอบ แต่พอได้มองก็รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย"
ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนผมต้องเปลี่ยนโฟกัสมาเป็นใบหน้าของพี่ทาร์ตแทน ดวงตาคมสบมองกันอย่างพอดิบพอดีเลยได้รู้ความลับที่เขาพยายามปิดบัง

"ไหวปะพี่"
ผมถามออกไปตรงๆ เมื่อเจอแววตาหม่นมองและแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดของพี่ทาร์ต เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะส่ายหัวแทนคำตอบแล้วซบหน้าลงบนไหล่ในเวลาต่อมา อาการอกหักมันต้องใช้เวลาเยียวยานานแค่ไหนกันวะถึงจะหายเป็นปกติ ผมไม่ชอบโหมดซึมเศร้านี่เลย มันหดหู่ไร้สีสันชะมัด

"ผมอยู่ข้างๆ พี่เสมอ ไม่ไหวก็มากอดกันเนอะ เผื่อจะดีขึ้นบ้าง"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือออกไปโอบกอดพี่ทาร์ตเอาไว้หลวมๆ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำแต่กลับกอดกระชับเข้ามาแทน อยู่ๆ ก็อยากกลายเป็นที่พักพิงให้เขาขึ้นมาซะอย่างนั้น แต่ไม่กล้าหรอก เรื่องความรักมันยังห่างไกลจากผมอีกเยอะ

"อืม... ใครได้ปูนเป็นแฟนนี่น่าอิจฉาว่ะ พี่ไปเกิดใหม่เป็นผู้หญิงจะดีไหม"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแต่มันยังคลุมเครือเพราะผ่านการร้องไห้มา เขาไม่ได้สะอื้นเลยแม้แต่นิดเดียว ที่ทำให้รู้ก็เพราะว่าน้ำตาที่ไหล่ซึมเสื้อของผม เวลาแบบนี้ยังจะพูดเล่นอีกเนอะ

"ไม่เห็นต้องอิจฉาใครปะ ผมเห็นพี่สำคัญกว่าแฟนอยู่แล้ว แต่ถ้าพี่ทาร์ตไปเกิดเป็นผู้หญิงตอนนี้ ไม่เท่ากับว่าผมต้องเลี้ยงต้อยเหรอวะ"
ผมพูดทีเล่นทีจริงไปแบบนั้น ก็ถ้าพี่เขาไปเกิดใหม่อายุจะห่างกันสิบเก้าปีเลยนะเว้ย ยังไม่อยากติดคุกด้วยข้อหาพรากผู้เยาว์นะ พี่ทาร์ตผละตัวออกไปแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากใส่กันไม่หยุด อาการหนักจนต้องยกมือขึ้นกุมท้อง อะไรจะตลกขนาดนั้น

"โอย ไม่ไหวแล้วปูน พี่ปวดท้องว่ะ"
ยังคงขำไปพูดไปจนน่าหมั่นไส้ ผมถึงกับย่นจมูกแล้วกำหมัดต่อยต้นแขนเกร็งไปหนึ่งทีเต็มๆ แบบไม่ยั้งมือ คนเขาอุตส่าห์ปลอบใจ

"หึ หัวเราะให้ตายไปเลย ผมไปนอนต่อแล้วเว้ย!"

แสงแดดยังคงทำหน้าที่ปลุกทุกสรรพสิ่งให้ตื่นขึ้นในยามเช้าเป็นอย่างดีรวมถึงตัวผมด้วยแต่กับคนข้างๆ นี่ไม่ได้ผล เพราะเขายังเอาแต่ซุกหน้ากับหมอนข้างและหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อคืนพี่ทาร์ตกลับมานอนเมื่อไหร่

ผมตัดสินใจลุกออกจากเตียงอย่างเงียบเชียบแล้วย่องเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ใช้เวลาอยู่ไม่นานเท่าไหร่ก็กลับมายืนอยู่ข้างเตียงและมองดูคนที่ยังหลับสนิท ความคิดกำลังตีกันวุ่นวายเพราะไม่แน่ใจว่าควรปลุกเขาให้ไปกินข้าวพร้อมกันหรือปล่อยให้เขานอนต่อไปจนกว่าจะตื่นเอง

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูห้องทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบหมุนตัวไปเปิด แม่คลี่ยิ้มหวานอยู่ตรงนั้นก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาสำรวจด้านใน

"พี่ทาร์ตล่ะลูก"
มาถึงก็ถามหาลูกชายคนโปรดให้ผมได้เบะปากใส่ซะอย่างนั้น

"ลืมลูกตัวเองแล้วเหรอ"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงน้อยใจ จริงๆ แล้วก็แค่อยากแกล้งแม่ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้งอแงอะไรนักหรอก ก็เข้าใจว่าพี่ทาร์ตน่ะเป็นขวัญใจของทุกคน

"ลืมที่ไหน เมื่อกี้แม่ก็เรียกปูนว่าลูกนะ"
 แม่แจกมะเหงกให้ผมไปหนึ่งทีแล้วขยับถอยออกไปด้านนอกเมื่อเห็นว่าพี่ทาร์ตยังนอนอยู่บนเตียงและไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาพูดคุย

"ทาร์ตยังปรับเวลาไม่ได้สินะ"
แม่ถามขึ้นในขณะที่ผมปิดประตูห้องนอนอย่างเบามือ อยากจะพยักหน้ารับเรื่องที่เขาปรับเวลาไม่ได้ แต่ความจริงอีกครึ่งหนึ่งคืออาการอกหักแทรกซ้อนนี่สิ ควรโกหกหรือบอกความจริงดี

"ก็... คงงั้นล่ะครับ ปล่อยพี่เขานอนเถอะ วันนี้มีอะไรกินบ้างอะแม่"
ผมกอดแขนแม่แล้วลากเธอลงมายังชั้นล่างเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเรื่องพี่ทาร์ต ถ้าขืนไม่ทำแบบนี้คงได้ซักต่อจนเผลอหลุดปากไปแน่ๆ มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก แต่เขาคงไม่อยากเอาเรื่องส่วนตัวไปทำให้ใครทุกข์ใจตามไปด้วย

"เจ้าปูนนี่ตะกละจริงๆ เลย"
แม่ว่าก่อนจะเหล่ตามองกันแล้วส่ายหน้าปลงๆ ความจริงก็อยากเถียงออกไปว่าปูนไม่ได้ตะกละแต่หิวต่างหากก็กลัวว่าจะโดนเทศน์ยาวเลยเลือกก้มหน้ายอมรับข้อกล่าวหาไปดีกว่า

"น่าๆ วันนี้แม่ทำอะไรให้ปูนกินบ้าง"
ผมถามก่อนจะตรงเข้าไปในครัวแล้วพบกับข้าวต้มกุ้งหม้อปานกลางสำหรับสามคน แม่เข้ามาขวางทางแล้วบอกว่าให้ตักแบ่งส่วนของพี่ทาร์ตเอาไว้ก่อนและช่วงสายเธอจะเข้าไปที่โรงแรมเพื่อตรวจงานแทนพ่อและลุงตั้มซึ่งเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกัน

ประมาณสิบโมงผมเห็นพี่ทาร์ตลากสังขารลงมาจากชั้นสองของบ้านด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ไม่รู้ว่าควรถามอะไรออกไปหรือเปล่า เอาเป็นว่าทักทายตามประสาคนอยู่ร่วมบ้านเดียวกันคงจะพอมั้ง

"ตื่นแล้วเหรอพี่"
ผมทักทายด้วยน้ำเสียงสดใสแล้วเดินไปหาคนที่หยุดยืนตรงตีนบันได เขาพยักหน้ารับก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ มาให้กัน

"ทำไมไม่ปลุกพี่วะ ปล่อยให้นอนอยู่ได้"
พี่ทาร์ตพูดเสียงเซ็งๆ แล้วเอื้อมมือมาผลักหัวกันเบาๆ ผมถึงกับจิ๊ปากใส่ด้วยความขัดใจ ผิดมากเหรอที่ไม่ยอมปลุกเพื่อให้อีกคนพักผ่อนให้เต็มที่น่ะ จิตใจอ่อนแอก็ไม่อยากให้ร่างกายของเขาอ่อนแอตามไปด้วย

"อ้าว นี่ผมผิดหรือไงพี่ทาร์ต คนเขาอุตส่าห์หวังดีเห็นว่านอนดึก"
ผมบ่นเสียงอู้อี้แล้วปัดมือที่ทาร์ตออก ดวงตารีมองอีกคนอย่างหาเรื่อง แต่เพราะแสดงท่าทางแบบนั้นออกไปทำให้เขาถึงกับหัวเราะออกมา

"คิดว่าทำหน้าแบบนี้พี่จะกลัวหรือไง ดูไปดูมาน่ารักมากกว่าดุซะอีก"
พี่ทาร์ตยิ้มกรุ้มกริ่มให้กันก่อนจะเดินผ่านหน้าผมตรงไปยังห้องครัวซะเฉยๆ ไม่รู้ว่าคนเจ้าชู้นี่มันต้องหยอดชาวบ้านไปทั่วขนาดนี้หรือเปล่า เวลาแค่สองสามวันที่อยู่ด้วยกันนี่ก็โดนเต๊าะจนตัวจะพรุนอยู่แล้ว ถ้าวันนึงผมเกิดหวั่นไหวขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ ถึงจะบอกว่าตัวเองไม่พิศวาสผู้ชายก็เถอะ แต่ในอนาคตใครจะไปรู้ล่ะ

"พี่ทาร์ตจะเลิกพูดเชิงจีบกันได้หรือยังวะ ไม่สนุกเลยนะเว้ย"
ผมเดินตามเขาเข้าไปในห้องครัวแล้วพูดสิ่งที่คิดออกมาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม พี่ทาร์ตกำลังเลื่อนชามข้าวต้มไปตรงหน้ากลับหยุดชะงักมือแล้วช้อนสายตามองกัน

"หวั่นไหวเหรอ"
ถามกันสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ผมถอนหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ ตอนนี้น่ะไม่หรอก แต่ในอนาคตอะไรก็เกิดขึ้นได้ มีคู่รักหลายคู่ที่ตอนแรกเกลียดกันอย่างกับอะไรดีแต่สุดท้ายก็ได้เป็นแฟนกันมีเยอะแยะไปซึ่งนี่คือกรณีตัวอย่างเลย

"เปล่าครับ"
ไม่รู้จะตอบอะไรออกไปดี เพราะสีหน้าของพี่ทาร์ตแสดงออกอย่างกับว่าโลกจะถล่มถ้าหากต้องหยุดเต๊าะผม ความคิดคนๆ หนึ่งมันยุ่งเหยิงได้ขนาดไหนกันวะ

"อืม... ถ้าทำให้ปูนลำบากใจก็ขอโทษด้วย พี่ไม่รู้จะหาวิธีลืมเรื่องของเจนได้ยังไงดีว่ะ"
พี่ทาร์ตปล่อยชามข้าวต้มแล้วยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเอง ผมไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์แบบนี้ยังไงดีเพราะไม่ได้เก่งเรื่องการให้คำแนะนำเรื่องความรักกับใคร จะโทรไปปรึกษาไอ้ไนน์กับไอ้กู๊ดก็ดูจะเป็นการขายพี่ชายตัวเองมากไปหน่อย ทำไมมันยุ่งยากขนาดนี้วะ สุดท้ายเลยได้แต่ถอนหายใจยาวๆ และตัดใจยอมแพ้

"ช่างมันๆ ถ้าพี่ทาร์ตทำอะไรแล้วสบายใจก็ทำไปเถอะ ผมจะคิดซะว่าเพื่อความสุขของพี่ชายคนเดียวก็แล้วกัน"
สุดท้ายก็ยอมใจอ่อนอีกอยู่ดีเพราะกลัวว่าพี่ชายคนนี้จะจมอยู่กับความทุกข์จนถอนตัวไม่ขึ้น เขาถือว่าเป็นคนในครอบครัวและมีความสำคัญเป็นอย่างมากในชีวิตของผม เรื่องแค่นี้จะทำเป็นมองผ่านไปไม่คิดมากก็แล้วกัน บางทีอาจจะเพ้อเจ้อไปเอง กลัวไปเองว่าจะหวั่นไหวทั้งๆ ที่มันคงเป็นไปไม่ได้ รู้จักกันมาทั้งชีวิตคงไม่พิศวาสกันตอนนี้หรอก ใช่ไหม

"จะไม่หยุดน่ารักบ้างหรือไงครับปูน ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ"
พี่ทาร์ตเอ่ยชมกันด้วยรอยยิ้ม แต่ผมคิดว่ามันแปลกอยู่สักเล็กน้อยที่ใช้คำว่าน่ารักกับผู้ชายด้วยกันเลยได้แต่ขมวดคิ้วจนยุ่ง เดือดร้อนอีกคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามตรงส่งนิ้วมานวดให้ บริการทุกระดับประทับใจหรือเปล่านะแบบนี้

"ทำไมชอบชมผู้ชายว่าน่ารักวะพี่ทาร์ต มันแปลกๆ รู้สึกขนลุก"
ผมทำหน้าเหยเกแล้วผงะถอยหลังหนีมือของพี่ทาร์ต ตอนที่พูดว่าขนลุกนั้นก็รู้สึกจริงๆ จนต้องใช้มือลูบแขนไปมา เขามองกันนิ่งๆ อยู่สักพักก่อนจะหลุดขำ

"พี่หมายถึงนิสัยน่ารักเว้ย ไม่ใช่หน้าตาอะไรแบบนั้น อย่าแปลความหมายผิดๆ"
พี่ทาร์ตเหล่มองกันแล้วส่ายหน้าอย่างปลงๆ ผมเลยได้แต่เบนสายตาหลบไปทางอื่น ก็ใครมันจะไปรู้เล่นพูดสองแง่สองง่ามมาตลอด

"ก็พูดกำกวมเองนี่หว่า"
ผมพึมพำอยู่ในลำคอ แต่คนหูดีอย่างพี่ทาร์ตคงไม่พลาดหรอก เพราะเขาวางช้อนในมือลงแล้วอ้าปากตอบกลับมาได้ซะอย่างนั้น โดนไปอีกไอ้ปูนเอ้ย

"หัดเถียงเหรอน้องปูน"
ว่าเสียงดุๆ แต่หน้าตาดันสวนทางกันลิบลับเพราะเขาเอาแต่ทำหน้าทะเล้นใส่ หมั่นไส้จนอยากโทรตามไอ้ฟ่อนให้กลับมาจัดการพี่ชายตัวเองหน่อย ไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ แล้วนะเว้ย

"อะไรเล่า รีบๆ กินข้าวไปเลย เดี๋ยวเที่ยงๆ จะพาไปไหว้พระที่วัดฉลองแล้วไปแวะกินข้าวที่หาดราไวย์กัน ตอนเย็นก็ไปแหลมพรหมเทพดูพระอาทิตย์ตก โอเคปะ"
ผมตัดบทเพราะขี้เกียจให้เรื่องไม่เป็นเรื่องต้องยาวไปกว่านี้โดยยกโปรแกรมเที่ยวขึ้นมาบอกอีกคน พี่ทาร์ตเบิกตาโตด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด ก็ไม่ได้บอกเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะพาไปไหน... เพราะหลังจากที่ลุงตั้มกับป้าอุ่นบินกลับมา เขาก็คงต้องเรียนรู้งานบริหารในโรงแรมสี่ดาวแล้ว

"โอ้ ไกด์นำเที่ยวคนนี้ดีว่ะ แบบนี้ต้องให้รางวัลสักหน่อยแล้ว"
พี่ทาร์ตคลี่ยิ้มกว้างส่งมาให้กัน และนั่นทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง อยากรู้จริงๆ ว่าจะให้อะไรเป็นของตอบแทน จะว่าไปเขาก็กลับมามือเปล่านะ ไม่เห็นจะมีของฝากติดไม้ติดมือมาให้กันบ้างเลย

"ไหนๆ จะให้อะไรผม รีบๆ เลย"

"พี่จะหอมแก้มปูนเป็นรางวัล"
พี่ทาร์ตยักคิ้วกวนๆ ใส่กันแล้วขยับหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผมเบิกตาค้างแล้วขยับเก้าอี้ห่างออกจากโต๊ะอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ เมื่อครู่ไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม! เอาอีกแล้ว แกล้งกันให้ได้โวยวายใส่อยู่เรื่อย

"เก็บปากไว้กินข้าวเถอะ!"
แล้วสุดท้ายก็ได้รับเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีกลับมา ให้มันได้แบบนี้สิ เวลาครึ่งเดือนที่ต้องอยู่ร่วมบ้านกับพี่ทาร์ตอาจจะทำให้ผมเป็นบ้าก็ได้

ตอนสายของวันผมที่เป็นไกด์เฉพาะกิจก็ขับรถพาคุณชายมายังวัดฉลองเพื่อไหว้พระและทำบุญให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง อากาศร้อนอบอ้าวเป็นปกติของประเทศภูเก็ตทำให้เราต้องรีบย่ำเท้าลงจากรถอย่างรวดเร็วเมื่อถึงที่หมาย จะมัวชักช้าให้ผิวไหม้เล่นๆ คงไม่ดีแน่ แต่พี่ทาร์ตน่ะสิ ไม่เคยเข้าใจกันบ้างเลย

"พี่ครับ รีบๆ เดินตามมาสิ"
ผมออกปากเร่งคนเป็นพี่ที่ยกโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ขึ้นถ่ายรูปตรงนั้นทีตรงนี้ทีไม่สะทกสะท้านกับอากาศเลยสักนิด ทั้งๆ ที่ตอนมาถึงสนามบินภูเก็ตวันแรกยังบ่นเป็นหมีกินผึ้งอยู่เลย

แชะ

เสียงกดถ่ายรูปดังขึ้นอีกครั้งให้ผมได้อ้าปากค้าง เพราะโทรศัพท์เล็งมาทางนี้เต็มๆ พี่ทาร์ตเดินมาหากันแล้วยื่นหน้าจอสี่เหลี่ยมให้ดู... โคตรเกลียดตัวเองที่เหมือนจะขาวกลืนไปกับแสงแดดว่ะ ผิวซีดได้อีก คล้ายๆ ไก่ต้มอะไรประมาณนั้น

"ลบทิ้งเลยพี่ น่าเกลียดฉิบหาย"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วแย่งโทรศัพท์จากมือพี่ทาร์ตเพื่อจะลบรูปตัวเองเมื่อครู่ออก แต่ต้องตกใจเมื่อในแกลอรี่มันเต็มไปด้วยรูปของผมตั้งแต่ตอนที่เขาได้เครื่องใหม่มาเมื่อวาน มันเรื่องบ้าอะไรกันไม่ทราบ มาแอบถ่ายรูปแบบนี้จะแบล็กเมล์กันใช่ไหม!

"ไอ้พี่ทาร์ต ทำไมมีแต่รูปผมวะเนี่ย จะถ่ายทำไมตอนนอนอ้าปากน้ำลายยืดก็ไม่เว้น สนุกมากนักเหรอ!"
ผมโวยเสียงดังด้วยความลืมตัวว่าอยู่ในวัด พี่ทาร์ตเลยเอามืออุดปากแล้วลากผมไปตรงลานหน้าส่วนเช่าพระเครื่องและบริการดอกไม้ธูปเทียนซึ่งมีที่ให้นั่งพักแล้วมีร่มไม้ใหญ่บังแดดก่อนจะปล่อยกันให้เป็นอิสระ

"ลองเล่นกล้องไงวะ รูปดีๆ ก็มีเยอะแยะน่า"
พี่ทาร์ตพูดแล้วดึงโทรศัพท์ออกไปจากมือผมแล้วเปิดรูปที่ดูดีส่งมาให้กัน ผมขมวดคิ้วแน่นไม่ใช่ว่าโกรธเรื่องที่เขาถ่ายรูปตลกๆ เอาไว้ แต่ที่ไม่เข้าใจคือจุดประสงค์ต่างหาก ไอ้ที่บอกว่าลองกล้องนี่ แค่รูปสองรูปก็พอหรือเปล่า ที่อยู่ในแกลอรี่เกือบๆ ห้าสิบ

"ลองกล้องเยอะไปปะพี่ทาร์ต"
ผมถามอย่างจับผิด แต่อีกคนไม่มีพิรุจใดๆ แสดงออกมาแม่แต่น้อย ใบหน้าหล่อเหลายังคงยิ้มแย้มเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรแอบแฝง คงคิดมากไปเองอีกแล้วล่ะมั้ง...

"ไปไหว้พระกันเถอะ เดี๋ยวคนเยอะ ขี้เกียจไปเบียดใคร"
พี่ทาร์ตไม่ตอบแต่เปลี่ยนเรื่องแล้วเดินไปตรงจุดบริการดอกไม้ธูปเทียนแทน ผมมองตามไปก่อนจะถอนหายใจ อย่าสงสัยอะไรมากเพราะจะปวดหัวเปล่าๆ เขาให้ทำอะไรก็ทำ หรือเจาอยากทำอะไรก็ตามใจ

ผมกับพี่ทาร์ตไหว้พระกันเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่ทุกคนชอบคือการเสี่ยงเซียมซี มาทีไรก็ต้องรอคิวไอ้เจ้ากระบอกนี่ทุกที แต่ครั้งนี้ผมขอบายเพราะเมื่อต้นปีได้เลขที่ไม่เป็นมงคลเท่าไหร่ อ่านคำทำนายแล้วจิตตกไปเป็นวันๆ

"เซียมซีไหม"
พี่ทาร์ตยื่นกระบอกไม้สีแดงมาให้กันตรงหน้า ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธแล้วดันมันกลับไป เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาก่อนจะเริ่มเขย่ามันช้าๆ และค่อยๆ แรงขึ้นตามลำดับจนด้ามไม้หล่นลงมา

"ได้เลขสิบสองว่ะ"
พี่ทาร์ตหันมาบอกผมก่อนจะเก็บด้ามไม้ลงในกระบอกเซียมซีแล้วก้มกราบพระอีกครั้งก่อนจะชวนกันออกมาจากตรงนั้นเพื่อไปปิดทองพระพุทธรูปสามองค์

"ปูนหยิบฟ็อกกี้ให้พี่หน่อยดิ ปิดทองไม่ได้ว่ะ ปลิวหล่นตลอด"
พี่ทาร์ตชี้นิ้วไปที่ฟ็อกกี้ฉีดน้ำที่ตั้งอยู่ข้างๆ ผมเอื้อมมือไปหยิบและส่งให้เขาก่อนจะปิดทองให้มือต่อ อยากจะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ลำบากพอสมควรเพราะทองคำเปลวมักจะติดมือมากกว่าติดพระพุทธรูป บางครั้งติดตามใบหน้าก็มี...

"ผมไปรอที่ชั้นหยิบใบทำนายนะพี่"
ผมบอกออกไปแล้วรออีกคนตอบรับ พี่ทาร์ตพยักหน้าหงึกหงักให้กันเป็นการรับรู้ ไม่นานนักเขาก็เดินมาสมทบและหยิบใบทำนายเลขที่สิบสองไปอ่าน

"ถามหาลาภว่าประเสริฐแท้ ถามคู่แน่คนนี้ตามที่หมาย ถามคนป่วยว่าบรรเทาคลาย ถามของหายจะประสบพบเจอเอย"
ท้ายแผ่นพี่ทาร์ตอ่านให้ฟังแล้วเหลือบมองกันไปด้วย ทุกอย่างที่ว่ามาดีทั้งหมดจนผมพลอยยิ้มให้กับคำทำนายนั่น ถ้าเป็นแบบนี้เราก็สามารถนำใบเซียมซีกลับบ้านได้

"ดีว่ะพี่ เก็บกลับบ้านเลย"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อยแล้วคว้ามือไปหยิบกระดาษคำทำนายเอามาพับแล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตของพี่ทาร์ตก่อนจะเดินนำไปที่ตู้รับบริจาคเงิน

"เขาบอกว่าพี่จะเจอเนื้อคู่ว่ะ หมายตาคนไหนได้คนนั้นจริงดิ"
พี่ทาร์ตที่เดินตามกันมาถามขึ้นในขณะที่ผมหยิบธนบัตรออกมาเตรียมหยอดตู้บริจาค คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยแล้วกันไปมองหน้าคนตั้งคำถาม ก็... ไม่รู้สินะ

"ไม่รู้ดิพี่ ทำบุญเหอะ ผมเริ่มหิวแล้วเนี่ย"

"ครับๆ ตะกละจริงๆ เลย"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วกยิบธนบัตรขึ้นมาหยอดตู้บริจาคบ้าง ผมถลึงตาใส่เขาก่อนจะหนีออกทางประตูโบสถ์และใส่รองเท้าเดินไวๆ ไม่รอแม่งแล้ว พูดอะไรอย่างกับไปลอกแม่มาอะ หึ

"เฮ้ย รอพี่ด้วยสิน้องปูน งอนพี่เหรอวะ"
พี่ทาร์ตวิ่งตามมาดึงแขนกันจนได้ ผมหยุดแล้วแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะสะบัดแขนออก จะบอกว่างอนก็ได้ แต่ไม่อยากยอมรับเพราะมันดูเหมือนผู้หญิงเกินไป ทำใจรับตัวเองไม่ได้

"เปล่า โมโหหิวเฉยๆ"
ตอบกลับไปด้วยเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อยแล้วออกเดินตรงไปที่รถแทบจะทันที พี่ทาร์ตไม่ได้ทิ้งช่วงห่างกันเท่าไหร่แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อจนเรามาถึงหาดราไวย์

ผมเดินนำพี่ทาร์ตเข้าร้านอาหาร 'ศาลาลอย' ที่ไม่ค่อยได้มานัก เพราะปกติแล้วชีวิตจะวนเวียนแค่ในตัวเมืองและห้างสรรพสินค้ามากกว่า แต่อีกคนสะกิดไหล่กันทำให้ต้องหยุดชะงักแล้วกันไปมอง

"โต๊ะริมทะเลนั่นของร้านไหนวะ อยากนั่งตรงนั้น"
พี่ทาร์ตชี้มือไปอีกฝั่งหนึ่งของถนนที่มีโต๊ะตั้งเรียงรายภายใต้ร่มเงาต้นไม้ ผมมองดูอยู่สักพักก่อนจะตอบออกไป

"ร้านเดียวกันครับ ถ้าอยากนั่งตรงนั้นก็ได้"
ผมตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม ซึ่งพี่ทาร์ตก็พยักหน้ารับแล้วคว้าข้อมือไปจับซะเฉยๆ

"เฮ้ย จับมือผมทำไม"
ผมร้องเสียงไม่ดังมากนักเพราะตกใจ อยู่มาจับมือกันแบบไม่บอกไม่กล่าวนี่นา

"ข้ามถนนไง"
พี่ทาร์ตตอบด้วยเสียงสบายๆ แล้วไม่ยอมปล่อยมือกัน ผมกรอกตาด้วยความปลงก่อนจะหัวเราะออกมาน้อยๆ โตแล้วนะไม่ใช่เด็กๆ ที่จะข้ามถนนไม่ได้น่ะ

"ผมโตแล้วนะพี่ ข้ามเองได้น่า"
ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยักคิ้วใส่พี่ทาร์ตด้วยท่าทางกวนๆ ไม่คิดเลยว่าเขายังดูแลกันเหมือนตอนเด็กๆ บางครั้งก็โดนคนอื่นเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ ว่าเราเป็นพี่น้องกัน ส่วนไอ้ฟ่อนเป็นน้องชายข้างบ้านไปซะอย่างนั้น ขำดีเหมือนกัน

"ไม่รู้ล่ะ ตอนนี้หิวแล้ว"
พี่ทาร์ตไม่ยอมปล่อยกันแถมยังกระตุกมือให้เดินข้ามถนน ผมได้แต่มองแผ่นหลังของคนที่เดินนำหน้าแล้วหลุดยิ้มออกมา เขาในโหมดพี่ชายนิสัยน่ารักดีนะ ในโหมดแฟนก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกมั้ง

พี่ทาร์ตเลือกโต๊ะที่อยู่มีแสงแดดส่องถึงน้อยที่สุดแล้วจัดการนั่งลงโดยที่มีผมทิ้งตัวลงฝั่งตรงข้าม พนักงานส่งเมนูให้กับเราและบอกว่าอีกสักครู่จะกลับมารับออเดอร์เพราะตอนนี้ลูกค้าเยอะจะให้ยืนรอเราตัดสินใจคงเสียเวลาไม่น้อย

"ถอดแว่นกันแดดก่อนไหมพี่ทาร์ต"
ผมเอ่ยทักเขาไปแบบนั้นเพราะสายตาหลายคู่กำลังมองมาที่เราทั้งสองคน พี่ทาร์ตเงยหน้าขึ้นจากเมนูแล้วพยักหน้าตอบรับก่อนจะถอดแว่นกันแดดออกแล้วเหน็บไว้ที่เสื้อเชิ้ต แต่ที่นึกว่าคนอื่นจะเลิกมองนั้นผิดคาดอย่างสิ้นเชิงเลยว่ะ จ้องแทนเฉยเลย

"พี่ทาร์ตควรไปกินยาลดความหล่อว่ะ สาวๆ มองพี่เต็มไปหมด"
ผมว่าติดตลกแล้วบุ้ยปากให้พี่ทาร์ตมองไปรอบๆ ด้วยนิสัยเจ้าชู้ของเขาแล้ว เมื่อเห็นคนอื่นสนใจตัวเองเลยส่งยิ้มหล่อๆ กลับไปเล่นๆ และนั่นทำให้พวกเธอกระดี๊กระด๊าเข้าไปใหญ่

"ทำไมครับ น้องปูนหวงพี่เหรอ"
เขาหันกลับมาให้ความสนใจผมด้วยใบหน้าที่ยังเปื้อนยิ้ม อะไรทำให้พี่ทาร์ตคิดแบบนั้นได้ล่ะนั่น สิทธิความเป็นน้องชายข้างบ้านไม่ได้มีมากขนาดนั้นมั้ง

"จะหวงเพื่ออะไร ผมไม่ใช่ไอ้ฟ่อนนะ"
รายนั้นเขาหวงพี่ชายน่ะ ใครแตะไม่ค่อยได้หรอก ผมพูดจบก็ก้มลงอ่านเมนูในมือแทนที่จะสนใจพี่ทาร์ต มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นเลย เลือกไม่ถูกจนพลิกหน้ากระดาษกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ

"แต่พี่หวงปูนนะ ไม่อยากให้มีแฟน"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนทำให้ผมเกือบทำเมนูหล่นจากมือ ดวงตารีช้อนมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามด้วยความรู้สึกหลากหลาย คราวนี้จะให้เหตุผลว่ายังไงอีกนะ แต่คงไม่ได้แกล้งกันหรอก

"ทำไมครับ ชอบผมเหรอ"
ผมแกล้งแหย่ไปแบบนั้นเป็นการเอาคืนที่เขาชอบเต๊าะกันได้ตลอดเวลา พี่ทาร์ตเลิกคิ้วขึ้นสูงกับคำถามนั้นก่อนจะเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสบายๆ นิ้วเรียวยาวเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ ทำแบบนี้หมายความว่ายังไงเนี่ย

"เปล่านี่ หวงน้องชายมันผิดเหรอวะ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วเบนสายตาไปมองน้ำทะเลสีฟ้าอมเขียว เรือประมงขยับไปตามเกลียวคลื่นที่กระทบฝั่ง สายลมอ่อนๆ พัดผ่านร่างกายไป

"ไม่ผิดครับ แต่ทำไมพี่ไม่ไปหวงไอ้ฟ่อนล่ะ"
ผมตอบไปตามที่คิด ตั้งแต่ไหนแต่ไรพี่ทาร์ตไม่เคยแสดงความหวงกับไอ้ฟ่อนสักครั้ง ใครจะเข้าไปจีบน้องก็ไม่สน แต่กับผมจะคอยถามคอยสแกนอยู่ตลอดเวลา ก็แปลกดี

"Just Kidding. สั่งอาหารเถอะ"
พี่ทาร์ตตัดบทไปแบบนั้นแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านเมนูอย่างตั้งใจ ผมที่ยังคงความสงสัยเอาไว้ได้แต่หุบปากเงียบและคิดเอาเองว่าเขาคงไม่อยากเห็นคนสนิทเจ็บเพราะเรื่องความรักล่ะมั้ง... แต่ไอ้ฟ่อนล่ะ ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ ช่างแม่งเถอะ ท้องร้องจะแย่แล้ว

ปลาสามรส หมึกนึ่งมะนาว หมึกทอดกระเทียม ทอดมันกุ้ง ปูผัดต้นหอม และข้าวผัดทะเลตรงหน้าดึงให้เราทั้งสองคนหลุดเข้าสู่โลกแห่งความสุขอย่างแท้จริง อาหารทะเลยังคงเป็นสวรรค์ของคนจำนวนมากถึงแม้ราคามันจะสูงก็ตามที พี่ทาร์ตเป็นคนที่ชอบกินปูมากแต่ผมกลับไม่ชอบเพราะมันแกะยาก แต่ตอนนี้มีคนบริการให้ทุกอย่างจนอดอมยิ้มไม่ได้ ชักเริ่มมีความรู้สึกอิจฉาแฟนในอนาคตของเขาแล้วสิ... ถ้าเลิกเจ้าชู้ได้คนๆ นี้จะเพอร์เฟ็คมากจริงๆ

"ที่จริงผมกินแค่ไข่ก็ได้พี่ทาร์ต ไม่เห็นต้องลำบากแกะปูให้ผมเลย"
ผมบอกอีกคนที่ยังขะมักเขม้นแกะปูให้กันอย่างตั้งใจ ยอมรับว่าเขามีความชำนาญอยู่มากแต่ก็ไม่อยากให้ลำบาก เพราะปกติแล้วแม่ก็ชอบกินปูผัดเหมือนกัน และผมจะเลือกกินแต่ไข่ที่ใส่มาด้วย อร่อยได้รสชาติอยู่หรอก

"พี่อยากให้ปูนกินของที่พี่ชอบ"
ตอบกลับมาแบบนั้นแต่ไม่ได้มองหน้ากัน แล้วผมควรต้องรู้สึกยังไงกับประโยคที่รู้สึกว่าอีกคนกำลังจีบ... แต่น่าจะฟุ้งซ่านไปเองนั่นล่ะ ปกติเขาก็ชอบเต๊าะผมเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว ไม่มีอะไรในกอไผ่หรอก

"ตามใจครับ อย่าบ่นมาเจ็บมือก็แล้วกัน"
ผมตอบออกไปแบบนั้นก่อนจะเหลือบมองโทรศัพท์มือถือที่มีแจ้งเตือนไอจีโผล่ขึ้นมา ผมสไลด์หน้าจอแล้วกดเข้าแอพพลิเคชั่นทันที




ต่อด้านล่างเนอะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 3 -P.1- (17/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 17-03-2017 13:10:01
ใต้รูปอาหารที่ผมเพิ่งเอาลงไอจีไปนั้นแสดงยอดกดไลค์ห้าสิบคนและยังมีคอมเม้นท์ประปรายและหนึ่งในนั้นก็เป็นของเพื่อนสนิทที่มีนามว่า 'ไนน์' เป็นสาวสวยรวยเสน่ห์ติ่งโอป้าเป็นกิจวัตรและมีแฟนเป็นหนุ่มลูกครึ่งเกาหลีที่เรียนคณะเดียวกันสาขาวิชาเดียวกันอีกด้วย ถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิตสุดๆ

nine_official ไปกินข้าวกับใครวะแก ทำไมไม่ชวน!
Poonn_x ชวนบ้าอะไรวะ แกอยู่เกาหลีไม่ใช่เหรอ @nine_official

ผมตอบคอมเม้นท์ของไนน์ไปแล้วกดล็อกโทรศัพท์เพื่อจะกินข้าวต่อ บางทีก็อยากถามเพื่อนว่ามันมึนงงอะไรหรือเปล่าตัวเองอยู่เกาหลีกับแฟนแท้ๆ จะให้ชวนกินข้าวยังไง ถ้าเป็นไอ้กู๊ดที่ยังสถิตอยู่คอนโดในภูเก็ตก็ว่าไปอย่าง แต่รายนั้นหายเงียบไปเลยตั้งแต่ปิดเทอม นานๆ ครั้งจะตอบไลน์กลับมา ดูท่าทางคงมีปัญหากับสาวที่มันคุยอยู่ล่ะมั้ง

"ชอบเล่นมือถือตอนกินข้าวเหรอ"
พี่ทาร์ตถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วตักเนื้อปูล้วนๆ ใส่ในจานให้ ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธ เพราะไม่ได้ติดเล่นโทรศัพท์อะไรขนาดนั้น เมื่อครู่ก็แค่เห็นแจ้งเตือนพอดี

"เปล่าครับ ไม่ได้ติดอะไรหรอก แค่ตอบคอมเม้นท์ไอจีของเพื่อนนิดหน่อยเอง พี่ทาร์ตไม่ชอบเหรอ ผมเก็บมือถือก็ได้"
ผมไม่ได้หงุดหงิดอะไรที่โดนทักแบบนั้น เวลากินข้าวก็ไม่สมควรเล่นโทรศัพท์จริงๆ นั่นล่ะ มันไม่เหมาะสมเท่าไหร่

"เปล่าๆ ว่าแต่ปูนเล่นไอจีด้วยเหรอ พี่ขอหน่อยดิ เดี๋ยวฟอลโล่วไป"
พี่ทาร์ตหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะสแกนลายนิ้วมือแล้วส่งเครื่องมาให้ผมจัดการฟอลโล่วตัวเอง... ไอ้ที่พี่พูดมาเมื่อครู่เพื่ออะไรวะถ้าจะทำกันแบบนี้ งงในงงไหมล่ะ

ผมส่งเครื่องมือสื่อสารให้กับเขาก่อนจะลงมือกินข้าวต่อ หมึกนึ่งมะนาวรสชาติจี๊ดจ๊าด ปลาสามรสอร่อย ทอดมันกุ้งกรอบนอกนุ่มใน ปูผัดต้นหอมก็ดี หมึกทอดกระเทียมก็ฟิน ข้าวผัดนี่ไม่ต้องบรรยายกลมกล่อมสุดๆ อ่า ~ สวรรค์

เราสองคนจบมื้ออาหารด้วยการออกค่าเสียหายกันคนละครึ่งอย่างที่ได้ตกลงกันไว้ตอนแรก ผมเดินลูบท้องกลับไปที่รถด้วยความอึดอัดเล็กน้อย กินมากไปจนอยากได้อีโน่เลยว่ะ แย่แล้ว...

"โอย อึดอัด"
ผมนั่งแช่อยู่ในรถเพราะไม่อยากขับออกไปทั้งๆ ที่สภาพยังไม่พร้อม พี่ทาร์ตนั่งกดโทรศัพท์เล่นอยู่ข้างๆ กันโดยไม่โวยวายอะไรออกมาสักคำ

"กินเยอะไปล่ะสิ พี่ลงไปซื้อยาลดกรดให้เอาไหม ในเซเว่นน่าจะมี"
พี่ทาร์ตอาสาแต่ผมกลับส่ายหน้าปฏิเสธความหวังดีของเขาไป

"ไม่เอาๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้นครับ"
ผมปฏิเสธกลับไปแบบนั้นก่อนจะเข้าเกียร์และเหยียบคันเร่งออกรถไปตามถนนเรียบหาด ทางด้านหน้าจะเริ่มคดเคี้ยวและลาดชันขึ้นเรื่อยๆ ตามสภาพพื้นที่ภูเขา

"เราจะไปแหลมพรหมเทพกันเลยเหรอ"
พี่ทาร์ตเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์เพื่อมองเส้นทางด้านหน้า ผมส่ายหัวเบาๆ เป็นการปฏิเสธเพราะเหลือบมองเวลาแล้วเพิ่งจะบ่ายสองโมงกว่าๆ เอง ไปแหลมพรหมเทพตอนนี้จะไปฟินอะไร แดดเผาตายกันพอดี

"ยังครับ แดดเปรี้ยงขนาดนี้ไม่ไหวหรอก กว่าพระอาทิตย์จะตกดินก็อีกนาน"
ผมบอกไปแบบนั้น พี่ทาร์ตก็พยักหน้าเข้าใจในทันทีและเหมือนว่าเขากำลังจะถามอะไรต่อแต่เสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้นซะก่อน

Rrrrr
ผมเอื้อมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อเพื่อดูว่าเป็นสายเรียกเข้าจากใคร และชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ผมส่งไปยังพี่ทาร์ตทันที ดูเขาจะงงๆ แต่ก็ยอมรับไป

"ให้พี่ทำไม"
เขาถามและปล่อยให้โทรศัพท์แผดเสียงร้องไปแบบนั้น

"ไอ้ฟ่อนโทรมาอะ รับให้หน่อยดิ"
ผมขอความช่วยเหลือจากเขาตรงๆ ขี้เกียจรับสายไอ้ฟ่อนด้วยล่ะ มันคงโทรมากวนประสาทไม่ก็อ้อนตามเคย

"หืม... โอเคๆ"
พี่ทาร์ตตอบกลับมาก่อนจะกดรับแถมด้วยการเปิดสปีคเกอร์อีกด้วย จริงๆ ไม่ต้องเผื่อแผ่ผมก็ได้ ไม่อยากคุยด้วยเลยสักนิด รำคาญน่ะ...

"ไฮ คุณน้องชาย"
พี่ต้นกรอกเสียงทักทายน้องชายอย่างอารมณ์ดีจนผมถึงกับเผลอยิ้มออกมา

'เอ๊ะ เดี๋ยวๆ ฟ่อนโทรเบอร์พี่ปูนไม่ใช่เหรอทำไมเป็นเสียงพี่ทาร์ตรับโทรศัพท์อะ!'
ปลายสายโวยวายกลับมาด้วยเสียงที่ดังพอตัว แถมรอบด้านยังได้ยินเสียงรถราอีกด้วย สงสัยจะออกไปสยามอีกตามเคยล่ะมั้ง

"ก็กูอยู่กับปูนไงครับน้องชาย มึงมีปัญหาเหรอ"
สรรพนามที่เขาใช้เรียกไอ้ฟ่อนต่างจากที่ใช่กับผมลิบลับ ก็ไม่รู้ว่าเขาเอามาตรฐานไหนมาแบ่งใช้ความลำเอียงนี้เหมือนกัน

'มีแน่ๆ อะ พี่ปูนเป็นของฟ่อนนะ อย่ามายุ่งสิพี่ทาร์ต'
ไอ้ฟ่อนทำเสียงง้องแง้งกลับมาจนพี่ทาร์ตเบ้ปากใส่โทรศัพท์ที่ถืออยู่ ผมแทบจะจอดรถแล้วกระชากเจ้าเครื่องสีเหลี่ยมมาตะโกนถามว่ากูไปเป็นของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่ นอนฝันกลางวันอยู่เหรอไงถึงได้พูดแบบนั้นออกมา

"เฮ้ยๆ ไม่ใช่..."

"มึงเป็นเด็กขี้โมเมเนอะ ปูนเป็นของกูต่างหาก"
เฮ้ย... ทำไมต้องขัดจังหวะปฏิเสธไอ้ฟ่อนของผมด้วยวะ แล้วที่ร้ายแรงไปกว่านั้นคือพี่ทาร์ตดันเปิดศึกกับน้องชายไปอีก จะมาแย่งกันทำไมเนี่ย โอย จะบ้า

'พี่ทาร์ต ไอ้บ้า! ฟ่อนจะคุยกับพี่ปูน'

"พี่เขาขับรถ มึงนี่ยังไงครับไอ้ฟ่อน มีธุระอะไรกับปูนของกูนักหนา"

เอาเข้าไปไอ้สองพี่น้องนี่ ผมล่ะขี้เกียจเถียง ตีกันได้ก็ตีกันไปเลย ไม่ยุ่งด้วยแล้ว

'ฮือ ไปไหนกันอะ หนีฟ่อนเที่ยวเหรอ!'
ไอ้ฟ่อนงอแงไม่จบสักทีจนผมทนไม่ไหว ใครหนีใครกันแน่วะ จะไปแข่งวิชาการก็ไม่ยอมบอก ปล่อยให้ไปรับพี่ทาร์ตอยู่คนเดียวเนี่ย

"ไม่ได้หนี มึงนั่นล่ะหนีกูไปแข่งวิชาการเอง อย่ามาเรียกร้อง"
ผมพูดเสียงดังเพื่อให้คนที่โวยวายอยู่ปลายสายได้ยิน พี่ทาร์ตที่นั่งข้างๆ กันหลุดหัวเราะออกมา แล้วเปลี่ยนโหมดเป็นคุยธรรมดาก่อนจะเอาโทรศัพท์แนบหู

"จะไปไหนมาไหนหัดบอกคนอื่นบ้างนะฟ่อน แล้วนี่มีธุระอะไรกับปูน ฝากกูก็ได้ เดี๋ยวบอกให้"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงแล้วเหลือบสายตามามองกันเป็นระยะ ผมส่งยิ้มไปให้เขาก่อนจะหักเลี้ยวจอดรถเมื่อถึงที่หมาย

'จุดชมวิวสามอ่าว' เป็นจุดชมวิวที่ตั้งอยู่บนเนินเขาทางทิศตะวันตก สามารถเห็นวิวหาดกะตะน้อย กะตะ กะรนที่คล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยวได้ มองจากมุมที่ผมกับพี่ทาร์ตกำลังยืนอยู่นี้เราจะเห็นสีน้ำทะเลไล่จากเขียวอ่อนจนไปถึงน้ำเงินเข้มตามระดับความลึก สายลมพัดผ่านร่างกายของเราไป เส้นผมปลิวจนยุ่งเหยิงจนต้องเสยผมขึ้น

"สวยดีนะ"
พี่ทาร์ตที่ยืนอยู่ข้างๆ กันเอ่ยขึ้น ไม่รู้ว่าเขาคุยโทรศัพท์กับไอ้ฟ่อนเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกัน

"ใช่ครับ สวยมาก ผมชอบสีน้ำทะเลนะ"
ผมตอบกลับไปก่อนจะรับโทรศัพท์คืนมาจากมือคนด้านข้าง พี่ทาร์ตนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวแล้วทอดสายตาตรงไปด้านหน้า ยังเศร้าเรื่องพี่เจนอยู่อีกหรือเปล่านะ

"อืม ลมแรงฉิบหายเลยเนี่ย"
พี่ทาร์ตเสยผมขึ้นแล้วหันมาหากัน ขนาดเปิดหน้าผากยังหล่อ...

"นั่นดิพี่"
ผมตอบกลับไปแค่นั้นแล้วยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปวิวโดยรอบเพื่ออัพลงไอจี นานๆ ทีจะได้ออกมาเที่ยวแนวธรรมชาติบ้าง

"เฮ้ย ทำอะไร"
ผมตกใจเมื่อละสายตาจากภาพตรงหน้าก็เจอเข้ากับพี่ทาร์ตที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาทำท่าจะถ่ายรูปกัน เขาคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนที่เสียงชัตเตอร์ดังขึ้น อีกแล้ว... แอบถ่ายอีกแล้วว่ะ

"พี่ทาร์ตลบเลยนะเว้ย ทำไมแอบถ่ายผมอีกแล้วเนี่ย"
ผมโวยวายเสียงดังแล้วเดินตรงเข้าไปหาคนที่ลุกหนีไปแล้ว เขาเก็บโทรศัพท์ยัดในกระเป๋ากางเกงเรียบร้อยก่อนจะยักคิ้วกวนๆ มาให้กัน กวนตีนฉิบหาย!

"อย่าโวยวายน่า พี่ก็ถ่ายสนุกๆ ไปงั้นล่ะ"

"ทำแบบนี้เหมือนพี่แอบชอบผมเลยว่ะ"
ผมพูดไปตามที่คิดเมื่อมาหยุดยืนตรงหน้าพี่ทาร์ต ดวงตารีจ้องมองใบหน้าหล่อเหลานั่นไม่วางตา ไม่ได้จริงจังกับประโยคเมื่อครู่เท่าไหร่หรอกก็แค่อยากแกล้งกลับ ในเมื่อไม่สามารถล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของเขาได้

พี่ทาร์ตมองนิ่งก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้จรผมต้องเป็นฝ่ายถอยหลังออกมาซะเองทั้งที่อยากแกล้งเขา ตอนนี้รู้สึกใจมันหวิวแปลกๆ

"อาจจะชอบ..."
เขาพูดเบาราวกับกระซิบแต่ผมกลับได้ยินทุกอย่างชัดเจนจนเบิกตาโต หัวใจเผลอเต้นแรงไปซะอย่างนั้น

"ห๊ะ..."

"ชอบแกล้งไง"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวกันให้ยุ่งกว่าเดิมไปอีก ผมถึงกับถลึงตาใส่ในความขี้แกล้งของเขาแต่ไม่ได้ปฏิเสธการกระทำนั้น

"ตลอดอะพี่ทาร์ต"

เรานั่งเล่นกันอยู่ที่จุดชมวิวสามอ่าวจนเวลาล่วงเลยเข้าช่วงสี่โมงเย็นจึงขับรถต่อมุ่งหน้าไปยังแหลมพรหมเทพเพราะขืนไปช้ากว่านี้อาจจะไม่มีที่จอดรถ ตลอดทางผมเห็นพี่ทาร์ตนั่งกดโทรศัพท์เล่นไปเรื่อยๆ แอบสงสัยว่าเขาไม่เวียนหัวบ้างหรือไงนะ

"พี่ไม่เวียนหัวเหรอเล่นโทรศัพท์ตอนนั่งรถเนี่ย"
ผมถามในขณะที่จดจ่อเส้นทางด้านหน้าไปด้วยเพราะไม่อยากให้บรรยากาศภายในรถเงียบเกินไป หางตาเหลือบเห็นอีกคนชะงักมือแล้วเหลียวมามองกันเพียงครู่เดียว

"ไม่นะ อ่านหนังสือก็ยังได้"
เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบซึ่งนั่นทำให้ผมพยักหน้ารับและไม่พูดอะไรต่อ

"ปูนยังไม่ได้เมมเบอร์ใหม่พี่เลยใช่ไหม"
อยู่ๆ พี่ทาร์ตก็ถามขึ้น ผมก็เลยนึกได้ว่าลืมไปซะสนิทว่ายังไม่มีเบอร์ใหม่ของเขา ถ้าขืนหลงกันที่ไหนจะแย่เอา

"เออใช่ ลืมไปเลย"

"งั้นเดี๋ยวพี่โทรไป"

"ครับๆ เบอร์ศูนย์แปด..."

"พี่จำได้"
เขาตอบกลับมาก่อนจะพิมพ์เลขสิบหลักลงไปแล้วกดโทรออก ไม่นานนักริงโทนที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น ผมแปลกใจที่เขาจำเบอร์ผมได้ ปกติก็ไม่เคยจะโทรหากันนี่หว่า

"เมมเบอร์พี่ด้วยล่ะ"
เขาบอกก่อนจะส่งยิ้มมาให้กันแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อ ผมพยักหน้าตอบรับก่อนจะเลี้ยวเข้าสู่ลานจอดรถของแหลมพรหมเทพ

"คนเยอะจังวะปูน"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นตอนที่เราเดินทอดน่องไปตามร้านค้าที่เรียงรายอยู่ใกล้ๆ ลานจอดรถ มีทั้งของที่ระลึก เสื้อผ้าและอาหารเยอะแยะละลานตา แต่ราคาจะสูงอยู่นิดหน่อยเพราะเน้นขายนักท่องเที่ยว

"ปกติอะพี่ เป็นที่เที่ยวยอดฮิตนี่หว่า"
ผมบอกไปแบบนั้นแล้วตรงดิ่งไปที่ร้านขายปลาหมึกย่างตัวโต เห็นแล้วน้ำลายก็แตก เปรี้ยวปากอยากกินว่ะ

"จะกินอีกแล้วหรือไง"
พี่ทาร์ตถามเมื่อมาหยุดยืนข้างๆ กัน ผมหันไปพยักหน้ารับแล้วเริ่มสั่งปลาหมึกย่าง รอไม่นานนักก็ได้รับของกินมาถือไว้แต่อีกคนเป็นฝ่ายยื่นเงินให้กับคนขาย...

"เฮ้ย ผมจ่ายเอง"
ผมรีบท้วงทันทีแต่พี่ทาร์ตก็จับข้อมือกันแล้วลากออกมาจากบริเวณนั้นทันที ไม่ค่อยเข้าใจการกระทำอะไรของเขาสักเท่าไหร่หรอก

"กินไปเหอะน่า ถือซะว่าเป็นค่าไกด์พาเที่ยววันนี้แล้วกัน"
พี่ทาร์ตพูดแบบนั้นก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ขอบปูนตามทางเดินที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้จากตรงนี้

"แค่นี้ไม่พอหรอกน่า"
ผมว่าด้วยเสียงทะเล้นแล้วจิ้มปลาหมึกย่างราดน้ำจิ้มซีฟู้ดเข้าปาก รสชาติเผ็ดเปรี้ยวผสานกันอย่างลงตัว แต่มันคือความผิดพลาดตรงที่ลืมซื้อน้ำเปล่ามา

"เดี๋ยวเลี้ยงข้าวเย็น พอไหมล่ะคราวนี้"

"แฮ่ก พอๆ แต่ตอนนี้อยากได้น้ำเปล่าอะ น้ำจิ้มเผ็ด"
ผมพ่นลมออกจากปากอย่างต่อเนื่องแล้วยัดถ้วยปลาหมึกย่างใส่มือพี่ทาร์ตเพื่อจะวิ่งไปซื้อน้ำเปล่าแต่กลับโดนรั้งข้อมือให้นั่งลงตามเดิม

"นั่งนี่ล่ะ เดี๋ยวพี่ไปซื้อมาให้"
พี่ทาร์ตลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและก้าวเดินออกไปอย่างไม่รอคำตอบ ปล่อยให้ผมมองตามแผ่นหลังกว่าไปด้วยความคิดหลากหลาย ทำตัวดีใส่กันขนาดนี้ไม่คิดว่าคนอื่นจะหวั่นไหวบ้างหรือยังไงนะ แต่จะคิดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในหนักสมองก็เสียเวลาเปล่าๆ ขอจิ้มปลาหมึกกินต่อเถอะ หยุดไม่ได้เลยเพราะมันเผ็ดมาก

 หกโมงครึ่งเป็นเวลาที่ท้องฟ้าเริ่มประดับด้วยแสงสีส้ม ผมชวนพี่ทาร์ตลงไปที่ปลายแหลมด้วยกันเพราะได้บรรยากาศมากกว่า เขาเดินตามกันมาติดๆ แต่ทำไมตอนที่หันหลังไปเขากลับอยู่ห่างจากผมไปมาก หยุดทำอะไรอยู่ตรงนั้นล่ะ

"พี่ทาร์ตมานี่ๆ"
ผมกวักมือเรียกเขาให้เดินมาหากัน ในมืออีกข้างยังคงถือขวดน้ำเปล่าเอาไว้อยู่

"ครับๆ"
เขาขานรับแล้วเดินมายืนเคียงข้างกันก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บรูปพระอาทิตย์ยามเย็น

"สวยใช่ปะพี่ทาร์ต"
ผมถามออกไปแล้วมองพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำเบื้องหน้า พี่ทาร์ตพยักหน้ารับแทนคำตอบโดยไม่เปล่งเสียงอะไรออกมา

เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เราทั้งคู่เข้าสู่สภาวะดื่มด่ำบรรยากาศโดยรอบ รู้ตัวอีกทีก็ก่อนหันมาสบตาและยิ้มให้กัน หวังว่าเขาจะค่อยๆ ลืมเรื่องราวร้ายๆ ที่ผ่านมาล่ะนะ

เราทั้งคู่กลับถึงบ้านในสภาพที่หมดเรี่ยวแรง ผมซึ่งขอตัวอาบน้ำก่อนพี่ทาร์ตทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่น ข้อความเตือนจากไอจีปรากฏขึ้นว่ามีใครคนหนึ่งแท็กรูปมาหากัน มันคือรูปที่แหลมพรหมเทพยามพระอาทิตย์กำลังจะตกและมีผู้ชายคนหนึ่งยืนหันหลังอยู่มุมซ้าย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นตัวผมเอง... โดยแอบถ่ายอีกแล้ว

Tart_Thitipat So Happy : )

มีความสุขผมไม่แปลกใจหรอก แต่ทำไมพี่ทาร์ตต้องลงรูปนี้ด้วยล่ะ ทำแบบนี้เหมือนเป็นแฟนมากกว่าพี่น้องอีกล่ะมั้ง ตรรกะคนเรียนเมืองนอกกับเมืองไทยมันต่างกันมากขนาดไหนกันนะ อยากรู้จริงๆ





------------------------------------------------

ตอนนี้ยาวมาก... เราแต่งเพลินไปหน่อย 55555
พี่ทาร์ตเป็นผู้ใหญ่นิสัยเสียมากอะ เต๊าะไม่หยุดหย่อน ระวังงานเข้านะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 3 -P.1- (17/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 17-03-2017 14:51:54
เริ่มออกอาการเเล้วสิ :hao6:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 3 -P.1- (17/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-03-2017 19:54:20
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 3 -P.1- (17/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 17-03-2017 21:14:47
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 3 -P.1- (17/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Mickey199663 ที่ 19-03-2017 17:13:04
คิดได้สองอย่างคือพี่ทาร์ตรู้ว่าตัวเองชอบน้อง แต่ทำเป็นเนียนเต๊าะ กับอีกอย่างคือ อิพี่มันไม่รู้ใจตัวเอง คิดว่าสนิทแบบน้อง ถ้าเป็นอย่างหลังนี่สงสารปูนล่วงหน้าเลย ฮือออออออ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 4 -P.2- (20/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 20-03-2017 15:02:26
(http://i.imgur.com/3VadQfK.png)


สูตรที่ 4

Strawberry Fudge

: ครีมฟรอสติ้งรสสตรอเบอร์รี่/ไวท์ช็อกโกแลตชิป :




บนเตียงนอนขนาดหกฟุตมีร่างผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งพิงหัวเตียง อีกคนกำลังนอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ผมก้มลงมองคนที่อยู่ข้างๆ กันด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจการกระทำของพี่ทาร์ตตั้งแต่ได้เจอกันอีกครั้ง ถ้าพวกเราไม่ใช่พี่น้องไม่ใช่เพศเดียวกันคงคิดว่ากำลังโดนจีบอยู่แน่ๆ อยากจะถามออกไปตรงๆ แต่ก็หวั่นใจ ไม่รู้ต้องทำยังไงดี และดูท่าทางคนที่คิดมากจะเป็นไอ้ปวินทร์คนนี้คนเดียวเท่านั้น อีกฝ่ายเพิ่งอกหักมาคงไม่คิดจะสานสัมพันธ์เชิงนั้นหรอก

"ปวดหัวเว้ย"
ผมบ่นออกมาเสียงเบาแล้วยกมือขึ้นขยี้หัวจนยุ่งเหยิง เรื่องที่พี่ทาร์ตอัพรูปในไอจีก็ยังไม่ได้ถามเพราะเขาทิ้งตัวลงนอนและบอกราตรีสวัสดิ์กันทันทีที่ออกจากห้องน้ำ จะให้รั้งคนง่วงก็คงบาป แล้วมันเลยส่งผลให้นั่งตาค้างอยู่แบบนี้จนล่วงเลยเข้าช่วงเวลาตีสาม พรุ่งนี้มีหวังเบ้าตาเป็นหมีแพนด้าแน่ๆ ผมพยายามข่มตาหลับแต่สมองยังคิดฟุ้งซ่านจนต้องลากสังขารตัวเองไปล้างหน้าล้างตา

ภาพที่สะท้อนในกระจกเงาเบื้องหน้าคือผู้ชายหน้าตาธรรมดาทั่วไป ผิวขาวใส ตารีเล็กตามแบบฉบับคนที่มีเชื้อสายจีน เส้นผมสีน้ำตาลติดอ่อนตามธรรมชาติ รูปร่างสูงใหญ่กว่าชายไทยปกติอยู่เล็กน้อย ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษเลยแม้แต่นิดเดียว แตกต่างจากคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมใครๆ ก็หมายปองในตัวเขา และทำไมถึงกลายเป็นขวัญใจของคนจำนวนมาก

"พี่กำลังทำให้ผมสับสนว่ะ"
ผมพึมพำออกมาก่อนจะหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดหน้าลวกๆ แล้วแขวนไว้ยังตำแหน่งเดิม พี่ทาร์ตกำลังทำให้ผมเริ่มหัวหมุนกับการกระทำทีเล่นทีจริงของเขา ปากที่พร่ำบอกว่าชอบแกล้งนั้นมันสามารถเชื่อได้มากแค่ไหนกันนะ ที่ทำมาทั้งหมดนั้นแค่อยากลืมๆ อีกคนไปหรือจะมีเหตุผลอื่นมากกว่านั้น...

ขายาวๆ ก้าวออกจากห้องน้ำเพื่อจะเดินเลยไปที่โต๊ะทำงานแต่สายตากลับสะดุดเข้ากับร่างพี่ทาร์ตที่นอนอยู่บนเตียง เขาขดตัวเหมือนกุ้งเพราะผ้าห่มร่นลงไปอยู่ที่ปลายเท้า เดือดร้อนคนที่ยังตื่นอยู่ต้องเข้าไปปรนนิบัติ

ผมเดินเข้าไปใกล้แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวของพี่ทาร์ตด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เวลาที่เขาหลับจะเป็นแค่เพียงชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เจ้าชู้ไก่กาจนน่าหมั่นไส้ ไม่ได้แกล้งกันด้วยคำพูดเชิงจีบและไม่ได้ทำให้หวั่นไหว...

ยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลยว่าใจสั่นทุกครั้งที่โดนเต๊าะ เพราะผมกับเขาไม่ได้สนิทกันเหมือนเมื่อครั้งเป็นเด็กก็เลยมีช่องว่างและความรู้สึกแปลกๆ ที่อีกคนมาทำดีใส่กัน ไม่ใช่ว่าชอบผู้ชาย แต่ใครเจอแบบนี้บ่อยๆ ก็ต้องคิดบ้างล่ะ ถึงจะโดนพูดกรอกหูทุกครั้งว่าแค่แกล้งเล่นๆ ก็เถอะ ผมไม่ได้แข็งแกร่งเรื่องความรักมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ถ้าวันหนึ่งเกิดเผลอใจขึ้นมาคงเจ็บอยู่ฝ่ายเดียวสินะ...

"ฟุ้งซ่านฉิบหาย"
ผมสะบัดหน้าไล่ความคิดสับสนของตัวเองทิ้งแล้วเปลี่ยนเป้าหมายจากโต๊ะทำงานเป็นระเบียงห้องแทน ขายาวๆ ก้าวไปเปิดประตูกระจกออกเพียงแค่เล็กน้อยก่อนจะสอดตัวออกไปแล้วปิดมันลงเหมือนเดิม คืนนี้ไม่มีดาวบนผืนฟ้าสีดำสนิท ไม่มีแม้แต่สายลมพัด ทุกอย่างเงียบสงบต่างจากจิตใจที่แสนว้าวุ้นโดยสิ้นเชิง

ดวงตารีมองดวงไฟที่ให้ความสว่างอยู่ตรงถนนหน้าบ้านอย่างเลื่อนลอย ปล่อยความคิดมากมายให้เลื่อนหายไปช้าๆ ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งอยากรู้ยิ่งเหนื่อย เอาเป็นว่ากลับไปนอนทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกัน

แสงแดดยามเช้าปลุกคนที่เพิ่งได้นอนเมื่อตอนตีสี่ขึ้นมาด้วยความงัวเงีย ก่อนที่เปลือกตาจะเปิดออกกลับรับรู้ได้ถึงความอึดอัดเหมือนมีอะไรกดทับที่ขาทั้งสองข้าง หนักจนเหน็บชากิน... ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นตัวปัญหาคนเดิมนั่นล่ะ นี่ขนาดเอาหมอนข้างมากั้นตรงกลางแล้วนะ

ผมลืมตาขึ้นมาแล้วกระพริบถี่ๆ เพื่อปรับโฟกัสให้ชัดเจนขึ้นก่อนจะใช้แขนดันตัวเพื่อมองผลงานของพี่ทาร์ต เขานอนหงายแต่กางขามาทับกันไว้ ท่าทางโคตรน่าเกลียด จะบอกว่าเป็นปลาดาวบนบกตัวยักษ์ก็คงใช่ ดีหน่อยที่มือของเขาพาดไว้บนศีรษะแทน ไม่อย่างนั้นเป้าหมายคงเป็นใบหน้าของผมแทน ถ้าจะถามถึงหมอนข้างล่ะก็... โน่น ที่พื้นข้างเตียงฝั่งเขาเลย ไม่ค่อยแน่ใจว่าละเมอหรือตั้งใจทำแบบนี้กันแน่

ปากบอกว่าติดหมอนข้าง แต่ไม่เคยกอดมันสักคืน เป็นผมแทนตลอด... เพลีย

"พี่ทาร์ต"
ผมสะกิดคนข้างๆ พร้อมกับเรื่องชื่อเขาด้วยเสียงที่ดังพอจะปลุกคนๆ หนึ่งได้ แต่เขากลับนิ่งเงียบไม่ยอมขยับไปไหน ปกติก็ไม่ใช่คนขี้เซานะแถมเมื่อคืนยังนอนไวอีก

"เฮ้ยพี่ ผมเมื่อยขา"
ผมลองเปลี่ยนน้ำเสียงดูอีกคนก็ขยับตัวเข้ามากอดกันซะอย่างนั้นแถมยังรัดแน่นจนขยับไปไหนไม่ได้ ใบหน้าหล่อเหลาซุกอยู่ตรงซอกคอทำให้ลมหายใจอุ่นๆ รดอยู่ตรงนั้น ขนลุกฉิบหาย

"อีกสิบนาทีน่า จะรีบตื่นไปไหน"
น้ำเสียงงัวเงียดังขึ้นทำให้รู้ว่าอีกคนไม่ได้ละเมอแต่ตั้งใจพลิกตัวมากอดกัน ผมขมวดคิ้วแน่นก่อนจะขยับตัวยุกยิกเพราะสถาณการณ์ตอนนี้ช่างล่อแหลม ไม่น่าไว้ใจเอามากๆ หัวใจก็พาลเต้นแรงไปด้วย

"ขาผมชาไปหมดแล้วพี่ ปล่อยเหอะน่า ขนลุกด้วย"
ผมบอกด้วยเสียงดุๆ แล้วมุ่ยหน้าลงทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกคนคงไม่เห็น พี่ทาร์ตหัวเราะออกมาน้อยๆ แล้วยอมปล่อยกันให้เป็นอิสระ แต่ยังไม่วายส่งสายตากรุ้มกริ่มมามอง วันไหนไม่ได้แกล้งคนอื่นจะลงแดงตายหรือไงวะ

"มองอะไรอีก"
ผมถามก่อนจะถลึงตาใส่เขาแล้วดันตัวลุกขึ้นนั่ง มือเรียวขยับไปนวดขาเผื่อว่าจะคลายเหน็บชาที่เป็นลงบ้าง คันๆ หนักๆ จนน่ารำคาญแถมยังไม่สามารถก้าวไปไหนได้อีกด้วย

"มองน้องปูนไงครับ"
พี่ทาร์ตเปลี่ยนท่าทางเป็นเอาแขนท้าวแก้มตัวเองแล้วหันมามองทางผม ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

"มองทำไมพี่"
ผมถามกลับไปแล้วขยับตัวลงจากเตียงเพื่อเตรียมตัวจะไปอาบน้ำทั้งๆ ที่เหน็บชายังไม่หายดี จอหนีก่อนจะโดนเต๊าะแล้วกัน ไม่อยากคิดอะไรฟุ้งซ่านตั้งแต่เช้า เพราะวันนี้ผมต้องพาเขาไปร้านขนมของป้าอุ่นที่เปิดเอาไว้เพราะความชอบส่วนตัว

"อยากมอง ไม่ได้เหรอ"
พี่ทาร์ตพูดเสียงทะเล้นแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง ขยับตัวเข้ามาใกล้ขอบเตียงจนผมต้องถอยห่างออกไปหนึ่งก้าว ตอนแรกก็ว่าจะทำใจปลงๆ กับพฤติกรรมชอบแกล้งชอบเต๊าะ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ว่ะ

"กวนตีนว่ะ ผมไปอาบน้ำดีกว่า"
ผมเดินหนีออกมาหลังจากพูดจบแล้วตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า ในขณะที่รื้อหาชุดอยู่นั่นเองพี่ทาร์ตก็ตะโกนมาถามกันด้วยประโยคที่ชวนเสียวสันหลัง

"ให้พี่ไปช่วยอาบปะ"
เหี้ย! อุทานได้แค่ไหนใจก่อนจะหันไปแยกเขี้ยวแล้วพูดเสียงรอดไรฟัน ไม่เคยต้องหน้าร้อนวูบวาบแบบนี้ ไม่เคยต้องใจสั่นขนาดนี้ เพราะไอ้พี่ทาร์ตคนเดียวเลยที่ทำให้ความรู้สึกสั่นคลอนขนาดนี้ ยังไม่อยากเดินทางสายสีม่วงนะ... จะมีแฟนคนแรกทั้งทีขอผู้หญิงเถอะ

"ผมไม่ได้เป็นง่อย อาบเองได้ รอไปอาบน้ำให้แฟนใหม่พี่เถอะ!"
พูดออกไปแล้วรีบเดินลิ่วเข้าห้องน้ำทันที ได้ยินเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไล่ตามหลังมาก็รู้สึกอยากจะบีบคอพี่ทาร์ตให้ตายๆ ไปซะ ตอนนี้แยกแยะไม่ออกแล้วว่าอันไหนทีเล่นทีจริง ปวดหัวเว้ย

เสื้อผ้าถูกปลดออกอย่างไม่รีบร้อน สายน้ำอุ่นๆ จากฝักบัวค่อยๆ ชโลมไปทั่วผิวขาวเนียน ฟองสบู่นุ่มนิ่มค่อยๆ คืบคลานไปตามร่างกายด้วยมือเรียวสวย การอาบน้ำสำหรับผมแล้วมันช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดและความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี

ผมออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพที่มีผ้าขนหนูผืนเดียวปกปิดบังร่างกายส่วนล่าง ด้วยความที่เป็นผู้ชายด้วยกันเลยไม่ได้คิดว่าต้องอายอะไร แต่ผิดคาดตรงที่คนบนเตียงหันมาจ้องกันด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก รู้สึกขัดเขินแปลกๆ ทำตัวไม่ถูกจนต้องรีบก้าวยาวๆ ไปหยิบเสื้อมาใส่ อุณหภูมิในห้องร้อนขึ้นหรือเปล่านะ

"หุ่นก็ดีอยู่นะน้องปูน ออกกำลังกายสักหน่อยคงมีซิกแพค"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ ขณะที่ผมพยายามใส่กางเกงชั้นในอยู่มุมห้อง ดวงตาคมยังจดจ้องมาทางนี้อย่างไม่ลดละ จะมองอะไรนักหนาวะ คนเขาจะแต่งตัวเนี่ย จากที่ไม่คิดจะอายตอนนี้เริ่มกระสับกระส่ายแล้ว

"เออๆ รู้แล้วน่า พี่จะจ้องผมอีกนานแค่ไหนเนี่ย มันอึดอัดเว้ย"
ผมโวยเสียงไม่ดังนักเพราะกลัวว่าแม่จะได้ยินเข้าและโผล่มาทักทายเราตอนนี้ พี่ทาร์ตไหวไหล่ไม่แคร์อะไรมากนักก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจและอ้าปากหาวตบท้าย ผมรีบคว้ากางเกงขาสั้นเลยเข่าขึ้นเล็กน้อยมาใส่ลวกๆ แล้วดึงผ้าขนหนูออก โดยที่สายตายังโฟกัสที่เขา

"น้องปูนอยากตัวขาวล่อตาล่อใจพี่ทำไมวะ ดูๆ ไปผิวคงเนียนกว่าสาวๆ อีกมั้ง ไหนๆ ขอลูบหน่อยได้ปะ"
พี่ทาร์ตพุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วจนผมเผลอถอยไปด้านหลังและสะดุดเข้ากับผ้าขนหนูที่กองทิ้งไว้ของตัวเอง เกือบจะล้มลงไปกับพื้นแต่อีกคนคว้าแขนกันไว้ได้ทันแล้วดึงตัวเข้าไปกอดไว้แน่น ผมทั้งตกใจทั้งตื่นเต้น ตอนนี้สมองแทบหยุดสั่งการ ควรทำยังไงต่อดี ไปต่อไม่ถูกเลย

"เฮ้ย ระวังหน่อยสิครับน้องปูน เกิดล้มไปจริงๆ พี่จะทำไงว่ะ"
เขาว่ากันเสียงดุแล้วผละตัวออกไปเพื่อสำรวจร่างกายของผมว่ายังอยู่ครบทุกชิ้นส่วนดีหรือเปล่า ดวงตาคมกวาดไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังทำให้ใครอีกคนใจเต้นแรงจนรู้สึกปวดหนึบในอกไปหมด ช็อกจนพูดอะไรไม่ออก แม้แต่ส่งเสียงร้องยังทำไม่ได้ บ้าเอ้ย

"ก ก็ปล่อยให้ผมล้มดิ"
ผมเบนสายตาหนีเพราะไม่สามารถมองพี่ชายตรงหน้าได้อีก จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องคิดมากอะไรเลย แค่เขาช่วยไม่ให้ล้มไม่ได้ตั้งใจเข้ามากอดสักหน่อย อาการของคนหวั่นไหวนี่น่ากลัวเนอะ อะไรนิดอะไรหน่อยคิดมากตลอด

"อะไรวะ คือจะให้พี่ยืนดูน้องล้มไปเฉยๆ ทั้งๆ ที่พี่ช่วยได้เนี่ยนะ"
พี่ทาร์ตย่นคิ้วมองกันอย่างไม่เข้าใจหลังพูดประโยคนั้น ผมเดินหนีออกมาแล้วทำไปยุ่งกับการเช็คโทรศัพท์มือถือของตัวเองว่ามีใครติดต่ออะไรหรือเปล่าทั้งๆ ที่หน้าจอว่างเปล่าไร้การแจ้งเตือนใดๆ มีวิธีไหนช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจลงได้บ้างวะ รู้สึกเหมือนจะตายอยู่แล้ว

"เพราะพี่พูดอะไรบ้าๆ ออกมาไม่ใช่เหรอไงวะที่ทำให้ผมต้องเป็นแบบนั้น"
ผมบ่นเสียงงุ้งงิ้งทั้งๆ ที่ตายังมองหน้าจอโทรศัพท์อยู่เหมือนเดิม มือสไลด์เครื่องสี่เหลี่ยมไม่หยุดหย่อนเลยไม่รู้ว่าอีกคนเดินเข้ามาใกล้กัน ใกล้จนสัมผัสอุณหภูมิจากร่างกายพี่ทาร์ตได้

"พี่พูดจริงๆ ครั้งนี้ไม่ได้แกล้ง"
พี่ทาร์ตก้มลงมากระซิบข้างหูแล้วผละตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ผมยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น กว่าจะได้สติกลับคืนมาก็ตอนที่ได้ยินเสียงประตูห้องน้ำปิดลง หัวใจเต้นแรงจนก้องไปทั้งโสตประสาทการได้ยินจนต้องยกมือข้างที่ว่างขึ้นกุมหน้าอก กลัวเหลือเกินว่าก้อนเนื้อในนั้นจะกระเด็นออกมาข้างนอก

ผมไม่เข้าใจความหมายของเขาหรอกว่าการที่ไม่ได้ล้อเล่นนั้นคืออะไร อยากสัมผัสเพื่ออะไร มีความหมายอื่นแอบแฝงหรือไม่ แต่คนที่จิตใจไม่มั่นคงแอบหวั่นไหวกับพี่ชายข้างบ้านนั้นทำใจได้ยากเหลือเกินที่จะปล่อยวางและมองว่าสิ่งที่เขาทำเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่เคยชิน ไม่คุ้นเคยเลยทำให้เรื่องกลายเป็นแบบนี้

พี่ทาร์ตเพิ่งเลิกกับแฟน เขาชอบผู้หญิงและเจ้าชู้ ผมกับเขามีสถานะระหว่างกันแค่พี่น้อง หัวใจควรจะแข็งแกร่งใช่ไหม ควรหยุดหวั่นไหวใช่หรือเปล่า...

ผมลงมาด้านล่างเพื่อเจอกับแม่บ้านที่จะมาทำงานวันเว้นวันอย่างน้านวล เธอส่งยิ้มมาให้กันและรีบออกปากทักทายเหมือนปกติ

"น้องปูน สวัสดีค่ะ"
น้านวลทักทายด้วยเสียงสดใสและรีบวางมือจากการถูกพื้นทันที ผมคลี่ยิ้มกลับไปแล้วพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร ไม่ได้หยิ่งนะ แต่ตอนนี้สมองมันเต็มไปด้วยเรื่องของพี่ทาร์ตว่ะ

"จะรับอาหารเช้าเลยไหม น้าจะได้อุ่นให้ วันนี้มีต้มหมี่ซั่วน้ำหมูสับค่ะ"

"อ่า... ได้ครับ เตรียมของพี่ทาร์ตด้วยก็ได้ครับ อีกสักพักคงลงมา"
ผมบอกก่อนจะเดินผ่านน้านวลไปในส่วนของครัวเพื่อนั่งรออาหารเช้า พยายามอย่างที่สุดเพื่อจะไม่สนใจการกระทำของพี่ทาร์ตที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมา ท่องจำไว้ว่าก็แค่คนอกหักที่ทำทุกอย่างเพื่อจะลืมแฟนเก่า ไม่ได้พิศวาสผู้ชายหน้าตาธรรมดาตัวโตๆ อย่างผม ฮึบ!

ทำตัวเป็นน้องชายที่น่ารักต่อไปแล้วลืมเรื่องความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นซะ ไม่อย่างนั้นจะทำให้พี่ทาร์ตหนักใจ ก็ได้แค่บอกตัวเองไปอย่างนั้น ทำได้ไม่ได้ก็อีกเรื่อง

ผมเปิดแอพพลิเคชั่นสีเขียวมะนาวที่มีแจ้งเตือนข้อความเข้าของไอ้กู๊ดค้างอยู่เมื่อสิบนาทีก่อน นิ้วเรียวจิ้มบนหน้าจอเพื่ออ่านสิ่งที่มันส่งมา

คุณชายแสนดี : ปูน วันนี้มึงว่างปะวะ
ปูน : ไม่ว่างว่ะ วันนี้ต้องพาพี่ทาร์ตไปร้านขนมของป้าอุ่น มึงมีอะไร?
คุณชายแสนดี : ห๊ะ พี่ทาร์ตที่อยู่ข้างบ้านมึงอะนะ กลับมาแล้วเหรอ!!

ผมถึงกับหลุดขำเมื่ออ่านข้อความของมันจบ กู๊กก็รู้จักพี่ทาร์ตเหมือนกันและยังแอบเป็นแฟนคลับลับๆ ด้วย มายไอดอลอะไรประมาณนั้นล่ะ ตั้งแต่สมัยเด็กๆ ยันโต ไม่รู้จะปลื้มอะไรนักหนา

ปูน : เออดิ กลับมาเกือบอาทิตย์แล้ว อยากเจอไหมล่ะ
คุณชายแสนดี : อยาก! งั้นกูไปหาที่ร้านขนมนะ มึงจะไปกี่โมง โอยๆ กูตื่นเต้น!!
ปูน : เดี๋ยวๆ ไอ้กู๊ด ถ้ากูไม่ใช่เพื่อนมึงเนี่ย คงคิดว่ามึงชอบพี่ทาร์ต อะไรจะดีใจขนาดนั้น!
คุณชายแสนดี : ชอบดิชอบ ชอบมาก!! โอ้ย อยากกอดสักที โคตรคิดถึงเลย
ปูน : ไม่ๆ กูหมายถึงชอบแบบ... เชิงชู้สาวไรเงี้ย
คุณชายแสนดี : พ่อง กูปลื้มเฉยๆ เว้ย ชอบแบบนั้นเก็บไว้ให้มึงเถอะ!!

ผมสะดุดกึกกับข้อความที่ไอ้กู๊ดส่งกลับมา อะไรที่ทำให้เพื่อนสนิทคิดแบบนั้น หรือมันแค่ล้อเล่นใส่ แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อคนที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้ก็ทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามแถมยังโน้มตัวมาใกล้ๆ จนได้กลิ่นแชมพูอ่อนๆ

"เฮ้ย! ขยับมาใกล้ทำไมพี่"
ผมผงะถอยหลังแล้วรีบเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อเชิ้ตทันที หน้าตาตื่นๆ คงทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตลกเลยหัวเราะออกมาเบาๆ น้านวลยกต้มหมี่ซั่วน้ำมาให้เราและออกไปจัดการงานบ้านต่อ

"เห็นปูนทำหน้าตกใจพี่เลยอยากรู้ว่าทำอะไรอยู่ก็แค่นั้นเอง"
เขาหยิบช้อนขึ้นมาคนๆ อาหารตรงหน้าก่อนจะตักขึ้นมาเป่า ผมเหล่สายตามองอย่างไม่ไว้ใจแต่ก็ยอมพยักหน้ารับคำพูดนั้นไปแบบลวกๆ ใจหายใจคว่ำหมด

"อือๆ กินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวจะไปที่ร้านสาย น้าซันเปิดร้านตอนสิบโมง"
ผมพูดจบก็ก้มหน้าก้มตากินโดยลืมว่าต้มหมี่ซั่วยังร้อนอยู่ จนเดือดร้อนพี่ทาร์ตต้องรีบไปหาน้ำเย็นมาให้ดื่ม ก่อนที่จะถูกดุอะไรต่างๆ นานาด้วยความเป็นห่วงของเขาล้วนๆ นั่งฟังจนอิ่มและหูชาก็ได้เวลาออกจากบ้าน

บรรยากาศภายในรถดูจะอึมครึมเล็กน้อยเพราะไม่มีใครยอมพูดอะไรออกมา ไม่รู้ว่าเรื่องมันผิดพลาดตรงไหนเลยทำให้สถานการณ์ตอนนี้ไม่ราบรื่น แต่ผมไม่มีสมาธิในการขับรถเอามากๆ เมื่อทุกครั้งที่เหลือบสายตาไปมองคนข้างๆ จะโดนพี่ทาร์ตจ้องกลับมาอยู่ก่อนแล้ว และเป็นแบบนี้อยู่นานจนไม่สามารถทนไม่ไหวอีกต่อไป

"มีอะไรหรือเปล่าครับ"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงปกติโดยทำเป็นไม่สนใจสายตาที่มองจ้องมาตลอดเวลาตั้งแต่ออกจากบ้าน

"เอ้อ... เรื่องที่พี่พูดเมื่อเช้าน่ะ ปูนคิดมากหรือเปล่า"
เขาเข้าประเด็นอย่างรวดเร็วตามแบบฉบับของคนตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงติดจะกังวลเล็กน้อย ผมเผลอกลั้นหายใจไปหนึ่งจังหวะเพราะคำพูดนั้นยังคงติดตรึงในความทรงจำอย่างชัดเจน ก็เพิ่งผ่านมาแค่ชั่วโมงเดียวล่ะมั้ง

"ก็... เปล่าครับ"
ผมโกหก เป็นการโกหกคำโตที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ว่าได้ ไม่กล้าบอกความจริงเพราะกลัวอีกคนจะเปลี่ยนไป... จริงๆ ถ้าเขาเปลี่ยนพฤติกรรมการพูดก็ดีไม่ใช่เหรอวะ แต่ช่างแม่งเถอะ ตอบแบบนั้นไปแล้วคงแก้ไขอะไรไม่ทัน

"เฮ้อ โล่งอกว่ะ นึกว่าจะโดนโกรธซะอีก พี่ไม่ได้จริงจังอะไรนะเว้ย ปูนไม่ต้องคิดมาก แค่เห็นผิวขาวๆ เลยอยากจับดูว่าจะเป็นอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า อย่างไอ้ฟ่อนเนี่ยก็ตัวนุ่มๆ เหมือนกัน"
เขาพูดออกมาอย่างโล่งอกแล้วกันมาคลี่ยิ้มให้กันในขณะที่รถกำลังติดไฟแดง ผมพยักหน้ารับด้วยหัวสมองที่เบลอๆ สรุปว่าก็แค่ความอยากรู้แบบเด็กๆ เท่านั้นน่ะเหรอ แล้วไอ้ที่ผมหวั่นไหว คิดมากคือเพ้อเจ้อคนเดียวใช่ไหม เกลียดตัวเองว่ะ จำใส่สมองดิว่านั่นพี่ชายแล้วนี่ก็น้องชาย มันจะไปเกินเลยได้ยังไง ฟุ้งซ่านตลอดเวลา น่าจะหาสาวสักคนไว้คุยได้แล้วมั้ง

"ไม่คิดมากหรอกน่า เอ้อ พี่ทาร์ตจำไอ้กู๊ดได้ปะ เพื่อนผมสมัยเด็กๆ อะ มันอยากเจอพี่เลยจะไปหาที่ร้านขนม"
ผมย้ำให้เขาสบายใจแล้วพูดเรื่องที่เพิ่งคิดได้ต่อท้ายไป พี่ทาร์ตทำหน้ามึนเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นลูบท้ายทอยไปมา สงสัยกำลังค้นสมองหาคนชื่อกู๊ดอยู่แน่ๆ ไม่แปลกหรอกที่เขาจะจำไม่ได้ ตอนเด็กๆ วันๆ เอาแต่สนใจผม... เหอะๆ

"กู๊ด... ไอ้เด็กผู้ชายผิวคล้ำๆ ที่มันชอบมาดึงแก้มปูนใช่ไหม"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แปลกไปเล็กน้อย จะว่าดุก็ไม่ใช่ไม่พอใจก็ไม่เชิง มันแบบ... อธิบายไม่ถูกว่ะ

"ใช่ๆ มันนั่นล่ะ ตอนนี้ก็ยังเรียนด้วยกันนะพี่"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงสดใสเพราะรู้สึกผิดคาดเล็กน้อยที่เขาสามารถจำไอ้กู๊ดได้ ตอนเด็กๆ ไอ้นี่จะชอบมาดึงแก้มกันทุกวันและจะโดนพี่ทาร์ตไล่เตะ แล้วคนขี้หวงน้องชายอย่างเขาจะตะโกนลั่นสนามเด็กเล่นว่า 'อย่ามายุ่งกับน้องปูนของกูนะ' คิดถึงก็ยังขำมาจนทุกวันนี้ กับไอ้ฟ่อนนี่ใครจะรังแกมันได้หมด ไม่มีปกป้องหรอก แปลกใจนะ แต่หาคำตอบไม่ได้

"อืม... สนิทกันเหรอตอนนี้"
เสียงนิ่งเกินไปแล้ว อย่าบอกนะว่ายังติดใจเรื่องไอ้กู๊ดในสมัยเด็ก... แค้นฝังหุ่นเหรอพี่!

"โคตรซี้เลยพี่"
ตอบกลับไปแบบไม่ได้คิดอะไร หลังจากนั้นเลยได้ความเงียบสนิทมาอยู่เป็นเพื่อนจนถึงย่านเมืองเก่าซึ่งเป็นที่ตั้งร้านขนมของป้าอุ่น โดยมีน้าซันซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องสาวเป็นผู้จัดการร้าน

"พี่ทาร์ตถึง..."
ผมยังพูดไม่ทันจบอีกฝ่ายก็เปิดประตูรถเดินดุ่มๆ เข้าไปในร้านแล้ว ปล่อยให้สารถีจำเป็นได้แต่นั่งมึนงงเป็นไก่ตาแตก นี่กำลังโดนโกรธเหรอ เผลอทำอะไรผิดไปวะ เฮ้ย งงในงง

ผมรีบดับเครื่องรถแล้วพุ่งเข้าไปในร้านแทบจะทันทีแต่ต้องสะดุดกึกจนแทบหงายหลังเมื่อใครคนหนึ่งคว้าแขนกันจนเซ กะว่าจะหันไปด่าให้ลืมบ้านเลขที่แต่ต้องบึนปากใส่เพราะตัวการคือเพื่อนสนิทที่นัดไว้ก่อนหน้านี้ ทำไมมันโผล่หัวมาโคตรเช้าล่ะเนี่ย จำได้ว่ายังไม่ได้บอกเวลาที่จะมาร้านกับมันเลยสักนิด

"ปูน!! ไหนพี่ทาร์ตวะมึง"
มันถามอย่างรวดเร็วแล้วหันซ้ายหันขวาหาบุคคลที่ตัดผมทรงอันเดอร์คัต ผมถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เพราะแทนที่มันจะถามถึงสารทุกข์สุกดิบของเพื่อนบ้าง ไม่มีซะล่ะ ตาสอดส่องหาไอดอลตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายซะอย่างนั้น

"สนใจกูก่อนได้ไหม กูเพื่อนมึงนะ"
ผมสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของมันแล้วทำหน้าเบื่อๆ ใส่ ดูจากท่าทางและบุคลิกของไอ้กู๊ดแล้วไม่น่าจะเป็นคนฮอตได้ แต่ผิดถนัด เพราะความจริงแล้วมันเป็นเดือนคณะ ตอนประกวดแอบไปเล่นของใส่กรรมการหรือเปล่ายังไม่รู้เลย เพราะผมคิดว่าแฟนของไอ้ไนน์ดูดีกว่าเยอะ

"เบื่อมึงแล้วไง เห็นหน้ามาเป็นสิบๆ ปีแล้ว"
มันหันมาเบ้ปากใส่กันให้ผมต้องยกมือขึ้นผลักหัวด้วยความหมั่นไส้ ใช่ว่าไอ้กู๊ดเบื่อเป็นคนเดียวซะที่ไหนกันล่ะ เหอะ

"พูดงี้ก็กลับไปเลย ไม่ต้องเจอพี่ทาร์ตแล้ว"
ผมพูดอย่างกับมีสิทธิ์ไปห้ามใครเขาได้อย่างนั้นล่ะ มองผ่านกระจกใสของร้านเข้าไปก็จะเจอพี่ทาร์ตยืนคุยกับน้าซีนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง หรือว่าเขาจะเป็นไบโพล่าวะ เพิ่งทำหน้าตึงใส่กันไปหยกๆ ไม่ใช่เหรอ...

"ทำตัวอย่างกับเป็นแฟนพี่เขา ~"
ไอ้กู๊ดขยับมากระแซะไหล่กันแล้วส่งยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้ ผมแทบจะถีบมันกระเด็นถ้าไม่ติดว่าพี่ทาร์ตหันมาเจอเราสองคนแล้วหุบยิ้มแล้วเบนสายตาไปทางอื่นทันที ความไม่เข้าใจผุดขึ้นมาในสมองเหมือนดอกเห็ดยามฝนตก อยากเข้าไปเคลียร์ให้รู้เรื่องว่าโกรธอะไร แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี

"มึงเลิกแซวเรื่องนี้สักที พูดตั้งแต่เด็กจนโตไม่เบื่อบ้างหรือไงวะ"
ผมว่าเสียงดุๆ ก่อนจะก้าวต่อเพื่อเข้าไปในร้าน ตอนนี้อารมณ์ไม่ค่อยมั่นคงมากนักเพราะความคิดว้าวุ่นและสับสนในตัวพี่ทาร์ต ไหนยังจะโดนไอ้เพื่อนตัวดีตอแยไม่เลิกอีก

"ไม่เบื่อเว้ย กูเชื่อว่าสักวันมึงกับพี่ทาร์ตต้องรักกัน กูเห็นเค้ารางมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว"
มันยังไม่หยุดปากเปราะจนผมต้องหันไปถลึงตาใส่แล้วตบกบาลมันแรงๆ ไม่รู้ไอ้กู๊ดเอาสมองส่วนไหนคิดว่าพวกเราต้องรักกัน เป็นการเชื่อฝังใจของนายแสนดีมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าพี่ทาร์ตหวงเด็กชายปูนเพราะแอบชอบ... บ้าบอ ตอนนั้นผมเพิ่งอยู่ประถมปะวะ แถมยังเป็นเด็กผู้ชายด้วย โคตรเพ้อเจ้อ

"เพ้อเจ้อ หุบปากของมึงซะกู๊ด ถ้าไม่อยากโดนพี่ทาร์ตเตะออกจากร้าน"
ผมบอกมันด้วยน้ำเสียงดุๆ ก่อนจะผลักประตูกระจกเข้าไปเผชิญหน้ากับพี่ทาร์ตที่ยืนหน้าตึงอยู่ก่อนแล้ว น้าซันจะปลีกตัวไปเตรียมขนมได้ถูกเวลาเกินไปหรือเปล่าวะ รังสีอำมหิตแผ่กระจายจนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว แต่ไอ้กู๊ดเนี่ยกลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเพราะเอาแต่ยิ้มเหมือนคนเสียสติ กูล่ะอยากถ่ายรูปมึงตอนนี้ไปประจานที่มหา'ลัยฉิบหาย

"พี่ทาร์ต... เป็นอะไรหรือเปล่า ลงจากรถไม่รอผมเลย"
เป็นประโยคแรกที่ตั้งใจจะถามเลยไม่รอให้เสียเวลา พี่ทาร์ตมองผมสลับกับไอ้กู๊ดแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

"เปล่า แล้วนี่ใคร"
เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและแข็งกว่าปกติจนผมเริ่มกลัว สาเหตุอาจจะมาจากไอ้เพื่อนตัวดีข้างๆ นี่ก็ได้ แต่... ไอ้กู๊ดยังไม่ได้ทำอะไรผิดหรือเปล่าวะ

"ผมชื่อกู๊ดครับ เป็นเพื่อนไอ้ปูน พี่จำผมได้หรือเปล่าอะ ตอนเด็กๆ เคยเจอกันอยู่บ่อยๆ"
ผมอ้าปากไม่ทันไอ้กู๊ดจริงๆ มันเลยแนะนำตัวเองและชวนพี่ทาร์ตคุยไปในตัว บรรยากาศยิ่งอึมครึมมากกว่าเดิมจนไม่สามารถที่จะทำตัวปกติได้ มือไม้เริ่มชื่นเหงื่อ ต้องทำยังไงดี...

พี่ทาร์ตไม่ได้ตอบในทันทีและเอาแต่มองสำรวจไอ้กู๊ดตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาแบบนั้นอาจจะดูน่าเกลียดแต่คนข้างๆ ผมไม่ถืออะไร แถมยังฉีกยิ้มเป็นมิตรให้คนที่กำลังจะกลายเป็นเสืออยู่แล้ว ไม่เข้าใจทำไมต้องทำหน้าตาถมึงทึงใส่ด้วยวะ

"อืม จำได้สิ สบายดีเหรอ"
บทสนทนาที่หลุดออกมาจากปากพี่ทาร์ตช่างไม่เป็นธรรมชาติเพราะน้ำเสียงที่นิ่งเย็นนั่น ปกติแล้วเขาจะอัธยาศัยดีและใช้โทนเสียงร่าเริงคุยกับทุกคนมากกว่า ตายแน่ๆ ไอ้กู๊ด

"สบายดีมากๆ เลยครับพี่ทาร์ต ได้ไอ้ปูนเป็นเพื่อนสนิทด้วยยิ่งดีเข้าไปใหญ่"
ไอ้กู๊ดพล่ามไม่หยุดจนผมต้องกระทุ้งศอกใส่ แต่ดูเหมือนมันไม่เข้าใจสถานการณ์เลยยังใช้น้ำเสียงเจื้อยแจ้วคุยต่อไปอย่างออกรส และพอดีกับที่น้าซันเรียกผมให้เข้าไปช่วยจัดขนมใส่ตู้กระจกเลยต้องปล่อยสองคนนั้นอยู่ด้วยกัน หวังว่าคงไม่ตีกันตายนะ

"ทาร์ตสร้างเรื่องวุ่นวายให้ปูนบ้างหรือเปล่าจ๊ะ"
น้าซันถามขึ้นในขณะที่ผมรับขนมมาจากมือเธอแล้วเรียงใส่ในตู้กระจกตามป้ายชื่อที่ติดเอาไว้

"อ่า... เปล่าครับน้า"
ผมโกหกครั้งที่สองของวันแล้ว จริงๆ ที่ทาร์ตสร้างเรื่องวุ่นวายไว้หนึ่งเรื่องโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวล่ะ... ทำให้คนอื่นหวั่นไหว แต่บอกใครไม่ได้หรอกเพราะมันเป็นความลับ

"จ้า... เอ้อปูน เมื่อกี้ทาร์ตถามน้าใหญ่เลยว่าไอ้เด็กคนผิวคล้ำๆ นั่นเป็นใคร"

"หา... น้าซันหมายถึงไอ้กู๊ดน่ะเหรอ"
ผมหันขวับไปมองหน้าน้าซันด้วยความสงสัย เธอพยักหน้ารับหงึกหงักให้กัน

"ใช่ ถามถึงไอ้เจ้ากู๊ดนั่นล่ะ น้าก็เลยบอกว่าเป็นเพื่อนกับปูนไง จำไม่ได้เหรอ ดูท่าทางทาร์ตจะออกอาการหวงปูนอีกแล้วนะ เพี้ยนจริงๆ เด็กคนนี้"
น้าซันพูดด้วยน้ำเสียงปลงๆ แล้วเอื้อมมือมาตบไหล่ของผมเพื่อเป็นการปลอบก่อนจะขอตัวไปนกขนมออกมาเพิ่ม

ผมพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำที่ได้ฟังเรื่องแบบนั้นจากปากน้าซัน เขาจะหวงไปทำไมในเมื่อตอนนี้ก็โตๆ กันแล้ว อีกอย่างนั้นก็เพื่อนแถมยังเป็นผู้ชายอีก หรือเพราะกลัวผมจะทิ้งเขาไปอยู่กับเพื่อนกันนะ ก็คนเพิ่งอกหักคงต้องการที่พึ่งทางใจล่ะมั้ง

"ปูน"
เสียงน้าซันดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ผมที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ สะดุ้งเล็กน้อย แต่หัวเราะแล้วส่งถาดขนมมาให้กันอีก ไม่นานนักทุกอย่างก็พร้อมขาย พี่ทาร์ตเดินไปพลิกแผ่นป้ายหน้าร้านจาก Close ให้เป็น Open เพิ่งสังเกตว่าไอ้กู๊ดย้ายไปนั่งที่โต๊ะเงียบๆ แล้ว โดนดุอะไรไปบ้างหรือเปล่าวะนั่น



ต่อด้านล่างเนอะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 4 -P.2- (20/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 20-03-2017 15:02:43
"ปูน มานี่"
พี่ทาร์ตส่งเสียงเรียกกันก่อนจะกวักมือเป็นสัญญาณให้เข้าไปหา ผมไม่รีรอที่จะเดินไปตรงนั้น ใครจะช้าอยู่ล่ะ ดูเขาอารมณ์เสียจะตายไป

"ครับ มีอะไรเหรอ"
ผมถามเมื่อเรายืนเคียงข้างกัน พี่ทาร์ตไม่ได้ตอบอะไรแต่หันไปลาน้าซันแล้วลากแขนกันออกจากร้านทันที อะไรยังไง ตั้งตัวไม่ทันเว้ย

"เดี๋ยวๆ พี่ทาร์ตจะรีบไปไหนครับ"
ผมรั้งข้อมือตัวเองเอาไว้เพื่อที่จะไม่ยอมเดินตามเขาไป พี่ทาร์ตชะงักแล้วหันมามองกันด้วยสายตาดุๆ

"อย่าถามมากจะได้ไหม"
เสียงแข็งใส่กันจนผมตกใจ ไม่กล้าที่จะบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมของเขาแม้แต่น้อย

"พี่โกรธอะไรผมครับ"
ผมเสี่ยงถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ แค่คิดว่าเขาโมโหและโกรธขึ้นมาจริงๆ น้ำตาก็พาลจะไหลออกมา

"ขึ้นรถก่อนแล้วจะบอก"
สรุปว่าโกรธกันจริงๆ ใช่ไหม... ผมต้องทำยังไงล่ะคราวนี้

"ก็ได้ครับ"
ได้แต่ตอบรับแล้วยอมให้เขาจูงมือไปที่รถแต่โดยดี เพราะไม่สามารถคาดเดาอารมณ์และไม่สามารถต้านทานอะไรจากเขาได้เลยจริงๆ

ขึ้นรถ สตาร์ทเครื่อง เปิดแอร์ แต่ไม่ได้เข้าเกียร์ ทุกอย่างยังคงอยู่ที่เดิมไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน ผมนั่งนิ่งในขณะที่อีกคนก็นิ่งไม่แพ้กัน ริมฝีปากหยักของเขาเม้มเข้าหากันแน่นคล้ายคนพยายามข่มอารมณ์ กลัว... กลัวพี่ทาร์ตโหมดนี้เหลือเกิน

"สนิทกันมากเหรอ"
อยู่ๆ เขาก็ถามอะไรแบบนี้ขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ก็นั่นเพื่อนสนิท ถ้าไม่สนิทกันมันจะเรียกแบบนั้นเพื่ออะไรวะ

"ห๊ะ อะไรนะครับ"
ผมถามย้ำเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังถูกไหม

"กับกู๊ดน่ะ สนิทกันมากเลยเหรอ"
ชัดเจน...

"ก็ใช่ครับ เป็นเพื่อนสนิท"
ผมตอบกลับไปแล้วลอบมองใบหน้าด้านข้างของพี่ทาร์ต เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะถามต่อ

"กู๊ดชอบปูนหรือเปล่า"
คำถามของเขาทำให้ผมมึนงงไปชั่วขณะ หมายถึงชอบแบบไหนวะ หรือ... ไม่ใช่ละ เข้าใจผิดไปถึงไหนวะเนี่ย!

"ชอบ... เฮ้ย จะบ้าเหรอพี่ เพื่อนกัน ไอ้กู๊ดชอบผู้หญิง"
ผมตอบอย่างรวดเร็วแล้วหันขวับไปมองเขา พี่ทาร์ตเบนสายตากลับมาทางนี้พอดีทำให้เราสบตากัน

"งั้นเหรอ พี่ขอโทษที่หวงปูนมากไปหน่อย"
เขาถอนหายใจออกมาหนักๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มบางให้กัน ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เมื่อครู่ไม่ได้หูฝาดแล้วใช่ไหมวะ หวงกันเพื่ออะไร ไม่เข้าใจ

"หา หวงผมทำไมล่ะพี่ กับไอ้กู๊ดนี่เพื่อนกันจริงๆ คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอก ขนลุก"

"อืม... ก็ดี"
เขาตอบกลับมาสั้นๆ แค่นั้นไม่ได้ไขความกระจ่างอะไรเลยสักนิดเดียว ผมมองหน้าพี่ทาร์ตก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเตรียมใจถามคำถามต่อไป

"ถามจริงๆ นะ ทำไมถึงหวงผมไม่เลิกสักทีล่ะครับ"
ผมถามรัวๆ จนลิ้นแทบจะพันกัน พี่ทาร์ตเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะขมวดเป็นปม คำถามมันน่าเครียดขนาดนั้นเลยเหรอวะ

"น้องชายทั้งคน ไม่หวงได้ไง"
คำตอบแสนจะเบสิก แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากรู้แน่ๆ ไอ้ฟ่อนก็น้อง เป็นน้องแท้ๆ ด้วยไง สงสัยเว้ย สงสัย!

"แล้วกับไอ้ฟ่อนล่ะ ทำไมพี่ไม่หวงบ้าง คนเข้ามาจีบมันเยอะจะตายไป"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วให้ความสงสัยสุดๆ นี่เป็นเรื่องจริงที่ประสบพบเจอได้ทุกวันในชีวิตของไอ้ฟ่อนเลยนะ คนเข้ามาจีบไว้เว้นแต่ละวัน แต่เสือกไม่สนใจใครสักคน ตามตื้อตามตอแยแต่กับผมนี่ล่ะ...

"ไม่รู้สิ พี่อยากหวงปูนมากกว่า"
คำตอบของเขาทำให้ผมถึงกับอ้าปากพะงาบๆ ไม่ใช่เพราะหวั่นไหว แต่มันไม่ได้เพิ่มความกระจ่างขึ้นแม้แต่นิดเดียว

"งงอะ ไม่เข้าใจจริงๆ"
ผมบ่นออกไปพร้อมกับจ้องใบหน้าคมของเขา อยากได้คำตอบที่เป็นเหตุผลไม่ใช่แค่พูดผ่านๆ ให้เรื่องจบไง จะบอกว่าพี่ทาร์ตยังมีอาการเจ็ทแลคเลยมึนๆ เบลอๆ ก็คงไม่ใช่

"ช่างแม่งเถอะ พี่ก็ไม่เข้าใจ พูดมากๆ หิวแล้วเนี่ย วันนี้จะพาทัวร์ที่ไหนครับไกด์"
พี่ทาร์ตโบกมือไปมาเหมือนคล้ายให้ผมหยุดสงสัยสักที ถ้าในเมื่อเขาพูดว่าตัวเองยังไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นก็ปล่อยไปเถอะ ผมควรเปลี่ยนเรื่องตามใช่ไหม ช่างแม่งด้วยคนแล้วกันวะ

"กินหมี่ต้นโพธิ์ก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นพี่อยากไปไหนก็บอก เดี๋ยวไกด์คนนี้จัดให้"
เอาเป็นว่าตอนนี้เรื่องกินเรื่องเที่ยวสำคัญกว่าอะไรทั้งหมดแล้วกัน

ผมออกจากย่านเมืองเก่าเพื่อตรงไปร้านหมี่ต้นโพธิ์สาขาแรกที่อยู่ใกล้วงเวียนหอนาฬิกา เวลาใกล้เที่ยงแบบนี้ในวันธรรมดาคนจะเยอะเป็นพิเศษ พี่ทาร์ตเลือกโต๊ะที่อยู่ด้านใน เมนูอาหารหลากหลายจนเลือกไม่ถูก แต่ของขึ้นชื่อที่นี่คือ ผัดฮกเกี้ยนใส่ไข่ หมูสะเต๊ะ และห่อหมก

"พี่ครับ ผมเอาหมี่ฮกเกี้ยนหมูกับสะเต๊ะ"
ผมสั่งโดยไม่รีรอแล้วหันไปมองคนที่นั่งจดๆ จ้องๆ เมนูมาสักพักแล้ว แบบนี้ล่ะคนที่ห่างหายจากอาหารท้องถิ่นมานาน เลือกกินไม่ค่อยจะถูกสักเท่าไหร่

"พี่ทาร์ตกินอะไรครับ"

"เอ่อ... เอาหมี่ฮกเกี้ยนทะเลครับ"
พี่เขาสั่งจบคนรับออเดอร์ก็รีบเดินออกไปทันที มันเป็นปกติเพราะลูกค้าเยอะ ดีกน่อยที่วันนี้มีที่นั่ง ไม่อย่างนั้นคงต้องรอเป็นชั่วโมง

"พี่ทาร์ตอยากไปเที่ยวที่ไหนบ้างครับ"
ผมถามเขาออกไปแบบนั่นเพราะตั้งแต่กลับมาจากอเมริกาพี่ทาร์ตยังไม่ได้เลือกสถานที่เที่ยวเองเลยสักวัน มีแต่ตามทริปที่ผมวางไว้ก็เท่านั้น

"อืม... อยากเล่นน้ำ ป่าตองก็น่าจะดี"
พี่ทาร์ตส่งยิ้มมาให้หลังพูดจบแต่ผมหน้าเหลือสองนิ้วเพราะไม่ถนัดไปทางป่าตอง พูดง่ายๆ คือแค่ปีละครั้งที่ไปเหยียบที่นั่น งานหนักเลยล่ะขึ้นเขากับความวุ่นวายที่นั่นน่ะ

"เอ่อ... ผมหลงทางน่ะพี่ทาร์ต ไปป่าตองแค่ปีละครั้งได้มั้ง"
ผมตอบเสียงอ้อมแอ้มกลับไป เป็นฝ่ายให้พี่เขาเลือกสถานที่เองแต่กลับไม่สามารถพาเขาไปได้ มันน่าอายจริงๆ นะเว้ย

"อ้อ งั้นเอาที่ปูนไปได้ดีกว่า"
พี่ทาร์ตขำออกมาน้อยๆ แล้วส่งยิ้มมาให้กันอย่างไม่ถือสา ผมยกมือเกาท้ายทอยแก้เขินแล้วพยักหน้ารับและเสนอสถานที่ออกไป

"หาดในทอนกับหาดไนยางไหม"

"ก็ดีนะ"

ต้องกลับบ้านไปเอาเสื้อผ้าที่ต้องใช้เปลี่ยนเพื่อเล่นน้ำทะเลสินะ...




------------------------------------------------


ตอนที่ 4 มาแล้วเนอะ... พี่ทาร์ตมันจะออกอาการหวงน้องมากเกินไปแล้ว
น้องกู๊ดเลยซวยไป ตั้งแต่เล็กจนโต 55555 ไปแกล้งน้องชาย(?)คนอื่นก็เงี้ยล่ะ

ปล. ฝากติชมกันหน่อยเนอะ อยากรู้ว่าคนอ่านสนุกไหม ♥
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 4 -P.2- (20/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 20-03-2017 15:39:48
ดูงงๆมึนๆกันทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 4 -P.2- (20/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-03-2017 16:18:33
พี่ทาร์ตรีบรู้ตัวเร็วๆนะ  ออกอาการหวงหนักม๊ากมาก 

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 4 -P.2- (20/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 20-03-2017 20:51:08

นี่คือตำนานรักคู่ซึนใช่ไหม
 :hao6:

สนุกนะจ๊ะคนเขียน เราชอบ
สู้ๆนะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 4 -P.2- (20/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 21-03-2017 22:16:48
ตามๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 5 -P.2- (24/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 24-03-2017 19:28:03
(http://i.imgur.com/H9qsRy9.png)



สูตรที่ 5

Thai Tea Lava Cake
: เนยจืด/แป้งสาลี/ไข่ไก่/ไข่แดง/น้ำตาล/นมข้นจืด/ใบชาไทย :




เวลายามเที่ยงวันที่แดดร้อนระอุแทบจะเผาไหม้ให้ร่างกายของคนเรากลายเป็นของเหลว อากาศแบบนี่ควรจะนอนอยู่บ้านเปิดแอร์ช่ำๆ แต่กลับโดนพี่ชายตัวดีลากออกมาเพื่อจะไปห้างสรรพสินค้าเพราะอยากกินฟูจิและดูหนังเข้าใหม่ ผมแทบจะว้ากใส่เขาให้คอแตกเพราะโดนปลุกตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เพื่ออะไรเนี่ย!

พี่ทาร์ตกลายเป็นสารถีไปโดยปริยายเพราะผมไม่ยอมขับรถเอง อ้างว่าง่วงบ้างล่ะ ไม่สบายตัวบ้างล่ะ แต่จริงๆ แล้วคือขี้เกียจ เขาไม่ได้ว่าอะไรกลับมาสักคำและยอมแต่โดยดีไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ น่าแปลกที่วันนี้เขาไม่ได้แกล้งกันเลย

"ต้องลงอุโมงค์ปะวะ"
พี่ทาร์ตถามขึ้นในขณะที่เรากำลังผ่านอุโมงค์หน้าเทสโก้โลตัสไป ผมรีบส่ายหัวทันทีเพราะถ้าเราลงอุโมงค์หน้าโรงพยาบาลสิริโรจน์จะไปโผล่เกือบแถวๆ ตลาดนัดนาคาซึ่งมันจะเลยจุดหมายของเราซึ่งเป็นห้างเซ็นทรัล

"ไม่ๆ ชิดซ้ายเลยพี่ ค่อยไปยูเทิร์น"
ผมตอบอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าตีนผีอย่างพี่ทาร์ตจะพารถลอดอุโมงค์ไปซะก่อน ไม่อยากจะเชื่อว่าไอ้คนไม่ชำนาญเส้นทางจะเหยียบซะมิดไมล์ แอบใจหายใจคว่ำอยู่หลายครั้งแต่ไม่ได้บ่นอะไรออกไป ก็เราเป็นคนให้เขาขับเองนี่ ความผิดตัวเองล้วนๆ ไหมล่ะ

"อืม พี่ให้จองตั๋วหนังล้วงหน้าไว้ ปูนจองหรือยัง"
พี่ทาร์ตเหลือบสายตามองกันเล็กน้อยขณะที่รอยูเทิร์นรถ ผมเบะปากลงก่อนจะพยักหน้ารับแกนๆ แล้วเปิดแอพพลิเคชั่นจองตั๋วหนังล่วงหน้าให้เขาดูเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง บังคับคนอื่นมาเป็นเพื่อนไม่พอยังจะเลือกเรื่องผีอีก ถามความสมัครใจกันสักคำก็ไม่มี ไม่ได้กลัวนะ แต่ไม่ค่อยชอบแนวนี้สักเท่าไหร่

"จองแล้วน่า กลัวผมเบี้ยวหรือไง"
ผมบุ้ยปากใส่เขาไปเพราะก่อนหน้านี้เถียงกันเรื่องดูหนังไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็แพ้เนื่องจากพี่ทาร์ตจะเลี้ยงฟูจิ จะบอกว่าเห็นแก่กินก็เอาเถอะ ยอมรับ ก็เงินรายอาทิตย์จากแม่มันใกล้จะหมดพอดี...

"แค่ถามไง ดูทำปากเป็ดใส่พี่ดิ"
พี่ทาร์ตเอามือมาป้ายปากกันก่อนจะยูเทิร์นรถเข้าห้างสรรพสินค้า ปล่อยให้ผมยกมือขึ้นเช็ดเป็นพัลวัน ไม่รู้เอาไปจับอะไรมาบ้าง สกปรกว่ะ!

"เล่นไรเนี่ย มือโคตรเค็มเลย"
ผมโวยเสียงดังลั่นรถแล้วเบ้ปากใส่เขาอีกรอบ พี่ทาร์ตเหลือบมองกันแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากจนน่าหมั่นไส้ ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ

"ลืมล้างมือว่ะ ก่อนออกจากบ้านเพิ่งเข้าห้องน้ำไป"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยักคิ้วกวนๆ กลับมาให้กัน ผมรู้ทั้งรู่ว่าเขาแกล้งแต่มันก็อดหงุดหงิดไม่ได้เลยกำหมัดต่อยต้นแขนเขาไปเต็มแรง และมันส่งผลให้เขาร้องลั่นจนเกินจริง สำออยว่ะ

"โอย เจ็บ จริงจังไปได้วะ พี่แค่ล้อเล่นเอง"
พี่ทาร์ตหันมาทำหน้าเหยเกใส่กันก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ผมเหล่มองเขาและไหวไหล่อย่างไม่แคร์

"ไม่รู้ไม่ชี้ รีบหาที่จอดรถเถอะครับ"

วันธรรมดาแบบนี้ผู้คนจะเบาบางกว่าวันหยุดปลายอาทิตย์ ผมกับพี่ทาร์ตเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นด้วยความหิวโหย ไม่ได้กินข้าวเช้าก็แบบนี้ล่ะ แม่ออกไปตั้งแต่เช้าส่วนแม่บ้านก็หยุด คนทำอาหารเป็นมันก็อิดออด เดี๋ยวจะถล่มให้หมดเนื้อหมดตัวเลยคอยดูเถอะ

"กินอะไรดี"
คำถามลอยๆ จากปากพี่ทาร์ตดังขึ้นในขณะที่ต่างคนต่างก้มลงอ่านเมนูอาหาร อยากกินซาซิมิ แต่อีกคนน่าจะไม่ชอบ... จำได้ว่าตอนเด็กๆ เขาโวยวายเรื่องกินเนื้อสดๆ อยู่บ่อยๆ

"พี่สั่งก่อนเลย ผมขอดูเมนูก่อน"
ผมบอกไปแบบนั้นพี่ทาร์ตก็พยักหน้ารับแล้วเริ่มสั่งอาหารที่ตัวเองอยากกินไปหลายอย่าง จนสุดท้ายแล้วผมเลือกปิดเมนูลงเพราะไม่แน่ใจว่าจะกินหมดหรือเปล่าในส่วนของคนพี่ ขืนสั่งเพิ่มอาจจะต้องใส่ห่อกลับบ้าน

เรากินอาหารอยู่ร่วมหนึ่งชั่วโมงเต็มก่อนจะเดินไปที่โรงหนังเพราะใกล้ถึงเวลาที่จองตั๋วไว้แล้ว พี่ทาร์ตจัดการจ่ายเงินทุกอย่างเรียบร้อยโดนที่ผมไม่ต้องหยิบกระเป๋าสตางค์เลยสักครั้ง แถมที่นั่งยังเป็นแบบโซฟาอีกด้วย รู้สึกเป็นคู่รักไปอีก... แอบเพลียว่ะ

"กินป๊อปคอร์นไหม"
อาเสี่ยเฉพาะกิจหันมาถามกันอย่างเอาใจเพราะผมยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับ คือไม่ชอบหนังผี ไม่อยากดู... จะนั่งรออยู่ข้างนอกเขาก็ไม่ยอมอีก เฮ้อ

"รสชีส น้ำโค้กด้วย"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ เพราะปฏิเสธดูหนังไม่ได้ก็เลยเลือกคล้อยตามและถลุงเงินพี่ทาร์ตไปดีกว่า อีกคนก็ไม่มีทีท่าว่าจะขัดใจอะไร แถมยังตามใจมากกว่าปกติด้วย... แปลกจนไม่รู้จะแปลกยังไงแต่ก็ขี้เกียจถามหาเหตุผล

"จ้าๆ น้องปูนของพี่"
พี่ทาร์ตตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆ แล้วผละออกไปต่อแถวซื้อป๊อปคอร์น ปล่อยให้ผมยืนถอนหายใจด้วยความเซ็ง ไอ้คำว่าของพี่ๆ เนี่ย เมื่อไหร่จะเลิกใช้สักที กลัวว่าสักวันมันจะกลายเป็นความจริงขึ้นมาน่ะสิ เป็นของเขาฝ่ายเดียว แต่เขาไม่ได้เป็นของเราประมาณนั้น หมาไปอีก

ผมยืนรอสักพักพี่ทาร์ตก็กลับมาพร้อมป๊อปคอร์นและน้ำโค้กในมือ เขาพยักพเยิดหน้าเป็นสัญญาณให้เข้าไปในโรงหนังได้แล้ว อยากจะอิดออดอยู่หรอกแต่เห็นความกระตือรือร้นของอีกคนก็ทำไม่ลง ทำใจไว้แล้วว่าอีกเดี๋ยวต้องโดนล้อแน่ๆ เรื่องกลัว... เอ้ย ไม่ชอบดูหนังผีเนี่ย

"พี่ทาร์ต..."
ผมกระซิบเสียงเบาเมื่อเรานั่งดูตัวอย่างหนังมาได้สักพัก ภายใต้ความมืดเรายังคงเห็นเงารางๆ ของคนข้างตัวได้ไม่ยากนัก แต่อย่าให้บรรยายสีหน้าเลย โคตรลำบาก

"อะไรครับ"
ถามกลับมาด้วยเสียงเบาไม่แพ้กัน มือหนาจ้วงหยิบป๊อปคอร์นใส่ปากไม่หยุดต่างจากผมที่นั่งจิบน้ำโค้กในมือไปเรื่อย ได้แต่สงสัยว่าซื้อมาให้ใครกินกันแน่

"ทำไมเลือกดูหนังผีวะ หนังบู๊ก็มี"
พยายามใช้น้ำเสียงปกติในการถาม ไม่อยากให้เขาจับพิรุธได้เท่าไหร่ว่าผมกลัว... เออ ยอมรับก็ได้ว่ากลัวผี ดูแล้วมันติดตานอนไม่หลับ เดี๋ยวคืนนี้รู้กันและพี่ทาร์ตต้องรับผิดชอบผลของการบังคับทั้งหมดนี่ด้วย

"ก็... มีปูนมาดูด้วยกันไง"
เขาตอบกลับมาแบบนั้นยิ่งทำให้คนฟังงงเป็นสองเท่า มันเกี่ยวอะไรกับที่ผมมาดูด้วยล่ะ อยู่อเมริกาไม่มีใครไปด้วยหรือไงวะ

"เกี่ยวอะไรกันครับ ผมไม่เห็นจะเข้าใจ"
ผมยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ แล้ววางแก้วน้ำลง ตั้งใจจะรอฟังคำตอบจากเขาแต่กลับสะดุ้งเพราะเสียงดนตรีเริ่มต้นของหนังผี ดีนะที่ไม่แหกปากลั่นโรงหลัง ถ้าไม่อย่างนั้นคงโดนไล่ออกไปแน่ๆ

"ดูกับคนอื่นแม่งโคตรเซ็งไง ไม่มีใครอิน เอาแต่งนั่งวิจารณ์หนังอย่างนั้น ต้องจบแบบนี้ บลาๆ พี่เบื่อ แต่ปูนน่าจะไม่ใช่คนแบบนั้น"
เขาบอกยาวยืดก่อนจะเอื้อมมือมาโยกหัวกันอย่างถือวิสาสะ ไม่รู้จับป๊อปคอร์นแล้วแอบมาเช็ดหรือเปล่าผมเลยสะบัดหน้าหนีแล้วเอนตัวพิงพนักโซฟา

"แล้วรู้ได้ไงว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้นครับ รู้จักกันดีพอเหรอ"
ผมไม่ได้ตั้งใจจะกวนเลย แต่ระยะเวลาที่เราไม่ได้เจอกันมันนานมาก มากจนทำให้นิสัยของคนเราเปลี่ยนไป อยากรู้ว่าเขาเอาอะไรมาเป็นแนวคิดว่าน้องชายคนนี้จะไม่เป็นแบบนั้น ถ้าเกิดผมเป็นพวกชอบวิจารณ์หนังขณะดูจะไม่โดนพี่ทาร์ตเบื่อไปด้วยเหรอวะ แค่คิดก็รู้สึกหัวใจมันลีบๆ แบนๆ ชอบกล

"ก็นั่นสินะ ไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งนาน ปูนอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ความกลัวผีคงไม่เปลี่ยน... มั้ง"
ทิ้งเสียงในปลายประโยคแบบกวนๆ ทำให้ผมถึงกับคิ้วกระตุก ที่แท้พี่ทาร์ตก็จำได้ว่าผมกลัวผีมากแค่ไหน รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจแต่ก็ทำกันได้ลง แบบนี้ไม่เรียกว่าแกล้งแล้วจะเรียกว่าอะไรวะ หงุดหงิด

"ฝากไว้ก่อนเถอะพี่ทาร์ต"
ผมบ่นพึมพำในลำคอแล้วหยิบแก้วโค้กขึ้นมาดูดแรงๆ ด้วยความเจ็บใจ เกือบจะเรอแต่ปิดปากไว้ได้ทัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูพ่ายแพ้ไปซะทุกอย่าง เหนื่อยใจจริงๆ

หนังดำเนินไปอย่างลึกลับและระทึกขวัญ ผมถึงกับต้องถอดรองเท้าแล้วนั่งกอดเข่าตัวเองเอาไว้ ฉากไหนที่ผีโผล่ออกมาจะรีบเอาหน้าซุกขาทันที ไอ้คนข้างๆ ก็อินกับหนังจนไม่สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำ จะแอบลุกไปฉี่ก็ไม่กล้าอีก ชีวิตหนอชีวิต

"นี่..."
ผมเสี่ยงสะกิดแขนพี่ทาร์ตเพราะเริ่มจะทนปวดฉี่ไม่ไหวแล้ว ไม่รู้โรงหนังจะเปิดแอร์แช่แข็งกันไปถึงไหนก็ไม่รู้ เขาหันมามองกันแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

"ปวดฉี่"
ผมบอกเสียงแผ่วและพยายามไม่จ้องจอขนาดยักษ์ตรงหน้า พี่ทาร์ตเอียงคอใส่กันเล็กน้อยเหมือนจะงงว่ามาบอกกันทำไม ลุกไปฉี่ก็สิ้นเรื่องอะไรประมาณนั้น

"ก็ลุกไปสิครับ จะอั้นทำไม"
ว่ากันด้วยเสียงดุๆ จนผมได้แต่คอตก ไม่ได้ตั้งใจจะอั้นฉี่ปะวะ น้อยใจได้ไหมล่ะ ก็รู้ทั้งรู้ว่าผมกลัวผี ถ้าทางไปห้องน้ำมันไม่วังเวงล่ะก็ไม่ต้องมานั่งง้อคนอย่างพี่ทาร์ตหรอก

"ไม่... ไม่กล้าไป ไปเป็นเพื่อนหน่อยได้ปะพี่"
ผมพูดเสียงเบาจนแทบกลืนหายไปกับเสียงหนัง แต่พี่ทาร์ตกลับได้ยินซะอย่างนั้น ดูเหมือนจะตั้งใจฟังกันสุดๆ

"เอางั้นเหรอ กลัวจริงๆ เหรอเนี่ย"
ยังมีหน้าจะมาถามย้ำ ควรง้างมือขึ้นตบกบาลสักทีไหมล่ะ

"เออดิ กลัวจริง เร็วๆ ไปด้วยกันหน่อย ฉี่จะแตกแล้ว"
ผมพูดเร็วๆ ก่อนเอื้อมมือไปเขย่าแขนอีกคนก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จะเอามือกุมเป้าก็กลัวคนอื่นมองแปลกๆ

"โอเคๆ ไปครับ"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วลุกขึ้นจากโซฟาก่อนจะกันมาคว้าข้อมือให้เดินออกไปพร้อมกัน ในขณะนี้ผมไม่ได้สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั่นเลยปล่อยให้เขาทำตามใจ

สุดท้ายผมก็สะบัดมือเขาออกและรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำแบบด่วนๆ ไม่น่ากินน้ำโค้กเข้าไปเยอะเลย ทรมานตัวเองฉิบหาย พอได้ปลดปล่อยก็รู้สึกสบายตัวและไม่อยากกลับเข้าไปในโรงหนังอีกแล้ว แต่พี่ทาร์ตยืนรออยู่น่ะสิ

"พี่ทาร์ต"
ผมเรียกอีกคนที่ยืนพิงกำแพงกดโทรศัพท์เล่นอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้กันโดยไม่มีการล้อเลียนใดๆ อย่างที่ควรจะเป็น

"จะกลับเข้าไปอีกไหม"
เขาถามอย่างรู้ทันซึ่งผมได้แต่รีบส่ายหน้าปฏิเสธ แค่ดูไปครึ่งเรื่องก็เหมือนจะนอนหลับไม่ได้ไปเป็นอาทิตย์แล้ว ขืนทนดูจนจบอาจจะนอนไม่ได้เป็นเดือน

"ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวผมนั่งรอข้างนอก พี่ทาร์ตไปดูให้จบเถอะ"
ผมบอกก่อนจะออกเดินไปตามเส้นทางเก่าเพื่อกลับไปยังโซนโรงหนัง พี่ทาร์ตเดินเคียงข้างกันแบบไหล่เกยไหล่ บางทีก็รู้สึกว่ามันใกล้ชิดเกินไปหรือเปล่านะ

"ขี้เกียจดูแล้วว่ะ ง่วง"
เขาตอบก่อนจะหาวออกมายืนยันคำพูดของตัวเอง ผมว่าไม่จริงหรอกที่เขาจะง่วง ก็เมื่อครู่เห็นนั่งจ้องจอตาไม่กระพริบขนาดนั้น ดูท่าทางก็รู้ว่ากำลังสนุก

"งั้นเหรอครับ"
ผมถามกลับไปแค่นั้นเพราะไม่อยากเซ้าซี้เขามากนัก

"ไปเดินเล่นกันดีกว่า"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วยกแขนขึ้นมาโอบไหล่กัน ผมเหล่มองเขาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ ถ้าเป็นปกติแล้วการใกล้ชิดกันแบบนี้จะทำให้รู้สึกว่าโคตรน่าอึดอัด แต่ครั้งนี้มันกลับตรงกันข้าม ผิดไหมที่จะบอกว่ารู้สึกดี...

แผนกรองเท้ากีฬาเป็นอะไรที่ดึงดูดความสนใจของผมได้เป็นอย่างดี เพราะกำลังอยากได้คู่ใหม่ แต่วันนี้ไม่มีเงินมากพอจะซื้อเลยต้องข่มใจทั้งๆ ที่มองตาละห้อย... แม่นะแม่ลืมให้เงินรายอาทิตย์กับผมไปได้ แล้วไอ้เรื่องงบพาพี่ทาร์ตทัวร์ก็ยังเบี้ยว อยากจะร้องไห้วันละสามรอบจริงๆ

"อยากได้รองเท้าใหม่เหรอ"
พี่ทาร์ตถามขึ้นในขณะที่เรากำลังจะเดินผ่านแผนกขายรองเท้ากีฬาเพื่อจะลงบันไดเลื่อนไปยังชั้นล่าง ผมหันขวับไปมองหน้าเขาด้วยความแปลกใจว่ารู้ได้ยังไง เผลอแสดงความอยากได้ออกไปขนาดนั้นเลยเหรอวะ

"ก็... อยากได้ครับ แต่ตอนนี้มีเงินไม่พอ"
ผมตอบไปตามความจริงแล้วยิ้มแหยๆ ให้กับเขา ที่บ้านเป็นระบบให้ลูกใช้จ่ายเงินสดโดยไม่อนุญาตให้ใช้บัตรเครดิตเพราะจะเคยตัวเกินไป ทำแบบนี้จะได้รู้จักประมาณตนด้วย บัตรเอทีเอ็มโดนป๋ายึดเพราะเป็นช่วงปิดเทอม... โหดร้ายไหมล่ะ

"พี่ซื้อให้"

"ห๊ะ อะไรนะครับ"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงตกใจเพราะไม่แน่ใจว่าฟังผิดไปหรือเปล่า อยู่ๆ จะซื้อของราคาหลายพันให้เนี่ยนะ ไม่ใช่แล้วมั้ง จะเนื่องในโอกาสพิเศษอะไรใกล้ๆ นี้ก็ไม่มีซะด้วย

"เอ่อ พี่ซื้อให้ก่อนไง ปูนได้เงินจากแม่พลอยเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืน"
เขาพูดตะกุกตะกักแล้วเบนสายตาไปมองทางอื่น ท่าทางแปลกๆ จนอยากตั้งคำถามอะไรสักอย่างแต่คิดไม่ออกว่ะ

"อ๋อ ถ้างั้นรบกวนพี่ทาร์ตด้วย"

กลับออกมาจากแผนกด้วยการหิ้วถุงใบโตเพราะบรรจุรองเท้าสองคู่ รุ่นเดียวกันแต่คนละสี คู่หนึ่งของพี่ทาร์ต อีกคู่เป็นของผม ไม่แปลกใจหรอกที่จะซื้อเหมือนกัน ก็มันเป็น New Arrival นี่ ถ้าใส่ไปไหนมาไหนพร้อมกันคงแปลกพิลึก

"พี่ทาร์ตจะไปไหนอีกไหม"
ผมถามในขณะที่เราลงบันไดเลื่อนไปสู่ชั้นล่าง เอาจริงๆ ตอนนี้เริ่มหิวอีกรอบแล้วล่ะ อยากกินขนมหวานๆ อย่างเช่นเค้กอะไรแบบนั้น รู้ว่าพี่ทาร์ตก็ชอบ แต่ขอถามความสมัครใจก่อนแล้วกัน

"อืม... หมายถึงในห้างหรือที่อื่น"
พี่ทาร์ตถามแล้วคว้าถุงรองเท้าจากมือผมไปถือซะเฉยๆ พอทำท่าจะเอากลับก็โดนสายตาดุๆ จ้องมา เอาเป็นว่าเขาอยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำไปก็แล้วกัน

"ในห้างดิ"
ผมบอกกลับไปแล้วมองใบหน้าด้านข้างของพี่ทาร์ต วันนี้เขาหยิบเอาต่างหูกลมๆ สีดำออกมาใส่ยิ่งเพิ่มความแบดเข้าไปอีก ไหนจะเสื้อเชิ้ตสีดำแหวกอกจนแทบถึงสะดือ ดูๆ ไปก็น่าหมั่นไส้ว่ะ

"อ้อ ขี้เกียจเดินแล้ว ปูนล่ะ"
เขาหันมามองกันแล้วเลิกคิ้วเหมือนกำลังรอคำตอบ ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไปเสียงเบาและไม่ยอมสบตาเขา อยากกินอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้

"อยากกินเค้ก..."
พูดออกไปเบาจนแทบเหมือนการกระซิบ แต่พี่ทาร์ตก็ได้ยินเหมือนเคย แถมยังทำหน้าครุ่นคิดแปลกๆ อีกด้วย และไม่นานนักเขาก็บอกมันออกมาให้ผมรับรู้

"เค้กเหรอ... อืม เอางี้ เดี๋ยวเราไปเดินท็อปแล้วซื้อวัตถุดิบไปทำเองดีกว่า ที่บ้านมีอุปกรณ์ทำเบเกอรี่ไหม"
พี่ทาร์ตพูดจบแล้วขยิบตาให้กัน ผมพยักหน้ารับคำของเขาเพราะที่บ้านมีอุปกรณ์ทำเบเกอรี่ของแม่ รู้ว่าคนข้างๆ ทำขนมเก่งแต่ลืมไปแล้วว่ามันอร่อยแค่ไหน...

"เอางั้นเลยเหรอพี่ แต่ผมกินเป็นอย่างเดียวนะ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยักคิ้วกวนๆ ให้เขา พี่ทาร์ตเบ้ปากใส่กันแล้วยกมือหนาผลักหัวผมเบาๆ ขัดใจหน่อยไม่ได้ทำร้ายร่างกายตลอด

"เออๆ เดี๋ยวจะทำให้กินจนเลี่ยนไปเลย"

ผมลากพี่ทาร์ตไปที่ท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ตโซนวัตถุดิบทำเบเกอรี่ เขาหยิบของที่ต้องการด้วยความคล่องแคล่วจนผมที่แอบมองอยู่อดทึ่งไม่ได้

"พี่ทาร์ต..."
ผมเรียกเขาเสียงเบาเพราะไม่อยากรบกวนการเลือกซื้อของ แต่ความอยากรู้ก็มีมากเหลือกเกินว่าพี่ทาร์ตจะทำเมนูอะไรให้กิน อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่แรกว่าเขาเป็นผู้ชายที่เกือบจะเพอร์เฟค ทำอาหารได้ ทำขนมได้ เรียนเก่ง ฐานะดี นิสัยดีพื้นฐานดี ดูแลคนอื่นได้ ยกเว้นเรื่องเดียวคือ... เรื่องผู้หญิง ถ้าวันไนท์สแตนได้ก็ทำ แต่เวลาคบใครก็คบคนเดียวนะ

"หือ มีอะไร"
พี่ทาร์ตชะงักมือที่กำลังจะหยิบถุงไวท์ช็อกโกแลตแล้วหันมามองหน้ากันพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ผมยกมือขึ้นถูท้ายทอยก่อนจะถามเสียงอ้อมแอ้มออกไป

"จะทำอะไรให้ผมกินเหรอ"

"เค้กลาวาชาไทยครับผม"
พี่ทาร์ตตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่สามารถทำให้สาวๆ ละลายไปกองอยู่กับพื้นได้ แต่ผมไม่สะทกสะท้านอะไรหรอกน่า... ที่พูดมาทั้งหมดโกหกนะ เพราะตอนนี้ใจสั่นฉิบหาย ไม่อยากกินเค้กแล้วได้ไหม โดนตามใจหรือเอาใจบ่อยๆ มันก็มีพลั้งเผลอกันบ้าง แย่แน่ๆ

"เอ้อ... น น่ากินเนอะ เดี๋ยวผมขอไปซื้อขนมคบเคี้ยวก่อนนะครับ"
ผมพูดเสียงตะกุกตะกักแล้วหาทางหนีโดยอ้างว่าจะไปซื้อขนมแต่เพิ่งจะได้กันหลังยังไม่ทันก้าวขาไปไหน มืออุ่นๆ ก็คว้าหมับเข้าที่ไหล่เพื่อรั้งกันเอาไว้ ได้แต่ร้องตะโกนในใจว่าปล่อยไม่ได้เหรอ อยู่ตรงนี้นานๆ มันเหนื่อยนะ เหนื่อยที่ต้องมาใจเต้นแรง ไม่อยากหวั่นไหวมากกว่าเดิมอีกแล้ว กลัวว่าสักวันจะชอบเขาในอีกความหมายเข้าให้

"ไปพร้อมกันสิ"
เข้ากระซิบใกล้ๆ แบบสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ผมผละตัวออกแบบเนียนๆ แล้วพยักหน้ารับทั้งๆ ที่ยังหันหลังให้พี่ทาร์ตอยู่ พยายามทำตัวเป็นปกติ เพราะไม่อยากให้เขาจับได้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรนอกลู่นอกทาง

"ที่บ้านมีใบชาไทยไหม"
เขาผละมือออกแล้วตั้งคำถามขึ้นก่อนจะเดินนำผมไปข้างหน้าอย่างชาๆ ใบชาแดงที่พี่ทาร์ตถามถึงนั่นอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ คงต้องถามแม่เอาแล้วล่ะ

"ขอโทรถามแม่นะครับ"
ผมบอกก่อนจะได้รับการพยักหน้าตกลงจากอีกคน มือเรียวล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาต่อสายถึงแม่ผู้บังเกิดเกล้า รอไม่นานนักเธอก็กรอกเสียงใสๆ มา

'สวัสดีค่ะคุณลูกชาย มีอะไรกับแม่หืม ร้อยวันพันปีไม่เคยจะโทรหา'
แม่ว่าด้วยเสียงหยอกล้ออย่างอารมณ์ดี เพราะโดยปกติแล้วผมไม่เคยโทรหาแม่ในเวลางานแบบนี่เลยสักครั้ง ไม่ใช่ว่ากลัวเธอจะยุ่งหรอก แต่ไม่มีอะไรจะคุยมากกว่าก็เจอหน้ากันเช้าเย็นทุกวัน

"โหย แม่อะ ไม่แซวดิครับ พอดีปูนจะถามว่าที่บ้านเรามีใบชาไทยหรือเปล่า"
ผมถามสิ่งที่อยากรู้ออกไปในขณะที่เดินตามพี่ทาร์ตไปต้อยๆ พอเหลียวซ้ายแลขวาถึงได้รู้ว่าพวกเราอยู่ในแผนกครีมอาบน้ำ... มาแถวนี้เพื่ออะไรวะ

'ใบชาไทยเหรอ มีสิ อยู่ที่ห้องครัวในตู้ ลูกจะเอาไปทำอะไรเหรอ'
แม่ถามด้วยน้ำเสียงสงสัย ผมหลุดยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ของที่พี่ทาร์ตต้องการแล้ว

"พี่ทาร์ตจะทำเค้กลาวาชาไทยให้กินครับ"
ผมตอบไปแล้วเหลือบมองพี่ทาร์ตที่กำลังเลือกครีมอาบน้ำโดยการเปิดฝาออกแล้วบีบขวดเบาๆ เพื่อให้กลิ่นมันฟุ้งขึ้นมา ตกลงว่าไม่ชอบกลิ่นสบู่ที่ใช้อยู่สินะ...

'ว้าว บอกพี่ทาร์ตทำเผื่อแม่ด้วยสิ  ไม่ได้กินฝีมือเขามานานม๊าก'
แม่พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นจนผมเผลอหัวเราะออกมา ความคิดเราสองคนเกมือนกันเด๊ะเลยสินะ ไม่ได้กินฝีมือพี่ทาร์ตนานมากจริงๆ

"ได้เลยครับ ผมไม่กวนแม่แล้วนะ ตอนเย็นก็รีบๆ กลับบ้านนะครับ"

'จ้าๆ'

บทสนทนาจบลงพอดีกับพี่ทาร์ตยื่นขวดครีมอาบน้ำยี่ห้อหนึ่งมาให้กัน ผมเลิกคิ้วมองด้วยความงงก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วยื่นมือไปรับมันมา

"คืออะไร"
ผมถามออกไปสั้นๆ แล้วมองขวดครีมอาบน้ำในมือสลับกับหน้าพี่ทาร์ต อีกคนคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมาใกล้กันเล็กน้อย ทำไมชอบลดระยะห่างระหว่างกันบ่อยนักนะ

"ชอบกลิ่นนี้"
เขาบอกกลับมาแค่นั้นแล้วก็เงียบไป ผมยิ่งขมวดคิ้วเพิ่งขึ้นเพราะยิ่งมึนหนักกว่าเก่าอีก ยื่นขวดมาให้แล้วบอกว่าชอบกลิ่นนี้ คือหมายความว่ายังไง

"ตกลงว่าที่บ้านมีชาแดงไหม"
อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องจนผมตามไม่ทัน อะไรของเขาวะ

"มีครับ พี่ทาร์ตอย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องดิ"
ผมพูดรัวๆ เพราะกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนเรื่องไปอีกรอบ ไม่ชอบอะไรค้างๆ คาๆ สักเท่าไหร่เพราะมันน่าอึดอัด

"หืม เปลี่ยนเรื่องอะไรวะ"
พี่ทาร์ตดูจะงงเล็กน้อย เพราะเขาทำหน้าตื่นๆ เหมือนไม่เข้าใจว่าตัวเองไปเปลี่ยนเรื่องตอนไหน

"ก็เรื่องครีมอาบน้ำนี่ไง เอามาให้ผมทำไม"
ยิงคำถามกลับไปอย่างรวดเร็ว อีกคนก็ทำหน้าเหมือนคิดได้ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสดใส

"อ้อ... พี่ชอบกลิ่นนี้ไง อยากให้ปูนใช้เพราะเราอยู่ด้วยกันยี่สิบสี่ชั่วโมง"
เขาตอบเสร็จก็เดินไปจ่ายเงินทันทีโดยทิ้งให้ผมยืนอ้าปากพะงาบๆ เพราะพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว สมองเบลอไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าตอนนี้ต้องรู้สึกยังไง แค่เขาบอกว่าชอบกลิ่นนี้ อยากให้ใช้ ก็ไม่ได้แปลว่าเขาหยอดเราปะวะ ไม่ได้แปลว่าเขาก็หวั่นไหวกับเราหรือเปล่า ปวดหัวเว้ย เลิกคิดแม่ง

ตอนนี้ผมกำลังยืนมองพี่ทาร์ตรื้อชามผสมแก้วออกจากที่เก็บจานเพื่อจะทำเค้กลาวาชาไทยให้กิน เขาเตรียมทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่วจนน่าอิจฉา เคยคิดที่จะเรียนทำอาหารหรือขนมเหมือนกันแต่ไปไม่รอด ดีสุดก็แค่ทอดไข่ดาวกับต้มมาม่า...

"ให้ผมช่วยทำอะไรปะพี่"
ผมเสนอตัวเข้าไปช่วยเพราะจะให้นั่งรอกินอย่างเดียวมันก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ พี่ทาร์ตชะงักมือแล้วเหล่สายตามองกันก่อนจะขำออกมาเล็กน้อย

"แน่ใจว่าจะช่วยไม่ใช่ทำลาย"
พี่ทาร์ตว่าติดตลกแต่ก็ส่งเนยจืดที่ยังเป็นก้อนมาให้กันพร้อมกับถ้วยที่สามารถเข้าไมโครเวฟได้

"ใครจะทำลายครัวบ้านตัวเองล่ะพี่ แล้วนี่ต้องทำยังไงบ้าง"
ผมถามก่อนจะแกะห่อเนยจืดออกทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาให้ทำอะไร ตาก็มองอีกคนอย่างรอคำตอบ รายนั้นเขากำลังจัดการกับชาไทยอยู่ คงจะเอานมร้อนใส่แล้วชงแบบปกติ

"เอาเนยใส่ถ้วยแล้วเอาไปใส่ไมโครเวฟ"
พี่ทาร์ตบอกโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองกัน ผมพยักหน้ารับก่อนจะแกะเนยจืดใส่ลงในถ้วยแล้วเอาเข้าไมโครเวฟตามที่อีกคนบอก กะเวลาไว้ประมาณครึ่งถึงหนึ่งนาที ก็จะได้เนยละลายเหลวๆ

"ให้ช่วยทำอะไรต่อดี"
ผมยกถ้วยเนยจืดละลายมาตั้งไว้บนเค้าน์เตอร์เหมือนเดิมก่อนจะเริ่มมองหาสิ่งที่ตัวเองน่าจะทำได้ต่อไป พี่ทาร์ตยกชามผสมใบใหญ่มาให้พร้อมกับตะกร้าที่ใส่ไข่ไก่ประมาณหกฟอง

"ตอกไข่สามฟองลงในชาม ส่วนอีกสามฟองแยกไข่ขาวออกเอาแต่ไข่แดงใส่ลงไป"

"เอ่อ... แยกยังไงครับ"
ผมถามด้วยความงง เพราะไม่รู้วิธีการแยกไข่แดงกับไข่ขาวออกจากกัน ก็เคยเห็นจากรายการทำอาหารอยู่บ้าง แต่ไม่กล้าลอง กลัวจะเสียหายและกลายเป็นนักทำลายอย่างที่พี่ทาร์ตว่า

"งั้นเอามาให้พี่ทำ ส่วนปูนไปเตรียมพิมพ์ขนมแล้วกัน เอาเนยทาให้ทั่วแล้วโรยน้ำตาลบางๆ"
พี่ทาร์ตยกชามผสมกลับไปพร้อมกับตะกร้าไข่ไก่แล้วลงมือทำส่วนของตัวเอง ผมแอบลอบมองเขาก่อนจะอมยิ้ม ดูท่าทางเขาตอนนี้แล้วช่างเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์เหลือเกิน ชักไม่อยากให้เขาไปจีบใครแล้วสิ อกหักต่อไปยาวๆ ได้ไหม คนที่อยู่ข้างๆ จะได้เป็นผม... ตอนนี้ควรจะเลิกฟุ้งซ่านแล้วกลับมาสนใจขนมมากกว่าเนอะ

ผมเตรียมพิมพ์เสร็จในเวลาถัดมา พี่ทาร์ตก็ผสมทุกอย่างเรียบร้อยพร้อมจะเทใส่พิมพ์เอาเข้าเตาอบแล้ว สีสันของมันเป็นสีส้มเหมือนน้ำชานมที่เราซื้อดื่มกันทั่วไป มีความหอมเตะจมูกจนทำให้ต้องกลืนน้ำลาย อยากกินแล้ว...

"เดี๋ยวปูนตักเนื้อเค้กใส่พิมพ์ประมาณสามส่วนสี่นะ พี่จะไปวอร์มเตาอบ"
เขาพูดจบก็เดินไปทางเตาอบที่นานๆ ครั้งจะได้ใช้เพราะแม่ทำแต่อาหารง่ายๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าขี้เกียจ ส่วนน้านวลก็ไม่ถนัดใช้เตาอบเหมือนกัน บ่นว่ามันซับซ้อนวุ่นวายอยู่บ่อยๆ

ผมตัดเนื้อเค้กใส่พิมพ์หกอันแล้วยืนรอจนพี่ทาร์ตบอกว่าให้ยกไปใส่เตาได้ หลังจากนั้นเขาก็ตั้งเวลาอบประมาณสิบห้านาทีก่อนจะผละตัวออกมาเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ไปล้าง

"ผมช่วยๆ"
ผมรีบเข้าไปช่วยพี่ทาร์ตเก็บทันที แต่โดนเขาส่ายหัวให้กัน

"ไม่ต้อง ของแค่นี้พี่เก็บเองได้ ปูนไปนั่งรอเถอะ"
เขาบอกก่อนจะคลี่ยิ้มให้กันแล้วเก็บทุกอย่างไปล้างด้วยตัวเอง จริงๆ ก็แอบคิดอยู่ว่าพี่ทาร์ตอาจจะจำได้ว่าน้องชายคนนี้แพ้น้ำยาล้างจานหรือเปล่าเลยสั่งห้าม แต่ดูๆ ไป อุปกรณ์มันก็น้อยจริงๆ นั่นล่ะ... เผลอดีใจอะไรที่มโนขึ้นมาเองอีกแล้ว

เผลอนั่งมองแผ่นหลังกว้างซะเพลินเลยสะดุ้งกับเสียงริงโทนโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ตอนแรกนึกว่าเป็นของพี่ทาร์ต แต่เปล่าเลย...

"ยอโบเซโย"
ผมทักทายไอ้ไนน์ที่โทรมาหากันด้วยภาษาเกาหลี พอปิดเทอมก็ไม่ค่อยได้ใช้กลัวจะลืมซะก่อน ต้องฟื้นความจำกันหน่อย

'ฉันกลับมาแล้วนะเว้ยปูน แกว่างเข้ามาเอาของฝากที่บ้านปะ'
เสียงใสๆ พูดด้วยความร่าเริง เดาไม่ยากว่ามันคงกำลังรื้อของที่ซื้อมาจากเกาหลีอยู่แน่ๆ เผลอๆ ไอ้จองฮันก็ช่วยด้วย

"วันไหน"
ผมถามกลับไปสั้นๆ แล้วมองคนที่กำลังเดินเข้ามาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ริมฝีปากหยักเอ่ยถามแบบไม่มีเสียงว่า 'ใคร' ผมเลยตอบกลับแบบเดียวกันว่า 'เพื่อน' พอได้คำตอบไปหัวคิ้วก็ย่นเข้าหากันแทบทันที อยากบอกนะว่า....

"ไอ้กู๊ดเหรอ"
ถามกลับมาเสียงเบาแต่มันแข็งกร้าวจนผมเผลอใจกระตุก ไม่ใช่ว่าอาการหวงน้องกำเริบอีกแล้วนะ นี่ก็ลืมถามไอ้กู๊ดไปว่าเผลอพูดอะไรสองแง่สองง่ามบ้างหรือเปล่า เพราะคำถามของพี่ทาร์ตมันทำให้ฉุกคิด 'กู๊ดชอบปูนหรือเปล่า'

'วันนี้ดิ'
ไนน์พูดอะไรมาผมไม่ได้สนใจฟังเลย




ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 5 -P.2- (24/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 24-03-2017 19:28:40
"ไม่ใช่ๆ ไอ้ไนน์ ผู้หญิง"
ผมผละโทรศัพท์ออกห่างแล้วตอบพี่ทาร์ตกลับไปด้วยเสียงกระซิบ ถ้าไม่รีบบอกกลัวว่าเดี๋ยวโทรศัพท์จะปลิวซะก่อน

"อ๋อ"
เขาครางรับแต่นั้นแล้วปล่อยให้ผมคุยโทรศัพท์ต่อ

'ไอ้ปูน แกฟังอยู่ปะเนี่ย ทำไมเงียบ'
ไอ้ไนน์ขึ้นเสียงใส่กัน สงสัยจะรอผมตอบอยู่ล่ะมั้ง แต่ก่อนหน้านี่มันพูดอะไรออกมาวะ ไม่ได้ฟังอะไรเลยเพราะกลัวพี่ทาร์ตจะฟาดงวงฟาดงา

"หา แกว่าอะไรนะ ขอใหม่อีกรอบ"
ผมถามย้ำ

'ฉันบอกว่าวันนี้ให้แกเข้ามาเอาของฝาก'

"อ๋อ... ไม่ว่างว่ะ แกค่อยเอามาให้ตอนเปิดเทอมเลยแล้วกัน"
ผมบอกปัดๆ ไป ถ้าขืนบอกว่าขี้เกียจไปหามันเดี๋ยวจะโดนด่ายาวๆ

'คนอยากแกมีธุระด้วยเหรอ หรือว่าแอบมีแฟนแล้วไม่บอกเพื่อน!'
เสียงแสบแก้วหูฉิบหาย แล้วเพ้อเจ้อเรื่องอะไรของมันอยู่วะนั่น!

"จะบ้าเหรอไงวะ ไม่มีเว้ย เพ้อเจ้อแล้ว ค่อยเอาไปให้วันเปิดเทอมนั่นล่ะ"
ผมพูดรัวๆ โดยไม่ได้มองพี่ทาร์ต และเขาก็ไม่ได้สนใจทางนี้ด้วยเพราะเอาแต่นั่งกดโทรศัพท์คล้ายว่าจะเล่นเกมอยู่ สีหน้าโคตรจริงจังอีกด้วย

'เออๆ ไม่คุยกับแกละ แค่นี้แหละ'
คิดจะโทรก็โทร คิดจะวางก็วาง... ประเสริฐที่สุดแล้วคุณหญิงไนน์

พี่ทาร์ตลุกขึ้นไปดูเตาอบว่าขนมได้ที่หรือยัง ส่วนผมก็นั่งชะเง้อคออยู่ที่เดิมเพราะไม่อยากเข้าไปเกะกะ ไม่ถึงห้านาทีเขาก็เค้กลาวาชาไทยหอมๆ ก็เลื่อนมาวางตรงหน้า

"เอ้า ชิมดิว่าอร่อยหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตส่งช้อนมาให้ตรงหน้าก่อนจะยักคิ้วให้กัน ผมยื่นมือไปรับแล้วค่อยๆ บรรจงตัดเค้กช้าๆ เนื้อลาวาสีส้มไหลออกมาดูน่ากินมาก แถมกลิ่นชายังลอยตลบอบอวลอีกด้วย น้ำลายจะไหลว่ะ แต่ดูท่าทางมันยังร้อนอยู่เลย

"ระวังร้อนด้วย เอานมสักแก้วปะ"
พี่ทาร์ตใช้แขนค้ำโต๊ะแล้วโน้มตัวลงมาถามใกล้ๆ ผมที่ยังสนใจขนมไม่เลิกเลยพยักหน้ารับไป

ผมวางช้อนลงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเค้กเพื่ออัพลงไอจี ก็อีกคนจัดจานซะสวยแบบมืออาชีพเลยต้องอวดกันหน่อย

"ขอบคุณครับ"
ผมเอ่ยขอบคุณแล้ววางโทรศัพท์ลงและตักเค้กขึ้นมาหนึ่งคำก่อนจะเป่าแล้วเอาเข้าปาก ความนุ่มละมุนลิ้น ความหวานที่กลมกล่อมและกลิ่นชาที่แผ่กระจายนั้นเป็นตัวบ่งบอกได้อย่างดีว่ามันอร่อยแค่ไหน รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากอย่างพอใจก่อนจะเงยหน้าเพื่อบอกพี่ทาร์ตถึงฝีมือของเขา แต่ต้องชะงักเมื่อใบหน้าหล่อๆ นั่นอยู่ห่างกันแค่คืบเดียว ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขาจะอยู่ใกล้กันขนาดนี้

"เอ่อ..."
ผมผละตัวออกช้าๆ แล้วเบนสายตาไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว การที่เขาเข้ามาใกล้ในระยะประชิดแบบไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้มันทำให้หัวใจเต้นแรงจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกมาจากอก พี่ทาร์ตขยับตัวยืนตรงแล้วเกาหัวแก้เก้อก่อนจะเดินหนีไปเอานมใส่แก้วมาให้กัน บรรยากาศแปลกๆ จนไม่กล้าพูดอะไรออกไป

นมสดสีขาวนวลถูกวางลงตรงหน้าก่อนที่พี่ทาร์ตจะขอตัวขึ้นไปอาบน้ำเพราะร้อนจนเหนียวตัวไปหมด ผมพยักหน้ารับรู้แล้วก้มหน้าก้มตากินเค้กต่อไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ภาพใบหน้าหล่อๆ ที่อยู่ห่างแค่คืบเมื่อครู่ยังไม่จางหายไป ดวงตาคมในตอนนั้นสั่นไหวเล็กน้อยหรือเปล่านะ...

หลังจากฟาดเค้กลาวาชาไทยจนหมดผมก็เก็บจานไปล้างและกลับมานั่งอัพรูปขนมลงไอจีโดยแท็กไปหาพี่ทาร์ต แล้วพิมพ์แคปชั่นว่า 'อร่อยโดยไม่ต้องเสียเงิน เพราะมีคนทำให้กิน'

ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงที่ผมย้ายตัวมานั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น เหลือบไปมองทางบันไดก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าทาร์ตจะเดินลงมาจากห้องจนน่าแปลกใจ ไม่ใช่ว่าอาบน้ำเสร็จก็นอนหลับงั้นเหรอ... หรือจะหนีหน้ากันเพราะเหตุการณ์น่าอึดอัดเมื่อครู่ มันควรสลับกันหรือเปล่า ก็เขาเป็นคนเข้ามาใกล้ผมเองนี่

"ปูน ชะเง้อมองอะไรลูก"
เสียงหวานๆ ของแม่ดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว ด้วยความที่คิดอะไรเพลินๆ เลยไม่ได้ยินเสียงรถเข้ามาจอดในบ้าน

"ตกใจหมดเลยแม่"
ผมหันไปบอกเสียงตื่นๆ แล้วตรงเข้าไปช่วยแม่ถือกระเป๋า เธอเหล่สายตามองกันก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วใช้มือเรียวขยี้หัวกันจนยุ่งเหยิงไปหมด

"ขวัญอ่อนจังเลยนะพ่อลูกชาย"

"นิดหน่อยครับ วันนี้เหนื่อยหรือเปล่า"

"ปกติน่า แล้วนี่พี่ทาร์ตไปไหน"
แม่ถามก่อนจะสอดส่ายสายตามองหาผู้ร่วมอาศัยอีกคน ผมเหลือบไปมองทางบันได้อีกครั้งก่อนจะชี้มือไปเป็นการบอกตำแหน่ง

"บอกว่าจะไปอาบน้ำตอนห้าโมงกว่าๆ ตอนนี้จะทุ่มแล้วยังไม่ลงมาเลยแม่ ตกส้วมตายไปหรือยังก็ไม่รู้"
ผมว่าด้วยเสียงเซ็งๆ แล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ แม่ อยากจะขึ้นไปดูอยู่หรอกว่าหมกตัวทำอะไรอยู่ในห้องแต่ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง ก็ไอ้อาการขัดเขินยังหลงเหลืออยู่เหมือนเดิมน่ะสิ เธอขมวดคิ้วมองกันแล้วใช้นิ้วดีดหน้าผากผม

"โอย แม่ดีดหน้าผากปูนทำไม"
ผมยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ ก่อนจะมองหน้าแม่ด้วยความสงสัย อยู่ๆ ก็ทำร้ายร่างกายกันเพื่ออะไรเนี่ย

"รู้ว่าพี่เขาหายไปนานแล้วทำไมไม่ขึ้นไปดูล่ะปูน ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง"

"ก็..."
พูดไม่ออกได้แต่ยิ้มแหยๆ ส่งไปให้ จะบอกแม่ได้ยังไงว่าผมเผลอหวั่นไหวกับลูกรักของเขาล่ะ... มีหวังโดนสอบสวนยาวแน่ๆ

"เอ้า ยังนั่งอยู่อีก รีบๆ ขึ้นไปดูพี่เขาเลย เดี๋ยวแม่จะไปอาบน้ำแล้วทำกับข้าวรอ"
แม่ตีขาผมแล้วเร่งให้ลุกขึ้นไปดูลูกชายสุดที่รักของเขา

"โอเคครับๆ ขอพะโล้ไก่ใส่ไข่นะแม่!"
ผมตอบไล่หลังแม่ที่เดินหายเข้าไปในห้องครัวก่อนจะแยกไปขึ้นบันไดเพื่อไปดูพี่ทาร์ตบ้าง แต่ประตูยิ่งใกล้เท่าไหร่หัวใจผมก็ยิ่งเต้นแรงจนน่ากลัว ควรจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วยืนทำสมาธิก่อนหรือเปล่านะ แต่ความคิดกลับแตกกระจายเมื่อคนในห้องโผล่ออกมา เขาดูตกใจแต่แค่แว็บเดียวเท่านั้นก็กลับไปเป็นปกติ

"มาตามพี่เหรอ"
เขาถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ ท่วงท่าที่ยืนใช้มือค้ำประตูดูแล้วโคตรน่าหมั่นไส้ แต่ผมพยายามไม่สนใจ

"ก็ประมาณนั้น หลับเหรอ"
ผมถามเขาแต่สายตากลับกรอกไปโฟกัสทางอื่น ตอนนี้เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างของพี่ทาร์ตมันมีอิทธิพลต่อหัวใจของผมเกินไปจนไม่กล้ามองเขาตรงๆ หวั่นไหวจนน่ากลัว รู้ว่ายิ่งใกล้ยิ่งถลำลึกแต่ไม่อยากถอนตัว พี่ทาร์ตทำหน้าฉงนสงสัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะร้องขึ้นมาอย่างคนนึกได้

"อ้อ... ใช่ๆ อาบน้ำเสร็จก็เผลอหลับไปเลย โทษทีนะ"
พี่ทาร์ตตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเล็กน้อย แต่ดูยังไงก็ให้ความรู้สึกแปลกเหมือนไม่จริงใจ และอาจจะรวมไปถึงการโกหกด้วย แต่ผมขี้เกียจจะเซ้าซี้อะไรเลยปล่อยๆ ไป

"อื้อ ลงไปกินข้าวเย็นกัน"
ผมบอกก่อนจะเดินนำเขาลงบันไดไปชั้นล่าง

"ครับๆ"

วันนี้ก็จบลงพร้อมกับความสับสนในใจของผมเหมือนเดิม ยอมรับแบบไม่อายว่าเริ่มหวั่นไหวกับการกระทำสองแง่สองง่ามของพี่ทาร์ต ทั้งๆ ที่กลัวว่ามันจะกลายเป็นความชอบแต่กลับไม่อยากให้เขาห่างออกไป จะให้คุยให้ปรึกษากับใครก็ทำไม่ได้ คงต้องเก็บทุกความรู้สึกเอาไว้จนกว่าจะทนไม่ไหวเข้าสักวัน





------------------------------------------------------

ตอนที่ 5 มาแล้วเนอะ ฮุฮิ น้องปูนหวั่นไหวแล้ว พี่ทาร์ตล่ะเอาไงดี?
รีบๆ คิดนะยู เดี๋ยวคนอื่นจะคาบไปแ_กซะก่อน
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 5 -P.2- (24/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-03-2017 23:11:04
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 6 -P.2- (27/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 27-03-2017 20:53:20
(http://i.imgur.com/JBGWdWv.png)


สูตรที่ 6

Strawberry Pavlova
: ไข่ขาว/น้ำตาล/วิปปิ้งครีม/สตรอเบอร์รี่/สีผสมอาหาร :




'คืนนี้ไปกินเหล้ากัน'

คำชวนจากปากพี่ชายข้างบ้านยังคงตกค้างอยู่ในโสตประสาทการได้ยิน ไม่รู้ว่าอยู่ๆ เกิดคึกอะไรมาชวนกันไปกินเหล้าแบบนี้ จะบอกว่าเพราะคิดถึงแฟนเก่าก็คงไม่ใช่ เพราะเขายืนยัน นั่งยัน และนอนยันแล้วว่าหมดใจกับพี่เจนจริงๆ และสามารถทำใจได้แล้ว ผมยังคิดว่ามันเร็วเกินไปแต่พอได้รับคำยืนยันจากไอ้ฟ่อนด้วยเลยเชื่อสนิทใจ

ท่าทีกระอักกระอวนระหว่างกันยังคงมีให้เจอเป็นระยะๆ รู้สึกเหมือนมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกได้ ตัวผมเองคือหวั่นไหว ตัวพี่ทาร์ตคือความสั่นไหวในดวงตา หรือเราทั้งคู่กำลังอยู่ในสภาวะต้องทำความเข้าใจหัวใจตัวเองหรือเปล่านะ

ผมนั่งทอดสายตามองต้นไม้สีเขียวในสวนไปเรื่อยๆ อากาศวันนี้ไม่ได้ร้อนสักเท่าไหร่นักเพราะเมื่อคืนฝนเพิ่งตกไปหมาดๆ Macbook เครื่องเก่งที่หิ้วติดมือมาด้วยกำลังบรรเลงเพลงในลิสต์แบบสุ่ม กะว่าจะออกมานั่งทำงานที่ต้องส่งตอนเปิดเทอมแต่ดันไม่มีอารมณ์ซะอย่างนั้น จะให้นั่งทบทวนภาษาเกาหลีก็ขี้เกียจ... เฮ้อ

"ไหนบอกจะทำงานไง"
เสียงทุ้มถามขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของพี่ทาร์ตที่ถือจานขนมอบจากเตาร้อนๆ ติดมือมาด้วย ผมของกินด้วยดวงตาเป็นประกายจนอีกคนใช้นิ้วเคาะหน้าผากกันเบาๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา

"งานก็ไม่ทำ ยังจะตะกละอีกนะ"
เขาวางจานขนมลงแล้วทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ กัน ผมไม่สนใจคำว่ากล่าวนั่นแล้วเอื้อมมือไปหยิบของกินขึ้นมาพิจารณา หน้าตาดีนะ แต่มันเรียกว่าอะไรหว่า ไม่เห็นจะรู้จักเลย

"มันเรียกว่าอะไรครับ"
ผมถามแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเพื่อจะอัพลงไอจีเหมือนเคย พี่ทาร์ตมองกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบขนมขึ้นมาแล้วบอกชื่อของมัน

"Strawberry Pavlova"
สำเนียงภาษาอังกฤษดีจนน่าอิจฉา ชื่อขนมที่เขาบอกมาทำให้ผมฉงนเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ถามกลับไป เอาเป็นว่าลองกินเลยก็แล้วกัน

ลองกัดเข้าไปคำแรกก็พบว่ารสชาติและเนื้อสัมผัสของขนมตัวนี้เหมือนกับ Meringue ไม่มีผิด หวานแต่ไม่มาก กรอบนอกด้านในนุ่มนิ่มคล้ายมาชเมลโล่ตัดกับรสชาติเปรี้ยวๆ ของสตรอเบอร์รี่ด้วยแล้วมันอร่อยแบบบรรยายไม่ถูกเลยทีเดียว รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของผมก่อนจะเงยหน้ามองอีกคนที่มองกันอยู่แล้ว... โดนจ้องมานานเท่าไหร่แล้วนะเรา

"อร่อยไหม หวานไปหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตถามก่อนจะส่งขนมเข้าปากไปอีกชิ้น เขาดูมีความสุขเวลาได้กินของหวานๆ เสมอ ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบเพราะมันได้รสชาติหวานกำลังพอดีนั่นเอง

"หวานกำลังดีเลยพี่ อร่อยมากครับ"
ผมตอบกลับไปแล้วยิ้มให้เขาก่อนจะหยิบขนมเข้าปากอีกชิ้น ตอนนี้ขอลืมเรื่องงานไปก่อนแล้วกัน ยังไงการกินก็สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด

"ดีใจที่ปูนชอบ"
พี่ทาร์ตตอบกลับมาโดยไม่มองหน้ากันแล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมต้องใช้ทำงานไปเปิดอ่าน หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแทบจะทันทีเมื่อสายตาปะทะเข้ากับตัวอักษรในนั้น ก็มันเป็นภาษาเกาหลีปะปนกับภาษาอังกฤษ

"เรียนภาษาเกาหลีเหรอ"
พี่ทาร์ตถามทั้งๆ ที่สายตายังคงไล่อ่านตัวอักษรภาษาอังกฤษในส่วนบรรยายการใช้ไวยากรณ์และอธิบายหลักการต่างๆ หนังสือที่เขาถืออยู่คือ Korean Grammar in Use : Beginning ที่ผมซื้อมาประกอบการเรียนของตัวเอง

"อือ ก็เรียนเอกเกาหลีไง เคยบอกพี่ทาร์ตไปครั้งนึง"
ผมตอบแล้วเหลือบมองเขาเป็นระยะ หวังว่าเขาจะพอนึกอะไรออกบ้าง แต่ทำใจไว้แล้วล่ะ เพราะเข้าใจว่ามันไม่ได้สำคัญกับชีวิตของพี่ทาร์ตสักเท่าไหร่

"อ๋อ โทษที จำไม่ได้ว่ะ"
พี่ทาร์ตตอบกลับมาก่อนจะวางหนังสือไว้ที่เดิมแล้วหยิบขนมชิ้นสุดท้ายใส่ปาก ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงออกว่ารู้สึกขอโทษแต่อย่างใด เอาเถอะ ชีวิตของเขามีอะไรให้น่าจดจำมากกว่าเรื่องนี้เยอะแยะ

"อืม ~ หิวน้ำจัง"
ผมพูดขึ้นลอยๆ แล้วหยิบหนังสือไวยากรณ์ภาษาเกาหลีมาเปิดออกเพื่อจะทำงานที่ค้างไว้ตั้งแต่เมื่อช่วงเช้า ไม่รู้อาจารย์นึกคึกอะไรให้เขียนสรุปเนื้อหาที่ได้เรียนผ่านมาในเทอมที่แล้ว

"เดี๋ยวพี่ไปเอามาให้"
พี่ทาร์ตเสนอตัวก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้านแบบเงียบๆ ผมละสายตาจากตัวหนังสือก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ทำไมรู้สึกเหมือนคนอยากจะร้องไห้ตอนเขาบอกว่าจำไม่ได้เรื่องเรียนวะ... แบบนี้มันมากกว่าหวั่นไหวแล้วหรือเปล่านะ

ผมกางหนังสือไว้แบบนั้นแล้วเบนสายตามองไปรอบๆ สวนเผื่อว่าความคิดฟุ่งซ่านจะจางหายไป แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเพราะสมองยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องพี่ทาร์ตไม่จบไม่สิ้น ยกมือขึ้นเกาหัวจนยุ่งเหยิงด้วยความหงุดหงิดก่อนจะลุกพรวดไปหยิบสายยางมารดน้ำต้นไม้

"เฮ้ย... อยู่ๆ ก็เปลี่ยนไปรดน้ำต้นไม้ เป็นอะไรหรือเปล่า แล้วงานมันจะเสร็จไหมวะวันนี้"
พี่ทาร์ตที่ยืนพิงกรอบประตูกระจกเอ่ยถามกันขึ้น ใบหน้าหล่อๆ ดูไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ ก็เขานะเป็นพวกเคร่งกับเรื่องเรียนจะตายไป ในมือหนามีแก้วน้ำเปล่าที่ขึ้นไอเย็นบางๆ หิวน้ำ... แต่ไม่อยากเดินไปหาเพราะยังรู้สึกเหมือนอยากร้องไห้อยู่เลย ทำไมเป็นคนขี้น้อยใจขี้แยแบบนี้วะเรา

"เหลือเวลาอีกหลายวันน่าพี่ทาร์ต อย่าดุแทนป๋าดิ"
ผมมุ่ยหน้าใส่เขาแล้วขยับตัวไปรดน้ำดอกกุหลาบที่อยู่ถัดออกไป ไม่รู้จะกลบเกลื่อนอาการบ้าๆ นี้ได้อย่างไร ตอนนี้คงทำได้แค่หันหลังปิดบังทุกอย่างเท่านั้น เรื่องหัวใจมันยากจะเข้าใจจริงๆ เมื่อหวั่นไหวไปแล้วเพศก็กลายเป็นเรื่องที่สามารถมองข้ามกันได้สบายๆ

"ตามใจ ทำไม่ทันขึ้นมาอย่าบ่นนะปูน แล้วนั่นวางสายยางก่อนได้ไหม หิวน้ำไม่ใช่หรือไง"
พี่ทาร์ตเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวเดิมแล้ววางแก้วน้ำทั้งสองใบไว้ ผมเหลียวมองเขาเล็กน้อยก่อนจะกลับไปสนใจการรดน้ำต้นไม้เหมือนกับว่ามันสำคัญนักหนา ถ้าปล่อยปะละเลยแค่วินาทีเดียวดอกไม้อาจจะเหี่ยวตายอะไรประมาณนั้น

"ปูน... หรือต้องให้พี่เดินไปป้อนวะ"
เสียงแข็งใส่กันเพื่ออะไรวะ แค่ไม่ยอมวางสายยางแค่นี้ต้องโมโหด้วยหรือไง อารมณ์แปรปรวนเหรอ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายใส่กันเนี่ย

"เดี๋ยวเดินไปกินเองครับ"
ตอบกลับไปแบบนั้นแล้ววางสายยางลงก่อนจะเดินไปปิดก๊อกน้ำ ถ้าขัดใจเขาไปมากกว่านี้อาจจะโดนทำโทษอะไรสักอย่าง

ผมหย่อนตัวลงแล้วหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหาย เมื่อครู่ไม่ได้สนใจเลยว่าแดดร้อนมากขนาดไหน เพิ่งมารู้เดี๋ยวนี้เองว่าเหงื่อออกตามไรผมเต็มไปหมด

"หาเรื่องว่ะ มาคึกรดน้ำต้นไม้อะไรตอนเที่ยง"
พี่ทาร์ตบ่นงุ้งงิ้งแต่ก็ยื่นกระดาษทิชชู่มาให้กัน ผมไม่ได้รับมาในทันทีเพราะยังถือแก้วน้ำค้างอยู่ คนตรงหน้าคงรู้สึกว่าชักช้าเกินไปเลยลงมือเช็ดหน้าให้กันซะอย่างนั้น

"เฮ้ย เดี๋ยวเช็ดเองก็ได้ครับพี่"
ผมรีบวางแก้วน้ำแล้วผละตัวออกทันที พี่ทาร์ตชักสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมดึงมือกลับไปแล้วผลักกล่องทิชชู่มาให้กัน ดูเหมือนเขาทำตัวงุ่นง่านชอบกล ไม่แกล้งกันเหมือนเมื่อหลายวันก่อนแต่จะดุมากกว่า นิสัยเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเป็นไบโพล่าแน่ๆ

"คืนนี้จะไปกินเหล้าร้านไหนดีครับ ผมไม่ค่อยถนัดด้วยดิ"
ผมเช็ดหน้าพลางถามพี่ทาร์ตไปพลาง เขาขมวดคิ้วแน่นแล้วถลึงตาใส่กันเหมือนกำลังโกรธ เออ... ลืมไปว่าอีกคนเพิ่งกลับจากอเมริกานี่หว่า หาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วไหมล่ะกู

"อย่าถามพี่สิเว้ย"

"อ่า... งั้นผมโทรถามไอ้กู๊ดแป็ปนะ มันชอบไปนั่งชิลล์บ่อยๆ"
ผมวางทิชชู่ในมือลงก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือแต่ช้ากว่าอีกคนที่คว้ามันไปซะแล้ว

"อ่าว... เอามือถือผมไปทำไมอะ"
ผมถามด้วยความงุนงงและเอียงคอเล็กน้อยเพราะไม่เข้าใจว่าอีกคนจะหยิบโทรศัพท์ไปทำไม จะบอกว่าเอาไปเล่นตอนนี้ก็คงไม่ใช่ บอกไปว่าจะใช้อยู่หยกๆ นี่นา

"ไม่ต้องโทรถามมันหรอกน่า หาข้อมูลจากในเน็ตเอาก็ได้"
พี่ทาร์ตพูดก่อนจะโบกมือไปมาแล้วเนียนหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อของตัวเองไปซะอย่างนั้น ถ้าผมเป็นผู้หญิงจะคิดว่าเขากำลังหึงแล้วนะ พูดถึงไอ้กู๊ดเมื่อไหร่ออกอาการแบบนี้ทุกที

"โอเค ตามนั้นครับ"

สุดท้ายแล้วร้าน Sound ก็เป็นสถานที่ลงเอยของการกินเหล้าในคืนนี้ มันตั้งอยู่แถวๆ วงเวียนม้าน้ำ จากการหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต หลายๆ คนบอกว่า บริการดี ดีเจเก่ง เปิดเพลงแนว EDM ซึ่งผมไม่รู้จักแต่อาจจะเคยฟังแต่เรียกไม่ถูก ที่สำคัญคือพนักงานเสิร์ฟหน้าตาดีโดยเฉพาะผู้ชาย... เชื่อสิว่าสาวๆ คงเยอะน่าดู

"พี่ทาร์ต ผมหิวข้าว"
ผมส่งเสียงอ้อนๆ ไปให้คนที่กำลังนั่งดูหนังทางช่องทรูแบบเอาเป็นเอาตายมาสักพักโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลยแม้แต่นิด มีแค่บางครั้งที่เขาจะเหลือบมองกัน บางครั้งก็ดุ บางครั้งก็เฉยเมย บางครั้งก็ดูเหมือนจะหึงจะหวงกัน ตกลงแล้วมันคืออะไร หรือผมคิดมากไปเอง

พี่ทาร์ตชะงักมือที่หยิบปลาเส้นเข้าปากแล้วหันมามองกันเล็กน้อย ผมส่งสายตาอ้อนๆ ไปให้เขาอย่างจริงจัง ก็เมื่อเที่ยงกินไปแค่มาม่ารสเผ็ดเอง

"อยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวไปทำให้ครับ"
เขาเอื้อมมือไปหยิบรีโมททีวีขึ้นมากดปุ่มปิดแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะบิดขี้เกียจไปมา ผมเอียงคอเล็กน้อยเมื่อต้องใช้ความคิดว่าตัวเองอยากกินอะไร รู้ว่าหิวแต่คิดเมนูไม่ออก นี่มันปัญหาโลกแตกระดับชาติเลยนะ

"ไก่ทอด... คิดไม่ออกว่ะพี่ ช่วยคิดหน่อย"
ผมช้อนตามองอีกคนแล้วยกขาขึ้นจัดสมาธิบนโซฟา โยกตัวไปมาเล็กน้อยเหมือนเด็กๆ เวลาคิดอะไรไม่ออกแล้วจะเป็นแบบนี้ตลอด

"หิวก็คิดดิ พี่กินได้ทั้งนั้นล่ะ"
พี่ทาร์ตปรายหางตามองกันเพียงเท่านั้นก่อนจะก้มลงดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่มีแสงสว่างวาบขึ้นมา ผมเหลือบไปเห็นพอดีว่าไอ้ฟ่อนโทรเข้า แต่เขาไม่ยอมรับและปล่อยให้ดับไปเอง

"ผมตามใจพี่ทาร์ต"
ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ปกติก็ไม่ใช่คนกินยากสักเท่าไหร่ มีคนทำให้ก็กินทั้งนั้นล่ะ

"แน่นะ"
พี่ทาร์ตเหล่ตามองกันอีกครั้ง ซึ่งผมก็พยักหน้ารัวๆ กลับไป

"แน่ครับผม"
ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเพราะตอนนี้ท้องกำลังร้องโครกครากจนน่าอาย ขืนให้มานั่งคิดว่าอยากกินอะไรคงไส้ขาดพอดี

"แล้วถ้าพี่บอกว่าพี่อยากกิน..."
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาราวกับกระซิบแถมปลายประโยคยังแหบพร่าจนน่าขนลุก ผมขยับตัวจนชิดกับขอบโซฟา ไม่กลัวที่จะตกลงไปสักนิดเพราะเขาดูน่าอันตรายกว่าเยอะ ดวงตาคมเป็นประกายที่มองมามันหมายความว่ายังไง

"....."

"ถ้าพี่อยากกินปูนล่ะ จะยอมตามใจเหมือนเดิมไหม"
ที่ทาร์ตปล่อยให้ประโยคสุดท้ายลอดผ่านริมฝีปากหยักของตัวเองออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้ฉายแววล้อเล่นแต่อย่างใด น้ำเสียงจริงจังจนสามารถเขย่าหัวใจของผมอย่างน่ากลัว เขาบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่พูดออกมาแบบนั้น

"ห๊ะ... พะ พูดบ้าอะไรของพี่เนี่ย"
ผมถามกลับไปด้วยความตกใจและเบิกตาโตมองเขาอย่างหวาดหวั่น มือเรียวจิกลงบนโซฟาอย่างแรงโดยไม่สนว่ามันจะขาดหรือไม่ หัวใจเต้นแรงเกินไปแล้ว บ้าฉิบหายเลย!

"หึหึ ก็ปูนบอกว่าตามใจพี่นี่นา"
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ขึ้น คิ้วสวยยักขึ้นลงเพื่อนกวนประสาทกัน แบบนี้แกล้งกันอีกแล้วแน่ๆ ไม่รู้ว่าอันเรื่องจริงอันไหนเรื่องหลอก แม่ง!

"โอย พี่ทาร์ตเป็นไบโพล่าหรือไงวะ เดี๋ยวแกล้ง เดี๋ยวดุ เดี๋ยวก็หวง ผมตามไม่ทันแล้ว"
ผมยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิงเพราะความสับสนและไม่เข้าใจ ดวงตารีไม่ได้สบมองคนที่ยังยืนค้ำกัวกันในตอนนี้ ไม่อยากรับรู้อะไรเลยสักอย่าง ไม่อยากหวั่นไหว ไม่อยากเป็นเด็กขี้มโนเข้าข้างตัวเอง ไม่อยากเป็นน้อง ไม่อยากรู้จัก ไม่อยากทำเหี้ยอะไรเลยสักอย่าง ร้องไหมมันจะช่วยไหมวะ อึดอัดจัง

"ไม่รู้ดิ คืนนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพี่เป็นอะไร"
เขาทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นแล้วก้าวขายาวๆ เดินเข้าครัวไป ปล่อยให้ผมนั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่ตามลำพัง กลับมาทำให้วุ่นวายใจแบบนี้ ไม่ต้องกลับมาก็ดีมั้ง... อยากให้ไอ้ฟ่อนอยู่ด้วยในเวลาแบบนี้จัง อยากรู้ว่าพฤติกรรมแสนประหลาดของพี่มันทั้งหมดคืออะไร

แต่สิ่งที่เขาพูดไปเมื่อครู่คือหมายความว่ายังไง อยากพิสูจน์ในร้านเหล้าอย่างนั้นเหรอ...

ผมจัดการความรู้สึกฟุ้งซ่านของตัวเองไปจนหมดแล้วพาพี่ทาร์ตออกจากบ้านในเวลาสองทุ่ม แม่ไปต่างจังหวัดเลยไม่ต้องตอบข้อซักถามของใครให้มากความ เหมือนเด็กใจแตกหนีเที่ยวยังไงก็ไม่รู้ แต่ช่างมันเถอะ แค่ไปกินเหล้าไม่ได้ฆ่าแกงใครหรือหิ้วสาวคนไหนไปกกซะหน่อย

ถนนสายหลักยังคงมีรถผ่านไปผ่านมาแต่ไม่ได้แออัดอย่างช่วงตอนเย็นแล้ว สองข้างทางเงียบสงบเพราะร้านค้าและบริษัทห้างร้านได้ปิดตัวลง กว่าจะคึกครื้นก็คงต้องรอให้ถึงใจกลางเมืองนั่นล่ะ บ้านนอกมันก็อย่างนี้ แหล่งท่องเที่ยวกระจุกรวมกันเป็นหย่อมๆ ไม่เหมือนเมืองหลวงที่มองไปทางไหนก็มีแต่แสงสี

เสียงเพลงยังคงบรรเลงช่วยให้บรรยากาศในรถไม่น่าอึดอัดเกินไป คนที่นั่งข้างกันนั้นแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินกรมท่าและพับแขนขึ้นถึงข้อศอก ทรงผมถูกจัดให้ดูเท่และแบดบอยในคราวเดียวกัน กางเกงยีนส์แนบไปกับขายาวทำให้มีเสน่ห์ขึ้นเป็นกอง รองเท้าหนังสีน้ำตาลยิ่งช่วยเสริมบุคลิกให้ดูน่าค้นหามากยิ่งขึ้น ทุกอย่างดูดีไร้ที่ติไปหมด แต่ผมไม่ชอบใจ หงุดหงิดแทบบ้า สาวๆ ต้องให้ความสนใจมากแน่ๆ ยิ่งในร้านเหล้านะ อ่อยได้เป็นอ่อย วันไนท์สแตนด์เพียบ

"คืนนี้พี่หล่อไหม"
พี่ทาร์ตถามก่อนจะหันมามองกันอย่างรอคำตอบ ผมเบ้ปากใส่เขาโดยยังคงจับจ้องไปที่ถนนตรงหน้า รู้อยู่แก่ใจยังจะถามอะไรอีก หล่อวัวตายควายล้ม หล่อไม่เกรงใจผีบ้านผีเรือน หล่อจนนางตานียังหวั่นไหวเลยมั้ง หงุดหงิดเว้ย! ทีผมจะใส่กางเกงขาสั้นยังห้ามแทบตาย แล้วนี่อะไรวะ ตัวเองทำอย่างกับจะไปเดินแบบ โคตรไม่ยุติธรรม

"ถามทำไมพี่ ก่อนออกจากบ้านไม่ได้ส่องกระจกหรือไง"
ผมว่าด้วยเสียงฉุนๆ และใช้เท้าแตะคันเร่งหนักขึ้น อะไรๆ ก็ขัดใจไปซะหมดทุกอย่าง อยากขับรถชิดขวาแล้วยูเทิร์นกลับบ้านให้รู้แล้วรู้รอด กินเหล้าไม่เห็นมีประโยชน์ตรงไหน

"ส่อง แต่อยากได้ความคิดเห็นจากปูนไง"
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทำให้ผมต้องเหล่สายตามองเขาอย่างเบื่อหน่าย แสงไฟจากด้านนอกก็ทำให้เห็นหน้าเพียงลางๆ เท่านั้น จะให้ตอบยังไง... รู้ว่าเขาหล่อแต่ไม่อยากชมนี่

"ไม่มีความเห็นครับ"
ผมกลับไปด้วยเสียงราบเรียบแล้วทำทีท่าว่าสนใจถนนนักหนา ทางก็โล่งแต่ใจกลับไม่เป็นอย่างนั้น สมองพาลแต่จะคิดถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิด ถ้าคืนนี้พี่ทาร์ตเจอผู้หญิงที่ถูกใจเข้ามันจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ...

"โธ่ เซ็งว่ะ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ ก่อนจะปรับเบาะให้เอนไปด้านหลังมากขึ้นแล้วล้มตัวลงนอนซะอย่างนั้น ทำไมสภาพเหมือนคนแก่อยากกลับบ้าน ไหนบอกว่าอยากท่องราตรีเมืองภูเก็ตไง

"ง่วงเหรอครับ"
ผมถามออกไปเพื่อลองเชิง ถ้าเขาตอบว่าง่วงล่ะก็ผมจะยูเทิร์นกลับที่สี่แยกมหา'ลัยราชภัฏภูเก็ตเลยทีเดียว

"ระดับนี้แล้ว ไม่มีคำว่าง่วงหรอกน้องปูน"

"ครับๆ"
ผมตอบปัดๆ ไปเพราะไม่อยากใส่ใจว่าเขาจะทำอะไรบ้าง อยากลองห่างจากพี่ทาร์ตดูบ้าง อยากถามใจตัวเองว่าที่เผลอหวั่นไหวไปนั้นเป็นเพราะความรู้สึกเปลี่ยนหรือแค่ไม่ชินที่เจอกันอีกครั้งหรือเปล่า

Sound Phuket
เสียงเพลงดังกระหึ่มออกมาจากด้านในร้านจนหูแทบแตก ผมไม่ค่อยชอบสถานที่แบบนี้สักเท่าไหร่ ส่วนมากถ้าอยากดื่มจะไปร้านนั่งชิลล์ บรรยากาศสบายๆ เปิดเพลงบีทไม่หนักขนาดนี้ แต่ดูท่าทางพี่ทาร์ตจะชอบแนวผับมากกว่า ก็เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตั้งแต่ลงมาจากรถแล้ว

"รู้สึกเหมือนจะอ้วกเลยว่ะ"
ผมบ่นพึมพำเมื่อเราเดินเข้ามาด้านใน แทบจะสื่อสารกับใครไม่ได้เพราะเพลงเสียงดังมากจนสะเทือนไปทั้งร่างพาลให้รู้สึกอึดอัดพะอืดพะอมแปลกๆ อาจจะปกติสำหรับนักเที่ยวแต่มันไม่ปกติสำหรับผมแล้วไม่เลย และไม่ชินแม้กระทั่งท่าทางที่พี่ทาร์ตแสดงออก เขาเดินนำไปโดยไม่รอผมแถมยังส่งยิ้มให้สาวๆ ที่มองมาอีกต่างหาก หางโผล่แล้วสินะ ลายความเจ้าชู้ขึ้นเต็มตัวยิ่งกว่ากลากเกลื้อนซะอีก

ผมเดินตามไปอย่างคนซังกะตาย เห็นท่าทีกระดี๊กระด๊าของพี่ทาร์ตแล้วรู้สึกหมั่นไส้ตะหงิดๆ ไม่ต้องถามว่าลืมแฟนเก่าได้หรือยังเพราะแสดงออกชัดเจนขนาดนั้น ถึงที่หมายก็ทิ้งตัวลงนั่งโดยไม่พูดอะไร ไม่อยากมองหน้าเจาด้วยซ้ำ หมั่นไส้ สาวๆ พวกนั้นก็ไม่รู้จะมองอะไรนักหนา สายตานี่อ่อยกันเต็มที่ ถ้าไม่เกรงใจคงเดินเข้ามาหาแล้วล่ะมั้ง

"ทำไมทำหน้าบึ้งแบบนั้น"
พี่ทาร์ตตะโกนข้ามโต๊ะมาถามกันด้วยสีหน้าระรื่น ดวงตาคมเป็นประกายและเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ผมไหวไหล่ก่อนจะพิงหลังลงกับพนักเก้าอี้ ขี้เกียจจะตอบ

"เอ้า ถามไม่ตอบอีกคนเรา"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นก่อนจะทำสีหน้ายุ่งๆ ใส่ แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นเขาก็เปลี่ยนท่าทางไปเพราะเหล้ามาเสิร์ฟแล้ว พนักงานของที่นี่ดีนะ คอยชงเหล้าให้ไม่ต้องเหนื่อยลูกค้าจัดการเอง

ผมรับแก้วเหล้าสีอำพันมาถือไว้แล้วทอดสายตาไปเรื่อยๆ ก่อนจะกระดกมันให้ไหลผ่านลงคอไปช้าๆ ไม่ได้ดื่มนานจนรู้สึกว่าไม่ถูกปากยังไงไม่รู้ แอบคิดถึงนมสดที่บ้านจังเลย ขนมเค้กสักชิ้นก็คงดี ไม่ใช่กับแกล้าของคนขี้เมาอย่างนี้ เสียสุขภาพชะมัด แต่ช่างมันเหอะ ดูเหมือนพี่ทาร์ตจะชอบแอลกอฮอล์มากกว่า

"คนนั้นสวยปะ"
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พี่ทาร์ตขยับเข้ามานั่งข้างๆ กัน ผมสะดุ้งเล็กน้อยและหันไปมองหน้าคนถามด้วยความรู้สึกเบลอๆ คนไหนอะไร ใครสวย อยู่ๆ ก็ถาม งงว่ะ

"อะไร ใคร"
ผมถามกลับไปสั้นๆ ด้วยเสียงที่ดังจนรู้สึกแสบคอ ใบหน้าหล่อเหลาพยักพเยิดไปทางสองนาฬิกาเพื่อให้มองตามไป ดวงตารีเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนั้น เธอผมยาวดัดลอนเล็กน้อย ใส่เสื้อเอวลอยสีดำกับกางเกงยีนส์แนบขา บวกด้วยรองเท้าผ้าใบเก๋ๆ หนึ่งคู่ ดูเป็นคนห้าวๆ แต่โคตรสวย นี่น่ะเหรอสเปคของพี่ทาร์ต ห่างไกลจากเด็กกะโปโลอย่างผมเยอะ ก็ตั้งแต่เพศแล้วล่ะ ยังเอาความหวั่นไหวของตัวเองกลับมาทันไหมนะ

"อ้อ... สวยดีครับ ชอบเหรอ"
ผมถามกลับไปตรงๆ ถึงจะรู้สึกกลัวคำตอบและหน่วงๆ อยู่บ้างก็เถอะ ปากมันพาไปด้วยความหงุดหงิดนี่หว่า บอกแล้วว่าให้เลิกหยอดเลิกเต๊าะกันสักที ผลเป็นไงล่ะ ผมหวั่นไหวแต่เขาไม่รู้ไง สะเทือนใจไปอีกกู

"อืม ว่าจะเข้าไปทำความรู้จักสักหน่อย"
พี่ทาร์ตยักคิ้วให้กันแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ ท่วงท่าที่แสดงออกโคตรน่าหลงใหลจากมุมมองคนอื่น แต่สำหรับผม... น่าโมโหว่ะ ขี้เก๊กด้วย

"อืม ผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ"
ลุกพรวดออกมาจากตรงนั้นเพราะรู้สึกอยากร้องไห้ยังไงชอบกล ไม่สามารถออกปากห้ามเขาทำเรื่องแบบนั้น ไม่สามารถบอกว่าผมหวง ไม่สามารถแสดงอาการอะไรสักอย่างออกไป ขายาวๆ ก้าวไปเรื่อยๆ อย่างคนเร่งรีบจนถึงห้องน้ำ ความจริงแล้วไม่ได้ปวดฉี่แต่อย่างใด แค่มาสงบจิตสงบใจเท่านั้น ยืนมองตัวเองในกระจกก็รู้สึกสมเพช ปากบอกกับไอ้ฟ่อนว่ายังไงก็ไม่มีทางรู้สึกมากกว่าพี่น้องกับพี่ทาร์ต แล้วเป็นไงล่ะ อยากขำให้ฟันร่วง แม่ง

กว่าจะทำใจเดินกลับไปที่โต๊ะได้ก็เกือบครึ่งชั่วโมง ขายาวก้าวอย่างไม่เร่งรีบแอบเจอเพื่อนที่คณะอยู่สองสามคนก็ทักทายตามปกติ แต่เมื่อใกล้จะถึงที่หมายกลับต้องชะงักกึกเหมือนโดนสาป ผู้หญิงคนที่ถูกชมเมื่อครู่กำลังนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ของผม... น่าขำ ที่ตั้งเยอะแยะทำไมต้องเลือกตรงนั้น สรุปว่าพี่ทาร์ตไม่ต้องออกแรงอะไรเลยใช่ไหม เธอแค่รอจังหวะดีๆ ที่จะเดินเข้ามาหาสินะ ต่างคนต่างเล็งกันไว้แล้วอย่างนั้นเหรอ อยากหัวเราะให้คอแตกว่ะ เหมือนโดนกระทืบยังไงไม่รู้ โคตรหน่วงในใจ... คงชอบพี่ชายข้างบ้านเข้าให้แล้วล่ะ เชี่ยเอ้ย!

ผมกลั้นใจเดินกลับเข้าไปตรงนั้นด้วยรอยยิ้มที่ฝืนที่สุดในชีวิต ทั้งสองคนดูจะตกใจเล็กน้อยเมื่อมีก้างชิ้นใหญ่กลับมา แต่วางใจเถอะ ไม่เข้าไปขัดอะไรหรอก

"ท้องเสียเหรอไง หายไปตั้งนาน นึกว่าหนีกลับบ้านซะแล้ว"
พี่ทาร์ตเอ่ยถามกันด้วยเสียงแข็งๆ ไม่ได้แสดงความห่วงใยเหมือนปกติ ต่อหน้าสาวๆ ต้องทำเป็นดุน้องชายขนาดนี้เลยเหรอ ลืมไอ้การกระทำแปลกๆ ก่อนหน้านี้ของเขาซะเถอะ คนแบบนี้คงไม่มีวันหวั่นไหวกับผู้ชายหรอก ผมมันใจง่ายเองนั่นล่ะ เขาแค่แกล้งเล่นกลับจริงจังไปได้

"เออ ท้องเสียครับ กินของแสลงไปเยอะ"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ไม่แพ้กันแล้วยกมือเรียกพนักงานเพื่อเปลี่ยนแก้วใบใหม่ ไม่อยากจะหยิบแก้วใบเก่าให้เสียเวลา พี่ทาร์ตย่นคิ้วใส่แล้วมองกันด้วยความไม่พอใจ แต่ใครจะสนล่ะ ใช้น้ำเสียงหยาบกับมาก็หยาบกลับไป แฟร์ๆ

"เพื่อนเหรอทาร์ต"
ผู้หญิงคนนั้นถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามบุคลิกห้าวๆ ของเขา ผมเหลือบมองเธอเล็กน้อยแล้วหันไปรับแก้วเหล้าใหม่จากพนักงานแทน เขาถามพี่ทาร์ตก็ปล่อยให้ตอบเองก็แล้วกัน แค่นี้ก็ย่ำแย่มากพออยู่แล้ว ขืนให้พูดเองอาจจะตะโกนแบบคนโมโหก็เป็นได้

"เปล่าครับ น้องชายที่สนิทกันน่ะ"
พี่ทาร์ตตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มจนผมเผลอคิ้วกระตุก ให้มันได้แบบนี้สิไอ้คนสองมาตรฐาน อยากจะเอาเหล้าในแก้วสาดกน้าชะมัด แค่แอบชอบเขาไม่มีสิทธิ์โวยวายอะไรหรอก

"อ๋อ แล้วน้องชายทาร์ตจะกลับตอนไหนล่ะ เราจะได้ไปต่อกัน"

ผมหันขวับไปมองพวกเขาด้วยความตกใจ อะไรคือจะไปต่อกัน หมายความว่าขึ้นห้องเพื่อที่จะ... อย่างนั้นเหรอ เหี้ยเอ้ย ทำไมต้องมานั่งฟังอะไรแบบนี้วะ ร้องไห้ใส่เลยได้ไหม แล้วแม่งก็ยกเลิกนัดทุเรศนี่ไปซะ มือเรียวกำเขาหากันแน่นเพื่อระงับอาการสับสน พยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะแสดงสีหน้าแบบปกติ

"ปูน... คืนนี้พี่ไม่กลับบ้านนะ"
เขาหันมาบอกกันด้วยน้ำเสียงระรื่น ไม่ได้รู้สึกผิดเลยที่ปล่อยให้ผมกลับบ้านไปคนเดียว ไม่ได้สังเกตเลยว่าผมกำลังพยายามอดกลั้นมาแค่ไหนที่จะไม่ร้องไห้ ก็นะ... ที่นี่มันมืดใครจะเห็นตาแดงก่ำกันล่ะ

"ครับ... ผมกลับเลยแล้วกัน จะไปหาไอ้กู๊ด สวัสดีครับ"
ผมพูดรัวเร็วและเสียงดังก่อนจะก้าวขาฉับๆ ออกมาจากร้านทันที ไม่ได้สนใจฟังเลยว่าพี่ทาร์ตตะโกนอะไรไล่หลังกันมา เพิ่งเข้าใจว่าความรู้สึกของคนผิดหวังมันเป็นยังไง ถึงจะไม่เจ็บมาก แต่ก็ปวดหนึบในใจ... แค่เริ่มชอบก็โดนเขาปฏิเสธทางอ้อมกลับมาโดยการที่เขาหนีไปขึ้นเตียงกับผู้หญิง ควรจะถอยออกมาสินะ ควรเลิกรู้สึกดีกับการเต๊าะและหยอดของเขาสักที



ต่อด้านล่างเนอะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 6 -P.2- (27/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 27-03-2017 20:53:58
ไม่รู้ว่าขับรถมาถึงคอนโดของไอ้กู๊ดได้ยังไงทั้งที่ม่านน้ำตาบดบังทัศนียภาพมาตลอดทาง เพื่อนสนิทถึงกับเบิกตาค้างเมื่อเจอผมยืนอยู่หน้าห้องของมันในสภาพเละเทะ หัวยุ่ง เสื้อเชิ้ตยับยู่ยี่ กลิ่นเหล้าหึ่ง ก็แม่งนั่งตบตีตัวเองอยู่นานสองนานกว่าจะออกมาจากร้านได้

"ไอ้เหี้ยปูน! มึงไปทำอะไรมาเนี่ย ฟัดกับหมามาเหรอ ทำไมสภาพเป็นแบบนี้"
ไอ้กู๊ดโวยวายเสียงดังโดยไม่สนว่าคนข้างห้องจะเอาขวดมาปาหัวหรือเปล่า แต่ผมไม่มีกะจิตกะใจจะด่ามันเลยสักนิด เหมือนร่างกายไร้เรี่ยวแรงยังไงชอบกลเมื่อบทสนทนาระหว่างพี่ทาร์ตกับเธอคนนั้นวนเวียนอยู่ในหัว พยายามสลัดมันออกไปแล้วแต่ไรประโยชน์ คล้ายๆ บูมเมอแรงที่ขว้างออกไปแต่ก็กลับมาที่เดิม

"ขอเข้าไปข้างในก่อนได้ไหม เดี๋ยวเล่า"
ผมบอกมันก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเองเมื่อรู้สึกว่าน้ำตากำลังจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ ตอนนี้สับสนระหว่างคำว่าหวั่นไหวกับชอบไปแล้วเหลือเกิน... มันจุกไปหมด เหมือนโดนพี่ทาร์ตฮุกหมัดใส่ท้อง แม่ง ความรู้สึกคนเรามันซับซ้อนขนาดนี้เลยเหรอ

"เออๆ เข้ามา เมาปะเนี่ย"
ไอ้กู๊ดหลีกทางให้ผมแล้วดึงแขนให้เข้าไปด้านในก่อนจะปิดประตูลง

"เปล่า"
ผมตอบกลับไปด้วยเสียงยานคางแล้วเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยสภาพที่ใกล้เคียงกับซอมบี้ ยิ่งกว่าดื่มเหล้าจนเมาซะอีก แค่สองสามแก้วเนี่ยนะ เด็กๆ

"เล่าได้หรือยัง"
ไอ้กู๊ดเดินเข้ามาหากันพร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว ผมนั่งนิ่งมองพื้นอยู่แบบนั้นอย่างชั่งใจ ควรจะพูดเหรอ แต่มันอึดอัดไม่ไหวแล้วนี่หว่า บางทีมันอาจจะให้คำตอบกันได้เรื่องความสับสนนี้ว่าที่จริงแล้วความรู้สึกของผมมันอยู่ระดับไหน

"อือ... กูพลาดวะกู๊ด พลาดที่สุดในชีวิต"
ผมเริ่มเรื่องด้วยประโยคนี้ น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นสั่นเกินกว่าจะควบคุม หัวใจมันบีบตัวจนเจ็บไปหมดจนต้องยกมือขึ้นมากุมเอาไว้ ขยำเสื้อก็แล้ว... ทำไมไม่หายสักที

"เดี๋ยวๆ มึงพลาดอะไร กูงง"
ไอ้กู๊ดขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะเม้มปากแน่น ต้องพูดสินะ

"กู... อึก คิดว่าตัวเองชอบพี่ทาร์ตว่ะ"
อยู่ๆ ก่อนสะอื้นก็จุกอยู่ตรงคอหอย อาการปวดหนึบที่หัวใจรุนแรงขึ้นจนต้องงอตัวลงจนหน้าผากแตะกับหัวเข่า ไอ้กู๊ดไม่ได้ทำเสียงตกใจอะไรเลยสักนิด เหมือนว่าที่ผมพูดออกไปมันเป็นเรื่องปกติที่รู้กันอยู่แล้ว

"ฮะๆ กูว่าแล้ว ไม่แปลกใจหรอกที่มึงจะชอบพี่ทาร์ต"
ไอ้กู๊ดหัวเราะออกมาก่อนจะส่งมือมาตบๆ ลงบนหัวกันเบาๆ ผมเอียงคอมองหน้ามันอย่างไม่เข้าใจ

"ทำไมวะ..."
ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่งงสุดชีวิต ไอ้กู๊ดคลี่ยิ้มบ้างๆ แล้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ

"มึงจำตอนมัธยมได้ไหม ตอนที่กูบอกว่าชอบมึงน่ะ... แม่งเอ้ย ปฏิเสธอย่างไว แถมบอกว่าพี่ทาร์ตจะโกรธถ้ามีแฟน"
ไอ้กู๊ดเบ้ปากใส่กันแล้วผลักหัวผมเบาๆ อาจจะด้วยความหมั่นไส้หรืออะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมทำเพียงแค่ย่นคิ้วเพราะไม่เข้าใจว่าเกี่ยวอะไรกัน ตอนนั้นน่าจะประมาณม.สี่ล่ะมั้งที่โดนเพื่อนสนิทสารภาพรัก เป็นประสบการณ์ที่โคตรแย่แต่ก็ผ่านมันมาได้แล้ว

"ก็จริงนี่หว่า มันเคยขู่ไว้ตอนนั้น"
ผมพึมพำออกไป ตอนนั้นพี่ทาร์ตขู่กันผ่านทางตัวอักษรส่งตรงจากอเมริกามาในข้อความโทรศัพท์... ก็กลัวพี่ชายโกรธและอีกอย่างคือไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับผู้ชายด้วยแถมเป็นเพื่อนสนิทยิ่งไม่ใช่เลย ถือคติเพื่อนไม่กินเพื่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

"จนกูเลิกชอบ มีสาวให้มึงคุยตั้งกี่คนวะปูน ทำไมพอรู้สึกดีกับเขาเข้าให้ สุดท้ายมึงก็ถอยออกมาไม่ยอมคบ บอกได้ปะว่าเพราะอะไร อย่าเอาเรื่องพี่ทาร์ตโกรธมาอ้างนะ"
ไอ้กู๊ดมองกันด้วยแววตาจริงจังจนผมได้แค่เบนหนีก้มลงมองพื้นตามเดิม หลังจากนั้นมาก็มีคนนั้นคนนี้เข้าหาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้คบใครเป็นเรื่องเป็นราว... ไม่ได้กลัวพี่ทาร์ตโกรธเลย มันมีอะไรมากกว่านั้น เป็นอะไรที่ผมไม่เคยเข้าใจจนถึงตอนนี้มันน่าจะชัดเจนตามที่เพื่อนสนิทบอกแล้วจริงๆ

ตั้งแต่เด็กๆ แล้วสินะที่หัวใจผูกคิดกับคนๆ นี้ น่าตลกที่คิดว่าตัวเองแค่ติดพี่ชาย เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่ามันเป็นความรู้สึกที่มากกว่านั้น ยังจะใช้คำว่าชอบได้อีกหรือเมื่อเวลามันผ่านมานานขนาดนี้ รักอาจจะเหมาะสมกว่า

"....."

"เงียบแบบนี้แสดงว่าคิดได้แล้วใช่ไหมมึง"
ไอ้กู๊ดถามกันด้วยน้ำเสียงรายเรียบก่อนจะทิ้งตัวลงบนพนักพิงโซฟา ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพยักหน้ารับอย่างเลี่ยงไม่ได้

"อือ"
ตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดเรื่องนี้ แต่ไม่ได้ช่วยอะไรเพราะมีบางอย่างรบกวน บางอย่างที่เพิ่งเกิดไปเมื่อสักครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ป่านนี้พี่ทาร์ตจะไปอยู่ที่ไหนแล้ว... น้ำตาก็แม่งจะคลออะไรนักหนา กลายเป็นคนขี้แยได้ไงวะ

"ทำหน้าเหมือนจะตายเพื่ออะไรวะ เข้าใจตัวเองแล้วก็น่าจะมีความสุขไม่ใช่หรือไง พี่มันก็โสดนี่ ไม่ลองดูหน่อยเหรอ"
คำแนะนำของไอ้กู๊ดทำให้ผมลอบปาดน้ำตาเงียบๆ รู้ใจตัวเองในสถานการณ์แบบนี้มันเจ็บไม่ใช่เหรอวะ จะให้ไปหาความสุขจากที่ไหน เพิ่งปล่อยให้เขาไปขึ้นเตียงกับคนอื่นมาหมาดๆ ควรรู้สึกยังไง

"มันไม่คุ้มหรอก พี่ทาร์ตเป็นผู้ชาย"
พยายามเลี่ยงถึงการพูดสาเหตุที่แท้จริง ไม่อยากให้เขาดูแย่ แต่ผมเจ็บว่ะ ให้โทรไปห้ามตอนนี้เขาจะหยุดไหม เขาจะสนใจคำขอร้องของน้องชายข้างบ้านเหรอ

"แล้วไงวะ ทุกวันนี้พี่ทาร์ตก็ชอบเต๊าะมึงไม่ใช่หรือไง ผู้ชายปกติเขาเล่นกับน้องแบบนี้เหรอ มึงคิดดีๆ นะ"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อแล้วพาดแขนลงบนไหล่ของผม มันไม่เข้าใจความรู้สึกอะไรเลย... ไม่เลย

"จะให้คิดเชี่ยอะไรอีกล่ะ เมื่อกี้พี่ทาร์ตนัดผู้หญิงขึ้นห้องต่อหน้าต่อตา กูควรหวังห่าอะไรอีกวะกู๊ด!"
ผมสุดจะทนแล้วตวาดใส่เพื่อนพร้อมกับปัดมือมันออกก่อนจะก้มหน้าลงกับฝ่ามือตัวเองเพื่อปิดบังการร้องไห้ที่ไร้เสียงสะอื้น รู้ใจตัวเองพร้อมๆ กับอกหักมันรู้สึกเหี้ยขนาดนี้เลยเหรอวะ เจ็บเหมือนหัวใจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

"อะ อะไรนะปูน... พี่ทาร์ตทำอะไรนะ"
ไอ้กู๊ดถามเสียงตะกุกตะกักเหมือนกำลังตกใจและไม่เชื่อหูตัวเองว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปเป็นความจริง

"พี่ทาร์ต อึก ไปขึ้นเตียงกับคนอื่นแล้ว"
ผมไม่สามารถกลั้นก้อนสะอื้นได้อีกต่อไปแล้ว มันจุกจนไม่รู้จะทำยังไง หัวสมองไร้ซึ่งความคิดใดๆ ไม่สามารถที่จะหาทางออกให้ตัวเองได้เลย

"ฉิบหาย... แล้วมึงปล่อยไปได้ยังไงไอ้ปูน ทำไมไม่ห้าม!"
ไอ้กู๊ดโวยเสียงดังแล้วจับยึดไหล่ของผมทั้งสองข้างเอาไว้ก่อนจะเขย่าเบาๆ เหมือนต้องการดึงสติให้กลับมา ดวงตารีมองเพื่อนสนิทด้วยความปวดร้าว ต้องใช้สิทธิ์อะไรในการห้ามคนๆ นั้นเหรอวะ แค่น้องชายข้างบ้านมันไม่มีค่าพอหรอก

"จะเอาสิทธิ์ที่ไหน... ไปห้าม วะ ฮึก"
เกลียดตัวเองที่ยิ่งพูดยิ่งร้องไห้ ซบหน้าลงกับไหล่ไอ้กู๊ดแล้วปล่อยให้น้ำตาซึมลงกับเสื้อยืดของมัน ตอนนี้ไม่มีคำว่าอายในพจนานุกรมของผมอีกแล้ว กายล้ายังพอทนแต่ใจล้าเหมือนจะตายจริงๆ

"โอยแม่ง อย่าร้องๆ ถึงพี่มันจะไปเอาคนอื่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะรักเขาปะวะ"
ไอ้กู๊ดดึงผมเข้าไปกอดแล้วใช้มือลูบหลังเพื่อเป็นการปลอบ ตอนนี้ร่างกายเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ น้ำตามากมายไหลรินมากมายไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยด้วยซ้ำ

"อือ... แต่ใครจะรับได้วะ อึก คนที่ตัวเองชอบไปเอากับคนอื่นน่ะ โคตรเหี้ยเลยกู๊ด"
ผมสะอื้นไปพูดไปด้วยเสียงที่แหบแห้งก่อนจะยกแขนขึ้นโอบกอดคนที่กำลังปลอบกันไว้แน่น กลัวว่าที่พึ่งพิงที่ดีที่สุดในเวลานี้จะเดินหนีไป

"เออๆ ใจเย็นนะมึง มันก็เหมือนคนที่แอบชอบไอ้พวกที่มีแฟนนั่นล่ะ... พี่ทาร์ตเป็นเสือผู้หญิงใช่ไหม"
มันถามออกมาแบบนั้น ส่วนผมก็ทำได้แค่พยักหน้าแล้วครางอือออกไปเบาๆ เป็นการตอบรับเท่านั้น

"อือ"

"ผู้หญิงแบบนั้นพี่ทาร์ตไม่สานต่อความสัมพันธ์หรอก ไม่คู่ควร แค่วันไนท์สแตนด์เท่านั้นล่ะ เชื่อกู"
ไอ้กู๊ดพูดปลอบกันด้วยเสียงนุ่มนวล ก็จริงอย่างที่มันว่าผู้หญิงแบบนั้นไม่เหมาะสมที่จะเอาเป็นแฟนเลยด้วยซ้ำ เจอกันครั้งแรกก็ชวนขึ้นเตียง... ไม่คู่ควรจริงๆ นั่นล่ะ

"อือ... กูจะพยายามทำใจเรื่องเหี้ยๆ นี้ซะ"
ผมพูดเสียงเบาก่อนจะผละตัวออกจากอ้อมกอดของเพื่อนสนิท มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ จนโดนไอ้กู๊ดตบหัวแล้วส่งกระดาษทิชชู่มาให้แทน โหดฉิบหาย เกลียดมันว่ะ คนยิ่งเสียใจอยู่จะทะนุถนอมกันหน่อยก็ไม่ได้

"เออ ดีมาก ถ้ามึงอยากเอาชนะใจมันก็ต้องเข้มแข็งเข้าไว้ กูเชื่อว่ามึงทำได้"
คำพูดซึ้งมากนะแต่มือมันนี่ดึงแก้มผมจนจะหลุดติดมือไปอยู่แล้ว เจ็บเว้ย แต่ก็นั่งเฉยๆ ให้ไอ้กู๊ดทำตามใจ ถือว่าตอบแทนที่รับฟังปัญหาชีวิตรักของตัวเองก็แล้วกัน

"ขอบใจนะมึง"
ผมฝืนยิ้มให้มันไปเล็กน้อย รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ ถ้าตรงกลับบ้านเลยอาจจะนอนจมกองน้ำตาไปแล้วก็ได้

"ครับคุณชาย แล้วนี่จะกลับบ้านหรือเปล่า"
มันถามจบก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจไปมาก่อนจะหาวหวอด ผมเหลือบตามองนาฬิกาติดผนังก็พบว่าตอนนี้ใกล้จะตีหนึ่งเข้าไปแล้ว จะให้ขับรถกลับก็คงไม่ไหว ปวดลูกตา

"ไม่ละ... ขอนอนกับมึงได้ไหม"
ผมขอด้วยเสียงอ้อนๆ เพราะปกติแล้วไอ้กู๊ดไม่ชอบให้ใครมาค้างที่ห้องแม้แต่เพื่อน ถ้ามาเพื่อนั่งเล่น ทำงานอะไรแบบนั้นไม่มีปัญหา

"แหม กูไม่ใช่ตัวแทนพี่ทาร์ตนะเว้ย"
ส่งเสียงเหน็บแนมมาให้ก่อนจะหันมาเบ้ปากใส่กัน คิดว่าหน้าตาดีจะทำอะไรก็ได้เหรอวะ

"ก็ไม่ใช่ไง"
ผมตอบกลับไปแล้วจ้องมันตาไม่กระพริบ

"ดีนะกูเลิกชอบมึงแล้ว ไม่งั้นจะจีบแม่งตอนอ่อนแอนี่ล่ะ"
ไอ้กู๊ดมองกันด้วยหางตาแล้วเอื้อมมือมาโยกหัวกันไปมา ไอ้นี่ได้ทีเอาใหญ่ผมไม่ว่าอะไรมันก็ลามปามกันจังวะ เดี๋ยวงับมือขาดเลยนี่

"คิดว่ากูจะใจอ่อนหรือไง ฝันว่ะ"
ผมปัดมือมันทิ้งอย่างไม่ใยดี แล้วขยับตัวหนีไปจนชิดขอบโซฟาอีกด้าน

"ให้กำลังใจหน่อยก็ไม่ได้"
พูดด้วยเสียงน้อยใจแต่หน้าตาระรื่นสิ้นดี คนอะไรตอแหลจริงๆ

"ไปไกลๆ ตีนกู"

"นี่ห้องกูไงความจำเสื่อมเหรอ"

"แล้วไง"
ผมว่าเสียงแข็งก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้าวขายาวๆ เข้าไปหาไอ้กู๊ดด้วยใบหน้าทะมึงทึง อีกฝ่ายยกมือขึ้นยอมแพ้เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดี

"จ้าๆ ไม่เถียงจ้า มึงไปอาบน้ำเถอะไป เดี๋ยวเตรียมชุดให้"
ส่งยิ้มกว้างให้กันแล้วเปลี่ยนมาดันหลังผมไปทางห้องน้ำ พอสู้ไม่ได้ก็เป็นแบบนี้ทุกที ไก่อ่อนว่ะ

"เออๆ โอเค"

การอาบน้ำช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายลงไปมาก อารมณ์ที่เคยคุกรุ่นก็บรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด ผมใส่เสื้อผ้าของไอ้กู๊ดเรียบร้อยแล้วเดินไปหย่อนกายลงบนเตียงข้างๆ มันที่ยังนอนอ่านการ์ตูนเรื่องโปรดอยู่ ตอนแรกนึกว่าจะหลับโชว์กันซะอีกก็เห็นหาวหวอดๆ ตั้งหลายครั้ง

"ยังไม่นอนอีกหรือไง"
ผมถามก่อนจะทิ้งตัวลงนอน ไอ้กู๊ดเหลือบสายตามองกันเล็กน้อยก่อนจะทำปากบุ้ยใบ้ไปทางโต๊ะข้างเตียง อะไรของมันวะ

"อะไร"

"โทรศัพท์มึงสั่นไม่หยุด นอนไม่หลับ ใครแม่งไม่รู้ทั้งโทรทั้งไลน์มา ประสาทจะแดกแล้วกู"
ไอ้กู๊กทำหน้าบึ้งใส่กันก่อนจะยกหนังสือการ์ตูนขึ้นมาอ่านอีกรอบ ผมได้แต่มองโทรศัพท์ที่นอนนิ่งอยู่บนโต๊ะ หวังว่าคงไม่ใช่แม่...

"อ๋อ โทษทีว่ะ"
ผมเอ่ยขอโทษก่อนจะเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ดวงตารีชะงักกึกเมื่อเห็นว่าแจ้งเตือนทั้งหมดเป็นของใคร...

P' Tart 3 สายไม่ได้รับ และข้อความไลน์อีกสิบข้อความ เป็นบ้าอะไรของมันวะ

พี่ทาร์ต : ปูนอยู่ไหน
พี่ทาร์ต : ไปหาไอ้กู๊ดเหรอ
พี่ทาร์ต : ทำไมไม่ตอบ
พี่ทาร์ต : เป็นอะไรหรือเปล่า
พี่ทาร์ต : ไม่กลับบ้านเหรอ
พี่ทาร์ต : กำลังจะออกจากร้านแล้วนะ
พี่ทาร์ต : ปูน...
พี่ทาร์ต : เฮ้อ ไม่ตอบจริงๆ เหรอวะ
พี่ทาร์ต : พรุ่งนี้มารับพี่ที่คอนโด x ด้วย
พี่ทาร์ต : ฝันดี

ข้อความก่อนสุดท้ายทำให้ผมต้องเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ความรู้สึกหน่วงในใจเพิ่งจะทุเลาลง แต่ตอนนี้มันกลับมาอีกครั้ง ร่างกายสั่นเพราะต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ สัญญากับไอ้กู๊ดว่าจะเข้มแข็งก็ต้องทำให้ได้สิ

ปูน : ครับพี่




--------------------------------------------------------

ตอนที่ 6 มาแล้วนะ T T สงสารเจ้าปูนน้อยจังเลย
แต่ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอนะฮะ อย่าเพิ่งท้อ
ถ้าไม่ไหวก็มาซบอกเราได้ แล้วจะไม่ปล่อยอีกเลย ฮิฮิ แย่งพี่ทาร์ต!!

ฝากติชมให้กำลังใจเรากันหน่อยเนอะ -/\-
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 6 -P.2- (27/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-03-2017 21:07:48
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :m31: :m31: :m31: :m31: :m31: :m31:


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 6 -P.2- (27/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 27-03-2017 21:54:19

โอ๋นะน้องปูน

พี่ทาร์ตทำน้องเสียน้ำตา
 :m31:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 6 -P.2- (27/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 27-03-2017 22:04:52
อิพี่ทาร์ต~~~ มันใช่เรื่องมั้ย
นี่ห่วงเหรอ นัดให้น้องไปรับนี่ห่วงใช่มั้ย

รักได้ก็เลิกรักได้ เชื่อเหอะ

อยากรู้เหมือนกันว่าคุณชายทาร์ตคิดอะไร
แต่ลองใจเล่นกับความรู้สึกคนอื่นแบบนี้ ก็ต้องรับผลที่มีให้ได้นะ หมั่นไส้!!
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 6 -P.2- (27/03/17)
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 27-03-2017 22:36:02
สงสารปูน เย็นชาใส่พี่ทาร์ตเลย ให้รู้ตัวซะมั่ง
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 7 -P.2- (01/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 01-04-2017 19:51:36
(http://i.imgur.com/M3UvBVk.png)


สูตรที่ 7


Oreo Cheese Cake
: โอริโอ้/เนยจืดละลาย/เกลือ/ครีมชีส/น้ำตาลไอซิ่ง/วิปปิ้งครีม :

Tart's Part



"Poon Stop There!"
ผมมองตามร่างสูงโปร่งที่ก้าวฉับๆ ออกไปจากร้านด้วยอารมณ์หลากหลาย เป็นคนออกปากไล่เขาทางอ้อมให้กลับบ้านเองด้วยซ้ำ แต่ทำไมต้องร้อนใจขนาดนี้ด้วยวะ ไปหาไอ้กู๊ดอย่างนั้นเหรอ แม่งเอ้ย

ผัวะ

เสียงฝ่ามือกระทบเข้าศีรษะดังขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว เจ็บจนรู้สึกมึนและร้องไม่ออก ผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านข้างปั้นหน้าบึ้งตึงใส่กันจนแทบจะเห็นรอยตีนกา เธอเป็นคนสวยนะแต่แก่กว่าผม... สองปี

"เล่นบ้าอะไรของยูห๊ะ นั่นน้องปูนที่อยู่ข้างบ้านใช่ไหม!"
เธอตะโกนใส่กันอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะฟาดมือลงบนแขนผมรัวๆ จะห้ามก็ไม่กล้าได้แต่ปล่อยให้ทำตามใส่ก่อนจะหลบเลี่ยงซ้ายขวาเอาตัวรอด

"โอย ไอเจ็บนะวิน เลิกตีกันสักทีเถอะน่า"
ผมโอดครวญใส่เธออย่างเซ็งๆ วินถลึงตาใส่กันก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างคนหัวเสีย ต่อจากนี้คงโดนสวดยาวแน่ๆ ทำใจไว้แล้วล่ะ

"ยูโกหกน้องทำไม เล่นอะไรอยู่ ไอไม่เข้าใจ"
วินถามด้วยน้ำเสียงดุๆ แล้วมองกันอย่างต้องการคำตอบ ผมเบนสายตาไปมองทางอื่นแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมด จริงๆ แล้วแค่อยากพิสูจน์ความรู้สึกของปูน แอบสังเกตมาสักพักแล้วว่าเขาทำตัวแปลกๆ

"แค่อยากพิสูจน์อะไรบางอย่างน่าวิน อย่าขี้บ่นนักสิ"
ผมบอกวินแค่นั้นแล้วหันกลับไปมองเธอ ตอนนี้ไม่สามารถทำให้ใจสงบลงได้เลย ไม่รู้ป่านนี้ปูนจะไปอยู่ที่ไหนแล้ว ไปหาไอ้กู๊ดจริงๆ นะเหรอ แม่ง... อยากตามไปแต่ไม่รู้สถานที่ ทำไมน่าหงุดหงิดแบบนี้

"ยูว่าคนที่มีศักดิ์เป็นพี่แบบนี้เหรอทาร์ต ไอจะบ่นแล้วทำไมห๊ะ อยากพิสูจน์อะไรก็ไม่ควรใช้เรื่องนี้สิ มันแย่มากเลยนะ ทิ้งน้องแล้วไปกับผู้หญิงคนอื่น เลวว่ะ"
วินยังคงด่าผมด้วยอารมณ์หงุดหงิด ก็ถูกของเขาที่จะคิดแบบนั้น มันเลวจริงๆ ที่ทิ้งน้องแล้วไปกับผู้หญิงคนอื่น แต่การที่เราอยู่ด้วยกันทุกวันนั้น มันทำให้อะไรบางอย่างที่เคยชัดเจนมาตลอดกลับขุ่นมัวและเริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด อาจจะด้วยวัยและอายุที่เพิ่มขึ้น การปฏิบัติตัวเหมือนตอนเด็กๆ เลยถูกบิดเบือน

"ไม่รู้จะทำยังไงนี่ รู้ว่าตัวเองเลวมาก แต่ไอก็สับสนเหมือนกัน จะบ้าตายอยู่แล้วเว้ย"
ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างแรงเพื่อระบายความหงุดหงิดงุ่นง่านที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปูนเดินจากไป คิดได้ว่าไม่ควรใช้วิธีแบบนี้ลองใจเขาก็สายเกินไปแล้ว ดวงตาคมเหลือบมองโทรศัพท์อยู่หลายครั้งก่อนจะตัดสินใจส่งข้อความหาเขาทันที

Tart : ปูนอยู่ไหน
Tart : ไปหาไอ้กู๊ดเหรอ

พิมพ์ถามไปแบบนั้นก่อนจะวางโทรศัพท์ลงแล้วถอนหายใจยาวๆ ออกมา เหลือบไปเห็นวินมองกันด้วยแววตาขุ่นเคืองยิ่งหนักใจ ไอ้กู๊ดมันอยู่ส่วนไหนของจังหวัดภูเก็ตวะ อยากจะบ้าตาย ที่ร้อนใจแบบนี้เพราะตอนเด็กๆ จำได้ว่าไอ้นี่มันแสดงท่าทางว่าจะปลื้มปูนมาก ชอบหยอก ชอบแกล้ง เผลอๆ หอมแก้มอีก แม่ง... ไม่รู้ว่าปัจจุบันยังรู้สึกเหมือนแต่ก่อนอยู่หรือเปล่านั่นน่ะสิ ยอมรับว่าหวงน้อง แต่ไม่รู้ว่าความหมายมันเปลี่ยนไปหรือเปล่า

เรื่องความรู้สึกของมนุษย์มันช่างเข้าใจยากจริงๆ

"เรื่องอะไร"
วินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงดุๆ นิ้วเรียวไล้ไปตามปากแก้วอย่างเลื่อนลอย ดวงตากลมจับจ้องใบหน้าผม ทำแบบนี้มันรู้สึกอึดอัดจนอยากจะเดินหนี แต่ถ้าทำเท่ากับว่าหาเรื่องใส่ตัวเอง เพราะวินคงไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นแน่ๆ

"ไอคิดว่าปูนชอบไอว่ะวิน"
ผมพูดเสียงเบาก่อนจะเลื่อนมือไปจับแก้วเหล้าเอาไว้แล้วยกขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมด รู้สึกว่าบางอย่างระหว่างเรามันแปลกๆ มาสักพักหนึ่งแล้ว เวลาเกือบสองอาทิตย์นั้นจะทำให้ปูนหวั่นไหวได้อย่างนั้นเหรอ มันเร็วไปหรือเปล่า เป็นความผิดของผมใช่ไหมที่คิดว่าการเต๊าะน้องเป็นเรื่องสนุก ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไร แต่ไม่เคยจินตนาการไว้เลยว่าจะมีผู้ชายสักคนมาชอบตัวเองแบบนี้ แถมเป็นคนใกล้ตัว... จะบอกว่าใกล้ก็พูดได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่ ก็ไม่ได้เจอกันมานานแล้วนี่เนอะ

ถ้าเกิดว่าปูนชอบผมจริงๆ แล้วผมล่ะ... รู้สึกยังไงกับปูนกันแน่นะ คิดอะไรไม่ออกเลยว่ะ

"ห๊ะ แล้วยูยังเลือกใช้วิธีเหี้ยๆ นี่อะนะ บ้าไปแล้ว!"
วินตะโกนเสียงดังลั่นในขณะที่จังหวะเพลงเบาลงทำให้โต๊ะที่อยู่รายล้อมหันมามองทางนี้เป็นตาเดียว แต่เราทั้งคู่ไม่ได้สนใจใครมากขนาดนั้น ก็มีเรื่องให้คิดให้เครียดและรู้สึกผิดจุกอก ผมยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากของเธอแล้วส่งเสียงชู่เบาๆ เป็นการเตือนว่าเราไม่ควรเอะอะโวยวายในที่แบบนี้

"ยูพูดไม่เพราะเลย เป็นผู้หญิงนะ แล้วอย่าเพิ่งด่ากันสิวะ ไอก็สับสนความรู้สึกตัวเองเหมือนกัน"
ผมพูดเสียงดุๆ กลับไปบ้างก่อนจะโดนวินปัดมือทิ้งอย่างไม่ใยดี เธอทำเสียงจิ๊จ๊ะแล้วยกมือขึ้นกอดอกพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ จนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ดวงตากลมเหลือบมองกันก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้คนฟังถึงกับจุก

"ถ้าไอเป็นปูนนะ ไอจะโกรธยู จะไม่คุย จะไม่ยุ่งด้วยเลย ทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้ นี่ไอคิดว่าน้องชายตัวเองน่าจะหาทางออกได้ดีกว่าที่ทำอยู่ แต่ไม่เลย เลือกใช้วิธีโง่มาก You're so stupid!"
วินตะโกนใส่หน้ากันเต็มๆ ก่อนจะทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างแรงด้วยอารมณ์หงุดหงิด ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับคืนมาจะเป็นตามที่เธอบอก แค่อยากพิสูจน์โดยไม่คำนึงถึงการทำร้ายจิตใจอีกคน ควรแก้ไขเรื่องนี้ยังไงดีวะ อยากจะโต้ตอบคนเป็นลูกพี่ลูกน้องแต่กลับสรรหาคำไม่ได้เลย ใบ้แดกไปซะอย่างนั้น

"วิน... ยูไม่ตกใจเหรอวะ ที่ไอสับสนเรื่องความรู้สึกที่มีกับผู้ชายน่ะ"
ตอบโต้ประโยคด้านบนไม่ได้ เลยเลือกตั้งคำถามแบบนี้ขึ้นมาเพราะดูท่าทางพี่สาวจะไม่ตกใจอะไรที่ผมบอกว่าสับสน มันกลายเป็นเรื่องธรรมชาติไปแล้วเหรอ

"โอย นี่มันสมัยไหนแล้ว ยูกับไอก็เรียนที่เมืองนอก โตที่เมืองนอกกันทั้งคู่นะ จะไปตกใจอะไรกับเรื่องแค่นี้ ที่น่าตกใจคือยูสับสนมากกว่า เกิดมายี่สิบกว่าปีเคยมีอาการแบบนี้กี่ครั้งล่ะ"
วินพูดจบแล้วหยิบแก้วค็อกเทลของตัวเองขึ้นมาจิบ ผมได้แต่นั่งมองจานกับแกล้มอยู่แบบนั้นเพราะสมองกำลังประมวลผลหาคำตอบให้กับคำถาม ไม่นานนักก็เปล่งเสียงตอบด้วยลำคอแห้งผาด

"ไม่เคย... ครั้งนี้ครั้งแรก"
มันเป็นครั้งแรกที่รู้สึกสับสนและทำอะไรไม่ถูกขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นเสือผู้หญิงและผ่านการมีแฟนมาไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ไม่เคยต้องมานั่งคิดอะไรวุ่นวายแบบนี้ หรือว่าผมจะชอบปูนวะ... แต่ผมก็ทำแบบนี้กับเขามาตั้งแต่เด็กนี่หว่า คอยดูแล เป็นห่วงเป็นใย หวงในฐานะพี่ชาย แต่ทำไมมันหน่วงๆ ในใจตอนที่น้องบอกจะไปหาคนอื่นวะ แม่ง เกิดโง่ดับเบิ้ลโง่ขึ้นมาอะไรตอนนี้

"เหอะ ถ้าเป็นแบบนี้ไอว่ายูต้องรีบคิดแล้วล่ะว่ารู้สึกยังไงกับน้องกันแน่ ขืนปล่อยไว้นานๆ ปูนอาจจะโดนหมาที่ไหนคาบไปก่อนที่ยูจะรู้ใจตัวเองซะอีก"
วินหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันจนผมได้แต่นิ่งค้างอยู่ที่เดิม ความรู้สึกตอนนี้คือไม่อยากให้ใครมายุ่มย่ามกับปูน เหมือนตัวเองกำลังเป็นหมาหวงก้างทั้งๆ ที่ยังสับสน ยอมรับว่าเห็นแก่ตัว

"....."

ยากฉิบหาย หัวจะระเบิด

เมื่อหัวสมองไม่ทำงานมือเลยเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกหาปูนทันที แต่รอแล้วรอเล่าปลายสายก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับเลยสักนิด หรือจะขับรถอยู่กันนะ เปลี่ยนเป็นส่งไลน์เหมือนเดิมก็ได้วะ รู้ไหมว่าตอนนี้สกิลการพิมพ์แทบติดจรวด ไปแข่งอาจจะคว้าที่หนึ่งได้ไม่ยาก

Tart : ทำไมไม่ตอบ
Tart : เป็นอะไรหรือเปล่า

ข้อความเก่าน้องก็ยังไม่อ่าน นี่เพิ่มเข้าไปใหม่อีก อาจจะดูเหมือนคนบ้าที่เอาแต่คุยอยู่ฝ่ายเดียว แต่ผมไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้เลย ใจมันหวิวๆ กลัวว่าสิ่งที่วินพูดมาจะเป็นเรื่องจริง ถ้าปูนโกรธต้องง้อแบบไหนนะ ถึงจะไม่เข้าใจตัวเองว่ารู้สึกยังไงกับเขา แต่ก็ไม่อยากโดนเกลียด... คงเจ็บพิลึก

"ทาร์ต... ยูจะไม่ไปตามน้องเหรอ"
อยู่ๆ วินที่เงียบไปนานก็ถามขึ้นแล้วยื่นหน้ามาใกล้ ผมส่ายหน้าอย่างจนใจเพราะไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ถ้าตามกันง่ายๆ ไม่มานั่งกระดกเหล้าหรือถอนหายใจทิ้งแบบนี้หรอก

"ไอไม่รู้ว่าน้องไปที่ไหน คอนโดไอ้กู๊ดอยู่ตรงไหนของภูเก็ตยังไม่รู้เลย"
ผมถอนหายใจแล้ววางโทรศัพท์ลงที่เดิมอีกครั้งเนื่องจากนั่งจ้องจนตาแทบถลนก็ยังไม่มีอะไรตอบสนองกลับมาแม้กระทั่งการอ่านข้อความยังไม่มี นี่โดนปูนโกรธแล้วจริงๆ ใช่ไหม รู้สึกหน่วงว่ะ

"โทรหาหรือยัง ไลน์ไปก็ได้"

"ทำหมดแล้ว แต่ไม่มีการตอบรับเลยว่ะ"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง กำลังจะคว้าแก้วมากระดกอีกรอบแต่โดนวินห้ามไว้ซะอย่างนั้น อยากดื่มให้มันเมาๆ สักที จะได้ไม่ต้องว้าวุ่นขนาดนี้

"พอแล้วน่าทาร์ต เราออกไปจากร้านกันเถอะ"
วินพูดก่อนจะคลี่ยิ้มให้กันเล็กน้อยแล้วเรียนพนักงานมาคิดค่าเสียหายของคืนนี้ ผมกะจะจ่ายแต่พี่สาวคนดีก็ห้ามไว้แล้วบอกว่าเลี้ยงต้อนรับที่น้องชายยอมกลับไทยสักที

"ยูไม่กลับไปหาเพื่อนที่โต๊ะแล้วเหรอ"

"หึ ไม่แล้วล่ะ พวกนั้นมองยูเหมือนอยากเขมือบเข้าไปทั้งตัว ไอขนลุกแทน"

"อ้อ... โอเค"

ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเพื่อส่งข้อความหาปูนอีกรอบด้วยมือที่สั่นเทามากกว่าเดิม ผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ยอมติดต่อกันเลย... จากที่หวงก็เริ่มเป็นห่วงกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นหรือเปล่า

Tart : กำลังจะออกจากร้านแล้วนะ

กดส่งไปแล้วมองมันอยู่แบบนั้นจนวินที่เดินอยู่ข้างๆ ต้องยกมือขึ้นบีบต้นแขนกันเบาๆ ดวงตากลมที่ฉายแววดุมาตลอดเวลากลับอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด คงสมเพชน้องชายคนนี้ล่ะมั้ง

"ให้เวลาปูนหน่อยไหม น้องอาจอยู่ในช่วงไม่อยากคุยอะไรกับยูก็ได้"

"ไอ... จะบ้าตายแล้ว แม่ง ไม่รู้จะทำไงดี"
ผมขยี้หัวตัวเองแรงๆ ไม่สนเลยว่ามันจะยุ่งเหยิงแค่ไหน เสื้อเชิ้ตที่ใส่เรียบร้อยมาในตอนแรกกลับหลุดลุ่ยเพราะการเคลื่อนไหวตัวแบบรุนแรงหลายต่อหลายครั้ง วินส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะผลักไหล่ให้เดินไปที่รถสีแดงคันหนึ่ง ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นของเธอ เห็นตัวเล็กๆ หน้าสวยๆ แบบนี้ขับรถครอบครัวด้วยว่ะ

"จะโทษใครล่ะ ยูทำตัวเองทั้งนั้น ไปขึ้นรถได้แล้ว"
วินโบกมือไล่ให้ผมเดินไปขึ้นรถด้วยท่าทางที่แสดงออกว่ารำคาญกัน จะขัดขืนจะงอแงก็คงไม่ใช่เรื่องเลยทำตามเธออย่างเลี่ยงไม่ได้

ภายในรถเงียบเชียบจนได้ยินเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศอย่างชัดเจน อยากจะเอื้อมมือไปเปิดวิทยุเพื่อคลายความตึงเครียดในสมองแต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวจะไปทำลายสมาธิคนขับรถ แต่เหมือนวินจะเข้าใจความคิดกันเลยเหลือบมองมาทางนี้เล็กน้อย

"จะเปิดวิทยุก็เปิดไป"
เธอพูดขึ้นแล้วตั้งใจขับรถต่อไป ผมพยักหน้ารับก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดวิทยุ เสียงเพลงเศร้าดังขึ้นจนอยากจะเปลี่ยนให้พ้นๆ แต่สุดท้ายก็ทนฟังมันจนจบเพลงไปได้ อยากเมา อยากนอนหลับแบบไม่รู้เรื่องฉิบหาย ไม่อยากคิดอะไรฟุ้งซ่านเลย

"วินอยู่คอนโดคนเดียวเหรอ"
ผมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา สายตามองทอดไปตามถนนที่ว่างเปล่า เมืองภูเก็ตยามค่ำคืนช่างเงียบสงบดีเหลือเกิน แต่บางครั้งก็ให้ความรู้สึกเหงาชอบกล

"คนเดียวสิ จะให้ไออยู่กับใครล่ะ แฟนก็ไม่มี"
วินพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป ทั้งๆ ที่อายุเกือบจะสามสิบอยู่แล้วไม่ซีเรียสบ้างเหรอวะ ผมหันหน้ากลับมามองพี่สาวก่อนขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย

"ทำไมไม่มีแฟนวะ ยูก็สวยขนาดนี้ หรือว่าดุจนไม่มีใครกล้าจีบ"
วินเป็นคนที่สวยมาก หุ่นดี ส่วนสูงเทียบเท่านางแบบคนหนึ่งได้เลย น้ำเสียง กิริยาท่าทาง ฐานะ นิสัย ล้วนแต่ไม่มีข้อบกพร่อง ควรจะมีคนเข้ามาแจกขนมจีบเยอะแยะสิ แปลกใจจริงๆ ที่เห็นคนเพียบพร้อมขนาดนี้โสด

"ไม่มีคนที่ถูกใจน่ะ ยูเข้าใจปะ ตั้งแต่เกิดจนตอนนี้ยังไม่เห็นจะมีใครเข้ากับไอได้เลยสักคน"

"ขึ้นคานแน่ๆ เลยวิน"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะ แต่วินทำแค่เพียงไหวไหล่อย่างไม่แคร์อะไร ก็นะ... ไม่มีแฟนเธอก็อยู่ได้มาตลอด ไม่ใช่อุปสรรคอะไรสักหน่อย

"ว่าแต่ไอ ยูก็ระวังขึ้นคานนะทาร์ต ถึงจะมีแฟนมาแล้วหลายคน ยูก็ไม่เคยรักใครจริงๆ ใช่ไหมล่ะ กับเจนอะไรนั่นก็แค่อยากลองซื่อสัตย์ไม่ใช่เหรอ"
วินพูดอย่างกับมานั่งค้นความลับในหัวใจของผม ที่ว่ามาทั้งหมดนั่นเป็นความจริงที่ไม่อาจเถียงได้ ใช่แล้วที่บอกว่าไม่เคยรักใคร ใช่แล้วที่บอกว่าแค่อยากลองซื่อสัตย์... ทำไมกันนะ ถึงจะมีผู้หญิงแสนดีเข้ามามากแค่ไหน พวกเธอก็ดูน่าเบื่อไปซะหมด

"ยูรู้จักไอมากกว่าที่ไอรู้จักตัวเองอีกมั้ง"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนแล้วคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา รถจอดสนิทอยู่ที่คอนโดมีเนียมหรูแห่งหนึ่ง วินจัดแจงเก็บสัมภาระลงจากรถโดยมีน้องชายอย่างผมช่วยเธออีกแรง

ห้องพักตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่นที่ทำให้คนอยู่อาศัยรู้สึกผ่อนคลาย ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาหนังสีขาวสะอาดแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาปลดล็อกหน้าจออีกครั้ง ไม่มีแม้แต่การตอบกลับหรือสัญญาณการตอบรับจากปูนเลยแม้แต่นิดเดียว ที่วินบอกว่าควรให้เวลานั้น... ผมทำไมได้

Tart : ปูน...
Tart : เฮ้อ ไม่ตอบจริงๆ เหรอวะ

ส่งไปอีกสองข้อความก่อนจะโยนโทรศัพท์ไว้ข้างตัวแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างคนหมดแรง สภาพร่างกายตอนนี้ไม่พร้อมจะลุกไปอาบน้ำอีกรอบด้วยซ้ำ ทั้งทีรู้สึกง่วงจนตาแทบปิดแต่ไม่สามารถหลับได้เลย เป็นห่วงปูน... อยากขอโทษ แต่ถ้าโดนถามกลับมาว่าเรื่องอะไรจะให้ตอบยังไงล่ะ

"จะอาบน้ำไหม"
วินทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะส่งแก้วน้ำดื่มมาให้กัน ผมรับเอาไว้แล้วกระดกมันลงคอจนหมดในรวดเดียว

"มีชุดให้เปลี่ยนหรือไง"
ผมถามกลับไปแล้วเหลือบสายตามองคนข้างๆ ที่ทำหน้าเอ๋อๆ คงจะลืมไปแล้วว่าไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยน จะใส่ชุดของวินก็คงไม่ได้หรอก ขาดกันพอดี

"มีก็บ้าแล้ว ไอจะไปนอนแล้วนะ พรุ่งนี้ทำงานเช้า"
วินลุกขึ้นยืนก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กน้อย ผมพยักหน้ารับแล้วใช้มือจิ้มเอวเธอเบาๆ เป็นการแกล้ง

"แกล้งเหรอ เดี๋ยวจะโดนเตะก้านคอนะยู ไอเรียนคาราเต้ได้สายดำแล้วด้วย ไม่อยากจะอวด!"
วินหันมาทำหน้ายุ่งใส่กันแล้วใช้มือผลักหัวผมเบาๆ ก่อนจะเดินหนีไปจัดการธุระของตัวเองเพื่อจะเข้านอน คิดว่าสาเหตุที่เธอโสดอาจจะเพราะผู้ชายทุกคนในโลกนี้อ่อนแอกว่าพี่สาวคนนี้ก็เป็นได้ ผู้หญิงอะไรเรียนคาราเต้จนได้สายดำ เล่นบาสฯ อีก สมัยเรียนนึกว่าจะกลายเป็นทอมบอยซะแล้ว แมนจริงๆ

ได้เวลาเข้านอนแต่ผมก็ยังตาสว่างอยู่บนโซฟาตัวเดิม แขนข้างหนึ่งยกขึ้นก่ายหน้าผาก ส่วนมืออีกข้างกดโทรศัพท์ไปมาอย่างคนไม่มีอะไรทำ แอพพลิเคชั่นสีเขียวมะนาวยังคงแจ้งเตือนข้อความมากมายจากเหล่าคนรู้จักหรือเพื่อนสนิทไม่หยุด แต่คนที่กำลังรอกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่จะเปิดอ่านยังไม่เลย อยากเจอ อยากขอโทษต่อหน้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้

Tart : พรุ่งนี้มารับพี่ที่คอนโด x ด้วย
Tart : ฝันดี

ถ้าผมเป็นคนอ่านคงรู้สึกแย่มาก แต่ความอยากรู้ว่าปูนจะทำยังไงมีอยู่มากจนทำให้การแสดงออกเป็นในทิศทางไม่รู้สึกผิด ทั้งๆ ที่ใจว้าวุ่นแทบบ้า อยากโทรไปหาอีกครั้ง แต่เมื่อเหลือบมองเวลาตรงด้านบนขอบจอแล้วได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ป่านนี้คงหลับไปแล้วล่ะมั้ง

ผมกดล็อกหน้าจอแล้ววางมันทิ้งไว้บนโต๊ะรับแขกก่อนจะหลับตาลงเพื่อคลายความตึงเครียดลง ความคิดในสมองกระจัดกระจายจนหน้าโมโห ไม่สามารถตั้งสติหรือค้นหาคำตอบที่ยังค้างคาให้ตัวเองได้เลย ความสับสนในขณะนี้มีมากกว่าตอนตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศอีก

ร่างกายรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาดื้อๆ เหมือนมีตัวอะไรมานั่งทับกลางอก ผมพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากเพราะแสงอาทิตย์ยามเช้าแยงตา กว่าจะปรับโฟกัสได้มือหนาก็สัมผัสเข้ากับก้อนขนนุ่มนิ่ม...  มันคืออะไรวะ

"ไข่ตุ๋น ไปนอนอะไรบนตัวทาร์ตล่ะนั่น ลงมากินอาหารเร็ว!"
เสียงหวานๆ ของวินเรียกชื่ออะไรบางสิ่งบางอย่างที่นอนทับหน้าอกผมอยู่ ตากที่มือสัมผัสได้ว่าคือก้อนขนดวงตาก็ปรับความชัดเจนได้จนรู้ว่ามันคือสัตว์ชนิดหนึ่ง แต่คือตัวอะไรนั้นยังคงเป็นปริศนา ก็เล่นหันก้นให้กันขนาดนี้

"วินเลี้ยงตัวอะไรเนี่ย"
ผมถามออกไปด้วยเสียงงัวเงีย เหลือบไปมองอีกทางก็เห็นวินกำลังเทอาหารเม็ดใส่ชามอยู่ตรงมุมห้องก่อนจะหันมาทำหน้ายุ่งใส่กัน

"Scottish Fold"
คำตอบสั้นๆ ทำให้ผมเบิกตากว้างขึ้นทันที เพราะด้วยความที่ไม่ชอบแมวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งรู้ว่ามันกำลังนอนอยู่บนตัวไม่รู้จะทำยังไงดี อยากจะลุกหนีแต่ก็กลัวมันกัดเอา เล็บคม ฟันแหลม ถึงจะน่ารักแค่ไหนก็... บรื๋อ!

"ระ รีบเอามันลงไปจากตัวไอเลยนะวิน ไอไม่ชอบแมว"
ผมพูดเสียงตะกุกตะกักแล้วทำตัวแข็งเพราะกลัวเจ้าก้อนขนสีส้มขาวจะหันมาแยกเขี้ยวใส่กัน วินที่ยืนมองอยู่ทำหน้าเหมือนเจอมนุษย์ต่างดาวก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่นเพื่อเยาะเย้ยกัน ก็คนมันกลัวแมวนี่หว่า ตอนเด็กๆ เคยโดนข่วนเลือดซิบๆ จำฝังใจก็ไม่แปลก

"ยูทำให้ไอปวดท้องนะทาร์ต ตัวโตอย่างกับควายแต่กลัวแมวเนี่ยนะ ไอ้ไข่ตุ๋นมันใจดีน่า ที่ขึ้นไปนอนแบบนั้นคงถูกใจยู"
วินยังคงไม่ยอมเข้ามาอุ้มไอ้ตัวกลม ผมได้แต่แสดงสีหน้าเหยเกส่งไปให้เจ้าของมัน ไม่มีท่าทีว่าแมวตัวนี้จะขยับเลย ขนาดเทอาหารล่อไว้ขนาดนั้น แม่ง...

"ไม่เอาเว้ย ไอไม่ชอบ รีบอุ้มมันลงไปเลย"
ผมเริ่มพูดเสียงรอดไรฟัน คนมันกลัวอะไรก็ไม่กล้าทำ แม้แต่ขยับตัวก็เถอะ วินไหวไหล่แบบไม่แคร์อะไรก่อนจะหมุนตัวไปทางครัวหน้าตาเฉย เดี๋ยวสิวะ เอาแมวไปก่อน!

"วิน อย่าแกล้ง!"
ผมตะโกนออกไปอย่างลืมตัวทำให้ไอ้ไข่ตุ๋นสะดุ้งและกระโดดลงไปยืนบนพื้นทันที เห็นแบบนั้นก็เลยรีบดีดตัวขึ้นจากโซฟาด้วยความโล่งอก ลูบหน้าลูบตาตัวเองยกใหญ่ จริงๆ

"ไม่แมนเล้ย"

"เออ"

เช้านี้วินเป็นคนเตรียมอาหารให้ด้วยเมนูง่ายๆ อย่างไข่ดาว เบคอนทอดและขนมปังปิ้ง ผมที่โดนไล่ให้ไปล้างหน้าล้างตากลับมาหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อเอาไปชาร์จแบตฯ ปล่อยให้เครื่องดับไปตอนไหนยังไม่รู้เลย พอๆ กับที่เผลอหลับโดยไม่รู้เรื่องราวนั่นล่ะ

ผมยืนรอให้กระแสไฟเข้าตัวเครื่องสักพักแล้วกดปุ่มเปิดเครื่อง รอมันบูทอย่างใจจดจ่อเพราะลุ้นว่าปูนจะตอบอะไรกลับมาหรือยัง ไม่นานนักแจ้งเตือนมากมายก็ผุดขึ้นเต็มไปหมด มีสายไม่ได้รับจากไอ้ฟ่อนด้วยเถอะ ไว้ค่อยโทรกลับก็แล้วกัน ดวงตาคมสะดุดกึกเมื่อเห็นหนึ่งข้อความใหม่จากบุคคลที่รอมาทั้งคืน มันเป็นแค่คำตอบที่แสนสั้นแต่ทำให้ผมแทบกระโดดโลดเต้นไปทั้งห้อง

N' Poon : ครับพี่

"วิน!!! ปูนตอบไลน์แล้วเว้ย"
ผมเรียกวินด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นสุดขีด แล้วรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้รู้สึกดีใจและโล่งใจมากที่อีกคนยังคิดจะตอบกลับกันมาบ้าง แบบนี้ทำให้รู้ว่าเขายังอยู่ดี ไม่ได้เกิดเรื่องร้ายแรงอะไร

Tart : ปูน! ยอมตอบกันสักที อยู่ที่ไหนแล้ว

"โอย! เสียงดัง ตอบกลับมาว่าอะไรเหรอ"
ถึงวินจะดุกันแบบนั้นแต่ก็ยอมเดินออกมาจากห้องครัวทั้งๆ ที่ถือผลส้มเพื่อจะคั้นน้ำ ใบหน้าสวยๆ ขยับเข้ามามองหน้าจอก่อนที่คิ้วเรียวจะขมวดเข้าหากันแน่น

"แกพิมพ์ไปเป็นสิบครั้ง ไอ้ที่น้องตอบมาน่ะ รับทราบอันไหนล่ะ"

"นี่ไงๆ กำลังรอปูนตอบเว้ย"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นแบบไม่แคร์อะไร วินมองกันสักพักก่อนจะเดินกลับเข้าครัวโดยไม่พูดอะไรอีก

วินยกจานอาหารเช้ามาให้ถึงที่โดยไม่ปริปากบ่นเรื่องที่ผมไม่ยอมเดินไปที่โต๊ะกินข้าวเลยสักนิด แถมยังทิ้งตัวลงข้างๆ กันก่อนจะใช้มือเรียววางแปะลงบนหัวและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่โทรศัพท์เครื่องเก่งในมือเกิดแรงสั่น... สายเรียกเข้าจากปูน!!




ต่อด้านล่างเนอะ


หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 7 -P.2- (01/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 01-04-2017 19:52:05
"ฮะ ฮัลโหล!"
ผมกรอกเสียงตะกุกตะกักลงไปด้วยความตื่นเต้น ดีใจ ผสมปนเปกับความรู้สึกผิดลึกๆ ปลายสายไม่ได้ตอบกลับมาในทันทีแต่ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ รอดออกมาพร้อมกับเสียงใครอีกคนที่กำลังบ่นเรื่องการทำอาหารเช้าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล คงเป็นไอ้กู๊ดนั่นล่ะ

'ครับ เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงจะไปรับ ลงมารอที่ชั้นล่างเลยก็ดี'
เสียงที่ตอบกลับมานั้นราบเรียบจนไม่สามารถจับอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ได้เลยสักนิดเดียว ผมเริ่มหวั่นใจแปลกๆ ไม่น่าปล่อยให้เรื่องราวมันค้างคาข้ามคืนเลยจริงๆ ดูเหมือนอะไรๆ ที่ทำลงไปนั้นจะแก้ยากเหลือเกิน

"อ่า... คือ แฮงค์น่ะ ปวดหัวฉิบหาย กลัวว่าจะเดินลงไปไม่ไหว ปูนช่วยขึ้นมารับบนห้องได้ไหม"
กลั้นใจร้องขอออกไปแบบนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าทำอย่างนี้มันแย่กว่าเดิม ปูนอาจจะกลับบ้านไปเลยก็ได้โดยทิ้งผมเอาไว้ที่นี่ แต่เป็นวิธีแก้ปัญหาเดียวที่ผมคิดออก จะเคลียร์เรื่องเมื่อคืนให้กระจ่างชัด ไม่อยากว้าวุ่นใจแบบนี้อีกแล้ว โคตรทรมาน

'ไม่สะดวกมั้งครับ รบกวน 'ผู้หญิงของพี่' เปล่าๆ ลงมาเถอะ ไม่อย่างนั้นก็หาทางกลับเอาเองแล้วกัน'
น้ำเสียงเริ่มแข็งกระด้าง คำเน้นย้ำเรื่องผู้หญิงของพี่ทำให้ผมคิ้วกระตุก อาการวูบโหวงในช่องท้องชวนให้อยากอาเจียนเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ไม่ได้กินอะไรเข้าไป หรือว่าเครียดลงกระเพาะ

"ปูน... ช่วยขึ้นมาที่ห้องเถอะนะ พี่มีอะไรอยากบอกเยอะแยะเลย รวมทั้งเรื่องของผู้หญิงคนเมื่อคืนด้วย"
ผมพูดข้อร้องเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย อยากให้มาเห็นสภาพจริงๆ ว่าตอนนี้เป็นยังไง ผู้หญิงที่บอกจะหิ้วเมื่อคืนเป็นใคร อยากให้พบเจอด้วยตัวเขาเองไม่ใช่ว่าสักแต่พูดแล้วไม่มีหลักฐาน แต่ดูเหมือนมันจะยาก ยอมรับว่าตัวเองโง่ดักดานเรื่องความรู้สึกของคนอื่นจริงๆ

'ไม่จำเป็นต้องบอกหรอกครับ นั่นเรื่องส่วนตัวของพี่ จะไปนอนกับใคร เอากับใครมันก็ไม่ใช่เรื่องของผม'
ประโยคที่พูดออกมานั่นห่างเหินจนผมใจกระตุก ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อสมองประมวลผลว่าปูนต้องเสียใจมากแน่ๆ ทำยังไงดี

"ปูน... เมื่อคืนไม่ได้เกิดอะไรแบบนั้นขึ้น พี่สาบาน"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น วินยกมือขึ้นมาตบบ่าเพื่อเป็นกำลังใจให้ แต่ในตอนนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย เรื่องรางกำลังแย่ลงไปทุกที

'ผม... อึก ไม่ได้แคร์อะไรนี่ครับ บอกแล้วไงว่าเรื่องของพี่'
เสียงปูนสั่นมากจนผมเดาว่าเขาคงกำลังร้องไห้ เพราะเสียงไอ้กู๊ดที่บ่นเรื่องอาหารเช้ากลับเงียบลงไปดื้อๆ อาจจะกำลังเดินเข้ามาปลอบ กอด ลูบหัว แค่คิดก็รู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจขึ้นมาแล้ว แม่ง

"ไม่ได้ร้องอยู่ใช่ไหม"
ผมถามออกไปแบบนั้นเพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อไป สมองเหมือนเบลอไปชั่วขณะ มันไม่ได้จดจำเลยว่าก่อนหน้านี้ตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง ตลกเนอะ เหมือนคนความจำเสื่อมเลย

'หึ อันนี้มันก็เรื่องของผมครับ พี่ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก'
น้ำเสียงประชดประชันดังลอดออกมา ผมกำโทรศัพท์แน่นจนมันแทบแหลกคามือ ไม่ชอบให้ปูนเป็นแบบนี้ มันดูก้าวร้าวไม่น่ารัก มันห่างเหินจนรู้สึกหน่วงในอก จะโทษใครก็ไม่ได้หรอก ทำตัวเองล้วนๆ

"พี่เป็นห่วงนะปูน โกรธมากเหรอ ขอโทษครับ"
เป็นการถามที่สิ้นคิดที่สุดในโลกนี้แล้ว ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องราวเมื่อคืนมันหนักหนาแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงรู้สึกแย่เมื่อโดนทิ้งไว้กลางทาง ไม่จำเป็นที่จะต้องชอบอีกคนก็รู้สึกเจ็บได้เหมือนกัน

'ใครจะมีสิทธิ์ไป อึก โกรธพี่ครับ ผมก็แค่น้องชายคนหนึ่งที่โดนพี่ชายทิ้งเอาไว้กลางทางแล้วไปมีความสุขกับผู้หญิงคนอื่นต่อ แต่นี้นะ ไม่อยากคุยแล้ว'
สายตัดไปดื้อๆ ให้ผมต้องลนลานอย่างหนัก ตะโกนรั้งทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ทันแล้ว

"เดี๋ยวปูน!!"
หลังจากพูดคำนั้นออกไปแล้วก็รีบผละโทรศัพท์ออกมาเพื่อที่จะกดต่อสายไปหาปูนอีกรอบ แต่วินขัดจังหวะกันไว้ซะก่อนโดยการยื่นมือมารั้งกันไว้

"น้องคงไม่อยากคุยกับยู ถึงจะโทรไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก"
วินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วค่อยๆ ดึงโทรศัพท์ออกจากมือของผมแล้วเลื่อนจานอาหารเช้ามาให้แทน

"แต่..."
ผมขัดขึ้นแล้วมองหน้าวินด้วยดวงตาที่สั่นไหวพอๆ กับหัวใจ กลัว กลัวว่าอีกคนจะเกลียดกัน แต่คิดไปคิดว่าบางครั้งมันก็สมควรแล้วที่จะโดนแบบนี้ โง่เองนี่... แม่งเอ้ย

"เชื่อไอ เดี๋ยวไอจัดการเอง ยูกินข้าวเถอะ"
วินคลี่ยิ้มบางก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้หัวกันเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ผมถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้แล้วพยักหน้ารับ

"อือ ขอบคุณนะวิน"

ผมใช้ส้อมจิ้มไส้กรอกเข้าปากอย่างเชื่องช้า ดวงตาคมจับจ้องแผ่นหลังของวินอย่างแน่วแน่ เธอกำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคนเรื่องเมื่อคืนและเรื่องเมื่อครู่ และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะใส่อารมณ์อย่างหนักด้วยเพราะเครื่องมือสื่อสารถูกผละออกจากใบหูอยู่หลายครั้งหลายคราว ในตอนนี้คิดว่าตัวเองได้รู้ซึ้งถึงจิตใจของคนเป็นโรคเครียดลงกระเพาะแล้วล่ะ เพราะกินอะไรไม่ลงเลย ท้องพยายามจะขย้อนทุกสิ่งทุกอย่างออกมาทุกเมื่อ

"โอย เพลีย!"
วินเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ด้วยใบหน้ายุ่งเหยิงก่อนจะโยนโทรศัพท์ ย้ำว่าโยนลงบนโต๊ะรับแขกอย่างไม่ใยดี ดูท่าทางแล้วคงหัวเสียอยู่ไม่น้อย และนั่นทำให้ผมสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

"ยูคุยกับใครเหรอ"
ผมถามก่อนจะวางส้อมในมือลง อาหารพร่องไปแค่ไส้กรอกคอกเทลสองชิ้น ดวงตากลมของเธอเหลือบมามองกันก่อนที่คิ้วเรียวสวยจะขมวดแน่น ลางสังหรณ์จะโดนเทศน์แน่ๆ

"ยูกินแค่นั้นน่ะเหรอ"

"อือ กินไม่ลงว่ะ"

"สำออยอะไรอีกวะ"
วินถามเสียงเซ็งๆ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วกอดอกมองกัน ดวงตากลมจับจ้องมาอย่างคาดคั้น ผมยอมรับนะว่าโดนด่าแบบนั้นหงุดหงิด แต่ไม่มีแรงจะเถียงอะไรมากมาย

"เฮ้ยๆ อย่าด่ากัน ไอปวดท้องเว้ย"
โวยวายพอเป็นพิธีก่อนจะถอนหายใจเบาๆ อยากจะถามย้ำอีกครั้งว่าเมื่อครู่วินคุยกับใครก็ไม่กล้า เรื่องตัวเองทั้งนั้นกลับขี้ขลาดได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

"ทำไม เครียดเหรอไง"
หลังจากที่เงียบไปสักพักวินก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เธอไม่ได้หันมองกันแต่ทอดสายตาไปเบื้องหน้าเพียงเท่านั้น

"เออ ก็ประมาณนั้น"
พูดเสียงเบาจนแทบเหมือนเสียงกระซิบ เพราะผมไม่เคยเครียดเรื่องอะไรมากขนาดนี้ ปวดท้องจนกินอะไรไม่ลง อาการหนักว่ะ

"เหอะ... ควรจะรู้ใจตัวเองได้แล้วมั้ง เป็นขนาดนี้"


"ทำไมวะ แปลกตรงไหน เป็นห่วงน้องจนเครียดเนี่ย"

"ยูเคยห่วงไอ้ฟ่อนแบบนี้ปะ ก็ไม่เคย แล้วปูนเป็นแค่น้องชายข้างบ้านยูจะวุ่นวายอะไรกับเขานักหนา"
คำพูดของวินทำให้ผมรู้สึกจุกจนไม่สามารถตอบกลับไปในทันที แต่ความคิดแบบเดิมๆ ก็ตอกย้ำว่าควรเชื่อแบบนั่น ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป จะบอกว่าไม่กล้ายอมรับก็คงใช่ มันไม่ชัดเจนและยังสับสน เวลาแค่หนึ่งวันไตร่ตรองอะไรไม่ได้มากนักหรอก

"ไอ้ฟ่อนมันเอาตัวรอดได้นี่หว่า ไม่จำเป็นต้องห่วง แต่ปูนน่ะ... ไม่รู้สิวะ ท่าทางน่าเป็นห่วงยังไงไม่รู้"
ความคิดแบบเดิมๆ ถูกพรั่งพรูออกจากปากด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้ดูปกติธรรมดาที่สุด ไม่มีท่าทางลังเลหรือสับสน แต่จริงๆ แล้วข้างในกลับรู้สึกขัดแย้ง บางสิ่งกำลังร้องเตือนว่ามันไม่ถูกต้อง ผมกำลังโกหกคำโต

"โอย ตามใจแล้วกัน ขี้เกียจยุ่ง แต่ไอขอเตือนนะ ถ้ายูไม่รีบเข้าใจความรู้สึกตัวเองตอนนี้อาจจะกลายเป็นความผิดพลาดตลอดชีวิตก็ได้"
วินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอะไรอยู่สักพักก่อนจะเดินออกไปทางห้องนอน

"....."
ผมได้แต่นั่งเงียบเพราะไม่มีอะไรจะพูดออกไป หัวสมองเบลอไปชั่วขณะทำให้ไม่สามารถคิดหรือวิเคราะห์ได้เลย หัวใจมันหน่วงๆ ปากมันหนัก ร่างกายเหมือนไร้เรี่ยวแรง หรือว่าจริงๆ แล้วผมจะชอบปูน... แต่นั่นผู้ชายแถมยังเป็นน้องที่เห็นกันมาตั้งแต่ยังแบเบาะ มันจะใช่จริงๆ เหรอวะ สับสนจนต้องทึ้งหัวตัวเองไปมาแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงของวินจากทางด้านหลัง

"จัดการเรื่องปูนให้แล้วนะ"

"ห๊ะ ยังไง"
ผมหันขวับไปมองหน้าเธอทันที อยากรู้มานานแล้วว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง เพราะฟังจากน้ำเสียงของปูนก่อนหน้านี้แล้ว ดูท่าทางคงไม่ยอมมาเจอหรือคุยกันง่ายๆ

"ไอ้ฟ่อนจะช่วยพูดเอง"
วินพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่แววตาเต็มไม่ด้วยความขุ่นหมอง ถ้าให้เดาคนที่เปล่งเสียงดังลอดโทรศัพท์ออกมาคงเป็นน้องชายของผมแน่ๆ แต่มันจะได้ผลเหรอ รายนั้นป่าวประกาศจะเป็นจะตายว่าชอบปูน ช่วยผมแล้วได้อะไรล่ะ

"ไหวเหรอวะ รายนั้นชอบปูนนะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเครียดๆ แล้วยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง จากที่จะช่วยเหลือกลายเป็นเพิ่มภาระให้กันหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ปวดหัวเว้ย แม่ง

"เหอะ ก็ยังดีกว่าคนไม่รู้ใจตัวเองล่ะ ถึงฟ่อนจะชอบปูน แต่มันก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ขอบเขตมีแค่ไหน ชอบก็ไม่ได้แปลว่าอยากครอบครองเสมอไป ไม่ใช่หมาหวงก้างแบบคนแถวนี้ รู้สึกยังไงกับเขายังไม่รู้เลย แต่ออกอาการหวงจะเป็นจะตาย"
พูดจบก็ผลักหัวกันก่อนจะเดินผ่านไปเปิดโทรทัศน์ดูรายการยามสาย ผมเบิกตาค้างไม่กล้าขยับตัวไปไหน รู้สึกว่าหน้าชาๆ ปวดหัวใจหนึบๆ ก็จริงอย่างที่วินบอก ผมก็แค่หมาหวงก้างที่ไม่รู้ใจตัวเองแถมยังโง่อีกต่างหาก ต่อจากนี้ไปคงต้องเก็บเรื่องปูนมาคิดอย่างจริงจังแล้วล่ะ รู้สึกยังไงกันแน่วะ แล้วอยากให้เขาอยู่ในฐานะอะไรกันแน่ จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ช่างแม่งมันเถอะ แต่ก่อนอื่น... ต้องเคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้นให้จบก่อน

สู้เว้ย!




---------------------------------------------------

พี่ทาร์ตมันสับสนพอๆ กับเราที่เบลอเลย...
นี่ล่ะหน่าคนที่ไม่เคยรักใครจริงๆ พอเกิดเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกขึ้นมาเลยหาทางไปไม่ถูก
มาลุ้นกันเนอะว่าเมื่อไหร่พี่มันจะหายโง่ แค่กๆๆ หายซึนสักที
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 7 -P.2- (01/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-04-2017 00:34:21
สมน้ำหน้าพี่ทาร์ต :hao3: :hao3: :hao3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 7 -P.2- (01/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 02-04-2017 12:45:28

จับอิพี่ทาร์ตมา  :beat:

หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 7 -P.2- (01/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-04-2017 14:56:27
 :pig4: :pig4:

ชื่อแต่ละตอนชวนหิววววว  อยากกินขนมมมมมมม   :ling1:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 8 -P.2- (06/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 06-04-2017 12:08:18
(http://i.imgur.com/c7TnP3V.png)



สูตรที่ 8

Blueberry Yogurt Muffin
: ไข่ขาว/น้ำตาลทรายแดง/ไข่แดง/กรีกโยเกิร์ต/น้ำผึ้ง/นมสด/เกลือ/แป้งโฮลวีท/เบกกิ้งโซดา/บูลเบอร์รี่ :




โทรศัพท์เครื่องเก่งถูกตัดสายลงทันทีเมื่อความอดทนในการคุยหมดลง โดนทิ้งเมื่อคืนคงยังไม่สาแก่ใจของพี่ทาร์ตเท่าไหร่ เพราะเมื่อครู่ยังบอกให้ขึ้นไปรับบนห้องพักของผู้หญิงคนนั้น เขาจะรู้บ้างไหมว่าหัวใจคนๆ หนึ่งนั้นเปราะบางแค่ไหน มันปวดหนึบจนน้ำตาไหล ทำร้ายกันมากเกินไปหรือเปล่านะ

"ไม่ร้องดิวะปูน ขี้มูกย้อยแล้วเนี่ย สกปรก"
ไอ้กู๊ดทั้งปลอบทั้งด่ากันไปแต่ก็พยายามหยิบทิชชู่มาซับน้ำตาให้ ผมรู้ว่ามันไม่ได้จริงจังอะไรแค่อยากให้รอยยิ้มที่เคยมีกลับคืนมา แต่ตอนนี้มันยากเหลือเกิน

"กู... เจ็บ ทิ้งกันไม่พอ วันนี้พี่ทาร์ตยังบอกให้ขึ้นไปรับบนห้องผู้หญิงคนนั้นอีก จะตอกย้ำกันไปถึงไหนวะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแล้วฟุบหน้าลงกับมือทั้งสองข้างของตัวเอง ปล่อยน้ำตามากมายให้ไหลอยู่แบบนั้น อยากจะหยุดร้องอยู่หรอก แต่มันทำไม่ได้จริงๆ ยอมรับว่าตอนนี้ไม่มีความแมนหลงเหลือเลย เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่กำลังเสียใจเพราะความรัก ถ้ามีแล้วมันแย่แบบนี้ เลิกรู้สึกเลยดีไหม ถ้าทำได้ง่ายๆ คงดี

"ใจเย็นๆ นะเว้ยปูน พี่เขาบอกว่ามีเรื่องจะเคลียร์แล้วก็ไม่ได้เกิดการคลุกวงในกับผู้หญิงคนนั้นนี่หว่า จะไม่เชื่อหน่อยเหรอ"
เสียงไอ้กู๊ดดูไม่มั่นใจสักเท่าไหร่แต่ก็พยายามปลอบกัน ผมปาดน้ำตาทิ้งลวกๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทด้วยดวงตาสั่นไหว ปากบางเม้มเข้าหากันแน่นจนรู้สึกเจ็บ ควรเชื่ออะไรคนอย่างพี่ทาร์ตเหรอ...

"จะให้เชื่ออะไรล่ะ... กูสับสนไปหมดแล้ว"
ผมไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนหลอกเพราะนิสัยขี้เล่นขี้แกล้งของเขาส่วนหนึ่ง ถ้าไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วก็ยากที่จะปักใจเชื่อคำพูดลมๆ แล้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานนั่น ถ้านึกใจแข็งสักนิดแล้วยอมไปรับพี่ทาร์ตอาจจะได้รู้อะไรที่อยากรู้ แต่ผมกลัว กลัวว่าหัวใจจะแหลกไปซะก่อน

"กูก็... ไม่ได้รู้จักพี่ทาร์ตดีเหมือนมึงหรอก"
กู๊ดมองกันนิ่งแล้วยกมือข้างหนึ่งมาลูบแผ่นหลังเป็นการปลอบประโลม ผมเผลอสะดุดลมหายใจของตัวเองไปหนึ่งจังหวะเมื่อได้ยินคำพูดนั้น รู้จักคนที่ชื่อธิติพัฒน์ดีอย่างนั้นเหรอ... คงไม่ใช่ในปัจจุบันหรอก

"รู้จักดีเหรอวะ... กูอาจไม่ได้รู้จักพี่ทาร์ตจริงๆ เลยก็ได้ ระยะเวลาเกือบสิบปีมันสามารถเปลี่ยนนิสัยคนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้สบายๆ อึก"
ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ขาดห้วงเพราะรู้สึกว่าก้อนสะอื้นจะขึ้นมาจุกอยู่ตรงหน้าอกอีกครั้ง หัวใจกำลังบีบตัวอย่างหนักจนต้องยกมือขึ้นมาจับที่ตำแหน่งนั้นไว้ ประคองมันให้คงอยู่เพื่อไม่ให้แตกสลายเพราะการทำลายของคนๆ หนึ่ง พี่ทาร์ตสมัยเด็กๆ คือคนที่ผมรู้จักดี แต่ในปัจจุบันแล้วเขาเหมือนเป็นคนแปลกหน้า

"แต่มันเปลี่ยนความรักของมึงไม่ได้ใช่ไหมปูน"
กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงแล้วมองกันด้วยแววตาเศร้า ผมได้แต่เม้มปากและไม่เปล่งเสียงอะไรออกไปแม้แต่นิดเดียว

"....."
จะให้ปฏิเสธก็พูดไม่ออก ยังอึ้งสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้รับรู้อยู่เลย ไม่เข้าใจด้วยว่าไปเผลอใจรักคนเจ้าชู้และไม่แคร์โลกแบบนั้นได้ยังไงกันนะ ขอคำชมว่าเขาเพอร์เฟ็คกลับมาได้ไหม

Rrrrr

เสียงริงโทนที่คุ้นหูทำให้ผมต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อีกครั้งห่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู รายชื่อสายเรียกเข้าทำให้คิ้วขมวดจนแทบเป็นปม ไม่อยากคุยกับพี่ทาร์ตแต่ไอ้ฟ่อนดันโทรมาซะอย่างนั้น หวังว่าคงเป็นเรื่องอื่นนะ

"กูขอไปรับโทรศัพท์นะ"
ผมหันไปบอกไอ้กู๊ดก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินเซไปที่ระเบียงห้อง ดวงตารีหรี่ลงเมื่อเจอแสงแดดยามสาย ประเทศภูเก็ตไม่ว่าจะช่วงเวลาไหนก็ร้อนจนผิวจะไหม้อยู่ดี

"ว่าไง"
ผมกรอกเสียงที่พยายามปรับให้ปกติลงไปหลังจากสไลด์หน้าจอเพื่อรับสาย กระเพาะอาหารบีบตัวเล็กน้อยเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักนิด ปวดว่ะ... แต่ยังทนได้

'เฮ้อ นึกว่าจะไม่รับสายกันซะแล้ว'
ปลายสายถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแต่นั่นทำให้ผมต้องขมวดคิ้วแน่น รู้สึกว่าคำพูดของไอ้ฟ่อนฟังแล้วมันทะแม่งๆ แปลกๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่

"อะไรของมึงวะฟ่อน บ่นอะไร"
ผมกรอกเสียงเซ็งๆ ใส่โทรศัพท์แล้วเสยผมที่ปรกหน้าขึ้นไปด้านบนเมื่อสายลมร้อนพัดผ่านไป ไอแดดทำให้ต้องหาที่หลบมุมอย่างช่วยไม่ได้

'เปล่าๆ พี่ปูนทะเลาะกับพี่ทาร์ตเหรอ'
ฟ่อนถามกลับมาด้วยประโยคที่ผมไม่อยากฟังมากที่สุดในตอนนี้ ลมหายใจสะดุดกึกแทบจะทันที ความคิดมากมายกำลังบีบคั้นให้อาการปวดหัวก่อตัวขึ้น บ้าเอ้ย ไม่น่ารับสายน้องมันเลยจริงๆ

"ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหนวะ ตัวอยู่ตั้งกรุงเทพฯ ไม่ใช่หรือไง"
ผมเลี่ยงจะตอบคำถามตรงๆ แล้วใช้มือนวดขมับเบาๆ เป็นการช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ดวงตาที่ผ่านการร้องไห้มาเมื่อครู่รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง ไม่อยากเป็นคนอ่อนแอแบบนี้เลย อะไรสะกิดนิดหน่อยก็ไม่ได้ พาลจะเป่าปี่อยู่เรื่อย

'นี่... ถึงฟ่อนจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อยากให้พี่ปูนฟังสิ่งที่พี่ทาร์ตจะพูดได้ไหม'
น้ำเสียงวอนขอทำให้ผมต้องเม้มปากแน่น ที่จริงก็อยากจะกลั้นใจฟังเรื่องทั้งหมดจากปากพี่ทาร์ตอยู่หรอก แต่มันกลัว... กลัวว่าสิ่งที่เขาบอกว่าจะทำนั้นได้เกิดขึ้นไปแล้ว

"จะให้กูฟังอะไร เรื่องที่พี่ทาร์ตนอนกกผู้หญิงงั้นเหรอ อึก น่าขยะแขยงว่ะ"
ผมเลือกที่จะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบพยายามไม่แสดงอาการสั่นไหว แต่สุดท้ายก้อนสะอื้นก็จุกขึ้นมาอีกรอบ ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่... ไม่มีน้ำตาจะร้องไห้แล้ว ปวดหัวฉิบหาย

'เฮ้ย พี่ทาร์ตไม่ได้กกใครนะพี่ปูน ฟ่อนเป็นพยานได้เลย'
ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงตกใจและรัวจนแทบฟังไม่ออกแต่ก็จับใจความได้ว่าอีกคนไม่ได้นอนกกผู้หญิงอย่างที่ผมบอกไป ก็ถ้าไม่ใช่แบบนั้นมันจะแบบไหน เมื่อคืนยังชวนกันไปต่ออยู่เลย คิดแล้วก็ปวดใจจนกำหมัดแน่น อยากต่อยหน้าหล่อๆ นั่นสักที... หึ

"มึงจะแก้ตัวแทนพี่ทาร์ตทำไม น้องที่ประเสริฐงั้นเหรอ"
ผมพูดกระแทกไอ้ฟ่อนไปแบบนั้นก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่พื้นระเบียงโดยไม่สนใจว่ามันจะสกปรกแค่ไหน ตอนนี้เรี่ยวแรงในร่างกายหมดไปกับการร้องไห้ มือเรียวยกขึ้นขยี้ปลายจมูกไปมาเมื่อรู้สึกว่าหายใจไม่ออก เกลียดอาการที่เป็นอยู่สุดๆ เพราะเราไม่สามารถบังคับน้ำเสียงให้ปกติเหมือนเดิมได้อีกแล้ว

'แก้ตัวบ้าอะไรวะพี่ปูน พี่ทาร์ตมันอยู่กับพี่วินเว้ย เป็นลูกพี่ลูกน้องกับฟ่อนเอง ผู้หญิงคนเมื่อคืนนั่นน่ะ'
ไอ้ฟ่อนโวยวายกลับมาจนผมต้องผละหูออกจากโทรศัพท์แต่ยังคงได้ยินประโยคสนทนาชัดแจ๋ว ดวงตารีเบิกกว้างเมื่อคำพูดเหล่านั้นกระทบโสตประสาทการรับรู้เข้าอย่างจัง นี่มันเรื่องอะไรกัน ใครโกหก...

"อะไรนะ! ลูกพี่ลูกน้องงั้นเหรอ แล้วทำไม... เล่นบ้าอะไรกัน"
ผมโวยเสียงดังในต้นประโยคแต่กลับแผ่วช่วงท้ายเมื่อสมองรู้สึกสับสนขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องราวมากมายกำลังผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ความตึงเครียดเพิ่มจนรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด

'ถ้าบอกเรื่องจริงไปแล้ว พี่ปูนสัญญากับฟ่อนได้ไหมว่าจะไม่โกรธพี่ทาร์ตไปมากกว่านี้'
ปลายสายพูดเสียงแผ่วเหมือนต้องการขอร้องให้ผมใจเย็นลงอีกสักนิดและปรานีพี่ชายของเขาอีกสักหน่อย ผมส่ายหน้าไปมาด้วยความไม่เข้าใจอะไรสักอย่างก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองแรงๆ เพราะไม่รู้จะทำยังไงกับเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้มาเมื่อครู่ พี่ทาร์ตหลอกกันเพื่ออะไร คิดไม่ออกเลยว่ะ

"....."
คิดสะระตะไปเรื่อยจนเผลอเงียบใส่อีกคน

'พี่ปูน... ไม่เงียบสิ พี่ทาร์ตเครียดมากเลยนะ กินอะไรก็ไม่ลง'
น้ำเสียงร้อนรนถูกส่งมาจากปลายสาย ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโดนดึงออกมาจากห้วงความคิดของตัวเอง พี่ทาร์ตเครียดอย่างนั้นเหรอ เชื่อได้สักสิบเปอร์เซ็นไหมล่ะคนแบบนั้น วันๆ ดูเป็นคนไม่คิดอะไรจะตายไป

"ช่างเขาสิ ทำไมกูต้องแคร์ด้วยล่ะ"
ผมบอกไปแบบนั้นเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าความรู้สึกลึกๆ ก็แอบเป็นห่วงคนใจร้ายอยู่เหมือนกัน แต่ความโกรธก็ยังคงมีหลงเหลืออยู่มากทำให้การใจอ่อนถูกปัดตกไปง่ายๆ เจ็บแล้วจำคือคนเพราะผมไม่ใช่ควาย

'แน่ใจเหรอว่าไม่แคร์'
ไอ้ฟ่อนถามย้ำด้วยน้ำเสียงที่แสดงความอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่ปิดบัง ผมได้แต่พ่นลมหายใจใส่โทรศัพท์แรงๆ เหมือนคนเริ่มรำคาญ หวังว่าทำแบบนี้คงจะลดความเผือกของมันลงได้บ้างล่ะนะ

"เออ บอกมาสักทีเถอะ กูเริ่มรำคาญมึงแล้ว"

'ร้ายใส่ตลอดคนอะไร'
มีตัดพ้อด้วยน้ำเสียงงอนๆ แต่ใครจะสนใจล่ะ ผมก็โกรธพี่ชายมันอยู่นะ เล่นสนุกกับความรู้สึกคนอื่นดีนัก ถ้าโดนเอาคืนบ้างจะเป็นยังไงนะ แค่คิดก็สนุกแล้ว

"ยังอีก ถ้าไม่พูดกูจะวางแล้วนะ เสียเวลา"
ผมขู่กลับไปอย่างนั้นแต่ใจจริงแล้วไม่ได้จะวางสายแต่อย่างใด อารมณ์ไม่คงที่ หิวก็หิว อยากรู้ก็อยากรู้ ใจก็ยังปวด... แม่ง น่าหงุดหงิดไปหมด

'เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งวาง คือพี่ทาร์ตอยากพิสูจน์ว่าพี่ปูน เอ่อ... ชอบตัวเองหรือเปล่าน่ะ เลยคิดวิธีงี่เง่าแบบนี้ขึ้นมา'
เสียงปลายสายเบามากแทบเหมือนการกระซิบแต่ผมกลับได้ยินอย่างชัดเจนจนทำให้หัวใจเต้นโครมครามอย่างน่ากลัว เมื่อครู่ไม่ค่อยแน่ใจว่าหูฟาดไปหรือเปล่า เลยยกมือข้างที่ว่างตบเบาๆ เข้าที่แก้มของตัวเองเพื่อเรียกสติที่เพิ่งหลุดลอยไปให้กลับมา ไอ้ฟ่อนบอกว่าอะไรนะ...

"อะ อะไรนะ พิสูจน์เรื่องอะไรนะ"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ดวงตารีเริ่มกรอกไปมาด้วยความกลัวปนตื่นเต้น สับสนมึนงงไปหมด ไอ้กู๊ดที่ยืนโบกมือให้กันจากในห้องก่อนจะพูดแบบไร้เสียงว่าอาหารมื้อเช้าเสร็จแล้วยังไม่สามารถทำให้ผมหลุดจากอาการเบลอๆ นี้ได้เลย ความหิวที่เคยมีมา อาการปวดหัวที่ไม่มีทางจะทุเลา ตอนนี้เหมือนมันจางหายไปแบบไร้ร่องรอย

'พิสูจน์ว่าพี่ปูนชอบพี่ทาร์ตหรือเปล่า'

"ห๊ะ... เฮ้ย เรื่องเหี้ยอะไรเนี่ย พิสูจน์อะไร บ้าไปแล้ว"
ผมพูดออกไปรัวๆ จนแทบฟังไม่เป็นภาษาคน หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา มือเรียวทาบลงบนหน้าอกเพื่อหวังว่าจะทุเลาอาการตกใจนี้ลงได้บ้าง ไม่เคยคิดจะสารภาพให้อีกคนรู้เพราะกลัวว่าจะถูกหนีหน้า กลัวว่าพี่ทาร์ตจะรับไม่ได้ที่มีน้องชายคิดไม่ซื่อแบบนี้ แล้วทำไมกลายเป็นว่าตัวเองโดนพิสูจน์ไปได้ แสดงออกมากไปอย่างนั้นเหรอ...

'พี่ทาร์ตมันโง่เรื่องแบบนี้น่ะ แล้วพี่ปูนชอบพี่ทาร์ตหรือเปล่า พอจะตอบฟ่อนได้ไหม'
เหมือนฟ่อนไม่ได้ฟังคำตอบของผมเลยด้วยซ้ำ ที่บอกว่าพี่ทาร์ตโง่นั่นหมายถึงอะไร วิธีการพิสูจน์อย่างนั้นเหรอ สงสัยแต่ไม่กล้าถาม ความรู้สึกตอนนี้มันหน่วงมากกว่าที่เขาขอไปต่อกับผู้หญิงอีก... ถ้าความจริงเรื่องที่ผมชอบเขาเปิดเผยขึ้นมาเรายังจะมองหน้ากันติดอีกไหมนะ

ผมไม่ควรโกรธเขาต่อแล้วเหรอ ทำไมต้องรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิดที่ทำให้อีกคนระแวงด้วยล่ะ ควรทำยังไงดี ตอนนี้รู้แค่อย่างเดียวว่าจะให้ใครล้วงความลับของตัวเองไปได้ ยิ่งเป็นไอ้ฟ่อนด้วยแล้วต้องปิดให้มิดชิดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์และน้ำเสียงของตัวเองก่อนจะกรอกเสียงเนือยๆ ลงไป

"จะเอาไปบอกพี่ทาร์ตเหรอไง"
แล้วทำไมผมต้องเลือกใช้ประโยคแบบนั้นแทนที่จะเป็นการปฏิเสธด้วยนะ ปากพาซวยจนต้องยกมือขึ้นมาตีๆๆ ด้วยความโง่ของตัวเอง ทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง แล้วไหนจะไอ้กู๊ดที่ยืนเท้าเอวมองกันอย่างเอาเป็นเอาตายนั่นอีก แค่ไม่ขยับตัวไปกินข้าวจำเป็นต้องสวมบทพ่อใจโหดเลยเหรอ ไม่เข้าใจว่ะ

'เปล่า... เรื่องอะไรที่ฟ่อนจะช่วยล่ะ ให้พี่ทาร์ตหาความจริงเอาเองสิ ที่ถามก็เพราะอยากรู้ จะได้เตรียมตัวถูก'
ปลายสายใช้น้ำเสียงที่ฟังสบายๆ มากกว่าตอนแรกอยู่เล็กน้อย ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่ฟ่อนพยายามสื่อสักเท่าไหร่ ถ้าได้คำตอบไปแล้วน้องมันต้องเตรียมตัวอะไรวะ งงในงงสุดๆ

"เตรียมตัวอะไรวะ"
ถามออกไปด้วยความงงก่อนจะโบกมือไล่ไอ้กู๊ดที่เริ่มเดินตรงมาทางนี้ สงสัยจะทนรอให้ผมไปกินข้าวเช้าไม่ไหวแน่ๆ แต่ใครใช้ให้มันแขวนท้องรอล่ะวะ ทำอย่างกับเป็นครอบครัวที่ต้องกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันไปได้ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว ดีนะที่ปัจจุบันนี้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่มีคนไหนคิดไม่ซื่อเหมือนแต่ก่อน ถ้าเป็นแบบนั้น ตอนนี้คงลำบากใจแย่

'ก็เตรียมตัวอกหักหรือชอบต่อไปดีไง'
ปลายสายพูดเสียงกลั้วหัวเราะกลับมาจนจับทางอารมณ์ของมันไม่ถูก เรื่องที่ไอ้ฟ่อนชอบผมก็นานมาแล้ว ไม่รู้ว่าจริงจังแบบอยากได้เป็นแฟนหรือแค่ปลื้มคล้ายๆ อารมณ์เน็ตไอดอลอะไรประมาณนั้นหรือเปล่า แต่ดูเจ้าตัวก็ไม่ได้เดือดร้อนถ้าหากผมจะไปรักไปชอบหรือคบกับใครสักที วันไหนจะจับมานั่งเปิดอกคุยให้รู้เรื่องแบบจริงๆ จังๆ ค้างคามานานแล้ว

"มึงนี่มัน... คนอย่างพี่ทาร์ตใครจะไปชอบลงวะ เจ้าชู้ฉิบหาย แถมชอบวันไนท์สแตนด์ไปทั่ว"
ผมบอกปัดด้วยการยกเอาข้อเสียที่มีอยู่น้อยนิดแต่สำคัญสำหรับการรักใครสักคนขึ้นมาเป็นข้ออ้างที่จะบอกว่าตัวเองชอบพี่ทาร์ตหรือเปล่า ทั้งๆ ที่เรื่องพวกนี้มันโดยละทิ้งไปตั้งแต่ตอนที่รู้ตัวว่ามีใจให้เขาแล้ว ไม่รู้ว่าจะสามารถหลอกคนอย่างไอ้ฟ่อนไปได้นานสักแค่ไหน...

'ถึงพี่จะไม่ตอบฟ่อนหรือบ่ายเบี่ยงแค่ไหน แต่ฟ่อนก็รู้นะว่าตัวเองต้องอกหักอยู่แล้วล่ะ คนอย่างพี่ทาร์ตเจ้าชู้ก็จริงแต่คบใครก็คบทีละคน ให้ความสำคัญดูแลเอาใจใส่เต็มที่เลยนะ'
งานโฆษณาพี่ทาร์ตก็มาวะ แปลกใจอยู่นิดๆ ที่ไอ้ฟ่อนยอมพูดข้อดีของพี่ชายตัวเองในสถานการณ์แบบนี้ ปกติมันต้องต่อสู้กับศัตรูหัวใจไม่ใช่เหรอ ทำไมล่ะ...

"เกี่ยวอะไรกันวะ"
เพราะเรื่องที่มันพูดมาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่ผมบอกไปเมื่อครู่เลยสักนิด งงในงงอีกครั้งสินะ สรุปว่าเมื่อคืนผมกินเหล้าหรือไอ้ฟ่อนเมานมกันแน่ สื่อสารกันไปคนละทางแบบนี้

'ไม่เกี่ยวหรอก แต่ฟ่อนคิดว่าลางสังหรณ์ตั้งแต่เล็กจนโตของตัวเองแม่น คนสองคนอาจจะมองกันและกันไม่ออกว่าใครชอบใครอยู่หรือเปล่า แต่การที่เป็นคนนอกจะทำให้เราเห็นภาพมุมกว้างมากกว่า และสังเกตได้ง่ายกว่าด้วย พี่ปูนเข้าใจสิ่งที่ฟ่อนสื่อไหม'
แม้จะฟังดูเข้าใจยากไปหน่อยแต่นั่นก็ทำให้ผมสะดุดลมหายใจของตัวเองซะดื้อๆ มันก็จริงที่คนใกล้ๆ กันหรือคนที่เผลอชอบกันจะไม่รู้ตัว แต่คนนอกจะจับสังเกตอะไรที่มันแปลกปลอมได้ก่อน... พอจะรู้ความหมายที่ไอ้ฟ่อนต้องการจะสื่อแล้วล่ะ... อืม ขอโทษนะที่ทำให้อกหัก

"คิดว่า... นะ"
ตอบกลับไปด้วยเสียงที่แผ่วเบาก่อนจะยกมือขี้นลูบแก้มตัวเอง รู้สึกขัดเขินเมื่อโดนจับได้ว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถมีความลับกับน้องชายข้างบ้านที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ดวงตารีกวาดมองไปรอบๆ เพราะไม่รู้จะโฟกัสอะไรดีที่ทำให้หัวใจเต้นเป็นปกติ ความโกรธที่เคยมีต่อพี่ทาร์ตตอนนี้ก็ลดลงไปเยอะแล้ว... กลายเป็นกลัวว่าเขาจะตีตัวออกห่างหรือเปล่า ความรักมันช่างวุ่นวายซับซ้อนเหลือเกิน

'พี่ทาร์ตเป็นคนที่ไม่รู้ใจตัวเองที่สุดในสามโลกเลยล่ะ ฟ่อนบอกได้แค่นี้ หวังว่าพี่ปูนจะไม่โกรธไปมากกว่านี้นะ ต้องวางแล้วล่ะ มะรืนนี้ก็เค้าท์ดาวน์กันดีๆ นะ'
ฟ่อนวางสายไปแล้ว ทิ้งให้ผมตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ที่บอกกันว่าพี่ทาร์ตเป็นคนที่ไม่รู้ใจตัวเองมันหมายความว่ายังไงกันนะ... หรือจริงๆ แล้วอีกฝ่ายก็เริ่มสับสนและไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกอะไรอย่างนั้นเหรอ แบบนี้ผมคงมีลุ้นที่จะสมหวังในความรักครั้งแรกและครั้งเดียวนี่หรือเปล่านะ แค่คิดก็ตื่นเต้นไปหมดแล้ว แต่ต้องขอเอาคืนกันหน่อยล่ะ มาพิสูจน์ใจกันด้วยวิธีร้ายกาจแบบนี้ หึ

ว่าแต่... ลืมไปซะสนิทเลยว่ามะรืนนี้เป็นวันสิ้นปีแล้ว เค้าท์ดาวน์ที่ไหนกันดีล่ะ

เที่ยงวันที่ดวงอาทิตย์ตรงกับศีรษะแบบพอดิบพอดีทำให้อยากจะวิ่งไปแช่น้ำที่ไหนสักแห่ง เหงื่อเม็ดโตแย่งกันไหลลงไปตามแผ่นหลังและหน้าอกจนเสื้อเชิ้ตเปียกลู่แนบเนื้อ มือเรียวสะบัดเนื้อผ้าออกจากตัวเพื่อคลายร้อนก่อนจะเดินหลบเข้าไปด้านในของตึกสูงสิบห้าชั้นที่เรียกว่าคอนโดมีเนียม สุดท้ายผมก็พาตัวเองมาเหยียบที่นี่จนได้ แม่ง... โกรธเขาแต่ก็ถ่อสังขารมารับเขา ย้อนแย้งในตัวเองฉิบหาย

"ปูน!"
เสียงเรียกชื่อที่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลังซึ่งเป็นลิฟท์ที่จะนำผู้โดยสารไปสู่ชั้นต่างๆ ผมชะงักมือที่กำลังกระพือเสื้อแล้วรีบหมุนตัวกับไปมองพี่ทาร์ตที่รีบเดินมาทางนี้ด้วยใบหน้าตื่นๆ หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อระยะห่างสั้นลง อยากจะหนีแต่ขาไม่ขยับ คำว่าคิดถึงอยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาในสมอง แค่ทะเลาะกัน ห่างกันแค่คืนเดียวต้องอาการหนักแบบนี้เลยเหรอวะ เกลียดตัวเองจัง

"....."
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปก่อนจะหมุนตัวไปมองทางอื่น การจ้องหน้าเขาแบบนั้นมันทำให้ร่างกายควบคุมได้ลำบากยิ่งนัก มุมปากพาลจะคลี่ออกเป็นรอยยิ้มอยู่เรื่อย ต้องท่องไว้ในใจตลอดว่าเรากำลังโกรธเขาและจะไม่ยอมยกโทษให้ง่าย ก็บอกแล้วไงว่าเป็นคนไม่ใช่ควาย เจ็บแล้วจำต้องเอาคืนอย่างสาสมด้วย

"เฮ้ ควายหายหรือไง รอไอด้วยสิทาร์ต"
อีกหนึ่งเสียงดังขึ้นมาจากทิศทางเดียวกันทำให้ผมต้องเหลือบสายตาไปมอง จำได้ดีว่าเธอเป็นใครและนั่นทำให้ระบบการหายใจติดขัดขึ้นมาดื้อๆ ถึงแม้จะฟังคำบอกเล่าจากไอ้ฟ่อนมาแล้วบ้าง แต่มันก็อดหน่วงไม่ได้...

"ยูชักช้านะวิน ถ้าปูนหนีไปอีกจะทำยังไงวะ กว่าจะเจอตัวไอแทบจะอ้วกอยู่แล้ว"
น้ำเสียงร้อนรนนั่นทำให้ผมใจกล้าที่จะมองไปที่พี่ทาร์ตเพราะอยากรู้ว่าเขาแสดงอาการแบบไหนออกมา ใบหน้าหล่อเหลานั้นเรียบตึงจนให้ความรู้สึกน่ากลัว ดวงตาคมมีแววสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด แต่สำรวจรายละเอียดได้ไม่นานอีกคนก็มาหยุดกันตรงหน้าซะแล้ว สภาพยังอยู่ในชุดเมื่อคืน แสดงว่าไม่ได้อาบน้ำสินะ แล้วผู้หญิงที่ยืนหอบอยู่ด้านหลังน่ะ... ขนาดไม่มีเครื่องอางใดๆ ยังสวยได้ขนาดนี้ นับถือจริงๆ

"สวัสดีครับ"
ผมเลือกที่จะยกมือไหว้ทักทายทั้งสองคนด้วยใบหน้าเรียบเฉย มันอาจจะดูสุภาพที่ให้ความเคารพผู้ใหญ่แบบนี้ แต่สำหรับคนที่คิดว่าสนิทกันอย่างพี่ทาร์ตแล้วนั้น มันคงดูห่างเหินมาก เพราะสังเกตจากท่าทางของเขาแล้วน่าจะอึ้งอยู่ไม่น้อย การเอาคืนได้เริ่มต้นขึ้นแล้วล่ะ

"ปูน... นี่วิน เป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่เอง"
น้ำเสียงที่ใช้แนะนำตัวพี่วินนั้นสั่นเล็กน้อย ผมพยักหน้ารับก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ส่งให้เธอไป

"ยินดีที่ได้รู้จักครับพี่วิน"
ผมเอ่ยทักทายเธอด้วยน้ำเสียงปกติ พี่วินเดินออกมายืนตรงหน้าพี่ทาร์ตแล้วถือวิสาสะเอื้อมมือมาแตะไหล่กันก่อนจะคลี่ยิ้มสดใสมาให้ ยอมรับว่าเป็นคนที่สวยมากจริงๆ แทบไม่ต้องเสริมเติมแต่งด้วยซ้ำ แต่ดูจากชุดที่สวมใส่แล้ว... คงยังไม่ได้อาบน้ำ เป็นผู้หญิงที่ไม่ห่วงภาพลักษณ์เลยสินะ

"ยินดีที่ได้รู้จักนะน้องปูน ขอโทษเรื่องเมื่อคืนที่ทำให้เข้าใจผิดด้วย ถ้าจะโกรธก็โกรธไอ้ทาร์ตคนเดียวนะ พี่ไม่เกี่ยวอะไรเลย"
พี่วินบุ้ยใบ้ไปทางพี่ทาร์ตด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง ผมพยักหน้ารับพร้อมกับคลี่ยิ้มเล็กน้อยส่งให้เธอ เชื่อว่าถ้าเขาไม่บังคับผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางทำเรื่องบ้าๆ นี่แน่ๆ

"เฮ้ย ยูจะทิ้งไอแบบนี้ไม่ได้นะวิน"
พี่ทาร์ตประท้วงเสียงดังแล้วทำท่าจะเข้ามาเขย่าตัวพี่วินแต่ผมเข้าไปขวางเอาไว้ด้วยใบหน้าบึ้งตึง เขาหยุดชะงักก่อนจะยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นสัญญาณว่ายอมแพ้แล้วถอยหลังออกไป ดูๆ แล้วก็เหมือนหมาโดนดุเลย หงอยเชียว

"เคลียร์กันเองเลย พี่ไปแล้วนะน้องปูน ไว้เจอกันใหม่"
พี่วินบอกกันแค่นั้นแล้วรีบวิ่งไปทางลิฟท์ทันทีโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงของพี่ทาร์ตเลยสักนิด ผมเหลือบมองเขาก่อนจะเดินออกไปจากคอนโด อยากกลับบ้านไปนอนใจจะขาด ตั้งแต่เมื่อคืนยันตอนนี้ยังไม่ได้พักร่างกายเลย

"ปูนรอพี่ด้วยสิครับ"
เสียงตะโกนดังมาจากทางด้านหลังพร้อมกับสัมผัสที่ข้อมือ ผมชะงักเล็กน้อยก่อนจะมองลงไปที่ตำแหน่งนั้น

"ปล่อยครับ แล้วก็อย่าชักช้าด้วยผมง่วง"
ผมบอกเสียงแข็งแล้วจ้องหน้าเขาเขม็ง กะว่าถ้าไม่ยอมปล่อยมือคงสะบัดทิ้งแบบไม่เกรงใจแน่ๆ พี่ทาร์ตพ่นลมหายใจเบาๆ ก่อนจะยอมผละออกไปเงียบๆ แล้วคลี่ยิ้มแหยส่งมาให้ อยากจะหัวเราะอยู่หรอกกับท่าทางกล้าๆ กลัวๆ นั่น แต่ผมต้องเก๊กขรึมไว้ ไอ้โกรธมันก็ยังโกรธนั่นล่ะ แต่ไม่เคยเห็นเขาทำท่าทางแบบนี้ ตลกดี

"โกรธมากเลยเหรอปูน พี่ขอโทษ"
พี่ทาร์ตพูดเสียงอ่อยแล้วมองกันด้วยสายตาอ้อนวอน ผมกรอกตาเพื่อมองไปทางอื่นก่อนจะหันหลังเพื่อเดินหนีไปที่รถทันทีเพราะกลัวตัวเองยอมเขาอีกตามเคย หัวใจมันอ่อนแอเมื่ออยู่ใกล้...

อีกคนไม่ยอมปล่อยกันไปง่ายๆ เขาเดินกึ่งวิ่งเพื่อมาดักหน้ากัน ผมชะงักเท้าแทบไม่ทันก่อนจะตกใจเมื่อรู้ว่าใบหน้าของเราอยู่ห่างกันแค่คืบเดียว หัวใจเต้นระรัวกลัวเหลือเกินว่าจะหลุดออกมาด้านนอก ร่างกายไม่ยอมทำตามคำสั่งจากสมอง ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้เหมือนโดนคำสาป ดวงตาคมที่จับจ้องมานั้นมีแววขอร้องและสั่นไหวจนพาลทำให้หัวใจของผมกระตุก แย่ชะมัด

"ยกโทษให้พี่ได้ไหมครับ ขอโทษจริงๆ พี่โง่เองล่ะที่โกหกไปแบบนั้น แถมยังทำร้ายจิตใจปูนอีก ขอโทษนะ"
พี่ทาร์ตเอ่ยขอโทษพร้อมกับตัดพ้อการกระทำของตัวเองด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ผมเม้มปากแน่นแล้วเบนสายตามองไปทางอื่นก่อนจะกลั้นใจถอยหลังออกมาเพื่อให้ระยะห่างมีมากขึ้น พอเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงๆ ทำไมไม่สามารถเอาคืนเขาได้อย่างที่คิดไว้ล่ะ เกลียดตัวเองที่แพ้ทางคนๆ นี้เหลือเกิน

"พี่คิดดีแล้วไม่ใช่เหรอครับก่อนจะทำอะไรลงไป ผมไม่มีสิทธิ์ไปโกรธอะไรหรอก อยากทำอะไรก็ทำ"
ผมพูดออกไปแบบนั้นเพราะคิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ไปโกรธเขาจริงๆ พี่ทาร์ตอยากทำอะไรก็ไม่ผิดหรอก เป็นผมเองที่แคร์และรู้สึกมากไป ก็เป็นธรรมดาของผู้ชายส่วนมากที่จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ยอมรับว่าเสียใจ ยอมรับว่าเจ็บ แต่คนอย่างไอ้ปูนน่ะอยู่ในฐานะน้องชายอาจจะดีที่สุดแล้วก็ได้

"เฮ้ย ไม่พูดแบบนั้นดิ รู้ไหมว่าตอนที่ปูนลุกออกจากโต๊ะไปเมื่อคืนพี่กระวนกระวายแค่ไหน เพราะความอยากรู้บ้าๆ ของพี่แท้ๆ ไม่น่าทำเลยว่ะ กูแม่งโคตรโง่"
พี่ทาร์ตพูดพลางยกมือขึ้นทึ้งผมตัวเองแรงๆ จนผมอยากจะห้ามเพราะกลัวเขาเจ็บ แต่ความรู้สึกกลัวกลับแล่นขึ้นมาจุกอยู่กลางหน้าอกเพราะเรื่องต้นเหตุกำลังจะถูกยกขึ้นมาคุย... ความอยากรู้ว่าผมชอบเขาหรือเปล่าสินะ ไม่พูดถึงได้ไหม

"พอแล้วครับพี่ทาร์ต จะดึงให้ผมหลุดหมดหัวเลยหรือไง เดี๋ยวก็กลายเป็นตาแก่หัวล้านหาแฟนไม่ได้กันพอดี"
สุดท้ายก็ทนเห็นเขาทำร้ายตัวเองไม่ได้จนต้องเอื้อมมือไปจับข้อมืออีกคนเอาไว้ พี่ทาร์ตชะงักก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองกัน ดวงตาคมวูบไหวเล็กน้อย ผมไม่ชอบระยะที่ใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจแบบนี้เลย... หน้าร้อนว่ะ




ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 8 -P.2- (06/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 06-04-2017 12:09:59
"หายโกรธพี่หรือยัง"
เขาถามก่อนจะเป็นฝ่ายพลิกมาจับมือผมแทนแถมยังเอาไปแนบแก้มตัวเองอีก แบบนี้มันขี้โกงไม่ใช่หรือไง ใช้ลูกอ้อนมันไม่แฟร์เลย

"ไม่ครับ เพราะผมไม่ได้โกรธ"
ตอบกลับไปแล้วพยายามดึงมือออก แต่ยิ่งทำก็ยิ่งโดนกุมไว้แน่นขึ้นเรื่อยๆ จนผมหมดความพยายามเลยปล่อยให้อีกคนทำตามใจ ดวงตารีเสมองไปทางอื่นเพราะไม่กล้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงอ้อนกันไม่เลิก ก็เป็นซะแบบนี้ เขาเคยทำตัวน่ารักแบบนี้กับใครที่ไหนบ้างล่ะนอกจากผมคนนี้ ไม่ให้หวั่นไหวได้ยังไงกัน

"งั้นอย่าทำตัวห่างเหินกันอีกนะครับ"
เขายอมปล่อยมือผมให้เป็นอิสระก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นละมุดจางๆ นี่พี่ทาร์ตไม่ได้อาบน้ำจริงๆ ใช่ไหม โคตรสกปรกเลย

"ไม่ได้ทำนี่"
ผมผละตัวออกแล้วย่นจมูกเล็กน้อย อยากกลับบ้านใจจะขาดแต่ต้องมาเคลียร์ปัญหาหัวใจของตัวเองแบบนี้ ง่วงก็ง่วง ดูท่าทางจะขับรถเองไม่ไหวแล้วเนี่ย เบลอๆ มึนๆ ไปหมด

"ยกมือไหว้ ไม่มองหน้า พูดเสียงแข็งยังไม่เรียกว่าห่างเหินอีกเหรอ"
คำตัดพ้อถูกยกออกมาใช้ชุดใหญ่ ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะออกเดินต่อเพื่อไปที่รถ ยกมือขึ้นปิดปากที่กำลังอ้ากว้างเพราะอาการหาว น้ำตาจะไหลอยู่แล้ว พี่ทาร์ตแม่งก็บ่นอยู่ได้ น่ารำคาญ

"จะแคร์ทำไมครับ ผมไม่ได้สำคัญอะไรกับพี่ขนาดนั้นหรอก"
บอกปัดๆ ก่อนจะเปิดประตูรถเพื่อจะเข้าไปนั่ง แต่ยังไม่ทันได้ย่อตัวพี่ทาร์ตก็ตรงเข้ามาจับไหล่ให้ผมพลิกตัวไปเผชิญหน้ากับเขา ท่าทางโคตรล่อแหลมเพราะสองแขนแกร่งคร่อมตัวกันเอาไว้ ไม่มีทางให้หนีเลย บ้าชะมัด

"สำคัญสิ... ไม่งั้นพี่จะง้อปูนทำไม"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและมองกันด้วยแววตาแน่วแน่ สถานการณ์แบบนี้อีกแล้ว... จะเอาตัวรอดได้ยังไงในเมื่อหัวใจเต้นแรงขนาดนี้ ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดกันยิ่งทำให้สติหลุดลอยไปง่ายๆ ใจหนึ่งก็เกลียดที่ต้องอยู่ใกล้ ใจหนึ่งก็ชอบที่มันอบอุ่น แม่ง... เหนื่อยกับตัวเองจัง

"สำคัญ... ยังไงเหรอ"
ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเพราะอยากรู้คำตอบจากปากเขามานานแสนนาน อยากรู้ว่าตัวเองมีค่าแค่ไหนในสายตาของพี่ทาร์ต ไม่กล้าสบตาเลยได้แต่โฟกัสตรงปลายคางมนของคนตรงหน้า เผลอเหลือบไปมองปากหยักครู่หนึ่งก่อนจะต้องกลืนน้ำลายลงคอ เกิดรู้สึกว่ามันน่าจูบ... อยากลองสัมผัสสักครั้ง แต่คงเป็นไปไม่ได้

"ปูนเป็นน้องชายของพี่แล้วอีกอย่าง... ปูนก็ชอบพี่ด้วยไม่ใช่เหรอ"
ตั้งแต่ต้นประโยคจนจบนั้น น้ำเสียงของพี่ทาร์ตไม่ได้หนักแน่นและมีความมั่นใจแม้แต่นิดเดียว เหมือนเขาเริ่มลังเลในความสัมพันธ์ของเราเข้าแล้ว ผมตกใจที่อยู่ๆ ก็โดนถามว่าชอบคนตรงหน้าเหรอ จะให้ตอบยังไงล่ะ ถ้าพูดเรื่องจริงจะรับได้ไหม จะรังเกียจกันหรือเปล่า จะทิ้งกันเหมือนเมื่อคืนไหม กลัว... โกหกไปคงดีกว่า

"พี่ทาร์ตหลงตัวเองไปหรือเปล่า ใครบอกว่าผมชอบพี่ล่ะ ผู้ชายเหมือนกัน ไม่เห็นจะมีอะไรน่าพิศวาสเลย"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างผลักอกพี่ทาร์ตให้ออกไปไกลๆ กลัวว่าความใกล้ชิดเกินเหตุจะทำให้เขาจับพิรุธในแววตาได้ แต่อย่าคิดว่าคนแบบนี้จะยอมแพ้ง่ายๆ นะ ไม่มีทางซะหรอก แต่มือหนาคว้าไหล่กันอีกครั้งเพื่อบังคับให้สบตา

"ไม่ชอบงั้นเหรอ แล้วที่ตาบวมแบบนี้ไม่ได้ร้องไห้เพราะคิดว่าพี่ไปนอนกกผู้หญิงหรือไงครับ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจมากขึ้นกว่าเดิม ดวงตาคมจดจ้องกันอย่างไม่ลดละ แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากเบนหน้าหนีตามเคย ลืมไปซะสนิทว่าหลักฐานมีอยู่เต็มหน้า ทั้งบวมทั้งแดง ใครดูไม่ออกว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักก็โง่แล้ว แต่ใครจะยอมรับสารภาพง่ายๆ ล่ะ หมั่นไส้คนหลงตัวเอง

"ใครร้องไห้เพราะพี่วะ โคตรมั่วเลย จะกลับบ้านแล้ว ง่วง!"
ผมผลักเขาออกอีกครั้งแล้วรีบกระชากประตูแล้วสอดตัวเข้าไปนั่งภายในรถทันที หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำหลังจากใช้วิธีเอาตัวรอดด้วยการโกหกคำโต ได้ยินพี่ทาร์ตตะโกนโวยวายอยู่นอกรถพอจะจับใจความได้ว่า

"พี่จะหาวิธีง้างปากปูนให้ได้ คอยดูเถอะ!"

ซวยแล้วไหมล่ะ... กลัวใจไอ้พี่ทาร์ตจริงๆ  ไม่รู้จะสรรหาวิธีพิศดาลอะไรมาง้างปากกัน

ผมขับรถออกมาจากคอนโดได้แค่ห้านาทีก็ต้องเปลี่ยนมือให้พี่ทาร์ตทำหน้าที่แทนอย่างช่วยไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าตาเริ่มเบลอๆ สติแทบจะหลุดลอยไปเฝ้าพระอินทร์อยู่หลายครั้งหลายคราว แต่พอเริ่มทิ้งตัวลงเพื่อนอนหลับ สารถีจำเป็นก็เอ่ยปากขึ้นท่ามกลางความเงียบ

"กลิ่นน้ำหอมติดเสื้อมันไม่ใช่กลิ่นเดิมที่ปูนเคยใช้นี่"
น้ำเสียงสงสัยถามขึ้น ผมเลิกคิ้วทั้งๆ ที่ยังกลับตาอยู่ อดแปลกใจไม่ได้ที่คนอย่างพี่ทาร์ตจะจดจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นั้นได้ ทั้งๆ ที่มันไม่สำคัญอะไร

"ก็... ไม่ใช่เสื้อผมไง"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ทั้งแหบและเบาคล้ายคนละเมอ ตอนนี้พยายามประคองสติให้คุยกับคนข้างๆ จนจบ จากที่เคยง่วงแบบสุดๆ กลายเป็นว่าโดนความอยากรู้สะกิดให้ตื่นขึ้นมาเล็กน้อย

"อย่าบอกนะว่ายืมเสื้อไอ้กู๊ดมาใส่"
สารถีจำเป็นพูดเสียงดังก้อนจะหันขวับมามองกันด้วยสาตาแข็งกร้าว ผมที่กำลังเบลอๆ เลยได้แต่พยักหน้ารับไปแบบนั้น ดีหน่อยที่รถกำลังติดไฟแดง ไม่อย่างนั้นคงอันตรายน่าดู

"ใช่ครับ นอนกับไอ้กู๊ดแล้วจะให้ผมใส่เสื้อใครล่ะ"
ตอบคำถามไปด้วยความเบลอแล้วยกมือขึ้นขยี้ตาเล็กน้อย ง่วงจะตายอยู่แล้วจะถามเซ้าซี้อะไรนักหนาวะ หรือว่า... พี่ทาร์ตไม่พอใจที่ผมใส่เสื้อไอ้กู๊ด ท่าทางแบบนี้มันคิดได้อย่างเดียวไม่ใช่เหรอ

"ถอดเดี๋ยวนี้แล้วเอาไปคืนมันเลย ไม่ชอบว่ะ ได้กลิ่นแล้วหงุดหงิด"
พี่ทาร์ตเบ้ปากใส่กันแล้วเอื้อมมือมากระตุกชายเสื้อเชิ้ตสีขาวของไอ้กู๊ดอย่างแรง ผมขยับตัวออกห่างแล้วดึงมันออกก่อนจะทำหน้ายุ่งใส่ จากที่ง่วงๆ ตอนนี้หายเป็นปลิดทิ้งแล้วล่ะ

"อะไรของพี่เนี่ย ทำตัวอย่างกับหึงกัน ชอบผมหรือไง"
ผมพูดออกไปแบบนั้นเพื่อจะเป็นการเอาคืนไม่ได้จริงจังอะไร แค่อยากให้พี่ทาร์ตทำหน้าตกใจก็เท่านั้น แต่ผิดคาดเมื่อมือหนาผละออกจากชายเสื้อไปกำพวงมาลัยไว้แน่น ริมฝีปากหยักเม้มจนขึ้นเป็นสีขาว สถานการณ์ตอนนี้ดูตึงเครียดยังไงชอบกล

"ตอนนี้ยังไม่รู้หรอกว่าพี่คิดอะไรกับปูนกันแน่ สับสนไปหมด"
น้ำเสียงของพี่ทาร์ตที่พูดประโยคนั้นออกมาเต็มไปด้วยความสับสน ดวงตาคมที่มองมานั้นมีแต่ความไม่แน่ใจและไม่อาจคาดเดาได้ พอจะรู้แล้วล่ะว่าสิ่งที่ไอ้ฟ่อนพูดคืออะไร ความรู้สึกของตัวเองเป็นยังไงก็ไม่เข้าใจสินะ ดูท่าทางความหวังของผมจะลิบหรี่มากกว่าที่คิดไว้แล้วล่ะ

"....."
พูดอะไรไม่ออกเลยว่ะ

"แต่ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับปูนเลย"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกระซิบ แต่มันกลับดังก้องในสมองผมวนไปวนมา หัวใจเต้นรัวเหมือนเพิ่งผ่านการแข่งวิ่งมาราธอนมา... ผมจะตายไหมนะ แก้มร้อนขึ้นมาแปลกๆ ด้วยล่ะ

"ขะ ขับรถดีๆ ล่ะ ผมจะนอนแล้ว"
ขอหนีก่อนแล้วกัน ตั้งรับอะไรไม่ทันจริงๆ  ถ้าเราใจตรงกันมันจะดีแค่ไหนนะ แค่คิดก็เขินตัวจะแตกแล้วเว้ย แม่ง เรียกความโกรธกลับคืนมาทีเถอะ ไม่ชอบตัวเองที่รู้สึกเหมือนสาวน้อยแรกแย้มแบบนี้เลย




----------------------------------------

ต่างคนต่างซึนใส่กันหนอ 5555555555 เมื่อไหร่จะสมหวังหนอ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 8 -P.2- (06/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 06-04-2017 14:50:06
ออกอาการขนาดนี้แล้วยังพากันปากแข็งได้อีกนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 9 -P.2- (14/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 14-04-2017 12:06:19
(http://i.imgur.com/Xg5Nr5R.png)


สูตรที่ 9

President Nama Chocolate
: ดาร์กช็อกโกแลต/วิปปิ้งครีม/เนยจืด/แบะแซ/ผงโกโก้ :




ช่วงปลายปีที่ใครต่างก็หวังให้อากาศประเทศไทยเย็นลงบ้าง สำหรับภูมิภาคอื่นอาจจะสมหวังดั่งใจปรารถนาแต่สำหรับภาคใต้แล้วมันก็แค่ฝันกลางวันที่แสงอาทิตย์ยังส่องสว่างจ้าและอุณหภูมิที่สูงจนน่าใจหาย ร้อนจนแทบอยากแก้ผ้าแล้วนอนแช่น้ำในอ่างให้สบายใจกันไปข้าง  แต่ก็หวั่นๆ กลัวจะมีคนคิดอกุศลขึ้นมา

ผมนอนแผ่ท่าปลาดาวอยู่บนพื้นในห้องนั่งเล่นตรงตำแหน่งที่ลมเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศตกกระทบลงมาพอดิบพอดี ในมือมีหนังสือการ์ตูนเรื่องโปรดและข้างๆ กันยังมีร่างสูงใหญ่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกม Play Station อย่างเมามัน โดยไม่สนใจสรรพสิ่งรอบข้าง นานๆ ครั้งจะได้ยินเสียงสบถเมื่อหน้าจอทีวีปรากฏคำว่า Game Over เห็นแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน จะจริงจังอะไรขนาดนั้น

เรื่องการเอาคืนพี่ทาร์ตยังคงดำเนินต่อไปเงียบๆ ถ้ามีโอกาสแหย่ให้เขาแสดงความรู้สึกออกมาเมื่อไหร่ผมก็พร้อมจะทำ แต่ในช่วงสองวันมานี้เรายังไม่ได้ก้าวออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำ อาจจะเพลียที่ต่างคนต่างผิดใจกันก็เลยไม่มีกะจิตกะใจออกไปเที่ยวที่ไหน และมันพาลให้ผมไม่ได้คุยกับไอ้กู๊ดด้วย ก็เขาเล่นทำตัวติดเป็นปาท่องโก๋ขนาดนี้ เอื้อมมือคว้าโทรศัพท์ครั้งหนึ่งก็โดนจ้องเขม็ง แสดงความหงุดหงิดเกรี้ยวกราดออกมาทางสีหน้าจนผมลอบยิ้มอยู่หลายครั้ง

มันคือความสะใจเล็กๆ ที่ทำให้เขาแสดงอาการหงุดหงิดงุ่นง่านออกมาได้ ถึงจะไม่รู้ว่าความจริงแล้วพี่ทาร์ตคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่มันดูเป็นสัญญาณที่ดีจนบอกไม่ถูก เหมือนจะกังวลและไม่อยากให้ผมอยู่ใกล้ใครไปมากกว่าที่เขาทำ

"วันนี้จะไปเค้าท์ดาวน์กันไหม"
เสียงทุ้มถามขึ้นมาลอยๆ ในขณะที่ยังจ้องหน้าจอทีวีและกดจอยเกมจนมือเป็นระวิง นับถือพี่ทาร์ตนะที่สามารถแยกประสาทได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นผมทำสองอย่างพร้อมกันล่ะก็... พังไม่เป็นท่าแน่ๆ

"หึ ขี้เกียจ ปกติผมนอนหลับข้ามปีด้วยซ้ำ"
ผมตอบกลับไปแล้ววางหนังสือการ์ตูนวางไว้บนอกแล้วใช้มือขยี้ตาเล็กน้อยก่อนจะเปิดปากหาวอย่างไม่เกรงใจ พี่ทาร์ตหันมามองกันครู่หนึ่งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่าง แต่เดาไม่ออกว่าเขาพยายามสื่ออะไรและทำไมต้องรีบหันหน้ากลับราวกับเจอเรื่องประหลาด แถมหูยังแดงอีก... หรือแอร์จะเย็นไม่พอวะ ได้แต่คิดแล้วเก็บความสงสัยไว้ในใจ

"มันน่าเบื่อเกินไปหรือเปล่าวะปูน จะขึ้นปีใหม่ทั้งที"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยโดนไม่ยอมมองหน้ากันอีก ผมเองที่เป็นฝ่ายเหลือบสายตาจ้องเขาแทน ใบหน้าด้านข้างดูมีเสน่ห์มากจริงๆ หลงรักเขาทุกอย่างแบบนี้ก็แย่สิวะไอ้ปูน จะเอาคืนยังคิดแล้วคิดอีกว่ากลัวจะโดนเมิน ก็พี่มันเป็นคนประเภทที่จัดว่าหล่อเลือกได้นี่หว่า

ผมละสายตาออกจากใบหน้าคมคายนั่นเมื่อรู้ตัวว่าเผลอจ้องเขามาเกินไปก่อนจะลุกขึ้นนั่งและทำหนังสือการ์ตูนตกไว้ข้างตัว ในจังหวะที่กำลังเอื้อมไปหยิบมันกลับมานั้นอีกคนก็ทาบมือลงมากอบกุมกันไว้อย่างไม่ตั้งใจจนต้องรีบผละออกจากกัน ถ้าให้เดาคงจะช่วยเก็บให้ไม่ได้เจตนาหลอกจับมือหรอก แต่บรรยากาศตอนนี้มันกระอักกระอวนแปลกๆ เขินยังไงก็ไม่รู้

"ทะ โทษที จะช่วยเก็บหนังสือน่ะ"
เสียงพูดตะกุกตะกักดังขึ้นก่อนที่จะได้ยินเสียงอีกคนขยับตัวออกห่างไปหลายคืบ ผมยังคงก้มหน้ามองมือตัวเองอยู่แบบนั้น รู้อยู่แก่ใจว่าพี่ทาร์ตไม่ได้ตั้งใจแต่ยังใจเต้นแรงเหมือนคนบ้า ทั้งๆ ที่เมื่อหลายวันก่อนอาการไม่ได้หนักแบบนี้ พอรู้ใจตัวเอง อะไรๆ มันก็ดูเป็นเรื่องยากไปหมด อยู่ใกล้กันเกินไปก็ทำอะไรไม่ถูก บ้าชะมัด

"อยากเค้าท์ดาวน์เหรอ"
ผมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้บรรยากาศแปลกๆ ระหว่างเราจางหายไปก่อนจะลุกขึ้นเอาหนังสือเจ้าปัญหาไปเก็บในตู้ แอบเห็นพี่ทาร์ตเหลือบสายตามองกันด้วยล่ะ ทำตัวแบบนี้จะไม่ให้หวั่นไหวคงยาก

"ปกติอยู่อเมริกาก็เค้าท์ดาวน์กับเพื่อนทุกปี แล้วปูนไม่คิดจะปาร์ตี้กับใครบ้างหรือไง"
พี่ทาร์ตหันกลับไปมองหน้าจอทีวีอีกครั้งเพื่อกลบเกลื่อนในตอนที่ผมกันมาเผชิญหน้า ขายาวๆ ก้าวกลับไปตำแหน่งเดิมก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พี่ทาร์ตแล้วใช่หลังพิงกับโซฟา หัวใจยังเต้นแรงอยู่เลย ภาวนาว่าเสียงมันคงไม่ดังมากจนอีกคนรับรู้

"ป๋ากับแม่ไม่เคยว่างช่วงสิ้นปี ไอ้กู๊ดก็ปาร์ตี้กับญาติๆ ส่วนไนน์ก็เค้าท์ดาวน์กับแฟน จะให้ผมทำอะไรได้ล่ะนอกจากนอนอยู่บ้าน"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ เพราะไม่ได้ซีเรียสเรื่องปาร์ตี้สักเท่าไหร่ อย่างไอ้ฟ่อนมันก็ออกไปเค้าดาวน์กับเพื่อนที่โรงเรียนทุกปี ก็มีชวนไปบ้าง แต่เพราะไม่ได้สนิทกับคนอื่นขนาดที่จะร่วมสังสรรค์ได้เลยปฏิเสธไป นอนดูทีวี เล่นเกมยังสบายกว่าอีก ไม่เห็นว่าวันสิ้นปีมันจะพิเศษตรงไหน

"ชีวิตโคตรจืดชืด"
พี่ทาร์ตบนเสียงอุบอิบก่อนจะเลิกเล่นเกมแล้วหยิบโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมากดอะไรยุกยิกๆ น่าจะแชทคุยกับเพื่อนล่ะมั้ง แต่หัวคิ้วขมวดเข้าหากันขนาดนั้นเครียดอะไรอยู่หรือเปล่านะ

"ก็ผมมันคนธรรมดานี่หว่า จะไปมีสีสันในชีวิตอะไรนักหนา"
ผมตอบกลับไปแล้วยกมือขึ้นเสยผมเล็กน้อย เหลือบสายตามองพี่ทาร์ตก็พบว่าเขาเบ้ปากใส่ อะไรของเขาล่ะเนี่ย ไปเผลอให้ไม่พอใจอีกหรือเปล่า

"ปีนี้ก็ยกเลิกแผนนอนอืดได้แล้ว พี่จะเค้าท์ดาวน์เป็นเพื่อนเอง"
พี่ทาร์ตเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะส่งมือให้กันพร้อมกับรอยยิ้มที่ชวนให้ใจกระตุก ผมมองหน้าเขาด้วยความมึนงงและไม่เข้าใจการกระทำตรงหน้า คืออะไรยังไง ตามไม่ทัน...

"ยื่นมือมาทำไม"
ผมถามกลับไปแล้วจ้องเขม็งที่มือของเขาอยู่แบบนั้น ความจริงอยากมองหน้านั่นล่ะแต่ใจไม่กล้าพอ ก็ใครใช้ให้แจกจ่ายยิ้มกะล่อนแบบนั้นล่ะวะ ถึงจะหมั่นไส้มากก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าพี่มันหล่อ เกลียดว่ะ อย่าให้หล่อบ้างนะจะโปรยเสน่ห์บ้าง

"ช่วยให้ปูนลุกขึ้นง่ายๆ ไง"
พี่ทาร์ตยักคิ้วกวนๆ ให้กันแถมยังกระดิกนิ้วอีก ทำแบบนี้ใครมันจะอยากจับวะ ทำตัวโคตรมีพิรุธเลย ไม่ใช่ว่าทำตามที่เขาบอกปุ๊บแล้วปล่อยกันปั๊บ มีหงายหลังนะ ยังไม่อยากเจ็บตัวเว้ย

"ลุกไปไหน"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงตึงๆ สายตายังมองมือหนาด้วยความไม่ไว้ใจ จริงๆ พอคิดดูดีๆ แล้วไม่จำเป็นต้องช่วยกันก็ได้ปะวะ แค่ลุกขึ้นยืนมันจะไปยากอะไร หรือคิดจะแกล้งกันให้ใจสั่นเล่น

"ไปซื้อของมาปาร์ตี้คืนนี้ไง"
ความจริงถูกเฉลยพร้อมรอยยิ้มที่กว้างขึ้น และมันดูจริงใจจนผมได้แต่ก้มลงมองพื้น ไม่น่าเผลอเหลือบสายตาไปมองหน้าพี่ทาร์ตเลยจริงๆ เหมือนร่างกายเสียสมดุลไปชั่วขณะ

"....."
ผมพูดไม่ออกเพราะยังคงอึ้งเพราะอยู่ๆ โดนชวนปาร์ตี้ที่เหมือนจะมีกันแค่สองคน มันเหมือนคู่รักเกินไปไม่ใช่หรือไง... ทำไมต้องฟุ้งซ่านขนาดนี้ด้วยวะ

"เอ้า นั่งมึนอยู่ได้ จับมือแล้วลุกขึ้นมาสิ"
มีความเร่งในน้ำเสียงแต่แววตากลับแวววาวไม่น่าไว้ใจ มันดูเจ้าเล่ห์จนผมต้องใช้หางตามองพี่ทาร์ตอย่างหวาดระแวง

"แน่ใจนะว่าไม่ได้หลอกจับมือ"
เหล่สายตามองเขาด้วยความไม่ไว้ใจ ถามว่ายื่นมือให้ขนาดนี้อยากจับไหม มันก็อยากนั่นล่ะ โอกาสแต๊ะอั๋งอีกคนโดยไม่โดนล้อมีมากซะที่ไหนกันล่ะ พี่ทาร์ตมีท่าทีกระอักกระอวนก่อนจะหลบสายตากัน ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ บางครั้งก็อยากเรียนหมอเพื่อผ่าพิสูจน์สมองเขาดูบ้าง ทำตัวซับซ้อนแถมยังเดายากด้วย

"ไม่..."
พี่ทาร์ตพึมพำอะไรบางอย่างออกมาเบาๆ แล้วดึงมือตัวเองกลับไปก่อนจะเดินหนีไปซะอย่างนั้น ผมที่ยังเบลอๆ เลยได้แต่ลุกขึ้นอย่างรีบร้อนเซซ้ายเซขวาตามเขาไปติดๆ

"ห๊ะ ว่าไงนะ"
ผมถามย้ำเพราะยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน พี่ทาร์ตไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินเลยด้วยซ้ำ หน้าตั้งไปที่โรงจอดรถจนผิดวิสัย ถ้าคิดเข้าข้างตัวเองสักนิด เหตุการณ์เมื่อครู่คงเป็นการหลอกจับมือกันไม่ผิดแน่ แต่เจ้าตัวรู้สึกขัดเขินขึ้นมาหรือเปล่านะที่โดนรู้ทัน หึหึ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็สนุกแล้วล่ะ

ความรู้สึกช้า... คำนี้อาจจะเหมาะกับพี่ทาร์ตที่สุดแล้วมั้ง

"รีบๆ เดินมาสักที เอากุญแจรถมาให้ด้วย!"
ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากโรงจอดรถผมเลยสะดุ้งเล็กน้อยเพราะกำลังขึ้นอะไรเรื่อยเปื่อย มือเรียวรีบควานหากุญแจรถที่อยู่ในลิ้นชักลวกๆ ก่อนจะสาวเท้าออกจากบ้าน

"โอเคครับ!!"

สารถีไม่จำเป็นอย่างพี่ทาร์ตอาสาขับรถให้โดยที่ตัวเองก็ยังจำเส้นทางในภูเก็ตไม่ได้สักเท่าไหร่ พักหลังๆ มานี่เขาไม่ค่อยให้ผมแตะต้องพวงมาลัยเลย มีออกไปกินข้าวระยะทางใกล้ๆ บ้าง แต่ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษ ไม่รู้เพราะว่าอยากเหยียบคันเร่งหรืออยากเอาใจ แต่ดูเหมือนข้อแรกมีความเป็นไปได้มากกว่า ความเร็วกับคนหล่อๆ เท่ๆ ดูจะเป็นของคู่กันไปแล้ว

"พี่ทาร์ต"
ผมเรียกชื่อคนด้านข้างด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย อยู่ๆ ก็คิดได้ว่าน่าจะชวนไอ้กู๊ดไปเค้าท์ดาวน์ที่บ้านด้วยกัน เพราะปีนี้มันโดนทิ้งให้อยู่คอนโดคนเดียวและคนอื่นไปต่างประเทศกันแบบยกแก๊งค์

"หืม"
เขาครางรับในลำคอพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่าเรียกกันทำไม ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดสิ่งที่คิดออกไป ที่มีอาการแบบนี้ก็เพราะดูเหมือนพี่ทาร์ตจะไม่ค่อยชอบไอ้กู๊ดสักเท่าไหร่ หรือเขาดูออกว่ามันเคยชอบผมมาก่อนเลยหึง... บ้าน่า เผลอคิดเข้าข้างตัวเองอีกแล้ว โคตรฟุ้งซ่านเลย

"ชวนไอ้กู๊ดไปเค้าท์ดาวน์ด้วยกันได้ปะ"
พูดจบก็รอดูปฏิกิริยาของพี่ทาร์ตอย่างใจจดจ่อ ใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที และรู้สึกเหมือนตัวเลขดิจิตอลบ่งบอกความเร็วจะเพิ่มสูงขึ้นจนน่าใจหาย... ผมพลาดแล้วล่ะ ทำไงดีวะ ร้อนรนจนต้องบีบมือตัวเองไว้แน่น

"Just you and me. OK?"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อย ดวงตาคมไม่ยอมมองกันถึงแม้ว่าตอนนี้รถจะติดไฟแดงอยู่ก็ตาม ไม่รู้เขาไม่ชอบไอ้กู๊ดโดยการส่วนตัวหรือหวงผมกันแน่ แต่ที่น่าหมั่นไส้มากคือมาใช้ภาษาอังกฤษเรี่ยราดเดี๋ยวตอบกลับเป็นภาษาเกาหลีเลยนี่ หึ

"ทำไมครับ ถามจริงเหอะ นี่พี่ไม่ชอบไอ้กู๊ดหรือยังไง ทำไมถึงดูหงุดหงิดตลอดเวลาผมพูดถึงมัน"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงแสดงความสงสัยแบบไม่ปิดบังก่อนจะหันไปจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเขาเพื่อกดดัน พี่ทาร์ตเหลือบสายตามองเล็กน้อยแล้วเม้มปากเข้าหากัน คิ้วหนาขมวดจนแทบเป็นปม ดูไปดูมาก็ตลกดี ถามแค่นี้ทำไมต้องเครียดอย่างกับถ่ายไม่ออกมาสองอาทิตย์

"ก็ดูมันจะชอบปูน"
พี่ทาร์ตพึมพำประโยคนี้ออกมาจนแทบกลายเป็นเสียงกระซิบ เขาแตะคันเร่งเพื่อพารถมินิฯ สีขาวสะอาดเลี้ยวเข้าห้างสรรพสินค้า ผมมองใบหน้าด้านข้างของเขาด้วยหัวใจที่รัว เหมือนจะแสดงความหึงออกมาหรือเปล่านะ...

"อืม... บอกว่าเคยชอบดีกว่านะ แต่พี่พูดแบบนี้ไม่รู้สึกว่ามันแปลกๆ เหรอวะ"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มพอกันแล้วเบนสายตามองออกไปนอกรถ ทำทีว่ายุ่งกับการหาที่จอดทั้งๆ ที่ใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวเลย แม่ง... ตื่นเต้นและกลัวไปพร้อมๆ กันมันเป็นแบบนี้นี่เอง

"ยังไง"
อีกคนถามกลับมาด้วยน้ำเสียงเครียดๆ และเหมือนเขาจะหันมามองกันครู่หนึ่งก่อนจะหักพวงมาลัยอีกครั้งเพื่อหาที่จอดรถ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะพูดเรื่องขัดเขินก่อนจะยกมือขึ้นลูบท้ายทอยไปด้วย อยู่ๆ มือไม่ก็ดูเกะกะไปหมด

"ก็... พูดเหมือนกับพี่กำลังหึงกันอยู่เลย"
เสียงเบาลงกว่าเดิมเกือบเท่าตัวเพราะเหมือนจะพูดเข้าข้างตัวเองมากไปหน่อย แต่ภาพรวมของการแสดงออกนั้นส่อไปได้ว่าพี่ทาร์ตอาจจะมีใจให้กันจริงๆ หรือบางครั้งคงมองผิดไปเอง ผมน่าจะเริ่มเข้าสภาวะสับสนกับเขาเหมือนกันแล้วมั้ง คิดอะไรวกไปวนมา วุ่นวายฉิบหาย

"มะ ไม่รู้เว้ย ลงไปดูท้ายรถได้แล้ว จะถอยจอด"
พี่ทาร์ตตอบเสียงตะกุกตะกักก่อนจะโบกมือไล่ให้ผมลงจากรถโดนไม่มองกันเลยสักนิด ผมเหลือกตาด้วยความเบื่อหน่ายก่อนจะถอนหายใจทิ้งด้วยความเซ็ง ทำไมถึงได้เปลี่ยนเรื่องด้วยวิธีน่าเกลียดแบบนี่วะ ทั้งที่ปกติก็เป็นเซียนถอยรถโดนไม่ต้องให้ใครดูท้ายอยู่แล้ว ผีซึนเข้าสิงหรือยังไง เดี๋ยวก็เปลี่ยนใจไปชอบคนอื่นเลยนี่ อย่าหาว่าไม่เตือน!

"ครับๆ สั่งจริง"
ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินไปดูท้ายให้คนที่ถอยหลังจอด พอทุกอย่างเรียบร้อยก็พากันเดินเข้าไปในห้างด้วยความไว้เพราะถ้ามัวอ้อยอิ่งอาจจะไหม้เกรียมเพราะแดดประเทศภูเก็ตได้

ผมเดินนำพี่ทาร์ตเพื่อไปเอารถเข็น แต่อีกคนกลับแซงกันแล้วอาสาทำหน้าที่นั้นแทน กลายเป็นว่าไอ้ปูนตัวปลิวซะอย่างนั้น แอบรู้สึกเขินๆ เพราะเหมือนโดนอีกคนเอาใจอยู่ เผลอเหลือบมองเขาไปหลายครั้งแต่ก็ต้องลอบถอนหายใจเมื่อใบหน้าหล่อๆ กลับเรียบเฉย ตกลงว่าใครเป็นไบโพล่ากันแน่...

"จะทำอะไรกินกันดี"
คำถามลอยๆ ของพี่ทาร์ตทำให้ผมชะงักไปเล็กน้อย ไอ้เรื่องคิดเมนูของกินเหมือนจะกลายเป็นปัญหาระดับชาติไปแล้ว เอาเป็นว่าขอตามใจพ่อครัวก็แล้วกัน

"อะไรก็ได้ครับ ผมคิดไม่ออก"
พูดจบก็ส่งยิ้มแหยไปให้เขาก่อนจะใช้มือจับตัวรถเข็น เผลอทำแบบนี้แล้วเหมือนตัวเองเป็นเมียพี่ทาร์ตยังไงไม่รู้ แต่เพราะต้องนำอีกคนไปแผนกอาหารสดไง มันเลยจำเป็น... มั้ง ช่างแม่งเถอะ คนจะมองอะไรนักหนาวะ ไม่เคยเห็นไอ้หล่อหรือไง แล้วจะเสือกใส่แว่นตาดำเพื่อ โอย ปวดตับ

"อะไรก็ได้มันไม่มีในโลกนะเว้ย คิดๆ มาสักสองเมนู"
พี่ทาร์ตเอื้อมมือมาผลักหัวกันเบาๆ พร้อมกับส่งสายตาดุๆ มาให้ แต่พอโดนผมจ้องกลับเขาถึงกับรีบเบนหน้าไปทางอื่น นี่เรามาถึงขึ้นที่ว่าไม่สามารถสบตากันได้แล้วเหรอ ยอมรับว่ามันก็มีเขินๆ บ้าง แต่ไอ้คนไม่รู้ใจตัวเองนี่ยังไง กลัวหวั่นไหวหรือรังเกียจกันวะ นี่ขนาดไม่ได้สารภาพว่าชอบไปตรงๆ นะ เฮ้อ น่าอึดอัดกับสถานการณ์แปลกๆ ชะมัด

"พี่ก็คิดให้หน่อย ผมกินได้หมดล่ะถ้ามันอร่อย แล้วนี่จะใส่แว่นตาอีกนานปะวะ คนมอง"
ผมบุ้ยใบ้ปากให้พี่ทาร์ตสังเกตรอบตัวเองว่าคนอื่นๆ มองมาทางนี้มากแค่ไหน พอจะเข้าใจอยู่หรอก ขาวๆ สูงๆ ล่ำๆ แบบนี้หาดูได้ค่อนข้างยากสักหน่อย แถมหล่อเทียบเท่าดาราอีก มันจะน่าอิจฉามากเกินไปแล้ว แต่คิดไปคิดมาหรือว่าผมหึงวะ...

"หึงเหรอ"
น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นในระยะประชิดแบบไม่ทันตั้งตัวจนผมเผลอกำหมัดต่อยเข้าที่ต้นแขนของพี่ทาร์ตไปเต็มแรง พอได้สติกลับคืนมาก็รีบยกมือไหว้ขอโทษเขายกใหญ่ ก็คนมีนตกใจนี่หว่า ไม่ต่อยเอาที่หน้าก็บุญเท่าไหร่แล้ว

พี่ทาร์ตถลึงตามองกันก่อนจะลูบต้นแขนของตัวเองไปมาเพื่อลดอาการเจ็บแต่ไม่นานนักก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นบนใบหน้าซะอย่างนั้น รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ นะ เมื่อครู่เขาถามเรื่องอะไรไป... ผมจับใจความไม่ได้เพราะมัวตกใจ

"ยิ้ม... ยิ้มอะไร"
ผมถามก่อนจะผละมือออกจากรถเข็นแล้วเดินไปตรงชั้นวางขายสตรอเบอร์รี่ อยู่ๆ ก็พิศวาสมันขึ้นมากะทันหัน หยิบกล่องนั้นพลิกกล่องนี้ไปมา ทั้งๆ ที่ไม่มีสมาธิเลยสักนิด ลูกไหนช้ำตอนนี้ยังดูไม่ออกเลย จริงๆ แล้วไม่ได้อยากกินผลไม้ชนิดนี้เลยแต่กลัวสายตาระยิบระยับของพี่ทาร์ตที่มองมามากกว่า ก็เขาเก่งที่จะเดาความรู้สึกคนอื่นมากเกินไปและอีกอย่างคือเขาชอบแกล้งกัน

"ถามว่าปูนหึงเหรอครับที่มีคนอื่นมองพี่น่ะ"
พี่ทาร์ตเดินมายืนข้างๆ กันแล้วโน้มตัวมาพูดใกล้ๆ ผมที่กำลังถือกล่องสตรอเบอร์รี่อยู่ในมือเกือบทำมันตก หันไปถลึงตาใส่อีกคนเพื่อกลบเกลื่อนความวุ่นวายใจของตัวเอง เมื่อครู่นี้เขาหาว่าผมหึงเหรอ... ไม่ต้องเป็นแล้วมั้งไอ้ผู้จัดการโรงแรมน่ะ เปลี่ยนไปเป็นหมอดูท่าจะรุ่งกว่า

"หึงบ้าอะไร ทำไมต้องหึงล่ะครับ เป็นพี่น้องกันแค่นั้นเอง ไม่ใช่แฟน"
ผมวางกล่องสตรอเบอร์รี่ลงในรถเข็นลวกๆ แล้วเดินนำพี่ทาร์ตไปทางเนื้อสด ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ไล่หลังมาพร้อมกับเสียงล้อเลื่อนไปกับพื้น ตามกันมาติดๆ ชนิดที่ไม่กล้าหันไปมองเลยด้วยซ้ำ ถ้าตอนนี้แกล้งหยุดอยู่กับที่คงไม่วายโดนคนด้านหลังชนแน่ๆ

"ถึงปูนจะไม่ยอมบอก แต่พี่ก็ดูออกนะว่าเราคิดอะไรอยู่"
เสียงทุ้มดังขึ้นจากทางด้านหลังก่อนที่ฝ่ามือหนาจะวางลงบนหัวแล้วออกแรงลูบเบาๆ ผมรีบเบี่ยงตัวหนีโดยไม่หันไปมองเพราะกลัวว่าพี่ทาร์ตจะเห็นอะไรผิดปกติบนใบหน้าของตัวเอง ก็ตอนนี้มันเห่อร้อนและคาดว่าแก้มจะแดงมากซะด้วย ไม่รู้จะย้ำอะไรนักหนาว่าคนอื่นเขารู้สึกยังไง เอาเวลานี้ไปถามหัวใจโง่ๆ ของพี่ไม่ดีกว่าเหรอ...

"ดูอะไรออกครับ"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งๆ แต่ไม่ยอมหันไปสบสายตาด้วย คราวนี้เนื้อหมูสันในกลายเป็นของที่ถูกเลือกฆ่าเวลาเพื่อไม่ต้องเผชิญหน้าพี่ทาร์ตไปซะอย่างนั้น ดูชีวิตวุ่นวายเนอะ ทั้งๆ ที่ไม่เคยจ่ายตลาดเลยสักครั้ง ถ้าแม่รู้คงหัวเราะตายแน่ๆ ลูกหาทางออกได้อัจฉริยะมาก

ผมหยิบถุงมือพลาสติกมาใส่แล้วหยิบพลิกเนื้อหมูสันในไปมาทำอย่างกับว่าเลือกเป็น พี่ทาร์ตยืนกอดอกอยู่ใกล้ๆ กันเหมือนเขาจะเริ่มไม่พอใจ จริงๆ ที่ไม่ยอมบอกเขาไปว่าชอบมันก็มีเหตุผล ถึงจะไม่สำคัญสำหรับใครสักเท่าไหร่ แต่มันมีผลกับหัวใจ ตอนนี้ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าพี่ทาร์ตจะไม่หลีกหนีไปไหน คนเราเวลาคิดล่วงหน้ากับเจอสถานการณ์จริงมันแสดงออกคนละแบบกันจริงๆ นะ

"ช่างมัน พี่รอได้ แล้วนี่จะเอาสันในหมูไปทำอะไรครับ เลือกเป็นหรือไง"
ประโยคแรกเขาพูดด้วยน้ำเสียงตึงๆ และมันทำให้ผมใจกระตุกวูบจนเผลอชะงักมือ ไม่เข้าใจคำว่ารอของเขาหมายถึงอะไร รอให้สารภาพรักอย่างนั้นเหรอ ไม่มีทางซะหรอก ไหนๆ ก็โกหกไปแล้วก็ขอเอาคืนยาวๆ บ้าง ชอบทำให้คนอื่นว้าวุ่นใจดีนัก

ประโยคถัดมาเขาถามด้วยน้ำเสียงติดสงสัยเพราะผมยังไม่ได้บอกเลยสักคำว่าเย็นนี้จะกินเมนูอะไร แถมยังเคยบอกไปก่อนหน้านี้ว่าทำอาหารไม่เป็น โดยจับไต๋ได้อีกแล้วไหมล่ะ รู้สึกช่วงนี้ทำอะไรก็พลาดไปหมด แม่ง

"เอ่อ... ทำบาร์บีคิวได้ปะ"
ผมถามก่อนจะตัดใจวางชิ้นเนื้อในมือลงแล้วถอดถุงมือพลาสติกทิ้ง เพราะถ้าให้จับๆ คลำๆ ต่อไปอาจจะโดนพนักงานด่าเอาได้ พี่ทาร์ตเหลือบมองกันก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วจัดการหน้าที่จับจ่ายของสด

ผมปล่อยให้เขาเลือกวัตถุดิบทำอาหารสำหรับปาร์ตี้คืนนี้ ส่วนตัวเองเดินเตร็ดเตร่อยู่ไม่ใกล้ไม่ใกล้สักเท่าไหร่เพราะโดนใช้ให้ไปซื้อเครื่องดื่มกับขนมขบเคี้ยวซึ่งห่างจากแผนกขายของสดไม่มาก นานๆ ครั้งจะได้มีโอกาสเพลิดเพลินกับน้ำอัดลมรสชาติต่างๆ เลยเผลอหยิบมาสองขวด ปกติแล้วแม่จะห้ามนักห้ามหนา บอกว่าไม่ดีต่อสุขภาพบ้าง น้ำตายเยอะบ้าง มันเป็นกรดจะทำให้ปวดท้องบ้าง เข้าใจว่าเธอหวังดี แต่บ้างครั้งผมก็อยากกิน...

ในขณะที่อุ้มขวดน้ำอัดลมสีดำไว้ที่แขนด้านซ้ายและขวดน้ำอัดลมสีแดงไว้ด้วยแขนด้านขวาทำให้ยากลำบากต่อการหยิบขนมเลยได้แต่ยืนมองเพื่อเลือกสิ่งที่ต้องการก่อนแล้วค่อยเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมรถเข็นของพี่ทาร์ต ดวงตารีกวาดมองไปเรื่อยๆ จนสะดุดเข้ากับใครบางคนที่คุ้นหน้าชอบกล พอเขาหันมาเต็มๆ เราก็ส่งยิ้มกว้างให้กันทันที เพื่อนในสาขาที่เรียนนั่นเอง

"ตัวเล็ก ~ มาทำอะไรวะ"
เสียงทุ้มติดแหบเล็กน้อยเรียกกันด้วยคำที่ผมต้องเบ้ปากทันที ไม่เข้าใจว่าทำไม 'ไอ้กาย' ต้องเรียกผู้ชายที่สูงร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรว่าตัวเล็ก แต่ถ้าประเมินจากขนาดตัวมันแล้วก็คงเหมาะสม เพราะเพื่อนคนนี้เล่นกล้าม ที่สำคัญไปกว่านั้นคือหล่อ ผิวสีน้ำผึ้ง สาวติดตรึม

"เรียกแบบนั้นเกรงใจความสูงกูบ้างเถอะ ตัวลงตัวเล็กอะไรวะ ขนลุก"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ ในขณะที่ไอ้กายก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินเข้ามาหาก่อนที่จะยกมือขึ้นขยี้หัวกันจนยุ่งเหยิงแบบที่ปกติชอบทำ ทำไมชอบเห็นว่าผมเป็นเด็กๆ อยู่เรื่อยก็ไม่รู้วะ จะว่าเอ็นดูคงไม่ใช่ หมั่นไส้มากกว่ามั้ง

"ไอ้เหี้ยนี่ กูอุตส่าห์เซ็ตผม"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วเบี่ยงตัวหลบเพราะไม่มีมือจะปัดออก ไอ้กายหัวเราะเอิ๊กอ๊ากก่อนจะมองของในอ้อมกอดแล้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงอยากถามอะไรบางอย่าง

"ทำไมไม่เอารถเข็นมาใส่วะ อุ้มขวดน้ำอัดลมอย่างกับเด็ก กูช่วยถือปะ"
ไอ้กายยื่นมือมาขอขวดน้ำอัดลมแต่ผมกลับส่ายหน้ารัวๆ จะมาช่วยถืออะไรล่ะ แค่นี้มันเรื่องจิ๊บๆ แล้วอีกอย่างมันจะมาเสียเวลาตรงนี้ทำไม มากับใครยังไม่รู้เลย

"ถือเองได้เว้ย รถเข็นอยู่กับพี่ แล้วมึงมากับใครเนี่ย"
ผมยักคิ้วกวนให้มันแล้วถามกลับไป กลัวว่าไอ้กายจะมากับสาวๆ ในสต็อกน่ะสิ ไม่อยากโดนเขม่นสักเท่าไหร่ ก็ที่มอชอบเอาพวกเราไปเป็นคู่จิ้นกัน... แม่ง เพื่อนๆ ชอบบอกว่าเป็นสายเมะชนเมะ คือส้นตีนไรวะ ใครรู้บอกที

ไอ้กายขมวดคิ้วแน่นแล้วจ้องหน้ากันเขม็ง แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยอะไรบางอย่าง ผมเลยทำแค่เลิกคิ้วเป็นเชิงถามกลับไป เริ่มจะเมื่อยแขนเพราะขวดน้ำอัดลมแล้วสิ พี่ทาร์ตเหมาหมดห้างยังวะ ก่อนแยกย้ายกันบอกว่าขอเวลาสิบนาทีจะตามมา นี่มันเกินแล้วไม่เห็นแม้แต่เงา

"พี่ไหนวะ มึงเป็นลูกคนเดียวไม่ใช่เหรอ"
ไอ้กายถามขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ แววตาส่อแววใคร่รู้อย่างเต็มที่ บางทีผมก็คิดว่าท่าทางของมันแปลกๆ นะ เหมือนจะเกินเลยคำว่าคู่จิ้นยังไงไม่รู้ ทั้งที่ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน ไม่ได้สนิทกัน แต่รู้เรื่องส่วนตัวพอสมควร ไอ้กู๊ดเคยพูดเล่นๆ ว่า มันอาจจะเนียนจีบผมจริงๆ ก็ได้... บ้าไปแล้ว

"พี่ชายข้างบ้าน เฮ้ย พี่ทาร์ตทางนี้ๆ จะเข็นรถไปไหนครับ!"
ผมตอบไอ้กายจบก็เหลือบสายตาไปเห็นพี่ทาร์ตที่กำลังจะเข็นรถผ่านไปเลยร้องเรียกเอาไว้แล้วก้าวขายาวๆ ตรงไป เขาหยุดกึกก่อนจะยืนรอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่พอเห็นคนด้านหลังถึงกับเปลี่ยนท่าทางทันที เกิดอะไรขึ้นอีกวะ




ต่อด้านล่างน้า

หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 9 -P.2- (14/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 14-04-2017 12:06:40
"ใคร"
เสียงเย็นๆ หลุดออกจาปากพี่ทาร์ตทันที่ทีผมวางขวดน้ำอัดลมทั้งสองลงในรถเข็น ดวงตาคมมองผมสลับกับไอ้กายอย่างไม่ลดละ รู้สึกว่าบรรยากาศมันเริ่มแปลกๆ ตึงเครียดยังไงชอบกลวะ ยืนอยู่ตรงกลางเหมือนไปขวางทางปืนยังไงก็ไม่รู้

"เพื่อนที่มหา'ลัยครับ เรียนสาขาเดียวกัน ชื่อกาย"
ผมตอบไปก่อนจะเหลือบมองคนที่เดินตามหลังกันมาแล้วหยุดยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะยกแขนขึ้นมาพาดบ่าทั้งๆ ที่ปกติแล้วไอ้กายจะไม่ทำแบบนี้ พี่ทาร์ตถึงกับกัดฟันจนเห็นสันกรามนูนขึ้น ถ้าคนไม่สังเกตจะไม่เห็นหรอก แต่พอดีผมเก็บรายละเอียดคนที่ตัวเองชอบเป็นอย่างดีน่ะ

"นี่เหรอพี่มึง หล่อดี"
ไอ้กายก้มหน้าลงมาพูดใกล้ๆ ใบหู ผมผละตัวออกเล็กน้อยก่อนจะหันไปถลึงตาใส่ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำท่าทางแบบนี้ต่อหน้าพี่ทาร์ตด้วยวะ หรือเรื่องที่ไอ้กู๊ดเคยพูดเล่นๆ ไว้จะเป็นเรื่องจริง ถ้าใช่ผมคงต้องหาทางหนีแล้วล่ะ โดนผู้ชายที่เป็นเพื่อนจีบมันไม่สนุกหรอก

"เออ พี่กูเอง ไหว้ด้วยก็ดี แก่กว่ามึงหลายปี"
ผมพูดแหย่ไอ้กายไปก่อนจะเนียนเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนมันได้สำเร็จ จากที่ประเมินสถานการณ์ทางสีหน้าของพี่ทาร์ตแล้ว ถ้าหลุดออกจากตรงนี้ไปได้เมื่อไหร่เขาต้องลากผมไปซักฟอกยาวแน่ๆ ความพี่หวงน้องมันต้องบังเกิด ไม่ต้องเอี่ยวเรื่องความรู้สึกซับซ้อนของเขาหรอก

ไอ้กายตัวดีทำเพียงเลิกคิ้วก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างออกมา ไม่มีทีท่าว่าจะยกมือไหว้อะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ดีหน่อยที่พี่ทาร์ตไม่ได้ถือเรื่องสัมมาคาราวะเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นคงโดนมองแบบหาเรื่องไปแล้ว

"สวัสดีครับ แล้วก็... ผมจะไม่ยอมแพ้พี่หรอกครับ"
ไอ้กายพูดจบก็โค้งตัวให้พี่ทาร์ตก่อนจะกันมาโบกมือให้ผมแล้วเดินผ่านพวกเราออกไปจากตรงนี้ แต่แทนที่บรรยากาศอึมครึมจะจางหายไปกลับหนักอึ้งมากกว่าเก่าเพราะไอ้ประโยคท้ายนั่น มันจะไม่ยอมแพ้เรื่องอะไรวะ ดวงตาคมตวัดมองกันด้วยความแข็งกร้าว ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึงจนน่ากลัว หนึ่งวันกี่อารมณ์ล่ะนี่ ตามไม่ทันเว้ย

"พี่ทาร์ต... ซื้ออะไรมาบ้างครับเนี่ย"
ผมพยายามทำเสียงร่าเริงเพื่อชวนเขาเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะรู้ดีว่าอีกคนจะไม่ยอมให้เหตุการณ์หรือประโยคที่พูดไปเมื่อครู่ผ่านหูไปง่ายๆ ดวงตาคมจ้องแบบไม่ลดละ รู้สึกเหมือนมีใครเอาสก็อตเทปมาพันตามตัวเลยว่ะ อึดอัดโคตรๆ จนต้องเบี่ยงตัวหนี

"ปูนรู้หรือเปล่า"
อยู่ๆ พี่ทาร์ตก็ถามอะไรที่ผมไม่เข้าใจขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตึงๆ

"หา... เรื่องอะไรครับ"
ผมหันขวับไปมองหน้าเขาแล้วถามออกไปด้วยความงง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าต้องการสื่ออะไร พี่ทาร์ตเม้มปากเข้าหากันแน่นแล้วเบนสายตาไปทางอื่นเหมือนไม่อยากจะเห็นหน้ากัน

"เรื่องเพื่อนปูนคนเมื่อกี้น่ะ"
เสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างสั่นเครือ ไม่ใช่เพราะว่าเขาจะร้องไห้ แต่หงุดหงิดจนตัวสั่นต่างหาก สังเกตได้จากหมัดที่กำแน่นตั้งแต่ไอ้กายยังยืนอยู่ตรงนี้นั่นล่ะ

"หือ เรื่องไหนครับ"
ผมยังคงมึนอยู่กับเรื่องที่พี่ทาร์ตยกมาคุย ทำไมต้องเกริ่นอะไรแปลกๆ เข้าใจยากออกมาด้วย เข้าประเด็นตังแต่แรกก็จบไปแล้วปะวะ

"มันชอบปูน และกำลังจีบ"
พี่ทาร์ตหันมาจ้องกันเขม็ง แววตาที่ใช้มองกันนั้นกำลังสั่นไหว สีหน้าเหมือนกำลังเจ็บปวดหรือสับสนกับอะไรบางอย่าง ผมอึ้งอยู่เล็กน้อยที่เขาทักเรื่องไอ้กายแบบนี้ หรือว่าคนอื่นดูออกนานแล้วเรื่องที่มันชอบผม ทำไมตัวเองถึงไม่รู้อะไรขนาดนี้วะ โอย

"เอ่อ... ไอ้กู๊ดก็เคยบอกนะ แต่ผมไม่คิดว่าคนอย่างไอ้กายจะชอบผู้ชาย"
ผมตอบกลับไปด้วยเสียงแผ่วๆ ยกมือลูบท้ายทอยเล็กน้อย จริงอยู่ที่ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะชอบผู้ชาย ก็วันๆ เอาแต่จีบสาวทิ้งๆ ขว้างๆ แจ็กพอตดันแตกที่ผมได้ซะนี่... แม่ง

พี่ทาร์ตถอนหายใจยาวๆ ออกมาก่อนจะคว้าข้อมือของผมไปจับไว้แล้วก้าวขาพาทั้งคนและรถเข็นให้เคลื่อนที่ต่อ ผมเหลียวซ้ายแลขวาไปตลอดทางเพราะผู้ชายกับผู้ชายทำแบบนี้มันแปลกแต่ไม่กล้าสะบัดออกเลยว่ะ ดูท่าทางอารมณ์ของเขาจะไม่เสถียรเอาซะเลย เหมือนจะปะทุและเตรียมระเบิดได้ตลอดเวลา เดินๆ ไปเงียบๆ คงปลอดภัยกว่า

"สมัยนี้อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น จากแววตาและท่าทางที่มันทำเมื่อกี้ก็ดูออกแล้ว ปูนควรระวังตัวให้มากกว่านี้"
พี่ทาร์ตพูดโดยไม่หันมามองหน้ากันแม้แต่น้อยเลยไม่รู้ว่ากำลังแสดงสีหน้าแบบไหนอยู่ แต่จากน้ำเสียงแล้วพอจะเดาได้ว่าต้องขมวดคิ้วอยู่แน่ๆ หวง หึง หรือรู้สึกอะไรกันแน่ อยากรู้จริงๆ ลองหยั่งเชิงหน่อยก็แล้วกัน

"ไม่ต้องขนาดนั้นมั้งพี่ ถ้ามันจะชอบผมจริงๆ ก็ช่างเถอะ ไม่ได้ซีเรียสอะไร อีกอย่างก็ผู้ชายเหมือนๆ กัน จะระวังตัวไปทำไม"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทั้งที่ในใจไม่อยากให้ไอกายชอบกันเลยจริงๆ เพราะอนาคตคงเจอเรื่องยุ่งยากอีกเยอะ พี่ทาร์ตก็ไม่รู้ใจตัวเองสักที จะไปหาไม้กันหมาไดจากที่ไหนล่ะ ยิ่งมันบอกว่าไม่ยอมแพ้อีก ชีวิตไอ้ปูนจะพังพินาศก็คราวนี้ล่ะครับ ผู้ชายจะตีกันแย่งผมเหรอ... แค่คิดก็ไม่ไหวแล้ว เหี้ยกว่านี้มีอีกไหมล่ะ

พี่ทาร์ตหยุดชะงักเท้าแล้วหันขวับมามองกัน ผมที่เดินเพลินเลยยั้งตัวไม่ทันจนชนเข้ากับปากของเขา ดีหน่อยที่ไม่ได้แรงมาก แต่ท่าทางล่อแหลมเหมือนอีกคนกำลังจุมพิตหน้าผาก พอตั้งสติได้ก็รีบผละออกจากดันแล้วกันมองซ้ายมองขวา ฉิบหายสุดๆ ตรงที่มีคนมองมาทางนี้ จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนวะเนี่ย แต่ความคิดกลับโดนทุบจนแหลกเมื่อเขาเปิดปากพูดอีกครั้ง

"ไม่ซีเรียสแปลว่าชอบให้มันมายุ่มย่ามเหรอ จะปล่อยให้มันจีบงี้เหรอวะ แม่ง"
พูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวสุดๆ จนผมสะดุ้ง  ดูท่าทางมันจะใช้คำว่าหงุดหงิดไม่ได้แล้ว ต้องเปลี่ยนใหม่เป็นคำว่าโมโหถึงจะเหมาะ แรงบีบที่ข้อมือก็แรงขึ้นจนผมต้องนิ่วหน้าเพราะเจ็บ พี่ทาร์ตเข้าใจผิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย บ้าเอ้ย

"เฮ้ย อย่าเข้าใจผิด ผมหมายความว่าถ้ามันชอบกันจริงๆ ก็ไม่แคร์ไง ไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นกับไอ้กายสักหน่อย พี่ทาร์ตอย่าอารมณ์เสียสิครับ"
ผมรีบอธิบายจนลิ้นแทบจะพันกันพร้อมกับสังเกตสีหน้าอีกฝ่ายไปด้วย พี่ทาร์ตนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนพยักหน้ารับแล้วถอนหายใจออกมายาวๆ ความอึดอัดที่ข้อมือคลายลงและผละออกจากกันในที่สุด

"ถึงพี่จะไม่มีความชัดเจนอะไรเป็นหลักประกันได้เลยว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะรู้สึกยังไงกับปูนก็เถอะ แต่ขอได้ไหมว่าอย่าไปหวั่นไหวกับมัน ยอมรับว่าเห็นแก่ตัว งี่เง่า เป็นหมาหวงก้าง..."
น้ำเสียงที่พูดออกมาเต็มไปด้วยความสับสนไม่แน่ใจ แต่แววตากลับแสดงความหนักแน่นและยืนยันประโยคเหล่านั้นว่าคิดมาดีแล้ว เขาเว้นจังหวะหายใจเล็กน้อย ผมรู้ว่าพี่ทาร์ตยังพูดไม่จบเลยไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไป


"....."
ยืนกระพริบตาปริบๆ มองใบหน้าเคร่งขรึมนั่น บางทีมันก็เพลินดี ยิ่งพูดด้วยอารมณ์แกว่งๆ ยิ่งน่าตื่นเต้น ใจสั่นฉิบหาย

"แต่คนอย่างไอ้กายน่ะ เลวกว่าพี่ได้เป็นสิบเท่าแน่ๆ เชื่อเถอะ ผีเห็นผีประมาณนั้น"

"พูดอย่างกับว่าผมชอบพี่อยู่งั้นล่ะ..."
ผมบ่นอุบอิบได้แค่นั้นเพราะรู้สึกหมั่นไส้และขัดเขินอยู่เล็กน้อย ที่พูดมายาวเหยียดคือเป็นห่วงกลัวว่าจะเสียใจเพราะไอ้กายสินะ เหมือนให้ความหวังกันมาเกินครึ่งทางด้วยซ้ำ พี่ทาร์ตแสดงอาการหึงหวงขนาดนี้ยังต้องคิดอะไรให้มากมายอีกวะ แต่ก็ไม่สามารถเอาการกระทำเล็กๆ น้อยๆ มาตัดสินคนที่มีตรรกะซับซ้อนได้หรอก วกวนวุ่นวาย

"ชอบพี่แต่ปากแข็ง จะเอาคืนเรื่องที่โดนลองใจล่ะสิ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยเสียงทะเล้นแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ความตึงเครียดเมื่อครู่สลายหายไปในพริบตาเหลือแต่คนเจ้าเล่ห์อยู่ตรงนี้ จิ้มตาให้บอดได้ไหมวะ เกลียด

"เพ้อเจ้อว่ะ"
ผมผลักไหล่เขาออกแล้วเดินหนีทันที เพราะไม่สามารถปฏิเสธออกไปได้ตรงๆ ว่าไม่ชอบพี่ทาร์ต พอโดนจับความรู้สึกได้ทีไรเป็นอันต้องรู้สึกร้อนวูบบนใบหน้าทุกทีไป ไม่รู้ว่าจะเขินอะไรนักหนา ถ้าอีกฝ่ายบอกรักก็ว่าไปอย่าง จะบิดให้ตัวเป็นเกลียวเลยเถอะ

"เฮ้ยๆ ด่ากันแล้วเดินหนีแบบนี้พี่จะโมเมเอาเองว่ายอมรับนะ ชอบพี่ใช่ไหมวะปูน!"

ยังจะตะโกนตามหลังมาอีก!

เออ ยอมรับทางอ้อมแล้วไง แม่ง แบบนี้ไม่ต้องบอกตรงๆ แล้วมั้งว่าชอบน่ะ รู้ทันไปซะทุกเรื่อง เกลียดเว้ย เกลียดที่สุด!!!

เวลาผ่านมานานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ แต่เราทั้งสองคนยังนั่งปาร์ตตี้กันอยู่ในบริเวณสวน พี่ทาร์ตนั่งจิบไวน์อยู่ที่โต๊ะ ส่วนผมปลีกตัวออกมาย่างของกินเพิ่ม

ปลาหมึกสีใสบนเตาย่างค่อยๆ กลายสภาพเป็นสีขาวขุ่นและงอเข้าหากันจนเหลือตัวนิดเดียว ผมใช้ที่คีบสแตนเลสคีบมันใส่จานเปลที่ถือไว้ตั้งแต่ที่แรก ดวงตารีเหลือบมองอีกคนเป็นระยะๆ พี่ทาร์ตกำลังเหม่อมองท้องฟ้าสีนิลยามค่ำคืน ดวงดาวเล็กๆ กระจายตัวอยู่หลายจุด จะคิดอะไรอยู่นะ...

ผมละสายตาจากเขาเมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอมองนานไปหน่อย บาร์บีคิวหมูที่ย่างไว้บนเตาก็สุกพอดีเลยหยิบจับใส่จานและกลับไปหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ก่อนจะยื่นอาหารในมือให้พี่ทาร์ต ใบหน้าหล่อหันมาเลิกคิ้วใส่กันเล็กน้อยเหมือนต้องการถามแต่ก็ยอมรับจานไปง่ายๆ

"ย่างมาให้กินไง ก็เห็นจิบแต่ไวน์จะเอาอะไรไปอิ่ม"
ผมบอกก่อนจะคว้าแก้วไวน์ของตัวเองขึ้นมาจิบบ้าง ดื่มไปก็เยอะ เริ่มรู้สึกมึนๆ เหมือนกัน แต่อย่างว่าอยู่บ้านจะไปกลัวอะไร นอกจากกลัวตัวเองเผลอทำรุ่มร่ามกับอีกคน

"อืม... ขอบคุณครับ แต่ว่าพี่เริ่มเมาแล้วล่ะ มือไม่มีแรงเลย"
หันมาทำตาหวานเชื่อมให้กันจนผมเริ่มอยู่ไม่สุข จะมาไม้ไหนอีกคนเรา พอเมาแล้วสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวจนน่ากลัว

"ไม่มีแรงแล้วจะถือแก้วไวน์ได้ยังไง"
ผมเบ้ปากแล้วมองมือของเขาที่ยังคงถือแก้วไวน์ได้ปกติ ไม่สั่นไหวหรือมีท่าทีอ่อนแรงเลยด้วยซ้ำ ดวงตาคมที่ปรือช่ำทำให้สมองเริ่มคิดเรื่องอกุศล ถ้าเกิดอยู่ๆ เขาพุ่งเข้ามาจูบกันจะทำยังไงนะ

"ไม่มีแรงหยิบของกินใส่ปากไงครับ ปูนป้อนพี่หน่อยสิ"
ปากหนักสีส้มอ่อนขยับขึ้นลงเป็นประโยคที่ใช้น้ำเสียงออดอ้อน ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากแล้วสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น ไม่อยากมองพี่ทาร์ตตอนนี้เลย กลัวตัวเองจะพุ่งเข้าไปจูบเขานี่สิ ถ้าทำจริงเช้ามาคงมองหน้ากันไม่ติด

"หึ คิดว่าผมโง่หรือไง กินเองไม่ได้ก็ไม่ต้องกินครับ"
พยายามทำเสียงตึงๆ ใส่เขาไปทั้งๆ ที่หัวใจเต้นระรัวและใบหน้าร้อนผ่าว โดนอ้อนแบบนี้ใครจะไม่โอนอ่อนบ้างล่ะ แต่ไม่อยากทำให้อีกคนได้ใจไปมากกว่านี้ หมั่นไส้ว่ะ

"โห... ใจร้ายจังวะคนเรา อุตส่าห์เปิดโหมดอ้อน"
พี่ทาร์ตบ่นอุบอิบก่อนจะยอมกินอาหารในจานด้วยตัวเอง ผมเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะแอบคลี่ยิ้ม เห็นท่าทางงอนเป็นเด็กๆ ก็อดที่จะเอ็นดูไม่ได้

ต่างคนต่างนั่งดื่มด่ำบรรยากาศวันส่งท้ายปีเก่าไปเรื่อยๆ มีพูดคุยกันบ้างเป็นครั้งคราวเรื่องสรรพเพเหระ อย่างเช่นผมเปิดเทอมวันไหน หรือเรื่องที่พี่ทาร์ตจะขอพ่อของเขาทำงานที่ร้านขนมก่อนหนึ่งปีแล้วค่อยกันไปจับงานผู้จัดการโรงแรม

"นับถอยหลังกันเถอะ"
อยู่ๆ พี่ทาร์ตก็พูดขึ้นในขณะที่ตาก็มองนาฬิกาขอมือไปด้วย อีกไม่กี่วินาทีจะเข้าสู่ปีใหม่แล้วสินะ

"อื้อ"
ผมตอบรับในขณะที่อีกคนขยับมานั่งข้างๆ กันแล้วใช้แขนพาดพนักเก้าอี้ ท่าทางเหมือนโอบกอดกันไว้เลย... เมาแล้วจะคิดอะไรให้วุ่นวาย

"แปด"
รับรู้ได้ถึงสายตาของพี่ทาร์ตที่จับจ้องมาทางนี้

"เจ็ด"
ผมหันกลับไปสบตากับเขา

"หก"
ใบหน้าหล่อขยับเข้ามาใกล้กันอีกเล็กน้อย

"ห้า"
สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ และกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ใกล้กันเกินไปแล้ว จะทำยังไงดี

"สี่"
สายลมเอื่อยๆ พัดผ่านจนเส้นผมพลิ้วไปตามแรงลม มือหนาของพี่ทาร์ตยกขึ้นมาเกลี่ยแก้มกันเบาๆ อยากจะหนีแต่ไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย

"สะ สาม"
เสียงผมเริ่มตะกุกตะกักเมื่อปลายนิ้วเริ่มไล้ไปตามแก้ม ดวงตาคมหวานเชื่อมเหมือนกำลังยั่วยวนกันให้ตบะแตก

"สอง"
เสียงพี่ทาร์ตแผ่วเบาราวกับกระซิบ ใบหน้าหล่อขยับเข้ามาใกล้อีกระยะจนปลายจมูกของเราแทบจะแตะกัน ผมหลุบสายตาลงต่ำเพราะไม่มีความกล้าเลยสักนิด ยิ่งมือหนาเลื้อยมาประคองท้ายทอยไว้ยิ่งทำให้หัวใจเต้นรัว จะบ้าตายอยู่แล้ว

"หนึ... หนึ่ง"

"Happy New Year My Poon"
ใกล้จนปลายจมูกแตะกัน... หัวใจกำลังจะทะลุออกมาจากอกแล้วสินะ

"สะ สุขสันต์วันปี... อื้อ"
ผมพูดยังไม่ทันจบประโยคอะไรหนักๆ ก็กดลงมาบนริมฝีปากจนต้องหลับตาปี๋ แต่ไม่นานนักก็ตั้งสติได้ นี่มันไม่ใช่สิ่งที่คิดไว้ปะวะ พี่ทาร์ตหลับไปต่อหน้าต่อตาแถมยังเอาหัวมากระแทกปากกันอีก โอย แม่ง จะทำให้ลุ้นจนก้นไม่ติดเก้าอี้ไปเพื่ออะไรวะ เฮ้อ แต่สุดท้ายผมก็ยิ้มออกมา ก็ดีนะที่เราไม่ได้จูบกัน... ไม่อย่างนั้นคงกระอักกระอวนแน่ๆ

"ฝันดีนะครับพี่ทาร์ต... ของผม"
บอกฝันดีเขาไปก่อนจะจัดท่าทางให้นอนซบลงมาบนไหล่ของตัวเอง ขออยู่แบบนี้สักพักแล้วกันเนอะ จะให้ลากคนที่ตัวใหญ่กว่าในสภาพมึนๆ เมาๆ คงไม่ไหว

ถ้าผมเอะใจแล้วก้มไปมองใบหน้าหล่อๆ นั่นสักนิดคงได้เห็นรอยยิ้มบางๆ ไปแล้วล่ะ





----------------------------------------------

สวัสดีวันปีใหม่ไทยฮับ สุขสันต์วันครอบครัวน้า
พาที่ทาร์ตกับน้องปูนมาเสิร์ฟแล้ว อึ๋ย ตอนนี้เหมือนจะหวานแต่ก็ไม่สุด 5555
ดูเหมือนคู่แข่งจะเผยตัวออกมาแล้ว
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 9 -P.2- (14/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-04-2017 16:05:46
 :L2: :pig4:

Happy สงกรานต์
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 10 -P.2- (17/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 17-04-2017 21:16:15
(http://i.imgur.com/Y02lga7.png)


สูตรที่ 10

Strawberry Shortcake Cookie
: เนย/น้ำตาล/ไข่ไก่/กลิ่นวนิลลา/แป้งอเนกประสงค์/เกลือ/ผงฟู/เบกกิ้งโซดา/วิปปิ้งครีม/สตรอเบอร์รี่/ช็อกโกแลต :



ช่วงหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่ได้ผ่านไปแล้ว ทุกอย่างกลับมาสู่สภาวะปกติ และคนที่เดินทางไปต่างแดนก็กลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ผมควรจะดีใจที่ป๋ากับแม่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่เปล่าเลย มันกลับรู้สึกโหวงเหวงแปลกๆ เพราะใครคนหนึ่งที่เคยใช้ชีวิตด้วยกันร่วมครึ่งเดือนนั่นหายไป...

อาจจะดูเพ้อเจ้อไปหน่อย พี่ทาร์ตแค่กลับไปอยู่บ้านของตัวเองก็เท่านั้น แต่เราไม่ได้เจอกันทุกวันหรอกนะ เพราะเขาต้องเริ่มไปทำงานที่ร้านขนมแล้ว บางทีก็อยากติดสอยห้อยตามไปช่วยงานอยู่หรอก คิดไปคิดมาคงไม่ดีกว่า เดี๋ยวป๋ากับแม่จะจับพิรุธได้ ยังไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมเผลอชอบผู้ชายแถมยังเป็นพี่ชายข้างบ้าน พวกท่านไม่แคร์หรอกว่าผมจะเบี่ยงเบนอะไร ขอแค่เป็นคนดีไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครก็พอ โคตรรักอะบอกเลย

ผมเดินลงบันได้ด้วยความงัวเงีย มือเรียวยกขึ้นขยี้ตาไปมาเล็กน้อยเพราะเพิ่งตื่น กลิ่นหอมของอาหารเช้าลอยมาแตะจมูกจนทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงาน ตอนแรกว่าจะลุกขึ้นมาส่งป๋ากับแม่ไปทำงานแล้วกลับไปนอนต่อ ตอนนี้เปลี่ยนใจอยู่กินข้าวเลยแล้วกัน

"เฮ้ย!"
ผมร้องเสียงดังเมื่อเห็นใครคนหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีกำลังนั่งเคี้ยวแซนวิชอยู่ที่ห้องนั่งเล่นทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเวลานี้เขาควรไปทำงานที่ร้านขนมแล้วสิ... พี่ทาร์ตหันมองกันก่อนจะคลี่ยิ้มเพื่อทักทาย นี่มันอะไร เกิดอะไรขึ้นวะ งง

"ร้องโวยวายทำไมวะ นี่พี่ไม่ใช่ผี"
พี่ทาร์ตบ่นอุบก่อนจะยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม ผมมองซ้ายมองขวาหาป๋ากับแม่แต่ไม่เห็นใครสักคน คงจะออกไปทำงานกันแล้ว

"ตกใจนี่หว่า โผล่มาบ้านคนอื่นตั้งแต่เช้าแบบนี้"
ผมพูดเสียงอ่อยก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงที่โซฟาเดี่ยวพลางปิดปากหาว ง่วงก็ง่วง หิวก็หิว ยังต้องมาเจอพี่ทาร์ตในสภาพหัวฟูฟ่องอีก แต่จะว่าไปเขาก็อยู่ในชุดสบายๆ เหมือนกันนี่หว่า ไม่ออกไปทำงานหรือไงนะ

"พอดีแม่พลอยฝากซื้อของพี่ก็เลยเอามาให้แล้วได้แซนวิชเป็นของตอบแทนนี่ล่ะ"
พี่ทาร์ตตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วคลี่ยิ้มส่งมาให้ ผมที่เผลอมองเขานานไปหน่อยเลยได้สติแล้วเบนสายตามองทางอื่น ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะจ้องอะไรเขานักหนาเหมือนกัน โดนจับได้ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบก็ไม่จำสักที ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์ในคืนส่งท้ายปีเก่าหัวใจก็ยิ่งเต้นแรง... ไม่ไหว ทำไมคนๆ นี้ถึงมีอิทธิพลมากมายต่อตัวเองเหลือเกิน

"อ๋อ อือ... แล้ววันนี้ไม่ไปทำงานเหรอ"
ถามออกไปด้วยความอยากรู้โดนไม่มองหน้าอีกฝ่าย มือเรียวคว้าเอารีโมททีวีมาเปิดดูเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง ทำเป็นไม่สนใจแต่จริงๆ แล้วหูผึ่งสุดๆ

"ก็... อยากอยู่กับปูนน่ะ ไม่ได้เหรอ"
พี่ทาร์ตขยับเข้ามาใกล้กันแล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ด้วยความที่ตกใจผมเลยหันขวับไปมองหน้าเขาก่อนจะถลึงตาใส่แล้วรีบเบนสายตาไปทางอื่นเมื่อเจอกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม หัวใจพาลเต้นแรงไปหมด นี่เขาเรียกว่าเต๊าะใช่ไหม... แม่ง อีกแล้วนะ เป็นหมาหยอกไก่อยู่ทุกวัน เมื่อไหร่จะรู้ใจตัวเองสักทีวะ

"ห๊ะ ตะ ตลกแล้วพี่ทาร์ต จะมาอยากอยู่กับผมทำไม"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ถึงแม้ลึกๆ จะรู้ว่าอีกคนคงพูดไปอย่างนั้น แต่ก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้ โดนแบบนี้บ่อยๆ ทุกวันไม่ใช่ว่าชินหรอกนะ ยิ่งหวั่นไหวมากกว่าเดิมอีก

"เขินเหรอ"
น้ำเสียงทะเล้นดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลทำให้ผมผุดลุกขึ้นจากโซฟาแทบจะทันที ขืนนั่งต่อไปหัวใจอาจจะวายได้

"อะไร ใครเขินวะ ขี้มโน"
ผมโวยเสียงดังแล้วขยับตัวหนีไปยืนข้างโซฟาเมื่อเห็นมือหนาเอื้อมมา ไม่รู้ว่าเขาตะทำอะไร แต่ขอหลบไว้ก่อนดีที่สุด

"ก็หน้าแดง"
แม่ง... อย่ามองหน้ากันสิ

"ร้อนไง"
ตอบแบบสิ้นคิดสุดๆ

"แอร์ยี่สิบห้าองศา"
นี่ก็กวนตีนอีก

"ไม่คุยด้วยแล้วแม่ง... ขี้แกล้ง"
แพ้ราบคาบ ไม่เถียงต่อแล้ว

"โอ๋ๆ นะครับ พอดีแม่ขอให้ทำขนมน่ะ จะเอาไปฝากเพื่อนๆ ตอนเย็น พี่ก็เลยได้สิทธิ์อยู่บ้าน"
พี่ทาร์ตบอกเหตุผลที่ตัวเองไม่ต้องไปช่วยงานที่ร้านขนมกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติ ผมเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ พูดถึงขนมก็อยากกินขึ้นมาซะดื้อๆ

"อืม... ผมไปหาอะไรกินล่ะ"
ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจ้ำอ้าวเข้าห้องครัวทันที ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ไล่หลังมาแล้วพาลหงุดหงิดยังไงก็ไม่รู้ เป็นบ้าหรือยังไง เส้นตื้นเหรอ

"นี่ปูน... ถ้าว่างก็ไปช่วยพี่ได้นะ!"
เสียงเขาตะโกนไล่หลังมาทำให้ผมต้องจิ๊ปาก แล้วหันหลังกลับไปมองทางห้องนั่งเล่น ก็ไม่ได้จะเห็นหน้าเขาหรอก แต่จะตอบกลับไปต่างหาก

"ไม่ว่างเว้ย จะทำงาน"
เชื่อดิ ว่าอีกสักพักผมก็จะไปโผล่ที่บ้านอีกหลัง เฮ้อ

พี่ทาร์ตได้เมนู Strawberry Shortcake Cookie เป็นของฝากเพื่อนป้าอุ่นแถมยังแบ่งใส่จานส่งข้ามรั้วมาให้กันด้วย ส่วนผมก็แค่ทิ้งงานตรงหน้าแล้วเอื้อมมือไปรับมาอย่างเต็มใจก็แค่นั้นเอง เรื่องขนมไม่พลาดอยู่แล้ว รสชาติหวานๆ ละลายในปากช่างชวนให้หลงใหล แต่คนทำจะรู้ไหมว่าผมหลงรักเขา...

"ทำงานไปถึงไหนแล้วล่ะ"
พี่ทาร์ตถามขึ้นในขณะที่ตัวเขาเองกำลังล้างรถที่เพิ่งได้มาเมื่อต้นอาทิตย์ก่อน ทะนุถนอมอย่างกับลูก ไอ้ฟ่อนเคยโดนบ่นตอนเอาลูกชิ้นทอดขึ้นไปกินระหว่างกลับบ้าน หูชาไปเลยไง กลิ่นติดเบาะบ้างล่ะ กลัวน้ำจิ้มจะหกเลอะเทอะบ้างล่ะ ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าปลงๆ ความเนี๊ยบของเขา

"ใกล้เสร็จแล้วครับ"
ผมตอบกลับไปทั้งๆ ที่มือยังคงหยิบขนมใส่ปากและตาดูเอ็มวีเพลงใหม่ของศิลปินเกาหลีที่ชอบ ขอพักสักสิบยี่สิบนาทีเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดหน่อยเถอะ นั่งหลังขดหลังแข็งมาหลายชั่วโมงแล้ว อันที่จริงไม่ต้องแบกงานมาทำในสวนก็ได้... แต่อยากอยู่ใกล้ใครบางคนไง เป็นเอามากเนอะ เกลียดตัวเองชะมัด

"เย็นนี้ออกไปกินข้าวข้างนอกด้วยกันปะ ไอ้ฟ่อนอยากกินพิซซ่าน่ะ"
อยู่ๆ ก็ชวนกันออกไปกินข้าวข้างนอก ผมชะงักมือที่กำลังจะหยิบขนมเข้าปากอีกชิ้นแล้วไตร่ตรองว่าควรจะตอบรับดีหรือเปล่า เป็นส่วนเกินไหม ถึงแม้จะสนิทกันแค่ไหน บางทีก็ต้องมีเวลาครอบครัวกันบ้าง

"อ่า แล้วมีใครไปบ้าง"
ถามเพิ่มเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนจะวางขนมในมือลงแล้วทอดสายตาไปยังแผ่นหลังของพี่ทาร์ต เสื้อยืดสีขาวชื้นเหงื่อแนบกับผิว ดูไปดูมาโคตรเซ็กซี่... หน้าจะร้อนเพื่ออะไรวะ โอย อยากจะบ้าตาย เลิกคิดอกุศลกับเขาไม่ได้สักที

"ถ้าปูนไป ก็แค่สามคนนี่ล่ะ ป๋ากับแม่ไม่ชอบกิน"
เขาตอบกลับมาโดยที่ยังขะมักเขม้นล้างรถไม่หยุดหย่อน เชื่อว่าสะอาดทุกซอกทุกมุมแน่นอน ผมพยักหน้ารับคำตอบของเขา ถึงจะมีไอ้ฟ่อนเป็นก้างก็อย่าไปแคร์ บางครั้งอาจจะเร่งปฏิกิริยาอะไรบางอย่างในตัวของพี่ทาร์ตให้ไวขึ้นก็เป็นได้

"อ๋อ ไปก็ได้"
ผมตอบกลับไปแล้วเริ่มลงมือทำงานอีกครั้งหนึ่ง มือเรียวพิมพ์ตัวอักษรภาษาเกาหลีอย่างชำนาญโดยไม่ต้องมีไกด์ไลน์ใดๆ ในช่วงแรกๆ ก็อยากหาสติ๊กเกอร์มาติดคีย์บอร์ดไว้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้วล่ะ

"คิดไว้เลยนะว่าอยากกินพิซซ่าหน้าอะไร"
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสดใส ผมชะงักมือที่พิมพ์งานทันทีแล้วช้อนสายตามองคนที่ยังก้มหน้าก้มตาขัดถูล้อรถ อะไรคือให้เลือกหน้าพิซซ่า หน้าที่นี้ควรเป็นของไอ้ฟ้อนคนอยากกินไม่ใช่หรือไงวะ

"เดี๋ยวๆ... ต้องให้ไอ้ฟ่อนเลือกดิ นั่นคนอยากกินนะพี่"
ผมท้วงกลับไปแล้วนั่งนิ่งรอคำตอบ พี่ทาร์ตเปลี่ยนไปหยิบสายยางมาล้างทำความสะอาดคราบฟองออกจากตัวรถก่อนจะพูดประโยคที่ชวนให้ใจสั่น

"ไม่ พี่อยากตามใจปูนมากกว่า"
เขาหันมาสบตาพร้อมกับคลี่ยิ้มละมุนส่งมาให้กัน แค่เพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถทำให้ผมหน้าร้อนขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ดวงตารีเบนหลบไปทางอื่นเพราะไม่สามารถต้านทานความเป็นพี่ทาร์ตได้เลย ทรมานที่จะต้องอยู่ใกล้ แต่ก็ออกห่างไม่ได้... คนเรามีความคิดที่ช่างซับซ้อนเหลือเกิน

"พี่ทาร์ต... อย่าเต๊าะถ้าไม่คิดอะไรกับผม"
ผมพูดเสียงเบาเพราะไม่ต้องการให้เขาได้ยิน แต่มันเป็นจังหวะที่พี่ทาร์ตปิดน้ำพอดี... ซวยฉิบหาย อยากจะตีปากตัวเองซ้ำๆ พลาดอีกแล้ว

"รู้ได้ไงว่าพี่ไม่คิด"
คำตอบที่ได้กลับมาทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจแล้วกำชายเสื้อตัวเองแน่น ความรู้สึกปั่นป่วนในท้องกำลังทำให้เสียการทรงตัวอย่างรุนแรง

"หมายความว่ายังไง"
ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ดวงตารีมองไปตามสนามหญ้าอย่างไร้จุดหมาย หัวใจเต้นระรัวเพราะกลัวคำตอบ... ตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนรู้ว่าศิลปินที่ชอบจะมาเปิดคอนเสิร์ตที่ไทยซะอีก

"พี่คิดว่าตัวเองรู้สึกกับปูนไม่เหมือนเดิม แต่ยังไม่ค่อยมั่นใจว่าชอบจริงๆ หรือเปล่า"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงสั่นไหว มือหนายกขึ้นลูบท้ายทอยเหมือนกับคนที่หาทางออกให้ชีวิตไม่ได้ ดวงตาคมที่มักจะชอบมองจ้องกันนั้นกลับเบนไปในทิศทางอื่นแทน และนั่นทำให้ผมมีโอกาสสังเกตเขาอีกครั้ง ใบหน้าหล่อๆ นั่นแสดงความสับสนออกมาอย่างชัดเจน หัวคิ้วขมวดแทบเป็นปม ปากหนักเม้มเข้าหากัน... ไม่อยากกดดันแต่ก็อยากรู้ว่าเขาคิดยังไง แต่คงต้องปล่อยไปเพราะไม่สามารถทำอะไรได้ ผมไม่ใช่คนที่เก่งเรื่องความรักเหมือนกันนี่หว่า กว่าจะรู้ตัวก็ใช้เวลาพอควรเหมือนกัน

"เหรอ..."
หาคำพูดของตัวเองเจอแค่นั้นล่ะ

"อืม... ยังเล่นกีต้าร์เป็นอยู่หรือเปล่า"
พี่ทาร์ตวางสายยางในมือลงแล้วหันมาถามกันด้วยน้ำเสียงสบายๆ ผมที่กำลังเหม่อเลยสะดุ้งเล็กน้อย อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง เฮ้อ

"ก็เป็นนะ ทำไมครับ"
ผมขยับตัวนิดหน่อยแล้วตอบกลับไป หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าอยู่ๆ เขาจะถามเรื่องนี้ งานการไม่ต้องทำแล้วมั้ง เมื่อครู่พิมพ์ไปได้แค่บรรทัดเดียวเอง เปิดเทอมอาทิตย์หน้านะเว้ย...

"ร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิ"
พี่ทาร์ตพูดขอกันก่อนจะปีนข้ามรั้วมาทางนี้ เสื้อสีขาวที่ผมคิดว่าเปียกแต่เหงื่อทางด้านหลังนั้นแท้จริงแล้วด้านหน้าเปียกลู่ไปทั้งผื่น นี่ล้างรถหรืออาบน้ำกันแน่ ที่เลวร้ายคือทำไมสายตาชอบไปจ้องเขาอยู่เรื่อยนะ บ้าบอฉิบหาย

"อ่า งั้นขอไปเอากีต้าร์ก่อนนะ"
ผมเบนหน้าหนีร่างกายของเขาแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แต่ลืมไปซะสนิทว่าบนตักมีหนังสือไวยากรณ์ภาษาเกาหลีตั้งอยู่เลยทำให้มันหล่นลงบนพื้นหญ้า ตอนที่จะก้มลงไปเก็บก็ไม่ทันความไวอีกคนหนึ่ง เกือบโน้มตัวลงไปจูบกระหม่อมเขาแล้วไหมล่ะ ยืดตัวและถอยหลังแทบไม่ทัน

"ระวังหน่อยสิ"
พี่ทาร์ตช้อนตามองกันก่อนจะวางหนังสือลงบนโต๊ะเหมือนเดิม ผมพยักหน้าหงึกหงักรับคำก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปหยิบกีต้าร์ในบ้านทันที ก็เมื่อครู่หน้าเขาแทบจะชนกับท้องผมอยู่แล้ว เสียววูบไปหมด ให้ตายเถอะ

ผมวิ่งขึ้นบันไดแล้วเปิดประตูห้องนอนเพื่อจะเข้าไปหยิบกีต้าร์ แต่แทนที่จะรีบคว้ามันแล้วลงไปด้านล่างกลับทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอย่างหมดแรง เมื่อไหร่จะชินกับระยะห่างแค่นั้นสักทีวะ แบบนี้จะไปสู้พี่ทาร์ตได้ยังไง โดนเขาแอคแทคใส่บ่อยๆ ใจอ่อนระทวยไปหมด การจะเอาคืนเป็นไปได้ยากสุดๆ

อยู่ๆ ความคิดที่ว่าถ้าลองสารภาพความรู้สึกออกไปตอนนี้ พี่จะทำหน้าแบบไหนนะ จะเขินผมบ้างหรือเปล่า อยากรู้ก็ต้องลงมือปฏิบัติใช่ไหม... เอาวะ วันนี้ล่ะ ขี้เกียจจะเก็บเอาไว้ให้อึดอัดหัวใจเล่นคนเดียวแล้ว แบ่งเบาให้อีกคนแบกรับมันบ้างดีกว่า

ผมหยิบกีต้าร์แล้วเดินลงบันไดด้วยความรู้สึกกล้าๆ กล้วๆ เท้าแตะลงพื้นกระเบื้องชั้นล่างทำให้ต้องสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกขวัญกำลังใจ ดวงตารีเหลือบเห็นเป้าหมายกำลังนั่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับในมือถือโทรศัพท์ ดูท่าทางกำลังมีความสุขกับการได้คุยกับใครสักคนในโลกโซเชี่ยล รู้สึกหมั่นไส้และอิจฉาคนๆ นั้นจังที่ทำให้พี่ทาร์คยิ้มละมุนแบบนั้นได้

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปแล้วก้าวขายาวๆ ไปหาเป้าหมาย เขาหันมามองกันเล็กน้อยก่อนจะกลับไปพิมพ์อะไรยุกยิกลงในโทรศัพท์อีกครั้ง ตอนนี้ยังเปลี่ยนใจทันไหม ไม่อยากสารภาพอะไรแล้วว่ะ ดูเหมือนเขาจะมีคนที่ให้สนใจมากกว่าผมซะอีก... จะบอกว่าน้อยใจก็คงได้ งี่เง่าเนอะ

"อยากฟังเพลงอะไร"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วยกกีต้าร์ขึ้นมาวางบนขาและเริ่มปรับสาย พี่ทาร์ตไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเลยสักนิดเดียว คงไม่ได้ฟังกันสินะ ก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับหน้าจอโทรศัพท์

"พี่ทาร์ต"
ผมเพิ่มเสียงอีกเล็กน้อยก่อนจะจ้องเขาด้วยสายตาหงุดหงิด ถ้าอยากคุยกับคนอื่นนักก็กลับบ้านตัวเองไปเลยไหม ขอให้ร้องเพลงก็จะร้องอยู่นี่ไง ทำไมไม่สนใจกันบ้างวะ แล้วที่บอกว่าสับสนน่ะ โกหกหรือเปล่ายังไม่รู้เลย หมาหวงก้างเพราะโดนไอ้กายเย้ยไว้หรือเปล่านะ

"หืม โทษทีๆ คุยกับเพื่อนเพลินไปหน่อย ปูนว่าไงนะ"
พี่ทาร์ตวางโทรศัพท์ลงแล้วหันมามองหน้ากันด้วยใบหน้าที่ยังเปื้อนยิ้ม ผมกระแอมเบาๆ แล้วเบนสายตาไปทางอื่น คุยกับเพื่อนจริงๆ เหรอวะ ไม่อยากจะเชื่อเลย ตั้งแต่กลับมาภูเก็ตเพิ่งได้ยินเขาพูดถึงเพื่อนก็วันนี้ล่ะ

"ถามว่าอยากฟังเพลงอะไรครับ"

"ตามใจเลย"

"อืม..."

ผมนั่งคิดเพลงที่อยากร้องให้เขาฟังอยู่สักพักก่อนจะบรรจงปลายนิ้วมือพิมพ์หาคอร์ดกีต้าร์ในเว็บกูเกิ้ล มันอาจจะเก่าไปหน่อยแต่ความหมายเหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้แน่นอน... อาจจับอกว่าเป็นการบอกรักทางอ้อมก็คงได้

"มอง มองเธอมาแสนนาน
ฉันไม่กล้าต้องคอยหลบตาเธอเสมอ ~"
เสียงทุ้มนุ่มค่อยๆ ส่งคำร้องหวานๆ ออกมาจากริมฝีปากบาง ดวงตารีจ้องมองใบหน้าด้านข้างของพี่ทาร์ตแบบไม่วางตา ถึงเขาจะเอาแต่สนใจโทรศัพท์ในมือแต่ผมก็ยังตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป อยากฟังคำสารภาพไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่มองกันบ้างเลยล่ะ

"กลัวว่าวันหนึ่งถ้าเธอรู้ว่าฉัน
ปิดบังความจริงอะไรเอาไว้ ~"
พี่ทาร์ตวางโทรศัพท์ในมือลงแล้วแต่ดวงตาคมไม่ได้จับจ้องมาทางนี้แต่อย่างใด มันทอดยาวไปที่บรรดาดอกไม้นานาพันธุ์ในสวนแทน สนใจผมบ้างสิวะ อุตส่าห์รวบรวมความกล้าเพื่อร้องเพลงสารภาพรักเลยนะ ใจร้ายจัง

"ความลับที่ฉันซ่อนไว้
ไม่เคยบอกใคร จะอดใจไม่ไหว ~"
เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วออกเดินไปด้านหน้า ผมทอดสายตามองตามร่างสูงไปทั้งๆ ที่ปากยังขยับเนื้อร้องเพลงความลับไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าพี่ทาร์ตกำลังรู้สึกยังไงกันแน่ แล้วตอนนี้เขาคิดจะทำอะไรอยู่นะ

"ยิ่งฉันใกล้เธอเท่าไหร่ ยิ่งอยากจะเผยใจ เมื่อสบสายตาก็ยิ่งหวั่นไหว ~"
พี่ทาร์ตหยุดอยู่หน้ากระถางต้นดอกกุหลาบแล้วหันมาคลี่ยิ้มให้กัน ผมรู้สึกได้ว่าเสียงตัวเองสั่นจนยากจะควบคุม ดวงตาคมที่ทอดมองมาทางนี้มันช่างหวานละมุนและทำให้หัวใจเต้นรัวเหลือเกิน

"มันยากเหลือเกิน จะเก็บซ่อนความรักเอาไว้ และความลับในใจของเธอ มีฉันอยู่บ้างไหม ~"
เพลงท่อนนี้ทำให้ผมเบนสายตาหนีไปทางอื่น เสียงร้องที่เปล่งออกไปเบาจนน่าใจหาย ความลับในหัวใจของพี่ทาร์ตจะมีผมบ้างหรือเปล่านะ ถ้าสุดท้ายแล้วพวกเรารู้สึกต่างกัน ผมควรจะทำยังไงล่ะ ไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อนเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาอาจจะเป็นการคิดไปเองฝ่ายเดียวก็ได้ แย่เนอะ ตอนนี้รู้สึกคัดจมูกจนไม่สามารถอ้าปากต่อได้แล้ว ทำไงดี เพลงยังไม่จบท่อนเลยเถอะ

"โปรดบอกความในใจ ให้ฉันรู้ทีนะเธอ ~"
แต่เสียงของใครคนหนึ่งที่ยังยืนอยู่หน้ากระถางกุหลาบกลับดังขึ้นมาเพื่อร้องเพลงให้สมบูรณ์ ผมชะงักมือที่เล่นกีต้าร์แล้วมองแผ่นหลังกว้างนั่น ไม่คิดว่าพี่ทาร์ตจะร้องเพลงนี้ได้ด้วยซ้ำ เพราะเล่นไปอยู่อเมริกาตั้งแต่เด็กๆ

"สารภาพรักกับพี่ผ่านเพลงนี้เหรอ"
เสียงทุ้มเอ่ยถามกันทั้งๆ ที่เขายังยืนหันหลังอยู่ตรงนั้น ผมเม้มปากแน่นความตั้งใจในตอนแรกที่จะสารภาพกลับสลายไปหมด กลัว... ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาก็รู้อยู่แล้วว่าผมคิดยังไง แต่การพูดเพื่อเน้นย้ำด้วยตัวเองนั้นมันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

"ถ้าบอกว่าใช่ล่ะ จะรับได้หรือเปล่า"
ผมพูดด้วยเสียงค่อนข้างเบาแล้วกอดกีตาร์เอาไว้แน่นราวกับมันจะหนีหาย ดวงตารีมองต่ำลงที่พื้นหญ้าเพราะไม่มีความกล้าใดๆ ในการสบตากับพี่ทาร์ตที่กำลังเดินกลับมาทางนี้

"อืม... รับได้สิ ดีใจที่ได้ฟังว่าปูนรู้สึกยังไงกับพี่"
เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหัวกันเบาๆ ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองเลยด้วยซ้ำว่าพี่ทาร์ตกำลังแสดงสีหน้าและแววตาแบบไหน หัวใจเต้นระรัวเพราะคำว่าดีใจ... ไม่รังเกียจกันจริงๆ ใช่ไหม

"อื้อ... ผมขอโทษนะพี่ทาร์ต ที่รู้สึกแบบนี้ ขอโทษที่ไม่สามารถเป็นน้องชายให้ได้เหมือนเมื่อก่อน"
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องขอโทษเขา แต่รู้สึกว่าตัวเองทำผิดที่ไม่สามารถเป็นน้องชายให้พี่ทาร์ตได้เหมือนเดิม อาจจะตั้งแต่วันแรกที่ผมจำความได้หรือเปล่านะ คนๆ นี้ไม่เหมาะแก่การเป็นพี่ชายเลย

"ขอโทษเพื่ออะไรเนี่ย พี่น่าจะเป็นคนพูดคำนี้หรือเปล่า เพราะทำตัวก้ำกึ่งไม่ชัดเจนสักที"
พี่ทาร์ตโยกหัวกันเบาๆ ก่อนจะผละมือออกไป ผมกลั้นใจช้อนสายตามองอีกคนด้วยความอยากรู้ แล้วก็ได้พบว่าเขากำลังมองมาทางนี้ด้วยดวงตาที่สั่นไหว

"พี่ทาร์ตไม่ผิดหรอก ยังสับสนอยู่นี่ครับ ผมรอได้ ถึงแม้ว่าสุดท้ายผลลัพธ์มันจะออกมาแย่ก็เถอะ"
พูดแบบนั้นออกไปเพื่อให้เขาสบายใจและไม่เก็บเอามันไปเครียด เรื่องของความรู้สึกเราไม่สามารถเร่งรัดหรือบังคับมันได้ผมเข้าใจดี ทั้งๆ ที่กังวลว่าพี่ทาร์ตอาจไม่รู้สึกเหมือนกันและตัวเองคงต้องเสียใจเข้าสักวันแต่ก็พยายามใจเย็น...

"ไม่หรอกปูน พี่รู้แต่ยังไม่เชื่อตัวเอง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเป็นเสือผู้หญิง อยู่ๆ ดันรู้สึกดีกับผู้ชายขึ้นมา ไปไม่ถูกเหมือนกัน"
นี่เขากำลังสารภาพว่าชอบผมหรือเปล่านะ ใจเต้นแรงฉิบหายเลย กีต้าร์จะแหลกคาอ้อมกอดอยู่แล้ว

"สรุปว่า... พี่ก็รู้สึกเหมือนผมอย่างนั้นเหรอ"
ถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ดวงตารีเหลือบมองพี่ทาร์ตครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างกล้าๆ กลัวๆ จนโดนเขาดึงแก้มซะอย่างนั้น เจ็บอะ

"แค่ชอบๆ ยังไม่ถึงขั้นอยากเป็นแฟน เข้าใจใช่ไหม ขอตบตีกับความรู้สึกตัวเองสักพัก กลัวว่าจะเผลอทำให้ปูนเสียใจน่ะ รอได้ใช่ไหม"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือมาตบแก้มกันเบาๆ เพราะผมเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจนคางแทบชิดกับอก ถามว่าเขาใจไหม ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอก แต่จะทำอะไรได้ล่ะนอกจากตอบรับไป

"อื้อ ก็ชอบไปแล้ว ให้รอก็คงไหวล่ะ"

"ทำตัวน่ารักจังวะ อย่าเผลอใจไปชอบไอ้กายซะก่อนล่ะ"
พี่ทาร์ตพูดเสียงเครียดๆ ก่อนจะใช้มือเชยคางกันให้สบตา ผมสะบัดหน้าออกแล้วยกหนังสือขึ้นมาบังเอาไว้ พูดแบบนั้นแล้วถึงเนื้อถึงตัวไม่คิดว่าคนอื่นจะหัวใจวายตายบ้างหรือไง ชมไม่พอยังจะหวงอีก

"อืม... ถ้าพี่ให้ผมรอนานเกินไปก็ไม่แน่นะ"
ทั้งๆ ที่เขิน แต่ก็อยากแกล้งเลยพูดออกไปแบบนั้น ใครจะไปชอบไอ้หมากายกันล่ะ ถึงจะหล่อแค่ไหนผมก็ไม่สนหรอก ก็รักแค่พี่ทาร์ตคนเดียวนี่ล่ะ สายตายังมองผู้หญิงเป็นปกติอยู่เถอะ แต่ตอนนี้ไม่กล้าลดหนังสือลงจากหน้าด้วยซ้ำ กลั้นยิ้มไม่อยู่เลยเว้ย แม่ง

"ปูน... อย่าลองดี"
พี่ทาร์ตพูดเสียงแข็งก่อนจะโน้มตัวมาใกล้กัน ผมผงะถอยหลังจนเกือบหงายลงจากเก้าอี้ หนังสือยังคงบดบังใบหน้าด้านล่างอยู่เหมือนเดิม

"อะไร จะทำอะไรผมล่ะ"
ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นอย่างไม่ปิดบัง อยากจะลุกหนีออกไปจากตรงนี้แต่ระยะห่างที่เหลือระหว่างเราทำให้ไม่สามารถขยับไปไหนได้จริงๆ ถ้าผิดพลาดขึ้นมาอาจจะมองหน้ากันไม่ติด... เพราะมันใกล้จนแทบจะจูบกันได้อยู่แล้วเนี่ย

"อยากโดนตีตราจองไหมล่ะ"
ถามด้วยน้ำเสียงทะเล้นและใบหน้ากรุ้มกริ่ม ผมเบนสายตามองไปทางอื่นแทนที่จะจ้องหน้าของเขา ลมหายใจที่เป่ารดลงมาทำให้หัวใจกระตุกนับครั้งไม่ถ้วน ใครก็ได้โผล่มาช่วยที ระยะอันตรายเกินไปแล้ว

"ห๊ะ... จะ จองอะไร ไม่เอา"
ผมใช้หนังสือในมือดันหน้าพี่ทาร์ตออกไปห่างๆ แล้วใช้จังหวะนี้ลุกขึ้นเต็มความสูงเพื่อเตรียมหนี ไม่รู้หรอกว่าวิธีการจองอะไรนั่นของเขาต้องทำยังไงบ้าง แต่ลางสังหรณ์บอกว่ามันต้องเป็นอะไรที่สามารถทำให้หัวใจวายได้

"มานี่เลย ให้พี่จองซะดีๆ"
ไม่พูดเปล่ายังสาวเท้าเข้ามาหากันจนผมต้องก้มลงคว้ากีต้าร์มาถือไว้ กะว่าถ้าไม่ฟังกันจะใช้ไอ้นี่ล่ะฟาดแสกหน้าไปเลย

"เฮ้ย อย่าเข้ามานะ ผมฟาดด้วยกีต้าร์จริงๆ อะ!"
ผมยกกีต้าร์ขึ้นมาเตรียมฟาดพี่ทาร์ตจริงๆ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่กลัวและยังขยับเข้ามาใกล้ พยายามถอยหลังแล้วแต่ขายาวๆ นั่นก็ยังก้าวตามมาจนหาทางหนีต่อไปไม่ได้

"ปูนไม่กล้าทำหรอกน่า"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นก่อนจะเท้ามือเข้ากับกำแพงบ้านกั้นทางหนีเอาไว้ ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยฟาดกีต้าร์ลงบนหัวเขาจริงๆ

ตึง!

กะแรงผิดไปหน่อย หน้าผากพี่ทาร์ตเลยปูดเป็นลูกมะนาว ผมขอโทษ ~

เวลาสี่โมงเย็นผมกับพี่ทาร์ตออกจากบ้านเพื่อไปรับไอ้ฟ่อนที่โรงเรียน แทนที่จะได้นั่ง BMW คันใหม่เบาะนุ่มๆ กลับกลายเป็นว่าต้องนั่งมินิฯ ของตัวเองซะอย่างนั้นเนื่องจากฝนที่เทลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย อืม... เดี๋ยวมันก็เลอะโคลนกลับมาอีก ใครจะล้างให้ผมล่ะเนี่ย!

"นั่งทำหน้าบึ้งอยู่ได้"
พี่ทาร์ตเอื้อมมือมาจิ้มแก้มกันในขณะที่กำลังขับรถอยู่ ผมเบี่ยงหลบแล้วจิ๊ปากด้วยความหงุดหงิด เพราะก่อนออกมาไม่สามารถเอาชนะเขาได้เลยต้องยอมหยิบกุญแจรถส่งให้ซะอย่างนั้น

"ก็คนมันขี้เกียจล้างรถ อาทิตย์หน้าก็เปิดเทอมแล้ว"
ผมบอกด้วยเสียงขึ้นจมูกแล้วเบ้ปากใส่คนข้างๆ พี่ทาร์ตเหลือบตามองกันเล็กน้อยก่อนจะขำออกมาแล้วส่ายหน้าอย่างปลงๆ

"ทีตอนไปรับพี่ที่สนามบินล่ะ โคตรสกปรกเลย สีรถก็แทบดูไม่ออก"
พี่ทาร์ตเบ้ปากใส่กันก่อนจะเอื้อมมือมาผลักหัวผมเบาๆ ก็ตอนนั้นไม่ได้สนใจนี่ว่าใครจะมองรถตัวเองยังไง ดีใจที่ได้เจอเขามากกว่า... ก็แค่ข้ออ้างของคนขี้เกียจล้างรถเท่านั้นล่ะ

"มันไม่เหมือนกันนี่หว่า ไปสนามบินไม่เจอคนรู้จักสักหน่อย แต่ไปมหา’ลัยน่ะ คนรู้จักเยอะแยะ อาย"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วซุกหน้าลงกับคอนโซลรถ ก็ตอนที่ไม่ล้างรถทีไรเพื่อนชอบเอาไปล้อทุกทีนี่หว่า อย่างไอ้หายนี่ตัวดีเลย ถึงขนาดหาว่าเจ้าของมันก็คงไม่อาบน้ำมาเหมือนกัน แม่ง... คิดได้ไงวะ แถมยังอาสาจะมาอาบน้ำให้กันด้วย ขนลุกฉิบหาย

"หน้าบางขึ้นมาซะงั้น เดี๋ยวพี่ล้างให้เอง หายงอนได้แล้ว โอเคปะ"
พี่ทาร์ตเสนอมาแบบนั้นด้วยใบหน้ายุ่งเหยิงแต่ผมรีบพยักหน้ารับแล้วคลี่ยิ้มกว้างทันที แบบนี้ไม่ว่าจะเอารถผมไปตกบ่อโคลนที่ไหนก็ยอมล่ะวะ มีคนล้างรถให้แล้ว สบาย



ต่อด้านล่างเนอะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 10 -P.2- (17/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 17-04-2017 21:16:49
ไม่คิดว่าการมากินพิซซ่าจะรู้สึกอึดอัดได้ขนาดนี้ ดวงตากลมจ้องผมกับพี่ทาร์ตสลับกันแบบไม่หยุดหย่อน จะขยับแต่ละทีก็ต้องระแวงไอ้ฟ่อนตลอดเวลา เพราะไอ้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามชอบตักนั่นยื่นนี่มาให้กันบ่อยๆ ปกติต่างคนต่างกินเลยผิดวิสัย

"นี่... ฟ่อนตกข่าวอะไรไปหรือเปล่า"
หลังจากเงียบกันไปนานไอ้ฟ่อนก็ถามขึ้นก่อนจะเอื้อมมือมารั้งแขนกันไว้ ผมหันไปเลิกคิ้วใส่เป็นเชิงถามว่ามีอะไรทั้งๆ ที่พอจะเดาได้ว่าน้องสื่อถึงอะไร

"อะไร"
ผมถามกลับไปแล้วแกะมือมันออกด้วยหน้าตาเรียบเฉย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วตักสลัดผักใส่จานตัวเอง ไม่วายไอ้พี่ทาร์ตยกไก่นิวออลีนให้อีก อยากปากระดูกใส่หน้าเหลือเกิน ไอ้ฟ่อนสงสัยขนาดนั้นยังไม่หยุดทำตัวแปลกๆ อีก จะเอาใจกันค่อยทำเวลาอื่นไม่ได้หรือไงวะ

"พวกพี่ดูแปลกๆ นะ หวานๆ ยังไงก็ไม่รู้"
ไอ้ฟ่อนมองกันด้วยสายตาจับผิดแล้วหันมาจ้องหน้าผมที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน ส่วนพี่ทาร์ตไม่สนใจสรรพสิ่งรอบข้างเพราะเอาแต่แทะไก่นิวออลีน แค่ตักอาหารให้กันยังโดนจับผิดขนาดนี้ ต่อไปคงทำอะไรต่อหน้าน้องมันไม่ได้แล้วล่ะ ไม่ใช่จะปิดบัง แต่เกลียดที่ต้องโดนแซวหรือโดนงอแงใส่

"หวานบ้าอะไรของมึง ก็ปกติปะวะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงตึงๆ ก่อนจะตักสปาเก็ตตี้ใส่จานให้ไอ้ฟ่อนเป็นการกลบเกลื่อนว่าเรื่องที่พี่ทาร์ตทำมันปกติแต่ไหน แต่น้องกลับรั้งข้อมือผมไว้ซะอย่างนั้น

"ไม่ต้องเฉไฉ บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพี่สองคน"
ไม่ต้องดงต้องแดกแล้วมื้อเย็นเนี่ย มันเล่นกางแขนบังอาหารจนหมดแบบนี้ อยากจะเอื้อมมือเขกหัวสักทีก็สงสาร การเป็นคนไม่รู้อะไรเลยมันทรมานผมเข้าใจ แต่จะให้บอกไปตรงๆ ก็เขินไง...

"ไม่เสือกสิครับน้องชาย"
พี่ทาร์ตว่าด้วยเสียงดุๆ แล้วใช้มือตีแขนไอ้ฟ่อนดังสนั่น ใบหน้าหวานเหยเกเพราะความเจ็บปวด ได้ยินเสียงขบกรามดังกรอดๆ ดวงตากลมกันมามองหน้าผมเขม็ง... รู้สึกว่าตัวเองจะโดนทำอะไรพิเรนทร์ๆ ใส่แน่ๆ จะขยับหนีก็ไม่ได้ เสือกนั่งด้านในติดกระจกร้าน

"ถ้าพี่ทาร์ตไม่ยอมบอก ฟ่อนจะหอมแก้มพี่ปูน!"
ไอ้ฟ่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วขยับเข้ามาใกล้จนแทบจะเกยตักกัน ผมสะดุ้งตกใจเพราะไม่สามารถหนีไปไหนได้ เลยทำแค่ยกมือขึ้นดันหัวมันออกไปไกลๆ อย่างนึกรังเกียจ

"เฮ้ยๆ เกี่ยวอะไรกับกูวะเนี่ย ถอยออกไปไกลๆ ไม่งั้นกูถีบมึงตกเก้าอี้จริงๆ ด้วย"
ทั้งโวยวายทั้งดันไอ้ฟ่อนออกไปห่างๆ ผมรู้ว่าที่น้องมันขู่ๆ มาน่ะ ลงมือทำจริงแน่ๆ คิดแล้วก็ขนลุก นี่ถ้าโต๊ะกว้างกว่านี้ผมคงยกเท้าขึ้นมายันแล้ว แม่ง

"อย่ายุ่งกับปูนดิ กูหวง ถอยออกมาเลยไอ้ฟ่อน"
พูดทาร์ตพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดก่อนจะกระชากคอเสื้อด้านหลังของไอ้ฟ่อนจนหน้าหงาย น้องดีดดิ้นโวยวายจนคนอื่นๆ ในร้านหันมามอง เดือดร้อนผมต้องก้มหัวขอโทษพวกเขาแทน นี่เขาเรียกศึกระหว่างพี่น้องหรือเปล่า อยากเรียกว่าศึกชิงนายเลย กระดากปากสุดๆ

"โอย อะไรอะ นี่แสดงว่าพวกพี่สารภาพรักกันแล้วเหรอ มีหงมีหวง!”
ยังคงโวยวายไม่หยุดจนผมต้องเอื้อมมือไปอุดปากมัน ส่วนพี่ทาร์ตยอมปล่อยมือจากคอเสื้อน้องแล้วกลับไปนั่งที่ตัวเองก่อนจะหันมายักคิ้วกวนๆ ให้กัน ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยเตะหน้าแข้งเขาไปหนึ่งที จะยั่วโมโหอะไรชาวบ้านนักหนานะ

"ตามนั้น"
พี่ทาร์ตตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเป็นสัญญาณว่าจะไม่พูดอะไรต่ออีก ไอ้ปูนเลยหันมาจ้องหน้าผมแทนแล้วถามด้วยน้ำเสียงรอดไรฟัน

"แล้วพี่ปูนว่าไง!"

"ก็เออ ตามนั้นล่ะ ถามไรมากมายวะ คนจะกิน"
ผมตอบโดนไม่มองหน้าไอ้ฟ่อนแล้วใช้มือผลักหัวมัน ต้องมาพูดอะไรแบบนี้ก็เขินนะเว้ย แล้วไอ้พี่ทาร์ตน่ะจะเอาเท้ามาเขี่ยกันอีกนานไหม เดี๋ยวพ่อถีบเป้าเลยนี่ กวนตีนฉิบหาย

"ฮึ่ย!! ไม่ยอมอะ ทำไมฟ่อนต้องอกหักด้วย"
ไอ้ฟ้อนทำหน้ายุ่งก่อนจะเบะปากแล้วกอดอกแน่นเหมือนเด็กโดนขัดใจ ผมได้แต่มองแล้วลอบถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย รู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้มันแสดงท่าทีปัญญาอ่อน แต่ขอบายล่ะ ให้พี่ทาร์ตจัดการเองแล้วกัน กินดีกว่าเนอะ

"โอ๋ๆ นะน้องฟ่อน เดี๋ยวกูบอกไอ้อินให้มาดามใจมึง โอเคปะ"
พี่ทาร์ตเอื้อมมือมาบีบแก้มไอ้ฟ่อนจนแดงไปหมด ผมได้ยินเสียงน้องซี้ดปากแล้วได้แต่นั่งเจ็บแทน จากที่หน้าบึ้งอยู่แล้วตอนนี้เป็นตูดเลยไง แล้วพี่อินอะไรนั่นเขาเป็นเพื่อนพี่ทาร์ตเหรอวะ ชื่อคุ้นๆ แต่นึกไม่ออก

"ไอ้พี่อินอ้วนดำอะนะ ไม่เอาอะ ฟ่อนไม่ชอบ"
ไอ้นี่ก็ปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมกับเบะปาก คิดว่าตัวเองน่ารักเลือกได้อย่างนั้นเหรอ เคะราชินีเอาแต่ใจชัดๆ ถ้ามันคบกับผมคงเลิกกันไปนานแล้วล่ะ นิสัยน่ารำคาญยังไงก็ไม่รู้...

"หึหึ ถ้ามึงเห็นมันปัจจุบันจะไม่พูดแบบนี้"
พี่ทาร์ตยักคิ้วกวนๆ ส่งให้ไอ้ฟ่อนก่อนจะหันมาคลี่ยิ้มหวานให้กัน ผมเลยกลบเกลื่อนความเขินด้วยการเบ้ปากใส่แล้วคว้าเฟรนฟรายในจานของน้องมากิน รู้สึกเขาหวานจะขึ้นยังไงไม่รู้ ไม่ชินนิสัยเลี่ยนๆ ของเขาเลยว่ะ

เออ ผมว่าพี่อินอะไรนั่น... ปัจจุบันต้องหล่อระดับนายแบบแน่ๆ อะ ไม่อย่างนั้นพี่ทาร์ตคงไม่กล้าพูดแบบนั้น




-----------------------------------------------

ตอนที่ 10 มาแล้วนะ ... ช่วยคอมเม้นท์ติชมให้กำลังใจเราหน่อยนะ T T
คือไม่มีผลตอบรับกลับมาเราก็ไม่รู้ว่าทุกคนคิดยังไงบ้าง สนุกหรือเปล่าไรงี้
แอบกังวลว่ามันจะไม่สนุกน่ะ ฮือ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 10 -P.2- (17/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 17-04-2017 21:46:33
อยากเจอพี่อิน :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 10 -P.2- (17/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-04-2017 22:23:39
หวงถึงขนาดที่แทบจะกระโจนไปซัดกายยังไม่แน่ใจตัวเองอีกนะพี่ทาร์ต
ต้องรอกายรุกหนักกว่านี้เหรอถึงจะแน่ใจได้น่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 10 -P.2- (17/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 18-04-2017 20:38:01

พี่ทาร์ตไม่ต้องรีบนะ
ค่อยๆคิด

รอให้น้องปูนโดนคนอื่นคว้าไปก่อน
 :laugh5:

อยากเจอพี่อิน
ฟ่อนมีคู่ปรับละ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 11 -P.3- (22/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 23-04-2017 20:21:37
(http://i.imgur.com/YMAVhyt.png)


สูตรที่ 11

Tiramisu
: เลดี้ฟิงเกอร์/มาร์คาร์โปเน่/วิปปิ้งครีม/น้ำตาลไอซิ่ง/น้ำเปล่า/ผงกาแฟ/เหล้ารัม :




อากาศช่วงสายในวันอาทิตย์ช่างร้อนอบอ้าวจนอยากแก้ผ้านอนแช่น้ำ ไอ้คนที่นัดกันไว้ว่าจะมาล้างรถให้ก็หายหัวเข้ากลีบเมฆไปตั้งแต่เช้า ถามไถ่จากไอ้ฟ่อนก็ได้คำตอบแค่ว่าออกไปทำธุระให้ป้าอุ่น ตอนนี้ผมเลยมานั่งเอกเขนกอยูริมสระในบ้านของพี่ทาร์ต ข้างๆ กันมีร่างบางนั่งทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์อยู่ ได้ยินเสียงบ่นออกจากริมฝีปากบางเป็นระยะก็ไม่ต้องเดาเลยว่ามันยากแค่ไหน

"พี่ปูน... ช่วยฟ่อนแก้โจทย์ข้อนี้หน่อยดิ งมมานานแล้วอะ ทำไม่ได้สักที"
ไอ้ฟ่อนขยับหนังสือคณิตศาสตร์มาตรงหน้าแล้วสะกิดแขนเบาๆ ผมหันไปเลิกคิ้วใส่ก่อนจะส่ายหน้ารัวๆ แค่เห็นก็จะเป็นลมอยู่แล้ว ตอนเรียนมัธยมแค่ตัวหลักก็แทบกระอักเลือด นี่ตัวเสริม... ขอบาย


"ฟ่อน... กูจบสายภาษา คณิตเสริมจะไปรู้เรื่องอะไรวะ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเนือยๆ แล้วผลักหนังสือคณิตกลับไปให้เจ้าของ ไอ้ฟ่อนเบะปากทำท่าจะร้องให้ใส่กันก่อนจะเท้ามือรองรับหัวตัวเองเอาไว้ ก็อยากช่วยอยู่หรอก แต่จนปัญญาจริงๆ

"เค้าลืมไปว่าตัวไม่ถนัดคณิต"
หันมาทำปากจู๋ใส่กันก่อนจะก้มลงไปอ่านโจทย์อีกรอบ ผมได้แต่เบ้ปากใส่มันเพราะรู้สึกขนลุกกับสรรพนามที่ถูกยกขึ้นมาใช้ มุ้งมิ้งอย่างกับคนเป็นแฟนกันเลยว่ะ

"เออ รอพี่ทาร์ตกลับมาสอนแล้วกัน"
ผมบอกน้องไปแบบนั้นก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวมันแรงๆ ด้วยความหมั่นไส้ ทำการบ้านไม่ได้แค่นี้ถึงกลับต้องดราม่าอะไรขนาดนั้นวะ นั่งเป็นปลาทูคอหักไปได้ ไอ้ฟ่อนเหลือบสายตามองกันแล้วย่นจมูกใส่แต่ไม่ได้ปัดป้องแต่อย่างใด รู้หรอกว่าชอบให้เล่นหัวน่ะ

"พี่ปูน... ถามอะไรหน่อยดิ"
อยู่ๆ ฟ่อนก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมชะงักมือที่กำลังขยี้หัวมันเล่นแล้วเลิกคิ้วใส่ ดวงตารีมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ

"ถามเรื่องอะไร"
ผมดึงมือกลับมาตั้งไว้ด้านหน้าของตัวเองแล้วจ้องมองอีกคนเพื่อรอคำถาม ไอ้ฟ่อนเม้มปากเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ทำไมรู้สึกสถานการณ์มันตึงเครียดแปลกๆ วะ

"คิดดีแล้วเหรอเรื่องพี่ทาร์ตอะ"
คำถามจากปากไอ้ฟ่อนทำให้ผมเผลอสะดุดลมหายใจตัวเองไปหนึ่งจังหวะ ดวงตารีจ้องมองคนตรงข้ามด้วยแววตาสงสัย ไม่ค่อยเข้าใจว่ามันต้องการคำตอบในทิศทางใด กว้างจนไม่สามารถโฟกัสอะไรได้เลย

"หมายถึงอะไร"
ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงสงสัยแล้วเปลี่ยนท่านั่งเป็นไขว่ห้าง ไอ้ฟ่อนยืดตัวขึ้นแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยิงคำตอบที่แคบลง

"ก็แบบ... แน่ใจแล้วเหรอว่าพี่ปูนชอบพี่ทาร์ตจริงๆ"

"ทำไมถามแบบนี้วะฟ่อน"

"ก็เรารู้จักกันมาตั้งแต่จำความได้ใช่ไหมล่ะ ฟ่อนก็อยากให้พี่ปูนทบทวนดีๆ ว่าความรู้สึกที่มีตอนนี้แค่ความผูกพันหรือชอบกันแบบเชิงชู้สาวจริงๆ"
ไม่แปลกอะไรที่น้องจะกังวลเรื่องนี้ ก็จริงอย่างที่มันว่า เพราะการที่เรารู้จักกันมานานทำให้ความสัมพันธ์อะไรๆ มันแนบแน่นกว่าคนปกติทั่วไป แต่ตัวผมคิดมาดีแล้วจริงๆ ถ้ารู้สึกแค่พี่น้องคงไม่ต้องเสียใจเวลาที่เขาบอกว่าจะไปขึ้นเตียงกับคนอื่น ไม่ต้องมานั่งหงุดหงิดเวลาเขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่คุยกับสาวๆ หรอก อาการชัดขนาดนั้นถ้าสังเกตตัวเองสักหน่อย คำตอบก็อยู่แค่เอื้อม ถึงไม่มีประสบการณ์แต่ก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณและเรื่องเล่าจากเพื่อนๆ ที่เคยมีแฟน

แต่สำหรับเสือผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองเก่งเรื่องความรักอาจจะยอมรับได้ยากเมื่อเผลอรักเพศเดียวกัน

"ไม่ต้องห่วงหรอก กูแทบตีลังกาคิดอยู่แล้ว สุดท้ายก็ได้คำตอบเหมือนเดิมคือชอบจริงๆ"
ผมพูดติดตลกเพราะไม่อยากให้น้องต้องมาเครียดไปอีกคน รู้ว่าไอ้ฟ่อนทั้งรักทั้งหวงเราสองคนมากแค่ไหน คงไม่อยากให้ใครเสียใจล่ะมั้ง

"โหย พูดอะไรไม่เกรงใจฟ่อนเลยอะ อกหักอยู่นะเนี่ย"
น้องย่นจมูกใส่กันแล้วแสร้งทำท่าขยี้ตาร้องไห้ ผมได้แต่นั่งมองแล้วส่ายหัวอย่างปลงๆ กับท่าทีแบบนั้น อยากจะแนะนำให้มันไปสอบเข้านิเทศศาสตร์การแสดงมากกว่าการสอบเป็นทันตะแพทย์อย่างที่ได้ตั้งใจไว้ซะอีก

"อย่ามาตอแหล มึงไม่ได้ชอบกูแบบนั้นสักหน่อย"
ผมพูดก่อนจะเอื้อมมือผลักหัวไอ้ฟ่อนด้วยความหมั่นไส้ มันจิ๊ปากเบาๆ แล้วแยกเขี้ยวใส่กันจนเห็นเหล็กดัดฟันสีฟ้าพาสเทล ภาพรวมของมันคือเด็กผู้ชายน่ารักๆ คนหนึ่ง น่าทะนุถนอม ทำไมไม่เกิดมาเป็นน้องสาวก็ไม่รู้

"รู้ได้ไง ตอนแรกเค้าก็ชอบตัวแบบนั้นนั่นล่ะ แต่ตัดใจไปนานแล้วเถอะ เลยเปลี่ยนมาปลื้มๆ แทน"
พูดจบก็ยู่ปากใส่กันก่อนจะเอาหัวทุยๆ มาโหม่งลงบนอกของผมเบาๆ ทำไมชอบเลือกใช้สรรพนามชวนสยองนั่นทุกทีวะ ขนลุกเหมือนจะปวดอึยังไงไม่รู้ แทนที่จะเลือกสนใจเนื้อหาสำคัญในประโยคนั้นผมกลับปัดมันทิ้งแบบไม่ใยดี ไม่อยากให้ไอ้ฟ่อนก่อดราม่าหรอก

"เกลียดสรรพนามที่มึงใช้จัง ขนลุก"
ผมเหล่ตามองก่อนจะทำท่าลูบแขนตัวเองไปมา ไอ้ฟ่อนถึงกับมองเขม็งแล้วเบะปากใส่รัวๆ อยากดีดจังวะ หมั่นไส้

"โด่ คนไม่ใช่ทำอะไรก็ผิดอะ งอน!"
ยังจะมาตัดพ้อด้วยน้ำเสียงแสนงอนอีก แต่อย่าคิดว่าผมจะโอ๋น้องล่ะ เพราะมันบากที่สุดแล้ว ง้อมากๆ เดี๋ยวจะติดนิสัยเคยตัว อาจจะต้องรอพี่อินอะไรนั่นมาดูแลไอ้ฟ่อนจริงๆ นั่นล่ะ

"ทำการบ้านไปเลยไป เพ้อเจ้ออยู่ได้"
ผมดึงแก้มมันด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะออกปากไล่ให้กลับไปสนใจการบ้าน ส่วนตัวเองก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วบิดขี้เกียจไปมาโดยไม่แคร์สายตาอาฆาตของไอ้ฟ่อนเลยสักนิด

ขายาวๆ ก้าวเดินไปตามขอบสระเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ของตัวเอง เปิดเทอมใหม่กับวิชาเรียนใหม่ทำให้วิตกกังวลอยู่ไม่น้อย ไหนจะตอนซัมเมอร์ต้องไปเรียนที่เกาหลีใต้อีก... ใช้เวลาเป็นเดือนๆ ก็เท่ากับว่าต้องห่างพี่ทาร์ตด้วย แต่บางทีมันคงช่วยให้อีกคนไตร่ตรองหัวใจตัวเองมากขึ้นและไวขึ้นก็ได้มั้ง

"กลับมาแล้ว"
เสียงทุ้มที่ฟังกี่ครั้งๆ ก็ไม่เคยเบื่อดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งของสระน้ำ ทำให้ผมชะงักเท้าที่กำลังจะเดินต่อแล้วหมุนตัวไปมองเขาที่หอบหิวไก่ทอดชื่อดังติดไม้ติดมือกลับมาด้วย พี่ทาร์ตวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะก่อนจะคลี่ยิ้มให้กันเมื่อเห็นผมยื่นอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

"ว้าวๆ ไก่ทอด หอมอะ ขอกินชิ้นนึงนะพี่ทาร์ต"
ไอ้ฟ่อนเอื้อมมือไปกำลังจะเปิดกล่องไก่ทอดแต่พี่ทาร์ตกลับยั้งเอาไว้แล้วทำหน้าดุใส่ก่อนจะพยักพเยิดหน้ามาทางผม

"อะไรเนี่ย ขี้งกอะ!"
ไอ้ฟ่อนโวยวายเสียงดังก่อนจะโดนพี่ทาร์ตจับหัวแล้วบังคับให้หันหน้ามามองผมที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะสนใจ แต่ไปๆ มาๆ เกิดอยากรู้ว่าสองพี่น้องเขาทะเลาะอะไรกันอีก

"ชวนปูนก่อน ตะกละนะมึง"
พี่ทาร์ตพูดเสียงไม่ดังมากนักก่อนจะคลี่ยิ้มให้กันแล้วปล่อยไอ้ฟ่อนไว้ตรงนั้น ขายาวๆ ของเขาก้าวตรงมาหาผม ที่จริงตะโกนชวนกันก็ได้หรือเปล่า ไม่เห็นต้องเข้ามาใกล้เลย หรือมีจุดประสงค์อื่นกันนะ

"ปูน..."
เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อกันเมื่อพี่ทาร์ตเดินมาหยุดตรงหน้า ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่ามีอะไรก่อนจะต้องเอียงคอเพราะความสงสัยเพิ่มขึ้นเมื่อเขายื่นมือมาให้กัน

"ทำอะไรน่ะ"
ผมถามออกไปแล้วขมวดคิ้วลงเล็กน้อย ไม่ไว้ใจท่าทางแสนแปลกประหลาดของเขาจริงๆ นะ แล้วแววตาเป็นประกายที่มองมานั่นชวนให้ขนลุกชอบกล ไม่ใช่ว่าพี่ทาร์ตคิดจะทำอะไรแผลงๆ หรอกนะ...

"ไปกินไก่ทอดกัน"
ปากชวน ในตายิ้ม แต่มือที่ยื่นมาคืออะไรล่ะ จะให้ตีหรือจับ

"ได้ครับ แต่จะยื่นมือมาทำไมล่ะ"
ถามขึ้นเสียงเล็กน้อยแล้วยกมือขึ้นถูปลายจมูก รู้สึกอยากจามยังไงไม่รู้ ใครแอบนินทาอะไรหรือเปล่าวะ ผมเหลือบมองไปทางไอ้ฟ่อนก็เห็นน้องมันนั่งเท้าคางเบะปากมองมาทางนี้ คงหมั่นไส้พี่ชายตัวเองสินะ

"ก็จับมือไง เดี๋ยวพี่พาไป"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วส่ายมือไปมาตรงหน้า ผมยิ่งขมวดคิ้วแน่นเมื่อฟังประโยคเมื่อครู่จบ แค่เดินวนสระน้ำกลับไปที่โต๊ะ มันจะหลงทางหรือยังไงวะ ไม่ใช่พาไปถนนคนเดินอะไรแบบนั้นหรือเปล่า... ตรรกะอะไรของพี่ทาร์ตวะ

"ห๊ะ... พี่คิดว่าผมเป็นเด็กหรือไงเล่า เดินไปเองได้ครับ"
ผมรีบไพร่มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลังเหมือนคนแก่ ยังไงๆ ก็จะไม่ยอมจับมือพี่ทาร์ตแน่นอน แววตาที่เขามองมามันทำให้ดูไม่น่าไว้ใจเอามากๆ ขายาวๆ ก้าวถอยหลังเพราะความระแวงอย่างไม่รู้ตัว

"ใครบอกว่าจะให้เดินไป"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นแล้วก้าวตามผมมาจนระยะห่างของเราเหลือแค่ไม่กี่คืบ ใบหน้าหล่อคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์แสดงให้เห็นว่าอีกเดี๋ยวคงต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ๆ ยิ่งเหลือบเห็นสระน้ำที่อยู่ไม่ไกลก็ยิ่งรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ยังไงไม่รู้

"หือ แล้วจะให้ผมไปยังไง เหาะไปเหรอ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ แล้วก้าวถอยหลังอีกครั้ง แต่พี่ทาร์ตกลับคว้าข้อมือกันเอาไว้แล้วคลี่ยิ้มหวานชวนขนลุก ครั้นจะสะบัดออกก็ยากลำบาก

"ก็... ไปแบบนี้ไงครับ"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นก่อนที่จะรับรู้ว่าโลกมันเอียงแปลกๆ แม้แต่เวลาร้องโวยวายยังไม่มีในเมื่อเขาปล่อยมือแล้วใช้เท้าถีบผมตกน้ำ อยากมากที่สุดได้แต่อ้าปากค้างและหลับตาปี๋ด้วยความตกใจ ตีปีกแทบตายก็ไม่ได้ช่วย!

ตูม!

ไอ้ พี่ เหี้ย!!

ผมว่ายน้ำไม่เป็น!!!

นั่นคือสิ่งที่ผมตะโกนอยู่ข้างในเพราะไม่สามารถเปล่งเสียงได้เมื่อจมอยู่ก้นสระ แม่งเอ้ย ไม่รักไม่ว่าแต่อย่าฆ่ากันสิวะ

ในขณะที่กำลังตะเกียกตะกายขึ้นจากสระน้ำด้วยความตกใจ แต่ยังไม่ทันจะได้โผล่หัวขึ้นไปด้านบนกลับได้ยินเสียงคนกระโดดลงมาแล้วคว้าตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้แล้วพากันขึ้นมาเหนือผิวน้ำ

"แค่กๆๆๆ"
ผมไออย่างหนักเพราะสำลักน้ำ แสบตาแสบจมูกจนไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากใช้แขนทั้งสองข้างโอบรอบคอของพี่ทาร์ตเอาไว้แน่น โกรธก็โกรธแต่กลัวว่าตัวเองจะจมน้ำอีกรอบ

"สำลักน้ำเหรอวะ"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงก่อนจะใช้มือลูบหน้ากันเบาๆ เพื่อให้ลืมตาขึ้นได้สะดวก ผมสะบัดหน้าหนีแล้วใช้กำปั้นข้างหนึ่งทุบเข้าที่แผ่นหลังขอเขาเพื่อระบายความโกรธ รู้ทั้งรู้ว่าผมว่ายน้ำไม่เป็นยังจะแกล้งกันด้วยวิธีนี้อีก ถ้าเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นมาจะทำยังไงวะ

"เล่นอะไรของพี่! ถ้าผมจมน้ำตายจะทำยังไงวะแม่ง แค่กๆ"
ผมโวยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดที่ติดแหบแห้งเพราะแสบคอ ก่อนจะมองหน้าพี่ทาร์ตอย่างเอาเรื่องโดยลืมไปเลยว่าร่างกายแนบชิดและปลายจมูกแทบชนกัน

"ใครจะปล่อยให้ตาย พี่ก็รีบกระโดดตามมานี่ไง โกรธเหรอครับ"
น้ำเสียงนุ่มๆ ถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากหยัก ใบหน้าหล่อเหลาฉายแวววิตกกังวลอย่างหนัก ผมอยากจะผลักเขาออกไปไกลๆ แต่ทำได้แค่เบือนหน้าหนี ถ้าปล่อยมือจากลำคอแกร่งมีหวังได้จมน้ำอีกรอบแน่ๆ ไม่อยากเสี่ยงเลยว่ะ

"รู้ทั้งรู้ว่าผมว่ายน้ำไม่เป็นปะ เล่นแบบนี้ไม่สนุกนะพี่ทาร์ต คนจมน้ำมันทรมานแค่ไหนรู้บ้างไหม"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเครือเพราะรู้สึกจมูกตันๆ ราวกับคนจะร้องไห้ กำปั้นทุบลงบนหลังของพี่ทาร์ตอีกครั้งเพื่อต้องการลงโทษให้กับการทำผิดครั้งนี้ โกรธนะ แต่ตกใจมากกว่าที่โดนแกล้งแบบนี้

พี่ทาร์ตไม่ได้ร้องโวยวายอะไรแต่กระชับวงแขนที่อยู่รอบเอวของผมให้แน่นขึ้น ดวงตาคมที่ทอดมองมาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาขยับตัวเข้าหาขอบสระก่อนจะดันตัวผมให้ขึ้นไปนั่งบนนั้น ส่วนตัวเองก็เบียดเข้ามายืนอยู่ตรงระหว่างขา  ท่านี้มันชวนให้ขัดเขินและคิดไปไกลยังไงไม่รู้ แต่ตอนนี้ต้องปั้นหน้าโกรธไว้ก่อน

"ฟ่อนไปเอาผ้าขนหนูมาดิ อย่าเอาแต่บ่น"
พี่ทาร์ตเอี้ยวตัวไปพูดกับไอ้ฟ่อนที่ยังโวยวายเป็นแบ็คกราวน์อยู่ด้านหลัง ได้ยินเสียงจิ๊ปากของมันก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระทืบเท้าแสดงความไม่พอใจ ดวงตาคมเบนมามองกันอีกครั้งก่อนที่มือหนาเอื้อมมาสัมผัสแก้มกันอย่างอ่อนโยน อยากจะลุกหนีไปไกลๆ แต่สุดท้ายก็ได้แต่นั่งตัวแข็งรอดูการกระทำของคนตรงหน้า

"พี่ขอโทษนะครับที่แกล้งปูนแรงไปหน่อย จะให้ทำอะไรก็ยอม แต่อย่าโกรธกันไหม"
น้ำเสียงอ้อนๆ กับสายตาเศร้าที่ช้อนมองกันไม่ละไปไหนทำให้ผมต้องเบนหน้าหนีอย่างช่วยไม่ได้ จากที่โกรธจะเป็นจะตายกลับกลายเป็นว่าต้องมาแพ้การง้อของเขาด้วยวิธีง่ายๆ ที่แทบไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไรเลยแบบนี้ อยากยกขาถีบหน้าอกคนตรงหน้าสักครั้งแต่ใจไม่แข็งพออีก การชอบใครสักคนมันทำให้เราอ่อนแอแบบนี้นี่เอง แย่เนอะ

"จะกลัวผมโกรธไปทำไมครับ ทีก่อนแกล้งยังไม่คิดอะไรเลย"
ผมพูดเสียงตึงๆ ทั้งๆ ที่ในใจหายโกรธเขาไปนานแล้ว แต่ลึกๆ กลับอยากรู้ว่าคนตรงหน้าสามารถทนง้อกันได้นานสักเท่าไหร่ อยากทดสอบว่าเขาจะเบื่อคนอย่างผมหรือเปล่าถ้าวันใดวันหนึ่งเกิดงอแงหนักขึ้นมา

"พี่กลัวปูนจะหนี ไม่ยอมเจอหน้ากัน"
พี่ทาร์ตขยับตัวถอยหลังออกไปทำให้ผมรีบดึงขาขึ้นจากน้ำทันที ไอ้ฟ่อนที่เดินกลับมาหย่อนผ้าขนหนูให้กันก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะเพื่อทำการบ้านต่อ ใบหน้าหวานๆ ยุ่งเหยิงไปหมด คงแอบไม่พอใจพี่ชายตัวเองที่ตั้งใจถีบผมตกน้ำล่ะมั้ง

"ถ้าผมหนีแล้วมันยังไงครับ"
ผมหันกลับไปถามคนที่ยังลอยตัวอยู่ในสระด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ได้ยินเสียงไอ้ฟ่อนชะงักมือที่เปิดกระดาษครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มเปิดต่อไป อันที่จริงแล้วมันคงตั้งใจจะมาแอบฟังคนอื่นคุยกัน เพราะเท่าที่ดูจากการบ้านนั่นแล้วเหลือแต่ข้อที่ไม่สามารถทำได้ทั้งนั้น ได้นิสัยขี้เสือกมาจากไหนวะ

"พี่คงกระวนกระวายเหมือนคืนนั้น..."
พี่ทาร์ตตอบจบก็ขึ้นจากสระมานั่งข้างๆ กันแล้วหันมามองหน้าด้วยดวงตาสั่นไหว ผมเม้มปากเน้นเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะยิ้มกับคำพูดที่ได้ฟังไปก่อนจะดึงผ้าขนหนูที่ไอ้ฟ่อนเอามาให้คลุมหัว เกลียดอาการเขินไม่เลือกที่เลือกเวลาของตัวเองฉิบหาย

"จะสวีทอะไรเกรงใจน้องบ้าง จะเป็นเบาหวานอยู่ละ"
เสียงทุ้มๆ หวานๆ ดังขึ้นขัดจังหวะทำให้ผมและพี่ทาร์ตหันไปมองไอ้ฟ่อนพร้อมๆ กัน ใบหน้าน่ารักบึ้งตึงแถมยังจิ๊ปากใส่กันอีก กำลังจะอ้าปากด่าสักหน่อแต่อีกคนกลับไวกว่า

"สวีทบ้าอะไรของมึง ไปไกลๆ ไป น่ารำคาญ มานั่งเบะปากเป็นตูดเป็ดอยู่ได้"
พี่ทาร์ตออกปากไล่ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด สีหน้าที่แสดงออกบ่งบอกว่ารำคาญจริงๆ ไอ้ฟ่อนถึงกับถลึงตาใส่ก่อนจะรวบเก็บสัมภาระทั้งหมดไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินกระทืบเท้าตึงตังจากไป ดูท่าทางหลังจากนี้เขาคงต้องหาอะไรมาเซ่นน้องตัวเองหนักแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเรื่องจะถึงหูพ่อแม่

ผมหันไปต่อยแขนพี่ทาร์ตอย่างไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ เพราะจริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องไปด่าไอ้ฟ่อนขนาดนั้นก็ได้

"อะ ต่อยพี่ทำไมเนี่ย"
พี่ทาร์ตทำหน้ายุ่งก่อนจะลูบแขนไปมาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ผมเลือกที่จะเงียบแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงด้วยความยากลำบากเล็กน้อยเพราะเสื้อผ้าแนบเนื้อทำให้ขยับตัวยาก

"อย่าลืมไปล้างรถให้ผมด้วย"
ผมบอกแค่นั้นก่อนจะยักคิ้วกวนๆ ให้แล้ววิ่งหนีกลับบ้านทันทีโดยไม่ฟังเสียงตะโกนไล่หลังมา เกือบลื่นตรงสนามหญ้าแต่ดีที่ทรงตัวได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงนอนกลิ้งร้องโอดโอยอยู่ตรงนี้แน่ๆ

เสื้อผ้าที่เปียกชุ่มถูกถอดกองเอาไว้ที่พื้นกระเบื้องในห้องน้ำอย่างลวกๆ ก่อนเจ้าของร่างกายเปลือยเปล่าจะพาตัวเองเข้าไปรับสายน้ำเย็นๆ จากฝักบัวอันโต ในตอนแรกกะว่าจะเปลี่ยนชุดอย่างเดียว  แต่เมื่อประเมินอากาศของวันนี้แล้วควรอาบน้ำเลยดีกว่า

ครึ่งชั่วโมงผ่านไปผมก็เดินลงบันไดมายังชั้นล่างของบ้านเพื่อหาอะไรกิน นึกเสียดายไก่ทอดเจ้าดังที่พี่ทาร์ตซื้อมาฝาก เพราะมัวแต่หงุดหงิดกันไปมาเลยอดกิน ในตอนที่มือกำลังจะเปิดตู้เย็นนั้นกลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงคล้ายๆ กับน้ำกำลังไหล ดวงตารีหันมองผ่านกระจกหน้าต่างบานใหญ่ก็พบกับร่างสูงที่คุ้นเคยในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นกำลังลงมือล้างรถ

ผมตัดสินใจผละมือออกจากตู้เย็นแล้วเดินออกไปที่หน้าชายคาเพื่อมองพี่ทาร์ตทำตามสัญญาอย่างเงียบๆ รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มัมปากเมื่อเขาเริ่มก้มลงสำรวจคราบสกปรกที่ล้อรถ... จะละเอียดไปถึงไหนกันนะ ป้าอุ่นน่าจะเปิดร้านคาร์แคร์ให้เขามากกว่าการผลัดดันให้เป็นผู้บริหารโรงแรมนะ เหมาะกว่ากันเยอะ

"แอบมองเหรอ"
เสียงทุ้มทักขึ้นทั้งๆ ที่ไม่ได้หันมามองกันทำให้ผมสะดุ้งจนทำอะไรไม่ถูก เผลอหันมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่กเพราะสงสัยว่าพี่ทาร์ตรู้ได้ยังไงว่ามีคนยื่นอยู่ด้านหลัง เมื่อครู่ก็แอบย่องมาแท้ๆ แต่พอตั้งสติได้กลับพบว่ากระจกรถน่าจะเป็นสาเหตุได้เป็นอย่างดี น่าอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีไหมล่ะ แอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตั้งนาน น่าอายชะมัด

"อะ อะไร ใครแอบมองวะ ผมเพิ่งเดินออกมา"
ผมเฉไฉแล้วแกล้งมองไปทางอื่นเหมือนกำลังชมนกชมไม้ หัวใจเต้นระรัวเพราะกลัวอีกคนไม่เชื่อกัน... แต่ใครเชื่อก็บ้าแล้วจริงๆ เห็นเต็มสองตาในกระจกขนาดนั้น พลาดอย่างไม่น่าให้อภัย และเกลียดความเซ่อซ่าของตัวเองสุดๆ

"อ๋อเหรอ จะทำใจเชื่อก็ได้ครับ"
น้ำเสียงกวนๆ ถูกส่งออกมาตามด้วยการหัวเราะเบาๆ แต่ทว่าไหล่สั่นจนน่าหมั่นไส้ ผมมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกงุ่นง่านก่อนจะคว้าลูกบอลยางเล็กๆ ที่หลานมาลืมทิ้งเอาไว้ขว้างใส่แผ่นหลังแกร่งนั่น ปากพูดอย่างการกระทำเป็นอีกอย่าง แบบนี้มันเรียกกวนตีน!

"เฮ้ยๆ ประทุษร้ายกันแบบนี้เลยเหรอ เดี๋ยวจะโดนเอาคืนนะ"
พี่ทาร์ตหันมาโวยใส่กันแล้วทำท่าจะฉีดน้ำมาทางนี้ ผมเห็นแบบนั้นเลยรีบหนีมาหลบหลังประตูแล้วยักคิ้วกวนๆ ส่งกลับไป ใครจะยอมโง่โดนแกล้งเป็นครั้งที่สองล่ะ ถึงอากาศจะร้อนแต่ไม่พร้อมเปียกบ่อยๆ

"ไม่อยู่ให้พี่เอาคืนหรอกครับ ไปหาอะไรกินดีกว่า"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าภายในบ้าน ได้ยินพี่ทาร์ตตะโกนไล่หลังบอกว่าอุตส่าห์แย่งไก่ทอดจากไอ้ฟ่อนมาให้ทำไมไม่สนใจ ก็ใครจะไปรู้ว่าเขายังนึกถึงผมล่ะ อยู่ๆ ก็ทำให้คนอื่นยิ้มจนปวดแก้ม จะรับผิดชอบกันบ้างหรือเปล่าวะ

สุดท้ายก็จบลงที่ผมมานั่งโซ้ยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกาหลีแบบแห้งรสเผ็ดที่กำลังเป็นที่นิยมในโลกโซเซี่ยล มีปูดอัดกับเต้าหู้ปลาใส่จานแยกเพื่อไว้กินแก้เผ็ด ตอนแรกก็อยากกินมันพร้อมๆ กันอยู่หรอก แต่ท่าทางคงไม่รอดเลยใช้วิธีนี้ดีกว่า โทรทัศน์ตรงหน้ากำลังฉายรายการเพลงยามบ่ายเลยทำให้ความสนใจตกอยู่ที่ศิลปินเกาหลีตรงหน้าจนไม่รู้ตัวเลยว่าใครอีกคนเดินเข้ามาในบ้านแล้ว

กล่องไก่ทอดถูกวางลงบนโต๊ะกระจกก่อนที่เจ้าของมันจะทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นอย่างหมดแรง ผมเผลอสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่ทันตั้งตัวที่เขาเอนหัวมาซบตรงขาอ่อน รู้สึกสยิวแปลกๆ ว่ะ แล้วนี่ไม่กลัวว่ามาม่าจะหยดลงไปโดนหรือยังไงกันนะ ผมกำลังกินอยู่นะเว้ย

"พี่ทาร์ต มาพิงอะไรตรงนี้วะ ขึ้นมานั่งดีๆ ข้างบนนี่ แต่ถ้าเหนื่อยก็ไปนอนที่ห้องผมก่อนก็ได้"
ผมบอกก่อนจะวางตะเกียบในมือลงแล้วก้มมองคนที่ยังไม่ยอมขยับตัวไปไหน ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกหนักๆ ก็พอเดาได้ว่าคงเหนื่อย แดดร้อนอีก... ไม่น่าใช้เขาล้างรถให้เลยว่ะ รู้สึกผิดยังไงไม่รู้

"พรุ่งนี้..."
อยู่ๆ ก็เริ่มประโยคด้วยคำนึ้เลยทำให้ผมต้องดึงสายตากลับมาสนใจเส้นผมยุ่งเหยิงของพี่ทาร์ตแทนที่จะเป็นศิลปินเกาหลีในโทรทัศน์

"หือ"
ผมครางตอบในลำคอแล้วรอให้เขาพูดประโยคถัดไปด้วยใจจดจ่อ

"จะเปิดเทอมแล้วสินะ"
เป็นประโยคคำถามที่เหมือนไม่ต้องการคำตอบแต่มันทำให้ผมเลิกคิ้วขึ้นได้เพราะน้ำเสียงที่พี่ทาร์ตใช้มันฟังดูไม่ปกติ แถมมือหนาที่วางทิ้งลงข้างตัวในเมื่อครู่นั้นได้กลายเป็นกำปั้นใหญ่ๆ ไปแล้ว เครียดแทนกันหรือยังไงวะ ก็แค่เปิดเทอมเอง ไม่เห็นจะตื่นเต้นเลย
 
"ใช่ครับ มีอะไรหรือเปล่า"
ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วเหล่สายตามองมาม่าที่ตอนนี้กำลังอืด อยากกินก็อยากกินแต่ก็กลัวว่าถ้าตักแล้วมันจะหยดใส่หัวพี่ทาร์ต ถ้าเป็นแบบนั้นเชื่อว่างานคงงอกแน่นอน

"พี่ไปส่งนะ"
พี่ทาร์ตพูดอะไรสักอย่างออกมาในขณะที่ผมเผลอให้ความสนใจกับศิลปินที่ชอบในโทรทัศน์เลยทำให้ไม่รู้ว่าต้องการสื่ออะไร

"หา... เมื่อกี้ว่าอะไรนะ ผมฟังไม่ค่อยถนัด"
ถามออกไปด้วยน้ำเสียงมึนๆ งงๆ พี่ทาร์ตขยับหัวเล็กน้อยก่อนจะได้ยินเสียงสูดชมหายใจเข้าและปล่อยออกมาแรงๆ

"พรุ่งนี้ให้พี่ไปส่งที่มหา'ลัยนะ"
เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ทำให้ผมหัวใจกระตุก ความรู้สึกตอนนี้ทั้งแปลกใจและตื่นเต้น แต่อยู่ๆ มาทำตัวแบบนี้ต้องการอะไรวะ แถมยังเสียเวลาๆ ไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านกับมหา'ลัยอีก ไม่ใช่ว่าจะอยู่ใกล้กันซักหน่อย

"เฮ้ย จะไปส่งทำไมพี่ ผมขับรถไปเองง่ายกว่า เสียเวลาเปล่าๆ น่า"
ที่จริงก็อยากให้ไปส่งอยู่หรอกเพราะขี้เกียจขับรถไปเรียนเอง แต่ที่พูดออกไปทั้งหมดเพื่อจะลองเชิงของเขาว่ามีเหตุผลอะไรที่อยากดั้นด้นทำแบบนั้น เพราะระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ แถมยังต้องตื่นเช้าอีก... พยายามอะไรขนาดนั้น

"อยากไปส่ง"
เสียงทุ้มตอบกลับมาก่อนที่เขาจะผละตัวออกไปนั่งตรงๆ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากัน ผมผงะไปเล็กน้อยเพราะก่อนหน้านี้เอาแต่จ้องกลางกระหม่อมพี่ทาร์ตอยู่นานสองนาน ไม่ให้สัญญาณอะไรก่อนก็ตั้งตัวไม่ถูกน่ะสิ

"ตื่นเช้านะครับ ผมเรียนแปดโมง"

"ไม่เป็นไร ตื่นได้"

"พี่ทาร์ต... ทำไมงอแงวะ"
ผมบ่นอับอิบก่อนจะเบนสายตาหลบเขาที่จ้องกันไม่ละไปไหน มือเรียวเอื้อมหยิบจานมาม่ากลับมาโซ้ยอีกครั้งทั้งๆ ที่มันอืดจนแหยะ จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อเผลอใจเต้นแรงขึ้นมาจนทำตัวไม่ถูก กินกลบเกลือนความรู้สึกดีที่สุด

"ก็ไม่อยากให้ใครมาทำคะแนนกับปูนนี่หว่า"
พี่ทาร์ตพูดเสียงเบาก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น ผมชะงักมือที่จับตะเกียบทันทีก่อนจะรู้สึกว่าแก้มร้อนวูบวาบขึ้นมาซะอย่างนั้น นี่เขากินยาผิดหรือลืมเขย่าขวดกันแน่... มาม่าก็เผ็ดแถมยังเขินอีก หน้าจะแดงขนาดไหนวะเรา ไม่อยากจะส่องกระจกเลย

"โห... ใครเขาจะมาทำคะแนนกันครับ ไม่ใช่คนหล่อเลือกได้แบบพี่สักหน่อย"
ทั้งๆ ที่เขินจะตายอยู่แล้วแต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นใส่เขาไปแบบนั้น ยอมรับว่าทำตัวไม่ถูก มือไม่สั่นจนไม่สามารถจับตะเกียบได้ อาการหนักเกินไปหรือเปล่าวะกู ทำอย่างกับพี่ทาร์ตสารภาพรักอย่างนั้นล่ะ โอเวอร์ฉิบหาย แต่มันควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ นะ

"ไอ้กายไง..."
ชื่อของเพื่อนร่วมคลาสเรียนของผมถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็น จริงๆ แล้วไอ้กายมันไม่เคยออกตัวว่าจะจีบกันแบบจริงๆ จังๆ เลยนะ แต่หลังจากที่เขม่นกับพี่ทาร์ตไปแล้วอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ได้ เพราะปกติมันไม่เคยส่งไลน์มาหากันถ้าไม่มีอะไรสำคัญ แต่ช่วงนี้สิ... ข้อความอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ ผมยังไม่ได้เปิดอ่านเลย

"อ๋อ... ก็อาจจะมั้ง"
แกล้งพูดไปแบบนั้นเพื่อจะดูปฏิกิริยาของคนที่หันขวับมาถลึงตาใส่กัน ผมเผลอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าไม่สบอารมณ์นั่น จะโดนฆ่าหรือเปล่าวะกู

"ปูน"
เสียงแข็งมาเชียว... แถมยังยกมือหน้ามาบีบต้นขากันอีก แค่แกล้งเอง อย่าจริงจังได้ไหมเล่า ผมกลัวตายเป็นเหมือนกันนะเว้ย แต่ด้วยความอยากรู้ผมเลยทำหน้ามึนๆ แบบคนไม่รู้เรื่องอะไรแล้วตั้งคำถามกลับไปอีกรอบ

"อะไรครับ ทำไมต้องเสียงแข็งใส่"

"พี่จริงจัง"
น้ำเสียงกับแววตาไม่มีล้อเล่นเลยแม่แต่นิดเดียวจึงทำให้แอบกลัว แต่ไม่หวั่นเพราะรู้สึกว่าตอนพี่ทาร์ตหงุดหงิดเรื่องผมมันดูน่ารักยังไงก็ไม่รู้ น่าขย้ำว่ะ

"เอ้า แล้วผมล้อเล่นตอนไหนวะ นี่ก็จริงจังครับ เลิกระแวงได้แล้ว ผมไม่ได้ใจง่ายขนาดนั้น ชอบพี่ทาร์ตครับไม่ได้ชอบกาย เข้าใจยัง"
ผมก็จริงจังเป็นเหมือนกัน แต่ระหว่างพูดนี่รู้สึกว่าอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่แก้มทั้งสองข้าง ดวงตารีเบนมองไปทางโทรทัศน์ที่กลายเป็นโฆษณาขั้นรายการไปแล้ว จริงๆ จบประโยคก็อยากจะลุกหนีไปไกลๆ แต่จะทำไงได้เมื่อพี่ทาร์ตยังจับขากันไม่ปล่อยแบบนี้

"อืม... ขอเขินสองวินะ"
พูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นแถมยังเอื้อมมือมาบีบแก้มกันเล่นอีก จากที่เคยทำหน้าอย่างกับจะไปฆ่าใคร ตอนนี้ยิ้มจนแทบเหมือนคนเสียงสติ โคตรไบโพล่าเลยไหมล่ะ ผมหลงชอบคนแบบนี้ไปได้ยังไงนะ งงตัวเองอยู่เหมือนกัน

"ไปเล่นตรงนู้นเลยไปไอ้พี่ทาร์ต กวนตีนว่ะ"
ผมพูดพร้อมกับตีมือพี่ทาร์ตที่กำลังบีบแก้มกันอยู่ด้วยความโมโห คนเขาอุตส่าห์พูดซึ้งๆ กลับโดนกวนตีนซะอย่างนั้น รู้แบบนี้ปล่อยให้กังวลจนประสาทเสียไปเลยคงดีกว่า หมั่นไส้

พี่ทาร์ตย่นจมูกใส่กันเล็กน้อยและทำท่าจะโถมตัวเข้ามากอดรัดกัน ผมกำลังจะลุกหนีแต่เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อนทำให้การกระทำทุกอย่างกยุดชะงัก มือหนาล้วงกระเป๋าแล้วหยิบเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมออกมา ดวงตาคมมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก่อนที่มุมปากจะขยับยิ้มเหมือนกำลังดีใจ

"เดี๋ยวพี่ขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ"
เขาหันมาบอกกันแล้วรีบเดินออกไปจากตรงนี้ด้วยท่าทางอารมณ์ดีกว่าเก่า ผมได้แต่นั่งขมวดคิ้วและนึกกังวลอะไรบางอย่างขึ้นมา เพราะชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอนั้นมันติดใจเหลือเกิน

พี่อินนี่มันเป็นเพื่อนสนิทหรือกิ๊กกันแน่วะ ไม่ว่าเขาจะโทรมาเมื่อไหร่พี่ทาร์ตเป็นอันต้องหนีไปคุยไกลๆ ทุกที...




ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 11 -P.3- (22/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 23-04-2017 20:22:21
หกโมงเช้าเหมาะแก่การตื่นนอนเพื่อลุกไปอาบน้ำ แต่ผมยังคงนอนซุกผ้าห่มนิ่งๆ แล้วหลับตานับเลขอย่างช้าๆ ขอนอนต่ออีกสักห้านาทีเถอะ ไม่พร้อมจริงๆ แต่ความคิดกลับสะดุดเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูสองสามครั้ง...

"ปูนตื่นหรือยัง"
เสียงทุ้มต่ำที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นที่ด้านนอก ผมเบิกตาโผลงแล้วดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงด้วยความตกใจ อาการง่วงในตอนแรกจางหายไปจนหมด ก็ใครจะไปคิดว่าคนอย่างพี่ทาร์ตจะตื่นเช้าได้ขนาดนี้

"ตะ ตื่นแล้วครับ"
ผมตอบกลับไปเสียงตะกุกตะกักก่อนจะสะบัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วลุกไปเปิดประตูให้ผู้มาเยือน พี่ทาร์ตมองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

"หัวเหมือนรังนกเลยว่ะ ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวพี่รอข้างล่าง"
เขาเอื้อมมือมาขยี้หัวกันหลังจบประโยคแล้วทำท่าจะหันหลังกลับเพื่อเดินลงไปชั้นล่าง แต่ผมกลับรั้งไหล่ของเขาเอาไว้ด้วยท่าทางอึกอัก ทำไมเจอหน้ากันตอนตื่นนอนถึงได้ขัดเขินแบบนี้ ตอนที่นอนด้วยกันไม่เห็นจะเป็นเลยวะ... งงตัวเอง

"หือ มีอะไรครับ"
พี่ทาร์ตหันมามองกันด้วยใบหน้าสงสัย สังเกตดูดีๆ แล้วเขาไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเลยสักนิด แถมยังได้กลิ่นสบู่อ่อนๆ จากร่างตรงหน้าอีกด้วย ตื่นเช้าไม่พอแถมยังอาบน้ำแล้ว แปลกมาก ควรเป็นผมไม่ใช่เหรอที่ตื่นเต้นน่ะ

ผมผละมือออกจากไหล่ก่อนจะลูบท้ายทอยตัวเองแก้เก้อ ปากบางเม้มเข้าหากันเล็กน้อยเพราะกำลังตัดสินใจว่าควรจะถามอะไรหรือเปล่า แต่สุดท้ายความอยากรู้ก็ชนะ

"ทำไมตื่นเช้าจังวะพี่"

"อ๋อ... ก็กลัวปูนจะหนีพี่ไปมหา'ลัยเองน่ะสิ เลยตื่นมาดักรอ"
พี่ทาร์ตยักคิ้วกวนๆ มาให้กันก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งเท้ากับกรอบประตูเอาไว้แล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดลงมา ผมผงะถอยหลังด้วยความประหม่าแล้วคว้าลูกบิดไว้แน่นเตรียมจะปิดมันลง

"เอิ่ม... ผมไปอาบน้ำล่ะ"
ตอบกลับไปแค่นี้แล้วเหวี่ยงประตูปิดอย่างรวดเร็ว แข้งขาอ่อนจนแทบจะกองไปนั่งอยู่กับพื้น ทั้งคำพูดและแววตาของพี่ทาร์ตช่างน่ากลัวเหลือเกิน คนเจ้าชู้นี่มีเสน่ห์เหลือล้นจริงๆ ชักจะหวงกลัวว่าเขาจะทำแบบนี้กับคนอื่นแล้วสิ...

ตอนนี้รถบีเอ็มฯ ป้ายแดงกำลังมุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยชื่อดังของจังหวัดภูเก็ต ด้วยจราจรที่ติดขัดรองจากกรุงเทพมหานครนั้นทำให้ผมต้องพกอาหารเช้าอย่างแซนวิชสองชิ้นและนมจืดหนึ่งกล่องมากินด้วย ส่วนพี่ทาร์ตดื่มแค่กาแฟดำมาจากที่บ้านเท่านั้น

"ไม่คิดว่ารถจะติดขนาดนี้"
พี่ทาร์ตบ่นอุบอิบก่อนจะเอื้อมมือเปิดวิทยุเพื่อฟังฆ่าเวลา ผมเคี้ยวแซนวิชอยู่เลยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ที่จริงจะไปกินข้าวที่มหา'ลัยก็ได้ เพราะปกติก็ทำแบบนั้น แต่วันนี้กลับมีประชุมตอนเช้า รุ่นพี่เพิ่งแจ้งมา... เจริญเนอะ

"เลิกเรียนกี่โมง"
พี่ทาร์ตยิงคำถามใส่กันก่อนจะหันมามอง ผมที่กำลังคาบแซนวิชคาปากเลยยกนิ้วขึ้นมาสองนิ้วเป็นการบอกแทน เขาจะเข้าใจไหมว่าผมเลิกบ่ายสอง...

"หือ บ่ายสองเหรอ"
ถามกลับมาในขณะที่กำลังเข้าเกียร์เพื่อออกรถ ผมพยักหน้ารับแล้วรีบกลืนแซนวิชลงคอเพื่อตอบคำถามเขากลับไป

"อือๆ บ่ายสองครับ"

"โอเค"

พวกเราผ่านภาวะรถติดมาได้จนถึงมหา'ลัยเกือบแปดโมง ผมลงจากรถที่หน้าตึกคณะของตัวเองและกำลังยืนบอกลากับพี่ทาร์ตอยู่เล็กน้อย ก็กลัวเขาหลงทางนี่หว่า

"พี่จำทางกลับได้ใช่ไหม"
ผมถามด้วยความเป็นห่วง เพราะตั้งแต่เขากลับมาก็ไม่เคยผ่านมาทางนี้เลยสักครั้ง ถ้าเกิดหลงทางขึ้นมาคงแย่

"แน่นอน ระดับนี้แล้ว"
พี่ทาร์ตว่าด้วยน้ำเสียงกวนๆ ก่อนจะขยิบตาให้กัน ผมยอมรับว่าเบาใจที่เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริงแต่ก็อดห่วงไม่ได้จนต้องย้ำอีกรอบ

"ถ้าไม่แน่ใจหรือหลงทางรีบโทรหาผมนะเว้ย"
จริงๆ จีพีเอสก็มีนะ แต่อยากให้เขาโทรหาผมมากกว่า...

"โอเคครับคุณหนูปูน"
พี่ทาร์ตตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แถมยังทำมินิฮาร์ทให้กันอีกด้วย ทายสิว่าผมเขินหรือเปล่า...

"ไอ้พี่ทาร์ต!"
ตะโกนกลบเกลื่อนความรู้สึกข้างในเพราะตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองต้องกน้าแดงแน่ๆ นี่โมโหนะไม่ได้เขินอะไรเลย

"อะไร... ไปเรียนได้แล้วน่า ตั้งใจด้วย"
พี่ทาร์ตโบกมือไล่กันแต่กลับส่งยิ้มหวานมาให้ ผมถอนหายใจอย่างปลงๆ ก่อนจะอ้าปากตอบรับกลับไป

"คะ..."
ผมเพิ่งได้อ้าปากพูดไปแค่นั้นเสียงทุ้มต่ำก็ตะโกนเรียกกันมาแต่ไกล

"ปูน!!"
ผมหันขวับไปตามเสียงนั่นก่อนจะรู้สึกว่าตัวชาไปหมด ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดจะเรียกกันเสียงดังแบบนี้ อย่างมากก็แค่ส่งยิ้มให้ แล้ววันนี้มันวันวิปโยคห่าเหวอะไรเนี่ยไอ้กาย!!!

เหลือบหางตาไปเห็นพี่ทาร์ตนั่งหน้าตึงอยู่ก็รู้เลยว่า... งานเข้ากูแน่ๆ ให้ตายเถอะ




-------------------------------------------------------


ตอนที่ 11 มาแล้วฮะ... ฟินไม่ฟินยังไงบอกเราได้นะ 55555
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 11 -P.3- (22/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-04-2017 23:07:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 11 -P.3- (22/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-04-2017 13:15:13
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 12 -P.3- (27/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 27-04-2017 20:33:50
(http://i.imgur.com/SL80PnC.png)


สูตรที่ 12

Chocolate Crape Cake
: เนยจืด/นมข้นจืด/ไข่ไก่/แป้งเค้ก/เกลือ/น้ำตาล/กลิ่นวนิลลา/ผงโกโก้/วิปปิ้งครีม/นมข้นจืด/น้ำ/แป้งข้าวโพด/ไข่แดง/เจลาติน :




'ปูน!!'

เสียงจากนรกหรืออย่างไรทำไมฟังแล้วแสลงหูแบบนี้ก็ไม่รู้ อยากหันไปชี้หน้าด่าว่าวันนี้ผีเข้าเหรอถึงเรียกชื่อดังขนาดนี้ หรือจงใจกันแน่นะ... ผมหันไปยิ้มแหยๆ ให้กับพี่ทาร์ตก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วทักทายไอ้กายกลับไป

"เออ หวัดดี"
ผมทักด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้ยิ้มหรือทำสีหน้าใดๆ ออกไป ใบหน้าของไอ้กายดูมีความสุขเหลือเกินเพราะมันฉีกยิ้มกว้างจนน่าหมั่นไส้ และก้าวเท้าเข้ามาหากัน อยากจะโบกมือไล่ไปไกลๆ แต่ทำได้แค่ยืนรอหายนะมาถึง แม่งเอ้ย เปิดเทอมวันแรกก็มีเรื่องเลยหรือไงวะ จะบ้าตาย

"มีคนมาส่งด้วยเหรอวะ น่าอิจฉา"
มันเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างกันก่อนจะพาดแขนหนักๆ ลงบนไหล่ของผมแล้วโน้มตัวลงเพื่อมองคนที่นั่งหน้าตึงอยู่ในรถ อยากผลักไอ้กายออกไปไกลๆ แต่กลับโดนมันรัดแน่นมากขึ้นไปอีกเท่าตัว ไอ้บ้านี่แกล้งกันชัดๆ ยั่วโมโหพี่ทาร์ตเห็นๆ

"โอ้... นึกว่าใครที่ไหนใจดีมาส่งไอ้ปูน ที่แท้ก็ 'พี่ชาย' ข้างบ้านมันนี่เอง สวัสดีนะครับ"
ไอ้กายแสร้งทำหน้าตกใจแล้วพูดประโยคเหล่านั้นออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เน้นคำว่าพี่ชายจนผมรู้สึกว่ามันจงใจตอกย้ำสถานะของพี่ทาร์ต คนที่นั่งอยู่ในรถขบกรามจนขึ้นเป็นสันนูนก่อนจะหลับตาลงเพื่อระงับอารมณ์คุกรุ่นในตอนนี้ ขอให้เขาทำได้ด้วยเถอะ ผมยังไม่อยากเป็นข่าวดังไปทั่วมหา'ลัยว่าโดนผู้ชายสองคนแย่ง... ดูหลงตัวเองเนอะ แต่สถานการณ์ตอนนี้มีความเป็นไปได้สูงจะตาย

"ตั้งใจเรียน ตอนบ่ายจะมารับ"
พี่ทาร์ตไม่สนคำทักทายของไอ้กายแล้วหันมาพูดกลับผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย พอจะเดาได้ว่าเขาคงไม่อยากอาละวาดตอนนี้เลยหาทางเลี่ยง จริงๆ ก็อยากแกล้งทำเป็นงุ้งงิ้งกับคนข้างๆ อยู่หรอก แต่กลัวว่าเรื่องราวมันจะใหญ่โตจนแก้ยาก เลยหยุดความคิดเอาไว้ดีกว่า

"ครับ พี่ก็ขับรถกลับดีๆ นะ"
ผมบอกก่อนจะส่งยิ้มให้เขาแล้วปิดประตูรถลง บีเอ็มฯ คันสวยแล่นออกไปอย่างรวดเร็วทันที สุดท้ายก็ทำได้แค่ยืนมองจนลับตาแล้วหันมาปัดแขนไอ้กายออกจากไหล่ น่าอึดอัดเป็นบ้าที่อยู่ๆ มันก็ลุกขึ้นมาทำตัวสนิทสนมใกล้ชิดแบบนี้

"เป็นบ้าไรของมึง ร้อยวันพันปีไม่เคยจะทักกูแบบนี้"
ผมถามออกไปด้วยเสียงฉุนๆ ดวงตารีจ้องมองไอ้กายอย่างจับผิด มันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะไหวไหล่แบบคนไม่แคร์อะไร

"อยากทัก ไม่ได้เหรอวะ"
มันตอบกลับมาเสียงใสแถมด้วยยักคิ้วกวนๆ ก่อนจะทำท่าจะยกแขนขึ้นมากอดคอกันอีกครั้งแต่ผมเบี่ยงตัวหลบได้ทันเลยทำให้ไอ้กายเผลอส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมา

"อย่ามาตอแหล"

"พูดไม่เพราะเลยว่ะ แต่กูไม่ถือสาหรอก"
ไอ้กายพูดจบก็ขยับเข้ามาใกล้กันอีกนิดทำให้ผมต้องถอยห่างจากมัน คนอื่นรอบๆ ตัวเราต่างเริ่มมองมาทางนี้ บ้างยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป บ้างแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บ้างแอบกรี๊ดเบาๆ อยากจะบ้าตาย

"เรื่องของมึงเหอะ"
ผมบอกเสียงไม่พอใจก่อนจะหันหลังเพื่อเดินไปยังสถานที่นัดประชุม แต่ต้องชะงักเท่าเมื่อคนด้านหลังก้าวตามมาและพูดอะไรบ้างอย่างที่ชวนขนลุก

"เรื่องของเราได้ปะ"
ไอ้กายก้มลงมากระซิบใกล้ๆ ผมเบิกตากว้างก่อนจะก้าวขายาวๆ หนีแล้วหมุนตัวกลับมาถลึงตาใส่ด้วยความรู้สึกโมโห ไม่รู้ทำไมถึงมีลางสังหรณ์ว่าอีกไม่นานงานของผมจะงอกมากกว่าเดิมหลายเท่า

"พูดเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย"
ผมโวยเสียงดังแล้วขมวดคิ้วหนักๆ มือจับสายสะพายกระเป๋าแน่นเพราะหาที่ระบายอารมณ์ไม่ได้ ไอ้กายเหมือนจะไม่รับรู้ว่าบรรยากาศตอนนี้กำลังอึมครึมแค่ไหน มันเลยเอาแต่ยิ้ม และเป็นยิ้มที่โคตรเจ้าเล่ห์

"ก็อยากมีเรื่องของเราบ้าง ไม่ได้เหรอวะคู่จิ้น"
เรียกกันด้วยคำที่เพื่อนๆ ชอบล้อ ผมถึงกับคิ้วกระตุกและอยากปล่อยหมัดใส่หน้ากวนๆ ของไอ้กายสักที แต่ทำได้ที่ไหนเมื่อมีแฟนคลับของมันจ้องมองอยู่ คิดดูนะถ้าพลั้งมือต่อยไป ตีนกี่คู่จะปะทะกับร่างกายผม แค่เถียงกันไปมาก็กลัวจะโดนเขม่นแล้ว

"ไม่ จะไปไหนก็ไป กวนประสาทนะมึง"
ผมโบกมือไล่มันไปไกลๆ แต่อีกคนกลับไม่สะทกสะท้านแถมยังก้าวขาเข้ามาใกล้ก่อนจะเอื้อมมือยึดไหล่ไว้แน่น พอสะบัดตัวหนีกลับโดนจับแน่นขึ้น ไอ้นี่...

"ไม่เอา วันนี้กูจะเกาะติดมึงทั้งวัน"
แล้วมันก็บอกถึงสาเหตุที่ทำตัวแบบนี้จนทำให้ผมดึงมือไอ้กายออกเพราะเริ่มไม่พอใจเอามากๆ แล้ว ยิ่งคุยยิ่งออกทะเล ปวดหัวว่ะ แล้วเมื่อไหร่ไอ้เพื่อนตัวดีทั้งสองคนจะโผล่มาสักที เข้ามาขัดเหตุการณ์ประสาทแดกนี่ทีเถอะ จะไม่ไหวแล้ว กลัวเผลอยกตีนถีบ

"ไอ้กาย มึงเป็นบ้าเหรอไง อย่ามายุ่งกับกู"
บอกไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มทนก่อนจะก้าวขายาวๆ ออกมาโดยไม่รอฟังอะไรทั้งนั้น แต่ยังไม่ถึงไหนก็โดนมืออุ่นๆ รั้งกันเอาไว้จนต้องหันไปมอง

"อย่าปฏิเสธคนที่กำลังจีบตัวเองได้ปะวะไอ้ปูน นี่กูจริงจัง"
ไอ้กายพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นแต่แววตาที่มองมากลับมรแต่ความจริงจัง ผมไม่แน่ใจหรอกว่าโดนแกล้งหรือเปล่าเลยกลั้นใจถามออกไปอีกรอบ

"ห๊ะ... ว่าอะไรนะ"

"กูกำลังจีบมึง ชัดยัง"
ชัด... ชัดกันกูอยากซัดหน้ามึงสักทีเนี่ย!!

"ไม่ๆ เดี๋ยวๆ อะไรของมึงไอ้กาย ผีเข้าเหรอไง พวกเรามันแค่คู่จิ้น ไม่ใช่คู่จริง"
ผมสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมอย่างแรงแล้วเหล่สายตามองมันอย่างจับผิดก่อนจะยกนิ้วขึ้นชี้หน้ามัน ไอ้กายสูดลมหายใจเข้าลุกๆ ก่อนจะพึมพำบางอย่างที่ทำให้ตัวชา

"ตอนแรกก็คิดงั้น แต่ตอนนี้อยากเปลี่ยนแล้วว่ะ"
ใบหน้า น้ำเสียง และแววตาบ่งบอกให้รู้เลยว่าครั้งนี้ไม่มีการล้อเล่นใดๆ ทุกอย่างที่พูด ทุกอย่างอย่างที่ได้ยินล้วนจริงจัง แต่ผมไม่อยากเสียความเป็นเพื่อนเลยพยายามหาทางแก้ไข

"อย่าล้อเล่น กูไม่ขำนะกาย"
ย้ำไปแบบนั้นเผื่อมันจะเปลี่ยนคำพูดบ้าง แต่ไม่เลย ไอ้กายไม่ยอมละความพยายามของมันจริงๆ

"กูชอบมึงแบบจริงจังและจะไม่ยอมแพ้พี่ชายมึงด้วย จำไว้"
มันทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินกระแทกไหล่ผมผ่านไปทางสถานที่นัดประชุม

"ไอ้..."
ผมส่งเสียงได้แค่นั้นก่อนจะหุบปากเงียบแล้วเริ่มยกมือขึ้นมาขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิง ถามว่ารู้สึกดีไหมที่มีคนมาสารภาพรัก ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็ดี แต่นั่นเพื่อน และผมก็ไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคน จะจีบไปก็เปล่าประโยชน์ ถึงพี่ทาร์ตจะมีวิธีพิสูจน์อะไรร้ายๆ เลวๆ ก็ไม่เคยบังคับฝืนใจใคร แต่ไอ้กายแตกต่างออกไป อารมณ์ประมาณว่าอยากได้ก็ต้องได้ เขาไม่ให้ต้องแย่งมา... ฉิบหายแน่ๆ ชีวิตที่แสนสงบสุขคงไม่มีเหลืออีกแล้ว

ประชุมเรื่องกีฬาคณะจบผมก็เข้าเรียนวิชาแรกด้วยอารมณ์ปั่นป่วนเพราะไอ้กายเอาแต่มองมาทางนี้จนไอ้กู๊ดที่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติต้องเอื้อมมือมาสะกิดกันยิกๆ นี่ถ้ามีไอ้ไนน์ร่วมวงคงสาธยายกันยาว ดีหน่อยที่มันไปนั่งงุ้งงิ้งกับแฟนแล้ว

"มึง... วันนี้ไอ้กายมันแปลกๆ ปะวะ ทำไมหันมามองพวกเราบ่อยจัง"
ไอ้กู๊ดขยับเข้ามากระซิบใกล้ๆ ในขณะที่ผมกำลังจดสิ่งที่อาจารย์กำลังพูด ตอนแรกก็ไม่อยากตอบอะไรหรอกแต่เริ่มรำคาญที่มันสะกิดนี่ล่ะ เรียนภาษาเกาหลีอยู่นะเว้ยไม่ใช่ภาษาไทย

"มึงจะสนใจมันทำไม ฟังอาจารย์สอนเหอะ"
ผมตอบกลับไปทั้งๆ ที่มือยังทำหน้าที่จดรายละเอียดต่างๆ ไม่อยากสนใจไอ้กายสักเท่าไหร่เพราะกลัวว่ามันจะคิดเป็นอย่างอื่น มีใจให้อะไรแบบนั้น ขนลุกว่ะ

"โหย ถ้ามันไม่ทะแม่งๆ กูจะไม่กวนการตั้งใจเรียนของมึงเลยเนี่ย แบบว่า... ไอ้กายมองอย่างกับจะแดกกัน ขนลุก"
ไอ้กู๊ดพูดจบก็ยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองไปมา ผมชะงักมือก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ ถ้าไม่ยอมหาคำตอบให้มันก็คงไม่หยุดพูดสักที

"ถ้ากูบอกมึงต้องสัญญาว่าจะไม่ตกใจ"

"หา... งงว่ะ แต่ทำตามก็ได้"
มันเอียงคอใส่กันแต่ก็ยอมรับปาก และผมหวังว่าไอ้กู๊ดจะทำตามที่พูด

"เออ ไอ้กายมันจะจีบกู"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วจ้องตาไอ้กู๊ดที่กำลังอ้าปากค้าง ตาเบิกกว้าง ดูเหมือนจะตกใจไม่แพ้ผมเมื่อเช้าเลย แต่ไอ้สิ่งที่มันสัญญาไว้นี่ฟังทลายแบบไม่ทันตั้งตัวเลยว่ะ

"ห๊ะ ไอ้...!!! อุบ"
ไอ้กู๊ดตะโกนออกไปเสียงดังลั่นแต่ผมยกมือขึ้นอุดปากมันไว้ได้ทัน คนอื่นๆ เลยไม่ได้สนใจอะไรพวกเรามากนัก ถลึงตามองกลับไปเพื่อบอกให้รู้ว่ามันกำลังทำผิด

"เสียงดังหาเตี๋ยมึงเหรอวะ"
ผมว่าเสียงรอดไรฟันก่อนจะผละมือออกจากปากของมันแล้วตบเข้าไปหนึ่งทีด้วยความโมโหเล็กๆ ไอ้กู๊ดหลับตาปี๋ก่อนจะได้ยินเสียงซี๊ดปากตามมา สมน้ำหน้า เจ็บๆ จะได้จำและไม่ทำอีก

"โทษๆ กูช็อกอะ สัตว์เอ้ย เอาจริงดิ"
มันก้มหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่แล้วพูดประโยคต่อไปด้วยน้ำเสียงสูงเหมือนไม่อยากเชื่อ อย่าว่าแต่มันเลย ผมก็ไม่อยากเชื่อ แต่ประเมินจากสายตาของไอ้กายแล้วมันเอาจริงแน่ๆ และไม่รู้ว่าจะหาทางสลัดมันทิ้งได้เมื่อไหร่ด้วย

"จะไปรู้มันเหรอวะ เมื่อเช้าอยู่ๆ ก็บอกจะจีบกูและไม่ยอมแพ้พี่ทาร์ตด้วย แม่ง ชีวิตกู โอย เบื่อ"
ผมวางปากกาลงแล้วพูดแบบใส่อารมณ์ ตอนนี้อาจารย์จะสอนอะไรก็ช่างแม่งแล้ว ได้ระบายความอึดอัดกับเพื่อนสนิทแล้วรู้สึกผ่อนคลายลงมาหน่อย ไม่ต้องช่วยหาทางออกแต่รับฟังกันก็ยังดี

"ฉิบหายแล้วไหมล่ะมึง จะเกิดศึกชิงนางเหรอวะ"
ไอ้กู๊ดเหลือบสายตามองแผ่นหลังของไอ้กายแล้วทำหน้าเหยเกใส่ ส่วนผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี แล้วไอ้คำพูดศึกชิงนางอะไรนั่นดูทุเรศสิ้นดี กูเป็นผู้ชายนะเว้ย

"ไอ้กู๊ด เดี๋ยวกูต่อยคว่ำ ศึกชิงนางเชี่ยไรของมึงเนี่ย ขนลุก"
ผมง้างหมัดข่มขู่มันด้วยใบหน้าบึ้งตึง ไอ้กู๊ดรีบยกมือไหว้ปรกๆ แล้วบอกว่าล้อเล่นๆ ก่อนจะกลับไปนิ่งสงบกันทั้งคู่ แค่การมาเรียนวันแรกก็ต้องเจอเรื่องเครียดแล้วเหรอวะ...

"พี่ทาร์ตล่ะมึง คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว"
ไอ้กู๊ดเปลี่ยนเป้าหมายในการถามทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจไปหนึ่งจังหวะ อยู่ๆ ก็รู้สึกหนักอกหนักใจขึ้นมาเฉยๆ ไม่รู้ต้องรอพี่ทาร์ตไปถึงเมื่อไหร่ เหนื่อยนะแต่ไม่ท้อ ก็คนมันชอบคนมันรักไปแล้ว ให้เลิกคงยาก

"ความรู้สึกช้ายิ่งกว่าหอยทาก"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายก่อนจะเบนหน้าไปมองกระดานไวท์บอร์ดหน้าคลาสเรียน มือเรียนควานหาปากกาอีกครั้งเพื่อจนเนื้อหาสาระของวิชาเรียนนี้ลงไป ใกล้จะหมดเลิกเรียนแล้ว... คาดว่าหายนะคงมาเยือนเหมือนเมื่อเช้าอีกครั้งแน่ๆ เพราะเห็นไอ้กายมองมาทางนี้อยู่เรื่อยๆ คอไม่เคล็ดบ้างเหรอวะ

"บางทีมีเรื่องไอ้กายเข้ามาคงเป็นตัวกระตุ้นได้บ้างล่ะมั้ง"
ไอ้กู๊ดถูคางไปมาแบบคนใช้ความคิด ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะ เพราะดูท่าทางพี่ทาร์ตเมื่อเช้าแล้วสายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจจริงๆ อาจจะเพราะถูเด็กเมื่อวานซืนหยามเอาหรือเปล่านะ

"ก็อาจจะ... เมื่อเช้าพี่ทาร์ตหน้าตึงฉิบหาย ตอนไอ้กายเข้ามาทักกู"
ผมเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วงเช้าให้ไอ้กู๊ดฟังแล้วนึกย้อนไปถึงสีหน้าท่าทางของพี่ทาร์ต ถ้าความรู้สึกนั้นที่แสดงออกเป็นการหึงหวงก็คงดี

"กูว่าพี่ทาร์ตแม่งกั๊กว่ะ อาจจะรู้ตัวว่าชอบมึงแต่ยังปากแข็งไรงี้"
ไอ้กู๊ดสันนิษฐานออกมาแบบนั้นด้วยท่าทางมั่นใจเต็มร้อย แต่ผมกับย่นจมูกแล้วส่ายหน้าไปมา ไม่ใช่เพราะปากแข็งหรอกเชื่อสิ พี่ทาร์ตเป็นคนพูดตรงจะตาย ถ้ายอมรับว่าชอบผมคงจีบเช้าเย็นไปแล้ว

"เหอะๆ ไม่ยอมรับมากกว่าว่าตัวเองจะเผลอชอบผู้ชาย แถมเป็นน้องที่รู้จักมาตั้งแต่เกิดอีก"
ผมหัวเราะเย้ยหยันตัวเองก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างหมดแรง คิดถึงเรื่องนี้ทีไรมีอันต้องเหี่ยวเฉาทุกที เหมือนร่างกายขาดสารอาหารเยียวยา หมดแรงจะทำอะไรต่อ ไม่รังเกียจแต่ยากจะยอมรับ... คิดแล้วก็หงุดหงิด

"เออว่ะ เอางี้ๆ มึงก็ลองๆ ทำเป็นสนใจไอ้กายปะ เผื่อพี่ทาร์ตมันจะยอมรับความรู้สึกตัวเองสักที"
ไอ้กู๊ดเสนอแนวทางมาทำให้ผมต้องเอียงหน้ามองมันเล็กน้อย ก็เห็นด้วยกับความคิดมัน แต่คาดว่าผลจะออกมาทางตรงกันข้ามมากกว่า ตอนนี้ดีหน่อยที่เป็นเวลาพักสิบห้านาทีแต่ไอ้กายไม่ได้เข้ามายุ่งวุ่นวาย เอาแต่ใช้สายตาหวานๆ มองมา แค่นี้ก็ขนหัวลุกไปหมดแล้ว

"ก็น่าลอง แต่กูกลัวว่าพี่มันจะตัดใจซะก่อนอะดิ"
ผมพูดสิ่งที่คิดออกไป เพราะมีความเชื่อว่าพี่ทาร์ตจะไม่ดันทุรังจีบคนที่ไม่สนใจตัวเองอีกแล้ว ปกติก็ไม่เคยเล่าว่าไปสานสัมพันธ์กับใครก่อนด้วย มีแต่สาวๆ เข้าหา

"โอย วุ่นวายจังวะ เรื่องพี่ทาร์ตกูว่าเอาไว้ก่อนเถอะ จัดการเรื่องไอ้กายก่อนแล้วกัน"
สุดท้ายไอ้กู๊ดก็ฉลาดขึ้นมาสักที เพราะเรื่องที่ต้องรีบจัดการตอนนี้คือไอ้ตัวที่ยังส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้กันต่างหาก สิ่งที่อยากทำมากที่สุดคือเลิกเรียนปุ๊ปหายตัวปั๊ป เอาแบบที่ไอ้กายหาตัวไม่เจอจะดีมาก

"เออ"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงห้วนๆ และเริ่มเข้าสู่โหมดเด็กเรียนอีกครั้งจนหมดคาบ

เวลาเที่ยงตรงที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยลดอุณหภูมิให้กันเลยทำให้เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามใบหน้า โรงอาหารคนเยอะอย่างกับหนอนดูแล้วไม่น่าเอาตัวเองเข้าไปเบียดเสียดสุดๆ ผม ไอ้กู๊ดและไอ้ไนน์กำลังยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ด้านนอก

"แก... ไปกินข้าวข้างนอกเหอะ ไหนๆ ก็มีเวลาพักตั้งสองชั่วโมง"
ไอ้ไนน์พูดขึ้นมาแล้วรั้งแขนผมกับไอ้กู๊ดให้เดินออกมาจากบริเวณนั้น ไม่มีใครขัดอะไรออกไปเพราะเห็นสภาพโรงอาหารก็เพลียไปตามๆ กันกับจำนวนคนที่ล้นทะลัก

"เออ ไปข้างนอกก็ดี ขี้เกียจไปเบียดกับคนอื่น"
ผมพูดก่อนจะยกมือขึ้นปาดเหงื่อตรงหน้าผากไปด้วย เกิดมาเป็นคนขี้ร้อนก็ลำบากแบบนี้ล่ะ เสื้อนักศึกษาที่เคยยัดไว้ในกางเกงตอนนี้กลับปล่อยชายออกมาด้านนอก เหมือนเด็กเกเรแต่มันไม่ไหวจริงๆ

"จะไปกินที่ไหน"
ไอ้กู๊ดถามก่อนจะหันซ้ายทีขวาทีเพื่อขอความคิดเห็น ผมพยักพเยิดหน้าไปทางไอ้ไนน์ให้มันตัดสินใจ ตอนนี้จะกินอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ขอเป็นร้านติดแอร์แล้วกัน

"เซ็นทรัลปะ จะไปซื้อน้ำหอมด้วย"
ไอ้ไนน์บอกสถานที่ด้วยน้ำเสียงร่าเริง ผมถึงกับแอบเบ้ปากในความคิดของมัน เอาจริงๆ คงตั้งใจจะไปช็อปอยู่แล้วแน่ๆ

"นี่แกวางแผนมาแล้วใช่ไหมวะ"
เป็นไอ้กู๊ดที่ถามออกไปด้วยใบหน้าเหยเก ดวงตาคมมองจับผิดเพื่อนสนิทของตัวเอง ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำถามนั้นเลยทำให้ไอ้ไนน์ทำท่าลุกลี้ลุกลน

"เปล่านะเว้ย ก็แบบ... เพิ่งคิดได้เมื่อกี้เลย"
มันว่าเสียงสูงก่อนจะเบนสายตาหลบพวกเรา ผมได้แต่หันไปมองไอ้กู๊ดแล้วถอนหายใจใส่กันอย่างรู้ทัน เป็นแบบนี้ตลอดล่ะไอ้ไนน์น่ะ โกหกไม่เนียนเอาซะเลย

"เหรอจ๊ะ แล้วไม่ชวนแฟนแกไปด้วยหรือไง"
ไอ้กู๊ดถามด้วยเสียงกวนๆ ก่อนจะทำท่ามองหาแฟนของเพื่อน ไอ้ไนน์ส่ายหัวพรืดก่อนจะเบะปากลงเล็กน้อย ดูก็รู้ว่าน้อยใจหนุ่มเกาหลีเข้าแล้ว

"อยากชวนอยู่หรอก แต่มันมีประชุมหลีดฯ"
ไอ้ไนน์พูดเสียงหงอยๆ ผมเลยได้แต่ยกมือขึ้นไปตบบ่าให้กับลังใจมัน ก็ต้องทำใจในเมื่อแฟนเป็นหลีดฯ คณะ งานเยอะกว่าชาวบ้านชาวช่องเขา ขนาดผมเป็นนักกีฬาบาสฯ ยังไม่วุ่นวายเหมือนไอ้เกาหลีนั่นเลย

"อ๋อ แล้วจะเอารถใครไปวะ"
ไอ้กู๊ดถามขึ้นแล้วมองไปทางไอ้ไนน์ ดูจากท่าทางแล้วรถมันคงยังไม่ได้เติมน้ำมันเลยจะให้หญิงสาวคนเดียวของกลุ่มเสียสละ

"รถแกได้ปะปูน"
ไอ้ไนน์รีบพูดขึ้นราวกับรู้ว่าไอ้กู๊ดคิดอะไร แต่จะเอารถผมไปได้ยังไง ในเมื่อมันจอดนิ่งอยู่ที่บ้านน่ะ

"ไม่ได้เอารถมา"
ผมตอบกลับไปเสียงอ้อมแอ้มเมื่อเดาได้ว่าต้องโดนถามอะไรต่อแน่ๆ ก็ปกติขับรถมาเรียนทุกวันนี่หว่า

"แล้วเมื่อเช้าแกมายังไงเนี่ย"
ไอ้ไนน์ถามออกมาด้วยสีหน้าสงสัยแต่ไอ้กู๊ดนี่ล้อเลียนกันเต็มที่ อยากยกมือโบกหัวมันสักที หมั่นไส้ว่ะ ไม่น่าเล่าอะไรให้ฟังเลยไง แม่ง

"เอ่อ... เฮ้ย มึงๆ รีบไปเลย ไอ้กายเดินมาทางนี้แล้ว!"
กำลังจะตอบคำถามไอ้ไนน์แต่สายตาดันเหลือบเห็นกลุ่มไอ้กายกำลังเดินมาทางนี้ และเหมือนเจ้าตัวจะเห็นผมแล้วแถมฉีกยิ้มกว้างให้กันอีกก็เลยหันไปเร่งไอ้กู๊ดด้วยสีหน้าแตกตื่น

"เชี่ย ไปๆ ไอ้ไนน์อย่าทำหน้าเอ๋อ ไปรถแกเลย!"
ไอ้กู๊ดอ้าปากค้างแล้วรีบคว้าข้อมือไอ้ไนน์กับผมออกเดินแทบจะทันทีโดยไม่สนว่ายังตกลงไม่ได้ว่าต้องไปรถใคร มันเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินจริงๆ

"ดะ เดี๋ยวๆ อะไรอะ หนีไอ้กายทำไม"
ไอ้ไนน์ถามขณะที่ถูกลากไปยังลานจอดรถด้วยสีหน้ามึนๆ งงๆ แต่ดีที่มันไม่ขัดขวางอะไร ไม่อย่างนั้นไอ้กายคงถึงตัวผมในไม่ช้าเพราะได้ยินเสียงทุ้มๆ ตะโกนเรียกชื่อตามมา แม่งเอ้ย ขายหน้าฉิบหาย

"ค่อยเล่าได้ปะวะ ตอนนี้ขึ้นรถก่อนเหอะ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรนเมื่อเราเข้าสู่เขตลานจอดรถและเห็นเป้าหมายเป็นมาสด้าสองสีแดงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

"เออๆ ก็ได้"
ไอ้ไนน์ตอบมาด้วยน้ำเสียงอึนๆ ก่อนจะสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของไอ้กู๊ดแล้วควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าถือ

"ไปรถแกนะไนน์"
ไอ้กู๊ดรีบบอกออกไปทันที ก่อนจะโดนไอ้ไนน์ค้อนขวับใส่พร้อมกับส่งกุญแจรถที่มันเพิ่งควานหาเมื่อครู่

"เออ!!"

มาสด้าสองสีแดงเคลื่อนตัวไปตามถนนวิชิตสงครามเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลภูเก็ต ผมทำหน้าที่สารถีโดยความสมัครใจและแสร้งตั้งสมาธิอยู่กับการขับรถเพราะไม่อยากเล่าเรื่องไอ้กายให้ไนน์ฟัง ไม่ใช่จะปิดบังอะไร แต่คิดแล้วมันรู้สึกแปลกๆ ชวนขนลุก

"ปูน..."
เสียงหวานเรียกชื่อกันทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ ไม่อยากจะสนใจเลยแต่มันขยับเข้ามาดึงแก้มกันซะอย่างนั้น โอย จะรู้ดีเกินไปแล้วว่ากำลังบ่ายเบี่ยง

"โอยๆ ทำอะไรของแกวะ เจ็บ"
ผมร้องเสียงหลงเมื่อไนน์เพิ่มแรงบีบมากขึ้น มันแยกเขี้ยวใส่กันก่อนจะผละมือออกไปแล้วจ้องเขม็ง ไอ้กายก็นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ได้ไม่ช่วยกันเลย ขอให้แม่งเวียนหัวอ้วกแตก

"เล่ามาไวๆ อย่าให้ฉันโมโห"
ความเป็นคุณแม่หวงลูกเกิดขึ้นทันทีทันใดทำให้ผมต้องลอบถอนหายใจออกมาเพราะไม่สามารถหาทางหลบเลี่ยงต่อไป ไอ้กู๊ดเหลือบมองกันเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจแล้วก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ต่อ ช่วยอะไรไม่ได้เลยว่ะ ถีบตกรถซะดีไหมเนี่ย

"ไอ้กายจะจีบเรา..."
ผมพูดเสียงเบาแต่เชื่อว่าทั้งรถได้ยินชัดเจน ไอ้ไนน์ถึงกับอ้าปากพะงาบๆ แล้วเขย่าแขนกันอย่างกับแผ่นดินไหว ดีนะที่ตอนนี้รถกำลังติดไฟแดงอยู่ ไม่อย่างนั้นคงเกิดอุบัติเหตุขึ้น

"เฮ้ย... มันเอาจริงเหรอแก ฉันอยากจะบ้า ไอ้กายชอบผู้ชายเหรอ"
ถามทั้งๆ ที่ยังไม่หยุดเขย่าแขนกัน ผมได้แต่ดึงมือมันออกแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบกลับไป เรื่องรสนิยมทางเพศคนอื่นจะไปรู้ได้ยังไง แค่คนใกล้ตัวอย่างพี่ทาร์ตยังมืดบอดเลย

"มันเป็นไบ กูตอบแทนให้ เคยเห็นมันไปเที่ยวบาร์เกย์ที่ป่าตอง"
เสียงทุ้มๆ ของไอ้กู๊ดตอบแทนขึ้นมาในจังหวะที่ผมกำลังออกรถพอดิบพอดี เกือบแตะเบรกหัวทิ่มแล้วไหมล่ะ นี่คือข้อมูลใหม่สดๆ ร้อนๆ ที่ไม่คิดว่าจะได้รู้เกี่ยวกับไอ้กายเลยนะ เห็นแมนๆ แบบนั้นเป็นเสือใบเหรอ บางทีก็คิดว่าโคตรกำไรชีวิต หญิงก็ได้ชายก็ดี ส่วนผมกับไอ้กู๊ดนี่ต่างจากมันตรงที่ไม่ได้ชอบผู้ชายคนไหนไปทั่ว

"ห๊ะ... แล้วแกรู้ได้ยังไงอะ ไปกับเขาด้วยเหรอ"
ไอ้ไนน์ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นเต็มประดา ผมแทบเอาหัวโขกคอนโซลหน้ารถให้ตายๆ ไป ในเมื่อบทสนทนาอยู่ระหว่างที่รับบัตรจอดรถของห้างพอดี พูดเสียงเบาๆ ก็ได้ปะวะ ชาวบ้านเขารู้เรื่องกันทั้งเมืองแล้วเนี่ย

ผมรีบกดปิดกระจกทันทีเมื่อได้รับบัตรจอดรถ เห็นพนักงานสาวส่งยิ้มแปลกๆ มาให้กันเลยต้องรีบเหยียบคันเร่งพุ่งตัวทันทีเมื่อที่กั้นเปิดขึ้น เดาว่าเธอคงได้ยินตั้งแต่บาร์เกย์แน่ๆ

"เปล่าเว้ย แค่เดินผ่านแถวนั้นพอดี ถึงเราจะเคยชอบไอ้ปูน แต่ไม่ได้พิศวาสผู้ชายคนอื่นนะ"
ไอ้นี่ก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจเหลือเกินว่าตัวเองไม่ได้เป็นไบ ผมควรดีใจไหมที่ทำให้มันหลงผิดมาชอบตัวเองชั่วขณะหนึ่ง

"อ้อ... ตกใจ กำลังจะถามว่าหนุ่มๆ ในนั้นหล่อหรือเปล่า"
ไอ้ไนน์พูดเสียงกลั้วหัวเราะจนผมรู้สึกขนลุก ที่เป็นประเด็นคู่จิ้นกับไอ้กายทุกวันก็เพราะมันเลย แม่งเอ้ย เอาเรื่องตอนนี้ทันไหม

"แกนี่นะ เลิกเป็นสาววายสักทีเหอะ"
ผมกำลังจะอ้าปากด่ามันแต่ไอ้กู๊ดไวกว่า เออ ใช่ อยากจะพูดแบบนั้นอยู่พอดี ขอบใจเว้ยเพื่อน แต่ดูท่าทางสาวสวยคนเดียวบนรถจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลย เพราะหน้าตาเธอยังระรื่นจนน่าหมั่นไส้ เกลียดเพื่อนตัวเองผิดไหม

"เอ้า ความชอบส่วนบุคคลอะ อย่าละเมิดสิทธิกันดิ"
ไอ้ไนน์เริ่มขึ้นเสียงใส่ไอ้กู๊ด เรื่องสาววายนี่ว่าไม่ได้เลยนะ เธอจะเดือดทันที ก็นะ ความชอบส่วนบุคคลที่ทำให้คนอื่นมีแววเดือดร้อนก็ไม่ดีเท่าไหร่หรอก อยากจิ้นก็จิ้นคนอื่นสิวะ ไม่ใช่ดึงเพื่อนตัวเองไปพัวพันแบบนี้ แล้วอะไรคือการเอี้ยวตัวจากเบาะหน้าไปทุบคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง แถมผมยาวๆ ยังปัดมาโดนหน้ากันอีก กระชากแม่ง หงุดหงิดแล้วนะ อากาศก็ร้อน วู้!

"เลิกตีกันสักที รำคาญ"
หลังจบประโยคนั้นทุกคนก็คืนสู่สภาพปกติแทบจะทันที




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 12 -P.3- (27/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 27-04-2017 20:34:10
ชั่วโมงเรียนภาคบ่ายถูกยกเลิกเพราะอาจารย์ติดภารกิจด่วน ผมเลยต้องกดโทรศัพท์ต่อสายไปบอกพี่ทาร์ตว่าให้มารับที่ห้างแทนที่เป็นมหา'ลัย เขาตอบรับมาด้วยน้ำเสียงเร่งรีบแล้ววางไป คงกำลังยุ่งกับการทำขนมล่ะมั้ง... อยากไปหาที่ร้านจัง แต่ไม่ได้ขับรถตัวเองก็เกรงใจ จะให้เพื่อนไปส่งคงโดนแซวร่วมเดือน เหอะๆ

"แกๆ ช่วยไปเลือกน้ำหอมหน่อยดิ"
ไอ้ไนน์กระตุกแขนเสื้อกันยิกๆ แล้วชี้ไปทางร้าน Victoria's Secret เห็นสภาพร้านแล้วอยากถอยหลังหนีมาก แต่เธอกลับลากผมไปจนได้ แล้วนี่ไอ้กู๊ดเบิกเงินหมดตู้เอทีเอ็มแล้วหรือไงวะ หายตัวไปเลย

"เลือกเองดิวะ แกเป็นคนใช้นะเว้ยไม่ใช่เรา"
ผมดึงแขนมันออกแล้วยืนทำหน้าบูดอยู่ตรงนั้น น้ำหอมกลิ่นหวานๆ สำหรับผู้หญิงจะให้ช่วยเลือกยังไงวะ ไม่เข้าใจความคิดไอ้ไนน์เลย ถ้าเป็นแฟนกันยังพอเข้าใจ ประมาณว่า 'ตัวเองชอบกลิ่นไหนเหรอช่วยเลือกหน่อย'

"น่าๆ อย่าบ่นนักสิ เดี๋ยวฟ้องพี่ทาร์ต"
ไอ้ไนน์ยักคิ้วกวนๆ หลังจากพูดจบ แต่ผมอ้าปากค้างเพราะไม่คิดว่าเธอจะรู้จักพี่ทาร์ต ยังไม่ได้บอกอะไรสักคำนะเว้ย...

"เดี๋ยวๆ แกรู้จักพี่ทาร์ตได้ไงวะ"
ผมละล่ำละลักถามจนลิ้นแทบจะพันกัน มือทั้งสองข้างจับไหล่ไอ้ไนน์เพื่อเค้นเอาคำตอบ ตอนนี้รู้สึกหน้าชาแปลกๆ ว่ะ จะบ้าตาย

"ตอนแกไปเข้าห้องน้ำไอ้กู๊ดเล่าให้ฟังอะ ไม่มีแฟนมาทั้งชีวิต แต่ดันชอบผู้ชายโคตรหล่อเนี่ยนะ ย้อนแย้งมาก!"
เสียงหวานดังขึ้นพร้อมด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง ไอ้ไนน์ปัดมือผมทิ้งแล้วย่นจมูกใส่อีกครั้ง ย้อนแย้งยังไงวะ... ก็ชอบพี่ทาน์ตผิดตรงไหน

"เอ้า ก็มันชอบนี่กว่า แต่เราไม่ได้เป็นเกย์นะเว้ย"
ผมบอกไอ้ไนน์ด้วยเสียงสั่นๆ ยังกลัวว่าเพื่อนจะคิดว่าตัวเองเป็นเกย์ เธอมองกันด้วยแววตาขี้เล่นก่อนจะส่งมือมาตีต้นแขนแบบหยอกล้อ

"โอ้ย รู้แล้วย่ะ ไม่ต้องทำหน้าเหมือนโลกจะแตกได้ไหม มองนมผู้หญิงจนเหลียวหลังคงเป็นเกย์มั้งแกน่ะ ฉันเข้าใจน่า"
เหมือนจะดูดีแต่คำพูดโคตรน่าเกลียดเลย

"เออๆ ก็กลัวเข้าใจผิด"
ผมตอบแบบขอไปทีแล้วบอกให้ไอ้ไนน์เริ่มเลือกซื้อน้ำหอมของมันสักทีเพราะพนักงานยืนทำหน้าบูดมองพวกเราสองคนเถียงกันนานแล้ว

สุดท้ายเลือกกลิ่นน้ำหอมไปราวๆ หนึ่งชั่วโมงกลับไม่ได้อะไรมาเลย แถมตัวผมยังมีกลิ่นวานิลลาติดมาด้วย เพราะไอ้ไนน์เอามาฉีดใส่นี่ล่ะ... รู้สึกตัวเองน่ากินยังไงก็ไม่รู้ แต่จะไม่คิดมากเลยถ้าคนที่มารับจะไม่มองกันด้วยสายตาแปลกๆ แบบนี้


"มองอะไรพี่ทาร์ต"
ผมถามกลับไปก่อนจะมองสำรวจตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า ตอนนี้เรายังคงเดินอยู่ในห้างแต่แยกย้ายกับเพื่อนๆ หมดแล้ว แต่คุณชายเขาบอกว่าขอเดินเล่นสักพักเพราะขี้เกียจกลับไปทำงานที่ร้านขนมเนื่องจากมีลูกค้าสาวๆ เข้ามาเยอะจนน่ารำคาญ ถ้ามาอุดหนุนธรรมดาจะไม่ว่าอะไรเลยแต่นี่ขอถ่ายรูปไปด้วย เขาเลยอารมณ์ไม่ดี

"กลิ่น..."
พี่ทาร์ตพูดแค่นั้นแล้วทำจมูกฟุดฟิดแล้วก้มหน้าลงมาใกล้ๆ ผมผละตัวออกแล้วยกมือขึ้นลูบท้ายทอยเบาๆ คนที่เดินผ่านไปผ่านมาทำไมมองมาทางนี้แปลกๆ วะ หรือคนข้างๆ จะหน้าตาดีเกินไป

"อ๋อ กลิ่นวนิลลาเหรอ"
ผมถามออกไปเมื่อคิดได้ว่าตัวเองมีกลิ่นแปลกปลอมติดเสื้อผ้าอยู่ กลิ่นอย่างกับขนมแหนะ...

"ใช่"
พยักหน้าตอบกลับมาแต่ดวงตายังจ้องใบหน้ากันไม่ละสายตาไปไหน รู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้มันแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ แถมยังเดินใกล้กันจนรับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกายอีกคน

"เพื่อนมันฉีดน้ำหอมใส่อะ เหม็นเหรอพี่"
ผมดึงเสื้อตัวเองขึ้นมาดมอีกครั้ง จะว่าหอมมันก็หอมนะ แต่ถ้าคนไม่ชอบกลิ่นอะไรหวานๆ คงเหม็น จริงๆ ไอ้ไนน์จะเอากลิ่นมะพร้าวมาฉีดกันด้วยแต่ดีที่หลบทัน

"เปล่า... แต่มันน่ากิน"
ทำไมต้องทำเสียงแหบวะ... ขนลุก!

"....."
มองด้วยดวงตาเป็นประกายแบบนั้นหมายความว่ายังไง กลิ่นวนิลลาน่ากินหรือตัวผมที่มีกลิ่นวนิลลาน่ากินวะ...

ระหว่างทางกลับบ้านผมก็ได้ชีสทาร์ตจากร้าน Bread Talk ติดไม้ติดมือกลับมาหกชิ้น นั่งแกะกินอย่างเอร็ดอร่อยจนเจ้าของรถหันมามองตาเขียวใส่ จะว่าตัวเองทำหกเลอะเทอะก็ไม่น่าจะใช่นะ ทำอะไรผิดอีกล่ะ หรือคิดเรื่องไอ้กายขึ้นมาได้

“จะซื้อมาทำไมไอ้ชีสทาร์ตเนี่ย”
พี่ทาร์ตพูดด้วยเสียงฉุนๆ แล้วเอื้อมมือมาผลักกล่องขนมบนตักผมเล่น

“ซื้อมากินไงครับ ถามแปลกๆ หรือว่าพี่จะเอาด้วย”
ผมทำท่าจะเปิดฝากล่องเพื่อหยิบขนมอีกชิ้นให้กับพี่ทาร์ตแต่ต้องชะงักเมื่อเจ้าตัวถอนหายใจออกมาแรงๆ เหมือนกำลังไม่พอใจอะไรสักอย่าง ดวงตารีเหลือบมองคนข้างกายอย่างกล้าๆ กลัวๆ หรือกูเผลอเหยียบขี้หมาขึ้นรถเนี่ย ตายห่าแน่ๆ

“แค่บอกว่าอยากกินขนมอะไร พี่ทำให้เอง ไม่เห็นต้องซื้อของคนอื่นกินเลย”

“ซื้อกินง่ายกว่านี่ครับ อีกอย่างก็เกรงใจด้วย”

“พี่เต็มใจทำให้”
ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงละมุนจนทำให้ใจผมเต้นรัว อยากจะหนีไปจากตรงนี้จะตายอยู่แล้ว ไอ้ความอ่อนโยนนี่มันคืออะไรกันนะ...

“อ่า...”
เถียงอะไรไม่ออกเลยว่ะ เขินอยู่

“นี่...”
หลังจากที่เงียบไปเกือบห้านาที พี่ทาร์ตก็เป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นมาก่อน ทำให้ผมที่สาละวนกับการเล่นเกมโทรศัพท์ต้องหยุดชะงักมือแล้วให้ความสนใจเขาแทน

“ครับ”

“พรุ่งนี้เรียนกี่โมง”

“สิบโมงครับ มีอะไรหรือเปล่า”
ผมเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น อะไรบ้างอย่างกำลังร้องเตือนว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์เดจาวู...

“จะไปส่ง”
พูดออกมาเหมือนเป็นเรื่องที่ทำประจำโดยไม่มีความลังเลใดๆ ในน้ำเสียง ถึงจะไม่เห็นใบหน้าเต็มๆ ก็รู้ว่ามุมปากหยักนั้นกระตุกเป็นรอยยิ้ม คิดอะไรอยู่ถึงคอยรับหน้าที่สารถีไปรับไปส่งกันเนี่ย เดี๋ยวผมเคยตัวมันจะแย่เอานะเว้ย

“ห๊ะ ผมไปเองได้น่าพี่ ไม่อยากรบกวน”

“ไม่ได้”

“ทำไมอะ ปกติผมก็ไปเรียนเองนะ”
ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงสงสัยขั้นสุด หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแทบจะเป็นปม พี่ทาร์ตกำลังพูดเรื่องอะไรวะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ นะ

“ตอนนี้มันไม่ปกติแล้วไง”
งงในงงเลยคราวนี้ อะไรที่ไม่ปกติกันวะ

“อะไรที่ไม่ปกติครับ”

“ไอ้กายไงที่ไม่ปกติ มันกำลังจีบปูนไม่ใช่เหรอ”
พี่ทาร์ตเหลือบสายตามามองกันเล็กน้อยก่อนจะดับเครื่องยนต์เมื่อพารถเข้าจอดในบริเวณบ้านของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองกันด้วยความจริงจังจนผมผงะถอยไปด้านหลังจนติดกระจก ทั้งตกใจที่เขารู้เรื่องนี้ ทั้งกลัวว่าคนตรงหน้าจะทำอะไรแผลงๆ

“เฮ้ย... ใครบอก”
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิวแล้วยกกล่องชีสทาร์ตขึ้นมากอดเอาไว้ระดับออก ดวงตารีหลุบต่ำลงเมื่อไม่สามารถมองคนตรงหน้าได้เลย หัวใจเต้นระรัวเหมือนเด็กที่แอบไปทำความผิดแล้วโดนผู้ใหญ่จับได้

“พี่รู้แล้วกัน”

“.....”

“พี่หวง และจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งปูนไปจากพี่เด็ดขาด เพราะว่าพี่...”

“พี่ปูน พี่ทาร์ต!!!!!!!!!!!!!!”

ไอ้สัตว์ฟ่อน!!! มึงจะเรียกกูหาพระแสงอะไรตอนนี้เนี่ย แล้วไอ้คำพูดท้ายประโยคของพี่ทาร์ตคืออะไรทำไมต้องหน้าแดงด้วย ถามย้ำได้ปะ อยากรู้... แต่ตอนที่กำลังจะอ้าปาก เขาก็เปิดประตูหนีลงไปจากรถแล้ว โอย กูจะฆ่ามึงไอ้น้องเลว!!!!!!!!!!




--------------------------------------------

อ่าวๆๆๆๆ พี่ทาร์ตพูดอะไรเนี่ยเฮ้ยย ~~~~~~

ไปรอลุ้นในตอนหน้าเนอะว่าน้องปูนจะได้คำตอบหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 12 -P.3- (27/04/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-04-2017 22:14:15
ฟ่อนนนนนนนนนนนนนน เดี๋ยวปั๊ดฟาดเลยนี่ทำไมต้องมาขัดจังหวะด้วยย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 13 -P.3- (02/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 02-05-2017 13:40:38
(http://i.imgur.com/xzGbLtq.png)


สูตรที่ 13

Caramel Custard
: น้ำตาล/น้ำ/นม/ไข่ไก่/ไข่แดง/ฝักวานิลลา :




ผ่านมาเกือบหนึ่งเดือนแล้วผมก็ยังไม่รู้ว่าวันนั้นก่อนพี่ทาร์ตลงจากรถเขาพูดอะไรทิ้งท้ายเอาไว้ ไม่ใช่ว่าละเลยปล่อยผ่าน แต่เพียรถามครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ได้คำตอบ หาเรื่องเบี่ยงไปเรื่อย แม่ง ทำตัวเป็นคนมีความลับไปได้ แอบซุกกิ๊กไว้บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้...

ในตอนนี้ผมนั่งหน้ามึนอยู่ในครัวแต่ไม่ใช่บ้านตัวเองนะ เพราะไอ้พี่ทาร์ตโผล่หน้ามาชวนกันทำขนมตั้งแต่เช้า ด้วยความที่เห็นแก่กินเลยตามเขามา ส่วนไอ้ฟ่อนไปเรียนพิเศษตามเคย จะขยันอะไรนักหนาก็ไม่รู้ ดวงตารีจับจ้องแผ่นหลังกว้างที่ขยับไปด้านซ้ายทีขวาทีเพราะกำลังเตรียมส่วนผสมของคาราเมลคัสตาร์ด อยากเข้าไปช่วยแต่คิดขึ้นได้ว่ารออยู่เฉยๆ อาจจะดีกว่า

"ปูนครับ"
หลังจากที่ไม่มีใครเปิดปากส่งเสียงอยู่นาน พี่ทาร์ก็ตทำลายความเงียบด้วยการเรียกกัน ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเผลอมองแผ่นหลังกว้างนั่นซะเพลิน นึกว่าเขารู้ตัว แต่เปล่าเลย ยังคงเตรียมส่วนผสมขนมอยู่เหมือนเดิม ขอถอนหายใจด้วยความโล่งอกหน่อยแล้วกัน เฮ้อ ถ้าโดนจับได้คงแซวไม่เลิกแน่ๆ เกลียดจริงๆ

"มีอะไรครับ"
ผมถามกลับไปแล้วขยับตัวไปพิงพนักเก้าอี้เพื่อคลายความเมื่อยล้าช่วงเอว เพราะก่อนหน้านี้นั่งตัวงอแล้วเอามือเท้าคางไว้บนโต๊ะ เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าตั้งใจมองพี่ทาร์ตมากแค่ไหน ก็คนมันชอบมันรัก ใครไม่เข้าใจก็ปล่อยไปเถอะ

"ตอกไข่ให้หน่อย แยกไข่แดงกับไข่ขาวด้วย"
พี่ทาร์ตพูดเหมือนกับเป็นเรื่องปกติโดยไม่หันมามองกันเหมือนเดิม ทำไมพี่มันดูวุ่นวายจังวะ ไหนบอกว่าคัสตาร์ดไม่ยากไง ผมถึงกับอ้าปากค้างแล้วมองซ้ายมองขวาหาไข่ไก่ที่เขาบอก ใช้ให้ตอกใส่ถ้วยไม่มีปัญหาหรอกแต่แยกแดงขาวนี่ต้องทำยังไง เห็นในทีวีชอบเอาขวดพลาสติกมาดูด... หนีกลับบ้านได้ปะวะ ไม่อยากกินขนมแล้ว

"ไหนไข่อะ"
ผมถามสั้นๆ ไม่แสดงพิรุธที่ว่าตัวเองทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นออกไปให้พี่ทาร์ตล้อ แต่ดูเหมือนว่าคนขี้แกล้งแบบเขาจงใจใช้กันมากกว่า สนุกมากปะเนี่ย เห็นไหล่สั่นๆ กำลังกลั่นหัวเราะอยู่ใช่ไหมวะ เดี๋ยวเอาถาดวางพิมพ์ตีหัวแม่ง

"อยูที่พี่ เดินมาเอาดิ"
พี่ทาร์ตพูดก่อนจะเอี้ยวหน้ามามองกันเล็กน้อย ผมก็ว่าง่ายลุกจากเก้าอี้เดินไปหาเขาหวังจะได้ไข่ไก่ตามที่ต้องการ จมูกได้กลิ่นหอมๆ เหมือนน้ำตาลไหม้ สงสัยจะทำคาราเมล เคยดูในรายการทำขนม เขาเอาน้ำตาลทรายตั้งไฟใช่ปะ พอมันละลายก็เอาน้ำใส่ลงไป... ทฤษฎีอาจจะได้ แต่ปฏิบัติติดลบ ใครๆ ก็รู้

"ไหนอะไข่ ไม่เห็นจะมี ลืมซื้อหรือเปล่า"
ผมมองซ้ายมองขวาไปทั่วเค้าน์เตอร์วางเตา โดยสภาพแล้วไม่น่าจะเอาไข่ไก่มาตั้งตรงนี้ได้เลย พี่ทาร์ตแกล้งอำกันหรือเปล่าวะ ชาตินี้จะได้กินไหม แล้วเขาก็หันมายิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะมองต่ำ ต่ำลงเรื่อยๆ จนผมเขาใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ใครใช้ให้ลามกตอนนี้วะ เตะผ่าหมากซะดีไหม

"นี่ไงไข่ มีสองฟองกับกล้วยหนึ่งลูก"
พูดออกมาหน้าระรื่นในขณะที่ผมกัดฟันกรอด ไม่รู้ว่าควรโมโหหรือเขินก่อนดู หน้าด้านเล่นมุกห้าบาทสิบบาทมาได้ไงวะ อายบ้างไหมอยากด่าจริงๆ

"ไอ้พี่ทาร์ต ลามก!"
ผมตะโกนใส่หน้าแล้วยกเท้าเตะหน้าแข้งอีกคน แต่พี่ทาร์ตหลบได้ก่อนจะหัวเราะเอิ๊กอ๊ากยกใหญ่ แล้วดูสิ คาราเมลหยดเลอะเทอะไปหมดแล้ว จะยกที่คนๆ นั่นออกไปจากหม้อทำซากอะไร

"ก็เห็นถามหาไข่"
ยังพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยักคิ้วกวนๆ ให้ พี่ทาร์ตวางไม้พายในมือลงแล้วเริ่มหาผ้าไปเช็ดคราบคาราเมลที่เปราะไปทั่ว ตอนแรกก็อยากช่วยอยู่หรอก แต่ไม่แล้ว หมั่นไส้คนลามกว่ะ

"หมายถึงไข่ไก่เว้ย ไข่ไก่อะ ไข่พี่เอามาทำขนมได้ที่ไหนวะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแล้วเดินหนีไปทางตู้เย็นเพราะคิดว่าไข่ไก่อยู่ในนั้นชัวร์ๆ จะไม่หลงกลให้พี่ทาร์ตแกล้งได้อีกแล้ว เสียเซลฟ์ชะมัด

"ไข่พี่ทำขนมไม่ได้ แต่ทำปูนได้นะ"
พูดด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่มซึ่งทำให้ผมได้แต่ยืนหน้าร้อนอยู่ที่ตู้เย็น ไข่ที่เพิ่งหยิบมาแทบร่วงลงกับพื้น ไอ้บ้า! พูดอะไรของพี่ทาร์ตวะ ถ้าจะหยอดกันแบบนี้ผมลาตายดีกว่า โอยแม่ง ไม่กงไม่กินมันแล้ว จะกลับบ้าน ไม่ไหวแล้ว

"พี่ทาร์ตแม่ง ผมไม่คุยด้วยแล้วนะ ลามกฉิบหาย"
ผมวางไข่ไก่ลงในช่องเหมือนเดิมแล้วปิดประตูตู้เย็นอย่างแรง ไม่แคร์ว่ามันจะหลุดหรือพังแต่อย่างใด มันไม่ใช่ของผมไงล่ะ ขายาวๆ กำลังจะก้าวหนีออกจากห้องครัว แต่มือหนาๆ อุ่นๆ ของพี่ทาร์ตกลับรั้งหัวไหล่กันเอาไว้ แม่ง ตกใจจนสะดุ้งเลยไง ช่วงนี้ทำไมขวัญอ่อนจังวะ

"อย่าเพิ่งไปสิ พี่แค่ล้อเล่นน่า"
พี่ทาร์ตพูดเสียงอ่อยก่อนจะรีบปล่อยมือออกจากไหล่ ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ จริงๆ ก็ไม่ได้อะไรนักหรอกกับความลามกของเขา ผิดเองล่ะที่หวั่นไหวไปกับอะไรก็ตามที่เป็นพี่ทาร์ต นิดๆ หน่อยๆ ก็เขิน ก็ใจสั่น ถ้าสุดท้ายผิดหวังขึ้นมาจะเจ็บแค่ไหนกันนะ ไม่เคยอกหักด้วยสิชีวิต

"ครับๆ รีบทำเถอะ อยากกินขนมแล้ว"
ผมตอบออกมาด้วยน้ำเสียงอึนๆ แต่ก็ยอมกลับไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ปล่อยให้พี่ทาร์ตทำนั่นทำนี่ด้วยตัวเอง เขาเดินไปหยิบไข่ไก่มาตอก แยกไข่แดงไข่ขาวออกจากกันด้วยความชำนาญ มองๆ ไปก็เพลินดี อยากทำขนมเป็นบ้างจัง

"มองกันขนาดนั้น อยากกินขนมแน่เหรอปูน"
พี่ทาร์ตเงยหน้าช้อนตามองกันแล้วส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ ผมสะดุ้งแล้วขยับตัวจนชิดพนักพิงก่อนทำหน้าตาเหลอหลา โดนจับได้ว่าแอบมองไม่สนุกเลย อายจนอยากเอาหน้ามุดใต้โต๊ะ วันนี้เผลอมองเขาไปกี่รอบแล้ววะ

"อยากกินขนมดิ จะให้อยากกินอะไรล่ะ"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมากดเล่น ที่จริงแล้วไม่อยากมองหน้าพี่ทาร์ตน่ะ อยู่กับผู้ชายเจ้าเล่ห์ต้องเอาตัวรอดเป็น ถึงจะแถจนสีข้างเลือดซิบก็เถอะ

"นึกว่าอยากกินพี่"
พูดออกมาด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่มชวนให้อยากเข้าไปคลุกวงใน... ซะที่ไหนกัน มันน่าหมั่นไส้จนอยากถลาเข้าไปบีบคอต่างหาก พูดแบบให้ความหวังกันแบบไม่ปิดบัง ถ้าผมอยากกินเขาขึ้นมาจริงๆ จะยอมเหรอไง ชอบกันหรือเปล่ายังไม่รู้เลย หยอดเอา เต๊าะเอา คิดว่าใครมันจะทนได้นานล่ะ ไม่สนุกแล้ว อึดอัด

"ไม่คิดอะไรก็หยุดให้ความหวังสักที ไม่สนุกว่ะ"
ผมว่าเสียงเครียดแล้ววางโทรศัพท์ในมือลงอย่างหมดแรง โดนไอ้กายจีบยังเหนื่อยน้อยกว่าโดนพี่ทาร์ตหยอดเล็กหยอดน้อยแบบไม่รู้อนาคตอีก เปลี่ยนใจไปชอบคนที่ชอบเราตอนนี้ทันปะ แต่ไม่หรอก มันสายเกินถอนตัวแล้วว่ะ

พี่ทาร์ตชะงักมือที่กำลังจะเอาถาดขนมเขาเตาอบไปครู่หนึ่งก่อนจะทำต่อให้เสร็จๆ แล้วหันมามองผมด้วยใบหน้าจริงจัง ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีแววตาขี้เล่นหลงเหลืออีกแล้ว ถ้าหายใจผิดจังหวะโทษพี่ทาร์ตไปเลยนะ

"รู้ได้ไงว่าพี่ไม่คิด"
พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะเท้ามือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะแล้วโน้มตัวมาใกล้กัน ผมที่นั่งอยู่ได้แต่เอนหลังจนติดพนักเกาอี้แล้วเบนสายตามองไปทางอื่น เกลียดคำถามแบบนี้ เพราะผมไม่รู้คำตอบจริงๆ ใครจะไปกล้าเดาใจเสือผู้หญิงแบบพี่ทาร์จล่ะ

"ก็พี่ไม่เคยบอกปะวะ ว่ารู้สึกยังไงกับผมกันแน่ ไม่อยากเข้าข้างตัวเองอีกแล้วว่ามีความหวัง บางทีผมก็กลัวจะเสียใจ"
ผมพูดประโยคยาวยืดที่เต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึก ทั้งกลัว ตื่นเต้น คาดหวัง อึดอัด น้อยใจ เสียใจ แทบจะบ้าได้เลยล่ะมั้ง อยากเอาน้ำเย็นๆ มาราดหัวจะได้สงบจิตสงบใจลงบ้าง แล้วมันเรื่องบ้าอะไรที่ชวนพี่ทาร์ตเข้าโหมดดราม่าทั้งๆ ที่กำลังจะได้กินขนมหวาน...

"พี่เคยบอกไปแล้วว่ารู้สึกยังไง"
พี่ทาร์ตใช้น้ำเสียงราบเรียบอย่างกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ไม่สามารถจับได้เลยว่าแกล้งหรือจริงจัง ผมเหลือบสายตามองเขาอย่างจับผิด ตอนไหน เมื่อไหร่ ยังไง ทำไมผมไม่รู้เรื่องล่ะ

"ตอนไหน ไม่เห็นจะรู้เรื่อง"
ถามออกไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิว กลัวมันจะเป็นคำตอบเมื่อเนิ่นนานมาแล้วอย่างเช่น 'พี่หวงก้าง' มันไม่ใช่ปะวะแบบนั้น หรือผมฟุ้งซ่านคิดไปเอง คราวนี้พี่ทาร์ตออกจะจริงจัง คงไม่แกล้งหรอกมั้ง ถ้าแกล้งผมเสยปลายคางยับแน่ คนยิ่งอารมณ์แปรปรวนอยู่

"วันที่ไปรับมาจากมหา'ลัย"

"วันไหนว่ะ ก็ไปรับไปส่งทุกวันจนจะปิดเทอมแล้วมั้ง"
ผมตอบกลับอย่างรวดเร็ว เพราะตั้งแต่เปิดเทอมยันปัจจุบันนี่พี่ทาร์ตไปส่งกันทุกวันจนไอ้กู๊ดกับไอ้ไนน์หมดมุกจะแซว ส่วนไอ้กายก็เร่งทำคะแนนจนน่าโมโห ตวาดมันไปจนทุกคนตกใจ ก็น่ารำคาญ บอกไปร้อยรอบแล้วว่าไม่ต้องพยายาม ไม่ฟังกันเอง ช่วยไม่ได้

"วันแรก"
ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ก่อนจะเบนสายตาหนีกันเหมือนกำลังทำความผิด ไอ้พี่ทาร์ตแม่ง... ก็ว่าทำไมไม่ยอมเปิดปากบอกกันสักทีว่าพูดอะไรออกมาวันนั้น แต่เดี๋ยวก่อน ใช่สถานการณ์เดียวกันไหม ขอถามให้แน่ใจ

"ไอ้ที่ผมพยายามถามว่าพี่พูดอะไรวันที่ฟ่อนมาขัดจังหวะนะเหรอ"
ผมถามแล้วจ้องพี่ทาร์ตเขม็ง เจ้าตัวยังคงมองไปทางอื่นแล้วเบี่ยงตัวออกไปดึงถาดขนมออกมาจากเตาอบ นี่ถือเป็นการถ่วงเวลาอะไรหรือเปล่า ยังคุยกันไม่จบ กลับมาตอบก่อนดิ ค้างคาฉิบหาย เหมือนเขามีญาณหยั่งรู้เลยหันกลับมาสบตากัน

"ใช่"
ตอบรับพร้อมพยักหน้าเบาๆ เป็นการยืนยัน เออ ให้มันได้แบบนี้สิ ช่วงหลังๆ คือผมถอดใจเพราะขี้เกียจถาม แล้วดูตอนนี้สิ มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ

"ผมไม่ได้ยิน... บอกอีกครั้งเถอะนะ"
ผมตั้งใจจะอ้อนอย่างสุดกำลังทั้งๆ ที่อยากว้ากเต็มทน เรื่องสำคัญขนาดนั้นปล่อยผ่านมาได้ยังไงเป็นเดือนๆ แม่ง ไม่ได้โง่แต่ก็เหมือนควายเลยว่ะ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง

"ตั้งใจฟังดีๆ จะบอกครั้งเดียว ห้ามถามซ้ำ โอเคไหม"
พี่ทาร์ตยื่นคำขาดด้วยสีหน้าจริงจังก่อนจะกลับมายืนเท้าโต๊ะและโน้มตัวมาใกล้ๆ ผมไม่ได้ผละตัวไปไหน จะเรียกว่าท้าทายคงไม่ผิด อยู่ใกล้กันนี่ล่ะจะได้ฟังชัดๆ ไม่อยากพลาดอีกแล้ว แต่ก็ถามๆ ไว้ก่อน ถ้าไม่ได้ยินอีกต้องทำยังไง

"ถ้าไม่ได้ยินอีกล่ะ"

"เชื่อสิว่าได้ยินแล้วจะจำไปจนตาย"
พี่ทาร์ตกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มที่เดาไม่ออกว่าดีหรือร้ายกันแน่ เพราะระยะที่เราอยู่กันตอนนี้มันใกล้จนหน้าใจหาย ปลายจมูกแทบแตะกัน อะไรๆ ก็พล่ามัวไปหมด ทั้งใบหน้าทั้งสมอง เบลอฉิบหาย

"โม้ว่ะ"
พูดได้แค่นั้นล่ะ กลัวว่าคนตรงหน้าจะจับน้ำเสียงสั่นๆ ของตัวเองได้ ก็มันตื่นเต้น พี่ทาร์ตกำลังจะบอกความรู้สึกที่มีต่อผมเชียวนะ ถ้าเกิดคำตอบคือไม่ชอบกันนี่ร้องไห้ใส่แม่งจริงๆ ด้วย จะหนีไปซบอกไอ้ฟ่อนประชดแม่ง...

"ขยับเขามาใกล้ๆ"
เขาบอกก่อนกระดิกนิ้วเป็นการเรียก แต่ผมบุ้ยปากขมวดคิ้วแน่น จะให้ขยับไปใกล้กว่านี้อีกก็จูบกันแล้วครับพี่น้อง บ้าหรือเปล่า! แต่พี่ทาร์ตคงรู้ว่าผมคิดอะไรเลยเอียงหน้าเข้ามาใกล้และทำการกระซิบข้างหูแทน... ใกล้แบบนี้นี่เอง เผลอคิดสัปดนไปเยอะ โทษที

"พี่... ชอบปูนนะ"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มเปล่งคำที่ทำให้ผมใจเต้นแรงออกมาจากริมฝีปากหยัก มันดังก้องไปทั้งโสตประสาทการรับฟังวนไปวนมาไม่รู้จบ เหมือนกำลังซึมซับทุกอย่างให้ฝังรากหยั่งลึกลงในสมอง แก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าวขึ้นมาทันตาเห็นและยากเกินควบคุม สติกำลังหลุดลอยเหมือนเคว้งคว้างอยู่ในความฝัน จริงๆ เหรอวะ ที่ได้ยินมาหูไม่ได้ฝาดใช่ไหม ทำยังไงดี

"....."
เงียบไร้เสียงตอบรับเพราะผมกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันได้เตรียมใจ ความรู้สึกตอนนี้คล้ายๆ กับว่าสอบติดทุนเรียนต่อเมืองนอกที่ฝันไว้เลยว่ะ แต่อาจจะดีกว่านั้นสิบเท่าหรือเปล่า ก็แค่การคาดเดา อยากแหกปากตะโกนมากกว่าว่าดีใจ ไม่อกหักแล้ว เขิน อาย โอย หลากหลายอารมณ์จนใกล้เหมือนคนบ้า มุมปากพาลจะยิ้มอยู่เรื่อยแต่กลับเม้มปากไว้ ไบโพล่าถามหาแล้วไง

"จะจีบอย่างจริงจังแล้วนะ"
พี่ทาร์ตพูดต่อไปอีก บ่นอะไรวะ

"....."

"ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ หรือช็อกไปแล้วเนี่ย เฮ้ ฟังกันอยู่หรือเปล่า"
พี่ทาร์ตเพิ่มเสียงขึ้นเล็กน้อยพร้อมกลับโบกมือไปมาตรงหน้า ผมรับรู้แต่ไม่สามารถขยับได้ มีเพียงหลุบตาลงต่ำเท่านั้น ไม่กล้าทำอะไรเลยตอนนี้ กลัวฝันสลาย

"....."

"เฮ้ย ถ้าไม่พูดอะไรพี่จูบจริงๆ นะ"
น้ำเสียงโคตรจริงจังแถมขยับตัวออกพร้อมจะพุ่งจู่โจมเข้ามาที่ตำแหน่งใหม่อย่างเต็มที่ ผมก็ต้องได้สติสิครับจะรออะไรล่ะ ยังไม่อยากเสียจูบให้นะเว้ย เดี๋ยวหัวใจวายตายซะก่อน

"เดี๋ยวๆ หยุดก่อน โอย ผมฝันอยู่หรือเปล่าวะ"
ผมห้ามด้วยน้ำเสียงแตกตื่นก่อนจะเอ่ยถามลอยๆ ในประโยคหลังแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตา ยังไม่อยากเชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยินมาเลยสักนิด บทจะยากก็ยากจนท้อใจ แต่พอง่ายก็ง่ายจนน่าใจหาย มีอะไรพอดีบ้างเนี่ย

"ฝันบ้าอะไร เพ้อเจ้อแล้ว"
พี่ทาร์ตว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือหนามาขยี้หัวกันจนยุ่งเหยิง ไม่รู้ติดคราบขนมมาบ้างหรือเปล่าแต่ผมไม่มีเวลาจะมานั่งคิดวิเคราะห์ขนาดนั้น ยังอึ้งอยู่...

"ชอบผม... จริงๆ เหรอ"
ผมพูดน้ำเสียงลอยๆ มองหน้าพี่ทาร์ตนิ่ง รู้สึกว่าเขาจะแก้มแดงด้วยล่ะ ความรู้สึกคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ เขิน...

"ครับ คิดหัวแทบแตกวันละหลายล้านรอบ แต่ต้องขอบคุณไอ้กายนะ ที่ทำให้พี่รู้ใจตัวเองสักที"
พี่ทาร์ตหัวเราะเบาๆ ปิดประโยคแล้วเลื่อนมือมาดึงแก้มกันจนเจ็บ ผมปัดออกก่อนจะตั้งสติแกล้งแหย่เขากลับไป ก็ยังไม่แน่ใจว่าชอบกันจริงๆ เหรอ ขอพิสูจน์เน้นๆ อีกรอบนะ

"โห... ผมควรจะไปหอมแก้มขอบคุณไอ้กายปะเนี่ย"
พูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นแล้วเหล่สายตามองพี่ทาร์ตที่ยังไม่ขยับตัวไปไหน เขาแยกเขี้ยวใส่กันก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างยึดไหล่เอาไว้ อย่ามาจริงจังได้ปะวะ ใจคอไม่ดีเลย อย่าหายใจรดหน้ากันแบบนี้สิ ทำอะไรไม่ถูกแล้ว

"อยากตายเหรอครับน้อง พี่ไม่ใจดีให้ปูนทำอะไรแบบนั้นหรอกนะ"
พี่ทาร์ตเสียงแข็งใส่กันและเพิ่มแรงบีบที่ไหล่ขึ้นอีกเพราะผมไม่ยอมสบตา ก็ใครมันจะกล้า ไม่คิดว่าเขาจะโหดแบบนี้นี่หว่า

"หวงเหรอไง ไม่ได้เป็นอะไรกันนะ"
ผมยังทำใจดีสู้เสือไปเรื่อย ก็คนมันอยากรู้ ความกลัวน่ะแพ้อยู่แล้ว

"เออครับ หวงไง เป็นแฟนกันไหมล่ะ"
เสียงสะบัดกว่าเดิมสิบเท่า แถมยังเปลี่ยนจากยึดไหล่มาคว้าท้ายทอยกันและยังบังคับให้จ้องตาอีก ใครก็ได้เรียกรถฉุกเฉินมารับผมเถอะครับ หัวใจจะวายอยู่แล้ว ทำไมหึงหวงได้น่ารักขนาดนี้วะคนเรา ขอแกล้งต่ออีกหน่อยเนอะ

"เดี๋ยวๆ ไหนเมื่อกี้บอกว่าจะจีบกัน"
ผมใช้มือดันอกพี่ทาร์ตให้ขยับออกไปไกลๆ เพราะกลัวว่าเขาจะบุ่มบ่ามดันท้ายทอยผมเข้าไปจูบน่ะสิ ท่าทางขาดสติได้ง่ายอีกด้วย

"กลัวปูนเปลี่ยนใจไปชอบไอ้กาย"
พี่ทาร์ตบอกเสียงอ่อนก่อนจะยอมปล่อยกันให้เป็นอิสระแล้วหันหลังกลับไปจัดการขนมคัสตาร์ดที่เพิ่งทำเสร็จนั่น นึกว่าลืมไปแล้วซะอีก...

"คิดมากว่ะ ไม่ชอบไอ้กายหรอก มั่นใจได้"
ผมพูดเสียงอ้อมแอ้มก่อนจะลุกไปยืนข้างๆ พี่ทาร์ต ไม่ใช่ว่าอยากอยู่ใกล้หรอกนะ จะมาเอาขนมไปกินต่างหากเว้ย คิดมากนะเราน่ะ

"ถ้างั้นก็เตรียมตัวโดนพี่จีบกลับได้เลย รักเมื่อไหร่จะขอเป็นแฟน"
พี่ทาร์ตส่งจานคัสตาร์ดมาให้กันแล้วส่งยิ้มหวาน ผมแทบทำขนมตกพื้น จะบ้าตาย หัวใจเต้นแรงจนปวดหน้าอกไปหมด

"บะ... บอกตัวเองเหรอ"
ผมงึมงำให้ลำคอแล้วถือจานขนมไปนั่งกินเงียบๆ โดยไม่สนใจว่าพี่ทาร์ตจะทำอะไรต่อ ก็ไอ้เรื่องรักน่ะ ผมรักอยู่แล้ว ก็มีแต่เขานั่นล่ะที่ยัง... สรุปว่าความรักครั้งนี้เพิ่งสำเร็จไปขั้นตอนเดียวสินะ รอยาวๆ ไป

"อืม... คงใช่ ไม่อยากคบใครเพราะแค่ชอบ มันดูฉาบฉวย อยากคบกันตอนที่รักแล้วมากกว่า"
พูดซะซึ้ง... เอาโล่ชายหนุ่มดีเด่นไปเลย หวังว่าระหว่างที่จะรักผมคงไม่มีใครมาแทรกกลางซะก่อนนะ ถ้ามีผมจะฆ่าทิ้งทั้งพี่ทาร์ตทั้งเขาคนนั้นเลยแม่ง!

"อื้อ"

จากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลาสามเดือนแล้ว ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติสุข ไม่มีอะไรที่ดูคล้ายการจีบเลยสักนิดเดียว ไปรับไปส่งเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีขนมมาให้กินทุกเช้า จนรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีพุง... แผนการให้ผมอ้วนจนไม่มีใครมาเกาะแกะของไอ้พี่ทาร์ตปะวะ เลวสุดๆ จากที่เคยหยอดๆ กันกลับเงียบไป ไม่เข้าใจตรรกะคนหล่อเท่าไหร่ว่ะ งง

จีบคือการนิ่งๆ ใส่กันเหรอ ไม่จีบคือการหยอดเหรอ โอย ปวดหัวเว้ย!

"พี่ทาร์ต"
ผมเรียกชื่อสารถีจำเป็นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เขาเหลือบสายตามองกันเล็กน้อยก่อจะกลับไปสนใจถนนเหมือนเดิม วันนี้จะไปเที่ยวหาดไนยางแถวๆ สนามบิน เหมือนจะมาเดทกันสองคน แต่ก็ไม่ใช่ เพราะเบาะหลังมีไอ้ฟ่อนนั่งอยู่

"ครับ"
ตอบกลับมาสั้นๆ แค่นั้น ผมหาทางไปไม่ถูกเลยไง ไอ้ฟ่อนก็ดีหลับกรนเสียงดังจนรถสะเทือนแทรกเสียงดนตรีได้โคตรน่าเกลียด ไปเหนื่อยคอพับคออ่อนมาจากไหนวะนั่น

"เดือนหน้าจะไปเรียนซัมเมอร์ที่เกาหลีแล้วนะ"
ผมบอกเขาไปเพื่อให้รับรู้ แต่มากกว่านั้นคืออยากให้พี่ทาร์ตแสดงอาการอะไรบ้างก็ได้ที่ทำให้รู้ว่าความรู้สึกชอบกันยังเหมือนเดิม ไม่ใช่นิ่งกว่าปกติแบบนี้ แอบใจเสียอยู่นะเว้ย หรือเผลอไปเจอใครที่ตรงสเปคเข้าให้

"เหรอ ไวจัง ไปนานเท่าไหร่วะ"
พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแถมยังไม่หันมาสนใจกันอีกทั้งๆ ที่รถติดไฟแดง หลังจากวันนั้นมาแทบไม่สบตากันเลยด้วยซ้ำ มีอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่าวะ

"ก็เดือนกว่าๆ มั้ง ตามกำหนดการที่อาจารย์ให้มา"

"อ้อ... ตามไปด้วยได้ปะ"
พูดทีเล่นทีจริงให้พอใจชื้นขึ้นมาบ้าง ผมหลุดยิ้มเล็กน้อยก่อนจะสายหัวพรืด จะตามไปได้ยังไงกัน ไปเรียนนะไม่ใช่ไปเที่ยว

"ไม่ได้ดิ จะตามไปทำไม"
ผมตอบกลับไปก่อนจะแอบมองใบหน้าด้านข้างของพี่ทาร์ต ถ้าสังเกตอย่างละเอียดดูเหมือนเขาจะออกอาการกล้าๆ กลัวๆ หรือว่าจีบใครไม่เป็นเลยไม่รู้จะเริ่มยังไงหรือเปล่านะ... ถ้าถามตรงๆ จะได้คำตอบไหม

"....."
เงียบแบบไม่มีสัญญาณตอบรับ เฮ้ย อะไรวะ

"พี่ทาร์ต ถามอะไรหน่อยดิ"
ผมเอ่ยปากต่อเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พี่ทาร์ตครางอือในลำคอเป็นการตอบรับเพราะกำลังออกตัวรถอยู่

"ไหนจีบอะ..."
ถามออกไปด้วยน้ำเสียงกวนตีนสุดๆ ไม่ได้เรียกร้องอะไรหรอกนะ แต่มันดูราบเรียบจนน่าใจหาย

"นี่ไงจีบ"
พี่ทาร์ตยกมือขึ้นมาจีบพร้อมกับหัวเราะไปด้วย ผมคว้าขวดน้ำมาฟาดหัวเขาได้ปะวะ กวนตีนแล้ว!

"กวนตีน ถามจริงๆ นะ เลิกชอบผมแล้วเหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ มือเรียวบีบเข้าหากันเพราะกลัวคำตอบ ดวงตารีหลุบลงมองต่ำเพราะกำลังคิดทบทวนอย่างหนัก

"ไม่ใช่แบบนั้น แค่จีบไม่เป็น... พอจะเริ่มจริงๆ มันเขินว่ะ หยอดไม่ออก เต๊าะไม่ได้ แล้ว สมองรวนไปหมด"
พี่ทาร์ตพูดเสียงอ้อมแอ้มแล้วยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแรงๆ กลัวเหลือเกินมามันจะเป็นรอยแดง ผมแทบจะยิ้มแก้มแตกเมื่อฟังจบ ที่แท้ก็เป็นคนจีบใครไม่เป็นนี่เอง แต่อย่าว่าเลย ผมก็ไม่เคยโดนใครเข้ามาจีบจังๆ เหมือนกัน เขาอาจจะใช้วิธีเนียนๆ อยู่ก็ได้

"อ่า..."

"แต่พี่ก็มีวิธีของพี่น่า ปูนอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าโดนจีบก็ได้"
หันมายักคิ้วใส่กันอีก เจ้าเล่ห์นักนะคนเรา

"คงงั้นมั้ง เนียนเกิน"
ผมย่นจมูกใส่ก่อนจะมองออกไปด้านนอก วิวทะเลโผล่เข้ามาในสายตาแล้ว อยากลงไปเล่นน้ำจัง แต่อย่าเลย จมขึ้นมามันไม่สนุกเท่าไหร่

"หึหึ"
เสียงหัวเราะชวนขนลุกของพี่ทาร์ตดังขึ้น แต่ผมไม่สนใจแล้วล่ะ ทะเล ทะเล ~ จริงๆ ก็ไม่ได้ชอบหรอก แต่มากับคนที่ชอบ อะไรๆ ก็ดูสนุกไปหมด ยกเว้นไอ้ฟ่อนนะ รายนั้นคือก้าง แต่พี่ทาร์ตบอกว่าเดี๋ยวจะมีคนมาสมทบ... ใครวะ อยากรู้จริงๆ

"โอ้ย มดกัดอะ ใครทำน้ำตาลหกในรถเนี่ย"
เสียงทุ้มหวานดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ใบหน้าน่ารักที่ยิ้มทะเล้นขยับมาตรงกลางทำให้ผมกับพี่ทาร์ตเบิกตาโพลง ไอ้เด็กนี่แกล้งหลับ

"ไอ้ฟ่อน/ไอ้ฟ่อน!!!!"
ประสานเสียงแบบไม่ได้นัดหมายแล้วแจกมะเหงกให้น้องมันไปคนละทีสองที สมน้ำหน้า เผือกดีนักนะมึง

ผมและพี่ทาร์ตช่วยกันคนข้าวของที่จะนำมาปิคนิกลงจากรถโดยมีไอ้ฟ่อนทำหน้าที่ปูเสื่อให้ สบายไปปะมึง... หน้าเขกกะโหลกให้ร้าว แต่ช่างมันเถอะ พูดไปก็เปลืองน้ำลาย เดี๋ยวสักพักก็จะมีชายหนุ่มดีกรีนายแบบมาสมทบ เพิ่งเค้นเอาจากปากคนมีความลับได้เมื่อครู่นี่เอง คำตอบคือ 'พี่อิน'

"ไอ้ฟ่อน มึงคิดจะช่วยพี่บ้างปะวะ นั่งรออย่างกับคนเป็นง่อย!"
พี่ทาร์ตคงสุดจะทนเลยหันไปตวาดน้องสุดที่รักด้วยน้ำเสียงโมโหเต็มทน คนบ้าอะไรแบกแตงโมทั้งลูกมาทะเล บอกให้ผ่าเรียบร้อยมาจากบ้านมันก็งอแง จะเอามาเล่นปิดตาตีหรือไง

"ก็ไม่อยากเข้าไปเป็นก้างขวางคอใครอะ มันบาป!"
พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันไม่พอยังเบะปากใส่กันอีก ไอ้ผมที่ถือกล่องจานนี่แทบจะโยนใส่มัน แต่พี่ทาร์ตที่แบกลูกแตงโมอยู่จะขว้างทิ้งแล้ว... รายนี้เขาไม่ชอบกินแตงโมน่ะ บอกว่าน้ำมันเยอะไปทำให้ปวดฉี่บ่อย

"ก้างเหี้ยไร มาช่วยถือของเร็วๆ เลย แตงโมมึงเนี่ย ถ้าไม่เอากูจะโยนทิ้งแล้วนะ"
พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดแต่ผมเห็นนะว่าพี่ทาร์ตแอบยิ้มน่ะ นี่แกล้งน้องมันใช่ไหม ไม่ได้จะว่าแค่สะใจ...

"อย่านะ!!"
เสียงตะโกนดังลั่นพร้อมกลับร่างเล็กๆ รีบลุกขึ้นมาทางนี้ สงสัยจะหวงแตงโมมากนะนั่น เดินก้าวยาวแทบจะวิ่งมาเชียว พี่ทาร์ตก็เอาแต่กลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดง ตลกว่ะ

"พี่ทาร์ตแกล้งมันหรือไง"
ผมถามออกไปตรงๆ ก่อนจะหยิบถุงขนมขบเคี้ยวติดมือมาด้วย ขี้เกียจเดินหลายรอบมันเสียเวลา

"เออ หมั่นไส้ เดี๋ยวจะให้อินจัดการให้เข็ด"
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้ววางแตงโมลงก่อนจะหยิบตะกร้าพลาสติกใส่กล่องอาหารเดินตามผมมา

"เอ้อ..."
ผมพูดได้แค่นั้นล่ะ เพราะไม่เข้าใจว่าพี่อินอะไรนั่นจะจัดการฟ่อนยังไง...

ห้าโมงเย็นแล้ว ไอ้คนที่จะมาร่วมแจมยังไม่ถึงสักที ไม่เข้าใจว่าไปตกหลุมตกบ่ออยู่ที่ไหนหรือเปล่า แต่ตอนที่กำลังจะอ้าปากถามเขาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จะไปไหนล่ะนั่น

"เดี๋ยวมานะ ไปรับอินที่สนามบิน"
เขากระซิบเบาๆ เพื่อที่จะให้ผมได้ยินคนเดียวเพราะไม่อยากให้ไอ้ฟ่อนโวยวาย ดูจากท่าทางแล้วมันน่าจะไม่ชอบพี่อินเอามากๆ สงสัยสมัยเด็กโดนแกล้งไว้เยอะมั้ง เคยได้ยินน้องบ่นๆ ว่า อ้วนดำแบบนั้นใครเขาจะมอง... นี่มันปัจจุบัน ยืนยันด้วยดีกรีนายแบบนะเว้ย อยากจะบอกว่าผมเคยเห็นรูปผ่านๆ ด้วยเถอะ ขาว หล่อ ถ้าผมเป็นผู้หญิงคงกรี๊ดคอแตกไปแล้ว

"โอเคๆ"
ผมตอบกลับพร้อมกับทำมือเป็นสัญลักษณ์ว่าตกลง ไอ้ฟ่อนที่กำลังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปอยู่ไม่ไกลนั่นไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยว่าจะมีคนมาเยือน

พี่ทาร์ตขับรถออกไปจากบริเวณนี้แล้ว ผมยังคงนั่งแกะขนมขบเคี้ยวกินไปเรื่อยๆ อาหารที่เอามายังถูกเก็บไว้อย่างดี ไม่ต้องห่วงว่ามันจะเย็นเพราะเป็นกล่องเก็บความร้อนอย่างดี

"พี่ทาร์ตหายไปไหนอะ หรือพี่ปูนกินเข้าไปแล้ว"
ถามด้วยหน้าตากวนตีนก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนเสื่อ ผมหยิบขนมขบเคี้ยวในถุงปาใส่ไอ้ฟ่อนด้วยอารมณ์หงุดหงิดปนเขิน คิดได้ยังไงว่าจะกินพี่ทาร์ตเข้าไปวะ นั่นคนนะเว้ย ตัวอย่างกับควาย

"โอ้ย ไรอะ"
ไอ้ฟ่อนใช้มือปัดป่ายขนมก่อนจะหันมายู่ปากใส่กัน อยากงอนก็งอนไป ผมไม่ง้อและไม่สนใจหรอกนะ หน้าที่เป็นคู่กัดให้กับมันกำลังจะหมดลงแล้ว ดูท่าทางพี่อินอะไรนั่นจะชอบเด็กนี่ด้วยเถอะ... แอบเห็นไลน์พี่ทาร์ตที่คุยกับเพื่อนพอดีไง ไม่ได้เสือกเลย ก็วันนั้นเขาฝากโทรศัพท์ไว้กับผมเองนี่ ไม่ผิดนะ

"พูดอะไรไม่รู้จักคิด"

"แหม ก็แค่ล้อเล่นอะ แล้วพี่ทาร์ตไปไหน"
ยังจะมาทำเสียงล้อเลียน น่าฟาดสักทีไหมล่ะ

"ไปแถวๆ นี้ล่ะ เดี๋ยวก็กลับมา"
ผมตอบกลับไปแล้วหยิบขนมใส่ปากเหมือนเดิม ทำตัวไม่มีพิรุธสุดๆ




ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 13 -P.3- (02/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 02-05-2017 13:40:57
"งั้นพี่ปูนไปเดินริมทะเลเป็นเพื่อนหน่อยดิ"
ไอ้ฟ่อนขยับเข้ามาใกล้แล้วพูดเสียงอ้อนๆ แต่ผมกลับกรอกตามองรอบตัวก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ จะไปไหนได้ยังไงของเต็มซะขนาดนี้

"ต้องเฝ้าของไง"
ผมตอบแล้วชี้ของรอบตัวให้มันดูชัดๆ ว่าทำไมถึงต้องปฏิเสธ ไอ้ฟ่อนเบะปากใส่ก่อนจะทำท่าฮึดฮัดลุกขึ้นจากเสื่อ นี่มึงเป็นเมนส์หรือยังไง อารมณ์แปรปรวนซะจริงๆ

"โด่ ไปคนเดียวก็ได้ เชอะ"
มันพูดจบก็สะบัดก้นเดินออกไปเลย ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังบางนั่นก่อนจะถอนหายใจออกมาแบบปลงๆ ใครได้ไอ้ฟ่อนเป็นแฟนคงปวดหัวตายแน่ๆ เอาแต่ใจชะมัด เฮ้อ

ไม่เกินครึ่งชั่วโมงรถบีเอ็มฯ คันสวยก็กลับมาจอดบริเวณเดิม ประตูเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของใครบางคนที่ไม่คุ้นตาก้าวลงมาจากฝั่งซ้ายมือ ผิวไม่ขาวมากแต่ดูสุขภาพดี ใส่เสื้อกล้ามสีดำโชว์กล้ามแขนแน่นๆ ผมได้แต่นั่งอ้าปากค้างเมื่อเขาถอดแว่นตากันแดดออก ดวงตาคมกริบ จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วหนาเรียงตัวสวย ทรงผมไถข้าง เจาะหู โคตรแบดบอย ฉิบหาย หล่อกว่าพี่ทาร์ตอีกมั้งพี่อินเนี่ย ไอ้ฟ่อนเอ้ย ไหนคนที่มึงบอกว่าอ้วนดำวะ พลาดอย่างรุนแรง

พี่ทาร์ตโบกมือมาทางผมที่ยังนั่งอ้าปากค้าง พอได้สติกลับมาเลยคลี่ยิ้มส่งไปให้แล้วยกมือขึ้นสวัสดีพี่อินที่เดินมาข้างๆ จากการสังเกตแล้วดูเป็นคนอารมณ์ดี เข้ากับคนอื่นได้ง่ายล่ะมั้งก็เขายักคิ้วให้ด้วยนี่

“เด็กมึงเหรอวะทาร์ต น่ารักดีนี่”
เดินมาถึงปุ๊ปก็ถามกันด้วยประโยคชวนเขิน พี่อินทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ แล้วใช้แขนยาวๆ พาดมาบนไหล่ของผม พี่ทาร์ตแทบจะเข้ามากระชากกันแต่ดีหน่อยที่เขายั้งมือทัน

“ปล่อยเลยไอ้อิน คนนี้ของกู ห้ามยุ่ง โน่นๆ เป้าหมายมึง เดินอยู่ตรงโน่น”
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงรอดไรฟันแล้วชี้มือชี้ไม้ไปที่ไอ้ฟ่อน น้องมันก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรว่าพี่ชายที่แสนดีกำลังถวายตัวเองให้กับเพื่อนสนิท ผมเกือบจะหัวเราะออกไปเมื่อพี่อินจ้องไปทางนั้นไม่วางตา สงสัยจะแอบชอบมานานมากแล้วมั้ง รู้ตัวว่าเป็นเกย์ตั้งแต่เด็กเลยหรือไง

“แหม ทีกับน้องมึงไม่หวงอย่างนี้บ้างวะทาร์ต”
พี่อินหันกลับมาพูดกวนประสารทพี่ทาร์ตอีกครั้งแต่ยอมเอาแขนหนักๆ ออกจากไหล่ผมก่อนจะคลี่ยิ้มเป็นมิตรให้กัน ดูท่าทางขี้แกล้งเหมือนกันเลยว่ะ เพื่อนสนิทคู่นี้

“ให้มึงหวงแทนไง ไปเลยไป รีบไปทำคะแนน ไอ้อ้วนดำ”
พี่ทาร์ตผลักไหล่พี่อินออกไปแล้วแทรกตัวลงมานั่งระหว่างกลางจนแทบจะเกยตักผมอยู่แล้ว อยากขำแต่ไม่กล้าขำเพราะไม่รู้ว่าพี่อินเป็นคนนิสัยยังไงกันแน่ ดูจากภายนอกก็เฮฮาร่าเริงกับคนสนิทอยู่หรอก แต่กับคนไม่สนิทอย่างผมล่ะ ไม่กล้าเสี่ยงเลย

“ไม่คิดว่าฟ่อนจะกระโดดถีบกูบ้างเหรอ”
พูดด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนเท่าไหร่ แต่สายตากลับจ้องมองไปที่ไอ้ฟ่อนอยู่อย่างนั้น

“อย่ามาตอแหล มึงดุยิ่งกว่าหมาบางแก้วอีก ไอ้ฟ่อนจะกล้าทำอะไร”
พี่ทาร์ตเบ้ปากใส่ก่อนจะดันพี่อินให้ลุกขึ้นสักที คนหน้านิ่งเมื่อสักครู่เหล่มองเล็กน้อยก่อนจะยอมทำตามที่เพื่อนสุดประเสริฐต้องการ

“ให้มันจริง กูไปล่ะ”
แล้วนายแบบสะเทือนหาดไนยางก็เดินจากไป สังเกตว่าไอ้ฟ่อนเห็นแล้วล่ะว่าใครมาเยือน แต่คงจำไม่ได้ ปล่อยเขารื้อฟื้นความหลังเถอะ ไม่อยากยุ่ง เรื่องของตัวเองก็วุ่นวายพอแล้ว

“พี่ทาร์ต... พี่อินนี่ดุจริงเหรอวะ เห็นหน้าตายิ้มแย้มขนาดนั้น”
ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้ล้วนๆ พี่ทาร์ตเหลือบมองกันก่อนจะพยักหน้าเป็นการตอบรับ

“ดุ ดุมากตอนไม่พอใจ แต่มันมีเหตุผลนะ”
พี่ทาร์ตยิ้มออกมาน้อยๆ แล้วมองลงไปที่หาด ภาพตรงนั้นคือฟ่อนเอาแต่เดินหนีพี่อินด้วยอารมณ์แบบไหนก็เดาไม่ได้ ดูท่าทางคู่นี้คงต้องจูนกันอีกนานล่ะมั้งนั่น

“น้องมันจะชอบพี่อินเหรอ”
ผมยังคงถามต่อไป จริงๆ ก็แอบเป็นห่วงฟ่อนเหมือนกัน อยู่ๆ พี่ชายก็เอาคนที่ตัวเองไม่ชอบขี้หน้าในวัยเด็กกลับมาให้เจอกันแบบนี้ แถมยังออกตัวสนับสนุนเพื่อนสินทโดยไม่หวงน้องตัวเองอีก

“ก็ต้องรอดูต่อไป แต่พี่เชื่อว่าอินจะทำสำเร็จ”

ตามนั้น รอดูต่อไปทั้งเรื่องของเราและเรื่องของไอ้ฟ่อน




---------------------------------------------

ในที่สุดปูนก็ได้รู้แล้วเนอะว่าพี่ทาร์ตพูดอะไรในวันนั้น
ใครอยากเจอพี่อิน โผล่มาแล้วเน้อ... อ้วนดำในวันนั้น คือสุดหล่อในวันนี้ 5555

ปล. วันนี้วันเกิดเราล่ะ เย่ แก่ขึ้นอีกปีแล้ว ~
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 13 -P.3- (02/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-05-2017 15:22:37
HBD จ้า :b: :b: :b:

ฟ่อนว่าที่สามีหล่อๆอ่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 13 -P.3- (02/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-05-2017 19:11:12
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 13 -P.3- (02/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: nolirin ที่ 07-05-2017 00:12:26
HBD นะคุณนักเขียน :L2:

พี่ทาร์ตนี้ฟอร์มเยอะ ท่ามากจริงๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 14 -P.3- (07/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 07-05-2017 19:46:00
(http://i.imgur.com/DNguiNN.png)


สูตรที่ 14

Banoffee
: แคร๊กเกอร์บด/เนยละลาย/กล้วยหอม/Toffee Caramel/วิปปิ้งครีม/น้ำตาลไอซิ่ง/ผงเจลาติน/ผงโกโก้ :

Chiffon's Part





ผมกำลังหงุดหงิดและเป็นแบบนี้มาร่วมหนึ่งเดือนแล้ว เพราะไอ้ตัวป่วนที่ชื่อ 'พี่อิน' มาฝากท้องที่บ้านทุกเช้า ไม่รู้จะมาเดือดร้อนคนอื่นเขาทำไม แถมยังอาสาไปส่งที่เรียนโรงเรียนอีก หึ นั่งรถสองแถวไปเองยังจะดีกว่าอีก เบื่อๆๆๆ ทำไมตอแยกันขนาดนี้นะ น่ารำคาญชะมัด!

ส่วนพี่ทาร์ตก็อีกคนที่ยอมสละเก้าอี้ของตัวเองบนโต๊ะอาหารให้กับเพื่อนรักนั่งข้างๆ ผม พอจะลุกขึ้นเพื่อหนีก็โดนม๊าใช้สายตาดุๆ ปรามกันตลอด เพราะเป็นการแสดงกิริยาที่เสียมารยาท เลยจำทนกินข้าวเช้าแบบไม่มีอารมณ์

"กินหมูทอดปะ เดี๋ยวตักให้"
คนด้านข้างหันมาถามกันในขณะที่ผมตักข้าวต้มใส่ปาก เหลือบมองพี่อินด้วยหางตาแล้วส่ายหน้าให้ ไม่อยากกินอะไรที่เขาตักให้หรอก เดี๋ยวจะหาว่ามีใจ

"ผักบุ้งล่ะ ชอบกินไม่ใช่เหรอ"
พี่อินยังคงพยายามที่จะตักอาหารบนโต๊ะให้กัน ผมถึงกับชะงักมือที่กำลังตักไข่เค็มแล้วหันไปถลึงตาใส่เขา จะอะไรนักหนา นั่งเงียบๆ แล้วกินข้าวของตัวเองไปมันจะตายเหรอวะ

"ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว นั่งกินเงียบๆ ไปเลย อย่ามายุ่งกับฟ่อน"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงรอดไรฟันแล้วตักไข่เค็มใส่ชามข้าวต้มของตัวเองได้สำเร็จ กินต่อไปโดยไม่สนใจว่าพี่อินจะทำหน้าแบบไหน จริงๆ แล้วไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก แต่ในอดีตเคยออกปากหนักแน่นว่าจะไม่พลั้งเผลอไปชอบเขาไง ตอนนี้ก็กำลังทำใจแข็งอยู่... แม่ง เจอกันครั้งแรกในรอบหลายปีที่ทะเลก็บอกจะจีบกันเลย ใครตั้งตัวทันก็แปลกแล้ว ประสาท

"พี่ทาร์ตไปส่งฟ่อนหน่อย"
หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จผมก็วิ่งโล่ไปเกาะแขนพี่ชายที่เตรียมตัวเอารถออกเพื่อไปส่งพี่ปูนที่มีเรียนเช้าเหมือนกัน ถึงโรงเรียนกับมหา'ลัยจะอยู่กันคนละทางก็เถอะ ไม่อยากไปกับพี่อินแล้ว ดุจะตาย พูดไม่เพราะก็โดนด่า ใครจะชอบลงล่ะแบบนั้น เหอะ!

พี่ทาร์ตหันมามองผมเหมือนเป็นตัวประหลาดก่อนจะใช้มือใหญ่ผลักหัวกันจนรู้สึกมึน เกิดเป็นฟ่อนซะอย่างไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก และด้วยความอิจฉาริษยาที่พี่ชายตัวเองแย่งพี่ปูนไป เห็นเขาอยู่ด้วยกันมันหงุดหงิดยังไงไม่รู้

"ไปกับไอ้อินนู่น มันออกมาจากบ้านแล้ว"
พี่ทาร์ตโบกมือไล่แล้วพยักพเยิดหน้าไปทางเพื่อนสนิทของตัวเองที่กำลังใส่รองเท้าอยู่หน้าประตูบ้าน ผมเบ้ปากแล้วส่ายหัวอย่างหนักเป็นการปฏิเสธ ทนให้พี่อินไปส่งที่โรงเรียนมาเป็นอาทิตย์แล้ว อึดอัดจะตาย

"ไม่เอาอะ พี่ทาร์ตทำไมชอบยัดเยียดฟ่อนให้พี่อินจังวะ"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วเดินไปยืนค้ำหัวพี่ทาร์ตที่กำลังสอดตัวเข้าไปนั่งที่คนขับ ไม่กล้ามัดมือชกขึ้นรถเขาหรอก กลัวจะโดนถีบลงมาถ้าไม่ได้รับอนุญาต เพราะรายนี้ก็โหดกับน้องกับนุ่งเหลือเกิน มันน่าน้อยใจจะตาย

"กูยัดเยียดอะไร มันอุตส่าห์แหกตาตื่นตั้งแต่เช้าเพื่ออาสาไปส่งมึงที่โรงเรียนนะฟ่อน ไม่เห็นใจบ้างเหรอวะ ขับรถมาตั้งไกล"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วใช้มือดันท้องผมให้ขยับตัวออกไปเพื่อจะปิดประตูรถแล้วเปิดประจกลงมาคุยกันแทน พี่อินมีความพยายามให้การจีบสูงก็จริง เพราะบ้านของเราอยู่กันคนอำเภอด้วยซ้ำ ออกหน้าออกตาจีบจนป๋ากับม๊ารู้ เชื่อเขาเลย! ทุกคนลืมไปแล้วเหรอว่าผมชอบพี่ปูนเนี่ย

"ฟ่อนไม่ได้ขอร้องพี่อินปะวะ ก็มาเอง จะเห็นใจไปทำไม"
ผมพูดก่อนจะย่นจมูกใส่พี่ทาร์ตแล้วเหลือบมองร่างสูงของใครบางคนที่ยืนพิงรถครอบครัวสีดำอยู่นอกรั้ว รอทำไมก็ไม่รู้ งานการไม่มีทำหรือไงกันนะ

"ทำไมมึงต่อต้านมันจัง กับคนอื่นที่เข้ามาจีบไม่เห็นพูดจาร้ายขนาดนี้ ขอเหตุผลหน่อยได้ปะ ถ้ามันดีพอกูจะบอกอินให้"
พี่ทาร์ตดึงชายเสื้อพละของผมให้โน้มตัวลงมาคุยกับแบบสบตา แต่แบบนี้ก็โกหกไม่ได้น่ะสิเลยปัดป่ายมือเขาออกแล้วขยับตัวออกห่างทันที

"....."
อย่าว่าแต่จะหาเหตุผลที่ไม่ชอบพี่อินมาบอกพี่ทาร์ตเลย เพราะเหตุผลคือที่บอกไปตอนต้นนั่นล่ะ... เรื่องจะโกหกก็คิดไม่ออกเลยได้แต่ยืนนิ่งๆ ทิ้งเวลาเดินไปเรื่อยๆ พอรู้ตัวแล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูถึงกับเบิกตาโต ฉิบหายแล้ว เจ็ดโมงครึ่ง!

"โอย สายแล้วๆ ฟ่อนไปโรงเรียนก่อนนะ"
ผมบอกลาพี่ทาร์ตแล้วรีบวิ่งไปหาสารถีชั่วคราวของตัวเองที่ยืนรออยู่นานแล้ว พี่อินขำเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพหัวฟูจากการวิ่งมา เหนื่อยก็เหนื่อย รีบก็รีบ ตลกอะไรนักหนาวะคนเรา

"หัวเราะอะไร แฮ่ก รีบขึ้นรถสิ ฟ่อนสายแล้วนะพี่อิน!"
ผมโวยใส่คนที่ยังยืนหัวเราะอยู่อย่างไม่ทุกข์ร้อน ดวงตาคมจ้องมองกันแบบสื่อความหมายก่อนจะยอมเดินไปขึ้นรถโดยไม่พูดอะไร ไม่อยากเสียเวลาตีความหรอก ไม่ได้เก่งการเดาใจคนขนาดนั้น

ผมขึ้นรถได้ก็รีบรัดเข็มขัดนั่งตัวตรงแล้วกอดกระเป๋าเป้ที่ปักตราโรงเรียนเอาไว้ พี่อินกำลังออกรถไปแบบไม่รีบร้อน อยากจะหันไปว้ากให้รถแตก ปกติตีนผีจะตายมาทำใจเย็นตอนคนอื่นรีบเขาเรียกกวน!

"พี่อิน... แกล้งเหรอ"
ผมหันขวับไปถามอีกคนที่ฮัมเพลงสบายอารมณ์ เขาหันมาเลิกคิ้วใส่กันเหมือนไม่เข้าใจ หน้าปัดแสดงตัวเลขดิจิตอลว่าความเร็วแค่หกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง แทบจะคลานสำหรับรถยนต์ ช่วงเช้าภูเก็ตก็จราจรติดขัดไม่แพ้กรุงเทพฯ นะเว้ย

"แกล้งอะไร ตอนแรกจะไปกับไอ้ทาร์ตไม่ใช่เหรอไง พี่ไปส่งก็บุญแล้ว"
พี่อินพูดด้วยเสียงราบเรียบไม่ได้ยี่หระว่าผมจะโกรธหรือเปล่า มันก็จริงของเขาที่พูดมาเพราะตั้งแต่ตอนกินข้าวก็โดนปฏิเสธอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมหลวมตัวมาด้วยอีกแน่ๆ แล้วตอนนี้คืออะไร นั่งจุ้มปุ๊กเป็นตุ๊กตาหน้ารถอยู่เนี่ย หน้าไม่อายแถมยังหงุดหงิดใส่เขาอีก

"สาบานว่าที่พูดมานี่จีบกันอยู่"
บ่นพึมพำกับตัวเองแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ไลน์หาเพื่อนว่าอาจจะไปโรงเรียนสาย ไม่คิดเลยว่าพี่อินหูดีขนาดนี้...

"ไม่ได้จีบ แค่จะเตือนสติให้รู้ว่าที่ทำอารมณ์เสียใส่กันแบบนั้นมันไม่สมควร"
พี่อินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ในความคิดของผมคือเขากำลังดุกัน เป็นผู้ชายที่มีเหตุผลและไม่ยอมใครทั้งนั้น แต่ก็ใจดีเกินกว่าใครๆ จะรู้ อย่าเช่นโดนปฏิเสธแต่ก็ยังรออยู่เป็นต้น

"รู้แล้ว แต่ฟ่อนรีบ ไม่อยากโดนตัดคะแนนความประพฤติ"
ผมบ่นโดยไม่มองหน้าพี่อิน ยอมรับว่าเขาน่ากลัวเวลาดุหรือไม่พอใจ ต่างกับไอ้อ้วนดำเมื่อหลายปีที่แล้วที่คอยจะเป็นลูกไล่กันอยู่เสมอ

"ได้ แต่ฟ่อนต้องขอโทษพี่ก่อน"
พี่อินพูดทั้งๆ ที่ตาคมยังจ้องมองถนนเบื้องหน้า ผมได้แต่เม้มปากเข้าหากัน หงุดหงิดจะตายอยู่แล้ว ทำไมต้องบังคับให้ขอโทษด้วย ไม่อยากพูดนี่ จะทำไมล่ะ ถึงจะกลัวแต่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก

"อะไรนักหนาวะพี่อิน จอดรถให้ฟ่อนขึ้นสองแถวไปเหอะ เรื่องเยอะ"
ผมกระแทกเสียงแล้วปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวทันที ถ้าหากว่าเขาจอดรถก็จะลง ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปโรงเรียนต่อให้ทันเวลาได้ยังไง เพราะรถสองแถวที่ว่ามานั้นขับช้ากว่าพี่อินอีกเถอะ แต่การอยากเอาชนะคนๆ หนึ่งมันทำให้ขาดสติได้จริงๆ

"แค่ขอโทษมันยากนักหรือไง ทำตัวก้าวร้าวกับผู้ใหญ่เหรอ"
น้ำเสียงไม่ได้ดุอะไร แต่ให้ความรู้สึกกดดันอย่างน่ากลัว ผมไม่ยอมแพ้ทั้งๆ ที่อาจจะทำให้เราทะเลาะกันได้ รู้ตัวว่างี่เง่า อยากเอาชนะบ้างไม่ได้หรือไง

"พี่อินบังคับฟ่อน"
ผมพูดก่อนจะหันไปมองใบหน้าด้านข้างของพี่อินที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว เขาทำแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงดุๆ

"แล้วใครผิดครับ"

"หึ..."
ครับ ผมผิดและไม่มีอะไรจะแก้ตัว สุดท้ายก็แพ้คนๆ นี้อีกแล้ว ตลอดหนึ่งเดือนที่กลับมาพบกันอีกครั้งทำให้รู้ว่าความเอาแต่ใจใช้กับคนๆ นี้ไม่ได้ผลเลย ถึงจะดุ จะเข้มงวด ไม่หวาน แต่สุดท้ายหัวใจก็สั่นไหวกับการกระทำสุดเบสิก ไปรับ ไปส่ง สอนการบ้าน พาไปกินข้าว พาไปเที่ยว ดูเหมือนพี่น้องทั่วไป ทำไมล่ะ... ทำไมถึงใจแข็งไม่ได้

"ไม่เถียงแล้วหรือไงเด็กน้อย"
น้ำเสียงกึ่งหยอกล้อแต่ไม่กวนตีนดังขึ้นในขณะที่รถติดไฟแดง พี่อินหันหน้ามามองกันพร้อมด้วยรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ยอมรับว่ามีเสน่ห์ดึงดูดให้ใครต่อใครลุ่มหลง รวมถึงตัวผมด้วยแต่ไม่อยากยอมรับ ไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเองเลย

"ทำไม เด็กแล้วไง ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องมาจีบดิ"
ผมพูดกลับไปแล้วทำใจกล้าจ้องตาพี่อินอย่างไม่ลดละ เขาคลี่ยิ้มบางก่อนจะเบือนหน้าหนีเมื่อรถคันด้านหน้าเริ่มเคลื่อนตัว

ทำไมอยู่ๆ ก็เกลียดรอยยิ้มอ่อนแรงของเขากันนะ

"ถ้ามันจีบยากจีบเย็นขนาดนี้ พี่อาจจะทำตามที่ฟ่อนขอในสักวันจริงๆ ก็ได้"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงสดใสแต่แววตาไม่ได้แฝงไว้ด้วยความสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว ทำไมพูดเหมือนว่าจะถอดใจล่ะ จีบมาแค่หนึ่งเดือนเองนะเว้ย...

"อืม ตามสบายเลยครับ"
ตอบกลับไปแบบนั้นด้วยปากที่หนักของตัวเองแต่แอบใจหายวาบ อยู่ๆ ก็ทำเป็นจะยอมแพ้ง่ายๆ เพราะคำพูดประชดประชันเล็กน้อยนี่น่ะเหรอ ไม่เห็นใจคนที่หวั่นไหวไปแล้วบ้างหรือไงกัน... พี่อินดุ พี่อินร้าย ฟ่อนเกลียดที่สุดเลย!

รถครอบครัวสีดำเคลื่อนตัวมาจอดเทียบริมฟุตบาทไกลจากประตูโรงเรียนเกือบยี่สิบเมตรเพื่อไม่ให้การจราจรติดขัด เหลือบมองนาฬิกาข้อมือก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงตรงแล้ว สุดท้ายก็สายจนได้ แต่ผมไม่โกรธพี่อินแล้วล่ะ ตอนนี้มีแต่ความคิดสับสนก็เท่านั้น

"เลิกเรียนกี่โมง"
พี่อินถามขึ้นในขณะที่ผมกำลังก้าวลงจากรถ มือเรียวกระชับสายสะพายกระเป๋าแล้วพาดไว้บนไหล่ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"หนึ่งทุ่มครับ วันนี้เรียนพิเศษ"
ผมตอบก่อนจะทำท่าปิดประตู แต่พี่อินก็สางเสียงห้ามกันเอาไว้ซะก่อน รีบก็รีบ ครูยืนมองจนแยกเขี้ยวใส่แล้วเนี่ย อะไรนักหนาวะคนเรา

"เดี๋ยวสิ"

"อะไรอีกล่ะครับ ครูจะกินหัวผมอยู่แล้ว"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดแต่พยายามไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้า กลัวจะโดนเทศน์อะไรยืดยาวอีก ตอนนี้แทบจะวิ่งไปกอดขาครูเวรหน้าประตูรั้วอยู่แล้ว ส่งสายตากดดันมาให้ไม่พอเสียงเพลงชาติยิ่งตอกย้ำว่าผมโดนหักคะแนนความประพฤติแน่ๆ

"เลิกเรียนจะมารับ ห้ามหนีไปไหน"
พี่อินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ก็อุตส่าห์คลี่ยิ้มบางส่งมาให้กัน ผมพยักหน้าไปส่งๆ เพราะไม่มีเวลาจะเถียงด้วยแล้วรีบปิดประตูรถวิ่งไปหาครูเวรทันที

ปกติแล้วหลังเลิกเรียนผมจะชอบหนีพี่อินกลับรถเมล์ไม่ก็ให้เพื่อนไปส่งที่บ้านตลอด ก็เขาชอบพาไปกินข้าวที่ร้านบรรยากาศโรแมนติก... แถมยังดูแลเอาใจใส่ดิบดี กลัวใจตัวเองจะหวั่นไหวหนักขึ้นๆ เลยอยากตีตัวออกห่าง แต่วันนี้เหตุสุดวิสัยไม่มีเวลาเถียงจริงๆ ช่างมันเถอะ อะไรจะเกิดก็เกิดเพราะผมขี้เกียจจะหนีแล้ว

ตอนนี้โรงเรียนเลิกแล้วแต่ผมกับเพื่อนยังเตร็ดเตร่อยู่แถวๆ ร้านอาหาร กว่าจะเริ่มเรียนพิเศษก็ตั้งห้าโมงเย็นขอหาอะไรกินก่อนดีกว่า

"ฟ่อนกินไรดีวะ"
เพื่อนสนิทเอ่ยปากถามเมื่อพวกเราตกลงกันไม่ได้ว่าจะกินอะไรเป็นมื้อเย็น ผมกรอกตามองซ้ายทีขวาทีก่อนจะตัดสินใจชี้มั่วๆ ไปที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง ตอนนี้ขี้เกียจจะคิดอะไรเพราะเผลอเหลือบสายตาไปเห็นใครบางคนที่ตามตอแยกันตั้งแต่เปิดเทอมวันแรก เด็กวิทยาลัยใกล้ๆ นี่ล่ะ

"แน่ใจว่าจะกินร้านนั้น"
ใครบางคนถามขึ้น ผมรีบพยักหน้าแล้วดันหลังพวกมันให้เดินเข้าไปในร้านทันที เพราะเหมือนกับอีกฝ่ายกำลังจะตรงมาทางนี้ ซึ่งมันไม่ดีแน่ๆ ไม่อยากเป็นข่าวลงบอร์ดโรงเรียนสักเท่าไหร่ อาย

"รีบไปไหนวะมึง"

"ไอ้ป๊อป"
บอกชื่อคนที่ตามตอแยตัวเองแค่นั้นทุกคนก็รีบก้าวเท้าเข้าไปในร้านโดยไม่อิดออดทันที ใครๆ ก็รู้ว่า 'ป๊อป' นิสัยเถื่อนมากแค่ไหน หล่อก็ไม่ช่วยอะไรว่ะ

เลิกเรียนพิเศษผมก็รีบก้าวเท้ายาวๆ ไปที่รถครอบครัวคันสีดำแทบจะทันทีเพราะเลทมาเกือบสิบนาทีที่ปล่อยให้พี่อินรอ แต่จนแล้วจนรอกใครบางคนก็โผล่ออกมาจากมุมอับแล้วคว้าข้อมือกันไว้แน่น ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้านั้นชัดๆ ฉิบหายจริงๆ ก็คราวนี้ล่ะ...

"จะรีบไปไหนล่ะน้องฟ่อน"
ป๊อปพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นก่อนจะออกแรงกระตุกข้อมือของผมจนถลาเข้าไปหาอกแกร่งแบบไม่ทันตั้งตัว พยายามขัดขืนแต่สุดท้ายก็แพ้แรงควายๆ ของมัน เพราะขนาดร่างกายต่างกันเกินไป เสียเปรียบสุดๆ ที่เกิดมาตัวเล็กแถมยังผอมอีก

"จะทำอะไรวะ ปล่อยเลยนะไอ้เชี่ยป๊อป"
ผมโวยวายเสียงดังแต่ก็โดนมือหยาบๆ ยกขึ้นปิดปากเอาไว้ แขนแกร่งอีกข้างล็อกเอวไว้อย่างแน่นหนา ตอนนี้ความกลัวแทบจะทำให้ขาดสติ ได้แต่ภาวนาในใจว่าพี่อินจะเห็นสภาพของผมบ้าง

"จีบดีๆ ไม่ชอบ ปล้ำซะดีไหม หืม"
เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหูชวนให้รู้สึกขยะแขยงจนต้องเบี่ยงหน้าหลบเท่าที่จะสามารถทำได้ พยายามดิ้นจนสุดชีวิตก็ไม่เป็นผล ปลายจมูกที่แตะลงมาบนซอกคอนั้นส่งผลให้ขอบตาร้อนผ่าว ผมกำลังจะร้องไห้ โคตรแย่ พี่อินแม่ง... ไม่สนใจกันเลย

"ทำอะไรวะ!"
ตอนที่กำลังจะหลับตาลงเพราะไม่สามารถหาทางออกให้ตัวเองได้นั้น เสียงที่คุ้นเคยและผมชอบบ่นอยู่เสมอว่ามันน่ารำคาญกลับฟังดูแล้วอุ่นใจในตอนนี้ พี่อินก้าวลงมาจากรถด้วยใบหน้าเคร่งเครียดที่สามารถมองเห็นได้จากแสงสลัว ไอ้ป๊อปชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะปล่อยมือออกจากปากผมแต่ยังไม่ยอมปล่อยออกจากอ้อมแขน

"เป็นใครครับ อย่ายุ่งเรื่องคนอื่นดีกว่าน่า"
ไอ้ป๊อปพูดด้วยเสียงยียวนแล้วกระชับอ้อมแขนมาขึ้นกว่าเก่า ผมยกขากระแทกกลางลำตัวของมันแล้วกำหมัดต่อยหน้าไปหนึ่งครั้งตอนที่มันเผลอมัวแต่คุยกับพี่อิน ได้จังหวะก็รีบวิ่งไปหาคนที่ยืนทำหน้ายักษ์อยู่ ตอนนี้ไม่คิดว่าเขาน่ารำคาญอีกแล้ว

"ฟ่อน!! ต่อยกูเหรอวะ"
ไอ้ป๊อปตะโกนด้วยเสียงเกรี้ยวกราดแล้วย่างสามขุมเข้ามาเรื่อยๆ พี่อินดึงข้อมือให้ผมไปยืนอยู่ด้านหลัง ในเวลานี้ความรู้สึกหวั่นไหวเพิ่มขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ คล้ายๆ นางเอกในละครหลังข่าวเลยว่ะกู ทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายแต่ต้องให้คนอื่นปกป้อง แย่ว่ะ

"ทำไมจะยุ่งไม่ได้ ในเมื่อฟ่อนเป็นคนของผม"
พี่อินพูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง มือหนาเลื่อนมากุมมือกันไว้ราวกับจะบอกว่าเขาจัดการเรื่องตรงหน้าเอง ผมก็ไม่ได้คิดเถียงอะไรแต่แค่ตกใจที่โดนแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแบบนั้น ไม่รังเกียจแต่หน้าร้อนวูบ ทำไงดี...

"เป็นพี่ชายหรือพ่อมันล่ะ"
ไอ้ป๊อปยังคงกวนตีนไม่เลิก ผมอยากจะด่าว่าถ้าพอกูเด็กขนาดนี้ก็แปลกแล้ว ถามวอนโดนถีบไหมล่ะ แต่พี่อินมีคำตอบที่เด็ดกว่าจนผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ

"เป็นผัวครับ ชัดหรือยัง คราวหน้าอย่ามาวุ่นวายกับคนของผมอีก"
ชัดจนอยากจะกระโดดงับหัว พี่อินกล้าใช้คำว่าผัวได้ยังไงกันวะ แค่บอกว่าแฟนก็พอไหม เล่นพูดแบบนี้ผมเสียหายนะเว้ย อย่าเอาความซิงคนอื่นมาล้อเล่นนะ แบบนี้ต้องรับผิดชอบรู้ไหม!

"ไหนบอกว่าโสดวะฟ่อน หลอกให้ตามจีบอยู่ได้ เหี้ยเอ้ย"
ไอ้ป๊อปสบถด่ากันก่อนจะทึ้งหัวตัวเองแรงๆ ดูท่าทางอารมณ์เสียมาก ผมรู้ว่ามันจริงจังแต่ด้วยนิสัยเหี้ยๆ ชอบกร่าง ชอบบังคับ ไม่มีความเกรงใจ เจ้าชู้ เลยทำให้คนๆ นี้ไม่น่าสนใจอย่างมาก

"ใครหลอกวะ มึงตามจีบกูเองเถอะ อย่ามาใส่ความคนอื่น"
ผมบอกไอ้ป๊อปออกไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด จะมากล่าวหากันแบบนี่ได้ยังไง ในเมื่อไม่เคยหลอกอะไรมันสักนิดเดียว ไอ้เรื่องที่บอกว่าไม่มีแฟนมันคือความจริงนี่ แต่ไม่ได้เต็มใจหรือเปิดโอกาสให้จีบเลยสักครั้ง ใครผิดเหรอเรื่องนี้ อยากถามจริงๆ

พี่อินบีบมือผมแน่นแล้วหันมามองกันด้วยสายตาคาดโทษเพราะพูดคำไม่สุภาพออกไปอาจจะทำให้ไอ้ป๊อปเดินเข้ามาหาเรื่องเราทั้งสองคน แต่ผมรู้นิสัยมันดีว่าถ้าประเมินสถานการณ์แล้วตัวเองมีสิทธิ์ชนะน้อยก็จะไม่ทำนิสัยกร่างเกินจำเป็น ก็เล่นขนาดตัวต่างกันอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้... ใครจะกล้าหือวะ

"ถ้าอยากเขี่ยฟ่อนทิ้งเมื่อไหร่บอกด้วยนะ รออยู่ว่ะ"
แต่ไอ้ป๊อปไม่ได้แคร์เลยว่าคำพูดของพี่อินจริงจังแค่ไหน มันยังคงใช้สายตาโลมเลียร่างกายผม ปฏิเสธแทบตายแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผล ขนาดเขาออกตัวว่าเป็นผัว... ยังไม่สะทกสะท้าน

"เสียใจด้วยนะครับ เพราะผมไม่มีวันทิ้งเขา"
พี่อินพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม หน้าตาจริงจังมากกว่าครั้งไหนๆ ดูแน่วแน่มากกว่าตอนจีบกันอีก ถึงสถานการณ์มันหน้าสิ่วหน้าขวานขนาดไหน ผมก็ยังหวั่นไหวและเผลอยอมรับหัวใจตัวเองไปแล้วว่าชอบเขา... กลืนน้ำลายตัวเองจนได้ แม่ง

"หึ จะคอยดู"
ไอ้ป๊อปชี้นิ้วมาที่เราสองคนแล้วแสยะยิ้มปิดท้ายคำพูดก่อนจะเดินหายไปอีกทางหนึ่ง พี่อินถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วกันกลับมาสบตากับผมที่ยังคงยืนควบคุมจังหวะหัวใจตัวเองไม่ให้เต้นแรง ดวงตาคมมองสำรวจไปตามร่างกายคล้ายกับว่าจะหาร่องรอยช้ำที่โดนไอ้ป๊อปทำร้าย

"เจ็บตรงไหนหรือเปล่าฟ่อน"
น้ำเสียงนุ่มถามขึ้นทำให้ผมต้องโถมตัวเข้าไปกอดเขาทันที ไม่รู้เพราะอะไรถึงอยากได้รับไออุ่นจากพี่อิน ขอบตาที่เคยร้อนผ่าวในตอนนี้กลับมาน้ำตาไหลลงมาเล็กน้อย

"ไม่เจ็บ... แต่ตกใจ"
ผมตอบออกไปด้วยน้ำเสียงอู้อี้เพราะใบหน้าซบลงบนไหล่อีกคน พี่อินโอบแขนรอบเอวเพื่อกอดตอบกันไว้หลวมๆ ก่อนจะโยกตัวไปมาเหมือนเวลาปลอบเด็กตัวเล็กๆ ถึงมันจะดูปัญญาอ่อนแต่ผมชอบนะ ชอบมากด้วยเพราะเขาเป็นคนทำมัน

"ไม่เป็นไรนะ ปลอดภัยแล้ว"
มือใหญ่ลูบหัวกันอย่างอ่อนโยน ไม่มีคำปลอบที่ไพเราะอะไรแต่แค่นั้นก็ทำให้ผมอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ พี่อินชนะแล้ว เขาทำสำเร็จในเวลาแค่หนึ่งเดือน ไม่ต้องจีบให้เอิกเกริกแต่ใช้วิธีค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในชีวิต คล้ายๆ กับที่พี่ทาร์ตทำ ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันมาได้เกือบยี่สิบปี

"อือ ขอบคุณนะพี่อิน"
ผมตอบกลับไปก่อนจะผละตัวออกมาแล้วใช้มือเช็ดใบหน้าที่ทั้งมันและเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาทิ้งลวกๆ พี่อินโคลงศีรษะเล็กน้อยก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปทางรถครอบครัวที่จอดแน่นิ่งรอเราทั้งสองคนนานแล้ว

"ครับๆ ขึ้นรถแล้วไปหาอะไรกินกันเถอะ ไส้กิ่วแล้วเนี่ย"
พี่อินพูดติดตลกก่อนจะให้แขนแกร่งพาดลงมาบนไหล่กันแล้วดันให้ผมเดินเคียงคู่ไปกับเขา วันนี้จะไม่ต่อต้านและยอมเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่เป็นการตอบแทนที่เขาช่วยเหลือก็แล้วกัน

"อื้อ"

ผ่านไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ที่ผมทำตัวเป็นเด็กดีไม่หือไม่อือไม่หนีเวลาที่พี่อินมารับไปส่งที่โรงเรียนจนตอนนี้โดนพี่ทาร์ตเรียกคุยเพราะรู้สึกว่าน้องชายตัวเองแปลกไป ดูเหมือนจะห่วงความรู้สึกเพื่อนสนิทมากกว่าอีก... เซ็งสุดๆ

"ถามจริง ทำไมช่วงนี้ทำตัวเป็นเด็กดีกับไอ้อินจังวะ กูพลาดอะไรไปหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตนั่งเท้าคางมองผมในขณะที่พวกเรากำลังนั่งผ่อนคลายอยู่ริมสระน้ำ วันนี้พี่ปูนออกไปทำรายงานกับเพื่อนเลยทำให้พี่ชายว่างมานักซักฟอกกัน คิดอยากจะเบี่ยงเบนเปลี่ยนเรื่อง แต่เชื่อว่าเขาคงไม่ยอมหรอก ห่วงเพื่อนจะโดนปั่นหัวจะตาย หึ

"ปลง ขี้เกียจจะหนีแล้ว"
ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะไหวไหล่ทำเหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป ใครจะบอกกันตรงๆ ล่ะว่าตกหลุมที่พี่อินตกไว้แล้ว อายแย่ ยิ่งพี่ทาร์ตเป็นพวกชอบแซวอีก ไม่ไหวๆ

"ขี้เกียจจะหนีหรือชอบไอ้อินแล้ว ตอบให้ดีๆ"

"ก็ตอบดีแล้วไง ขี้เกียจก็คือขี้เกียจดิพี่ทาร์ต ต้องการอะไรจากฟ่อนเนี่ย"
ผมแสร้งทำเสียงหงุดหงิดแล้วหยิบมันฝรั่งทอดใส่ปาก พี่ทาร์ตจ้องมองกันไม่วางตาก่อนจะเอื้อมมือใหญ่มาผลักหัวกัน  เอะอะก็ทำร้ายร่างกาย เอะอะก็ด่า สาบานว่านี่น้องไม่ใช่ทาส! คนมันสองมาตรฐานจนน่าหมั่นไส้ พอกับพี่ปูนเอาใส่อย่างนั้นอย่างนี้ หึ

"โกหก นิสัยอย่างมึงน่ะนะจะยอมใครง่ายๆ ชอบไอ้อินแล้วก็บอก อย่าทำปากแข็ง"
พี่ทาร์ตเหล่สายตามองกันอย่างจับผิด ผมได้แต่เบนสายตาหนีไปทางอื่น เขารู้จักนิสัยน้องชายตัวเองดีทั้งๆ ที่ชอบทำตัวไม่สนิทด้วย แต่ความจริงแล้วคือคนที่เข้าใจกันมากกว่าใคร เพราะแบบนี้เลยเกลียดที่โดนซักฟอกจากพี่ชาย หลีกเลี่ยงไม่ได้ โกหกยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่

"ถ้าชอบพี่อินแล้วไม่บอกใครมันจะทำไมอะ"
ผมถามเป็นการหยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงกวนๆ ให้อีกคนรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้จริงจังอะไร ดวงตากลมทอดมองน้ำสีฟ้าในสระแล้วพาลคิดถึงใบหน้าของพี่อิน เมื่อวานเพิ่งแกล้งผลักกันที่ตรงนี้ เปียกกันทั้งคู่

"หึ มึงก็รู้อยู่แก่ใจหรือเปล่าว่าไอ้อินมันเสน่ห์แค่ไหน สาวๆ ตอมอย่างกับขี้"
พี่ทาร์ตพูดติดตลกแต่มันคือความจริงที่เพื่อนสนิทของเขาเสน่ห์แรง ก็ดีกรีนายแบบเก่านี่นะ เรื่องแบบนี้มันห้ามได้ที่ไหน แอบหวั่นใจนะถ้าตัวเองยังปากแข็งแบบนี้ แต่ถ้าชอบถ้ารักกันจริงต้องไม่ใจง่ายกับคนอื่นสิ จริงไหม

"ก็งั้นๆ ล่ะน่า ถ้าพี่อินชอบฟ่อนจริงต้องรอได้สิ"
ผมพูดก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจไปมา เหลือบสายตามองนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วแอบยิ้มกริ่ม ใกล้ถึงเวลานัดออกไปข้างนอกกับใครบางคนแล้วสิ ทั้งๆ ที่ผ่านมาก็ไปกินข้าวด้วยกันบ่อย แต่ครั้งนี้รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ 'เดทครั้งแรกอย่างเป็นทางการ'

"ตามใจมึง ถ้าวันไหนอกหักอย่ามางอแงใส่แล้วกัน มันน่ารำคาญ"
ตามสไตล์พี่ทาร์ตคือปากร้ายแต่ใจดี ถึงเวลาผมอกหักขึ้นมาจริงๆ ก็คอยปลอบกัน ถึงไม่มีถ้อยคำสวยหรูแต่การอยู่ข้างๆ กันก็มากเกินพอแล้วกับพี่น้องสายเถื่อนอย่างเรา

"ร้ายกับน้องตลอด"
ผมบ่นเสียงอุบอิบแต่ก็แอบระบายยิ้มบางๆ ในคำพูดทำร้ายจิตใจนั้นมันแฝงความห่วงใยไว้เต็มๆ พี่ทาร์ตทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นมาโบกหัวกันแต่ต้องชะงักเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เดาได้ไม่ยากคงเป็นพี่ปูนโทรมา ก็แหม... ปากจะฉีกถึงหูแล้วคนเรา หมั่นไส้

"โอเคๆ รอยี่สิบนาที เดี๋ยวไปหา"
พี่ทาร์ตพูดกับคนปลายสายด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนจะกดวางสายแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ดูท่าทางพี่ปูนคงชวนไปกินข้าวเที่ยงด้วยแน่ๆ ก็งี้ล่ะนะ คนกำลังมีความรัก อะไรๆ ก็ดูสดใสไปซะหมด น่าอิจฉาจริงๆ

"กูออกไปกินข้าวกับปูนนะ แล้วมึงล่ะจะไปด้วยไหม"
พี่ทาร์ตหันมาถามกันด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง เนื่องจากป๊ากับม๊าออกไปงานสังสรรค์อะไรสักอย่าง แม่บ้านก็ลาหยุด ผมส่ายหน้าก่อนจะคลี่ยิ้มสดใสแล้วตอบกลับไป

"เดี๋ยวมีคนมารับ ไม่ต้องห่วง"
พูดจบก็ขยิบตาให้ไปทีนึง พี่ทาร์ตเบ้ปากใส่ก่อนจะยกมือขึ้นโบกลา แถมยังบอกว่าขากลับจะซื้อชีสเค้กญี่ปุ่นกลับมาฝาก ดูเถอะคนเรา ปากร้ายใจดีตลอดนั่นล่ะ

นั่งรอไม่ถึงยี่สิบนาทีหลังจากพี่ทาร์ตออกไป เสียงรถยนต์อีกคันก็ขับมาจอดที่หน้าประตูรั้ว ผมลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะเดินออกไปจากประตูรั้ว พี่อินลดกระจกลงแล้วส่งยิ้มหวานมาให้กัน อากาศร้อนทำไมอารมณ์ดีนักนะคนเรา

"พร้อมไปเดทแล้วหรือไง"
เขาถามด้วยน้ำเสียงทะเล้นแต่ผมกลับหน้าร้อนอย่างห้ามไม่ได้จนตกยกมือขึ้นมาพัดๆ

"ถามมากน่า ร้อนจะตายแล้ว ปลดล็อกประตูไวๆ เลย"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะพี่อินไม่ยอมปลดล็อกประตูให้ เขามัวแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่แยแสว่าคนด้านนอกจะร้อนสักแค่ไหน เหงื่อเริ่มออกแล้วนะเว้ย ไม่อยากมีกลิ่นนะ!

"สงสัยจะร้อนจริง แก้มแดงมาก"
พี่อินยังไม่หยุดแซวกันจนผมอยากจะเอื้อมมือไปต่อยหน้าสักที ทำไมชอบแกล้งกันนักนะ ไม่น่าเป็นเด็กดีเลยให้ตายเถอะ ต่อไปในอนาคตถ้าเป็นแฟนกันจะไม่แหย่ผมเช้ากลางวันเย็นเหรอไง

"อือ! เร็วๆ สิ"
ย่นจมูกใส่ไปก่อนจะกระโดดโหยงๆ เร่งคนด้านในให้เปิดประตูสักที ได้ขึ้นรถเมื่อไหร่จะฟาดให้สักทีโทษฐานปล่อยให้ผมยืนตากแดด

"ครับๆ คุณหนู"
เสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นก่อนที่มือหนาๆ จะเอื้อมไปกดปลดล็อกประตูให้กันด้วยใบหน้าระรื่น ผมรีบพุ่งขึ้นรถโดยไม่รอช้าแล้วฟาดมือลงไปบนต้นแขนแกร่งด้วยความหมั่นไส้ แต่แทนที่เขาจะร้องโวยวายกลับมองหน้ากันด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ วันนี้ชีวิตของผมคงไม่ปลอดภัยแล้วล่ะ... ฮือ




ต่อด้านล่างเนอะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 14 -P.3- (07/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 07-05-2017 19:46:21
เดทครั้งแรกของพวกเราทั้งสองคนไม่ได้มีอะไรแปลกแตกต่างจากคู่อื่นอะไร กินข้าว ดูหนัง เดินทอดน่องดูนั่นชมนี่ไปเรื่อย แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจถึงพองโตได้ถึงเพียงนี้ ผมไม่อยากยอมรับว่ากำลังมีความสุข แต่มันเลี่ยงไม่ได้จริงๆ จนต้องก้มหน้าก้มตามองมือตัวเองตลอดทางที่เรานั่งรถกลับบ้าน ถ้าเหลือบมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนสวยที่ถูกสวมใส่อยู่จะพบว่าตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว... ยังไม่อยากจากกันเลย ถึงแม้ว่าวันถัดไปพี่อินจะมารับกันอยู่ดีก็เถอะ

หลังจากนี้พี่อินต้องไปทำงานที่ร้านอาหารกึ่งบาร์ แม่ง ใครใช้ให้มีเงินเปิดกิจการแบบนั้นวะ สาวๆ รุมตอมอย่างกับขี้ทุกวัน ผมก็หวงเป็นแต่ไม่แสดงออกแค่นั้นเอง จะบอกว่าชอบเขาเข้าแล้วตรงๆ ก็กระดากปาก เคยพูดไปหลายรอบว่าไม่มีทางหลงกลแน่ๆ สุดท้ายเป็นไงล่ะ... แพ้เขาหมดทุกทาง

“ก้มมองมือตัวเองไม่เมื่อยคอบ้างหรือไง”
เสียงทุ้มเอ่ยถามกันเมื่อเจ้าตัวสังเกตมาสักพักว่าผมเอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาตลอด ตอนนี้นอกจากความรู้สึกเขินแล้วยังมีความรู้สึกกังวลเข้ามาร่วมด้วย ปากอยากจะห้ามแต่รู้ว่านั่นคืองานที่พี่อินต้องทำ ลำบากเนอะ หลวมตัวไปชอบคนหล่อเนี่ย อยากวิ่งโล่ไปหาพี่ปูนแล้วถามเคล็ดลับการหักห้ามใจตัวเองไม่ให้หึงหวงจัง

“ไม่นี่ แล้วต้องไปที่ร้านต่อเหรอ”
ผมออกปากถามก่อนจะเงยหน้าขึ้นเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของสารถีส่วนตัวในเวลานี้ เขาเหลือบมองกันเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเป็นการตอบรับ

“ใช่ วันนี้ต้องขึ้นไปร้องเพลงด้วย ลูกค้าขอมาเป็นกรณีพิเศษ”
พี่อินตอบด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อย ดูท่าทางไม่ค่อยพอใจที่โดนขอร้องแบบนั้น ก็ในเมื่อเจ้าตัวขี้อายเรื่องการร้องเพลงจะตายไป แต่ที่จำใจยอมทำคงเพราะลูกค้าวีไอพีหรือมีความสำคัญกับเจ้าตัวมากล่ะมั้ง แค่คิดก็รู้สึกใจแป้วแล้ว

“ทำไมอะ เป็นเจ้าของร้านต้องร้องเพลงด้วยเหรอ”
ผมถามด้วยน้ำเสียงกวนๆ พยายามไม่จริงจัง ไม่อยากให้เขาจับความรู้สึกที่ผมกำลังมีอยู่ตอนนี้ได้เลย ไม่ใช่ว่าอยากปิดบังอะไร แต่ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าพี่อินจะชอบเด็กกะโปโลอย่างนี้จริงๆ ตัวเลือกของเขามีทั้งผู้หญิงผู้ชายพร้อมเสนอตัวนับสิบ... อาจจะเห็นผมเป็นของเล่นหรือเปล่านะ

“วันเกิดลูกค้าวีไอพี”
พี่อินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่ใส่ใจลูกค้ารายนี้สักเท่าไหร่ ผมได้แต่พยักหน้าเพราะไม่รู้จะถามอะไรต่อ ถ้าขอตามไปที่ร้านด้วยก็คงไม่ได้ ก็เป็นแค่เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแถมยังมีเรียนตอนเช้าอีก จะเอ่ยปากขอร้องพี่ทาร์ตกับพี่ปูนก็ใช่เรื่อง ปล่อยพวกเขาอยู่ในโลกสีชมพูไปเถอะ อีกไม่นานก็ต้องห่างกันเพราะอีกคนมีเรียนซัมเมอร์ที่เกาหลี

“ฟ่อน...”
รถเคลื่อนมาถึงหน้าประตูรั้วพร้อมกับเสียงทุ้มเรียกชื่อกันทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเองกลับสู่โลกของความเป็นจริง ต้องบอกลากันแล้วสินะสำหรับค่ำคืนนี้... เฮ้อ ความสุขมักผ่านไปไวเสมอ

“ขอบคุณครับ สำหรับวันนี้”
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเบาหวิวแล้วปลดสายเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว ขาด้านซ้ายกำลังจะก้าวลงจากรถแต่ต้นแขนกลับถูกพี่อินใช้มือใหญ่รั้งกันเอาไว้ซะก่อน ดวงตาคมกำลังจ้องมาทางนี้อย่างมีความหมาย แต่มันแปลความหมายได้ยากเหลือเกิน ผมมันยังเด็ก ไม่สามารถเดาความคิดใครออกขนาดนั้นหรอก

“มีอะไรหรือเปล่า”
ผมถามกลับไปแล้วมองมือใหญ่ที่รั้งแขนกันสลับกับใบหน้าหล่อเหลาของพี่อินอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ยอมปล่อยกันสักที ต้องรีบไปที่ร้านไม่ใช่หรือไง มาเสียเวลากับเด็กกะโปโลแบบนี้เดี๋ยวก็เสียงงานเสียลูกค้าหรอก เขาขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะจ้องมาด้วยสายตาสั่นไหว ปากหยักเม้มเข้าหากันครู่หนึ่งแล้วคลายออกเหมือนคนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างจบแล้ว

“ถ้ารั้งกันสักคำ พี่จะไม่ไปที่ร้าน”
ถ้อยคำแผ่วเบาหลุดออกมาจากริมฝีปากหยักพร้อมกับแรงบีบที่ต้นแขนเพิ่มขึ้น ผมเบนหลบดวงตาคมแทบจะทันทีเพราะรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนวาบขึ้นมาเฉยๆ ทำไมรู้สึกว่าพี่อินกำลังอ้อนขอความสนใจจากผมอยู่กันนะ อยากให้แสดงอาการหึงหวงออกไปหรือยังไงนะ

“ฟ่อนมีสิทธิ์อะไรไปรั้งพี่อินล่ะ นั่นลูกค้าวีไอพีนะ”
ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาไม่แพ้กัน ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาพี่อินจริงๆ ในตอนนี้ กลัวว่าจะเจอสายตาของลูกหมาตัวน้อยที่ชอบใช้อ้อนเจ้าของเวลาต้องการอะไรบางอย่าง ไม่ชินกับเขาในโหมดนี้เลย โหมดที่สามารถทำให้ใครต่อใครยอมแพ้ได้ง่ายๆ

“สิทธิ์ของคนที่พี่ชอบและกำลังจีบอยู่”
พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังและแฝงไปด้วยความหนักแน่น ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รดลงมาบนใบหน้า ผมผละตัวหนีจนหลังชนกับประตูรถ รู้สึกว่าอุณหภูมิสูงขึ้นหรือเปล่านะ ทำไมเหงื่อออกวะ ใจเต้นแรงด้วยสิ พี่อินจะได้ยินหรือเปล่า

“ถ้ารั้งแล้วจะไม่ไปจริงๆ หรือไง นั่นงานของพี่อินนะ”
พูดเสียงอ้อมแอ้มก่อนจะควานมือสะเปะสะปะดันหน้าอกแกร่งของพี่อินให้ขยับออกห่าง ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ หลุดออกมาเลยทำให้ผมหันขวับไปจ้องตาเขาอย่างเอาเรื่อง แต่กลับโดนฮุกหมัดใส่เต็มๆ กับคำพูดประโยคถัดไป

“ก็แค่ลูกค้าคนเดียว พี่ไม่ได้ถวายหัวให้กับงานขนาดนั้น แต่กับฟ่อนพร้อมถวายใจและตัวให้เลย”

“ไอ้บ้า... ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ห้ามไปที่ร้านนะ ฟ่อนขอร้อง”
ด่าเขาในต้นประโยคแต่ท้ายอ้อนจนรู้สึกอาย อยากเอาหน้ามุดหนีที่ไหนสักแห่งเมื่อพี่อินคลี่ยิ้มกว้างขึ้นแทบจะทันที ไม่น่าเลย ไม่น่าหลุดปากห้ามเขาไปแบบนั้นเลย เมื่อไหร่จะหยุดแสดงออกให้เขารู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง อยากแสดงบทคนปากแข็งต่อเพื่อลองใจอีกสักหน่อย แต่คงไม่มีโอกาสแล้วล่ะ ความแตก

“หึหึ ได้ครับ น่ารักจัง”

“อะไรเล่า ปล่อยเหอะ จะเข้าบ้านแล้ว พี่ทาร์ตชะเง้อจนคอเป็นกะเหรี่ยงแล้วนั่น”
ผมยืดตัวขึ้นแล้วจิ้มลงไปบนกระจกรถให้ดูพี่ชายตัวเองพี่ยืนรออยู่ตรงประตูรั้ว คล้ายๆ กะเหรี่ยงจริงๆ นั่นล่ะ คงยืนด่ากันด้วยสินะว่าทำไมไม่ยอมลงจากรถสักที คนเรามันก็ต้องล่ำลากันบ้างเป็นธรรมดา


“โอเคๆ พรุ่งนี้จะมารับไปโรงเรียนนะ”
พี่อินพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยอมปลดล็อกประตูให้กัน

“อื้อ... กลับบ้านดีๆ”
ผมหันไปยิ้มให้แล้วบอกลาอีกรอบก่อนจะก้าวลงมาจากรถ เหลือบเห็นพี่ทาร์ตที่ปลายสายตากำลังยืนแยกเขี้ยวอยู่ สงสัยยุงคงรุมกัด ในตอนที่กำลังจะปิดประตูรถ พี่อินก็อ้าปากพูดอะไรบ้างอย่างธรรมดาๆ ออกมาแต่ทำให้คนฟังรู้สึกดี

“ฝันดีครับ”

“อื้อ... เหมือนกัน”

กลัวว่าคืนนี้จะนอนไม่หลับแทนน่ะสิ




-------------------------------------------------------


พาร์ทนี้มอบให้ความหวานของน้องฟ่อนกับพี่อินคนดี(?) เลย

ปล. ขอบคุณทุกคนที่อวยพรวันเกิดเราน้า แล้วก็ขอบคุณที่คอยติดตามอ่านกัน
จริงๆ แล้วอยากอ่านความคิดเห็นของทุกคนที่อ่านเรื่องนี้น้า 555555
แต่ไม่เป็นไร เราเข้าใจ ขอให้ตามอ่านจนจบและติดตามกันไปเรื่อยๆ ก็พอ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 14 -P.3- (07/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 07-05-2017 21:32:37
คู่นี้เร็วเวอร์  5555  o13 o13
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 14 -P.3- (07/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: gookgik ที่ 08-05-2017 13:25:42
ดีใจแทนพี่อินที่จีบน้องฟ่อนติด พี่อินรักมั่นคงมาก  อยากอ่าน พาร์ทของพี่อินทำไมถึงได้นึกรักฟ่อนที่ยังอายุน้อย  หรือหวังเลี้ยงต้อย 555

พี่ทาร์ตปากบอกยกน้องให้เพื่อน แต่ก็มีแอบหวงน้องอยู่เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 15 -P.3- (12/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 12-05-2017 21:21:44
(http://i.imgur.com/bg5pQru.png)


สูตรที่ 15

Kiwi Mousse
: กีวี่เขียว/วิปปิ้งครีมชนิดผง/น้ำเย็นจัด/ผลไม้ตกแต่ง :

Tart's Part



ในตอนนี้ผมมีความรู้สึกว่ากีวี่มูสที่ตัวเองเพิ่งทำเสร็จไปหมาดๆ เมื่อหลายนาทีก่อนไม่อร่อยเลย ทั้งๆ ที่ก็ทำตามสูตรเป๊ะๆ เหมือนทุกครั้ง อาจจะเพราะไม่มีสมาธิหรือมัวแต่เหม่อคิดถึงใครบางคนที่หนีไปเรียนซัมเมอร์ไกลถึงเกาหลี แค่นึกถึงก็ต้องถอนหายใจอีกระลอก

ผมทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วแนบหน้าลงกับท่อนแขนที่พาดยาวไปตามโต๊ะ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพ่นออกมาแรงๆ ทำแบบนี้วนไปวนมาอยู่หลายรอบจนรู้สึกว่ามีใครบางคนยืนค้ำหัวกันอยู่ เหลือบสายตาขึ้นมองก็เจอเข้ากับใบหน้าหวานๆ ของน้องชายที่ยิ้มกริ่มราวกับมีความสุขนักหนา เห็นแล้วหมั่นไส้ว่ะ

"ยิ้มอะไรนักหนา"
ผมถามน้องด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ เพราะรู้สึกว่าพักนี้มันจะมีอะไรปิดบังอยู่ แต่ด้วยความที่เป็นพี่ชายเลยพอเดาออกว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องไอ้อินหรอก ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่นจริงๆ พวกปากตรงกับใจทำอะไรก็ดีไปซะหมด อิจฉาเพื่อนชะมัด

"คนมีความสุขก็ต้องยิ้มเป็นธรรมดาดิ แล้วพี่ทาร์ตจะทำหน้าบึ้งไปถึงเมื่อไหร่"
คนตัวบางลากเก้าอี้แล้วทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบแก้วกีวี่มูสไปกินอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่เอ่ยปากขอสักคำ แต่ผมขี้เกียจจะด่าเลยเงียบไปแล้วจ้องไอ้ฟ่อนอย่างเบื่อหน่าย ก็คนมันคิดถึงปูนนี่หว่า จะให้ฉีกยิ้มได้ยังไง นี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว เฟซไทม์หรือไลน์ไปหาก็คุยกันได้นิดเดียว เพราะฝั่งนู้นตรงปรับตัวนั่นนี่ และข่าวร้ายสุดๆ คือห้องพักของไอ้กายอยู่ติดกับเขาด้วย แม่ง...

“ไม่รู้ ก็มันเบื่อ วันนี้มึงออกไปไหนหรือเปล่า”
ผมขยับตัวยืดเส้นยืดสายก่อนจะอ้าปากหาวออกมาอีกระลอก ว่าจะชวนน้องชายตัวดีออกไปกินข้าวเที่ยงตามด้วยเลี้ยงไอติมมันสักหนึ่งมื้อ เพราะตั้งแต่กลับมาอยู่ภูเก็ต ยังไม่เคยพามันไปไหนจริงๆ จังๆ สองคนพี่น้องสักที อีกอย่างคือเริ่มหมั่นไส้เพื่อนตัวเองแล้วที่มาแย่งความสนใจจากไอ้ฟ่อนไป... ตอนนี้กูเหงา กูจะพาลทุกคน ป๊ากับม๊ารอดตัวเพราะหนีไปต่างจังหวัดแล้ว หึ หน้าโลว์ซีซั่นก็แบบนี้ ออกทัวร์กันไม่ลืมหูลืมตา

“ถามทำไมอะ”
ไอ้ฟ่อนเงยหน้าขึ้นจากแก้วกีวี่มูสแล้วมองกันด้วยดวงตาเป็นประกาย มีแววหยอกล้อจนผมต้องส่งมะเหงกไปให้มันหนึ่งที เกลียดความรู้ทันจริงๆ เลยให้ตายเถอะ

“จะชวนไปกินข้าวเที่ยง ว่าไงล่ะ หรือนัดไอ้อินเอาไว้”
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ทั้งๆ ที่จริงแล้วอยากให้น้องตอบว่าไม่ได้นัดใครเอาไว้ใจจะขาด หรือถ้านัดจะให้โทรไปยกเลิกเดี๋ยวนี้ ใครจะว่านิสัยเสียก็ช่าง ตอนนี้พาลแล้วเว้ย เหลือบมองโทรศัพท์เป็นรอบที่ล้านของมันก็ยิ่งหงุดหงิด ปูนยังไม่ตอบไลน์กันเลยสักครั้ง จะให้โทรไปก็กลัวจะรบกวนวันหยุดแสนสบายของคนเรียนซัมเมอร์

“ก็... นัดกันไว้นั่นล่ะ แต่เป็นมื้อเย็น”
ไอ้ฟ่อนตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วตักกีวี่มูสใส่ปากอีกครั้ง ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข จนผมไม่รู้ว่าเพราะกินขนมอร่อยหรือคิดถึงไอ้อินกันแน่ ทำยังไงให้หายหมั่นไส้มันดีวะ

“ชอบมันแล้วอะดิ ยอมไปไหนมาไหนด้วยเกือบทุกวันขนาดนี้”
ผมว่าด้วยน้ำเสียงหยอกล้อแล้วจ้องไอ้ฟ่อนตาไม่กระพริบ น้องผงะถอยหลังเล็กน้อยก่อนจะเบนหน้าหนีไปทางอื่น แก้มขาวๆ ทั้งสองข้างเริ่มมีสีแดงระเรื่อปรากฏให้เห็น อาการแสดงออกไปถึงไหนต่อไหนแต่เชื่อดิว่าปากแข็ง ไม่รู้นิสัยเหมือนใครเนอะ...

“อะไรเล่า ก็สบายดีออกไม่ใช่เหรอ มีคนไปรับไปส่งแถมเลี้ยงข้าวด้วย”
มันตอบกลับมาเสียงอ้อมแอ้มแล้วเอื้อมมือมาหยิบกีวี่มูสแก้วใหม่ไปนั่งกิน ด้วยความที่มือคงสั่นเลยทำให้ขนมเลอะติดขอบปาด เดือดร้อนให้พี่ชายอย่างผมที่หมั่นไส้อยู่แล้วส่งทิชชู่ไปเช็ดตรงตำแหน่งนั้นแรงๆ จนไอ้ฟ่อนสะดุ้งแล้วหันมาแยกเขี้ยวใส่กัน

“มึงนี่ตอบไม่ตรงคำถามเนอะ กูแค่อยากรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบไอ้อินก็แค่นั้น พล่ามอะไรมายาวเหยียด”
ผมว่าก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อจะไปเก็บอุปกรณ์ทำขนมให้เข้าที่เข้าทาง เพราะเดี๋ยวต้องพาไอ้ตัวแสบออกไปกินข้าวตามที่ตัวเองต้องการ ดวงตาคมยังเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความหวัง แต่มันกลับมืดสนิทคล้ายกับอีกคนที่อยู่ฝั่งโน้นหายสาบสูญ แม่ง จะเลิกคิดถึงเขาสักสิบนาทีมันจะตายไหมวะ เสือกปากหนักบอกจะจีบเขาอีก เวรเอ้ย ไม่ได้เป็นอะไรกันจะไปหึงหวงเรื่องไอ้กายได้ยังไง เซ็ง


“เออน่า เลิกพูดเรื่องนี้เหอะ ว่าแต่กีวี่มูสอร่อยอะ”
ไอ้ฟ่อนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ จนผมที่กำลังล้างอุปกรณ์อยู่ต้องเหลียวหลัง มันอร่อยตรงไหนวะ จืดก็จืด... ไม่เข้าใจเลยว่าลิ้นใครมีปัญหากันแน่

“อร่อยตรงไหนวะ กูว่ามันจืดๆ”
ผมบอกน้องไปแบบนั้นก่อนจะหันกลับมาล้างอุปกรณ์ของตัวเองต่อ ขืนช้าอยู่อาจจะหิวข้าวตายกันไปข้างหนึ่ง เพราะว่าตอนนี้เลยเวลาเที่ยงมาเกือบสามสิบนาทีแล้ว ไอ้ฟ่อนเดินมายืนข้างๆ แล้วเอาแก้วกีวี่มูสที่กินหมดแล้วมาใส่อ่างล้างจานก่อนจะพูดอะไรที่ทำให้ผมชะงักไปหลายวินาที แม่ง แทงใจ

“อร่อยเหมือนเดิมนะ พี่ทาร์ตมัวแต่คิดถึงพี่ปูนจนกินไม่ได้นอนไม่หลับหรือเปล่าล่ะ”
ไอ้ฟ่อนพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเดินหนีเมื่อเห็นผมทำหน้ายักษ์ใส่ เกือบจะเอามือที่ติดฟองน้ำยาล้างจานป้ายปากหมาๆ ของมันแล้วไหมล่ะ ได้ทีแซวใหญ่เลยนะมึง ถ้าไม่ติดว่าต้องอ้อนน้องไปกินข้าวด้วยกันคงวิ่งไล่เตะก้นไปแล้ว

“ไปไกลๆ เลยมึง เปลี่ยนเสื้อผ้าซะ เดี๋ยวจะพาออกไปกินข้าวแล้ว”
ผมออกปากไล่แล้วเช็ดมือกับเสื้อตัวเองอย่างติดนิสัยก่อนจะเดินออกจากครัวด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ โทรศัพท์ที่อยู่ในมือยังคงเงียบสนิทไม่มีการตอบรับจากปูนเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วไอ้น้องชายตัวดีทำไมถึงยังยืนเป็นหุ่นขี้ผึ้งอยู่ตรงนี้ล่ะวะ หรือต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อีก

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดิ”
ผมออกปากไล่น้องอีกรอบก่อนจะได้คำตอบเป็นการพยักหน้า มือเรียวของมันส่งโทรศัพท์มือถือมาตรงหน้าของผมพร้อมกับจอสี่เหลี่ยมแสดงว่ากำลังคอลไลน์กับใครอีกคนหนึ่งอยู่ ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นรายชื่อนั้นอย่างชัดเจน

“กำลังคุยกับพี่ปูนอยู่อะ”
ไอ้ฟ่อนตอบกันด้วยน้ำเสียงยียวนก่อนที่มันจะโยกตัวหลบมือหนาของผมที่ยื่นไปข้างหน้าเพื่อจะแย่งโทรศัพท์มือถือมาคุยซะเอง ทำไมปูนไม่ตอบไลน์วะ แอบน้อยใจนะเนี่ย จะรู้ตัวบ้างไหมว่าทำให้คนอื่นคิดถึงมากแค่ไหน

“เอาโทรศัพท์มานี่ กูจะคุย”
เนื่องจากไม่อยากทำร้ายน้องตัวเองด้วยการใช้กำลังเลยใช้น้ำเสียงในการข่มขู่แทน ซึ่งดูท่าทางแล้วจะไม่ได้ผลเพราะไอ้ฟ่อนยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูแล้วฟ้องคนปลายสายแทบจะทันที แม่งเอ้ย มีน้องไม่รักดีอยู่ข้างคนอื่นก็แบบเนี่ย ห่วงปูนอย่างกับอะไรดีแถมไม่ช่วยพี่ชายตัวเองจีบอีกคนด้วย ให้มันได้แบบนี้สิวะ

“พี่ปูนๆ พี่ทาร์ตจะตีฟ่อนอะ”
ไอ้ฟ่อนทำน้ำเสียงออดอ้อนคนปลายสายแต่ใบหน้ายิ้มเยาะให้พี่ชายของมันเต็มที่ ผมหมั่นไส้เลยแจกมะเหงกให้จนได้ ยั้งมือไม่ไหวจริงๆ ให้ตายเถอะ อยากคุยกับปูนก็ไม่ได้คุย ยังจะโดนหาว่าแกล้งน้องอีก... ดูเลวมาก

“ฮือ! พี่ทาร์ตเขกหัวฟ่อนอะพี่ปูน ไม่ต้องไปคุยด้วยเลยนะ นิสัยแย่มากอะ”
ไอ้ฟ่อนยังคงออกปากฟ้องปูนอย่างไม่หยุดหย่อน แต่คราวนี้มันเดินหนีไปอยู่อีกฝั่งของห้องนั่งเล่นเรียบร้อยแล้ว แถมยังแลบลิ้นปลิ้นตามาให้กันอีก ผมได้แต่ยืนแยกเขี้ยวแล้วโบกมือไล่ให้มันไปแต่งตัวสักทีเพราะรู้สึกหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว เรื่องของอีกคนไว้ค่อยเคลียร์เอาเองจะดีกว่า มีตัวยุแยงตะแคงรั่วอยู่เดี๋ยวมันจะพังไม่เป็นท่า

น้องวางสายหลังจากที่ออดอ้อนออเซาะอีกคนจบแล้วยอมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักที ผมเลยได้โอกาสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเข้าแอพพลิเคชั่นสีเขียวมะนาวเพื่อคอลหาปูนแทบจะทันที แต่รออยู่นานนับนาทีก็ไม่มีการตอบรับจากอีกฝ่าย นี่จะเชื่อคำไอ้ฟ่อนจริงๆ เหรอ ไม่อยากคุยกับผมเหรอไงวะ... เริ่มคิดมากแล้วนะเว้ย โกรธอะไรหรือเปล่าเนี่ย เมื่อวานก็ยังคุยกันดีๆ อยู่เลย กำลังจะกดต่อสายอีกรอบแต่ก็ต้องชะงักมือไว้แค่นั้นเพราะไอ้ฟ่อนลงมาจากชั้นบนพอดี การแต่งตัวแทบจะทำให้ผมสำลักน้ำลายตัวเอง

“แต่งตัวอะไรของมึงเนี่ยไอ้ฟ่อน อย่างกับเด็กประถม”
ผมถามด้วยน้ำเสียงสูงเล็กน้อยเมื่อเห็นน้องแต่งตัวด้วยชุดเอี๊ยมยีนส์ละใส่เสื้อด้านในเป็นสีเหลืองสดใส มองๆ แล้วให้ความรู้สึกเหมือนมินเนี่ยนหลุดออกมาจากการ์ตูนไม่มีผิด มองตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะเบ้ปากใส่มัน ไหวหรือเปล่าวะ ผีเข้าสิงให้แบ๊วขนาดนี้เลยเหรอ

ไอ้ฟ่อนเบะปากใส่ผมก่อนจะเดินตรงมาแล้วใช้หมัดเล็กๆ ต่อยลงที่แขนเป็นการบอกว่ามันกำลังไม่พอใจกับคำวิจารณ์เมื่อครู่ อยากจะตะโกนกรอกหูเหลือเกินว่าไม่เจ็บเลยสัดนิด เหมือนมดกัดก็แค่นั้นเอง

“พูดมากอะ จะไปกินข้าวปะ ถ้าไม่ไปฟ่อนจะโทรเรียกพี่อินให้มารับตอนนี้เลยนะ”
ไอ้ฟ่อนยืนกอดอกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้งๆ ชวนปวดหัว น้องขู่มาแบบนั้นเลยทำให้ผมแค่ส่ายหัวไปมาแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะพาดแขนแกร่งวางบนไหล่ของอีกคนอย่างรักใคร่...

“เดี๋ยวนี้หัดขู่กูนะมึง”
ผมพูดเสียงรอดไรฟันแล้วใช้แขนดันท้ายทอยน้องเพื่อให้มันหัวทิ่มไปด้านหน้า ไอ้ฟ่อนทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนจะหันมามองกันตาเขียวอย่างไม่กลัวเกรง นับวันยิ่งปีกกล้าขาแข็งเข้าเรื่อย ยิ่งมีไอ้อินคอยหนุนหลังยิ่งเสียนิสัย ก้าวร้าวจริงๆ ไอ้เด็กคนนี้

“ทำไมอะ ให้น้องสำคัญบ้างไม่ได้หรือไง อะไรๆ ก็พี่ปูนตลอด ฟ่อนน้อยใจเป็นเหมือนกันนะเว้ย”
ไอ้ฟ่อนสะบัดแขนผมออกแล้วขยับตัวไปยืนกอดอกอยู่ไกลๆ หน้าตาบ่งบอกว่ามันน้อยใจอย่างที่พูดจริงๆ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพยักหน้าไปอย่างช่วยไม่ได้ ยอมรับเลยว่าตั้งแต่เล็กจนโตสนใจปูนมากกว่า เพราะน้องชายคนนี้ไม่ค่อยเชื่อฟังสักเท่าไหร่ ชอบเอาแต่ใจตัวเองอยู่เรื่อย

“เออๆ มึงก็สำคัญเหมือนกันละน่า อย่าน้อยใจ ไปๆ กูหิวข้าวจะตายแล้ว”
ผมเดินเข้าไปหาน้องแล้วยกมือขึ้นขยี้หัวทุยๆ นั่นอย่างเอ็นดู ที่จริงก็รักมันมากกว่าใครนั่นล่ะ แต่กลัวจะได้ใจไปหน่อยเลยไม่แสดงออกสักเท่าไหร่ ไอ้ฟ่อนส่งเสียงหึเบาๆ แต่ก็ไม่ปัดป้องอะไรทั้งสิ้น แถมยังเปลี่ยนมาเกาะแขนกันอย่างออดอ้อนอีก หนึ่งนาทีร้อยอารมณ์หรือเปล่าวะคนเรา ตามไม่ทันจริงๆ

“เลี้ยงข้าวแล้วต่อด้วยไอติมน้า”
เสียงทุ้มหวานอ้อนขอสิ่งที่ต้องการแถมยังเอาหน้าเล็กๆ มาถูไถต้นแขนอย่างน่ารัก ผมเหลือบสายตามองก่อนจะสายหัวไปมาอย่างปลงตก ถึงจะปากร้ายกับน้องแค่ไหนแต่สุดท้ายก็แพ้มันทุกทีล่ะน่า อยากให้ปูนทำแบบนี้บ้างจังคงฟินดี เฮ้อ

“เออๆ”
ก็ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วนี่เนอะ จะปฏิเสธได้ยังไงกันล่ะ จริงไหม

ประมาณห้าโมงเย็นผมก็ส่งไม้ต่อให้กับไอ้อินที่มารับฟ่อนไปเดินตลาดนัดชิลล์วาแถวๆ ร้านหมูกระทะเจ้าดัง ส่วนตัวเองหอบสังขารเปื่อยๆ กลับมาที่บ้าน ตลอดทั้งวันปูนไม่ยอมติดต่อกลับมาเลยสักครั้งเหมือนบุคคลหายสาบสูญก็ไม่ปาน ไม่รู้ว่ากำลังยุ่งหรือโกรธกันแน่ แต่เอาจริงๆ ยังคิดไม่ออกเลยว่าไปทำอะไรผิดเอาไว้เนี่ย จะร้องไห้แล้วนะเว้ย ถูกเมินตอนอยูห่างกันแบบนี้ กลัวนะ... กลัวเขาจะไปหวั่นไหวกับคนอื่น ไว้ใจแค่ไหนก็อดกังวลไม่ได้จริงๆ โรคคิดมากกำลังมาเยือนสินะ

ผมจอดรถบีเอ็มฯ ลูกรักไว้เรียบร้อยแล้วก้าวขาเข้าบ้านอย่างเอื่อยเฉื่อย ต้องอยู่บ้านคนเดียวในเวลาแบบนี้ไม่ดีเอาซะเลย แม่บ้านก็กลับไปแล้วด้วย จะมีอะไรน่าเบื่อกว่านี้อีกไหมล่ะชีวิต ตอนที่กำลังจะหย่อนก้นลงบนโซฟาตัวโตกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกงสั่นครืดๆ ตอนที่มือหนาล้วงลงไปหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่งขึ้นมาก็ได้แต่ลุ้นว่าอาจจะเป็นคนที่เฝ้ารอมาทั้งวัน เมื่อดวงตาคมเจอรายชื่อสายโทรเข้าก็ทำให้มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มแทบจะทันที อยากจะตะโกนให้ก้องโลกว่าดีใจขนาดไหน ปูนคอลไลน์กลับมาหากันแล้วเว้ย!

“ปูน หายไปไหนมาทั้งวันครับ!”
ผมถามออกไปด้วยเสียงที่ดังกว่าแกติจนแทบจะกลายเป็นการตะโกน ความรู้สึกในตอนนี้มีทั้งตื่นเต้น ดีใจและเป็นห่วงผสมปนเปกันไปหมด และดูเหมือนว่าปลายสายเห็นเป็นเรื่องขำขันเพราะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ รอดออกมา งอนซะดีไหมวะ...

‘ใจเย็นๆ ครับ ขอโทษที่ไม่ได้รับสายและก็ไม่ได้ตอบไลน์เนอะ พอดีว่ามีเรียนเสริมภาษานิดหน่อย แล้วอีกอย่างก็ลืมชาร์ตแบตฯ ด้วย’
เสียงทุ้มที่ผมนึกชอบในช่วงพักหลังมานี้ตอบกลับมา เหตุผลที่ได้ฟังนั้นทำให้ความเป็นห่วงลดลงไปเยอะแต่ความคิดถึงกลับไม่จางหายไปแม้แต่นิดเดียว มือหนาที่ว่างอยู่อีกข้างคว้าหยิบรีโมทเครื่องปรับอากาศขึ้นมากดเปิด

“อ๋อ พี่ก็เป็นห่วง กลัวจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้น”
ผมบอกกลับไปด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ปลายสายครางรับคำเบาๆ ก่อนที่จะได้ยินอะไรบางอย่างดังลอดเข้ามา เหมือนเป็นภาษาต่างดาวเลยว่ะ

‘ปูน คาจา!’ (ปูน ไปกันเถอะ)
เสียงใครวะ แล้วแม่งเสือกพูดภาษาเกาหลีที่กูแปลไม่ออกอีก... เริ่มกังวลว่าจะมีใครมาชอบคนของตัวเองหรือเปล่า จากที่นั่งนิ่งยิ้มแย้มจนปากจะฉีกกลับต้องหุบลงเพราะความกังวล

‘เฮ้ย แทจุน ออดีเอคาโย๊?’ (แทจุน จะไปไหน)
เสียงปูนถามกลับเป็นภาษาเกาหลีดังห่างออกไปคล้ายๆ กับว่าเขาผละออกจากโทรศัพท์ไป ผมได้แต่นั่งขมวดคิ้วและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร ในเมื่อสุดท้ายแล้วก็ไม่เข้าใจที่ฝั่งนู้นสื่อสารกันอยู่ดี แม่งเอ้ย ต้องไปเข้าคอร์สเรียนภาษาเกาหลีบ้างแล้ว

‘ปัลรี วา!’ (มาเร็วๆ สิ!)

‘เออๆ คาโย (เออๆ ไป) เอ้อ พี่ทาร์ต แค่นี้ก่อนนะ ไม่รู้ไอ้แทจุนมันจะรีบไปไหน ไว้ผมโทรไปหาใหม่เนอะ บายครับ’
ปูนกลับมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเร่งรีบก่อนจะวางสายไปดื้อๆ แล้วคนที่รออยู่จะทำอะไรได้นอกจากอ้าปากพะงาบๆ เพราะรั้งอีกคนไม่ทัน แม่งเอ้ย หงุดหงิดจนขว้างโทรศัพท์ไว้บนโซฟาแล้วไม่หันไปสนใจมันอีกเลย ไอ้แทจุนอะไรนั่นรีบไปตายที่ไหนของมันวะ อย่าให้เจอตัวนะ พ่อจะต่อยให้คว่ำ กล้ามาขัดขวางความคิดถึงอันมีมากล้นของผมซะได้ กว่าจะได้คุยกันมันลำบากแค่ไหนไม่มีใครรู้หรอก!

แสงแดดยามเช้าส่องรอดรอยแยกของผ้าม่านเข้ามากระทบใบหน้ามันเยิ้มจนรู้สึกแสบตา ผมพลิกตัวตะแคงแล้วดึงผ้านวมขึ้นคลุมถึงหัวเพื่อจะนอนต่อ ไม่อยากตื่นขึ้นมาพบความจริงที่ว่าเมื่อวานปูนหายไปทั้งคืน ไม่มีติดต่อกลับมาอย่างที่เคยบอกไว้ ไลน์ไปก็ไม่ยอมตอบเหมือนเดิม จากที่เคยหงุดหงิดจนแทบต่อยคนๆ หนึ่งได้ แต่ตอนนี้กลับเป็นห่วงอีกคนมากกว่า ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้างในเวลานี้

เสียงเคาะประตูสองสามครั้งดังขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ผมที่กำลังจะข่มตานอนอีกครั้งต้องสะบัดผ้านวมออกด้วยความหงุดหงิด ลุกขึ้นนั่งได้สักพักถึงจะลงจากเตียงไปเปิดประตูให้อีกคน ดวงตาคมหรี่มองบุคคลที่ยืนยิ้มกว้างอยู่หน้าห้องแล้วต้องขมวดคิ้วฉับ นี่มันวันอาทิตย์แสนสุข เวลาแค่แปดโมงเช้า ทำไมไอ้ฟ่อนถึงตื่นไวนักนะ ปกติไม่สิบโมงไม่มีทางเห็นหน้ามันแน่ๆ

“อะไรของมึง”
ผมถามด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิง ไอ้ฟ่อนทำหน้าขยะแขยงใส่กันก่อนจะชูอะไรบางอย่างที่อยู่ในมือ

“พูดหยาบกับน้องตลอด เดี๋ยวก็ไม่ให้คุยกับพี่ปูนซะเลย”
ไอ้ฟ่อนบ่นเสียงกระปอดกระแปดก่อนจะยัดโทรศัพท์ที่กำลังเปิดวีดีโอคอลทิ้งเอาไว้ ดวงตาคมเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอก็หลุดยิ้มกว้างก่อนจะเอื้อมมือดึงมันมาเป็นของตัวเองแทบจะทันที เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความรักมันทำให้คนเรารู้สึกคิดถึงได้มากขนาดนี้

“ปูน... มอร์นิ่งครับ”
ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาระดับหน้าแล้วส่งยิ้มออกไปทันที ดูเหมือนปูนจะกำลังเดินอยู่ตามถนนแหล่งช็อปปิ้งของชาวเกาหลีแน่นอน ที่นู่นคงเวลาประมาณสิบโมงแล้วสินะ

‘ปิดเครื่องหนีผมทำไม งอนเหรอ’
ปูนถามด้วยสีหน้าบึ้งตึงจนผมหลุดยิ้มออกมาเมื่อนึกได้ว่าตัวเองลืมชาร์ตแบตฯ โทรศัพท์เช่นกัน ไม่ได้งอนเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้วเพราะมันดูงี่เง่ามากเกินไป แค่รู้สึกหงุดหงิดและเป็นห่วงมากกว่าที่อยู่ๆ หายไปทั้งคืนแบบนั้น จะไม่ว่าอะไรเลยถ้าไลน์มาบอกกันสักคำว่าสุดท้ายแล้วโดนไอ้แทจุนนั่นลากไปที่ไหนของกรุงโซล

“ใครจะไปงอนปูนล่ะครับ พี่ลืมชาร์ตแบตฯ แค่นั้นเอง”
ผมตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเหลือบสายตาไปเห็นไอ้ฟ่อนทำหน้าตาล้อเลียนอยู่ไม่ไกล อยากจะตบกบาลให้แยกแต่มันยังมีความดีความชอบที่เอาโทรศัพท์มาให้คุย ผมเลยทำแค่โบกมือไล่แล้วขยับปากแบบไร้เสียงว่าเดี๋ยวจะเอาเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมไปคืนให้เอง และน้องก็เชื่อฟังยอมทำตามคำสั่งนั้นอย่างดิบดี แต่ก่อนไปก็ไม่วายหันมาแลบลิ้นใส่

“เดี๋ยวกูเตะให้พับคาบันได”
เผลอออกเสียงด่ามันไปจนได้เลยทำให้คนในโทรศัพท์ชักสีหน้ายุ่งมาให้กัน ส่วนไอ้ฟ่อนวิ่งลิ่วๆ ลงไปชั้นล่างแล้ว เดี๋ยวต้องหาเวลาเอาคืนให้ได้ ไม่ปล่อยไว้หรอก

‘เมื่อไหร่จะญาติดีกันสักทีครับพี่ทาร์ต’
ปูนถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ดูมีความสุขต่างจากผมที่เอาแต่คิดถึงอีกฝ่าย ด้านหลังเหมือนจะเห็นไอ๊กู๊ด น้องไนน์แล้วก็แฟน ส่วนผู้ชายอีกคนที่ตัวเล็ก ผิวขาวๆ นั่นช่างไม่คุ้นตา เดินไหล่แทบจะชิดกับคนของผมอยู่แล้ว... แม่ง ว่าจะไม่แสดงอาการหึงหวงพร่ำเพรื่อแล้วไง แต่ทำไม่ได้ว่ะ

“ก็เป็นแบบนี้มานานแล้วตั้งแต่เล็กจนโต เปลี่ยนไม่ได้หรอก”
ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป เพราะโฟกัสของดวงตาในตอนนี้จับจ้องบุคคลที่กำลังจะตกขอบจอแบบไม่ละไปไหน อยากรู้ว่ามันคือใครและทำไมต้องเดินเบียดปูนจนแทบจะสิงด้วย หรือเป็นไอ้เด็กเกาหลีที่ชื่อแทจุนเมื่อวานนั่นวะ มึงมีคดีกับกูเยอะนะ…

‘พี่ทาร์ต ทำไมตาเหล่วะ’
น้ำเสียงสงสัยถามกลับมาแบบนั้นเลยทำให้ผมรู้สึกตัวว่าเผลอจ้องไอ้เด็กเกาหลีนั่นนานไปหน่อย ปูนขมวดคิ้วแน่นแล้วมองผ่านกล้องมาอย่างต้องการคำตอบ ในจังหวะนี้อยากรู้อะไรก็จะถาม แต่พยายามควบคุมอารมณ์และสติในสมกับความเป็นผู้ใหญ่ ถ้าแสดงอาการงี่เง่าออกไปอาจจะทำให้อีกคนเบื่อหน่ายเอาได้

“คนที่เดินอยู่ข้างๆ นั่นใครวะ ทำไมต้องเบียดกันขนาดนั้น”
พยายามแล้วที่จะคงน้ำเสียงแบบปกติเอาไว้ แต่เผลอขมวดคิ้วมองหน้าจอโทรศัพท์มากไปหน่อยเลยทำให้คนอีกฝั่งกระตุกมุมปากจนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

‘หึงเหรอพี่ทาร์ต’
น้ำเสียงหยอกล้อดังมาจากคนทางนู้น ใบหน้าของปูนบ่งบอกว่ามีความสุขที่ได้แกล้งกันแบบนี้ ผมยอมรับกับตัวเองในใจว่าหึงเด็กคนนี้แต่ไม่พูดออกไปหรอก กลัวว่าจะได้ใจกันไปใหญ่ แค่นี้มันก็เอื้อมมือไปกอดคอไอ้หนุ่มเกาหลีนั่นเยาะเย้ยแล้ว ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้วะ ผมแกล้งเขาไว้เยอะเหรอเลยโดนเอาคืนเนี่ย

“เปล่าครับ แค่ถามเฉยๆ”
ผมตอบเสียงนิ่งก่อนจะเบนสายตาออกจากหน้าจอโทรศัพท์แล้วทำเป็นเดินไปหยิบผ้าขนหนูเพื่อเตรียมจะอาบน้ำ ทั้งๆ ที่ในใจอยากกลับไปนอนต่อมาก

‘อ๋อ เหรอครับ งั้นวันนี้ผมย้ายไปนอนที่บ้านของแทจุนดีกว่า บรรยากาศโคตรดี’
ปูนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วหันไปพูดอะไรบางอย่างกับไอ้แทจุนก่อนอีกฝ่ายจะฉีกยิ้มกว้างและพยักหน้ารับอย่างขันแข็ง  ผมขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่สามารถแปลความหมายที่เขาสื่อสารกันได้เลย น่าหงุดหงิดชะมัด

“นอนหอก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ อย่าไปลำบากคนอื่นเขาสิ”
ผมบอกน้องไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบพยายามไม่แสดงอาการอะไรมากมายให้อีกคนจับพิรุธได้ แต่ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกันที่ทำให้ปูนยังคงยืนยันที่จะไปนอนที่บ้านไอ้ตัวเล็กแทจุนอยู่ได้

‘ลำบากตรงไหนอะ แทจุนชวนผมไปนอนตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกันแล้ว’
ปูนเลิกคิ้วแล้วมองผมด้วยแววตาเป็นประกาย ถ้าอยู่ใกล้ๆ คงจะโดนโบกหัวไปนานโทษฐานที่รังแกหัวใจคนแก่แบบนี้ ความอดทนของคนเรามีจำกัดและตอนนี้ดูเหมือนว่าตัวเองต้องเลิกปากแข็งสักที ไม่อย่างนั้นอีกคนคงหอบเสื้อผ้าไปนอนบ้านไอ้แทจุนแน่ๆ เพราะตอนนี้ไอ้เด็กเกาหลีนั่นเริ่มเอนหัวมาซบที่ไหล่แล้ว แม่ง... กระซิบกระซาบอะไรไม่รู้ น่าหงุดหงิดชะมัด แถมเสียงแซวเป็นภาษาเกาหลีจากก๊วนเพื่อนด้านหลังก็ทำลายสติของผมไปจนหมด

“พี่ไม่ให้ไป จบนะ”
ผมพูดเสียงแข็งแล้วมองจ้องหน้าจออย่างไม่วางตา ใบหน้าตอนนี้คงคล้ายๆ คนโมโหนอนไม่พออะไรทำนองนั้น เพราะจากสภาพแล้วแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ ตอนนี้เพิ่งคิดได้ว่าตัวเองดูแย่ข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงเกาหลีซะแล้ว อายเขาไม่ไหมล่ะ วีดีโอคอลทั้งๆ ที่เพิ่งตื่นและยังไม่ได้อาบน้ำเนี่ย


‘ไม่จบครับ บอกเหตุผลมาสิว่าทำไมต้องห้ามผมด้วย’
เนื่องจากตัวของเราทั้งสองคนอยู่ไกลกัน ปูนเลยกล้าพูดประโยคเมื่อครู่ออกมาด้วยใบหน้าทะเล้น แถมยังใช้มือข้างที่เหลือเอื้อมไปลูบผมแทจุนราวกับเอ็นดูนักหนาอีกด้วย ไม่เข้าใจเลยว่าเขาต้องการให้ผมหึงไปถึงเมื่อไหร่ ยิ่งได้ยินเสียงไนน์กรี๊ดกร๊าดผมยิ่งสติแตก อยากเก็บข้าวของแพ็คใส่กระเป๋าบินไปเกาหลีคืนนี้เลยจริงๆ แต่ติดที่ว่าป๊ากับม๊าไม่อยู่บ้านและยังมีภาระดูแลไอ้ฟ่อนอีก ส่งมันไปอยู่บ้านญาติสักสองสามวันจะเป็นอะไรไหม เบาๆ เลยคงโดนตัดออกจากกองมรดกแน่ๆ เพราะบ้านนี้รักลูกชายคนเล็กมากกว่าคนโต

“….”
หาคำตอบของคำถามเจอแต่ปากกลับหนักจนมันไม่ยอมขยับแถมยังเม้มเข้าหากันแน่นจนรู้สึกเจ็บไปหมด ผมลดโทรศัพท์มือถือลงจนกล้องมันส่องเห็นแค่เพดานบ้าน ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะส่งเสียงลอดมาตามสายเหมือนคล้ายกำลังข่มขู่กัน ซึ่งมันได้ผลเป็นอย่างมาก เพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่าปูนมีอิทธิพลต่อใจของตัวเองมากแค่ไหน

‘เงียบเหรอ ผมถือว่าพี่ทาร์ตไม่มีเหตุผลนะ’
น้ำเสียงทางนู้นจริงจังจนผมต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมตัวพูดประโยคขัดเขินออกไป

“แม่ง... พี่หวงปูน พอใจหรือยัง”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังพอจะให้อีกฝ่ายได้ยินอย่างชัดเจนโดนที่กล้องโทรศัพท์ยังวางส่องเพดานอยู่เหมือนเดิม ในตอนนี้ไม่กล้าสู้หน้าปูนทั้งๆ ที่อยู่คนละประเทศ เพราะไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าความหึงหวงเป็นยังไง วางตัวไม่ถูกจริงๆ แล้วอีกอย่างกลัวจะโดนล้อจนอายน่ะสิ ไม่อยากหน้าแดงให้คนอื่นเห็น เพราะตรงนั้นไม่ได้มีแค่คนๆ เดียวน่ะสิ

‘ก็แค่นั้น ทำปากแข็งไปได้วะคนเรา’
ปูนพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะยิ้มกว้างให้กับผมที่ยังคงวางโทรศัพท์ไว้บนตักเหมือนเดิม ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ยอมแพ้แล้วจริงๆ กับคนๆ นี้ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ปล่อยให้น้องชายข้างบ้านเข้ามาสำรวจหัวใจ จนเข้ามาลงหลักปักฐานจองพื้นที่ภายในเกือบครบทั้งสี่ห้อง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ไม่เคยสร้างเรื่องลำบากใจให้แม้แต่นิดเดียว แถมยังช่วยเหลือทุกเรื่องที่สามารถช่วยได้ ไม่ว่าจะเป็นแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว หนูทดลองขนมสูตรใหม่ๆ เป็นเพื่อนกินเหล้า หรือแม้แต่การให้กำลังใจในขณะที่ผมต้องเลือกทางเดินชีวิตตัวเอง แบบนี้คงปล่อยให้หลุดมือไม่ได้จริงๆ

“แกล้งพี่นี่หว่า”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเช่นเดียวกันก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาที่ระดับใบหน้าของตัวเองอีกครั้ง และในตอนนี้เองที่ไอ้กู๊ดโผล่หน้าเข้ามาแทนที่จะเป็นแทจุน ได้ยินน้องมันพูดประมาณว่า ‘ไอ้ปูนเขินล่ะ’ แค่เท่านั้นก็ทำให้มุมปากกระตกเป็นรอยยิ้มได้ไม่ยาก ที่แท้อีกคนก็รู้สึกไม่ต่างกันนี่เอง แต่มีความสุขได้ไม่นานก็ถูกทำลายด้วยประโยคยาวๆ

‘ก็ทำตัวให้น่าแกล้งเองนี่ครับ แต่ตอนนี้ผมต้องวางแล้วล่ะ ตอนค่ำๆ จะโทรหาเนอะ บายครับ’
สายตัดไปโดยที่ผมไม่ได้บอกลาปูนอีกแล้ว แต่คราวนี้ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไรแม้แต่นิดเดียว กลับรู้สึกว่านี่มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ต่างคนจะมีเวลาเป็นส่วนตัว ว่างเมื่อไหร่ค่อยหาเวลามาคุยกันก็ยังไม่สาย เพราะชีวิตนี้คงหนีไปไหนไกลไม่ได้อีกแล้วล่ะ ก็เผลอฝากหัวใจตัวเองไม่กับคนข้างบ้านแล้วนี่ จะเอาคืนก็ไม่ได้ซะด้วย




ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 15 -P.3- (12/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 12-05-2017 21:22:16
ผ่านมาอีกหนึ่งอาทิตย์ ความรู้สึกคิดถึงใครอีกคนยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนทำให้การทำงานในร้านขนมน่าเบื่อลงไปถนัดตา ทั้งๆ ที่เคยชอบมันมากแท้ๆ อาจจะเพราะไม่มีคนคอยกวนหรือเรียกร้องจะกินขนมอยู่ใกล้ๆ เหมือนที่ผ่านมา ไม่มีใครคอยมาช่วยเสิร์ฟในบางวันที่ว่างจากการเรียน อยากไปหาว่ะ แต่จะหาข้ออ้างอะไรให้ป๊ากับม๊าไม่สงสัยดี... จริงๆ ก็ไม่ได้ปิดบังอะไร กลัวพวกท่านจะด่าเอามากกว่าว่าจะดูแลปูนได้จริงๆ หรือไง ทำตัวเสเพลเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มาทั้งชีวิต เฮ้อ

ผมกำลังตีแป้งเพื่อทำชีสเค้กญี่ปุ่นแต่ต้องชะงักมือเมื่อได้ยินเสียงม๊าร้องเรียกมาจากทางด้านหน้าร้านราวกับใครเกิดอุบัติเหตุขึ้น แต่มันคงไม่มีอะไรหรอกเชื่อสิ... เจอมาเยอะเจ็บมาเยอะย่อมรู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องตัดสินใจวางมือลงเพราะไม่อย่างนั้นเธอก็จะส่งเสียงอยู่แบบนั้น

“ครับม๊า เดี๋ยวออกไป”
ผมตะโกนตอบรับเสียงเรียกของม๊าก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนสีดำสนิทไร้ลวดลายออกแล้ววางทิ้งไว้บนเค้าน์เตอร์ ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ เดินออกไปที่ส่วนด้านหน้าของร้าน ดวงตาคมเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นเพื่อนสนิทของตัวเองกำลังอุ้มลูกหมาตัวหนึ่งไว้ในอ้อมแขน จำได้ว่าไม่ได้สั่งให้มันเอามาให้วันนี้นี่ ผิดพลาดอะไรหรือเปล่าวะ ก็คนเลี้ยงยังเรียนซัมเมอร์อยู่ที่เกาหลีนี่หว่า

ประตูกระจกหน้าร้านถูกเปิดออกด้วยฝีมือของผม ไอ้อินที่กำลังอุ้มลูกหมาพันธุ์คอร์กี้ไว้ในอ้อมแขนส่งยิ้มกว้างมาให้กันแล้วก้าวเข้ามาหาโดนมีสายตาของม๊ามองตามอย่างสนใจ

“เอาหมามาทำไมวะ”
ผมถามก่อนจะมองหน้าหมาสลับกับหน้าคน ไอ้อินไม่ตอบอะไรสักอย่างแต่กลับส่งเจ้าขาสั้นตัวเล็กมาให้กัน แล้วจะทำอะไรได้นอกจากยื่นมือไปรับมันมาอุ้มไว้ โคตรน่ารักน่าฟัดจนทำให้คิดถึงใครบางคนที่บ่นนักบ่นหนาว่าชอบหมาพันธุ์นี้และอยากได้มาเลี้ยงสักตัว

“เอามาทำไม”
ผมถามเพื่อนย้ำอีกครั้งก่อนจะใช้มืออีกข้างลูบหัวมันเล่น ขนนุ่มๆ ทำให้เพลินอยู่ไม่น้อย เชื่อว่าถ้าไอ้ฟ่อนกับปูนได้เห็นเจ้าขาสั้นคงแห่กันมาให้ความสนใจจนละเลยเจ้าของมันแน่ๆ

“เอามาให้มึงนั่นล่ะ พอดีพี่สาวกูมันต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดด่วน เลยไม่มีคนเลี้ยง”
ไอ้อินพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตัวยาวหน้าร้านตรงสวนหย่อมเล็กๆ โดยที่ม๊ารออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ผมพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจที่มันพูดแล้วก้มลงมองสิ่งมีชีวิตขาสั้นด้วยความเอ็นดู

ก่อนที่ปูนจะเดินทางไปเกาหลีผมมีโอกาสไปเที่ยวบ้านไอ้อินแล้วเจอพี่สาวของมันเลี้ยงหมาพันธุ์คอร์กี้เอาไว้และกำลังมีลูกตัวเล็กๆ น่ารักอยู่สี่ตัว เธอบอกว่าจะหาคนรับเลี้ยงต่อสักสองตัวเพราะแค่แม่กับพ่อหมาก็ไม่ค่อยมีเวลาให้มันแล้ว ได้โอกาสดีก็เลยอาสาตัวเองรับเลี้ยงเจ้าขาสั้นเพศผู้มาหนึ่งตัว กะว่าจะไปรับมันหลังจากที่ปูนกลับมา เพราะอยากเซอร์ไพร์ส แต่ตอนนี้ผิดแผนไปหน่อย

“แล้วตัวอื่นๆ ล่ะ”
ผมถามก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบ้างแล้ววางไอ้เจ้าขาสั้นไว้บนตักก่อนจะค่อยๆ ใช้มือลูบหัวมันเบาๆ ดูเหมือนง่วงๆ เพลียๆ ยังไงไม่รู้ สภาพคล้ายๆ กับคนเมารถเลยว่ะ ตลกดี

“ป๋าเลี้ยงพ่อกับแม่มัน ส่วนกูเลี้ยงหนึ่ง อีกตัวให้ลูกพี่ลูกน้องไปแล้ว”
ไอ้อินตอบก่อนจะเบะปากลงน้อยๆ ผมเข้าใจว่าอาการแบบนั้นสื่อว่าแม่ของมันคงผลักไสเจ้าขาสั้นให้ตัวหนึ่งอย่างที่คนรับเลี้ยงไม่เต็มใจ ไม่ใช่ว่าเกลียดหรือกลัวแต่เพราะกลัวว่าจะไม่มีเวลามายุ่งกับไอ้ฟ่อนต่างหาก รู้ทันหรอกน่า

“อ๋อ เออ ขอบใจนะมึง น่ารักว่ะ”

“น่ารักกว่าปูนอีกเหรอวะ”
มันพูดเสียงดังฟังชัดจนผมได้แต่เบิกตาโพลงมองใบหน้าหล่อเหลานั่นอย่างตกใจ จะแซวอะไรไม่ว่าหรอกแต่ตอนนี้ม๊านั่งจิบชาหัวโด่ร่วมโต๊ะอยู่เนี่ย พูดออกมาได้ยังไงวะ กูยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครในบ้านนอกจากไอ้ฟ่อนเลยนะเว้ย แม่งเอ้ย แล้วดูคุณนายอุ่นสิ จ้องหน้ากันราวกับจะคาดคั้นเอาความจริงในตอนนี้ให้ได้ ตายแน่ๆ ไม่รอดชัวร์

“เชี่ยนี่ ม๊าอยู่”
ผมบอกเสียงรอดไรฟันแล้วหันไปยิ้มแหยให้ม๊า แต่ดูจากสายตาของเธอที่มองมานั้น วันนี้คงไม่รอดแน่ๆ เตรียมใจยอมรับชะตากรรมหลังจากไอ้อินกลับไปแล้วได้เลย ขนมก็อย่าหวังว่าจะได้กลับไปทำอีกเลย น้าซันคงรับช่วงต่อไปแล้ว

“เออว่ะ โทษทีๆ”
ไอ้อินก้มหัวขอโทษก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ออกมาแล้วเบนสายตาหนีจากผมและม๊า ดูท่าทางต้องเผชิญเรื่องนี้คนเดียวแน่ๆ จะตายไหมวะ ยังไม่ได้ขอปูนเป็นแฟนเลยนะ...

“ม๊าว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันนะทาร์ต”
น้ำเสียงที่เคยหวานหยดย้อยบัดนี้กับแข็งกร้าว ผมได้แต่หลุบสายตาลงต่ำแล้วพยักหน้ารับหงึกหงัก ไอ้ขาสั้นหลับจนส่งเสียงกรนออกมา หนีกันหน้าด้านๆ เลยนะ ไม่คิดจะเผชิญเรื่องนี้เป็นเพื่อนพ่อมึงหน่อยเหรอวะ

“ครับม๊า...”
ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ดวงตาคมเหลือบเห็นมือเรียวของม๊าที่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะเหมือนกำลังใช้ความคิด คงพอจะรู้อะไรบางอย่างจากคำแซวของไอ้อินแล้วแน่ๆ เลยว่ะ... แต่ไม่ต้องกลัวจะโดนดราม่าเรื่องลูกชายชอบเพศเดียวกันหรอกนะ บ้านนี้เปิดกว้างตั้งแต่รู้ว่าไอ้ฟ่อนเป็นเกย์แล้ว

“เอ้อ งั้นกูกลับก่อนเนอะ ไว้เจอกันเพื่อน สวัสดีครับม๊า”
ไอ้อินที่นั่งเงียบไปสักพักกลับเอ่ยปากออกมาอย่างรวดเร็วและรีบยกมือไหว้ม๊าก่อนจะก้าวขายาวๆ ไปขึ้นรถของมันที่จอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จนผมไม่สามารถรั้งได้ทัน ตอนที่กำลังจะตะโกนเรียกเพื่อนสนิทก็โดนสายตาดุๆ ของเธอขัดไว้ นี่ถ้าเดินอยู่คงล้มหัวทิ่มพื้นไปแล้ว

“.....”
ไอ้เหี้ย ทิ้งกูหน้าตาเฉย เวรเอ้ย จะทำอะไรได้นอกจากแอบด่าเพื่อนสนิทในใจแล้วส่งยิ้มหวานประจบประแจงไปให้ม๊า ดูท่าทางวันนี้คงโดนสอบสวนอีกยาวนานล่ะมั้ง แต่เป็นไงก็เป็นกันเพื่อความรักที่สวยงาม ผมจะไม่ยอมแพ้อะไรทั้งนั้น สู้เว้ย!

แต่ว่าก่อนจะโดนซักฟอกขอส่งรูปไอ้ขาสั้นไปอวดปูนหน่อยก็แล้วกัน พร้อมกับส่งข้อความถามความคิดเห็นเรื่องตั้งชื่อไปด้วย ก็นี่มันลูกของเรานี่นา ถือเป็นพยานรักเลยนะเนี่ย หึหึ

 


--------------------------------------

พี่ทาร์ตมันขี้หึงแต่ปากแข็ง... น้องปูนเลยแกล้งซะนี่ สมน้ำหน้า
เรื่องถึงหูม๊าแล้ว... คราวนี้ล่ะ จะเอาตัวรอดยังไงหนอ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 15 -P.3- (12/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: gookgik ที่ 13-05-2017 17:54:30
พี่ทาร์ตก็ตอบไปตามตรงเลยดิว่า ชอบน้องปูน รักจริง หวังแต่ง

สงสัยปูนต้องหาคนมาทำให้พี่ทาร์ตหึงบ่อยๆ เจ้าตัวจะได้หายปากแข็ง
 
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 15 -P.3- (12/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 13-05-2017 19:17:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 15 -P.3- (12/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: DraCo_SLa13 ที่ 15-05-2017 11:46:09
ม๊าต้องทำใจนะม๊า  ลูกชายไปทั้ง 2 คนเลย
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 16 -P.3- (17/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 17-05-2017 14:19:17
(http://i.imgur.com/prkm8cY.png)


สูตรที่ 16

Japanese Soft Cake
: เนยเค็ม/โอวาเล็ต/น้ำตาล/ไข่แดง/แป้งเค้ก/กลิ่นวนิลลาผง/ไข่ขาว/ครีมออฟทาร์ทาร์ :



วันนี้มีเรียนแค่ช่วงเท่านั้น แต่มันเป็นเช้าที่ทรหดเกินไปเพราะต้องเรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เกาหลีเป็นภาษาเกาหลี อยากจะบอกลาอาจารย์เหลือเกิน แต่ทำได้แค่นั่งเท้าคางแล้วถอนหายใจเฮือกไปเรื่อย โทรศัพท์มือถือที่สั่นครืดๆ อยู่ในกระเป๋ากางเกงเรียกร้องความสนใจจากผมได้เป็นอย่างดี แต่ไม่มีเวลาจะหยิบมันขึ้นมาดูเลย ถ้าขืนวอกแวกแม้แต่นาทีเดียวอาจจะต้องนั่งเบลอไปทั้งคาบ

   “จะถอนหายใจอีกนานไหมมึง แก่ไปเป็นสิบปีแล้วมั้ง”
   คนที่นั่งข้างๆ กันเอ่ยทักออกมาด้วยน้ำเสียงติดรำคาญเล็กน้อย มือหนาๆ ของไอ้กู๊ดจดรายละเอียดที่อาจารย์พูดไอ้เยอะกว่าผมอยู่มาก มันหัวดีแถมยังหูดีอีกต่างหาก แต่เรื่องอะไรที่ต้องชวนคุยทำลายสมาธิคนอื่นด้วยวะ

   “ช่างกูไหมล่ะ อย่าชวนคุยดิวะ ฟังอาจารย์ไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ย”
   ผมบอกกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่แพ้กัน กษัตริย์ราชวงศ์โชซอนชื่ออะไรวะ... ตอนเรียนเป็นภาษาอังกฤษที่ไทยก็ไม่ได้จำด้วยไง อยากจะขว้างปากกาใส่หน้าไอ้กู๊ดเหลือเกินแต่ทำไม่ได้ เพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วต้องพึ่งลอกสมุดจดของมันอยู่ดี

   “ค่อยถามกูหลังจบคาบก็ได้น่า มึงหันไปทางสองนาฬิกาหน่อยดิ”
   ไอ้กู๊ดยังคงชวนคุยไม่หยุดจนผมต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วหันไปแยกเขี้ยวใส่แทนที่จะเป็นตามคำขอที่ได้ยินไปเมื่อครู่ ไม่รู้มันอยากได้อะไรนักหนา

   “หันพ่อง กูเรียนไม่รู้เรื่องเว้ย”
   ผมพูดเสียงรอดไรฟันแล้วเอาปากกาในมือจิ้มแขนมันไปแรงๆ อย่างนึกหมั่นไส้ ไอ้กู๊ดรีบผละตัวหนีแล้วทำหน้ามู่ทู่ใส่ แต่ไม่วายเอื้อมมือมาผลักหัวกันให้หันไปทางสองนาฬิกาจนได้

   “ไอ้…!”
   พูดออกไปได้แค่นั้นแล้วรีบหุบปากฉับเมื่อเห็นสายตาหวานๆ ของใครคนหนึ่งมองมาทางนี้ ผมรีบหันหน้ากลับแล้วยกมือขึ้นบังด้านข้างแทบจะทันที ทำไมต้องมารู้สึกขนลุกกับไอ้กายตอนอยู่ที่นี่ด้วยวะ ยังไม่เลิกคิดจีบกันอีกหรือยังไง ทั้งๆ ที่มันโดนผู้หญิงเกาหลีล้อมรอบขนาดนั้น

   “เชี่ย มันมองกูมานานแค่ไหนแล้ววะกู๊ด”
   ผมถามเพื่อนข้างๆ ด้วยเสียงเบาสุดๆ เพราะกลัวคนอื่นๆ โดยรอบจะได้ยินที่เราคุยกัน ไอ้กู๊ดกระตุกยิ้มมุมปากแล้วตอบกลับมาด้วยเสียงเย้าแหย่ น่าต่อยให้ฟันหลุดไหมล่ะคนเรา

   “ตั้งแต่เดินออกมาจากหอพักแล้วมึง มองมาเป็นระยะๆ จนกูแอบขนลุกแทนแล้วเนี่ย”
   รอยยิ้มทะเล้นให้ตอนแรกของเพื่อนสนิทเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่สื่อถึงความขยะแขยงอย่างเห็นได้ชัด ผมรู้ว่าไอ้กู๊ดไม่ได้รังเกียจอะไรเรื่องแบบนี้หรอก แต่มันเป็นเพราะสายตาหวานเยิ้มของไอ้กายมากกว่า มองอย่างกับจะกินเข้าไปทั้งตัว ใครไม่กลัวก็บ้าแล้ว สมมติว่าเปลี่ยนเป็นพี่ทาร์ตผมยังไม่แน่ใจเลยว่าจะไม่ขนลุก...

   “มันจะชอบอะไรกูนักหนาวะ”
   ผมยังคงขอความคิดเห็นจากเพื่อนด้วยใบหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เหลือบสายตามองไปทางสองนาฬิกาอีกครั้งก็พบว่าไอ้กายหันหน้ากลับไปสนใจอาจารย์แล้ว เลยลดมือลงวางไว้บนโต๊ะอย่างเดิม ตอนนี้จะให้ตั้งใจเรียนก็คงไม่ทัน เพราะหูอื้อจนฟังอะไรไม่รู้เรื่อง เสียสมาธิฉิบหาย เพราะไอ้กีดคนเดียวเลยไง แต่มันมีความสามารถจดเลคเชอร์ได้เหมือนเดิม

   “งั้นกูถามมึงกลับว่าจะชอบพี่ทาร์ตอะไรนักหนา ตอบได้ไหม”
   ไอ้กู๊ดถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ ที่ทำให้ผมต้องเบิกตาโตแล้วตอบกลับไปแทบจะทันที

   “มันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอวะ”
   
“นั่นไง มันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ”
ตอบกลับมาแบบนั้นทำให้ผมหุบปากสนิท เพราะขนาดตัวเองยังไม่มีเหตุผลที่ชอบพี่ทาร์ตแล้วคนอย่างไอ้กายจะมีเหตุผลหรือยังไง เฮ้อ

   “ช่างแม่งเถอะ ถ้ากูไม่สนใจมันคงเลิกตอแยไปเอง”
   ผมบอกไอ้กู๊ดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายแล้วทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง ผมหยิบปากกาขึ้นมาขีดเขียนอะไรเล่นไปเรื่อยเพราะตามบทเรียนไม่ทันแล้ว เซ็งว่ะ เมื่อไหร่จะเลิกเรียนสักที รู้สึกอึดอัดอีกแล้วเพราะหางตาเหลือบไปเห็นไอ้กายมองมาทางนี้ แม่ง... ขอให้โดนอาจารย์ทำโทษสักทีเถอะ

   “เออ หวังว่าจะเป็นอย่างที่มึงพูด”
   ไอ้กู๊ดบอกทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก้มหน้าก้มตาตั้งใจเรียนต่อไป ส่วนไอ้ไนน์มันช่างน่าอิจฉาที่ได้นั่งข้างๆ แฟนตัวเอง เฮ้อ จะว่าไปก็เริ่มคิดถึงพี่ทาร์ตขึ้นมานิดๆ ว่ะ

   เสียงของอาจารย์บอกว่าถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ทำให้ผมยืดตัวแล้วบิดไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบของร่างกายที่นั่งแช่อยู่ที่เดิมมาตั้งสี่ชั่วโมง ไอ้กู๊ดหาวหวอดออกมาหลายรอบจนสาวๆ ที่สนใจมันอยู่ถึงกับพากันหัวเราะคิกคักแล้วเอาแต่ซุบซิบกันว่า ‘ควียอวอ’ ผมขมวดคิ้วแน่นแล้วได้แต่คิดว่ามันน่ารักตรงไหน จากที่ดูแล้ว โคตรน่าเกลียด ปากก็ไม่ยอมปิด

   “ไปหาอะไรกินกันมึง หิว”
   ไอ้กู๊ดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเมื่อมันเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วเหวี่ยงกระเป๋าเป้ไปด้านหลังเพื่อเตรียมออกไปจากห้องเรียน แต่ขายังไม่ทันได้ก้าวตามเพื่อนสนิทออกไป มือของใครอีกคนกลับคว้าไหล่เอาไว้ด้วยแรงที่มากพอดู และเมื่อหันไปสบตาถึงกับต้องอ้าปากค้าง นี่ไอ้กายมีวิชาหายตัวเหรอ จากตรงนั้นถึงตรงนี้อย่างน้อยน่าจะใช้เวลาสักสามสิบวินาทีสิ

   “มึงจะไปไหน กูไปด้วยได้ปะ”
   ไอ้กายถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะปล่อยมือออกจากไหล่เมื่อผมจ้องเขม็ง แล้วดูความน่ารักของเพื่อนสนิทสิ เดินลิ่วๆ ไปจนถึงประตูห้องเรียนเพิ่งรู้สึกตัวว่าอยู่คนเดียว ฉิบหาย นี่ถ้าผมโดนฉุดระหว่างทางมันก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยใช่ไหม น่ากลัวชะมัด

   “อย่ามาตามติดกู แยกกันไปเหอะ”
   ผมก้าวถอยหลังออกมาจากตรงนั้นเตรียมตัวจะหันหลังแต่มือของไอ้กายกลับคว้าไหล่กันไว้อีกครั้ง และคราวนี้ออกแรงบีบจนรู้สึกปวดแปลบไปหมด

   “ทำไมปฏิเสธกันจังวะปูน กูชอบมึงจริงๆ นะ”
   ไอ้กายพูดด้วยน้ำเสียงตึงๆ แต่แววตาไม่ได้แสดงความเจ็บปวดออกมาแต่อย่างใด ดูๆ แล้วมันสื่อความหมายว่าอยากเอาชนะกันมากกว่า ผมถอนหายใจออกไปเฮือกใหญ่แบบที่ไม่กลัวว่าจะโดนอีกคนทำร้าย พูดเรื่องนี้มากี่รอบแล้วก็ไม่รู้ เริ่มเบื่อ เบื่อมาก และขี้เกียจจะทน

   “แต่กูไม่ได้ชอบมึงไงกาย จะพยายามให้เสียเวลาทำไมวะ เป็นเพื่อนกันดีจะตาย ไม่ต้องเลิกกันด้วย”
   ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงจริงจังที่พยายามชักจูงให้อีกคนเชื่อตามอย่างนั้น ทั้งที่จริงๆ แล้ว มันอาจจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกแล้ว ตะขิดตะขวงใจแปลกๆ แต่ปกติเราก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมากคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

   “มึงรู้แล้วว่ากูคิดไม่ซื่อแบบนี้ แน่ใจแค่ไหนว่าเป็นเพื่อนกันจะไม่มีวันเลิก”
   กายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งผมอาจคิดผิดเรื่องที่มันอยากเอาชนะ คงจะชอบกันจริงๆ แต่หัวใจคนบังคับกันไม่ได้ ไม่ว่ายังไงความรู้สึกแบบนั้นก็รับไว้ไม่ได้หรอก

   “กู...”

   “ไอ้เชี่ยปูน ไส้กูจะขาดแล้วไหมล่ะ ไวๆ เลย”
   เสียงเรียกของไอ้กู๊ดที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เป็นตัวช่วยอย่างดีที่ทำให้ผมหลุดจากสถานการณ์ตึงเครียดตรงหน้า ไม่รู้จะตอบออกไปยังไงที่มันจะทำร้ายจิตใจอีกคนน้อยที่สุด แต่คำนวณแล้วคงเป็นไปไม่ได้ พูดยังไงก็เจ็บอยู่ดี

   “เออๆ ไปแล้วๆ”
   ผมหันไปตอบไอ้กู๊ดที่เดินเข้ามาในห้องแค่ไม่กี่ก้าวแล้วหยุดอยู่ตรงนั้น คงไม่อยากเข้ามาวุ่นวายอะไรเรื่องส่วนตัวนัก

   “ปูน...”
   เสียงเรียกเบาๆ ดังมาจากคนตรงหน้าดึงให้สายตาของผมกลับไปสนใจเขาอีกครั้ง ผมต้องไปแล้ว... เราควรจบเรื่องนี้ที่มันยืดเยื้อมาหลายเดือนสักที ถึงจะบอกกายไปว่ามีแฟนแล้ว อีกฝ่ายก็คงไม่ละความพยายามอยู่ดี

   “จบเรื่องนี้เถอะ กูขอร้อง”
   ผมทิ้งประโยคสุดท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินหนีออกมา เพราะรู้ว่าขืนยังอยู่ที่เดิมอาจจะทำให้เรื่องยิ่งบานปลาย ไม่ได้หันไปดูเลยสักนิดว่ากายจะแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา ถึงจะรู้ว่าตัวเองใจร้ายแต่มันอาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วก็ได้

   กลับมานอนแผ่ที่หอพักอย่างคนหมดแรง ด้านข้างมีเพื่อนสนิทที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงเล่นเกมแบบสบายอารมณ์ ไม่สนว่าใครจะทำอะไร ที่ไหน อย่างไร แม้แต่ไอ้ไนน์ชวนไปเดินเที่ยวแถวๆ มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวามันยังไม่สนใจ แปลก...

   “เล่นเกมอะไรวะ”
   ผมถามทั้งๆ ที่ยังนอนอยู่แต่ตะแคงด้านข้างเพื่อมองหน้าเพื่อนสนิทได้ถนัด ไอ้กู๊ดยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเหมือนคนกำลังมีความสุข เล่นเกมมันสนุกขนาดนั้นเลยหรือยังไงวะ สงสัยจริงๆ

   “ROV”
   ตอบกลับมาสั้นๆ ทำให้ผมขมวดคิ้วแน่น ไม่ใช่เพราะไม่รู้จักแต่ไม่คิดว่าเพื่อนสนิทของตัวเองจะเล่นเกมประเภทนี้กับเขาด้วย ผมเคยลองอยู่ครั้งหนึ่ง แต่แม่งเข้าไปไม่ถึงนาทีก็ตาย ตายซ้ำตายซาก ทนเล่นได้อยู่ประมาณสามสี่วันก็ลบมันออกจากโทรศัพท์ คงไม่มีฝีมือทางด้านนี้จริงๆ

   “ติดเกมนะมึง”

   “เออน่า ผ่อนคลายนิดๆ หน่อยๆ”
   ไอ้กู๊ดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่ากำลังอารมณ์ดีมากถึงมากที่สุด แต่ผมกลับสงสัยว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปแน่ๆ ปกติแล้วมันต้องตื่นเต้นเวลาจะได้เจอสาวๆ สิ... แล้วนี่อะไรวะ กลายเป็นคนติดเกม ไม่สนโลกอีกต่างหาก

   “ขนาดไอ้ไนน์ชวนมึงไปเดินเล่นแถวอีฮวาก็ยังไม่ไปเนี่ยนะ โคตรแปลก หรือหันมาชอบผู้ชายแบบเต็มตัวแล้ว”
   ผมถามหยั่งเชิงไปแบบนั้นก่อนจะใช้แขนยันตัวเพื่อลุกขึ้นนั่งแล้วแอบเหล่มองปฏิกิริยาของเพื่อนสนิท ไอ้กู๊ดชะงักไปแค่ครู่เดียวเท่านั้นแล้วกลับมาเป็นปกติ อย่าคิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้ว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป ปิดยังไงก็ปิดไม่อยู่หรอก อย่าลืมว่ารู้จักกันมาตั้งนาน

   “แหม... ก็พูดไป แค่ขี้เกียจเว้ย แดดร้อนจะตาย”
   ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติโดยที่ไม่ยอมละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ จากที่สังเกตผมว่าตอนนี้มันไม่ได้เล่นเกมแล้วล่ะ ก็เห็นรัวนิ้วพิมพ์ข้อความซะขนาดนั้น...

   “เออ ให้มันจริง ไม่ใช่ว่าแอบเหล่หนุ่มๆ เกาหลีอยู่นะ”
   ผมแซวออกไปโดยไม่คิดอะไร เพราะเห็นไอ้กู๊ดมันอัธยาศัยดีคุยกับชาวบ้านไปทั่ว ถึงผู้ชายเกาหลีจะไม่แสดงออกมาชอบเพศเดียวกันเพราะประเทศของเขาต่อต้าน แต่หนึ่งในคนที่คุยด้วยนั้นต้องมีสักคนที่ชอบเพื่อผม ที่เห็นได้ชัดก็น่าจะเป็น... หึหึ

   “หึ... อย่างกูอยู่เฉยๆ ก็พอ”
   คราวนี้มันละสายตาออกจากหน้าจอสี่เหลี่ยมแล้วหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้กัน แบบนี้ชัดเจนแล้วล่ะ ถ้าให้เดาคงเป็นคนที่ผมรู้จักดีแน่ๆ

   “พูดงี้แสดงว่ามีคนมาจีบเหรอ”
   ผมถามมันด้วยน้ำเสียงอยากรู้ แต่ไอ้กู๊ดกลับยักคิ้วกวนๆ ให้แล้วขยับตัวหนี

   “ถามมากว่ะ จะนอนก็นอนไปเลย จะเล่นเกมต่อแล้ว”
   มันทำน้ำเสียงไม่พอใจใส่กันก่อนจะเอียงโทรศัพท์เพื่อเล่นเกมอีกครั้ง และเสียงดนตรีที่เล็ดลอดออกมานั้นยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวไม่ได้โกหกแต่อย่างใด เล่นเกม ROV เนี่ย ใครรบกวนแม่งโดนด่าแน่ๆ มันต้องใช้สมาธิสูง ผมเข้าใจเพื่อน แต่มันอดไม่ได้ที่จะล้วงความลับนี่หว่า

   “มีพิรุธนะ”
   เหล่มองมันเล็กน้อยแล้วทิ้งตัวลงนอนราบบนเตียงด้วยท่าเดิม ไอ้กู๊ดแยกเขี้ยวใส่กันก่อนจะคำรามออกมา คิดว่าน่ากลัวตายล่ะไอ้หล่อ เดี๋ยวตบกบบาลเลยนี่

   “ช่างกูเหอะน่า ถึงเวลาก็รู้เรื่องเอง”

   “เออๆ ไม่กวนก็ได้”

พี่ทาร์ต : *แนบรูปหมาคอร์กี้*
พี่ทาร์ต : ช่วยตั้งชื่อหน่อย
ข้อความตั้งแต่เมื่อเช้าปรากฏขึ้นสู่สายตา รู้สึกผิดหน่อยๆ ที่ไม่ได้สนใจโทรศัพท์ให้มากกว่านี้ แต่สิ่งที่ทำให้ผมแทบจะร้องออกมาดังๆ ก็คือรูปหมาคอร์กี้ขาสั้นหน้าตาน่ารัก อยากได้!!

ปูน : เฮ้ยยย หมาใครวะ น่ารักอะ!

ผมพิมพ์ตอบกลับไปด้วยความตื่นเต้นแล้วเปลี่ยนมานอนหงายรอคำตอบจากพี่ทาร์ต แต่รอแล้วรออีกผ่านไปเกือบห้านาทีก็ไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะอ่านผมเลยวางโทรศัพท์ลงแล้วตัดสินใจนอนหลับอย่างที่ได้บอกไอ้กู๊ดไว้ตอนแรก สงสัยไม่ว่างล่ะมั้ง ตื่นมาค่อยว่ากันอีกที
 
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าทั้งห้องสว่างด้วยแสงไฟจากหลอดนีออน ผมลุกขึ้นนั่งแล้วใช้มือขยี้หัวตัวเองไปมาก่อนจะมองหาเพื่อนสนิทที่ไม่ได้อยู่บนเตียงเหมือนเดิม แต่ตอนที่กำลังจะอ้าปากเรียกกลับได้ยินเสียงน้ำไหลดังเบาๆ มาจากทางห้องน้ำเลยทำให้เบาใจลง
 
ผมควานหาโทรศัพท์มือถือที่โต๊ะข้างเตียงโดยไม่หันไปมองก่อนจะสแกนนิ้วปลดล็อก หน้าแชทที่เปิดค้างไว้ปรากฏขึ้น จากที่ง่วงๆ ทำให้ตื่นเต็มตาได้ไม่ยากเมื่อได้อ่านข้อความจากพี่ทาร์ต
 
พี่ทาร์ต : หมาพี่เอง
ปูน : จริงดิ ซื้อมาเหรอ!
 
ผมพิมพ์ตอบกลับอย่างรวดเร็วเพราะตื่นเต้นเมื่ออีกคนเป็นเจ้าของหมาขาสั้นตัวนั้น ไม่อยู่ด้วยกันแค่อาทิตย์สองอาทิตย์มีอะไรให้เซอร์ไพร์สตลอดเลยว่ะ
 
พี่ทาร์ต : เปล่า พี่สาวไอ้อินให้มาฟรี ชอบปะ?
ปูน : ชอบ! อยากกลับไปเล่นด้วย ._.
พี่ทาร์ต : ช่วยตั้งชื่อมันก่อน
ปูน : หมาพี่ทาร์ตก็ตั้งแต่เลย ผมคิดไม่ออก

มาถึงตรงนี้ผมตอบข้อความไปด้วยหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เรื่องอะไรที่จะให้คนอื่นตั้งชื่อหมาของตัวเองกันล่ะ ไม่ได้เป็นเจ้าของร่วมกันสักหน่อย แต่ไม่นานความสงสัยทั้งหมดก็จบลงเมื่ออีกฝ่ายส่งข้อความกลับมา
 
พี่ทาร์ต : เอ้า พี่เป็นพ่อ ส่วนปูนเป็นแม่ จะไม่ช่วยกันตั้งชื่อลูกหน่อยเหรอ??

ผมถึงกับนั่งอ้าปากค้างเมื่อได้อ่านข้อความที่พี่ทาร์ตส่งมาจบ ความร้อนค่อยๆ คืบคลานขึ้นมาบนใบหน้าอย่างช่วยไม่ได้ อะไรคือการยกให้เป็นแม่ของเจ้าหมาคอร์กี้นั่นล่ะ... เคยถามความสมัครใจกันก่อนหรือเปล่า มือสั่นจนพิมพ์อะไรตอบกลับไปไม่ได้แล้วเนี่ย
 
ปูน : ห๊ะ....
ปูน : อะไรนะ

ผมพิมพ์ตอบไปได้แค่นั้นก่อนที่เสียงเปิดประตูห้องนจ้ำจะดึงความสนใจไปทั้งหมด ร่างกายสมส่วนของเพื่อนสนิทก้าวออกมาจากห้องน้ำ ท่อนล่างมีแค่บ็อกเซอร์ตัวสั้นปกปิดเอาไว้ ส่วนท่อนบนเปลือยเปล่าตามแบบฉบับของมันเวลาจะเข้านอน ตกลงตอนนี้เวลากี่โมงแล้ววะเนี่ย ไม่คิดจะกินข้าวเย็นกันหน่อยเหรอ
 
“กี่โมงแล้ววะมึง”
ผมถามออกไปด้วยความเบลอไม่หาย เพราะพี่ทาร์ตนั่นล่ะที่ทำให้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวได้ขนาดนี้ ไอ้กู๊ดมองกันอย่างกับเจอตัวประหลาดก่อนที่มันจะเดินมาทิ้งตัวลงข้างๆ แล้วใช้มือหนาผลักหัวเบาๆ
 
“จับโทรศัพท์อยู่ไม่ใช่หรือไง แล้วจะถามกูเพื่อ”
ไอ้กู๊ดมองหน้าผมสลับกับโทรศัพท์ในมือของผมแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ คนเพิ่งได้สติเลยยิ้มออกไปแหย่ๆ เออว่ะ จะถามเพื่อนทำไม ดวงตารีเหลือบมองเวลาแล้วต้องเม้มปากเข้าหากันแน่น สองทุ่มแล้ว... ส่วนพี่ทาร์ตยังไม่ตอบอะไรกลับมา
 
“เออลืมไป แล้วนี่มึงไม่ไปหาอะไรกินเหรอ”
ผมถามคนที่ขยับตัวไปพิงหัวเตียงด้วยท่วงท่าสบาย ใบหน้าดูมีความสุขมากกว่าเมื่อตอนบ่ายซะอีก ต้องมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นระหว่างที่ผมนอนหลับไปแน่นอน แต่ว่ามันคืออะไรล่ะ อยากรู้จริงๆ การเผือกเรื่องคนอื่นน่าจะทำให้ผมใจเย็นลงได้
 
“มีคนเอาข้าวมาให้แล้ว”
มันตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงระรื่น ใบหน้ากรุ้มกริ่มอย่างเห็นได้ชัด ไอ้คนที่เอาข้าวมาให้นี่มันยังไงๆ อยู่นะ จะใช่คนที่ผมแอบสงสัยอยู่หรือเปล่า แต่จะให้ถามไปตรงๆ ไอ้กู๊ดมันคงไม่ตอบหรอก ไอ้นี่ชอบปิดบังจะตาย
 
“ใครวะ”
แกล้งถามไปอย่างนั้นล่ะ เผื่อมันหลุดปากบอกบ้าง ก็เห็นอารมร์ดีจนน่าหมั่นไส้ขนาดนี้
 
“ไม่ต้องถามมากน่า มีส่วนของมึงด้วย เดี๋ยวมากินกัน”
มันบอกปัดแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ขายาวๆ กำลังจะก้าวออกไปจากตรงนี้แต่มันกลับหันหน้ามามองกันแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ผมหันซ้ายหันขวาเพราะไม่เข้าใจว่าเพื่อนสนิทกำลังสื่ออะไรออกมากันแน่
 
“อืมๆ ปิดบังกูจังนะ”
ผมตอบกลับไปแล้วจ้องตามันกลับ สายตาของไอ้กู๊ดที่มองมาเหมือนกำลังจับผิดอะไรบางอย่างอยู่...
 
“เออน่า แต่ว่ามึงไม่สบายเหรอ เห็นหน้าแดงมานานแล้ว”
คำถามตรงๆ ของไอ้กู๊ดทำให้ผมต้องยกมือขึ้นจับแก้มตัวเองอย่างรวดเร็ว ดวงตารีเบนหลบไปทางอื่นแทบจะทันที หัวใจเริ่มเต้นรัวเพราะกลัวว่าจะโดนจับได้ ไม่น่าหวั่นไหวกับข้อความที่พี่ทาร์ตส่งมาให้เลย... ก็แค่แกล้งกันให้เขินเท่านั้นเอง ใช่ปะวะ
 
“เฮ้ย เปล่า ไม่ได้ป่วยอะไร สบายดีเว้ย”
ผมตอบก่อนจะลูบแก้มตัวเองไปมา ไม่รู้ต้องทำยังไงแก้มมันถึงจะหายแดงสักที แต่ดูไอ้กู๊ดจะแสดงตัวว่าเป็นห่วงกันมากกว่าปกติ เพราะมันยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงความอุ่นของลมหายใจ จะเข้ามาจูบกันเลยไหมล่ะเพื่อน!

ผมขยับตัวหนีแล้วคว้าหมอนมากอดเอาไว้แน่นราวกับว่ารักมันมาก ใบหน้าครึ่งล่างซุกลงหาความนุ่มหวังตะปกปิดใบกน้าที่กำลังแดงเห่อมากกว่าเดิม นึกว่าจะสงบสติอารมณ์ได้แล้ว แต่เปล่าเลย โดนไอ้กู๊ดทักยิ่งอาการหนัก
 
“แต่หน้ามึงแดงมากนะ”
มันย้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับเป็นน้ำเสียงเชิงล้อเลียน มือหนาเอื้อมมาดึงแก้มกันด้วยความมันเขี้ยว ผมเงยหน้าขึ้นจ้องมันเขม็งเพราะเจ็บ... เบาๆ หน่อยก็ไม่ได้วะ ก็ใช่สิ เรามันเป็นคนที่ไม่ใช่สำหรับเขาแล้วนิ อยากรู้จริงๆ ว่าไอ้คนที่เข้ามาจีบไอ้กู๊ดเป็นแทจุนหรือเปล่า
 
“เอาไปอ่านไป ขี้เกียจเถียงกับมึงแล้ว”
ผมที่ทนความเสือกของเพื่อนไม่ไหวส่งโทรศัพท์ในมือไปให้มันอ่านข้อความของพี่ทาร์ตเอาเอง ถึงเครื่องจะล็อกแต่ไอ้กู๊ดมันก็สามารถจำรหัสได้ ไม่รู้มันเดาถูกได้ยังไง แต่จะให้เปลี่ยนก็กลัวตัวเองจำไม่ได้ งานเข้าไปอีกเวลาสแกนนิ้วไม่ผ่าน

ผมมองการกระทำของไอ้กู๊ดอยู่เงียบๆ โดยที่ภายในนั้นลุ้นแทบตาย ไม่รู้ว่ามันจะแซวอะไรกลับมาเมื่อได้อ่านข้อความที่พี่ทาร์ตส่งมา จริงๆ อยากคิดว่านั่นคือการจีบแต่ไม่แน่ใจเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะโดนแกล้งจากเขามากกว่า จะบอกว่าผมโง่ก็คงได้ คนไม่เคยมีแฟนไม่เคยมีความรักนี่หว่า ไม่มั่นใจอะไรหรอก ถ้าไม่บอกออกมาตรงๆ
 
“โอ๊ะ... นี่พี่ทาร์ตจีบมึงเหรอวะ โคตรมึนเลย”
ไอ้กู๊ดหันมาพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อก่อนจะส่งโทรศัพท์กลับมาให้ ผมเม้มปากแน่นเมื่อฟังประโยคนั้นจบ ตกลงว่าพี่ทาร์ตจีบกันจริงๆ เหรอวะ
 
“จีบเหรอ... กูนึกว่าโดนแกล้ง”
ผมพูดเสียงเบาแล้วมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ยังไม่มีการตอบอะไรกลับมา ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคิดได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังโดนจีบจริงๆ แล้วอย่างนั้นเหรอ มันทั้งเขิน ทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้น เพราะพี่ทาร์ตสารภาพว่าชอบกันมาตั้งหลายเดือน แต่ไม่เห็นวี่แววจะจีบจริงจังสักที
 
“ห่า... มึงนี่ก็ซึนจังเว้ย โดนจีบยังไม่รู้อีก ถ้าไม่เชื่อก็ถามพี่ทาร์ตดู”
มือหนาๆ ผลักหัวกันเบาๆ ก่อนจะขยี้เส้นผมจนยุ่งเหยิง ดวงตาคมของเพื่อนสนิทที่มองมาบ่งบอกได้ว่ามีความเอ็นดูกันแค่ไหน

"บ้า... มันคงไม่ตอบกู"
พูดออกไปด้วยเสียงเบาหวิวแล้วก้มหน้าจนปลายคางแทบชิดกับอก ไม่ไหวแล้วจริงๆ ในตอนนี้ แก้มร้อนมาก ตัวก็เริ่มร้อนขึ้นมานิดๆ ไม่แน่ใจว่าเขินหรือไข้ขึ้นจริงกันแน่ แยกไม่ออกแล้ว

"ไม่ลองไม่รู้เว้ย กูไปเตรียมของกินดีกว่า"
ไอ้กู๊ดพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินไปเตรียมอาหารตามที่ปากได้พูดเอาไว้ ผมไม่วายทอดสายตามองเพื่อนสนิท กล่องในมือมันนั่น... ลายโปเกม่อนที่แทจุนชอบนี่หว่า ใช่แน่ๆ หึ แต่ตอนนี้ผมควรจะเอาเรื่องตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า

แม่ง เอาวะ ถามก็ถาม จะได้รู้กันไปเลยว่าตัวเองโดนจีบหรือเปล่า!
 
ปูน : โอย นี่จีบ?

กดส่งไปแล้วก็ได้แต่นั่งจ้องหน้าจอสี่เหลี่ยมตาเขม็ง ไม่นานข้อความก็ขึ้นว่าถูกอ่านแล้ว แต่มันเงียบเกินไป เงียบจนแอบใจหาย นี่เขาจะไม่ตอบจริงๆ เหรอ หรือเป็นผมเองที่เข้าใจผิดไป... แต่พอละสายตาไปทางอื่น โทรศัพท์กลับสั่นเตือนขึ้นมาซะอย่างนั้น บ้าจริง

พี่ทาร์ต : อืม... จีบ
พี่ทาร์ต : จีบแล้วนะ จีบจริงๆ
พี่ทาร์ต : ปูน... เงียบทำไมวะ ไม่ชอบเหรอ

พอคำตอบที่อยากได้โผล่ขึ้นมาให้อ่าน หัวใจก็แทบจะหยุดเต้น ไม่ได้โอเวอร์เกินความเป็นจริง ในชีวิตที่ครั้งหนึ่งโดนคนที่ตัวเองชอบจีบ จะไม่รู้สึกดีใจมากๆ บ้างเหรอวะ อยากตะโกนบอกว่าเปล่าเว้ย ชอบ ชอบจะตายอยู่แล้ว แต่มันตอบไม่ได้ไง เข้าใจคนที่กำลังเขินจนทำอะไรไม่ถูกหรือเปล่าวะไอ้พี่ทาร์ต ถึงตัวจะไกลกันก็ยังขยันทำให้หวั่นไหวได้ เก่งเกินไปแล้วนะ

พี่ทาร์ต : มันเสี่ยวไปใช่ปะ ขอโทษ
พี่ทาร์ต : จะหามุกอื่นมาจีบแล้วกันเนอะ

ไอ้นี่ก็ขยันพูดเองเออเองไปเรื่อย บทจะตอบไวก็รัวอย่างกับ M16 พอบทจะเงียบเสือกเป็นช่วงเวลาสำคัญตลอด แม่ง คนบ้าอะไรเนี่ย ไม่รู้ว่าเผลอชอบไปได้ยังไงกัน แต่ด่าเขาก็ยังยิ้มออกมาจนปวดแก้มอยู่ดี มีความสุขอะ

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะพิมพ์ข้อความตอบกลับ ถ้าขืนยังปล่อยทิ้งช่วงแบบนี้เดี๋ยวพี่ทาร์ตก็พูดเองเออเองอีก จากที่ดูเป็นคนง่ายๆ สบายๆ กลับเครียดขึ้นมาทันตา

ปูน : ... เชี่ย เขินอะ ทำไงดี
ปูน : แงงงงง

สิ่งที่ผมกดส่งไปก็มีเพียงเท่านั้น ไม่มีความสามารถพอที่จะสรรหาคำอะไรได้ดีกว่านี้อีกแล้ว กัวใจเต้นโครมครามจนน่ากลัว ไม่เคยเป็นแบบนี่เลยจริงๆ หรือต้องไปหาหมอแล้วนะ ร่างกายผิดปกติเหลือเกิน ต้องพาต้นเหตุอย่างพี่ทาร์ตไปด้วยหรือเปล่านะ... (เหมือนตอนโดนงูกัดแล้วเอางูตัวนั้นไปโรงพยาบาลด้วย)

พี่ทาร์ต : หึหึ
พี่ทาร์ต : โทรหาได้ไหม ว่างอยู่หรือเปล่า

ข้อความต่อจากนั้นทำให้ผมสะอึกเล็กน้อย ทำให้เขินผ่านตัวอักษรไม่พอยังจะโทรมาซ้ำเติมกันอีกเหรอวะ ไม่ได้เป็นคนที่มีภูมิต้านทานเรื่องนี้สูงเลย เห็นใจกันหน่อยไม่ได้เหรอ

"ไอ้เชี่ยปูน มากินข้าว นั่งยิ้มเป็นคนบ้าอยู่ได้"
เสียงติดหงุดหงิดของไอ้กู๊ดเรียกสติให้ผมกลับสู่โลกความเป็นจริง เกิดอาการสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับอีกฝ่ายไปอย่างรีบๆ

ปูน : อีกสัก 10 นาทีค่อยโทรมาได้ไหมครับ ผมขอกินข้าวก่อน ไอ้กู๊ดจะแดกหัวผมแล้ว

ส่งข้อความเสร็จก็วางโทรศัพท์ทิ้งไว้บนเตียงเพราะโดนสายตาของเพื่อนสนิทกดดัน ผมก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปหาไอ้กู๊ดก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วจัดการกินข้าวที่วางอยู่ตรงหน้าทันที อยากจะอวดว่ามันโคตรอุดมสมบูรณ์สุดๆ เนื้อย่าง ผักสด กิมจิ ซุปเต้าเจี้ยว ต็อกโปกี โพซัม(หมูสามชั้นนึ่ง) และข้าวผัดกระเทียม นี่มันยิ่งกว่าร้านอาหารอีก สงสัยจนต้องเอ่ยปากถาม ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงนอนไม่หลับแน่ๆ

“กูถามจริงเหอะกู๊ด ใครเอามาให้มึงกินเนี่ย เลี้ยงดีฉิบหาย”
ผมพูดทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวข้าวไม่หมด ก็มันเกิดสงสัยขึ้นมาตอนนี้ ถ้าปล่อยไปนานเดี๋ยวจะลืมซะหมด ไอ้กู๊ดเหลือบตามองกันก่อนจะทำหน้าขยะแขยงใส่ อะไรวะ แค่นี้ก็รับไม่ได้เหรอ





ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 16 -P.3- (17/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 17-05-2017 14:19:34
“มึงควรกลืนข้าวก่อนถาม สกปรกฉิบหาย”
มันบ่นด้วยเสียงฉุนๆ ก่อนจะส่งกระดาษทิชชู่มาถูที่มุมปากของผมอย่างแรง ไม่บ่อยนักหรอกที่ไอ้กู๊ดจะทำอะไรแบบนี้ คนอื่นคงมองว่าบรรยากาศฟุ้งๆ สีชมพู แต่ความจริงแล้วไม่มีอะไรในกอไผ่หรอก เพื่อนดูแลเพื่อนแปลกตรงไหน ก็เจ้าตัวเขายืนยันเองว่า ‘เคยชอบ’ ไม่ได้กำลังชอบผมอยู่สักหน่อย และท่าทางในเวลานี้คงมีคนที่ถูกใจมากกว่าแล้ว

“อือ”
ผมครางอือในลำคอก่อนจะรีบเคี้ยวข้าวแล้วกลืนอย่างรวดเร็ว เกือบสำลักจนต้องคว้าแก้วน้ำมากระดกตามไปติดๆ ถ้าเกิดไอออกไปนะ โดนด่าหูชาแน่ๆ

“คราวนี้ถามได้หรือยังวะ”
ผมพูดจบก่อนจะอ้าปากให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามมองราวกับเด็กที่อวดว่าตัวเองกลืนข้าวจนหมดแล้ว ไอ้กู๊ดหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต 

“ใครเอาของกินมาให้”
ผมถามย้ำอีกครั้งแล้วใช้ตะเกียบคีบโพซัมใส่ปาก เพราะไม่อยากนั่งจ้องเพื่อนสนิทสักเท่าไหร่ บรรยากาศมันคงตึงเครียดเกินไป

“อืม... กูจำเป็นต้องตอบด้วยเหรอวะ”
ไอ้กู๊ดเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดูจากสีหน้าแล้วมันตั้งใจกวนตีนกันเห็นๆ แต่จากน้ำเสียงที่ใช้ตอบกลับมานั้นคงจะยอมตอบอะไรออกมาบ้างแล้วล่ะ

“ไม่จำเป็น แต่กูสงสัย”
ผมตอบออกไปแบบนั้นก่อนจะคีบเนื้อย่างใส่ถ้วยข้าวของไอ้กู๊ดเป็นการเอาใจ ดวงตาคมเหลือบมองกันอย่างรู้ทันก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วตอบคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์

“แทจุน”
ชื่อของคนที่ผมคิดไว้หลุดออกมาจากปากหยักนั่นอย่างง่ายดาย ไม่มีทีท่าแสดงความอึดอัดหรือไม่ชอบใจ ทำให้กล้าที่จะตั้งคำถามต่อได้ไม่ยาก

“เฮ้ย จริงดิ แทจุนจีบมึงเหรอ”
ผมถามสิ่งที่คิดออกไปอย่างลืมตัว ไอ้การตะล่อมถามอะไรนั่นทิ้งไปเถอะ ปากไวกว่าสมองไปเยอะ ส่วนไอ้กู๊ดถึงกับชะงักมือที่คีบต็อกโปกีค้างไว้ ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมองสบตาแทบจะทันที

“เอาข้าวมาให้กินนี่จำเป็นต้องจีบด้วยเหรอ”
น้ำเสียงกวนๆ ถามกลับมา ก่อนที่มุมปากจะกระตุกเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมผงะไปเล็กน้อยกับคำพูดนั้น มันก็จริงที่ทำดีต่อกันไม่จำเป็นต้องจีบเสมอไป แต่บรรยากาศแปลกๆ รอบตัวพวกเขาล่ะ... ไม่ได้จีบจริงๆ เหรอวะ ผู้ชายเกาหลีหน้าสวยๆ ส่วนมากก้แมนทั้งนั้นด้วยสิ

“อ่าว... ไม่ใช่จริงๆ เหรอวะ”
ผมพึมพำเสียงเบาเพราะรู้สึกผิดหวังเล็กๆ ที่เรื่องราวมันไม่ได้เป็นไปตามคาด จะไม่โทษใครหรอกเพราะตัวเองไม่ได้เก่งเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่ แค่อยากให้ไอ้กู๊ดมีคนที่รักจริงๆ บ้าง ไม่ใช่เอาแต่เที่ยวเล่นควงคนนั้นคนนี้ไปวันๆ อย่างเดิม เห็นมันใช้ชีวิตแล้วรู้สึกหงุดหงิด จะหาว่าชอบจุ้นจ้านเรื่องเพื่อนก็คงได้

“หึหึ เออ ตามที่มึงคิดนั่นล่ะถูกแล้ว”
มันหัวเราะเสียงต่ำออกมาจนน่าขนลุกก่อนจะหันไปสนใจอาหารตามเดิม ผมเหลือบมองพฤติกรรมของเพื่อนสนิทอยู่เงียบๆ ดูเหมือนจะมีความสุขดีล่ะมั้ง ยกตัวอย่างวันนี้ก็ไม่ยอมไปเดินดูสาวๆ อย่างที่เคยทำ แทจุนคงถูกใจไอ้กู๊ดอยู่ไม่น้อย

ผมลอบยิ้มก่อนจะกลับไปตั้งใจกินข้าวอีกครั้ง แต่เสียงริงโทนที่คุ้นเคยกลับดังขึ้นจนต้องวางช้อนวางตะเกียบแล้วเดินไปรับสายอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อดวงตารีพบกับชื่อสายโทรเข้าก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย พี่ทาร์ตโทรมาหลังจากเวลาผ่านไปแล้วเกือบครึ่งชั่วโมง... คงรอไม่ไหวแล้วจริงๆ

“สวัสดีครับพี่ทาร์ต”
ผมกรอกเสียงลงไปแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ไอ้กู๊ดส่งสายตาดุๆ มาให้เพราะยังกินข้าวไม่เสร็จ นี่ยังสงสัยว่ามีพ่อเพิ่มมาอีกหนึ่งคนแทนที่จะเป็นเพื่อนสนิทหรือเปล่านะ

‘กินข้าวเสร็จหรือยัง’
   น้ำเสียงราบเรียบถามกลับมาแบบที่ผมไม่สามารถเดาอารมณ์ออกเลย ไม่รู้ด้วยว่าอีกคนมีธุระอะไรสำคัญ

“ยังเลยครับ แต่คุยได้นะ”
ผมตอบไปตามความจริงเพราะไม่อยากโกหก ใจหนึ่งก็อยากรู้ด้วยว่าพี่ทาร์ตจะคุยเรื่องอะไร รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้

‘ไปกินก่อน พี่รอได้’
น้ำเสียงฟังหงอยๆ ขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนอยากเล่าให้ฟังแต่ก็ไม่อยากให้ผมลำบากอะไรประมาณนั้น

“ไม่เอาครับ พี่อุตส่าห์โทรมาแล้ว มีอะไรด่วนหรือเปล่าเนี่ย”

‘อืม... พี่จะบอกว่าม๊ารู้เรื่องของเราแล้วนะ’

“.....”

อะไรนะ โลกกำลังจะแตกเหรอ!!

เช้าวันใหม่ที่อากาศช่างสดใสแต่ผมกลับนั่งตาโหลอยู่บนเตียงหลังจากโดนไอ้กู๊ดปลุก ที่เห็นสภาพเป็นแบบนี้เพราะนอนไม่หลับมาทั้งคืน หัวสมองมันเอาแต่คิดเรื่องของป้าอุ่นวนไปเวียนมาไม่รู้จักจบสิ้น จากคำบอกเล่าของพี่ทาร์ตที่ว่า...

‘ม๊าไม่ขัดอะไรเรื่องที่พี่กับปูนชอบกันนะ แต่มันมีปัญหาอยู่นิดหน่อย’
‘ยังไงครับ ลุงตั้มเหรอ’
‘ไม่ใช่ๆ ม๊าไม่เชื่อว่าพี่จะดูแลใครได้ กลัวจะทำให้ปูนลำบากและเสียใจ’
‘…..’
‘ปูน... คิดเหมือนม๊าพี่หรือเปล่าครับ’
‘ผมเชื่อว่าพี่สามารถดูแลผมได้ แต่ไอ้เรื่องทำให้เสียใจ มันก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดาไม่ใช่เหรอ คนเราไม่ได้เพอร์เฟ็คไปซะทุกอย่างนี่’
‘นั่นสินะ กลับมาเมื่อไหร่มีเซอร์ไพร์สรออยู่นะ’


ดีใจที่ลุงกับป้ารับเรื่องพวกนี้ได้ แต่เซอร์ไพร์สอะไรวะ ทำไมผมต้องคิดมากด้วย ลางสังหรณ์มันร้องเตือนว่ากลับไปครั้งนี้อาจจะมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป อาจจะเป็นเรื่องานของพี่ทาร์ต เรื่องที่ต้องรับมือกับครอบครัวรวมทั้งสัมคมรอบด้าน หรือแม้กระทั่งสถานะความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน

“ปูน”

“.....”

“เชี่ยปูน!”

“ห๊ะๆ อะไรวะ แผ่นดินไหวเหรอ!”
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเพื่อนสนิท ใบหน้าหันไปทางซ้ายทีขวาทีเพราะตกใจ แต่สิ่งที่ได้กลับมาจากไอ้กู๊ดคือเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก สรุปคือมันเกิดอะไรขึ้น... งงไปหมดแล้ว

“จี้ว่ะไอ้ปูน แผ่นดินไหวที่ไหน มึงนั่งเหม่อต่างหาก”
ไอ้กู๊ดพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กันในสภาพที่เตรียมพร้อมจะออกไปข้างนอก เนื่องจากวันนี้ไม่มีเรียนเลยนัดกันว่าจะไปเที่ยวพระราชวังสักหน่อย

“เหรอวะ โทษที กูเบลอๆ มึนๆ”
ผมบอกก่อนจะใช้สันมือเคาะหัวตัวเองสองสามทีเพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา อาการคิดมากจนนอนไม่พอส่งผลให้เบลอขนาดนี้เลยเหรอวะ แล้ววันนี้จะเอาชีวิตรอดกลางแดดร้อนเที่ยงวันได้อย่างไร

“เมื่อคืนไม่ได้นอนหรือไงวะ สภาพเหมือนหมีแพนด้าเลยมึง”
ไอ้กู๊ดถามออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงก่อนจะใช้นิ้วเรียวๆ จิ้มมาที่แก้มของผมเหมือนช่วยเรียกสติอีกแรง ถ้าคนอื่นมาเห็นคงคิดไปไกล แต่สำหรับเราแล้วเรื่องแบบนี้ช่างธรรมดาเหลือเกิน

“เออ คิดอะไรนิดหน่อย กูไปอาบน้ำก่อนนะ”

“เออๆ เดี๋ยวไปหาอะไรมาให้กินแล้วกัน”

ผมใช้เวลาถอดเสื้อผ้าไม่ถึงหนึ่งนาทีแต่ใช้เวลาไปกับการนั่งปลดทุกข์เกือบชั่วโมง ประเด็นคือเผลอหลับจนไอ้กู๊ดต้องมาเคาะประตูเรียกให้รีบอาบน้ำ กว่าจะจัดการตัวเองเรียบร้อยก็ปาไปสิบโมงเช้าแล้ว ขายาวๆ ก้าวออกมาจากห้องน้ำก่อนที่สายตาจะปะทะกับน้อยยิ้มหวานๆ ของผู้มาเยือนใหม่ ไอ้แทจุนที่ในมืออุดมไปด้วยถุงพลาสติกสีดำ เชื่อว่าด้านในคงเป็นของกินที่ซื้อมาฝากหวานใจมันแน่ๆ น่าอิจฉาเว้ย

“อันนยอง ปูน ~”
คำทักทายเป็นภาษาเกาหลีลอดออกมาจากริมฝีปากสีชมพูสดตามแบบฉบับคนเกาหลีผิวขาว ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งที่โต๊ะแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ ยังง่วงอยู่เลยเว้ย ให้ตายสิ เปลี่ยนแผนเป็นนอนอยู่ที่ห้องได้ไหม แล้วส่งมันสองคนไปเดทกัน เหมือนพิธีกรรายการเทคกายเอ้าท์ไปอีกอะกู

“อันนยอง หาว ~”
หาวตบท้ายไปอีกหนึ่งครั้งเลยทำให้แทจุนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะส่งกล่องอาหารเช้าหน้าตาน่ากินมาให้ มันเป็นข้าวตัมใส่ธัญพืชและเนื้อสัตว์ ภาษาเกาหลีจะเรียกว่า ‘จุค’

   “ม็อกจา!” (กินกันเถอะ)

   “อือ”

   ระหว่างที่นั่งกินข้าวก็เกิดความหมั่นไส้อย่างช่วยไม่ได้ ก็ใครใช้ให้ไอ้กู๊ดเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วมองแทจุนแบบไม่ละสายตาล่ะวะ แต่มันเนียนนะ ไม่ยอมให้เขารู้ตัวหรอก แต่ผมนี่สิแทบจะปากคว่ำอยู่รอมร่อแล้ว คิดถึงพี่ทาร์ตเว้ย อยากกลับบ้านแล้วเนี่ย

   “แดกคนแทนข้าวเลยไหมล่ะ จ้องเขาอยู่ได้”
   ผมหันไปพูดเสียงรอดไรฟันใส่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไอ้กู๊ดสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะละสายตาจากแทจุนมามองผมแทน มันเลิกคิ้วอย่างคนไม่รู้เรื่องราวอะไร แบบนี้มันยิ่งหน้าหมั่นไส้ฉิบหาย สนใจแต่ไม่แสดงออก ปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายจีบอยู่ได้ เจ้าเล่ห์นักนะคนเรา

   “พูดอะไรของมึง เพ้อเจ้อจัง”
   ไอ้กู๊ดพูดด้วยเสียงทะเล้นแล้วตักโจ๊กใส่ปากก่อนจะเหลือบมองแทจุนที่นั่งกินข้าวแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมที่อยากเผือกเต็มที่เลยส่งคำถามไปให้เพื่อนสนิทอีกระลอก

   “ชอบเหรอถามจริง”

   “ยัง... แต่ก็น่าสนใจดี”




-------------------------------------------------

ปูนมาทวงบัลลังก์คืนแล้วนะเออ หลังจากหนีไปกบดานสองตอน
เจ้ากู๊ดเจอคนน่าสนใจเข้าแล้วล่ะ น้องปูนคงเป็นหมาหัวเน่า 5555
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 16 -P.3- (17/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-05-2017 14:33:47
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 16 -P.3- (17/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: gookgik ที่ 17-05-2017 15:37:39
ถ้าพี่ทาร์ตรู้ว่ากายยังรุกปูนไม่เลิก คงรีบบินมาเฝ้าปูนแน่

พี่ทาร์ตบทจะจีบก็รุกหนักเลย เล่นเอาปูนไปไม่เป็น เพราะมัวแต่เขิน
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 16 -P.3- (17/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 17-05-2017 17:17:55
 :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 17 -P.3- (19/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 19-05-2017 22:34:58
(http://i.imgur.com/pDJEMzM.png)


สูตรที่ 17

Chocolate Mint Macaron
: อัลมอนด์ป่น/น้ำตาลไอซิ่ง/ไข่ขาว/น้ำตาลเกล็ดละเอียด/สีผสมอาหาร/ดาร์กช็อกโกแลต/วิปปิ้งครีม/กลิ่นมิ้นท์ :




แสงแดดยามเที่ยงวันลอดผ่านหน้าต่างเครื่องบินที่กำลังแลนด์ดิ้งสู่สนามบินนานาชาติภูเก็ตปลุกให้ใครบางคนที่นั่งหลับมาราวๆ สี่สิบห้านาทีลืมตาตื่นขึ้นด้วยความงัวเงีย มือเรียวยกขึ้นขยี้หัวตัวเองไปมาแล้วหันไปมองคนด้านข้างด้วยความเบื่อหน่าย เชี่ย กรนดังฉิบหาย อายชาวบ้านเขาไหมล่ะ

"เชี่ยกู๊ด ตื่น"
ผมออกเสียงเรียกไอ้กู๊ดที่ยังนั่งหลับสัปหงกอยู่ตรงกลาง อีกด้านเป็นเป็นเพื่อนรวมสาขา ส่วนไอ้ไนน์เกาะติดแฟนมันอย่างกับปลิง คิดแล้วก็หงุดหงิด... 

"อือ"
มันครางรับเสียงงัวเงียก่อนจะทิ้งหัวหนักๆ ของมันลงมาบนไหล่แล้วอ้าปากหาวหวอดจนผมต้องยกมือขึ้นปิดจมูกตัวเอง แม่งเอ้ย เหม็นน้ำลายบูดสุดๆ จำได้ว่าก่อนขึ้นเครื่องมันแดกไก่บอนชอนรสกระเทียมมา น้ำตาจะไหล

"เชี่ยกู๊ด ปากเหม็นกระเทียมฉิบหาย"
ผมบ่นเสียงอู้อี้ก่อนจะกระตุกไหล่ให้คนที่นอนพิงกันอยู่ถอยออกไปสักที แต่คงามหน้าด้านของมันมีเยอะเลยไม่ยอมขยับตัวไปไหนแถมยังสอดมือเข้ามากอดรอบแขนกันอย่างออดอ้อนอีก ถ้าเป็นพี่ทาร์ตจะไม่ว่าสักคำ อย่าหาว่าลำเอียงเลยก็ความรู้สึกมันแตกต่างกันนี่

"ทำอย่างกับปากมึงไม่เหม็น กินมาด้วยกัน"
มันบอกเสียงงัวเงียก่อนจะผละตัวออกแล้วเหล่สายตามองกันอย่างเอาเรื่อง มือหนายกขึ้นขยี้ตาตัวเองไปมา ดูยังไงก็น่าหมั่นไส้ ไม่เห็นจะน่ารักอย่างที่คนอื่นพูดกัน ทีผมทำพี่ทาร์ตบอกว่าเหมือนเด็กอนุบาล... อยากถามจริงๆ รักกันแน่เหรอวะ

"กูอมลูกอมแล้วเถอะ"

"ครับๆ พ่อคนปากหอม เครื่องจะแลนด์ดิ้งแล้วเหรอวะ"
ไอ้กู๊ดเอี้ยวตัวมาทางผมเพื่อมองบรรยากาศด้านนอกผ่านหน้าต่างเครื่องบิน ผมพยักหน้ารับก่อนจะใช้มือดันอกมันที่แนบลงมา แค่อยากแกล้ง ไม่ได้อึดอัดอะไร แถมสาวๆ ที่กำลังมองมายังแอบกรี๊ดกร๊าดอีก... สมัยนี้อะไรนิดอะไรหน่อยพวกเธอก็จิ้นไปซะหมด เพลียใจจัง

"เออดิ ลดระดับบินแล้ว"
ผมตอบกลับเพื่อยืนยันอีกครั้ง ไอ้กู๊ดเงยกน้าขึ้นมาเบะปากให้กันเล็กน้อยก่อนจะดึงตัวกลับไปนั่งที่เดิม ดวงตาคมจ้องมองไปทางด้านหน้าเมื่อเห็นแอร์โฮสเตสกำลังกลับมาทำหน้าที่ตัวเองอีกครั้ง ความเจ้าชู้กลับมาแล้วหรือไงนะ

"มีคนมารับยัง"
มันถามเมื่อหมดความสนใจในตัวแอร์โฮสเตสสาวพวกนั้น มือหนาควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก่อนจะหยิบขึ้นมากดเปิดเครื่องเมื่อล้อเครื่องบินแตะพื้นเรียบร้อยแล้ว

"มีแล้ว"
ผมตอบกลับไปก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดเครื่องเช่นกัน หน้าจอปรากฎข้อความจากแอพพลิเคชั่นสีมะนาวจากคนที่อาสามารับถึงสนามบิน ทำให้มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มได้อย่างง่ายดาย

'พี่อยู่สนามบินแล้ว ถ้าถึงก็ไลน์มานะ'

"ใครวะ"
ไอ้กู๊ดลุกขึ้นยืนก่อนจะขยับตัวออกจากที่นั่งอย่างยากลำบาก เพราะแต่ละคนต่างก็อย่างลงจากเครื่องเต็มทน ผมลุกตามออกไปแล้วแทรกเข้าที่ช่องว่างเล็กๆ มีมันเป็นเพื่อนโคตรได้ประโยชน์

"ไม่บอก"
ผมบอกเสียงทะเล้นก่อนจะเปิดที่เก็บกระเป๋าบนหัวแล้วหยิบสัมภาระของเพื่อนและของตัวเองลงมาถือไว้ ไม่ใช่กระเป๋าอะไรแต่เป็นพวกของฝากมากกว่า แล้วไอ้ตุ๊กตากระต่ายอ้วนตุ๊ต๊ะในมือก็ทำให้ผมเขินแปลกๆ ไม่ได้เข้ากับหน้าตาเลยไง แทจุนแม่ง... ไม่รู้จะซื้อให้ทำไม ตัวใหญ่จนยัดใส่กระเป๋าเป้ไม่ได้เนี่ย

"เฮ้ย จะกลับด้วยไง"
เสียงประท้วงเบาๆ จากไอ้กู๊ดที่ยืนอยู่ด้านหลังทำให้ผมชะงักอาการขัดเขินของตัวเองเอาไว้แล้วกระชับกอดตุ๊กตาแน่นขึ้นแล้วหันไปตอบคำถามของเพื่อนอย่างจริงจัง

"อ๋อ... พี่ทาร์ตมารับ เดี๋ยวกูบอกให้ว่าไปส่งมึงด้วย"

"ดีๆ กูซื้อของมาฝากพี่เขาด้วย"
ดูมันจะตื่นเต้นมากกว่าผมที่ไม่ได้เจอพี่ทาร์ตแรมเดือนอีกนะ สรุปว่าไอ้กู๊ดมันแอบชอบเขาด้วยหรือเปล่า มีของฝากกันอีก ทะแม่งๆ แล้วนะมึง

"ห๊ะ มีซื้อของฝากด้วย ตกลงอะไรยังไง"
ผมถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้เต็มทนแต่ขาก็ยังก้าวไปข้างหน้าเพื่อลงจากเครื่องบิน ดีหน่อยที่ช่วงเที่ยงยังมีงวงช้างให้เดินสบายๆ เข้าภายในตัวอาคาร ลองกลับจากกรุงเทพฯ เวลาดึกๆ สิ ขึ้นรสบัสมหาประลัยทุกที

"ไม่บอกหรอก ความลับ"
เสียงกวนๆ ของไอ้กู๊ดดังมาจากด้านข้างทำให้ผมง้างมือเอาตุ๊กตาฟาดมันด้วยความหมั่นไส้ เรื่องไอ้แทจุนยังไม่เคลียร์เสือกมีลับลมคมในเรื่องพี่ทาร์ตอีก ไม่กลัวว่ามันจะตีท้ายครัวหรอก กลัวจะไปสนิทกันแล้ววางแผนแกล้งผมแบบแปลกๆ นี่สิ

"ไอ้เชี่ยนี่"
ด่ามันในขณะที่โดนดึงตุ๊กตากระต่ายอ้วนออกไปจากมือ ไอ้กู๊ดขยับไหล่มากระแซะกันแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ ต่อยสักทีได้ไหม หมั่นไส้ว่ะ โคตรๆ ด้วย

"หึงเหรอๆ"
มันยังคงกวนตีนไม่เลิกแถมยังเอาตุ๊กตามาดันหน้ากันอีก แล้วไอ้ที่บอกว่าผมหึงน่ะ ไม่ใช่เลย ความมโนส่วนตัวของมันล้วนๆ

"เกลียดมึงจริงๆ"
ผมแยกเขี้ยวใส่มันแล้วดึงตุ๊กตามากอดไว้เหมือนเดิม ถึงจะเขินแค่ไหนก็อดหมั่นไส้ไอ้กู๊ดไม่ได้หรอก เพราะมันเอาแต่จะคอยขโมยเจ้ากระต่ายอ้วนอยู่เรื่อย ด้วยเหตุผลที่ว่าคิดถึงแทจุน หอกหัก ตอนถามว่าชอบเขาหรือเปล่ากลับปฏิเสธ ปากไม่ตรงกับใจว่ะ แอบติดนิสัยนี่มาจากใครหรือเปล่าก็ไม่รู้

หลังจากรับกระเป๋าเดินทางใบโตเรียบร้อยผมก็ไลน์หาพี่ทาร์ตว่ายืนรออยู่ประตูทางออกของอาคาร ไม่นานนักรถที่ไม่คุ้นตาก็ขับมาเทียบที่ที่เรายืนอยู่ ร่างสูงที่ไม่ได้เจอกันเป็นเดินๆ ก้าวลงจากมาทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นหันมองแทบจะเป็นตาเดียว มารับคนนี่ต้องแต่งตัวเต็มยศเหมือนจะไปเดินแบบด้วยเหรอว่ะ หมั่นไส้

"โอ้โห นั่นนายแบบหลุดออกมาจากนิตยสารหรือไงวะ ขับจู๊คสีแดงด้วย โคตรเฟี้ยว"
เสียงไอกู๊ดตื่นเต้นจนผมต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ทำอย่างกับไม่รู้จักพี่ทาร์ตอย่างนั้นล่ะ แค่ใส่แว่นกันแดดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว กางเกงสแล็กที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นกัน เอาจริงๆ ก็เนี๊ยบตั้งแต่กัวจรดเท้าเหมือนนายแบบในนิตยสารจริงๆ แต่ที่ผมสนใจมากกว่านั้นคือ... รถใคร

"มึงจำพี่ทาร์ตไม่ได้หรือไงวะ"
ผมถามกลับไปแล้วโบกมือให้กับคนที่กำลังเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ไอ้กู๊ดทำหน้าเหลอหลาแล้วจ้องพี่ทาร์ตแทบตาถลน สงสัยจะจำไม่ได้จริงๆ

"เชี่ย ไม่เจอกันเดือนสองเดือนหล่อขึ้นกว่าเดิมอีก แม่งเอ้ย อิจฉามึงจริงๆ"
ไอ้กู๊ดฉีกยิ้มกว้างให้คนที่เดินเข้ามาช่วยยกกระเป๋าขึ้นด้านหลังโดยไม่เอ่ยปากทักทายอะไรเพราะต้องรีบทำเวลา มีรถต่อคิวอยู่ด้านหลังอีกเยอะ ส่วนไอ้เพื่อนตัวดีกลับยืนเฉยๆ ไม่ยอมขยับไปไหน แต่ลูกตากลับเหลือบมองพี่ทาร์ตอย่างสนใจ

"อะไรของมึง อยากเป็นเมียพี่ทาร์ตเหรอไง"
ผมเหน็บมันด้วยความหมั่นไส้ อิจฉาอะไรกันล่ะ คนอย่างพี่ทาร์ตความรู้สึกช้าแถมบางครั้งยังทำอะไรไม่รู้จักคิดอีก ถ้าอดทนไม่พออาจจะทางใครทางมันไปนานแล้วก็ได้

"แหนะ ถามงี้แสดงว่ามึงจะเป็นเมียให้พี่ทาร์ตงั้นสิ"
ไอ้กู๊ดเข้ามากระแซะไหล่ ทำน้ำเสียงล่อเลียนจนผมคิ้วกระตุก เมื่อครู่ประชดเว้ย เบี่ยงประเด็นมาเป็นผมอยากเป็นเมียพี่ทาร์ตได้ยังไงวะ เรื่องแบบนี้ใครจะยอม เป่ายิงฉุบก็ไม่ได้ด้วย เรื่องใหญ่ของชีวิตผู้ชายนะ

"เปล่าเว้ย เรื่องแบบนี้ใครดีใครได้"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เชื่อมั่นว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ถ้าจะโดนจิ้มขึ้นมาจริงๆ ก็แค่ดราม่าใส่เท่านั้น ยกเหตุผลร้อยแปดมาอ้าง ถ้าพูดกันตามรูปลักษณ์ภายนอกก็เถียงไม่ออกว่าตำแหน่งเมียเหมาะสมกับตัวเองที่สุด เพราะคิดสภาพพี่ทาร์ตเป็นเมียไม่ออก มันสยองพิลึก

"จะคอยดู"

"เออคอยดูเถอะ เพื่อนมึงจะเป็นชายเหนือชาย"
ยืดอกอย่างมั่นใจประกอบคำพูดของตัวเอง พร้อมกับยักคิ้วกวนๆ ให้ แต่ไอ้กู๊ดกลับเบ้ปากใส่อย่างคนไม่เชื่อแล้วพึมพำอะไรบางอย่างออกมา

"ออนท็อปสินะ"
มันพึมพำเสียงเบาอย่างกับคนแอบตด ฟังไม่รู้เรื่องเลยสักอย่าง ได้ยินแค่คำลงท้าย 'สินะ' นินทาอะไรกูอีกล่ะไอ้แสนดี!

"มึงว่าไงนะ"
ผมถามย้ำแต่ไอ้กู๊ดกลับทำหูทวนลม กำลังจะอ้าปากด่ามันอยู่แล้วกลับโดนเสียงทุ้มๆ ของพี่ทาร์ตขัดไว้ ลืมไปเลยว่าคนอื่นเขาต่อคิวรับคนอยู่ จะโดนด่าไหมเนี่ย

"เอ้า ขึ้นรถเว้ย อย่ามัวแต่คุยกัน"
พี่ทาร์ตโบกมือไล่ให้ขึ้นรถ ผมรีบเดินไปเปิดประตูรุแล้วสอดตัวเข้าไปนั่งทันที พี่ทาร์ตก็เช่นเดียวกัน แต่เวลาผ่านไปสักพักกลับไม่ได้ยินเสียงของเพื่อนสนิท มันทำบ้าอะไรอยู่วะเนี่ย!

"ปูน... ทำไมไอ้กู๊ดไม่ยอมขึ้นรถสักที"
พี่ทาร์ตถามออกมาก่อนจะขมวดคิ้วมองไปทางด้านหลังรถ ผมเบนสายตาตามไปก็เห็นเพื่อนสนิทยืนก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงนั้น ไม่ยอมเปิดประตูขึ้นมาสักที ทำอะไรหล่นกรือเปล่าก็ไม่รู้ อาจจะต้องลงไปช่วยหา

"เดี๋ยวผมถามให้"
ผมบอกพี่ทาร์ตก่อนที่กระจกไฟฟ้าจะลดลง ยื่นหน้าออกไปมองไอ้กู๊ดที่ยังไม่หยุดก้มๆ เงยๆ สีหน้าท่าทางบ่งบอกว่ากำลังงงสุดขีด

"เชี่ยกู๊ด ยืนหาอะไรของมึง ขึ้นรถเว้ย"
ผมตะโกนออกไป ไอ้กู๊ดถึงกับสะดุ้งเฮือก แล้วนรีบเดินมาหากัน หน้าตายังดูงงๆ เบลอๆ อยู่เลย

"เปิดไงอะ"
มันถามก่อนจะชี้ไปที่ประตูรถ คิ้วสวยขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกโบว์ ผมหลุดขำเล็กน้อยที่ไอ้กู๊ดหาที่เปิดประตูรถไม่เจอ เป็นเรื่องธรรมดาที่คนส่วนใหญ่จะคิดว่าจู๊คมีสองประตูสี่ที่นั่ง เพราะลักษณะภายนอกตีความได้แบบนั้น

"ข้างหน้าต่าง มึงดู ที่เปิดประตูอยู่ตรงนั้น"
ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วชี้นิ้วระบุตำแหน่งให้ไอ้กู๊ดเดินไปดู มันทำตามแล้วไล่สายตาไปเรื่อยๆ จนอยู่ๆ ก็ชะงักไปแล้วหันหน้ามายิ้มกว้างให้กันอย่างกับเด็กเจอของเล่นใหม่

"เชี่ย เจอแล้วๆ"
มันบอกด้วยน้ำเสียงดีใจก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามานั่งด้านใน ส่วนพี่ทาร์ตกดปุ่มเลื่อนกระจกขึ้นแล้วรีบออกรถทันทร เมื่อได้ยินเสียงแตรจากด้านหลังกดไล่

"สรุปคือมึงหาที่เปิดประตูรถไม่เจอเหรอกู๊ด"
พี่ทาร์ตที่ขับรถออกมาได้สักพักถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แต่ไอ้กู๊ดไม่ได้ขำตาม คงจะอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ผมก็เคยเป็นแบบมันนะ คิดว่าจู๊คมีสองประตู จากความสงสัยเลยไปเซิร์ทในกูเกิ้ลดูความจริงเลยกระจ่าง... ไม่อย่างนั้นคงได้โชว์โง่เป็นเพื่อนไปแล้ว

"อย่าขำดิพี่ โคตรอาย"
ไอ้กู๊ดบ่นเสียงงุ้งงิ้งแล้วเอามือมาปิดหน้าตัวเองเอาไว้ ท่าทางน่ารักน่าชังแต่น่าถีบมากกว่าเลยทำให้ผมคว้าโทรศัพท์มือถือกดถ่ายรูปมันเอาไว้แล้วส่งต่อให้แทจุนทางไลน์โดยพิมพ์ข้อความต่อท้ายว่า 'กู๊ดกำลังอาย' เป็นภาษาเกาหลี รู้ล่ะว่าเพื่อนชอบกัน จะช่วยเป็นกามเทพให้ ส่วนเรื่องกามอารมณ์ไปจัดการเอาเอง

"อายอะไรวะ กูก็เคยคิดว่ามันมีสองประตู เกือบหน้าแตกตอนไปดูรถที่โชว์รูมด้วยซ้ำ"
พี่ทาร์ตพูดต่อด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่มีทีท่าว่ามันเป็นเรื่องประหลาดแต่อย่างใด ผมก็คิดแบบนั้น คนออกแบบดีไซน์ก็ล้ำไป... ล้ำจนคนอื่นดูโง่

"จริงดิ นึกว่าโง่อยู่คนเดียว"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงโล่งอกแล้วโผล่หน้ามาตรงระหว่างเบาะ ใบหน้าดูมีชีวิตชีวามากกว่าตอนแรก แต่มันหารู้ตัวไม่ว่าผมขายเพื่อนข้ามประเทศ โทรศัพท์ที่สั่นครืดๆ อยู่ในมือบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าแทจุนรับรู้แล้ว หึ

รู้สึกตัวเองชนะเพราะมีไลน์แทจุน ส่วนมันไม่มี ดูสิว่าจะทำวิธีไหนให้ได้ไป ปากบอกแค่สนใจ แต่เพ้อไม่หยุดหย่อน น่าหมั่นไส้.... คิดไปคิดมาผมคงแพ้ เพราะไอ้เกาหลีนั่นน่าจะออดอ้อนเอาทุกโซเชี่ยลของไอ้กู๊ดไปซะก่อน โธ่เว้ย!

"เฮ้ย ไม่รู้ไม่ได้แปลว่าโง่เว้ย"
พี่ทาร์ตออกตัวด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ผมก็คิดตามนั้นนะว่าคนไม่รู้ไม่ได้โง่ แต่ถ้ารู้แล้วไม่จำนั่นล่ะโง่

"จริงด้วย เออๆ ผมซื้อของมาฝากด้วยนะ"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยเสียงกระตือรือร้นก่อนจะหยิบถุงกระดาษมาแกว่งไปมา ผมอยากคว้ามาเปิดดูแต่กลัวเสียมารยาทเกินไป

"อะไรวะ"
พี่ทาร์ตถามก่อนจะเหลือบสายตามองทางกระจก สีหน้าดูแปลกใจไม่น้อยที่ไอ้กู๊ดซื้อของมาฝาก ไม่ได้สนิทอะไรกัน แต่อย่าลืมว่าพี่เป็นไอดอลของมันนะเว้ย

"ไม่บอก ค่อยเอาไปแกะดูที่บ้านนะ"
ไอ้กู๊ดยักคิ้วกวนๆ กลับมาแล้ววางถุงของฝากไว้ตรงเบาะหลังตามเดิม ผมอยากรู้ว่าข้างในเป็นอะไรแล้วมันแอบไปซื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังจะอ้าปากถามด้วยความเผือกแต่ต้องชะงักไปเมื่อเจ้าของมันเอ่ยปาก โคตรขัดใจอะบอกเลย

"เออๆ ขอบใจ แล้วปูนไม่ซื้ออะไรมาฝากพี่บ้างเหรอครับ"
พี่ทาร์ตเหล่สายตามามองเล็กน้อยก่อนจะกลับไปสนใจถนนหนทางข้างหน้าต่อ ดูก็รู้ว่ากำลังคาดหวังอะไรบางอย่างจากผม แต่ด้วยความที่ว่าไม่ถนัดซื้อของฝากใครเลยได้ขนมเกาหลีกลับมา

"หูย แม่ง คนสองมาตรฐานอย่างชัดเจน"
ไอ้กู๊ดบ่นอุบอิบเมื่อได้ยินประโยคสุภาพจากปากพี่ทาร์ต มันเป็นเรื่องปกติของเขาอยู่แล้วที่จะพูดหยายกับคนอื่นแล้วพูดหวานกับผม เป็นแบบนี้มานานแล้วไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ตั้งแต่จำความได้เลยมั้ง

"บ่นอะไร เดี๋ยวกูถีบตกรถ"
คนข้างๆ ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเพื่อขู่ไอ้กู๊ดก็เท่านั้นล่ะ ใครจะไปกล้าถีบคนให้ตกรถเล่า แต่ดูท่าทางไอ้คนโดนว่าจะกลัวจริงๆ เพราะมันอ้าปากค้างกระพริบตาปริบๆ น่าสงสารจริงๆ ไม่รู้จักนิสัยขี้แกล้งของพี่เขาล่ะสิ

"โอย เปล่าครับ นอนดีกว่า คร่อก"
หนีกันหน้าด้านๆ ทำเป็นหลับคอพับคออ่อนเหมือนปลาทูคอหัก อยากจะถีบมันตกรถเหมือนพี่ทาร์ตแล้วดิ โคตรน่าหมั่นไส้

"ไอ้นี่นิ"
พี่ทาร์ตดูจะหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็ยังคงความเร็วของรถไว้เท่าเดิม ถ้าโมโหขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าเขาจะเหยียบจนมิดไมล์ ก็ถนนมันโล่งซะขนาดนี้

"เอาน่าๆ ตั้งใจครับรถเถอะครับ"
ผมตบบ่าพี่ทาร์ตเบาๆ เป็นการปลอบใจ ก่อนจะได้รับเสียงถอนหายใจและการพยักหน้าตอบรับกลับมา รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จนทำให้ผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ชอบกล

"ไม่มีของฝากเหรอ"
นั่นไง ลางสังหรณ์ไม่เคยพลาดว่ะ พี่ทาร์ตถามย้ำอีกครั้งหลังจากที่ยังไม่ได้คำตอบอะไรจากผม

"มีสิ"
ผมตอบไปตามความจริงเพราะซื้อขนมมาฝาก มันไม่มีอะไรพิเศษมากกว่านั้น ไอ้จะซื้อพวกโสมก็แพงเกินไปอีก สรรพคุณก็อลังการงานสร้างไป คงไม่เหมากับพี่ทาร์ตสักเท่าไหร่เพราะยังไม่แก่

"อะไรเหรอ"

"ขนมจากเกาหลีไง"

"ไม่มีอย่างอื่นเหรอ"
พี่ทาร์ตถามต่อ ราวกับไม่ชอบใจที่ได้ขนม นี่มันของฝากไม่ได้ฝากซื้อสักหน่อย รับๆ ไปเหอะน่า เรื่องมากจริง ผมเหลือบสายตามองเขาก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงกวนๆ

"จะเอาอะไรล่ะ เครื่องสำอางงี้เหรอ"
ถามจบก็ลอบมองปฏิกิริยาของเขาว่าจะทำหน้าตาแบบไหน แล้วผมเกือบหลุดหัวเราะเมื่อคิวเข้มขมวดฉับจนแทบผูกโบว์ได้ แถมปากยังคว่ำลงอีก อย่างกับเด็กๆ เวลาโดนขัดใจเลย ตลกว่ะ

"ไม่ใช่เว้ย แบบพิเศษใส่ไข่น่ะ มีไหม"
อะไรคือพิเศษใส่ไข่วะ ข้าวต้มเหรอ

"ถุงยางเหรอ พิเศษใส่ไข่เนี่ย"
ผมยังคงกวนต่อไปเมื่อคิดได้ว่าพี่ทาร์ตคงหมายถึงของฝากที่ดูพิเศษกว่าขนมพวกนี้ ประมาณว่าชิ้นนี้ซื้อให้เขาโดยเฉพาะ แตกต่างจากคนอื่น

"ปูน..."
เรียกกันเสียงดุเชียว สนุกว่ะ ไม่ได้แกล้งกันนาน โคตรคิดถึงบรรยากาศแบบนี้เลย ผมไปพัฒนาสกิลการกวนประสาทคนมาจากแทจุนล่ะ

"ผมพูดอะไรผิดเหรอ"
ถามลอยหน้าลอยตาจนโดนพี่ทาร์ตค้อนใส่วงใหญ่ แค่แกล้งนิดหน่อยเอง ทำหน้าตาจริงจังไปได้น่า โอ๋นะคุณชาย

"กวนตีน"

"จะถีบผมลงจากรถอีกคนไหมล่ะ"

"ใครจะกล้า..."
พึมพำเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่พี่ทาร์ตไม่ได้เปิดเพลงไง... ทำตัวหน้ารักหัดเกรงใจ ถึงจะเป็นคนสองมาตรฐานผมก็ไม่ขัดนะ พูดเพราะกับผมแต่หยาบกับคนอื่น รู้สึกตัวเองพิเศษจัง

ผ่านไปนานเกือบห้านาทีที่ต่างคนต่างเงียบ พี่ทาร์ตตั้งใจขับรถส่วนผมนั่งคิดมุกจีบเขาไปเรื่อยๆ ครึ้มอกครึ้มใจอยากแกล้งคนข้างๆ ให้เขินบ้าง เพราะตอนอยู่ที่เกาหลีผมโดนไปหลายรอบ จนไอ้กู๊ดใช้ล้อได้จนตาย และไม่นานนักก็ได้ไอเดียจากการทวงของฝากนี่ล่ะ แจ่ม

"อืม... ตัวผมพิเศษไม่พอเหรอ"
อยู่ๆ ผมก็พูดขึ้นลอยๆ ทำให้คนที่นั่งเคาะนิ้วเป็นจังหวะเพลินๆ ขณะรถติดไฟแดง เขาหันมามองด้วยใบหน้าสงสัย คงจะงงว่าเพ้อเจ้ออะไรอยู่ บางทีคนฉลาดที่ขาดสติก็ตามใครไม่ทัน

"อะไรนะ"

"ก็แบบว่า... ผมกลับมาหาพี่ทาร์ตแล้วไง ยังพิเศษไม่พออีกเหรอ"
เออ พูดเองก็เขินตัวเองซะอย่างนั้น จากที่อยากแกล้งสบไปด้วยกลับล้มไม่เป็นท่า แม่ง... เมื่อไหร่จะเลิกแพ้ผู้ชายคนนี้สักที

"พูดงี้พี่ไปไม่เป็นเลยว่ะ..."
พี่ทาร์ตพึมพำออกมาเบาๆ หางตาเหลือบไปเห็นว่าเขายกมือขึ้นลูบท้ายทอยไปมา แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีชมพูระเรื่อจางๆ จากที่ไม่กล้ามองหน้าในตอนแรก กลับกลายเป็นว่าผมตื่นเต้นที่ทำสำเร็จแล้วเอื้อมมือไปผลักไหล่เขาซะได้

"เขินอะดิ โดนผมหยอดบ้าง"
ผมถามด้วยน้ำเสียงทะเล้นแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ พี่ทาร์ตผงะถอยไปเล็กน้อยแต่ไม่ได้หนีไปไหน แถมยังจ้องตากลับมาอีก

"อยากเขินเป็นเพื่อนกันไหมล่ะ"
มีท้าทายอำนาจด้วยเว้ย แต่ผมคืดวิธีตอบกลับได้แล้วล่ะ หึหึ เขินกว่าเดิมแน่ๆ

"ไม่เอาครับ ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนสักหน่อย"
พูดด้วยเสียงอ้อนๆ แล้วเบนสายตาหลบเพราะรู้สึกขนลุกกับคำพูดตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเกิดอาการเขินส่วนหนึ่ง

"โอ้ย มดกัดอะ"
เสียงไอ้กู๊ดทำลายทุกอย่างจนพังทลาย ไอ้เชี่ยเอ้ย กำลังจะเข้าจุดพีคอยู่แล้ว ขัดกันได้

"ไอ้เหี้ยกู๊ด!!!!!!!!"

เหลือเวลาก่อนเปิดเทอมประมาณหนึ่งอาทิตย์ ผมเลือกมาช่วยงานที่ร้านขนมของป้าอุ่นเพราะโดนพี่ทาร์ตขอร้องมา และออดอ้อนว่าอยากอยู่ใกล้ๆ กันตลอดเวลา ตอนแรกมันจะขัดเขินหน่อยๆ ค่อนไปทางอึดอัด แต่พอผ่านไปสักพักกลับรู้สึกสบายใจและขนลุกมากกว่า...

ก็พี่ทาร์ตโหมดอ่อยน่ะ ใครจะไปชิน ส่วนผมก็ซึนไปสิเพราะเขิน

"ปูน หน้าพี่เลอะแป้งหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตขยับหน้าเข้ามาใกล้จนผมที่กำลังยืนนวดแป้งขนมปังช่วยเขาต้องผงะถอยหลังเพราะสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รดอยู่ข้างหู

"อะไรพี่ ไม่เห็นจะเลอะ"
ผมขยับตัวออกมานิดหน่อยแล้วก้มหน้าก้มตานวดแป้งต่อเพราะอีกหนึ่งชั่วโมงจะได้เวลาเปิดร้านแล้ว ง่วงก็ง่วงเนี่ย โดนปลุกตั้งแต่ตีห้า

"ดูดีๆ สิครับ เมื่อกี้พี่เอามือเช็ดแก้มน่ะ มันน่าจะเลอะ"
พี่ทาร์ตพูดจบก็พองลมเต็มแก้มแล้วชี้ๆ ตรงตำแหน่งที่ตัวเองบอกว่าเลอะ ผมชะงักมือแล้วมองมันด้วยสายตาเบื่อๆ อ่อยกันอยู่ได้ นึกว่าไม่รู้หรือไงกัน แต่ใครจะไปหลงกล โง่ตายเลย แถมขาดทุนอีก

"ไม่เลอะครับ อย่ามโนดิ รีบๆ ทำขนมเถอะน่า"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงฉุนๆ ก่อนจะส่งสายตาดุไปให้อีกคนที่ยังไม่เลิกเอียงแก้มมาให้กัน พี่ทาร์ตปล่อยลมออกจากปากแล้วหดตัวกลับไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง

"อะไรว้า คนเขาอุตส่าห์อ่อย ไม่อยากหอมแก้มพี่บ้างเหรอ"
บ่นอุบอิบก่อนจะตั้งคำถามตรงท้ายประโยค ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วส่ายหัวหน่ายๆ วันแรกๆ ที่โดนอ่อยก็เขินอยู่หรอก แต่หลังๆ ชักจะชินแล้ว รถอ้อยคว่ำเหรอครับพี่... ผมไม่หอมแก้มใครก่อนหรอก ขาดทุนตาย ยังไม่ได้เป็นแฟนกันด้วย หวงตัวนะเออ

"หึ ไม่ล่ะครับ ผมขาดทุนอะ"

"อยากได้กำไรไหมล่ะ หอมมาจูบกลับ"

"กำไรพี่น่ะสิ หยุดพูดไปเลยนะ"
ยอมรับว่าคราวนี้โดนจู่โจมจนรู้สึกหน้าร้อนอย่างห้ามไม่ได้ มือไม้ที่นวดแป้งก็อ่อนแรงไปหมด ไม่ทำมันแล้วเว้ย กำลังจะก้าวขาหนีเพราะไม่สามารถทนทำงานต่อไปได้จริงๆ ช่วยไอ้ฟ่อนจัดร้านจะดีกว่าอีก แต่พี่ทาร์ตกลับร้องเรียกไว้

"เฮ้ยๆ จะไปไหนครับ ยังช่วยพี่ทำขนมไม่เสร็จเลยนะ"
ไม่ท้วงเปล่าแต่เดินมาคว้าแขนกันไว้ราวกับกลัวว่าผมจะหนีออกไปจากร้านนี้ มาด้วยกันนะ คิดว่าจะไปไหนรอดล่ะ... แค่จะช่วยไอ้ฟ่อนจัดร้าน จำเป็นต้องตื่นตูมขนาดนี้เลย

"ช่วยไอ้ฟ่อนจัดร้าน"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบโดยไม่มองหน้าพี่ทาร์ตและยังปล่อยให้เขาจับข้อมืออยู่อย่างเดิม ก็มันอุ่นดีนี่หว่า ไม่ได้เสียหายอะไรด้วย

"ไม่เอาน่า ช่วยพี่เถอะนะ ยังเหลืองานอีกเยอะเลย"
น้ำเสียงอ้อนๆ ถูกส่งมาพร้อมสายตาคล้ายลูกหมา ผมได้แต่เม้มปากแน่นแล้วเบือนหน้าหนี เพราะไม่สามารถทนมองได้ เพราะรู้สึกว่ามันน่ารักขึ้นมาซะเฉยๆ

"พี่ก็หยุดแกล้งผมก่อนสิ"
ผมบอกเสียงอ้อมแอ้มเมื่อคิดถึงประโยคหยอกล้อเมื่อครู่ 'หอมมาจูบกลับ' แล้วพาลแก้มร้อนขึ้นมาอีกระลอก ให้ตายเถอะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยทำอะไรแบบนั้นกับใครเลย

"เมื่อกี้พูดจริงนะ ไม่ได้แกล้ง"
น้ำเสียงจริงจังแต่แววตาเต็มไปด้วยความขี้เล่นจนผมต้องดึงข้อมือตัวเองออกมาแล้วกอดอกมองนิ่งๆ แกล้งกันชัดๆ

"พี่ทาร์ต..."
ผมเรียกเสียงดุ ถ้ายังคิดจะแกล้งกันคงไม่อยู่ด้วยจริงๆ ไม่ไหวหรอก โดนอ่อยบ่อยๆ เดี๋ยวหลวมตัวพอดี

"ครับๆ ไม่แกล้งแล้ว ช่วยพี่ต่อนะ"
พี่ทาร์ตรีบยกมือยอมแพ้แล้วขอให้ผมช่วยทำขนมต่อแบบไม่มีทีท่าจะแกล้งกันอีกแล้ว เพราะงานวันนี้เยอะจริงๆ ขนาดตื่นเช้ากว่าทุกวันยังมีแววว่สจะทำไม่ทัน เพราะมีออเดอร์นอกด้วย

"ก็ได้"

เวลาล่วงเลยมาถึงเก้าโมงทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมจำหน่ายและพร้อมส่งให้กับลูกค้าที่ออเดอร์นอก ผมเปลี่ยนหน้าที่มาเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ อย่างขนมปังปิ้งทาแยมสตรอเบอร์รี่ราดนมข้นเล็กน้อย พร้อมกับกาแฟลาเต้ให้ทุกๆ คน แต่ตอนนี้มีปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง เพราะผมพยายามเปิดฝากระปุกแยมมาเกือบสามนาที ในระหว่างที่พี่ทาร์ตกำลังเก็บอุปกรณ์ทำขนมไปล้าง

"พี่ทาร์ต กระปุกแยมมันเปิดไม่ออกอะครับ"
ผมหันไปบอกพี่ทาร์ตด้วยใบหน้ายุ่งเหยิงเพราะปวดมือไปหมดแล้ว ต้องโทษคนที่ปิดกระปุกแยมคนสุดท้าย จะบิดเกลียวอะไรขนาดนั้นวะ





ต่อด้านล่างเนอะ







หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 17 -P.3- (19/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 19-05-2017 22:35:20
"เดี๋ยวพี่ช่วย"
พี่ทาร์ตผละตัวออกมาจากซิงค์ล้างจานแล้วเช็ดมือกับผ้าขนหนูแถวนั้นก่อนจะเดินตรงมาหา ผมเลยยื่นกระปุกแยมไปให้ แต่เขาไม่ยอมรับไปกลับมายืนซ้อนหลังกันแล้วเอื้อมมือมาช่วยเปิด นี่มันอะไรวะเนี่ย... ควรทำยังไงกับเหตุการณ์นี้ดีวะ

"อะ..."
เมื่อแผ่นอกแกร่งแนยชิดกับแผ่นหลัง ผมก็ได้แต่ยืนแข็งเป็นหินไม่กล้าขยับตัวหนีไปไหน อุณหภูมิของร่างกายก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับร่างกายจะไหม้เป็นจุล สถานการณ์ชวนเขินนี่มันอะไรกัน หัวใจจะวายอยู่แล้ว ไอ้ฟ่อนช่วยที โผล่หน้ามาตะโกนเรียกเหมือนชั่วโมงที่แล้วทีสิ

"ออกแล้ว"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นข้างๆ ใบหูด้วยน้ำเสียงกระซิบเมื่อฝากระปุกแยมถูกเปิดออกเรียบร้อยแล้ว แต่แทนที่เขาจะถอยหลังออกไปดันรวบเอวผมเข้าไปกอดซะแน่น

"อือ ปะ ปล่อยได้แล้วครับ"
ผมบอกเสียงตะกุกตะกักแล้ววางกระปุกแยมลงบนเค้าน์เตอร์เพราะกลัวว่าจะมืออ่อนทำมันตกแตก พี่ทาร์ตไม่ได้คลายอ้อมกอดออกแต่เกยคางบนไหล่แทน รับรู้ได้ถึงชมหายใจอุ่นๆ ที่รดลงมาบนต้นคอ ขนลุกอะ ตายแน่ๆ

"ขออยู่แบบนี้สักพักนะ"
น้ำเสียงสั่นๆ ดังขึ้นทำให้ผมลอบถอนหายใจเบาๆ และยอมให้เขากอดอยู่แบบนั้น ระหว่างที่เราอยู่ห่างกันเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างนะ

"เป็น... อะไรหรือเปล่า"
ผมถามด้วยเสียงที่เบาไม่แพ้กันก่อนจะค่อยๆ แตะมือลงบนแขนที่โอบรอบลำตัวเอาไว้ เป็นห่วงจัง

"พูดได้เหรอ"
ถามอย่างกับกลัวผมรำคาญ

"ได้สิครับ..."
ใครจะรำคาญกันล่ะ จริงไหม

"ตอนปูนไม่อยู่ พี่คิดว่าคงอยู่ได้ตามปกติ  แต่มันไม่ใช่เลย คิดถึงฉิบหาย อยากบินไปหา อยากไปเฝ้า ยิ่งรู้ว่าไอ้กายยังไม่เลิกตื้อยิ่งรู้สึกระแวง"
ประโยคยาวๆ หลั่งไหลออกมาจากริมฝีปากหยัก พี่ทาร์ตซุกหน้าลงบนไหล่ของผมก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ

"คือ... ไม่ไว้ใจผมเหรอ"
ผมถามด้วยความสับสน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ระหว่างที่เราไม่ได้เจอกัน พี่ทาร์ตคิดมากขนาดนั้นเลยเหรอ เรื่องกายยอมรับว่าตอนนี้ยังค้างคาเพราะมันไม่ได้รับปากอะไร แต่อยากให้เขารู้ว่ามันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปไหนหรอก ผมรักเขาได้แค่คนเดียวเท่านั้น

"เปล่า กลัวไอ้กายจะทำอะไรปูน พี่เป็นห่วง พี่อยากดูแลปูนให้ได้มากกว่านี้"
คำสารภาพหลุดออกมาจากปากของพี่ทาร์ตอย่างง่ายดาย ไม่คิดเลยว่าเขาจะพูด ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเก็บทุกสิ่งทุกอย่างและเบี่ยงประเด็นไปเรื่อย ผมได้แต่เม้มปากแน่นเมื่อฟังจบ มันรู้สึกว่าหัวใจอุ่นวาบขึ้นมาทันที

"อ่า..."

"พี่พร้อมแล้วนะ"

"หือ หมายความว่ายังไงครับ"
พร้อมอะไร ไม่เห็นจะเข้าใจเลย

"พร้อมเดินไปข้างหน้ากับปูนแล้ว"
ผมว่าพอจะเดาอะไรบางอย่างออกแล้วล่ะ ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาจะทำยังไงล่ะทีนี้

ตึกตัก

"เป็นแฟนกันนะ"

"....."
ผมจะตายไหม หัวใจเต้นแรงเหลือเกิน


หลังจากที่โดนขอเป็นแฟนในตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้ให้คำตอบพี่ทาร์ตไปเพราะว่าไอ้ฟ่อนเข้ามาขัดอย่างที่ผมภาวนาไว้จริงๆ แม่งเอ้ย มันผิดคิวไปแล้วไง จริงๆ อยากจะตกลงไปให้จบๆ แต่ไม่มีโอกาสสักทีเพราะว่าต่างคนต่างยุ่ง จนผ่านมาสามวันแล้ว เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในเวลาเกือบห้าทุ่ม เขาเพิ่งกลับจากต่างจังหวัด ส่วนผมเพิ่งเคลียร์งานที่มหา’ลัยเสร็จ


“เพิ่งกลับบ้านเหรอปูน”
พี่ทาร์ตที่ยืนเปิดประตูรั้วเพื่อจะเข้าบ้านถามผมที่กำลังจะปิดประตูรั้วเนื่องจากเอารถเข้าไปจอดเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ความรู้สึกเวลาเจอกันคือขัดเขินแปลกๆ อาจจะเพราะมันยังมีอะไรค้างคาระหว่างเราอยู่ คำตอบของคำถามนั้น หวังว่าเขาจะให้โอกาสอีกครั้ง


“อื้อ เพิ่งเคลียร์งานที่มอเสร็จน่ะครับ แล้วนี่พี่เพิ่งกลับมาถึงเหรอ”
แอบแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่พี่ทาร์ตกลับบ้านดึกขนาดนี้ ก็ในเมื่อตอนสี่โมงเย็นเขาบอกว่าเข้าภูเก็ตมาแล้วนี่ แอบไปแวะที่ไหนมาหรือเปล่านะ อาจจะเป็นบ้านพี่อินล่ะมั้ง เอ้อ ส่วนไอ้เจ้าหมาคอร์กี้ตัวน้อยนั่นได้ชื่อแล้วล่ะ โคตรแบ๊วเลย ‘ขนม’ ตอนนี้มันคงนอนกลิ้งสบายอยู่บนโซฟานุ่มๆ ในบ้านกับไอ้ฟ่อน ว่าไปแล้วก็คิดถึงอยากจับมาฟัดสักทีสองที


“พอดีแวะเอาของไปให้ไอ้อินที่บ้านน่ะ เลยคุยกันยาว”
พี่ทาร์ตตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม มือหนายกขึ้นลูบใบหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะมีอาการเพลียเนื่องจากขับรถข้ามจังหวัดเป็นเวลานาน คงอยากพักผ่อน แต่หูของผมกลับได้ยินเสียงท้องร้องซะนี่


“อ๋อ แล้วพี่กินอะไรมาหรือยังครับ ผมซื้อน้ำเต้าหู้กับขนมปังอบมาด้วยนะ”



“ยังเลย ไอ้อินมันใจร้าย”
พี่ทาณืตตอบก่อนจะใช้มือลูบท้องด้วยใบหน้างอแง สงสัยจะโดนพี่อินใช้งานอะไรสักอย่างจนลืมกินข้าวแน่ๆ



“งั้นเอารถไปจอดแล้วมานั่งกินขนมกับผมในสวนแล้วกันเนอะ”
ผมออกปากชวนก่อนจะส่งยิ้มให้เขา พี่ทาร์ตพยักหน้ารับด้วยความดีใจแล้วรีบเอารถไปเก็บด้านในแทบจะทันที ดูๆ ไปเขาก็เหมือนเด็กคนหนึ่งนะเนี่ย น่ารักว่ะเฮ้ย


เรานั่งกินขนมจนหมดแล้วนั่งเงียบๆ เพื่อดื่มด่ำบรรยากาศยามค่ำคืน อากาศไม่ร้อนไม่หนาวมีลมพัดเอื่อยๆ ทำให้ทุกอย่างดูสบายไปหมด แม้แต่ความขัดเขินก็ลดลงทันตาเห็น ทั้งๆ ที่เราควรแยกย้ายกันไปนอนเนื่องจากถึงเวลาเที่ยงคืนแล้ว แต่ก็เลือกที่จะนั่งอยู่ตรงนี้


“ยังจำได้ไหม คำถามที่พี่ถามค้างเอาไว้”
หลังจากที่เงียบกันมานาน พี่ทาร์ตก็ถามขึ้นก่อนจะหันมามองกัน ผมที่เผลอสบตาเข้าพอดีเลยได้แต่เอียงคอสงสัย คำถามอะไรวะ คิดไม่ออกจริงๆ


“คำถามอะไรครับ”


“เป็นแฟนกันไหม”
ใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ มือหนาที่ยกขึ้นมาประคองแก้มกันนั้นยิ่งเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจให้หนักขึ้นกว่าเดิม คำถามที่จะเปลี่ยนสถานะระหว่างเรา ผมลืมมันไปได้ยังไงกันนะ


“.....”
ไม่มีเสียงอะไรหลุดออกจากปากผมเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะครั้งนี้ได้จ้องตากันและกัน ได้รับรู้ถึงความจริงใจ ความมั่นคง และความรัก หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่ามันจะทะลุออกมาซะก่อน


“ยังไม่ได้ตอบไม่ใช่เหรอครับ”
น้ำเสียงอ่อนโยนของพี่ทาร์ตทำให้แก้มทั้งสองข้างของผมร้อนวาบอย่างช่วยไม่ได้ นิ้วมือของเขาเกลี่ยไปตามริมฝีปากอย่างแผ่วเบา รู้สึกวาบหวามไปทั้งตัวและหัวใจ ผมกำลังจะละลายกลายเป็นของเหลวทั้งๆ ที่อากาศคืนนี้ก็ไม่ได้อบอ้าว


“อ่า...”


“ให้คำตอบพี่ได้ไหมครับ”
ถามย้ำอีกครั้งด้วยดวงตาที่สื่อความหมายจนผมไม่สามารถจ้องมองตรงๆ ได้ คำตอบของคำถามมีอยู่แล้ว มีมานานแล้ว ตอนนี้คิดว่าพร้อมจะตอบจริงๆ สักที หวังว่าคงไม่มีใครโผล่มาขัดอีกนะ...


“ตกลงครับ”
ตอบกลับไปเสียงเบาก่อนจะสัมผัสได้ถึงริมฝีปากที่จรดลงมาบนหน้าผาก ผมไม่ได้ขัดขืนเพียงแต่หลับตารับสัมผัสนั้นอย่างยินยอม มันช่างอ่อนหวานและนุ่มนวล ไม่รีบร้อน สัมผัสได้ถึงความทะนุถนอมและการให้เกียรติกัน ขอให้ทุกอย่างหลังจากวันนี้ผ่านไปอย่างราบรื่น ถึงทางที่เลือกเดินข้างหน้าจะมีปัญหาอะไรก็สัญญาด้วยหัวใจว่าจะอยู่ข้างๆ เสมอ ไม่ทอดทิ้งกันไปไหนอย่างแน่นอน


รักนะครับ พี่ทาร์ตของผม



-------------------------------------------

เขาเป็นแฟนกันแล้ว จุดพลุ !!!!
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 17 -P.3- (19/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-05-2017 00:11:00
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 17 -P.3- (19/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-05-2017 08:02:35
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 17 -P.3- (19/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-05-2017 15:53:15
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 18 -P.4- (24/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 24-05-2017 08:36:33
(http://i.imgur.com/qJ6Jnhm.png)


สูตรที่ 18

Mojito Cheesecake
: บิสกิตบดละเอียด/เนย/ครีมชีส/ครีมข้น/มะนาว/น้ำตาล/ไข่ไก่/กลิ่นรัม/เหล้ารัม :



วันหยุดหมดไปแล้ว การเรียนของปีการศึกษาใหม่เริ่มต้นขึ้นด้วยความขี้เกียจ ผมยังนอนคลุมโปงอยู่ทั้งๆ ที่นาฬิกาปลุกดังผ่านไปเกือบห้านาที ไม่เป็นไร นอนต่ออีกหน่อยคงไม่สายมีเรียนตั้งสิบโมง แต่ในตอนที่กำลังจะจมสู่ห้วงนิทราก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอยู่หลายครั้งจนต้องดีดคัวขึ้นจากเตียงอย่างเลี่ยงไม่ได้ อาจจะเป็นแม่หรือป๋า...

ผมเดินงัวเงียไปเปิดประตู ดวงตารีปรือจนแทบจะปิด มองไม่ชัดด้วยซ้ำว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นใคร แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นผู้ชาย ป๋าเหรอวะ โอย ง่วงฉิบหาย เมื่อคืนไม่น่าเล่นเกมเพลินเลย

"ป๋าเหรอ"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงียก่อนจะเปิดปากหาวแล้วเซไปพิงกับกรอบประตูอย่างหมดสภาพ ตอนนี้ไม่พร้อมจะเสวนากับใครจริงๆ แต่ในระหว่างที่ยังมึนๆ เบลอๆ กลับได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากคนตรงหน้า อะไรวะ ป๋าขำเหรอ

"ไม่ใช่ป๋า แต่เป็นพ่อทูนหัวครับ"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเอื้อมมืออุ่นๆ หนาๆ มาดึงแก้มกันเบาๆ ผมเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจแล้วพบว่าคนตรงหน้าคือพ่อทูนหัวจริงๆ พี่ทาร์ตตัวเป็นๆ เลยว่ะ แล้วทำไมต้องมาเห็นกันในสภาพนี้ด้วย อายเว้ย

"อื้อ เจ็บนะครับ มาปลุกอะไรผมแต่เช้าเนี่ย"
ผมตีมือพี่ทาร์ตเพราะเริ่มเจ็บแก้ม เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยอมผละออกไป ใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนยิ้มที่สามารถทำให้ใครๆ หลงใหลได้ น่าอิจฉาชะมัด

"ลืมนัดของเราหรือไง"
พี่ทาร์ตเอ่ยปากถามก่อนจะเอื้อมมือมาจิ้มหน้าผากกันเบาๆ คล้ายกระตุ้นให้ผมใช้สมองประมวลผลว่าตัวเองลืมอะไรหรือเปล่า แต่คิดจนคิวขมวดก็ยังคิดไม่ออก แย่แล้วดิกู ปลาทองไปอีก

"นัดอะไรเหรอ ลืมไปแล้วครับ หาว"
ผมเปิดปากหาวอีกครั้งแล้วพยายามปรือตามองคนตรงหน้าว่ามีปฏิกิริยาตอบกลับแบบไหน ใบหน้าหล่อเหลามุ่ยลงเล็กน้อยก่อนที่มือหนาจะยกขึ้นมาขยี้หัวกัน เพิ่มความยุ่งเหยิงไปอีก แค่นี้ก็จะหวีไม่ออกอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ปัดป้องอะไรหรอก ชอบ... อบอุ่นดี

"กินปลาทองแทนข้าวหรือไงวะ เพิ่งนัดกันไปเมื่อคืนเอง"
พี่ทาร์ตว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนผมสะดุ้งเพราะความตกใจแล้วถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว ไม่ใช่ว่ารังเกียจแต่ยังไม่ได้แปรงฟันไง... เหม็นจะตาย

"นัดเมื่อคืนเหรอ อ้อ จะพาไปกินติ่มซำอะเหรอ ขอโทษๆ ผมลืม"
นึกไปนึกว่ากลับจำได้ว่าตัวเองนัดอะไรเอาไว้ ตอนนั้นคงกำลังติดพันเล่นเกมเลยไม่ค่อยให้ความสนใจ ดีแค่ไหนที่พี่ทาร์ตไม่ได้โกรธกัน ไม่อย่างนั้นผมคงแย่แน่ๆ

"จำได้ก็รีบไปอาบน้ำ เดี๋ยวจะเข้ามอสายอีก"
พี่ทาร์ตพูดจบก็ผลักหัวกันเบาๆ แล้วยังดันหลังไล่ให้ไปอาบน้ำอย่างจริงจัง ผมว่าเขาเนียนเข้ามาอยู่ในห้องนอนมากกว่า เพราะมือหนาเอื้อมไปปิดประตูห้องซะอย่างนั้น เจ้าเล่ห์เนอะคนเรา ยิ่งได้ชื่อว่าเป็นแฟน อะไรๆ ก็แสงออกมากยิ่งขึ้น

"โห พี่จะกินให้หมดร้านเลยเหรอไง ถ้าจะใช้เวลานานจนผมไปเรียนสายอะ"
ผมเอี้ยวตัวไปถามพี่ทาร์ตขณะที่มือเอื้อมไปหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาพาดบ่าและหยิบชุดนักศึกษาติดมือไปด้วย เรื่องอะไรจะมายืนเปลือยแต่งตัวให้เขาดูล่ะ เดี๋ยวนี้ความหื่นแปะหราอยู่บนหน้าจนชวนให้ขนลุกยังไงไม่รู้ ถ้าเผลอวันไหนตำแหน่งเมียคงมาแทนแฟนอะ...

"อาจจะกินอย่างอื่นต่อไง"
เขาพูดก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ไม่ได้สนใจเลยว่าเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนๆ ของตัวเองจะยับ ผมได้แต่เหล่มองเขาอย่างหวาดระแวง เพราะไอ้คำว่าอยากกินมันดูกำกวมยังไงไม่รู้ เสียวสันหลังแปลกๆ

"กินอะไรอีก..."
ผมถามกลับไปแล้วขยับตัวออกห่าง ไม่ค่อยไว้ใจเพราะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่น พลาดมากที่ปล่อยให้เขามานอนกลิ้งอยู่ในห้องแบบนี้ ถึงจะเป็นแฟนและรู้จักกันมาทั้งชีวิต แต่มากที่สุดก็คือกอด... ไม่ได้ถึงขั้นลึกซึ้งอะไร ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป น่าจะดีกว่า ยังไม่อยากกลายเป็นของตาย

"ก็อย่างเช่น... ปูน"
พี่ทาร์ตมองกันด้วยสายตากรุ้มกริ่มแล้วดันตัวเองขึ้นมาจากเตียง ผมเบิกตาโตแล้วถอยหลังไปจนถึงห้องน้ำ ด่าในใจยังไม่ขาดคำ เป็นไงล่ะ แสดงความหื่นชัดเจนขึ้นทุกวัน แม่ง! ไม่อยากจะเชื่อว่าชีวิตเขาไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อน

"เฮ้ย ลามก! ไม่คุยด้วยแล้ว"
ผมโวยวายเสร็จก็พุ่งตัวเข้าห้องน้ำและปิดประตูกดล็อกแทบจะทันทีแล้วเอนตัวพิงกับเค้าน์เตอร์อ่างล้างหน้า เมื่อครู่รู้สึกว่าใจเต้นแรงแถมร้อนๆ ตรงแก้ม ไม่น่าไปเขินกับความหื่นนั่นเลย

หลังจากที่พากันออกไปกินติ่มซำที่อยู่ในตัวเมืองก็ได้เวลาที่พี่ทาร์ตจะวนไปส่งกันที่มหา'ลัยแล้ว จริงๆ ผมอยากขับรถไปเองเพราะลำบากคนข้างๆ แต่ในเมื่อเขาดื้อจะทำแบบนี้ก็เลิกห้าม ไม่อยากทะเลาะกันเพราะเรื่องเล็กน้อย

"วันนี้เลิกเรียนกี่โมง"
เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อเราใกล้ถึงมหา'ลัยเข้าไปทุกที ผมที่เอาแต่มองท้องฟ้าอึมครึมเลยสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันกลับไปตอบ

"สี่โมงครับ"
ผมตอบออกไปแค่นั้นก่อนจะลอบมองใบหน้าด้านข้างของเขา ไม่ว่าจะเมื่อไหร่คนๆ นี้ก็ทำให้รู้สึกอุ่นใจได้เสมอ เขาเป็นทุกอย่าง ไม่ว่าจะพี่ เพื่อน คนรัก หรือแม้แต่ป๋าคนที่สอง... ไม่ได้พูดโอเว่อร์อะไร เพราะถ้าผมเผลอทำอะไรผิดก็จะช่วยตักเตือน

"โอเค รอหน้าคณะ เดี๋ยวพี่มารับ"
พี่ทาร์ตยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วจอดรถที่หน้าคณะพอดิบพอดี ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงครึ่งแล้ว ไม่สายว่ะ เกินคาด นึกว่ารถจะติดซะอีก ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองจากหลังรถ แต่ตอนกำลังจะหันตัวกลับมันรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ขยับเข้ามาใกล้... อีกแล้ว ระยะอันตรายแบบนี้

"พี่ทาร์ต... อย่าขยับมาใกล้สิครับ"
ผมบอกเขาทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ขยับไปไหน นี่โก่งก้นให้หน้ารถอยู่นะเว้ย เมื่อยก็เมื่อย แต่อย่าคิดว่าพี่ทาร์ตจะเห็นใจกันเลย เอาแต่หัวเราะเสียงต่ำๆ น่าขนลุก

"ให้พี่หอมแก้มก่อนสิ แล้วจะปล่อยให้ลงจากรถ"
น้ำเสียงทุ้มเจือไปด้วยความทะเล้นนั้นดังขึ้นข้างหูทำให้ผมหน้าร้อนอย่างควบคุมไม่ได้ อยู่ๆ ก็หน้าด้านขอหอมแก้มกันซะอย่างนั้น แล้วใช่ว่ารถตัวเองจะติดฟิล์มดำอะไรมากมาย ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง แค่สถานที่ก็ไม่เหมาะสมแล้ว แต่จริงๆ คือผมเขินว่ะ

"คืออะไรวะ มาขอหอมแก้มกันหน้าด้านๆ"
ผมบ่นอุบอิบก่อนจะเหลียวมามองหน้าคนที่ยังส่งยิ้มสดใสมาให้ น่าหมั่นไส้จนต้องใช้มือผลักไหล่เขาออกไปห่างๆ แต่พอกลับมานั่งก็โดนพี่ทาร์ตใช้แขนข้างหนึ่งมาคร่อมกันไว้ โอย ไอ้กู๊ดหรือไนน์ก็ได้มาช่วยเคาะกระจกรถขับไล่ความหื่นของไอ้บ้านี่ทีเถอะ

"เฮ้ย ไม่เล่นนะพี่ทาร์ต ผมจะไปเรียน"
ผมดันใบหน้าหล่อที่เริ่มขยับเขามาใกล้ให้ออกห่างแล้วพยายามหาทางหนีลงจากรถ แต่จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อประตูยังไม่ได้ปลดล็อก เกลียดจริงๆ เลยเว้ย คราวหน้าจะเป็นคนขับเอง หึ!

"หอมแก้มนิดเดียวเองครับ ไม่ได้เหรอ"
พี่ทาร์ตใช้เสียงนุ่มๆ กับแววตาอ้อนๆ มองกัน ผมเบนสายตาหลบเพราะไม่มีความสามารถพอที่จะทนทานมัน ไม่ได้เล่นตัว แต่นี่มันกลางมหา'ลัยนะเว้ย เกรงใจชาวบ้านเขาบ้างเถอะ คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ

"ไม่เอา นี่มันหน้าคณะนะเว้ย ถอยออกไปได้แล้วครับ ผมจะสายแล้วเนี่ย"
ผมแกล้งโวยวายแล้วดันตัวพี่ทาร์ตออกแล้วกอดกระเป๋าของตัวเองเอาไว้แน่น ยกขึ้นมาปิดบริเวณหน้าจนเหลือแค่ลูกตาโผล่สองข้าง ดูสิว่ายังจะหาวิธีหอมแก้มกันอีกหรือเปล่า

"พูดแบบนี้แสดงว่าเวลาอื่นทำได้งั้นสิ"
พี่ทาร์ตส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้ ผมว่าผมพลาดล่ะที่พูดไม่เคลียร์ แต่ช่างแม่งเถอะ เวลานี้ขอเอาตัวรอดก่อนแล้วกัน จะสายแล้วเนี่ย เมื่อครู่เห็นไอ้กู๊ดอยู่แว๊บๆ เดินขึ้นอาคารไปแล้วมั้ง

"โอย ครับๆ ปล่อยผมลงเถอะ"
ผมบอกปัดๆ ไปก่อนจะจ้องหน้าพี่ทาร์ตสลับกับแผงควบคุมที่อยู่ประตูฝั่งนู่น ปลดล็อกสิวะ!

"ได้ครับ ตอนเย็นจะมาทวงนะ"
พูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอื้อมมือกดปุ่มปลดล็อกประตูให้ แต่ไม่วายเอื้อมมือมาจับต้นแขนเพื่อเป็นการรั้งอีกครั้ง คือลากผมกลับบ้านเลยไหม ไม่ต้องเรียนมันแล้วถ้าจะลากันยาวขนาดนี้

"เจ้าเล่ห์จริงๆ เลยว่ะ"
ว่าอีกคนด้วยน้ำเสียงดุๆ แต่ดูเหมือนเขาจะยิ่งชอบใจเมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงของผม แล้วไอ้มือที่จับแขนเนี่ย เปลี่ยนเป็นลูบเบาๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จะมาปลุกอารมณ์อะไรกันตอนนี้ไม่ทราบ

"ไม่ชอบเหรอ"

"ใครจะชอบวะ ถ้าเป็นฝ่ายเสียเปรียบ"
ผมแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะเปิดประตูรถแต่พี่ทาร์ตยังไม่ยอมปล่อย สรุปว่าต้องการอะไรครับพ่อคุณ สายแล้วจริงๆ เนี่ย เหลือบสายตาไปเห็นไอ้ไนน์โบกมือให้กันตรงลานคณะแล้วรู้สึกอยากวิ่งไปหามันใจจะขาด คือคนอื่นเริ่มมองมาทางนี้แล้ว เพราะจอดรถนานเกินไป

"โอเคๆ ตั้งใจเรียนครับ เจอกันตอนเย็น"
พูดจบเขาก็ปล่อยมือออกจากต้นแขนพร้อมกับส่งยิ้มให้ ผมพยักหน้ารับแล้วกระโดดลงจากรถไปยืนบนพื้นถนนแล้วยื่นหน้าเข้าไปในรถอีกรอบเพื่อบอกลา

"ครับ ขับรถดีๆ ล่ะ"
พูดจบก็พุ่งตัวเข้าไปหอมแก้มพี่ทาร์ตอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบปิดประตูแล้วจ้ำอ้าวออกมาจากตรงนั้นแทบจะทันที ก็มันทนไม่ได้ที่เห็นรอยยิ้มหงอๆ ของเขานี่หว่า หอมแก้มแค่นั้นคงไม่เป็นอะไร อีกอย่างก็ไม่น่าจะมีใครเห็น... มั้ง

"ไนน์"
ผมเรียกชื่อของสาวสวยที่ยืนฉีกยิ้มอยู่ตรงหน้าบันได ข้างกายมันปราศจากแฟนหนุ่มลูกครึ่งเกาหลี แปลกๆ ว่ะ ปกติเห็นตัวติดกันจนปาท่องโก๋ยังอาย แล้วทำไมวันนี้แยกกันได้

"หวัดดีคุณเพื่อน ใครมาส่งแก นอกใจพี่ทาร์ตเหรอ"
ไนน์ถามด้วยน้ำเสียงฉุนๆ แล้วยกมือเรียวๆ ขึ้นมาฟาดลงบนต้นแขน ผมได้แต่มุ่ยหน้าใส่มัน เจ็บนะเว้ย แล้วคิดเองเออเองอะไรเนี่ย ใครนอกใจ ไม่มีซะหน่อย พวกมึงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากูคบกับเขาแล้ว

"นอกใจบ้าอะไรวะ เปล่าซะหน่อย พี่ทาร์ตซื้อรถใหม่เฉยๆ"
ผมบอกไปตามความจริงแล้วมองไปทางอื่น อยู่ๆ ก็โดนเพื่อนแซวซะอย่างนั้น

"แหมๆ พูดแบบนี้ไปถึงขั้นไหนกันแล้วจ๊ะ"
มันยังคงแซวอย่างต่อเนื่องให้ผมได้หน้าร้อนเล่นๆ แม่ง... ทำไมต่องเขินด้วยวะ เรื่องแค่นี้เอง ภูมิต้านทานจะต่ำเกินไปแล้วไหมกูเนี่ย เรื่องพี่ทาร์ตมีอิทธิพลสำหรับผมมากเกินไปแล้ว

"ไม่บอก ว่าแต่แกเถอะ ทำไมมาเรียนคนเดียว แฟนไปไหน"
ผมมองหาแฟนไอ้ไนน์ไปทั่วบริเวณลานหน้าคณะแต่กลับไม่พบ ได้ยินเสียงมันยืนถอนหายใจอยู่ข้างๆ เลยหันไปมอง สีหน้าดูไม่ดีเลยว่ะ

"ไม่สบายอะ เดี๋ยวตอนเที่ยงจะแวะไปเยี่ยมหน่อย"
ไอ้ไนน์ทำหน้าเพลียๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาบางๆ เดาได้ว่าคงนอนอยู่โรงพยาบาลแน่ๆ มันคงไม่ลงทุนไปๆ มาๆ ระหว่างมหา'ลัยกับบ้านหรอก ไกลจะตาย

"อ๋อ โอเค แล้วไอ้กู๊ดล่ะ มาหรือยัง"
ผมถามหาไอ้กู๊ดเพราะตอนจะลงจากรถเห็นมันรีบๆ เดินไปทางไหนสักทาง ไอ้ไนน์ที่เป็นคนโดนถามชี้นิ้วขึ้นไปด้านก่อนจะย่นจมูกใส่กัน อะไรของมันเนี่ย ทำอย่างกับหมั่นไส้ใครอยู่

"วิ่งขึ้นห้องเรียนไปแล้ว มันวีดีโอคอลกับแทจุนอะ แกว่าสองคนนี้แปลกๆ ปะ ออร่าสีม่วงฟุ้งๆ ยังไงก็ไม่รู้"
ไอ้ไนน์ตอบด้วยน้ำเสียงแสดงความอยากรู้ ดูๆ ไปคล้ายๆ กำลังมโนอะไรสักอย่างแน่ๆ สาววายนี่จะจับคู่ผู้ชายหมดโลกเลยหรือยังไง แต่ผมให้คะแนนเต็มสิบนะ เพราะครั้งนี้มันทายถูก สองคนนั้นมีซัมติงกันจริงๆ แต่มากหรือน้อยอันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน

"คิดมากน่า ขึ้นไปเรียนเหอะ เดี๋ยวจะโดนอาจารย์ด่า"
ผมบอกปัดๆ เพราะไม่อยากให้ไอ้ไนน์ไปแซวอะไรไอ้กู๊ดเยอะ เพราะกลัวว่าอะไรๆ จะเปลี่ยนไป ปล่อยให้ความสัมพันธ์ของมันกับแทจุนเติบโตเรื่อยๆ ดีกว่า ใครอย่าไปเร่งหรือรั้งอะไรเลย คนอยู่ไกลกันอะไรก็ไม่แน่นอน

ผมเดินเข้าห้องเรียนแล้วเห็นไอ้กู๊ดยังนั่งวีดีโอคอลอย่างสบายใจ ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่เพิ่มจำนวนขึ้น แถมยังหันมายิ้มให้กันอีก ดูชิลล์ๆ ไม่ตึงเครียด บางทีผมอาจจะคิดมากไปเอง ปล่อยให้ไอ้ไนน์แซวคงสนุกกว่านี้มั้ง

"ทำไรมึง"
ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปในระยะกล้อง เห็นแทจุนกำลังโบกไม้โบกมือทักทายกันด้วยรอยยิ้มสดใส แต่อย่าหวังว่าจะได้ยินเสียง ก็ไอ้กู๊ดมันใส่หูฟัง...

"ถึงขั้นไหนแล้วพวกมึงสองคน"
ผมดึงหูฟังออกข้างหนึ่งแล้วกระซิบถามมันในขณะที่ไนน์ก็ต่อสายหาคุณแฟน ไอ้กู๊ดไหวไหล่เป็นเชิงบอกว่าก็ไม่มีอะไร คุยกันเฉยๆ แต่เชื่อไหมว่าหน้าหล่อๆ นั่นดูมีความสุขมากกว่าแต่ก่อนเยอะ

"ก็เหมือนเดิม มึงจะคุยปะ กูเริ่มขี้เกียจแล้ว"
มันทำท่าจะถอดหูฟังอีกข้างมาให้กัน แต่ผมเลือกส่ายหน้าแทนคำตอบ แทจุนมันอยากคุยกับไอ้กู๊ดมากกว่าเถอะ ไม่อย่างนั้นจะวีดีโอคอลมาหาทำไม

"ไม่คุยอะ ถ้ามึงขี้เกียจก็วางสายดิ"

"เออๆ"
ไอ้กู๊ดตอบผมแล้วหันไปคุยอะไรกับคนในโทรศัพท์อยู่สองสามนาทีก่อนจะวาง ปากบอกขี้เกียจแต่พอแทจุนอ้อนเข้าหน่อยก็ยอมคุยต่อ น่าหมั่นไส้ คนเดี๋ยวนี้ปากไม่ตรงกับใจโคตรเยอะว่ะ

ปีการศึกษาใหม่การเรียนก็เพิ่มระดับความยากยิ่งขึ้น ไวยากรณ์ภาษาเกาหลีที่ได้เรียนไปนั้นแทบจะกระอักเลือดเพราะมันเยอะจนจำสลับกันไปหมด ค่อยกลับไปทบทวนที่บ้านก็แล้วกัน ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นสูงก่อนจะเอนตัวไปทางซ้ายทีขวาทีเพื่อไล่ความเมื่อยขบออกจากร่างกาย ไอ้กู๊ดนั่งหาวปากกว้างจนแมลงวันเกือบบินเข้าปาก

"เราไปเยี่ยมแฟนก่อนนะ ตอนบ่ายพวกแกจองที่นั่งเพื่อด้วย"
ไนน์หันมาบอกกันด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ ส่วนผมก็ชะงักการกระทำตัวเองแล้วพยักหน้ารับ ส่วนไอ้กู๊ดโบกมือไล่โดยไม่เปล่งเสียง สภาพมันเหมือนจะหลับได้ทุกเมื่อ

"ไปแดกข้าวกัน กูง่วง"
ไอ้กู๊ดเอ่ยเสียงงัวเงียก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วเอื้อมมือมาดึงคอเสื้อกัน ผมรีบตามมันไปแล้วมองด้วยสายตาเบื่อหน่าย อะไรคือชวนไปกินข้าวแต่บอกง่วง เกี่ยวกันตรงไหนวะ งงฉิบหาย

"จะแดกหรือจะนอนเอาสักอย่าง"
ผมสะบัดมือไอ้กู๊ดออกจากคอเสื้อเพราะมันเริ่มรั้งจนหายใจไม่ออก ไอ้กู๊ดหันมามองด้วยใบหน้าง่วงๆ แล้วหาวเป็นคำตอบ สรุปคือยังไงวะ แดกหรือนอน

"ปูน!"
เสียงใครคนหนึ่งตะโกนมาจากที่ไกลๆ ทำให้ผมหันไปมอง แต่เมื่อสายตาพบกับเขากลับต้องชะงัก ทำไมถึงจำเสียงไอ้กายไม่ได้วะ รู้แบบนี้จะทำเป็นไม่ได้ยินไม่เห็นก็สิ้นเรื่อง เวรเอ้ย

"กู๊ด มึงตื่นได้แล้ว"
ผมจับแขนเพื่อนเขย่าก่อนจะออกแรงกระชากมันให้เดินหนีไอ้กายที่จ้ำอ้าวมาทางนี้ ไม่อยากคุย เพราะไม่มีอะไรดีขึ้นสักครั้ง พยายามแล้วพยายามอีก ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ไม่ผิดใช่ไหมที่จะตีตัวออกห่าง ใครบอกว่าใจร้ายก็เชิญ

"เชี่ยปูน เบาๆ ควายหายเหรอมึง"
ไอ้กู๊ดบ่นกระปอดกระแปดแล้วมุ่ยหน้าใส่กัน ดีหน่อยที่มันไม่ได้รั้งตัวเอาไว้เลยทำให้พวกเรายังคงความเร็วในการเดินอยู่ แต่มันจะไปทันคนที่วิ่งตามมาได้ยังไงล่ะ แม่ง

"ปูน อย่าหนีดิวะ"
คนที่วิ่งตามหลังมาเอื้อมมือจับไหล่ผมเอาไว้ ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัวเลยเซถลาไปด้านหลัง เกือบจะปะทะกับอกแกร่ง แต่ไอ้กู๊ดกระชากแขนไว้ได้ทัน แม่ง ระบมไปทั้งตัวแล้วกู

"อะไรของมึงไอ้กาย ตามไอ้ปูนมาทำไม"
ไอ้กู๊ดจับข้อมือผมเอาไว้แล้วเดินมายืนขวางตรงกลาง ดูท่าทางมันจะตื่นเต็มตาพร้อมรบกับไอ้กายเต็มที่

"กูจะคุยกับไอ้ปูน มึงหลีกดิ"
ไอ้กายพูดด้วยน้ำเสียงตึงๆ ดวงตาคมจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของผม แต่ไอ้กู๊ดไม่ได้หลีกทางให้ เพราะมันรู้ว่าถึงจะคุยไปเหตุการณ์ก็จบแบบเดิม คือไม่เคลียร์ ไม่รับฟัง ดึงดันจะจีบต่อ

"กูไม่ให้คุย มึงมันขี้ตื้อ พูดเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ต้องการอะไรวะกาย"
ไอ้กู๊ดเริ่มเสียงดังจนคนแถวนั้นหันมามอง ผมได้แต่จับไหล่เพื่อนเพื่อให้มันสงบสติอารมณ์ลงบ้าง ยังไม่อยากดังไปทั่วมหา'ลัยเพราะเรื่องแบบนี้ อายฉิบหาย

"มึงอยากโดนต่อยใช่ไหม กูบอกให้หลีกไปไง!"
ไอ้กายตวาดเสียงดังลั่นจนทำให้คนทั่วบริเวณแตกหือออกไป ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเพราะท่าทางและสายตาดุๆ ของมัน ไอ้กู๊ดหน้าแดงคล้ายกับคนโมโห ทำท่าจะเข้าไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายแต่ผมรั้งมันไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง รวบกอดจากด้านหลังคงช่วยอะไรได้เยอะ

"กู๊ด มึงใจเย็น อย่ามีเรื่อง เดี๋ยวกูเคลียร์เอง"
ผมบอกมันให้สงบสติอารมณ์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ไอ้กู๊ดหันมามองกันด้วยใบหน้าบ่งบอกว่ากูจะไม่ยอมให้มึงคุยกับไอ้กายสองต่อสองแน่

"แต่มึงเคลียร์กับมันมาหลายรอบแล้วนะเว้ย"
ไอ้กู๊ดสะบัดมือผมออกจากไหล่แล้วหันมองหน้าไอ้กายอย่างเอาเรื่อง รู้ว่ามันห่วงแต่เรื่องนี้ใครก็เคลียร์ไม่ได้ และครั้งนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ

"เออน่า รอบนี้ถ้ามันยังไม่ฟังกูต่อยแม่ง"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วเอื้อมมือไปตบบ่ามันเป็นการยืนยันว่าตัวเองจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้แน่ๆ ไอ้กู๊ดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะพยักหน้ายินยอม

"อืมๆ ถ้ามีอะไรเรียกกูนะ รอตรงนี้"
ไอ้กู๊ดบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงก่อนจะเหลือบมองไอ้กายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไว้ใจ ผมแตะไหล่มันแล้วคลี่ยิ้มให้

"ตามมาดิ"
ผมหันไปพูดกับกายแล้วเดินนำมันไปที่หลังตึกคณะ เพราะที่นั่นเงียบสงบไม่มีคนพลุกพล่านเหมาะสำหรับการคุย

"รีบพูดมา กูหิวข้าว"
ผมบอกออกไปแบบนั้นเมื่อถึงที่หมาย เพราะไม่อยากให้มันตึงเครียดจนเกินไป เรายืนอยู่ห่างกันประมาณสามก้าว กายผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะมองกันด้วยแววตาเปี่ยมความหวัง ทำไมถึงยังหวังอยู่ผมก็ไม่เข้าใจ

"ปูน... กูขอโอกาส"
คำขอร้องหลุดออกจากปากของกายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องพยายามขนาดนี้ อยากให้เรื่องคู่จิ้นเป็นจริงเพราะมันช่วยให้เขาดังหรือชอบกันจริงๆ

"ไม่ว่ะกาย อย่ามาขอร้องกันแบบนี้ คนอื่นที่เขาสนใจมึงมีเยอะแยะ อย่าเสียเวลากับคนอย่างกูเลย"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง ไม่รู้ต้องพูดอะไรทำนองนี้มากี่รอบแล้ว แต่ก็อยากจะบอกอยากจะย้ำว่ามันคงเหมือนเดิมและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้อีก หัวใจคนเราบังคับกันไม่ได้ กายก็น่าจะรู้ดี ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่รักก็คือไม่รัก ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยแม้แต่นิดเดียว

"แต่คนที่กูสนใจมีมึงคนเดียว"
กายขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาคมสั่นไหวราวกับจะร้องไห้ มือที่เอื้อมมาสัมผัสหัวไหล่กันนั้นช่างให้ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ไม่เคยคิดว่าเพลย์บอยสักคนจะเป็นแบบนี้ได้เลย ชีวิตพวกเขาสามารถเลือกใครที่ดีกว่าผมได้อีกเยอะ ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย

"ขอบคุณที่มึงชอบกู แต่กูเป็นแฟนกับพี่ทาร์ตแล้ว"
ผมเลือกตอบแบบนั้นออกไปเพื่อหมายจะให้กายสำนึกว่าไม่ควรยุ่งกับคนที่มีเจ้าของ แต่เสียงหัวเราะต่ำที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของเขาทำให้รู้ว่ามันไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก คนๆ นี้ไม่ได้แคร์คำว่าสถานะอะไรเลย เป็นประเภทที่อยากได้ก็ต้องได้ล่ะมั้ง

"เหอะ... แค่เป็นแฟน เดี๋ยวก็เลิกกันได้"
คำพูดของกายทำให้ผมรู้สึกโมโห มันใช่อย่างที่เขาว่ามา สักวันเราอาจจะต้องเลิกกัน แต่มันเป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่สามารถให้ใครมาตัดสินได้ ผมถือว่าคนๆ นี้ปากหมา

"นั่นมันก็เรื่องของพวกกูหรือเปล่า จะเป็นยังไงมึงก็ไม่มีสิทธิ์มาตัดสินอะไร"
ผมพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดทั้งๆ ที่ความรู้สึกข้างในอยากจะพุ่งไปต่อยหน้ามันให้ยับๆ แต่ไม่อยากมีเรื่อง เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อน ถึงแม้จะไม่สนิทก็เถอะ

"แน่ใจเหรอว่ามันรักมึง"
คำถามของมันทำให้ผมต้องกำหมัดไว้แน่น พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลับตาลงเพื่อนะงับอารมณ์โกรธที่มีมากขึ้น อยากจะสั่นคลอนความรู้สึกกันหรือยังไง ไม่มีทางหรอก ผมเชื่อใจพี่ทาร์ตมากพอ กว่าเราจะเป็นแฟนกันได้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เท่านั้นก็พอจะพิสูจน์ได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

"กูแน่ใจ เพราะเขาพิสูจน์ตัวเองให้เห็น"

"เหอะ... ถ้าไม่มีมัน คนๆ นั้นที่ยืนข้างมึงเป็นกูได้ไหมล่ะ"
กายจับไหล่ทั้งสองข้างของผมไว้แน่นแล้วออกแรงบีบเพื่อคาดคั้นจะเอาคำตอบ ถามว่าสงสารไหม ตอบได้เลยว่าไม่  เพราะผมไม่ได้บังคับให้เขามารัก ไม่เคยให้ความหวังใดๆ ทั้งนั้น

"ไม่... เพราะกูไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคนบนโลกนี้ เข้าใจไหม"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแล้วจ้องมองเข้าไปในดวงตาคมเพื่อย้ำว่าสิ่งที่พูดออกไปมันคือความจริง และมันไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงไปไหน แต่กายเหมือนไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น เพราะเขาหลับตาลงก่อนจะตะโกนใส่หน้า

"กูไม่เข้าใจ!"
หลังจากที่เสียงตะโกนจบลงกายก็ขยับเข้ามาใกล้จนผมไม่ทันตั้งตัว ทุกอย่างมันเร็วไปหมด ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เลย แม่ง!

"อื้อ!"
มันจูบลงมาบนริมฝีปากแบบบดขยี้ไม่แคร์ว่าความรู้สึกในตอนนี้จะแย่แค่ไหน ผมดิ้นขืนแรงสุดชีวิตแล้วต่อยเข้าที่ใบหน้าของไอ้กายเต็มแรง จะไม่ยอมอีกแล้ว วันนี้มันต้องจบสักที ยืดเยื้อเกินไป

"ไอ้เหี้ยกาย!"
ผมตะโกนด่ามันที่ล้มลงไปนั่งอยู่บนพื้น มุมปากซ้ายแตกจนมีเลือดซึมออกมา มือเรียวยกขึ้นหมายจะเช็ดสัมผัสของไอ้กายทิ้ง มันเสียความรู้สึก มันแย่ มันหดหู่ ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างเราพังทลายลงแล้ว ใครจะหาว่าใจร้ายก็เชิญ เพราะผมไม่สามารถทำใจได้กับเรื่องนี้

"ปูน... กะ กูขอโทษ"
กายละล่ำละลักพูดคำขอโทษทั้งๆ ที่มุมปากของเขายังมีเลือดซึมออกมา ผมมองหน้ามันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า สำหรับเรื่องนี้มันควรจบลงซะที ตอนนี้และเวลานี้

"พอกันที มึงไม่ต้องมายุ่งกับกูอีก จบ เลิก!"
ผมตะโกนออกไปแล้วเดินหนีออกมาจากตรงนั้น คราวนี้ทุกอย่างจบแล้วจริงๆ เพราะก่อนจากมาผมเห็นกายนั่งร้องไห้ไร้เสียงสะอื้น

กู๊ดยืนรออยู่ที่เดิมจริงๆ มันหันมาเจอผมแล้วรีบสาวเท้าเข้ามาหากันอย่างรวดเร็ว ดูท่าทางคงเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย ดีแล้วที่เพื่อนสนิทไม่ต้องมารับรู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง มันน่าอายและอาจจะทำให้กายโดนกระทืบ

"มึงเป็นไงบ้าง เคลียร์ได้ไหม"
ไอ้กู๊ดถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน มันมองจ้องกันอย่างไม่วางตา ผมเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วอดที่จะคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ นี่ล่ะนะเพื่อนสนิทที่รักกันจริงๆ

"อือ จบแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ"
ผมบอกก่อนจะพาดแขนยาวๆ ไว้บนไหล่ของมันแล้วออกแรงดันให้เดินไปพร้อมๆ กัน ไม่อยากกลายเป็นเป้านิ่งนานๆ ไอ้กู๊ดอาจจะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ หน้าตาที่ไม่สดใส ปากที่โดนบดขยี้ หึ น่าสมเพช อยากร้องไห้ว่ะ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ผิดเลยด้วยซ้ำ ทำไม...

"เหรอวะ แต่สีหน้ามึงไม่ดีเลย"
มันถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ซึ่งผมได้แต่แสร้งฉีกยิ้มกว้างเหมือนไม่มีอะไร เพราะไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว ความรู้สึกแย่ๆ มันจุกอยู่ที่อก ทำไมรู้สึกผิดกับพี่ทาร์ต...

"เออน่า กูสบายดี"

"โอเคๆ จะเชื่อมึง"

ตลอดคาบบ่ายผมไม่ได้คุยอะไรกับใครเลยแม่แต่คำเดียว ทำเป็นตั้งใจเรียนทั้งๆ ที่ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา หัวสมองว่างเปล่าไม่สามารถซึมซับความรู้อะไรได้เลยสักอย่าง จนถึงเวลาสี่โมงก็เก็บทุกอย่างลงกระเป๋าอย่างกับคนไร้วิญญาณ แต่ไม่มีใครกล้าถามอะไรมาก เพราะไอ้กู๊ดและไอ้ไนน์รู้ดีว่าควรปฏิบัติตัวแบบไหน

"ถ้าไม่ไหวมึงลาก็ได้นะพรุ่งนี้"
ไอ้กู๊ดบอกขณะที่มันเดินมาส่งผมหน้าคณะ ส่วนไอ้ไนน์แยกไปอีกทางแล้วเพราะรีบไปหาแฟนที่โรงพยาบาลอีกรอบ ผมส่ายหน้าให้กับเพื่อนสนิท เรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นต้องทิ้งการเรียนหรอก แต่สิ่งที่กำลังจะเจอควรจัดการยังไงดี

"ไหวดิวะ มึงจะกลับบ้านเลยปะ"
ผมคลี่ยิ้มปิดท้ายประโยคไปเพื่อให้มันสบายใจ ไอ้กู๊ดมองกันนิ่งๆ ครูหนึ่งก่อนจะยอมตอบอะไรออกมา

"เออ เดี๋ยวจะกลับแล้ว รอพี่ทาร์ตมารับมึงนี่ล่ะ"

"ไม่ต้องรอ พี่ทาร์ตมาแล้ว นู่นไง"
ผมชี้นิ้วไปในทิศทางที่พี่ทาร์ตกำลังขับรถตรงมา ตอนเย็นขับบีเอ็มฯ ด้วยว่ะ สงสัยกลัวรถจะตายแน่ๆ เลย

"โอเค พรุ่งนี้เจอกันนะมึง"
ไอ้กู๊ดบอกลาก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่ากันแล้วเดินแยกไปทางลานจอดรถของคณะ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมตัวเผชิญหน้ากับพี่ทาร์ต กลัวเขาจะเสียใจที่ผมปล่อยให้คนอื่นมาขโมยจูบไปได้ ทั้งที่รู้ตัวว่าไม่ได้ตั้งใจแต่รู้สึกผิดอยู่ดี

"สวัสดีครับพี่ทาร์ต"
ผมทักทายอีกคนด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะสอดตัวเข้าไปนั่งในรถ พี่ทาร์ตคลี่ยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นการตอบรับก่อนจะออกรถไปอย่างช้าๆ




ต่อด้านล่างเนอะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 18 -P.4- (24/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 24-05-2017 08:37:50
ตลอดทางตั้งแต่รถเคลื่อนตัวออกจากมหา'ลัยก็ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรสักคำ มีแต่เสียงเพลงเบาๆ ที่ถูกเปิดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ ผมเอาแต่มองไปด้านนอกเพราะความรู้สึกแย่ๆ ยังคงฝังอยู่ในจิตใจ ควรจะบอกพี่ทาร์ตเรื่องที่เกิดขึ้นหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ยอกแล้วเขารู้ทีหลังจะเป็นยังไงกันนะ

"ปูน... เป็นอะไรหรือเปล่า"
เสียงทุ้มเอ่ยถามกันด้วยความเป็นห่วง มือหนาเอื้อมาแตะเบาๆ ที่ข้างแก้มเหมือนอยากให้ผ่อนคลาย ผมหลุบดวงตาลงต่ำเพราะตอนนี้ความคิดกำลังตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด

"มีเรื่องนิดหน่อยครับ แต่มันจบแล้วล่ะ"

"ระบายกับพี่ได้นะ"

"ครับ"

แล้วเราก็เงียบกันอีกครั้งจนถึงร้านอาหาร ระหว่างกินข้าวเราก็หยิบเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุยเล่นไปเรื่อย แต่ผมรู้ว่าพี่ทาร์ตสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เขาเลือกที่จะเงียบไม่คาดคั้นและรอให้ทุกอย่างหลุดออกจากปากผมเอง ดีนะ มันดีมากๆ ที่ไม่โดนกดดัน เพราะมีเวลาทำใจกับผลที่จะตามมา

นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่ม ผมยังนั่งเล่นอยู่ในสวนเพราะนอนไม่หลับและไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ระหว่างอาบน้ำก็ตัดสินใจได้แล้วว่าจะบอกเรื่องของกายในวันนี้ให้พี่ทาร์ตฟัง จะได้ไม่มีอะไรรบกวนจิตใจอีก และเหมือนเขาจะรับรู้ได้ ร่างสูงเลยกระโดดข้ามรั้วมาหากันแล้ว

"นั่งเลี้ยงยุงหรือไง"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงติดตลกก่อนจะนั่งลงข้างๆ กันแล้วใช้มือหนาโยกหัวกันเบาๆ ผมหลับตาลงเพื่อรับสัมผัสนั้น ชอบเวลาที่เขาทำแบบนี้ มันอบอุ่นไปทั้งหัวใจ

"นั่งคิดถึงพี่ทาร์ตอยู่ต่างหาก"
ผมแกล้งหยอดเขาไปแบบนั้นก่อนจะขยับเข้าไปโอบกอดรอบเอวของเขาเอาไว้แล้วซุกหน้าลงกับอกแกร่ง พี่ทาร์ตครางเบาๆ ด้วยความแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรซอกแซกออกมา คงรอให้ผมเล่าสินะ พร้อมแล้วล่ะ

"วันนี้ผม... ไปเคลียร์กับไอ้กายมาล่ะ"
ผมเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย พยายามที่จะควบคุมมันแล้วแต่ทำไม่ได้จริงๆ กลัวไปหมด กลัวทุกอย่าง

"อื้ม แล้วเป็นยังไงบ้างครับ"
พี่ทาร์ตถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงอารมณ์ มือหนายกขึ้นลูบหัวกันเบาๆ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกก่อนจะพูดต่อไป

"จบแล้วครับ มันจบแล้วจริงๆ พี่ทาร์ตสบายใจได้ ฮึก..."
จบแต่โคตรแย่ ร้องไห้ออกมาจนได้เมื่อคิดถึงเรื่องที่มันทำกับผม

"ร้องไห้ทำไมปูน"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงตกใจก่อนจะใช้มือหนาเชยคางกันขึ้นให้สบตา ผมได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้าง

"ผมขอโทษนะพี่ทาร์ต ขอโทษจริงๆ อึก"
ผมพร่ำขอโทษคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ อยากลบความรู้สึกแย่ๆ ที่มันจุกอกทิ้งไปสักที กลัวพี่ทาร์ตจะโกรธ...

"ขอโทษเรื่องอะไรครับ โอ๋ๆ นะคนดี"
พี่ทาร์ตใช้น้ำเสียงอ่อนโยนพูดกับผมก่อนจะใช้นิ้วมือปาดน้ำตาให้กันอย่างแผ่วเบา ริมฝีบางบางสั่นระริกพยายามควบคุมทุกอย่างให้นิ่งที่สุด แต่ทำไม่ได้ หัวใจจะพังหรือเปล่ายังไม่รู้เลย เพราะมันปวดหนึบไปหมดแล้ว

"ขอโทษ ฮึก ผมขอโทษที่ปล่อยให้ไอ้กายจูบ ขอโทษ"
ในที่สุดผมก็บอกออกไปแล้ว ต้องยอมรับผลที่ตามมาใช่ไหม จะโดนโกรธก็ไม่แปลก นั่นเป็นจูบแรกที่ควรเป็นของพี่ทาร์ตนี่นา

"....."
เขานิ่ง แววตาบ่งบอกได้ว่าตกใจแค่ไหน ยิ่งพี่ทาร์ตไม่ยอมพูดอะไรออกมามันยิ่งทำให้ผมลนลาน โกรธเหรอ ไม่พอใจกันใช่ไหม...

"ฮึก พี่ทาร์ตโกรธผมเหรอ ผมขอโทษ"
ผมถามย้ำก่อนจะซุกหน้าลงกับอกแกร่งแล้วกระชับอ้อมกอดแน่นราวกับกลัวว่าคนๆ นี้จะหายไปต่อหน้าต่อตา ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ คงรับไม่ได้แน่ๆ

"ไม่... พี่ไม่ได้โกรธ แต่ทำไมปูนถึงปล่อยให้กายจูบล่ะ"
น้ำเสียงของพี่ทาร์ตสั่นไม่แพ้กัน แต่ดูเหมือนว่าเขากำลังควบคุมอารมณ์อยู่ ผมรู้ว่าคนๆ นี้มีเหตุผลพอ รับฟังกันได้มากพอเลยกล้าบอกความจริงออกไป

"ผมไม่ทันตั้งตัว ฮึก มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป ตอนที่กำลังเคลียร์ปัญหาแต่ไอ้กายไม่ยอมฟัง"
ผมพูดรัวปนกับเสียงสะอื้นจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง แต่พี่ทาร์ตกลับใช้มือเชยคางให้สบตากันอีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้แสดงออกว่าโกรธเคือง ไม่ได้ถือโทษ มันมีแต่ความอ่อนโยนและเป็นห่วงที่สื่อมา

"ไม่เป็นไรๆ ไม่ร้องนะครับ พี่ไม่ได้โกรธ"
น้ำเสียงนุ่มๆ ทำให้ผมคลายความกังวลลงไปได้เยอะพอตัว รอยยิ้มละมุนของพี่ทาร์ตส่งผลให้ผมกล้าขออะไรบางอย่างออกไป

"ฮึก พี่ทาร์ต... จูบผมหน่อยได้ไหม ลบสัมผัสไอ้กายให้ที"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่ติดจะสั่นเครือเพราะยังไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้ พี่ทาร์ตหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะใช้มือประคองใบหน้ากันอย่างอ่อนโยน

"อื้ม ได้สิครับ"
จบคำพูดนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ผมหลับตาลงเพื่อนอรับสัมผัสที่โหยหา ริมฝีปากหยักประทบลงบนเปลือกตาค่อยๆ ไล่ลงไปเรื่อยๆ จนมาจุดหมาย

จุมพิตแสนอ่อนโยนชวนให้หัวใจเต้นแรง ลิ้นร้อนไล่เลียริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง จนรู้สึกวาบหวาม ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการรุกล้ำมากกว่านั้น แต่สามารถทำให้ผมเคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบหอมหวานจากคนที่ตัวเองรัก คล้ายๆ สัมผัสของกายจะค่อยๆ จางลงไป เลือกที่จะจำเพียงเท่านี้ แค่คนนี้เพียงคนเดียว

ขอบคุณที่รักและเข้าใจกันนะครับพี่ทาร์ตของผม




-------------------------------------------------------

จบเรื่องกายแล้วนะ.... ถึงจะโดนจูบแต่จบ
พี่ทาร์ตเขาไม่แคร์เรื่องจูบแรกก็ดีไป ไม่งั้นน้องปูนโดนโกรธ(?)แน่เลย
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 18 -P.4- (24/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-05-2017 09:45:14
 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 18 -P.4- (24/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: gookgik ที่ 24-05-2017 11:07:31
ไอ้กายอาจมีสิทธิ์โดนพี่ทาร์ตตืบได้ ถ้าได้เจอกันนะ   พี่ทาร์ตลบรอยให้แล้ว ปูนไม่ต้องคิดมาก

รอลุ้นคู่ปากหนักอีกคู่ แทจุงถึงจะอยู่ไกล แต่รักแท้ย่อมชนะทางไกลได้ เอาใจช่วยแทจุง
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 18 -P.4- (24/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 24-05-2017 14:10:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 18 -P.4- (24/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-05-2017 19:31:04
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 19 -P.4- (27/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 27-05-2017 19:45:09
(http://i.imgur.com/A3qkZJI.png)


สูตรที่ 19

Scones
: แป้งเค้ก/ผงฟู/เนยเค็ม/น้ำตาล/ไข่ไก่/นมจืด :




หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นที่ผมกล้าขอให้พี่ทาร์ตจูบตัวเองต่างคนก็ต่างไม่กล้าสบตากัน ความรู้สึกขัดเขินแปลกๆ เมื่อไหร่ที่มองปากหยักของอีกฝ่าย เมื่อนั้นมันจะรู้สึกว่าแก้มร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ อย่างเช่นตอนนี้ แม้แต่นั่งกินข้าวอยู่ตรงข้ามกันแท้ๆ ยังไม่กล้าเงยหน้าเลย เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย ทำไมการควบคุมหัวใจตัวเองลำบากขนาดนี้

"ลูกทะเลาะกันเหรอ"
ป้าอุ่นถามขึ้นในขณะที่เธอนั่งลงข้างๆ ผม ดวงตาอ่อนโยนมองหน้าลูกชายตัวเองอย่างต้องการคำตอบ ถ้าให้ตอบตามความจริงอาจจะช็อกกันทั้งบ้านก็ได้

"เปล่าครับม๊า ไม่ได้ทะเลาะกัน"
เสียงทุ้มเอ่ยตอบก่อนจะเงยหน้าขึ้นจากชามข้าวต้มตรงหน้า เขามองป้าอุ่นเพื่อยืนยันว่าไม่ได้ทะเลาะกันจริงๆ แต่พอเจอสายตาของผมกลับเบนหลบ แบบนี้ใครจะไปเชื่อว่าล่ะ ถ้ารู้ว่าจูบกันแล้วขัดเขินแบบนี้จะไม่กล้าขอเลย แม่ง... ทำไงดีวะ

"แต่พวกลูกไม่มองหน้ากันเลยนะ มีอะไรหรือเปล่า"
ป้าอุ่นมองผมสลับกับพี่ทาร์ตด้วยใบหน้าสงสัย เราทั้งสองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันเงยหน้าขึ้นสบตาก่อนจะเบนหนีอย่างรวดเร็ว พยายามแล้วแต่มัน... เขิน แต่ไม่นานนักไอ้ฟ่อนที่นั่งกินข้าวอยู่เงียบๆ มานานก็เอ่ยขึ้นแทน อยากเอาขิงซอยในจานปาใส่หน้าฉิบหาย พูดบ้าอะไรเนี่ย

"เขาคงเขินกันน่ะม๊า ข้าวใหม่ปลามันก็งี้แหละ หมั่นไส้!"
ไอ้ฟ่อนมองกันด้วยสายตาหมั่นไส้แล้วเบะปากจนคว่ำ ผมสะดุดลมหายใจตัวเองเกือบทำช้อนในมือร่วง ทั้งๆ ที่รู้ว่าป้าอุ่นเขาไม่ได้ขัดขวางอะไรถ้าคบกัน แต่มันก็แปลกๆ... มันทำตัวไม่ถูกว่ะ ส่วนพี่ทาร์ตนั่งยิ้มปากฉีกไปแล้ว เปลี่ยนอารมณ์ไวโคตรๆ ตามไม่ทัน

"นี่ เจ้าฟ่อน ไปหมั่นไส้อะไรพี่เขาล่ะ ตัวเองน่ะรีบๆ กินข้าวเลย อินมารอแล้วมั้ง"
ป้าอุ่นตีเข้าที่แขนของไอ้ฟ่อนก่อนจะเร่งให้มันกินข้าว เพราะทุกคนได้ยินเสียงรถของใครบางคนเข้ามาจอดแล้ว เช้าขนาดนี้ไม่ต้องเดาให้ยากก็รู้ว่าเป็นพี่อินมารับไอ้ตัวแสบไปส่ง คู่นี้ก็ดูจะสนิทสนมกันมากขึ้น ออร่าความรักฟุ้งกระจาย

"ครับๆ ตามบัญชาเลยม๊า"
น้องตอบก่อนจะรีบกินข้าวตามที่ป้าอุ่นบอก เธอหันมายิ้มให้ผมแล้วตักกับข้าวนั่นนี่ใส่ถ้วยให้ สายตาอบอุ่นที่มองมานั้นทำให้เกิดอาการเขินอย่างห้ามไม่ได้ เหมือนแม่สามีมองลูกสะใภ้เลยว่ะ แม่ง...

หลังจากจัดการมื้อเช้ากันเรียบร้อยผมก็โดนพี่ทาร์ตลากมานั่งเล่นในสวน ไม่ยอมให้กลับบ้าน แถมยังไปปล่อยเจ้าขนมออกมาวิ่งเล่นในสนามด้วย มันน่ารักและโตไวมาก กินจุด้วยนะ อยากขโมยจริงๆ เลย

ผมนั่งมองมันวิ่งไปรอบๆ สนามหญ้าหยอกล้อกับผีเสื้อที่บินผ่านไปผ่านมา แต่ด้วยความที่ขาสั้นช่วงกระโดดเลยดูตลก จนเผลอขำออกมา ขนาดจะข้ามรั้วเตี้ยๆ ยังทำไม่ได้เลย อะไรจะมุ้งมิ้งขนาดนี้วะ

"เฮ้ยๆ อย่างับขากางเกงดิไอ้ขนม เพิ่งซื้อมาใหม่นะ"
เสียงพี่ทาร์ตโวยวายเมื่อเจ้าขนมวิ่งดุ๊กดิ๊กมาหาเจ้านายมันแล้วงับเข้าที่ขากางเกงตัวใหม่เอี่ยม ได้ข่าวว่าเป็นแบรนด์ Diesel ตัวละหกพันกว่าบาท ไม่แปลกที่จะเหวเสียงดัง อืม... แพงฉิบหาย ผมนี่ไม่กล้าแตะต้องเลยว่ะ

"ขนมมานี่ อย่าไปยุ่งกับกางเกงพ่อ"
ผมว่าก่อนจะเอื้อมมือไปอุ้มไอ้ขาสั้นมาวางบนตักแล้วเล่นกับมัน ขนมชอบงับนั่นงับนี่เป็นกิจวัตร บางครั้งงับมือจนได้แผลกันเลยทีเดียว

"แม่งชอบงับโน่นนี่ตลอด"
พี่ทาร์ตบ่นพึมพำแล้วส่งสายตาดุๆ มาให้ไอ้ขนมที่ตอนนี้นอนราบไปกับตักผมเรียบร้อยแล้ว พอลูบหัวเข้าหน่อยก็ทำเป็นเคลิ้มปรือตาจะหลับตลอด หูตั้งๆ นั่นก็น่างับ มันเขี้ยวว่ะ

"งอนไอ้ขนมหรือไง"
ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะแล้วลอบมองพี่ทาร์ตที่ยังพะวงกับขากางเกงตัวเองอยู่ เข้าใจว่าเพิ่งซื้อใหม่เลยไม่ได้ว่าอะไรเขากลับไปมากนะ

ดวงตาคมของพี่ทาร์ตละจากขากางเกงมามองหน้าผมแล้วส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ ใบหน้าหล่อๆ ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรให้คาดเดาได้เลย แต่เขาส่งมือหนามาขยี้หัวไอ้ขนมเล่นจนมันลุกขึ้นมาไล่งับอีกแล้ว เนี่ยก็ชอบแกล้งหมาตลอด

"หมั่นไส้ว่ะ อยากฟัดให้น่วม"
พูดออกมาด้วยน้ำเสียงมันเขี้ยวเต็มทนแต่สายตากลับมองมาที่ผมให้รู้สึกหายใจติดขัด ที่พี่ทาร์ตอยากฟัดนั่นคนหรือหมากันแน่วะ ชักไม่แน่ใจแล้ว ถึงจะคุยกันได้ปกติแต่ไม่สามารถสบตากันได้นานๆ มันเขินเมื่อนึกถึงตอนที่เราจูบกัน

"ฟัดไอ้ขนมน่ะเหรอ"
ผมถามก่อนจะคว้าเอาโทรศัพท์มือถือที่มีเสียงแจ้งเตือนข้อความไลน์ดังขึ้น นิ้วเรียวกำลังจะกดเข้าแอพพลิเคชั่นสีเขียวกลับต้องชะงักค้างเมื่อคำตอบจากพี่ทาร์ตมันชวนให้...

"อยากฟัดคนที่อุ้มไอ้ขนม โคตรน่ารัก"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าก่อนจะขยับหน้าเข้ามาใกล้กัน ผมเกือบเผลอทำโทรศัพท์ในมือหล่อนเพราะตกใจกับการจู่โจมแบบไม่มันตั้งตัว ดวงตารีเบิกกว้างกรอกไปซ้ายทีขวาทีอย่างลนลาน หลังชนกับพนักเก้าอี้ขนาดนี้จะให้หนีไปทางไหนล่ะ ม้วนหน้ากลิ้งไปตามสนามดีไหม

"ไม่น่ารักเว้ย แล้วมาหื่นอะไรตอนนี้ ขยับไปไกลๆ เลย"
ผมบอกแล้วอุ้มไอ้ขนมมาขวางระหว่างเราเอาไว้ จริงๆ ยกขึ้นมาบิดบังใบหน้าที่ร้อนวูบวาบต่างหาก เสียงหัวเราะต่ำดังมาจากพี่ทาร์ตที่ยอมขยับออกไป ดูท่าทางจะมีความสุขมากที่ได้แกล้งกันแบบนี้ ระวังตัวไว้เถอะมีโอกาสเมื่อไหร่จะเอาคืนให้สาสม หึ

"เนี่ย ขนาดโมโหยังน่ารักเลย แก้มแดงด้วย"
พี่ทาร์ตยังไม่วายเอ่ยแซวกันด้วยน้ำเสียงร่าเริงแถมยังเอื้อมมือมาหยิกแก้มกันจนรู้สึกเจ็บ ไม่รู้จะมันเขี้ยวอะไรกันนักหนา หน้าตาก็ไม่ได้น่ารักหรือตัวเล็กเหมือนไอ้ฟ่อนสักหน่อย ไม่เข้าใจจริงๆ

"พอๆ จะกลับบ้านแล้ว"
ผมปัดป่ายมือพี่ทาร์ตออกจากใบหน้าตัวเองแล้วอุ้มไอ้ขนมคืนพ่อมันไป จริงๆ ก็อยากจะลักพาตัวกลับไปที่บ้านเหมือนกัน แต่ติดตรงที่ว่าไม่มีเวลาเล่นด้วย งานกองท่วมหัวต้องส่งพรุ่งนี้อีกเพียบ

"เฮ้ย จะไปไหน เดี๋ยวพาออกไปข้างนอก"
พี่ทาร์ตร้องเสียงดังแล้วรับไอ้ขนมไปไว้บนตัก ดวงตาคมมองกันอย่างไม่เข้าใจ ซึงผมก็งงเหมือนกัน วันนี้ไม่ได้นัดอะไรนะ อยู่ๆ จะพาไปข้างนอกได้ไง

"หา จะไปไหน ผมจะกลับไปทำงานเนี่ย มันต้องส่งพรุ่งนี้"
ผมบอกแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หัวคิ้วขมวดแน่น พี่ทาร์ตย่นจมูกใส่กันนิดหน่อยเหมือนเด็กโดนขัดใจ ก็ตัวเองไม่ได้นัดเอาไว้ ช่วยไม่ได้

"งั้นตอนเย็น พาไอ้ขนมไปเดินเล่น"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ ใบหน้าหล่อๆ ที่ตอนนี้งอง้ำทำให้ผมอดจะคลี่ยิ้มไม่ได้ สาบานว่าโตแล้ว... ดูๆ ไปก็น่ารักอยู่หรอก

"ก็ได้ครับ งั้นผมกลับบ้านก่อนนะ"
ผมตอบรับแล้วมองหน้าพี่ทาร์ต เขาคลี่ยิ้มกลับมาอย่างอารมณ์ดี รู้สึกเหมือนคนมีอาการไบโพล่ายังไงไม่รู้

"โอเคครับ"

"เจอกันตอนเย็นนะขนม"
ผมหันไปลาเจ้าหมาบนตักของเขาแล้วอุ้มมันขึ้นมาจุ๊บ อยากจะฟัดสักรอบแต่กลัวติดใจจนเป็นอันไม่ได้ทำงานกันพอดี แต่ตอนที่จะส่งมันกลับไป พี่ทาร์ตก็ส่งสายตาสื่อความหมายบางอย่างมาให้... อิจฉา

"อิจฉาหมาว่ะ มีจุ๊บลาด้วย"
พี่ทาร์ตบ่นพึมพำแล้วบุ้ยปากคล้ายเด็กๆ ผมมองการกระทำนั้นก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา ทำให้เขาช้อนตามองกัน ดูก็รู้ว่ากำลังงอน

"ไปดีกว่า"
ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วปล่อยให้ขนมวิ่งไปรอบๆ สนามหญ้าก่อนจะเดินไปที่รั้วแล้วกระโดดข้ามกลับบ้าน ได้ยินเสียงบ่นงุ้งงิ้งๆ ของพี่ทาร์ตตามหลังแล้วได้แต่ยิ้มเหมือนคนบ้า มีแฟนน่ารักชีวิตก็มีสีสันดีเนอะ

ผมนั่งปั่นงานไปเรื่อยๆ มีตอบไลน์บ้างอะไรบ้างเมื่อมีคนทักมา แต่ข้อความล่าสุดทำให้มือที่กำลังเขียนรายงานชะงักกึก ถ้าตาไม่ฝาดจะเห็นว่าแทจุนส่งมาเป็นภาษาไทยที่แอบไปซุ่มเรียน ใจความคือ... 'ช่วงชูซอก (วันขอบคุณพระเจ้า) จะมาเที่ยวภูเก็ต' มันเป็นวันหยุดยาวประมาณสี่วัน คือช่วงนั้นผมกำลังสอบ โอ้ย วุ่นวายฉิบหายเลย

Poon : จะมาจริงๆ เหรอ

ผมพิมพ์ถามกลับไปเป็นภาษาเกาหลีเพราะไม่อยากเจอภาษาไทยที่ต้องแปลอีกรอบ ถ้าแทจุนจะมาเที่ยวช่วงนั้นจริงๆ อาจจะต้องฝากพี่ทาร์ต พี่อินหรือไอ้ฟ่อนให้ดูแลแทน รอไม่นานเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา

Taejun : อือ ช่วงนั้นว่าง จะไปหากู๊ด ~

ขอเบะปากมองบนด้วยความหมั่นไส้สักสองสามทีแล้วกัน แม่ง จะมาหาไอ้กู๊ดแล้วบอกผมเพื่ออะไรวะ ผมยังสงสัยอยู่เลยนะว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปถึงไหนแล้ว เพราะจะหวังให้เพื่อนสนิทเล่าคงเป็นไปไม่ได้ ก็รายนี้ปากแข็งเหมือนกับพี่ทาร์ตไม่มีผิด

Poon : ช่วงนั้นสอบ ไม่มีใครว่างหรอก
Taejun : ไม่เป็นไร อยากเจอกู๊ดก็แค่นั้นเอง คึคึ ~

เกลียดเว้ย เคยบอกว่าคิดถึงผมสักคำไหมล่ะ มาแนวนี้ต้องขอให้เซอร์ไพร์สไอ้กู๊ดแน่ๆ นี่ก็เพื่อนนะ ให้ความสำคัญหน่อย ถึงอีกคนจะเป็นว่าที่แฟนก็เถอะ น้อยใจไอ้แทจุน!

Poon : ไปบอกกู๊ดดิ มาบอกเราทำไม ไม่สำคัญเท่ามันสักหน่อย
Taejun : น้อยใจเหรอ ~ เราซื้ออัลบั้มศิลปินวงที่ปูนชอบไปฝากด้วยนะ

ผมชะงักมือที่กำลังจะพิมพ์ต่อเมื่อเห็นข้อความจากแทจุนเด้งขึ้นมา รอยยิ้มเล็กๆ ค่อยๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก ไอ้เพื่อนต่างแดนคนนี้รู้ใจจริงๆ ยอมไม่โวยวายอะไรมากก็ได้วะ

Poon : บอกไอ้กู๊ดหรือยังว่าจะมา
Taejun : ไม่บอก อยากเซอร์ไพร์ส ~
Poon : แผนสูงนะ
Taejun : ไม่ใช่ซะหน่อย ปูนไปรับเราที่สนามบินได้ไหมอ่า
Poon : มาถึงกี่โมงล่ะ

ผมเหลือบดูปฏิทินแล้วค้นหาตารางสอบกลางภาคในแฟ้มงานออกมาเปรียบเทียบ วันนั้นไม่มีสอบพอดีคงปลีกตัวไปรับแทจุนได้

Taejun : ห้าทุ่มกว่าๆ อะ

เอ่อ... ผมคงหนีพี่ทาร์ตออกไปรับแทจุนคนเดียวไม่ได้แล้วล่ะ ดึกดื่นขนาดนั้น ทางที่ดีคือบอกและชวนเขาไปด้วยกันดีที่สุด ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดอาการพ่อแง่แม่งอนเกิดขึ้นชัวร์ๆ

Poon : ได้ จะไปรับ

ผมตอบก่อนจะวางโทรศัพท์เอาไว้แล้วกลับมานั่งปั่นงานต่อให้เสร็จๆ เพราะเหลือบดูเวลาแล้วเหลืออีกไม่นานพี่ทาร์ตต้องกระโดดข้ามรั้วมาหากันแน่ๆ เพราะเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วส่งข้อความมาบอกกันว่าจะเอามื้อเที่ยงมาส่งให้ เป็นแฟนที่โคตรบริการดี ทำอาหารเก่ง ทำขนมเก่ง จนรู้สึกว่าตัวเองน้ำหนักขึ้น... ถ้าอ้วนแล้วไม่รักกันล่ะน่าดู

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมงก็ได้ยินเสียงประตูกระจกเลื่อนเปิดออก ร่างสูงพี้อมกับจานอาหารในมือตรงเข้ามาหาผมที่นั่งหน้ามึนอยู่ที่โต๊ะทำงาน ตอนนี้อยากจะทิ้งทุกอย่างแล้วนอนแผ่บนพื้นชะมัด สมองบวมหมดแล้วเว้ย

"มาแล้วครับคุณหนู"
น้ำเสียงสดใสดังขึ้นเมื่อจานสปาเก็ตผัดพริกแห้งเบคอนวางลงบนโต๊ะ ผมรีบยื่นหน้าเข้าไปสูดกลิ่นหอมๆ ก่อนจะหยิบส้อมขึ้นมาจับให้มั่น ท้องร้องแล้ว หิวสุดๆ

"น่ากินมาก"
ผมพูดจบก็จ้วงสปาเก็ตตี้เข้าปากทันที ไม่ได้สนเลยว่ามันจะร้อนแค่ไหน ตอนนี้หิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว เมื่อรสชาติของอาหารสัมผัสลิ้น รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก มันอร่อยจนต้องรีบเคี้ยวและกลืนเพื่อตักคำใหม่เข้าปาก อร่อยมาก!

"เบาๆ เดี๋ยวติดคอ"
พี่ทาร์ตว่าเสียงดุก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัวและกลับมาพร้อมแก้วน้ำเปล่าเย็นๆ เขาวางมันลงแล้วลากเก้าอี้มาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

"ไม่กินเหรอ"
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะเห็นเขาถือจานมาแค่ใบเดียว พี่ทาร์ตส่ายหน้าเป็นคำตอบก่อนจะเอื้อมมือหยิบทิชชู่มาเช็ดมุมปากให้กัน... ดูแลดีขนาดนี้ไม่รักได้ไงล่ะ

"ไม่ล่ะ พี่ชิมจนอิ่มแล้ว"
เขาตอบก่อนจะผละมือออกไปแล้วนั่งมองผมที่ยังจ้วงสปาเก็ตตี้เข้าปากไม่หยุด จริงๆ ก็แอบเขินที่โดนบริการเช็ดปากไปเมื่อครู่ แต่ไม่มีเวลาเขินเท่าไหร่เพราะความหิวมีมากกว่า

ผมนั่งกินสปาเก็ตตี้จนหมดจานแล้วต่อด้วยสโคนที่พี่ทาร์ตเพิ่งเดินกลับไปเอามาให้ ทำอะไรก็อร่อยไปทุกอย่างจนเริ่มอิจฉาและหวงขึ้นมายังไงก็ไม่รู้ ถ้าวันหนึ่งมีใครมาหลงรักเขาแบบที่ผมกำลังเป็นอยู่ จะทำยังไง...

"ท้องจะแตกอะพี่ทาร์ต ไม่ไหวแล้ว"
ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วยกมือขึ้นลูบท้องด้วยท่าทางเพลียๆ กินเสร็จก็รู้สึกอืดอยากได้อีโนสักซอง แต่พี่ทาร์ตกลับนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองกันอยู่นั่นล่ะ มีความสุขอะไรนักหนา

"กินเก่งนะเรา"

"ก็พี่ทาร์ตทำอร่อยไง ผมอ้วนแล้วเนี่ย"
ผมบอกก่อนจะบุ้ยปากโทษคนที่นั่งข้างๆ กัน อ้วนเพราะเขานั่นล่ะ ปกติกินเยอะที่ไหนกัน

"อ้วนก็รัก"
พี่ทาร์ตหยอดคำหวานก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้หัวกัน ผมก้มหน้าลงแล้วทำปากขมุบขมิบ อ้วนก็รักบ้าอะไรวะ คิดจะพูดก็พูดไม่เห็นใจคนฟังบ้างหรือไง หัวใจจะพัง

"ขี้โม้ว่ะ จะทำงานต่อแล้ว พี่กลับบ้านเลยปะ"
ผมบ่นก่อนที่ปลายประโยคจะถามเขากลับไป พี่ทาร์ตส่ายหน้าวืดแล้วชี้ไปที่อุปกรณ์ต่างๆ นานาที่เขาแบกมาจากบ้าน ทั้งโน้ตบุค เอกสาร แฟ้มงานกองพะเนินไปหมด นี่คิดจะมานั่งทำงานด้วยกันหรือไง เหงาเหรอหรือกลัวผมหนีนัดตอนเย็น...

"ไม่ล่ะ แบกโน้ตบุคมานั่งทำงานเป็นเพื่อนแล้ว"
พี่ทาร์ตพูดก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจไปมา ตอนนี้เองที่เพิ่งสังเกตว่าเขาเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านสบายๆ อย่างกางเกงบอลขาสั้นกับเสื้อยืดสีดำ ขนาดใส่แบบนี้ยังหล่อเลย คนอะไรน่าอิจฉาชะมัด

"อ๋อ โอเค แล้ววันนี้ไม่เข้าร้านขนมเหรอ"
ผมถามด้วยควาทอยากรู้ พี่ทาร์ตชะงักการกระทำแล้วหันมามองด้วยสายตาหงอยๆ เหมือนกับว่ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจให้คิด จริงๆ แล้วช่วงนี้ก็ไม่ค่อยเห็นว่าเขาจะเข้าไปที่ร้านขนมเลย

"หึ ป๊าบอกให้เริ่มศึกษางานโรงแรมได้แล้ว"
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ แล้วเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟา มือหนาเริ่มต้นเปิดโน้ตบุคเพื่อทำงานอย่างที่เขาบอกก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้ตามไปแต่ก็หันมองเขาอยู่ตลอด

"พร้อมไหม"
ผมถามด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าพี่ทาร์ตยังไม่พร้อมสำหรับงานบริหาร เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากันก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ ทำไมดูน่าเป็นห่วงแบบนี้ ผมสามารถช่วยอะไรได้บ้างหรือเปล่านะ อย่างแบ่งเบาความหนักใจนั่นจัง

"ไม่พร้อม แต่สุดท้ายก็ต้องทำอยู่ดี"
พี่ทาร์ตพูดจบก็ก้มหน้าก้มตาเปิดเอกสารในมือเพื่ออ่านมัน หัวคิ้วขมวดจนแทบจะผูกเป็นโบว์ทำให้ผมตัดสินใจที่จะเดินไปนั่งข้างๆ เขา หวังว่ากำลังใจจากคนๆ นี้จะช่วยอะไรได้บ้าง

"สู้ๆ นะครับพี่ทาร์ต อย่าเครียดล่ะ มีอะไรอยากระบายก็พูดกับผมได้นะ ยินดีรับฟังเสมอ"
ผมบอกก่อนจะใช้มือตบบ่าเขาเบาๆ พี่ทาร์ตหันมามองแล้วพยักหน้ารับก่อนจะฝืนคลี่ยิ้มออกมา วันหนึ่งคนเราจะมีกี่อารมณ์กันนะ

"ขอบคุณครับ"

"อื้อ ก็เป็นแฟนกันนี่"
ผมบอกก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเพื่อให้อีกคนคลายความเครียดที่มีลงบ้าง และเหมือนว่าเขาจะรับรู้เลยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงติดเจ้าเล่ห์นิดๆ

"อยากเลื่อนสถานะไหมล่ะ"
เขาถามก่อนจะสอดมือเข้ามารั้งรอบเอวของผมให้ขยับชิดกับตัวเอง ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดลงมาบนใบหน้าทำให้รู้ว่าระยะห่างตอนนี้มันอันตรายแค่ไหน หัวใจเต้นรัวจนรู้สึกรำคาญไปหมด

"ห๊ะ ยังจะมีอะไรให้เลื่อนอีก จะให้ผมเป็นพ่อเหรอ"
ผมถามกวนๆ ออกไปเพื่อกลบเกลื่อนอาการขัดเขินแล้วใช้มือดันอกแกร่งให้ถอยออกไปห่างๆ กลัวว่สเขาจะได้ยินเสียงหัวใจเต้น กลัวเขาขยับเข้ามาใกล้กว่านี้

"ใช่ที่ไหนว่ะ"
พี่ทาร์ตเบ้ปากใส่แล้วใช้นิ้วแข็งๆ ดีดหน้าผากกัน ผมถึงกับซี๊ดปากเพราะมันเจ็บ รักกันยังไงทำร้ายร่างกายแบบนี้เนี่ย เดี๋ยวแม่งงับจมูกเลย ยิ่งหมั่นไส้ที่มันโด่งจนจะทิ่มหน้า

"อ้าว แล้วอะไรล่ะ"
ผมยอมรับว่าโคตรงง มันจะมีสถานะอะไรให้เลื่อนขั้นไปอีกล่ะ สำหรับพวกเราแล้วคำว่าแฟนคงเป็นที่สุด... แต่เหมือนผมจะลืมอะไรไปสักอย่างนะ

"ก็... เมียไงครับ"
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วก้มลงมาขโมยหอมแก้มกันอย่างรวดเร็ว ผมที่กำลังช็อกกับคำพูดพวกนั้นเลยปล่อยให้เขาทำตามใจกว่าจะได้สติกลับมาอีกครั้งก็ตอนอีกคนโน้มหน้าลงมาใกล้หมายจะจูบปากนั่นล่ะ แม่งเอ้ย เกือบเป็นไปตามนั้นแล้วไหมล่ะ เผลอไม่ได้เลยจริงๆ เว้ย

"ทะลึ่งว่ะ ใครจะยอมเป็นเมียพี่!"
ผมโวยวายแล้วดิ้นหลุดออกจากอ้อมกอดของพี่ทาร์ต ส่งสายตาดุๆ ไปให้เขาเป็นการขู่แล้วเดินตึงตังกลับไปที่โต๊ะทำงานด้วยใบหน้าร้อนๆ ได้ยินเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังตามหลังมายิ่งหงุดหงิดจนคว้าเอายางลบที่อยู่ใกล้มือขว้างใส่พี่ทาร์ต จะบ้าตายๆๆๆ แม่ง คนบ้าอะไรบอกให้เป็นเมียได้หน้าตาเฉย ถ้ายอมก็ใจง่ายน่ะสิ ไม่มีทาง!

"หยุดหัวเราะ!"
ผมโวยวายเสียงดังแล้วส่งสายตาดุๆ ให้พี่ทาร์ตที่ไม่ยอมหยุดหัวเราะสักที ไม่รู้มันตลกอะไรนักหนา เดี๋ยวก็ไล่กลับไปทำงานที่บ้านเลยนี่

"โอย ทำไมต้องขว้างยางลบใส่พี่ด้วยเนี่ย หัวโนแล้วมั้ง"
เหมือนพี่ทาร์ตจะเพิ่งคิดได้ว่าผมขว้างยางลบใส่เขาเลยถามว่าแบบนั้น แถมยังสร้างมโนว่าหัวจะปูดอีก บ้าไปแล้ว

ผมเลิกสนใจพี่ทาร์ตแล้วดึงสติกลับมาทำงานต่อ เราต่างคนต่างไม่มีใครส่งเสียงดังนอกจากเปิดเอกสารไปมา กว่าจะได้เวลาหายใจหายคอก็เกือบห้าโมงเย็น แต่อีกคนดูเหมือนจะเงียบผิดปกติไปสักพักหนึ่งแล้ว พอหันกลับไปมองที่โซฟาก็เห็นว่าหลับคอพับคออ่อนไปแล้ว...   คงเหนื่อยสินะ

ผมลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วยืดตัวบิดขี้เกียจก่อนจะเดินตรงไปที่โซฟาแล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ คนที่ยังนอนหลับตาพริ้มหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากเมื่ออีกคนละเมอไม่ได้ศัพท์ ดูท่าทางน่าแกล้งยังไงไม่รู้

"นี่... พี่ทาร์ตครับ"
ผมเรียกชื่อเขาด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนักแล้วใช้มือจิ้มแก้มของเขาเล่น ไรหนวดจากๆ ทำให้ใบหน้าของพี่ทาร์ตดูเข้มขึ้น ปกติแล้วไม่เคยปล่อยให้มันยาวเลย ช่วงนี้คงวุ่นๆ กับการศึกษางานบริหารเข้าจริงๆ

"อือ"
เสียงครางในลำคอดังขึ้นพร้อมๆ กับที่ร่างกายสูงใหญ่ล้มตึงลงบนโซฟาอย่างแรง ผมถึงกับอ้าปากหวอด้วยความตกใจ เขาจะเจ็บมากหรือเปล่า แต่พอจะขยับเข้าไปดู พี่ทาร์ตก็ขมวดคิ้วและลืมตาขึ้นช้าๆ ดูมึนๆ งงๆ ตลกดี

"พี่ครับ เจ็บหรือเปล่าน่ะ"
ผมถามก่อนจะมองใบหน้างัวเงียของเขา พี่ทาร์ตเลิกคิ้วขึ้นแล้วส่ายหัวแทนคำตอบก่อนพยายามใช้แขนพยุงตัวให้ลุกขึ้นนั่ง ท่าทางทุลักทุเลจนต้องหัวเราะออกมา อยากช่วยนะ แต่ขอขำก่อนแล้วกัน เหมือนคนเมาเหล้าเลยว่ะ

"เมื่อกี้ปลุกเหรอ รู้สึกเหมือนโดนเขย่าตัว"
พี่ทาร์ตโคลงหัวไปมาเพื่อไล่อาการมึน ผมหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ รู้สึกทึ่งที่เขาคิดว่าโดนเขย่าตัว ทั้งๆ ที่ล้มตึงไปขนาดนั้น ไม่สะเทือนไปถึงตับไตไส้พุงหรือไง

"เอ่อ... ไม่ใช่เขย่าครับ พี่ทิ้งตัวลงบนโซฟาต่างหาก"
ผมไขข้อข้องใจให้กับเขาแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พี่ทาร์ตเหลือบมองกันเล็กน้อยก่อนจะเอนหัวมาพิงไหล่กันแบบเนียนๆ ได้ทีหาโอกาสนัวเนียตลอด

"อ๋อ... อือ กี่โมงแล้ว"
เขาถามก่อนจะกดจมูกลงบนต้นแขนของผมอย่างออดอ้อน ทำให้ขนในกายลุกชันอย่างห้ามไม่ได้ คิดจะทำอะไรก็ทำไม่เห็นใจกันบ้างหรือไงวะ หน้าร้อนจะแย่แล้วเนี่ย

"อ่า ห้าโมงเย็นแล้วครับ"
ผมมองนาฬิกาติดพนังแล้วตอบเขาไป ดวงตารีเหลือบมองศีรษะทุยๆ ของพี่ทาร์ตแล้วหลุดยิ้มออกมาเมื่อเห็นผมของเขาชี้โด่ชี้เด่ มันเป็นมุมที่คนนอกยากจะเห็น ผู้ชายเพอร์เฟ็คยามเพิ่งตื่น... น่ารักดี

"อือ... หลับไปตั้งแต่ตอนไหนยังไม่รู้ตัวเลยว่ะ"
พี่ทาร์ตพึมพำกับตัวเองแล้วผละตัวออกไปเพื่อเก็บโน้ตบุคและเอกสารให้เรียบร้อย สงสัยจะเตรียมตัวออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะแล้วมั้ง

"จะแบกกลับบ้านใช่ไหม เดี๋ยวผมช่วยนะ"
ผมอาสายื่นมือเข้าไปหวังจะช่วยพี่ทาร์ตหอบของทั้งหมดกลับไปที่บ้าน แต่เขาขมวดคิ้วมองกัน แววตาแสดงความงงออกมาเต็มที่ ทำให้การกระทำชะงักไปชั่วครู่ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย ผมทำอะไรผิดอะ

"ใครบอกจะกลับบ้าน คืนนี้จะนอนนี่"
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีแววล้อเล่น ดวงตาคมจ้องมองกันไม่ยอมละไปไหนจนทำให้ผมรู้สึกหวาดระแวง จริงอยู่ที่แม่กับป๋าไม่อยู่บ้าน แต่เขาจะมานอนที่นี่เพื่ออะไร... กลัวผมเหงาเหรอ ไม่ใช่มั้ง

"เดี๋ยวๆ ทำไมจะนอนที่นี่"
ผมถามก่อนจะขยับตัวหนีเพราะไม่ไว้ใจในตัวอีกคน พี่ทาร์ตตอนจะหื่นก็หื่นแบบไม่ทันตั้งตัว กลัวจะรับมือไม่ไหวว่ะ ขืนเกิดหน้ามืดตามัวปล้ำกันขึ้นมาจะหนีไปไหนรอด...

"นอนไม่ได้หรือไง"
ถามเหมือนเป็นเรื่องปกติทั้งๆ ที่มันไม่ปกติ ถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัยพี่ทาร์ตไม่เคยต้องมานอนค้างที่นี่สักหน่อย ถึงจะเปลี่ยนสถานะก็แยกกันอยู่บ้านใครบ้านมัน ไม่ได้ตัวติดเป็นปาท่องโก๋ขนาดนั้นสักหน่อย

"ก็ถามว่าจะนอนทำไม บ้านตัวเองก็มี"
ผมเหลือบสายตามองใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา พี่ทาร์ตเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มมุมปาก ทำไมแค่เสี้ยวสินาทีเขาถึงดูเจ้าเล่ห์ขึ้นขนาดนี้

"อยากนอนกับปูนไง"
คำพูดกำกวมดังขึ้นพร้อมๆ กับร่างสูงใหญ่ขยับรวดเดียวมาคร่อมกันเอาไว้ ด้วยความตกใจและอยากหนีห่างผมเลยทิ้งตัวลงบนโซฟานอนราบ แต่ดูเหมือนจะเป็นการเปิดโอกาสให้อีกคนทำอะไรได้สะดวกขึ้น อย่างเช่นหน้าหล่อๆ ที่โน้มลงมาจนปลายจมูกแตะกันให้หัวใจสั่นเล่นๆ อยากจะบ้า

"เฮ้ย นอนความหมายไหน"
ผมถามด้วยน้ำเสียงตกใจแล้วใช้มือข้างหนึ่งบีบจมูกคนด้านบนเพื่อบังคับให้เขาถอยห่าง และมันก็ได้ผลเมื่อพี่ทาร์ตยอมผละออกไปก่อนจะเบะปากใส่กัน ท่าทางเอาแต่ใจชะมัด


นอนเฉยๆ คิดอะไรเนี่ย หรือว่าอยากให้พี่ทำอย่างอื่น"
น้ำเสียงขี้เล่นมาพร้อมกับการฉวยโอกาสจุ๊บลงมาไวๆ ที่ริมฝีปากแล้วผละออกไป ผมได้แต่นิ่งค้างอ้าปากหวอเพราะไม่ทันตั้งตัว โดนขโมยจูบหน้าตาเฉยเลย!!

"พี่ทาร์ตแม่ง..."
ผมเบนสายตาไปทางอื่นแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าเพราะไม่มีวิธีไหนจะหลบใบหน้าแดงๆ ของตัวเองได้อีก ไม่ชินกับการโดนรุกแบบนี้ หัวใจจะวายแล้ว ทำยังไงดี อุณหภูมิในห้องนั่งเล่นเพิ่มขึ้นหรือเปล่านะ ร้อนจัง

"หึหึ เตรียมตัวพาไอ้ขนมไปเดินเล่นดีกว่า"
เขาหัวเราะเสียงต่ำอย่างพอใจที่เห็นท่าทางเขินอายของผมก่อนจะผละออกไปแล้วเดินหายไปที่บ้านตัวเอง คงกลับไปอุ้มไอ้ขนมแน่ๆ ผมเลื่อนมือลงแล้วถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างโล่งออก เพิ่งผ่านการโดนจุ๊บไปเมื่อครู่ แล้วควรวางตัวยังไงอีกล่ะคราวนี้ โอย จะบ้า

เรามาถึงสวนหลวงในเวลาเกือบหกโมงเพราะต้องฝ่าดงรถติดหลังเด็กๆ เลิกเรียน ไอ้ขนมมีท่าทางตื่นเต้นตั้งแต่ได้ขึ้นรถ เพราะนานๆ ครั้งพี่ทาร์ตจะพามันไปไหนไกลๆ ปกติแล้วเดินเล่นแค่ในหมู่บ้าน

ผมล็อกสายสูงให้เจ้าหมาขาสั้นอย่างแน่นหนาแล้วหันไปยิ้มเป็นสัญญาณว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว พี่ทาร์ตพยักหน้ารับแล้วดับเครื่องยนต์แล้วลงจากรถพร้อมๆ กัน เชื่อไหมว่าคนมาเดินออกกำลังกายเยอะมาก... จริงๆ แล้วผมมาที่นี่ครั้งแรกในรอบสามสี่ปีเลยมั้ง

"คนเยอะเนอะ"
พี่ทาร์ตชวนคุยในขณะที่เราเดินไปข้างๆ กัน ผมพยักหน้ารับคำของเขาก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นไอ้ขนมมีท่าทางตื่นเต้น วิ่งไปทางซ้ายทีขวาที คงแปลกใจและแปลกที่

"ขนมตลกว่ะ ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น"

"เลี้ยงหมาหรือกระต่ายชักไม่แน่ใจ ตื่นตูมเหลือเกิน"

"นั่นดิ อาจจะเป็นกระต่ายแฝงตัวมา"
เราหัวเราะให้กับคำพูดที่ไร้สาระนั่นแล้วพาเจ้าขนมเดินวนรอบสวนหลวง ดีที่เตรียมตัวมาในชุดออกกำลังกาย ไม่อย่างนั้นคงมีรำคาญเสื้อผ้ากันบ้าง เพราะเหงื่อไหล่จนแผ่นหลังชุ่มไปหมด อ่า... มาเดินออกกำลังกายบ้างก็ดีเหมือนกัน ช่วงนี้รู้สึกตัวเองจะบวมๆ พิกล

"นั่งพักก่อน เดี๋ยวพี่ไปซื้อน้ำมาให้"
พี่ทาร์ตชี้ไปที่ม้านั่งตัวยาว ผมมองเขาอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจพยักหน้าแล้วทิ้งตัวลงโดยอุ้มไอ้ขนมขึ้นบนตัก ไม่อยากให้มันเดินไปเดินมาอีก แค่นี้ขาสั้นๆ ก็จะเบะออกแล้ว สงสาร

"โอเคครับ"
ผมตอบรับก่อนจะส่งยิ้มให้ พี่ทาร์ตเดินออกไปก็ได้แต่มองแผ่นหลังชื้นเหงื่อนั่นแล้วคลี่ยิ้มบาง น่าซบชะมัดเลยคนอะไร

"พ่อแกนี่หล่อทุกองศาจริงๆ เลยนะขนม"
ทั้งชมทั้งเหน็บแนมและหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน ขนาดโทรมเหงื่อซกแบบนั้นสาวๆ ที่มาออกกำลังกายยังเหลียวหลังจนคอแทบเคล็ด จริงๆ แล้วก็หวงเขาเหมือนคู่รักปกติทั่วไป แต่ไม่ค่อยแสดงออกแค่นั้นเอง กลัวจะได้ใจกันไปใหญ่

มือเรียวยกขึ้นขยี้หัวไอ้ขนมเพราะมันเขี้ยวเมื่อคิดถึงใบหน้าหล่อๆ ที่เป็นเจ้าของ เจ้าขาสั้นดิ้นไปมาก่อนจะนอนผึ่งพุงกลมๆ ให้ผมเล่น ชอบนักนะที่ให้คนนั้นคนนี้ขยำท้องตัวเอง ในขณะที่กำลังเพลินอยู่นั้นก็รู้สึกว่าใครบางคนมาหยุดยืนตรงหน้า คงจะเป็นพี่ทาร์ตนั่นล่ะ แต่ทำไมไปไวมาไวจัง...




ต่อด้านล่างเนอะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 19 -P.4- (27/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 27-05-2017 19:45:38
"พี่ทะ... เอ่อ"
ผมเงยหน้าขึ้นแล้วพบว่าคนตรงหน้าเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ แต่เขาส่งยิ้มมาให้แล้วมองเจ้าขาสั้นบนตัก สงสัยจะชอบหมาพันธุ์นี้เลยอยากถามข้อมูลหรือเปล่านะ

"สวัสดีครับ"
เขาเอ่ยทักทายพร้อมด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะดูดีแต่พี่ทาร์ตหล่อกว่า นี่ไม่ได้หลงแฟนนะเออ

"สวัสดีครับ"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบเพราะปกติไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าหยิ่งแต่ทำตัวไม่ถูก

"ขอนั่งด้วยได้ไหม"
เขาเอ่ยขออนุญาตแล้วชี้มาที่ว่างๆ ข้างๆ ตัว ผมมองแล้วพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เพราะไม่มีเหตุผลจะงกที่ว่างไว้

"อ้อ เชิญเลยครับ"

"หมาน่ารักนะครับ"
เขาบอกแบบนั้นแต่สายตาไม่ได้มองไอ้ขนมเลยสักนิด เพราะโฟกัสมันอยู่ที่ใบหน้าของผมซะอย่างนั้น รู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลกๆ จนเผลอชะงักมือที่เกาพุงหมาอยู่ เชี่ยอะไรเนี่ย

"อ่า... ครับ มันน่ารัก"

"ชื่ออะไรครับ"
เขาถามต่อ สายตายังไม่ได้ละไปจากใบหน้าของผม ความรู้สึกตอนนี้มันร้องบอกว่าน่าจะโดนจีบ ไม่ได้เข้าข้างตัวเอง แต่ดูจากภาพรวมแล้ว ใช่แน่ๆ แม่ง...

"มันชื่อขนมครับ"
ผมบอกชื่อหมาบนตักไป แต่คนข้างๆ กลับขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นโบกเป็นพัลวันว่าไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ ฉิบหายแล้วไหมล่ะ

"ไม่ๆ ผมหมายถึงชื่อคุณ"

"อ่า..."

"ชื่ออะไรครับ"
เขาจ้องหน้ารอคำตอบจากผมด้วยแววตามุ่งมั่น คือมึงกดดันกูเหรอ ไม่บอกได้ไหมล่ะ เกิดอยากจะเป็นคนหยิ่งหรือหูหนวกชั่วขณะสุดๆ แล้วนี่พี่ทาร์ตไปซื้อน้ำถึงพังงาหรือไง นานแล้วนะเว้ย

"ปูน... ครับ"
พอใจยัง ตอบไปแล้ว เออ... ยิ้มกว้างจนปากจะฉีกหูขนาดนั้นคงได้คำตอบแล้วล่ะผม

"อ๋อ เปียกปูนหรือเปล่าครับ"
ยังจะถามต่ออีก ตาที่ใช้มองเป็นประกายจนน่าขนลุก บ้าไปแล้ว ท่าทางผมเหมือนคนเป็นเกย์หรือไงวะ ผู้ชายถึงได้มาจีบกันนักวะ จะว่าหล่อหรือน่ารักก็ห่างไกล คิดว่างั้นนะ

"ใช่ครับ"
ผมตอบแล้วเริ่มมองหาพี่ทาร์ตไปทั่วบริเวณ แม่ง หายหัวไปซื้อน้ำหรือแอบขับรถกลับบ้านแล้วกันแน่

"น่ากินดีนะครับ"
ผมชะงักค้างเมื่อประโยคนั้นหลุดออกจากปากคนข้างๆ คือแม่ง ถ้าจะตรงขนาดนี้ขอเบอร์ขอไลน์ไปคุยเลยไหม รู้สึกเหมือนถูกคุกคามแบบเงียบๆ เนียนๆ น่ากลัวว่ะ ไม่ไหวแล้ว

กูว่าสถานการณ์ชักอันตรายแล้วว่ะ เชี่ยเอ้ย เมื่อไหร่พี่ทาร์ตจะกลับมาสักที ผมแทบจะลุกหนีเมื่อเห็นริมฝีปากคนข้างๆ กำลังขยับ แต่โชคดีที่คนในความคิดเดินมาทางนี้พอดี โอ้ย แฟนพี่มึงจะตายแล้ว รีบๆ เลย!

"ปูน!"
เสียงเรียกที่ดังมาก่อนตัวทำให้ผมดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว คนข้างๆ กันสะดุ้งนิดหน่อยแล้วมองไปทิศทางที่พี่ทาร์ตกำลังเดินมา ถ้าสังเกตจะเห็นว่าเขากำลังขมวดคิ้วด้วย หึ แฟนผมหล่อกว่าคุณนะเออ ท่าทางจะสูงกว่าด้วย นี่ไม่ได้อวด

"พี่ทาร์ต ไปนานจังวะ"
ผมอุ้มไอ้ขนมแล้วเดินเข้าไปแทบจะกระแซะไหล่ ทำได้คงเอาตัวสิงอีกคน ดูท่าทางคนข้างๆ มีอาการคันปากอยากถามแน่ๆ นี่ใคร

"นานเหรอ ไม่เกินสิบนาทีเอง คิดถึงเหรอไง"
พี่ทาร์ตพูดหยอกแล้วอุ้มไอ้ขนมไปครอบครองแทนแล้วยื่นขวดน้ำเปล่ามาให้กัน ผมรับไว้แล้วยิ้มกว้างก่อนจะตอบกลับไป

"กลับบ้านเหอะ หิวแล้ว"
ผมบอกพี่ทาร์ตแล้วเกาะแขนเขาด้วยมือข้างหนึ่ง กำลังจะออกแรงดันให้เดินไปข้างหน้าแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อคนที่นั่งอยู่เอ่ยทักขึ้นมา ไอ้นี่ขี้สงสัยเกินไปแล้ว... ชะตาจะขาดยังไม่รู้ตัวอีก

"พี่ชายเหรอครับ"
เขาถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิม แต่พี่ทาร์ตกลับหน้าตึงเมื่อมองไปที่อีกฝ่ายเหมือนจะจับสังเกตได้ เหลือบสายตามาทางผมเล็กน้อยแล้วถอนหายใจสั้นๆ งานเข้าครับ ซวยแน่ๆ

"ไม่ใช่ครับ นี่แฟนผม ขอตัวนะ"
ผมบอกรัวๆ แล้วรีบดึงแขนพี่ทาร์ตออกมาจากบริเวณนั้น เพราะถ้ายังอยู่ต่ออาจจะเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นได้ ก็ใบหน้าหล่อๆ ถะมึงทึงอย่างกับอะไรดี...

"ปูน หยุดเดิน"
เดินมาได้สักระยะที่ทาร์ตก็พูดขึ้นและรั้งตัวเองเอาไว้ไม่ยอมเดินตามมา ผมถึงกับเผลอกลั้นหายใจแล้วหยุดตามที่เขาบอก บรรยากาศรอบตัวให้ความรู้สึกอึนๆ ทะมึนๆ คล้ายๆ สงครามเย็น

"เมื่อกี้ 'มัน' มาจีบเหรอ"
ถามด้วยน้ำเสี่ยงชัดถ้อยชัดคำ ดวงตาคมฉายแววไม่พอใจ ผมทำได้แค่ยิ้มแหยแล้วพยักหน้ารับเพราะไม่สามารถเลี่ยงได้ เห็นๆ อยู่ว่าคนนั้นออกอาการจะจีบกัน คิดแล้วยังแอบขนลุกตอนบอกว่าน่ากินอยู่เลย ฮึ่ย

"อือ แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากหรอก"
ผมตอบไปตามความจริง เพราะคุยกันแค่เรื่องหมากับเรื่องชื่อ ไม่ได้เข้าเรื่องจริงจังอะไร ถ้ามากกว่านั้นอาจจะมีเรื่องก็ได้ เพราะพี่ทาร์ตไม่ได้ใจเย็น

"รู้จักมันมาก่อนหรือเปล่า"
ถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ จนรู้สึกว่าถ้าเขาเกิดใจร้อนเดินกลับไป คนๆ นั้นคงโดนต่อยแน่ๆ ผมเลยกอดแขนเขาแล้วถูจมูกเบาๆ คล้ายจะอ้อน เวลานี้ไม่อายใครแล้ว ขอเอาใจแฟนก่อน

"ไม่รู้จักครับ"

"อืม จะไม่พามาที่นี่แล้ว"
เหลือบสายตามองกันแล้วถอนหายใจเฮือก ผมพยักหน้ารัวๆ รับคำทันที ไม่มาก็ไม่มา ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเรื่องสวนสาธารณะอยู่แล้ว จากบ้านถึงที่นี่ก็ไกลพอตัวเลย

"อ่า... โอเคๆ ตอนนี้กลับบ้านไปกินข้าวกันดีกว่าเนอะ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ แล้วกระตุกแขนให้เขาออกเดิน ไอ้ขนมหลับคอพับคออ่อนไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้รับรู้เลยส่าพ่อตัวเองอารมณ์บูดแค่ไหน

"กลับไปอาบน้ำ เดี๋ยวไปดินเนอร์ที่ร้านกัน"

"ครับผม แล้วแต่พี่ทาร์ตเลย"
ตอนนี้อะไรก็ตามใจหมดแล้วครับ ไม่อยากให้เขางอนมันง้อยาก...




-----------------------------------------------

ความสัมพันธ์คืบคลานไปเรื่อยๆ มีหึงกันบ้างกรุบกริบ 55555
ตอนหน้าแทจุนจะโผล่มาแล้ว ~~~
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 19 -P.4- (27/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-05-2017 19:55:30
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
ปูนเริ่มเสน่ห์แรงพี่ทาร์ตก็หวงไปซิทีนี้

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:



หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 19 -P.4- (27/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-05-2017 20:13:35
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 19 -P.4- (27/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 27-05-2017 20:59:07
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 19 -P.4- (27/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 28-05-2017 21:57:25
พอเป็นพ่อแม่ลูกแล้วปูนมีความฮอตเบอร์แรงนะคะ

ทาร์ตมีความกวน ความป่วน แล้วความอ้อยมาเต็ม เจ้าเล่ห์แถมให้ด้วย แต่ก็ยังเท่ห์และดูดี
ปูนสายอ่อยที่แท้จริง ชอบตรงที่ยอมรับใจตัวเอง มีความแจ่ม และชัดเจน เกรียนหน่อย
ยั่วเค้าก่อน พอเค้าเล่นกลับ ทำหลอนซะงั้น

อินชิฟฟ่อนน่ารักค่ะ ไม่เสียแรงที่กลับมาหาเนาะอินเนาะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 20 -P.4- (30/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 30-05-2017 12:48:08
(http://i.imgur.com/mD7IZRu.png)


สูตรที่ 20

Apple Tart
แป้งสาลี/ผงฟู/เนยจืด/ไข่ไก่/น้ำตาลไอซิ่ง/เกลือ/แอปเปิ้ล/อบเชย :



"พี่ทาร์ตตื่นเว้ย!"
ผมกำลังพยายามปลุกคนที่เข้านอนตั้งแต่ตอนสองทุ่มเนื่องจากว่าเขาเพิ่งกลับจากร้านขนม วันนี้มีออเดอร์พิเศษเลยต้องเข้าไปช่วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ สภาพตอนกลับมาถึงบ้านอย่างกับซอมบี้ ดูท่าทางเหนื่อยอ่อน ตาปรือจนแทบหลับกลางอากาศ เห็นแบบนั้นก็เลยไล่ให้ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อน เพราะตอนสี่ทุ่มครึ่งต้องออกไปรับแทจุน... แล้วดูเวลานี้สิ เลยมาเกือบจะห้าทุ่มแล้วพี่ทาร์ตยังไม่ยอมตื่นเลย จะถีบตกเตียงแล้วนะเว้ย

"ถ้าไม่ตื่นผมจะไปรับแทจุนคนเดียวแล้วนะ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงฉุนๆ ไม่ได้หวังว่าคนที่นอนหลับอยู่จะได้ยินอะไร ก็พอรู้ว่าเขาทำงานหนักและเหนื่อย แต่ทางไปสนามบินมันเปลี่ยวแถมเขาลือว่าผีเฮี้ยนอีก ใครจะกล้าไปคนเดียววะ แม่ง

"เฮ้ย ไม่ได้ ตื่นแล้วๆ"
พี่ทาร์ตคว้าข้อมือของผมไว้แทบจะทันทีแล้วดีดตัวขึ้นจากเตียง ดีแค่ไหนแล้วที่ผมตกใจแค่สะดุ้ง ไม่ได้โอเว่อร์ถึงขนาดกำหมัดต่อย ดึกดื่นค่อนคืนเล่นแบบนี้ได้ไงวะ หัวใจจะวาย

"ไวๆ เลยครับ เครื่องจะแลนด์ดิ้งแล้ว"
ผมย่นจมูกใส่คนที่นั่งเสยผมตัวเองด้วยใบหน้ามึนๆ แถมยังไม่ยอมปล่อยข้อมือกันอีก ต้องจูนสมองให้หรือเปล่าล่ะเนี่ย

"โอเคๆ หาว จะให้พี่ขับหรือแฟนจะขับเองครับ"
พี่ทาร์ตยอมปล่อยมือกันแล้วขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง มือหนาควานหากุญแจรถที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ผมมองสภาพของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วได้แต่หัวเราะ ชุดนอนขายาวแขนยาวลายสติ๊ซนี่มันอะไรกันวะ ของไอ้ฟ่อนหรือเปล่าเนี่ย โอ้ยทำไมตลกแบบนี้ แล้วดูสรรพนามที่พัฒนาขึ้นมาเถอะ เรียกผมว่าแฟน ตั้งใจจะให้เขินทุกวี่ทุกวันเลยสินะ เออ ยอมซูฮกเลย ทำสำเร็จ

"ผมขับเองก็ได้ พี่ไปนอนในรถเถอะ"
เห็นสภาพของเขาแล้วก็ไม่กล้าใช้งานอะไร กลัวจะพากันลงไปนอนเชยชมต้นหญ้าข้างทางซะก่อนจะถึงสนามบิน พี่ทาร์ตพยักหน้ารับแล้วหาวหวอดออกมาอีกครั้งก่อนจะเดินนำลงไปชั้นล่างของบ้านตัวเอง อย่าเข้าใจผิดว่าเขาไปนอนบ้านผมนะ วันนี้แม่กับป๋าอยู่ ไม่ดีๆ ไอ้เรื่องลายชุดนอนนี่คาใจจริงๆ ขอถามหน่อยเหอะ

"พี่ทาร์ต... เอาชุดนอนใครมาใส่อะ โคตรมุ้งมิ้งเลยเนี่ย"
ผมมองเขาอีกครั้งก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาแล้วเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ ได้ยินเสียงร้องเฮ้ยเบาๆ จากพี่ทาร์ตด้วย นี่อย่าบอกนะว่ายังไม่รู้ตัวว่าใส่ชุดนอนลายอะไร ตลกแดกเกินไปแล้วครับคนหล่อ

"แม่งเอ้ย เบลอๆ หยิบชุดนี่ออกมาใส่จนได้"
พี่ทาร์ตบ่นพึมพำเมื่อขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อย สีหน้าดูหงุดหงิดชอบกล นี่ตกลงว่าหลับตาหยิบชุดมาใส่อย่างนั้นเหรอ ให้ตายๆ เอ๋อเกินไปแล้วแฟนผมเนี่ย

"ชุดไอ้ฟ่อนเหรอ"
ผมถามก่อนจะออกรถไปอย่างไม่รีบร้อน ถึงจะเป็นช่วงเวลากลางคืนก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน ส่วนเรื่องแทจุนจะแลนด์ดิ้งแล้วคงไม่มีปัญหา เพราะสนามบินคนเยอะ น่าจะไม่เหงาเท่าไหร่

"หึ ชุดพี่นี่ล่ะครับ แต่ไอ้ฟ่อนซื้อมาฝากจากญี่ปุ่น โอ้ย เหี้ยเอ้ย อุตส่าห์จุกๆ ไว้ในตู้ ใครแม่งรื้อออกมาข้างนอกวะ"
ท้ายประโยคพี่ทาร์ตบ่นกับตัวเองยกใหญ่ มือหนาๆ ดึงทึ้งเสื้อแรงๆ ถ้ามันขาดนี้ซวยเลยนะ ผมยังไม่อยากเจอซิกแพคกระแทกตาตอนนี้ ดูท่าทางจะเกลียดชุดลายการ์ตูนแบบนี้เอามากๆ ก็มันแบ๊วซะจนทำให้คนใส่ดูน่ารักไปเลย ถ้าเดาไม่ผิดไอ้ฟ่อนนั่นล่ะที่เป็นคนรื้อออกมา มันก็ขี้แกล้งไม่ต่างจากพี่ชายหรอก เกรียนพอๆ กัน

"เฮ้ย เดี๋ยวชุดก็ขาดหรอก พี่ใส่มันก็น่ารักดีนะครับ"
ผมร้องห้ามเพราะกลัวชุดมันจะขาดขึ้นมาจริงๆ ดูจากประเทศที่ซื้อมาแล้วคงแพงใช่เล่น เสียดายของ พี่ทาร์ตชะงักมือไปหลังฟังประโยคเมื่อครู่จบ ดวงตาคมมองกันอย่างเขินๆ เดี๋ยวๆ แค่ชมว่าน่ารัก อย่าเสียการทรงตัวสิเว้ย

"เหรอ พี่คิดว่าน่าเกลียดมาตลอด มันไม่เข้ากับหน้าตา"
พี่ทาร์ตก้มลงมองชุดที่ตัวเองใส่อีกครั้งก่อนจะละสายตามามองกัน ผมรู้สึกได้ว่าถูกจ้องอยู่ ถ้าไม่ติดว่ากำลังขับรถจะหันไปเผชิญหน้าด้วย มืดแบบนี้กล้าครับ ถ้าสว่างอะโคตรป๊อด

"น่ารักครับ ผมพูดจริงๆ ชอบนะ..."
ผมบอกเสียงแผ่วที่ปลายประโยค ความหมายคือชมว่าเขาน่ารักแบบเต็มๆ แต่โคตรอาย พี่ทาร์ตเหลือบดวงตาคมที่ปรือปรอยมามองกันแล้วกระตุกยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก แม่ง... คิดอะไรอยู่ว่ะ ขนาดในรถมืดนะเนี่ย โอย

"บอกชอบพี่เหรอ"
น้ำเสียงติดทะเล้นกึ่งง่วงดังขึ้น ทำให้ผมสะดุดลมหายใจตัวเองแล้วยืดหลังตรงแทบจะทันที เหมือนกับเขาอ่านใจออกเลยว่ะ แบบนี้แย่แน่ๆ ต้องรีบปฏิเสธก่อนจะได้ใจไปกันใหญ่

"เฮ้ย มั่ว บอกว่าชอบชุดต่างหาก"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งตะโกน ดวงตากรอกหลุกหลิกไปมา กลัวว่าจะโดนจับได้ชะมัด

"อ๋อเหรอ จะเชื่อก็ได้ เออ พี่ของีบหน่อยนะ ไม่ไหวแล้วจริงๆ ปูนเปิดเพลงได้เลยไม่ต้องเกรงใจ"
ดีหน่อยที่พี่ทาร์ตมีอาการง่วงสะสมมากกว่าจะมาเถียงเอาเรื่องอะไร ผมรีบพยักหน้ารับทันที เพราะแค่มีเขานั่งเป็นเพื่อนกันตลอดทางก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องคุยก็ได้

"โอเคครับ เดี๋ยวถึงสนามบินผมปลุกเนอะ"

"อืม"

ไม่นานเท่าไหร่ผมก็เลี้ยวรถจู๊คสีแดงสดเข้าเขตสนามบินนานาชาติ เสียงแจ้งเตือนแอพพลิเคชั่นไลน์ทำให้ต้องละสายตาจากถนนตรงหน้าครู่หนึ่งเพื่อมองหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะพบว่าแทจุนส่งข้อความมาตามกันเป็นรอบที่สอง ดีหน่อยที่เพื่อนคนนี้ไม่มีนิสัยจิกเหมือนนกไม่อย่างนั้นคงแย่แน่ๆ

"พี่ทาร์ตครับ ถึงสนามบินแล้วนะ"
ผมบอกก่อนใช้มือข้างซ้ายเขย่าแขนเขาเล็กน้อย ดวงตาคมค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างยากลำบาก พี่ทาร์ตพยักหน้ารับคำแล้วหาวหวอดออกมาสองครั้งติด ดูไปดูมาก็สงสารว่ะ ไม่น่าลากมาด้วยกันเลย

"แทจุนมารอยัง"
พี่ทาร์ตถามก่อนจะขยับนั่งตัวตรงแล้วมองออกไปที่ฝูงคนรอรถอยู่หน้าประตูทางออก ผมพยักหน้าแทนคำตอบแล้วชี้ไม้ชี้มือไปในทิศทางที่เพื่อนของตัวเองยืนอยู่

"ตรงนั้นๆ คนที่ใส่เสื้อยืดสีแดง"

"อ๋อ... แม่ง เด่นสุดๆ"

"เดี๋ยวผมลงไปช่วยมันขนของขึ้นรถ พี่รอในรถก่อนนะครับ"
ผมบอกก่อนจะเปิดประตูรถออกแต่พี่ทาร์ตกลับใช้มือรั้งต้นแขนกันเอาไว้

"เดี๋ยวลงไปช่วย"
เขาบอกด้วยน้ำเสียงงัวเงียไม่หาย สภาพแบบนี้ใครจะกล้าขอช่วยล่ะ กลัวเดินๆ แล้วหลับกลางอากาศ

"ไม่เป็นไรๆ รอก่อนนะครับ"
ผมหันไปบอกและคลี่ยิ้มหวานๆ ให้เขาไป พี่ทาร์ตขมวดคิ้วมองกันเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ

"ก็ได้"

ผมลงจากรถแล้วตรงเข้าไปหาแทจุนที่เอาแต่ก้มมองโทรศัพท์รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นสีแดงในมือ ถ้าจะรอข้อความไลน์ตอบกลับก็อย่างหวังเลย...

"แทจุน"
ผมเรียกและเข้าไปสะกิดไหล่อีกคนเบาๆ แทจุนเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์แล้วโผเข้ากอดกันแทบจะทันที ไม่รู้มันพล่ามอะไรเป็นภาษาเกาหลีมากมายที่ข้างหู ฟังไม่รู้เรื่องแถมน้ำเสียงเครือๆ คล้ายกำลังร้องไห้... เวร นี่ปล่อยให้รอนานเกินไปใช่ไหม

"ปูน! นึกว่านายจะไม่มารับเราแล้วซะอีก ไลน์ไปก็ไม่ตอบ"
แทจุนพ่นภาษาเกาหลีออกมาเป็นชุดโดยที่ไม่ยอมคลายอ้อมกอดจากตัวผมเลยด้วยซ้ำ การกระทำแบบนี้ทำให้หลุดยิ้มออกมาได้ไม่ยาก คนอะไรขี้กลัวเหลือเกิน แต่ไม่แปลกหรอก ก็เล่นข้ามน้ำข้ามทะเลมาเที่ยวคนเดียว

"คิดอะไรแบบนั้น ปล่อยเราก่อนเถอะ หายใจไม่ออกแล้ว"
ผมตอบเป็นภาษาอังกฤษกลับไปเพราะมันใช้ได้ง่ายกว่าเยอะ แล้วอีกอย่างเดี๋ยวพอขึ้นรถไปก็พูดเกาหลีไม่ได้อยู่ดี พี่ทาร์ตคงมองแรงใส่

"โอเคๆ ไปกันเถอะ เราง่วงมากเลย"
แทจุนปรับตัวด้วยการตอบเป็นภาษาอังกฤษกลับมาแล้วยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ อยู่ๆ ความสงสัยบางอย่างก็ผุดขึ้น ตลอดเวลาบนเครื่องบินมันไม่หลับเลยหรือยังไงกัน

"ไม่ได้นอนบนเครื่องหรือไง"
ผมถามในขณะที่ช่วยลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปที่รถ แทจุนส่ายหัวรัวๆ แล้วคลี่ยิ้มกว้างออกมา

"ตื่นเต้น!"
คำเดียวตอบได้ทุกอย่างจนผมไม่ได้ถามอะไรต่อ พอมาถึงรถก็จัดการเก็บกระเป๋าเรียบร้อย แทจุนเปิดประตูขึ้นด้านหน้าแต่เจอกับพี่ทาร์ตที่นั่งอยู่เลยผงะถอยหลังไป ดีที่เขาหลับ ไม่อย่างนั้นคงต่างคนต่างตกใจน่าดู

"ใครอะ"
แทจุนถามเสียงเบาแล้วมองหน้าผมสลับกับพี่ทาร์ต อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าแก้มตัวเองร้อนๆ ขึ้นมาซะเฉยๆ โอย เขินว่ะ ต้องตอบจริงๆ เหรอ

"ถามไม่ตอบอะ"
แทจุนจ้องผมเขม็งแล้วทำท่าจะปลุกพี่ทาร์ตให้ตื่นขึ้นมาตอบ แต่ผมยกมือห้ามไว้ได้ทันการ จะบ้าตายเว้ย เอาไปส่งให้ไอ้กู๊ดเลยได้ไหม ไม่อยากวุ่นวายไปกว่านี้แล้วเนี่ย

"แฟน ไปขึ้นด้านหลังได้แล้ว"
ผมตอบก่อนจะโบกมือไล่แทจุนให้ไปขึ้นรถสักที ป่านนี้ด้านหลังคงสาปแช่งแล้วที่จอดนานเกินไป แต่อย่าคิดว่าจะรอดพ้นการโดนแซว ไม่มีทางซะหรอก เฮ้อ

"หล่อกว่ากู๊ดอีก... สุดยอดเลย"
แทจุนพูดจบก็หัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลัง ผมกรอกตาด้วยความเบื่อหน่าย ไม่ชอบโดนแซวอะไรแบบนี้ในระยะประชิดเลย เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าพี่ทาร์ตจะตื่นขึ้นมาตอนไหน เสี่ยงเหลือเกินเว้ย ถ้าพูดอะไรผิดไปคงโดนงอนเป็นวันๆ

"เงียบน่า เดี๋ยวพี่เขาก็ตื่นหรอก"
ผมพูดเสียงเบาแล้วเหลือบสายตามองพี่ทาร์ตเล็กน้อย ดีหน่อยที่เขายังหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แต่แทจุนไม่ได้สำนึกหรอกเพราะเขายื่นหน้ามาโผล่ระหว่างเบาะ

"คบกันมานานยัง"
ถามอีกแล้ว เสือกจริงๆ วุ้ย คนเกาหลีเป็นแบบนี้ทุกคนปะวะเฮ้ย

"ถามเยอะ"
ผมว่ากลับไปสั้นๆ ก่อนจะรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ที่ข้างหู แทจุนมันถอนหายใจแรงมาก... ขนจมูกปลิวออกมาบ้างปะเนี่ย

"ก็อยากรู้ ~"
เสียงหวานๆ ลากยาวก่อนที่หัวทุยๆ จะเคาะลงมาบนลาดไหล่ ผมหลุดหัวเราะกับท่าทางเด็กน้อยของเพื่อนแล้วตอบๆ ไป เพราะถ้าเล่นตัวนานๆ อาจจะทำให้พี่ทาร์ตตื่น

"ประมาณสี่เดือน"

"อ๋อ ~ อยากคบกับกู๊ดแบบนี้บ้างจัง"
เสียงเพ้อๆ จนผมพอจะนึกใบหน้าของแทจุนออก มันคงยิ้มกว้าง ทำตาหวานๆ อยู่แน่ๆ

"จีบมันให้ติดก่อนเถอะ"
ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะโดนแทจุนใช้มือหยิกแขนแบบไม่แรงมานัก ได้ยินเสียงขยับตัวฮึดฮัดไปมา เด็กโดนขัดใจก็งี้ล่ะ น่ารักดี

"ไม่ให้กำลังใจกันเลย"

กว่าจะถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืน ผมแนะนำพี่ทาร์ตกับแทจุนให้รู้จักกันหลังจากขนของลงจากรถเรียบร้อยแล้ว ดูท่าทางจะเข้ากันได้ดีล่ะมั้ง หรือเพราะง่วงเลยไม่แสดงท่าทีอะไรมาก

"เดี๋ยวแทจุนไปนอนที่ห้องแขกนะ"
ผมบอกก่อนจะช่วยแทจุนยกกระเป๋าขึ้นไปชั้นบนของบ้าน พี่ทาร์ตขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพราะอั้นฉี่มานาน แถมตอนที่รู้ว่าเด็กเกาหลีต้องนอนบ้านผมเขาก็จะย้ายมานอนด้วย... นี่เรียกว่าขี้หวงได้ปะวะ

"หึ ทำไมต้องนอนห้องแขกด้วยอะ นอนกับปูนไม่ได้เหรอ"
แทจุนมุ่ยหน้าลงเมื่อผมพาเขาไปที่ห้องรับรองแขกที่ให้แม่บ้านเตรียมไว้ ความจริงก็อยากให้ไปนอนด้วยกัน แต่ไม่ได้หรอก ไหนจะพี่ทาร์ตอีกล่ะ

"พี่ทาร์ตนอนกับเรา แทจุนจะไปเบียดด้วยหรือไง"
ผมบอกก่อนจะเปิดประตูห้องแล้วลากกระเป๋าเดินทางของแทจุนเข้าไป คนที่เดินตามหลังมาส่งเสียงผิวปากแซวกันทันทีทันใด อยากจะเอาอะไรสักอย่างฟาดปากมันจริงๆ เลยเถอะ น่ารำคาญวุ้ย

"อู้ ~ นอนเฉยๆ เหรอ"
เสียงทะเล้นเอ้ยแซวกันก่อนที่ร่างเล็กๆ จะเข้ามาเกาะแขนกันแล้วยื่นหน้ากวนๆ มามอง ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยยกมือขึ้นดีดหน้าผากเขา จะแซวอะไรก็ดูสถานการณ์ ดูอารมณ์คนโดนบ้าง แก้มจะระเบิดตายแล้วเว้ย แถมลุ้นอีกว่าพี่ทาร์ตจะโผล่ขึ้นมาชั้นบนตอนไหน

"นอนเฉยๆ สิ จะให้ทำอะไรล่ะ"
ผมตอบแล้วผละตัวออกจากแทจุนก่อนจะบอกให้เขาอาบน้ำและพักผ่อน ถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็ไปเคาะประตูเรียก แต่ก่อนจะออกมาจากห้องก็ไม่วายโดนเพื่อนตัวเล็กแซวเข้าให้

"อย่าเสียงดังมากนะ เดี๋ยวเรานอนไม่หลับ คิกๆ"

อยากจะเอาไม้หน้าสามฟาดปากมันจริงๆ เลยเว้ย ทำให้ผมหน้าร้อนได้อีกแล้วนะไอ้เกาหลี!

ผมเดินกลับเข้าห้องนอนแล้วต้องผงะเมื่อเห็นพี่ทาร์ตนั่งโงนเงนอยู่ปลายเตียง เหมือนเขากำลังรออยู่ ทำไมไม่นอนล่ะวะ เห็นสภาพแล้วความรู้สึกผิดมันจุกอกฉิบหายเลยเนี่ย

"พี่ทาร์ตครับ รอผมเหรอ"
ผมเดินเข้าไปแตะไหล่คนที่กึ่งหลับกึ่งตื่น ดวงตาคมปรือขึ้นมองก่อนจะเอนมาซบลงที่หน้าท้อง เล่นเอาสยิวขนลุกขนพองเลยว่ะ ตรงนี้ไม่ใช่หมอนนะเว้ย อย่า... อย่าไถลลงไปต่ำกว่านี้สิเฮ้ย!

"อือ... นอนกัน"
ครางรับแล้วอยู่ๆ ก็เอนหลังลงบนเตียงโดนที่พาผมไปด้วย การที่ไม่ได้ตั้งตัวทำให้ต้องกลับตาแน่นเพราะตกใจ ใบหน้าซบอยู่กับซอกคอหอมกรุ่นของเขา อ่า... แม่ง ฟินอะ ทำไงดี ลืมไปเลยว่านอนทับกันอยู่

"พี่... ทาร์ต ปล่อยผมเถอะ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยเพราะหัวใจเริ่มทำงานหนักเมื่อสัมผัสได้ว่าลมหายใจอุ่นๆ ของพี่ทาร์ตจรดต้นคอของตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีสัญญาณตอบรับจนได้ยินเสียงกรนเบาๆ ถึงได้รู้ว่าอีกคนหลับสนิทไปแล้ว

ลองขยับตัวเพื่อที่จะลงไปนอนบนเตียงให้สบายแต่กลับพบว่าไม่สามารถทำได้เนื่องจากพี่ทาร์ตกระชับอ้อมกอดไว้แน่นราวกับว่ากลัวผมจะหายไป และด้วยความง่วงที่เข้ามาเยือนอยู่ก่อนหน้าทำให้สติจางหายก่อนจะทิ้งทุกสิ่งไว้ข้างหลังแล้วจมลงสู่นิทรา นอนบนตัวคนก็อุ่นดีนะ ว่าไหม

เสียงเคาะประตูดังรัวๆ ทำให้ผมนิ่วหน้าเพราะมันรบกวนการนอน ดวงตารีปรือขึ้นเล็กน้อยด้วยความหงุดหงิดก่อนจะพบว่าตัวเองลงมานอนบนเตียงเรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่วายไปหนุนแขนพี่ทาร์ตอีก ถ้าปวดเมื่อยตัวขึ้นมาอย่ามาโทษกันนะเว้ย ก็พี่ไม่ยอมปล่อยกันเอง

"ปูน! เปิดประตูหน่อย"
เสียงเรียกด้วยภาษาเกาหลีทำให้ผมสะดุ้งเพราะเพิ่งคิดได้ว่าเมื่อคืนเพิ่งไปรับแทจุนมาจากสนามบิน พอได้สติก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินโซซัดโซเซไปเปิดประตู แม่ง... เป็นบ้าอะไรมาเคาะเรียกตั้งแต่ฟ้าใกล้สางเนี่ย โอย เพลีย

"มีอะไร"
ผมถามออกไปด้วยภาษาอังกฤษแทนเพราะสมองไม่สามารถประมวลผลได้มากกว่านั้น เกือบหลุดภาษาบ้านเกิดด้วยซ้ำ ดีนะยั้งปากไว้ได้ทัน

"อยากไปหากู๊ดแล้ว!"
แทจุนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ใบหน้าหวานๆ ที่ตอนนี้มีแววสนุกสนานทำให้ผมขมวดคิ้วหนักขึ้นกว่าเดิม รู้สึกว่าหน้าผากจะย่นกลายเป็นตาแก่อยู่แล้ว นี่มันเพิ่งกี่โมงครับคุณ เพิ่งจะหกโมงเช้า มึงจะอะเลิทไปไหนครับเพื่อน ยิ่งวันนี้ไม่มีเรียนอย่าหวังว่าไอ้กู๊ดมันจะต้อนรับเลย อย่างน้อยก็เที่ยงนู่นล่ะกว่าจะตื่น

"ใจเย็นๆ มันยังเช้าอยู่เลย กู๊ดยังไม่ตื่น"
ผมบอกออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงีย หัวเอนพิงขอบประตูที่แงมไว้แค่ให้หน้าโผล่ออกไปคุยกับอีกคนได้ ไม่มีทางซะหรอกที่จะเปิดกว้างจนเห็นสภาพพี่ทาร์ตที่นอนอยู่ด้านใน แม่ง... เสื้อถลกจนเห็นซิกแพคขาวๆ อืม ผมไม่ได้คิดอะไร เชื่อเถอะ หลังๆ มานี่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองจะแพ้หุ่นเขาอยู่ด้วย คบกันเป็นแฟนแล้วนิสัยเปลี่ยนหรือไงวะ

"เรานอนไม่หลับอะ ขอเข้าไปนั่งเล่นในห้องหน่อยสิ"
แทจุนพูดจบก็ทำท่าจะผลักประตูเข้ามาและนั่นก็ทำให้ผมรีบขวางเขาไว้ทันที จะบ้าหรือยังไงที่จะเข้ามานั่งเล่นในห้อง ลืมไปแล้วเหรอว่าพี่ทาร์ตนอนอยู่

"เฮ้ยๆ พี่ทาร์ตนอนอยู่ กลับห้องไปเลย"

"หา เอ๊ะ โอ้ ลืมไปเลย ขอโทษๆ ไม่กวนแล่วดีกว่า คงอยากสวีทกันสินะ ~"
แทจุนทำเสียงประหลาดๆ ก่อนจะยิ้มกริ่มแล้วเอ่ยแซวกัน ผมกำลังจะคว้าคอเสื้อของมันเพื่อตบหัว แต่ช้าไป เขาวิ่งเข้าห้องนอนไปแล้ว โอย แม่งเอ้ย สวีทบ้าอะไรล่ะ นอนหลับเป็นตายขนาดนั้น

"สวีทพ่อง..."

แล้วทำไมกูต้องหน้าร้อนด้วยเนี่ย โอ้ย

ช่วงสายของวันทุกคนก็อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาบนโต๊ะอาหาร มีผม แทจุนแล้วก็พี่ทาร์ต ส่วนป๋ากับแม่ไปต่างประเทศอีกแล้ว... ขยันเที่ยวขยันทำงานกันจริงๆ เลย เอาเงินเก็บไว้ที่ไหนกันนักหนาเนี่ย

"ลองชิมสิ"
ผมเลื่อนจานเมนูอาหารเช้าที่เพิ่งออกไปสอยจากตลาดใกล้บ้านมา ได้โรตีใส่ไข่ใส่กล้วยราดนม ขนมปังปิ้งทาเนยน้ำตาล ชาเย็น กาแฟเย็น ขนมจีน ทอดมันปลา หมี่หุ้นป้าฉ่าง(หมี่ขาวผัดซีอิ๊วกับน้ำซุปกระดูกหมู) แทจุนมองอย่างชั่งใจก่อนจะใช้ส้อมจิ้มของหวานเป็นอันดับแรก

"อร่อยปะ"
ผมถามด้วยภาษาอังกฤษแล้วมองดูคนที่กำลังเคี้ยวโรตีด้วยใจจดจ่อ แทจุนจะชอบหรือเปล่าว่ะ สีหน้าไม่แสดงอารมณ์เลยสักนิด

"อื้อ อร่อยๆ แล้วอันนี้อะไรอะ"
ในที่สุดแทจุนก็ยิ้มออกมาแล้วชี้นิ้วมาที่จานทอดมันปลา ผมว่าคราวนี้มันต้องบ่นว่าเผ็ดแน่ๆ เพราะรสชาติพริกเกาหลีกับพริกไทยไม่เหมือนกัน

"เขาเรียกว่า 'ทอด-มัน-ปลา' ทำจากเนื้อปลาผสมเครื่องแกง"
ผมเน้นย้ำทีละคำแล้วอธิบายว่าอาหารตรงหน้าทำมาจากอะไร แทจุนมองมันนิ่งๆ อยู่สักครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจจิ้มทอดมันปลาใส่ปากแบบเต็มคำ คือ... อย่ามาร้องโอดโอยว่าเผ็ดทีหลังนะเว้ย

"จะไหวปะนั่น"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นแล้วมองหน้าแทจุนที่เริ่มไม่สู้ดีนัก ผมรีบยื่นแก้วน้ำให้กับเขาทันที ดูท่าทางจะเผ็ดแล้วล่ะ

"แฮ่ก สไปซี่!"
โวยเสียงดังก่อนจะซัดน้ำเข้าไปรวดเดียวจนหมดแก้ว แถมไม่พอยังเดินไปเปิดตูเย็นเพื่อเติมเองอีก ผมได้แต่นั่งหัวเราะเบาๆ กับท่าทางน่ารักๆ นั่น ถ้าไอ้กู๊ดได้มาเห็นจะว่าอะไรบ้างไหมนะ

"พี่ทาร์ตจะกินขนมจีนหรือหมี่หุ้น ผมให้เลือกก่อน"
ผมเท้าคางรออีกคนเลือก แต่ดูเหมือนพี่ทาร์ตจะไม่ได้สนใจของกินตรงหน้าเลยสักนิดเพราะมัวแต่จ้องหน้ากันไปมา สายตาเจ้าเล่ห์ๆ แบบนั้นชวนขนลุกฉิบหาย ลางไม่ดีแล้วว่ะ

"มีอย่างอื่นอีกปะ"

"หึ ก็มีเท่าที่ไปซื้อด้วยกันไง"
ผมพูดจบก็ขมวดคิ้วมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามหาอะไรอีกในเมื่อของกินก็มีเท่าที่เห็น

"ปูนไม่ได้เป็นหนึ่งในตัวเลือกมื้อเช้าของพี่เหรอวะ"
บ่นเสียงอุบอิบแต่คิดเหรอว่าผมไม่ได้ยินน่ะ นั่งใกล้กันแค่นี้เนี่ย... จะบ้าตาย ทำไมเดี๋ยวนี้พี่ทาร์ตชอบหยอดอะไรหื่นๆ กลัวว่าสักวันจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนี่ดิ

"....."
ผมเงียบเพราะไม่รู้จะอ้าปากพูดอะไร มันทั้งเขินทั้งทำตัวไม่ถูกจนต้องจิ้มขนมปังปิ้งยัดใส่ปากไปสองสามชิ้น แถมด้วยการดูดชาเย็นตามไปอึกใหญ่ แม่ง เกือบสำลักตายไปอีก

"โอ๊ะ... ทาร์ตฮยองทำอะไรเพื่อนผมหรือเปล่าอะ หน้าแดงจัง"
ไอ้นี่ก็มาได้ถูกเวล่ำเวลาเหลือเกิน เห็นตอนที่ผมทำตัวไม่ถูกแถมยังหน้าแดงแบบนี้ อย่าคิดว่าจะรอดการโดนแซวจากแทจุนเลย โคตรฝันเฟื่อง

"ก็นิดหน่อยน่า"
ไอ้พี่ทาร์ตนี่ก็จริงจัง โกหกบ้างก็ได้มั้งเฮ้ย ผมก็ได้แต่นั่งเม้มปากฟังเขาพูดกันไป กลัวร่วมวงสนทนาแล้วเกิดเสียงสั่นไง

"อู้ ~ อิจฉาจัง"
แทจุนยังแซวไม่เลิก และผมคิดว่าต้องพูดอะไรสักอย่างให้มันหยุดพูดสักที พี่ทาร์ตก็เอาแต่หัวเราะเสียงต่ำอยู่ข้างๆ จะบ้าตายแล้ว!

"เงียบๆ แล้วนั่งกินไปเลย"
ผมโวยแล้วเงยหน้าไปจ้องแทจุนกับพี่ทาร์ตสลับกันหวังว่าจะหยุดแซว แต่คนที่ได้ชื่อว่าแฟนทำเพียงไหวไหล่แล้วหยิบขนมจีนไปเทใส่จาน ส่วนเพื่อนยิ้มร่าแล้วเอื้อมมือมากยิกแก้มกันซะงั้น

"คิกๆ ครับ ~"

มื้อเช้าจบลงผมก็โดนคนตัวเล็กรบเร้าให้นัดไอ้กู๊ดให้หน่อย แต่เนื่องจากดูเวลาแล้วอีกคนคงยังไม่ตื่น ควรจะพามันไปเที่ยวรอบเมืองก่อนปะวะ หรือตัดสินใจโทรไปปลุกเพื่อนขี้เซาดี

"ขมวดคิ้วทำไม เครียดอะไรครับแฟน"
พี่ทาร์ตที่เมื่อครู่นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นมามองกันก่อนจะใช้นิ้วอุ่นๆ นวดหว่างคิ้วให้ ผมเหลือบสายตามองเขาแล้วใช้หัวทุยๆ เคาะลงบนลาดไหล่กว้างหลายๆ ครั้ง คนอีกคนหลุดหัวเราะออกมา จริงๆ ก็ขี้เกียจพาแทจุนไปเที่ยว แต่อีกใจคือกลัวไอ้กู๊ดด่าสวนกลับมาว่ารบกวนเวลานอน ทำไงดีวะเนี่ย

"โทรไปปลุกไอ้กู๊ดดีปะ"
ผมถามก่อนจะใช้จมูกถูไปบนลาดไหล่ของพี่ทาร์ตเพราะคิดไม่ตก เมื่อคืนเห็นไอ้กู๊ดบ่นๆ ว่านอนไม่หลับเพราะกินกาแฟไปเยอะ เลยไม่อยากกวนมัน

"ก็โทรไป ถ้าตัวเองไม่อยากรับหน้าที่ไกด์จำเป็น"
พี่ทาร์ตพูดก่อนจะใช้มือขยี้หัวกันเบาๆ นี่รู้นิสัยหมดแล้วใช่ไหมว่าช่วงนี้ขี้เกียจขับรถ อยากไปไหนก็อ้อนเขาถึงจะอายอยู่บ้างก็เถอะ แต่มันก็สบายดีนี่

"อือ... แล้ววันนี้พี่ทาร์ตไปไหนปะ"

"มีเข้าโรงแรมตอนบ่าย มีอะไรหรือเปล่า"

"อยากกินปิ้งย่าง"
ผมผละตัวออกมาแล้วมองหน้าคนข้างๆ ด้วยสายตาออดอ้อน อยู่ๆ ก็อยากเพิ่มพุงให้ตัวเองมื้อเย็นซะอย่างนั้น

"ไว้ตอนเย็นจะมารับ โอเคไหม"
พี่ทาร์ตคลี่ยิ้มให้ ผมแทบจะพุ่งเข้าไปกอดเพราะดีใจ อยากกินมาหลายวันแล้ว แต่เพื่อนก็ไม่ว่าง ชวนไอ้ฟ่อนก็เบะปากใส่ คนข้างๆ ก็เพิ่งจะว่างเย็นวันนี้

"โอเคเลย ห้ามผิดคำพูดนะเว้ย"
ผมรีบคงตอบรับแล้วเหล่มองเขาอย่างไม่ไว้ใจ เพราะบางครั้งที่นัดกันดิบดี พี่ทาร์ตก็งานเข้าซะอย่างนั้น แต่ไม่โกรธหรอกเพราะเข้าใจดีว่าอะไรเป็นอะไร

"ไม่ผิดแน่ๆ ครับ ตอนนี้โทรไปปลุกไอ้กู๊ดก่อนเถอะ แทจุนออกมาจากห้องน้ำแล้ว"

สุดท้ายผมก็ยอมโดนด่ามากกว่าจะขับรถออกไปข้างนอก ช่วงนี้เป็นโรคขี้เกียจ ไปไหนมาไหนพี่ทาร์ตบริการตลอด ติดนิสัยแล้วไง อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ก็มีแฟนดี เอาใจใส่ ดูแลเก่ง ทำอาหารเป็น ทำขนมก็อร่อย หล่ออีก แม่ง... อิจฉาว่ะ อยากเป็นคนแบบนั้นบ้าง

ปี๊นๆ

เสียงแตรรถดังขึ้นที่นอกรั้วทำให้ผมต้องลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วลากแทจุนออกมาหน้าบ้าน เห็นลุงคนสวนกำลังจะไปเปิดประตูก็เลยห้ามไว้

"ผมเปิดเองครับ"

"ได้ครับคุณหนู"
เกลียดสรรพนามที่ลุงเรียกฉิบหายเลย หนูยักษ์อะดิ




ต่อด้านล่างเนอะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 20 -P.4- (30/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 30-05-2017 12:48:25
ผมเดินไปเคาะกระจกรถไอ้กู๊ดหลายครั้งเพราะมันกำลังก้มทำอะไรสักอย่างอยู่ พอมันกันหน้ามาเท่านั้นล่ะถึงกับเบิกตาโตแล้วอ้าปากพะงาบๆ เพราะเห็นใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หึ ไม่คิดว่าจะเจอเซอร์ไพร์สแบบนี้สินะ

ไอ้กู๊ดลดกระจกลงแล้วยืดตัวมาแทบจะข้ามเบาะมาทางนี้ หน้าตาโคตรตลกเลยว่ะ หมดหล่อก็คราวนี้ล่ะ แทจุนนี่ยิ้มหวานแถมยังขยับตัวมาหลบด้านหลังผมอีก เอาเข้าไปเว้ย จะได้ไปไหนกันไหมวันนี้

"แทจุนมาได้ไงวะมึง!"
ไอ้กู๊ดถามเสียงดังจนผมสะดุ้ง แทจุนคงไม่ต่างกันเพราะรีบหุบยิ้มฉับ แต่อาจจะฟังไม่รู้เรื่องก็ได้เพราะมันพูดภาษาไทย แสดงอาการตื่นเต้นแบบนั้น สงสัยคงต้องแกล้งสักหน่อย

"เซอร์ไพร์สมึงไง หยุดยาวช่วงวันชูซอก"
ผมตอบก่อนจะยักคิ้วกวนๆ ให้ ไอ้กู๊ดถึงกับไปไม่เป็นเพราะเห็นมันเม้มปากแน่นเชียว ดีใจล่ะสิที่เขาถ่อสังขารบินมาจีบถึงที่นี่ น่าอิจฉาว่ะ แทจุนก็ลงทุนโคตรๆ เลย

"แม่ง... กูนึกว่าฝัน"
ไอ้กู๊ดพูดเสียงเหมือนคนกำลังเหม่อลอย ดวงตาเยิ้มหวานอย่างกับคนเสพกัญชา ดูท่าทางจะเป็นเอามากว่ะ นี่ไม่ใช่ว่าชอบเขาไปแล้วหรือไง แต่การกระทำไม่ตรงกับใจอะไรอย่างนั้น นิสัยนี่ถอดแบบมาจากไอดอลมันเลย จะใครที่ไหนถ้าไม่ใช่พี่ทาร์ตที่นอนดูหนังอยู่ในบ้าน

"หึหึ พาแทจุนไปเที่ยวด้วย"
ผมบอกก่อนจะดึงแขนแทจุนให้ออกมายืนข้างๆ กัน ไม่รู้จะไปหลบด้านหลังทำไมในเมื่อยื่นหน้าออกมามองไอ้กู๊ดอยู่ดี จะเขินหรืออยากอยู่ใกล้เขาก็เอาสักอย่างเถอะ ผมตามความคิดไม่ทัน

"เออๆ ได้ แล้วนี่แทจุนพักที่ไหน"
ไอ้กู๊ดตอบรับด้วยน้ำเสียงร่าเริง แต่ท้ายประโยคกลับทำหน้าฉงนสงสัยเสียเต็มประดา เห็นแทจุนยืนอยู่ตรงนี้ยังจะถามอีกเหรอว่าพักที่ไหน ผมคงไม่ลงทุนไปรับมันมาจากโรงแรมตั้งแต่เช้าหรอก

"บ้านกูสิ ทำไม จะให้ย้ายไปนอนคอนโดมึงเหรอ"
ผมแกล้งถามแล้วเหล่สายตามองมันอย่างคนรู้ทัน แต่ไอ้กู๊ดดันสะดุ้งแล้วรีบโบกมือเป็นพัลวัน จะปฏิเสธอะไรให้มันเนียนหน่อยเถอะคุณเพื่อน แต่จะยอมปล่อยไปแล้วกัน ถ้าแซวไปอาจจะโดนเอาคืนหนักกว่า

"เฮ้ย เปล่าเว้ย มึงก็พูดไป"

"หึหึ ก็แค่ถามเอง ดูแลกันดีๆ หรืออยากให้กูไปด้วย"
ผมแกล้งถามมันต่อ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการถลึงตาใส่ ทำไมอะ แค่หวังดีกลัวเพื่อนทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่กับแทจุนแค่สองคนไง ทำไมมองกันอย่างกับผมจะไปฆ่าใครอย่างนั้นล่ะ

"ก้าง"
มันพึมพำอะไรสักอย่างแต่ผมไม่ได้ยิน แม่ง... แอบด่าหรือเปล่าวะ

"อะไรนะ"

"เปล่า มึงอยู่บ้านไปเหอะ เดี๋ยวกูพาแทจุนทัวร์เอง"
มีความยืนยันชัดเจนว่าจะไปกันแค่สองคนผมก็ไม่อยากขัดศรัทธาใครสักเท่าไหร่เลยเปิดประตูรถแล้วดันหลังแทจุนให้ขึ้นไปนั่งแล้วปิดประตูให้ นี่บริการให้เพื่อนไปเดทกันอย่างดิบดีเลยนะ หลังจากนี้ต้องมีรางวัลให้กันบ้างแล้วมั้ง

"เออๆ จะกลับตอนไหนโทรมาบอกก่อนนะ เพราะตอนเย็นกูออกไปกินปิ้งย่างกับพี่ทาร์ต"

"สวีทกับผัวอีกแล้ว"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนแล้วยักคิ้วกวนๆ ให้กัน ผมถึงกับแยกเขี้ยวใส่เพราะคำว่าผัว จะบ้าหรือไงคนเขายังไม่ได้เสียกันจะตัดสินได้ไงว่าใครเป็นรุกหรือรับ ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ที่ไหนเล่าเรื่องแบบนี้

"ผัวบ้านมึง! รีบๆ ไปเลย"
ผมโวยแล้วรีบโบกมือไล่พวกมันให้ออกไปพ้นๆ จากบ้านสักที ไม่อย่างนั้นผมต้องยืนหน้าแดงอยู่ตรงนี้ไปอีกนานแน่ๆ ก็ไอ้สองคนเนี่ยมันนักแซวติดอันดับเลยนะเว้ย

"หึหึ ครับๆ"   

ช่วงบ่ายหมดไปกับการนอนกลางวันซึ่งนานๆ ครั้งผมจะทำ เพราะไม่ค่อยชินเท่าไหร่ และอีกอย่างกลางคืนจะตาสว่างซะอย่างนั้น ดวงตารีเหลือบมองนาฬิกาติดผนังแล้วต้องขมวดคิ้วยุ่งเมื่อพบวาเวลาตอนนี้ปาเข้าไปหกโมงเย็นแล้ว พี่ทาร์ตก็ไม่ยอมโทรหากันสักที แต่จะให้ผมตามเขามันก็ใช่เรื่อง ไม่ได้เป็นคนงี่เง่าเอาแต่ใจขนาดนั้น

ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินลงมาชั้นล่างเพื่อที่จะหาอะไรทำฆ่าเวลาระหว่างรอแฟนมารับไปกินมื้อเย็น สายตาไปสะดุดเข้ากับของเล่นเจ้าหมาเด็กเลยคิดขึ้นได้ว่าไปเล่นกับมันหน่อยดีกว่า ไม่เจอไอ้ขนมมาสองสามวันแล้วเนื่องจากพี่ทาร์ตเอาไปเยี่ยมแม่มันที่บ้านพี่อิน

“อื้อ ทำบ้าอะไรเนี่ยพี่อิน เดี๋ยวใครมาเห็น”
ผมชะงักเท้าที่กำลังจะเดินไปปีนรั้วข้างบ้านเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง จำได้ว่าเป็นเสียงไอ้ฟ่อน แต่บริบทการพูดมันทำให้คิดลึกอย่างเลี่ยงไม่ได้ พี่อินกับมันกำลังทำอะไรอยู่กันนะ ต่อมเผือกเริ่มทำงานอีกแล้วไง

“ใครจะเห็นล่ะ ไอ้ทาร์ตก็ยังไม่กลับบ้าน ส่วนม๊ากับป๊าของฟ่อนก็ไปงานเลี้ยงกันแล้ว”
เสียงพี่อินดังขึ้นทำให้ผมแอบอยู่ตรงต้นไม้ใหญ่ในเขตรั่วบ้านของตัวเองแล้วแอบดูผ่านซี่รั้วด้วยใจจดจ่อ ภาพที่เห็นไม่ค่อยชัดเจนแต่พอจะเดาได้ก็คือ พี่อินกำลังกอดไอ้ฟ่อนอยู่ ใบหน้าหล่อๆ อย่างกับนายแบบกำลังโน้มต่ำคล้ายกำลังจะจูบ... เฮ้ย เดี๋ยวนะ นี่ผมตกข่าวอะไรหรือเปล่า เขาคบกันแล้วเหรอวะ

“ไม่เอาเว้ย หื่นเกินไปแล้วนะพี่อิน”

“แค่จะจูบเอง ไม่ได้ปล้ำสักหน่อย”
ห๊ะ... เดี๋ยวๆ จะมาปล้ำอะไรกันข้างรั้วบ้านกูวะเนี่ย ยังไม่อยากดูหนังสดนะเว้ย

“อย่ามาใช้มุกนี้นะพี่อิน จูบทีไรยาวทุกที”
เดี๋ยวๆ ไอ้จูบแล้วยาวคืออะไรวะเฮ้ย นี่พวกมึงสองคนไปถึงขั้นไหนกันแล้ว ผมอยากวิ่งเข้าไปถามจริงๆ ว่าพี่อินขืนใจไอ้ฟ่อนไปแล้วงั้นเหรอ แต่ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะอยากรู้ว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นยังไง

“หึหึ แต่ฟ่อนก็ชอบไม่ใช่เหรอ”
เสียงพี่อินบ่งบอกถึงความเจ้าเล่ห์ได้อย่างชัดเจน ถึงผมจะมองเห็นหน้าเขาไม่ชัดจากมุมนี้ก็รู้ได้เลยว่าเป็นยังไง หล่อร้ายว่ะ เผลอๆ จะหื่นกว่าพี่ทาร์ตด้วยซ้ำ

“ไอ้บ้า หน้าด้านเกินไปปะ อื้อ อย่าไซร้คอดิ มันขนลุก”
ผมได้แต่ยืนร้องเหี้ยในใจดังๆ เมื่อใบหน้าหล่อเหลาก้มลงซุกไซร้ซอกคอไอ้ฟ่อน เลื่อนมือมาปิดตาตัวเองแต่ไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อเผลอกางนิ้วออกดูซะอย่างนั้น เหมือนเป็นคนโรคจิตเลยว่ะกู อยากร้องไห้ ทำไมต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้ในวันที่อยากไปเล่นกับไอ้ขนมล่ะ

“เข้าบ้านกันเถอะ”
พี่อินชวนไอ้ฟ่อนเข้าบ้านคืออะไรวะ ผมควรกระโดดข้ามรั้วไปห้ามเขาสองคนหรือโทรไปบอกให้พี่ทาร์ตรีบกลับบ้านอะ เริ่มทำอะไรม่ถูกแล้วนะเว้ย

“ไม่เอาเว้ย กลับบ้านไปเลยนะ”
ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เพราะรู้สึกโล่งเมื่อน้องชายข้างบ้านเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง แถมยังผลักพี่อินจนถอยห่างตัวเองออกไปได้ นับว่ามีความเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดี ส่วนพี่คนนี้ขอยืนเชียร์และให้กำลังใจอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ก็แล้วกัน ไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องผัวเมีย เอ้ย เรื่องส่วนตัว

“ใจร้ายจัง”
พี่อินบอกแบบนั้นแต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้มเหมือนกำลังมีความสุขนักหนา ถ้าให้เดาคงแกล้งไอ้ฟ่อนเล่นแน่ๆ นิสัยเสียเหมือนแฟนผมไม่มีผิด

“ไม่ใจร้ายผมก็เสียตัวสิ ไปเลยๆ กลับบ้าน”
ไอ้คำว่าเสียตัวของน้องทำให้ผมหน้าร้อนยังไงไม่รู้ นี่คู่มึงจะนำหน้าคู่กูไปขนาดนั้นเลยเหรอวะ ไม่ได้สิ ยังเด็กอยู่นะเว้ย ต้องรักนวลสงวนตัวไว้ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ชายก็เถอะ

“โอเคๆ กลับก็กลับ เจอกันพรุ่งนี้นะแฟน”

“ขี้ดู่ ใครแฟนพี่ห๊ะ”
เอ้า ตกลงอะไรยังไงกันแน่วะ ถึงขนาดไซร้คอกันแบบนั้นยังไม่ได้เป็นแฟนอีกหรือไง หรือข้ามขั้นไปเป็นผัวเมียกันเลยอะ ผมก็ได้แต่ยืนเกาหัวอยู่หลังต้นไม้แบบนี้ อยากรู้ก้อยากรู้ แต่จะให้ถามตรงๆ ก็ดูแปลก ไหนจะทำให้เขารู้ว่าเราแอบดูอีก

“ยอมขนาดนี้ยังไม่เรียกว่าแฟนอีกเหรอ”
พี่อินพูดก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ไอ้ฟ่อนอีกครั้ง ผมเผลอกลั้นหายใจไปหนึ่งจังหวะเพราะลุ้นจนตัวโก่ง เอาจริงๆ ก็เห็นด้วยนะที่เขาบอกว่ายอมขนาดนี้ยังไม่เรียกว่าแฟนอีกเหรอ สถานะระหว่างสองคนนี้คลุมเครือกว่าที่คิดเอาไว้ซะอีก

“ไม่! กลับไปเลยไป”

“จ้าๆ กลับแล้ว”

เรื่องราวของพี่อินกับไอ้ฟ่อนจบลงแค่นั้นเพราะอีกฝ่ายยอมกลับบ้านจริงๆ ส่วนไอ้น้องชายข้างบ้านกลับยืนยิ้มกริ่มแล้วบิดตัวไปมาแทบจะเป็นเกลียว แหม ต่อหน้าเขาทำปากแข็ง พอลับหลังนี่ระทวยแล้วระทวยอีก ทำไมใครๆ ก็ชอบเอานิสัยของพี่ทาร์ตมาใช้จังวะ ฟอร์มจัดอย่างนั้นเหรอ ไม่เห็นจะเท่เลย พูดตรงๆ แสดงออกตรงๆ ยังจะดีกว่าอีก

“ปูน มายืนทำอะไรตรงนี้”
ผมสะดุ้งโหย่งเมื่อเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นข้างหู เพราะไม่คิดว่าเขาจะโผล่มาเงียบๆ แบบนี้ เมื่อครู่เกือบกำหมัดต่อยหน้าไปแล้วไหมล่ะ ถ้าไม่เอะใจว่ามันคุ้นๆ หู

“โหย ตกใจหมดเลย”
ผมหันไปบอกแล้วขยับตัวหนีออกมาเล็กน้อย พี่ทาร์ตเลิกคิ้วขึ้นราวกับสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ดีแล้วๆ ยังไม่อยากเล่าเรื่องไอ้ฟ่อนกับพี่อินให้เขาฟังหรอก

“ไปกินปิ้งย่างกันเถอะ ผมหิวไส้จะกิ่วแล้วเนี่ย”

“พี่ซื้อของมาทำกินเองที่บ้านแล้ว”

“เฮ้ยจริงดิ งั้นรีบๆ ไปเตรียมของกันเลย”

“ครับๆ ไอ้หมู”

ตอนนี้จะเรียกว่าหมูหรือช้างก็ยอมรับแบบไม่เถียงแล้วครับ เพราะเรื่องกินสำคัญกว่า!





---------------------------------------------

พี่ทาร์ตกับปูนนี่ความสัมพันธืเรื่อยๆ ไม่หวือหวา
ส่วนกู๊ดกับแทจุนเนี่ย ไม่มีใครรู้ว่าไปถึงขั้นไหนกันแล้ว
พี่อินกับฟ่อนนี่... มันสองแง่สองง่าม ช่วนให้คิดลึก ลึกม๊ากกก
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 20 -P.4- (30/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 30-05-2017 13:17:00
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 20 -P.4- (30/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: gookgik ที่ 30-05-2017 15:07:30
สงสัยพี่อินจะแซงหน้าได้ฟ่อนเป็นเมียก่อนพี่ทาร์ตแน่

อิจฉากู๊ดมีว่าที่แฟนตามมาหาถึงถิ่น งานนี้เรื่องอะไรจะให้ปูนไปเป็น กขค.

เสียดายพี่ทาร์ตไม่ได้เห็นฉากพี่อินไซ้รฟ่อน  ถ้าได้เห็นไม่รู้จะเข้าไปต่อยเพื่อนป่าว 555
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 20 -P.4- (30/05/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 30-05-2017 16:24:18
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 21 -P.4- (01/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 01-06-2017 17:16:00
(http://i.imgur.com/Jh5MPzm.png)


สูตรที่ 21

Lemon Tart
: แป้งพายหวาน/ไข่ไก่/น้ำตาล/มะนาวเขียว/มะนาวเหลือง/น้ำมะนาว/แป้งข้าวโพด/เนยจืด :



ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วแต่ผมยังนั่งคิดเรื่องๆ หนึ่งไม่ตกสักที เมื่อไหร่ที่มีเวลาว่างมันก็ผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันจบแทบจะผูกโบว์ได้อยู่แล้ว ตกลงว่าพี่อินกับไอ้ฟ่อนไปถึงขั้นไหนกัน นี่ไม่ได้เสือกอะไรแค่เป็นห่วงน้อง จริงจริ๊ง

"ปูน เครียดอะไรนักหนา หน้าผากย่นหมดแล้ว"
เสียงทุ้มดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยแล้วรีบส่ายหัวปฏิเสธอย่างไว กลัวเขาจะจับได้ว่าคิดอะไรอยู่ ที่จริงพี่ทาร์ตก็ไม่ได้เทพขนาดอ่านใจใครได้ กลัวตัวเองหลุดพูดมากกว่า

"ไม่มีอะไรหรอก แล้วนี่ทำอะไรอยู่ครับ"
ผมตอบไม่เต็มเสียงนักแล้วเงยหน้าขึ้นมองพี่ทาร์ตที่ผละตัวห่างออกไปเพื่อทำอะไรบางอย่างในช่วงสายของวันเสาร์ และอีกอย่างวันนี้เป็นวันสำคัญของไอ้ฟ่อนด้วย แก่ขึ้นอีกปีแล้วสินะ

"ทำเลมอนทาร์ต"
พี่ทาร์ตตอบสั้นๆ ก่อนจะหันไปเตรียมส่วนผสมต่อ ด้วยความที่ผมสนใจเลยลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปดูเขาว่าทำอะไรบ้าง เอาง่ายๆ คืออยากกินนั่นล่ะ

"ทำให้ไอ้ฟ่อนเหรอ"
ผมถามกลับไปเมื่อคิดได้ว่าเลมอนทาร์ตคงเป็นเค้กวันเกิดของไอ้ฟ่อน และคำตอบที่ได้คือการพยักหน้าของคนข้างๆ แบบนี้ก็แอบชิมก่อนไม่ได้สิวะ เซ็งเลย

"อืม... ของโปรดมัน อีกอย่างไอ้อินจะทำเซอร์ไพร์สอะไรไม่รู้ด้วย"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วกันไปหยิบนั่นหยิบนี่ใส่ในชามผสมไปเรื่อย แถมยังส่งมะนาวกับเลมอนมาให้ผมอีก นี่คือการบังคับไม่ใช่ขอช่วยสินะ อยู่ๆ ก็เกิดสงสัยขึ้นมาอีกว่าพี่อินมีเซอร์ไพร์สอะไรวะ

"ขูดผิวมะนาวกับเลมอนให้พี่หน่อย ทำเป็นใช่ไหม"

"เอ่อ คิดว่าน่าจะทำได้"
ผมตอบไปมองลูกมะนาวไป เห็นที่ขูดชีสวางอยู่ใกล้ๆ ก็คิดว่าคงไม่ยากอะไร แค่เอาผิวถูกไปมาแค่นั้น ง่ายๆ น่า

"งั้นช่วยหน่อยเนอะ"
พี่ทาร์ตหันมายิ้มให้กันทำให้ผมรีบหยิบลูกมะนาวแล้วพยักหน้ารับกลับไปเร็วๆ ช่วยอะไรได้ก็อยากจะช่วย ทำตัวมีประโยชน์กับเขาบ้าง พี่ทาร์ตจะได้ภูมิใจว่ามีแฟนน่ารัก

"อื้อ"

"คั้นน้ำด้วยนะ"

"ครับๆ ตามบัญชาเลย"
ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วรีบทำสิ่งที่พี่ทาร์ตขอช่วยให้เสร็จเรียบร้อย เพราะก่อนสี่โมงต้องจัดการเอาลูกโป่งอัดแก๊สฮีเลียมมาตกแต่งห้องนั่งเล่นอีก แม่ง... จะอลังการเกินไปแล้วเว้ย นี่ขนาดแสดงออกว่าไม่สนใจน้องนะ หึหึ พี่ชายสุดยอดปากแข็งแห่งปีจริงๆ


"พี่ทาร์ต... ไอ้ฟ่อนกลับมาตอนไหนอะ"
ผมถามหลังจากที่ร้านทำบอลลูนมาส่งของเรียบร้อยแล้ว จัดห้องเตรียมพร้อมที่จะเซอร์ไพร์สไอ้ฟ่อนเต็มที่ มองๆ ดูแล้วให้บรรยากาศคล้ายๆ กับท้องฟ้าสดใสตอนเช้า ลูกโป่งสีขาว สีน้ำเงิน และสีฟ้าลอยติดเพดาน และมีอีกหนึ่งลูกขนาดใหญ่บรรจุกลิตเตอร์อยู่ภายในและเขียนอักษรอวยพรวันเกิดเอาไว้ อย่างกับงานวันเกิดน้องสาว แต่ก็น่ารักดี

"คงประมาณทุ่มสองทุ่มมั้ง ไอ้อินน่าจะพาไปแหลมพรมเทพหลังเลิกเรียนพิเศษ"
พี่ทาร์ตตอบกลับมาแล้วหย่อนตัวลงบนโซฟากลางห้องรับแขกแล้วหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปบรรยากาศตรงหน้าเอาไว้ แต่บังเอิญว่ากล้องมันโฟกัสมาที่ผมด้วยนี่สิ

"เฮ้ย ถ่ายอะไรเนี่ย"
ผมรีบเดินไปนั่งข้างๆ พี่ทาร์ตแล้วยื่นหน้าเข้าไปมองที่จอสี่เหลี่ยมซึ่งมันกำลังแสดงผลรูปใบหน้าเหวอๆ กับพื้นหลังสวยๆ ช่างไม่เข้ากันสุดๆ

"ลบเดี๋ยวนี้เลย โคตรน่าเกลียด"
ผมโวยเล็กน้อยก่อนจะทำท่าแย่งโทรศัพท์มากดลบเอง แต่ด้วยความที่พี่ทาร์ตแขนยาวเลยยืดตัวหนีไปไกล แล้วคนที่คว้าได้แต่อากาศอย่างผมจะทำอะไรได้นอกจากคว่ำหน้าลงบนตัวเขา โอย อายฉิบหายชีวิต!

"หืม จะทำอะไรพี่ครับ เอาหน้าซุกตักกันแบบนี้"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าใกล้ๆ ใบหู ผมรีบใช้แขนยันตัวขึ้นจากตักของเขาอย่างทุลักทุเล ที่ก็แคบแถมยังหาตำแหน่งวางมือไม่ได้อีก กว่าจะลุกขึ้นได้ก็ใช้เวลานานจนเริ่มได้ยินเสียงหัวเราะอีกคนดังขึ้น ตลกตรงไหนวะ!

"ไอ้บ้า ล้มเว้ยล้ม ไม่ได้จะทำอะไร"
ผมโวยวายทันทีที่กลับมานั่งได้ ใบหน้าบูดบึ้งบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรง อีกอย่างคือแก้มร้อนจนอยากเอาหมอนมาปิด แม่ง แบบนี้พี่ทาร์ตก็รู้หมดว่าผมแอบหื่น

"หึหึ นึกว่าพิศวาสพี่ซะอีก"
พี่ทาร์ตขยับเข้ามากระแซะไหล่กันไม่พอยังเอามือมาดึงแก้มอีก ผมมองเขาตาขวางแล้วใช้หมัดต่อยลงที่ท้องจนอีกคนตัวงอ นี่ก็โอเว่อร์ไปไหนวะ เห็นแล้วอยากจะหาค้อนมาเคาะหัวให้ยุบจริงๆ

"ชาติหน้าเถอะ!"

"พี่ไม่รอนานขนาดนั้นหรอกน่า"
พี่ทาร์ตรวบแขนของผมเอาไว้แล้วกระตุกจนใบหน้าของเราห่างกันแค่คืบเดียว ลมหายใจอุ่นๆ สลับปะทะกันไปมา ให้ความรู้สึกกระอักกระอวนแปลกๆ จนไม่กล้าสบตา กลัวตัวเองจะเข้าไปจูบเขาก่อนน่ะสิ ริมฝีปากหยักสีส้มแบบนั้น มันเชิญชวนให้ลิ้มลองอยู่ตลอดเวลา บางทีก็รู้สึกเกลียดความหื่นที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยเกินไปในช่วงนี้ เผลอๆ อาจจะเป็นผมเองที่ยอมถวายตัวให้เขา โดยไม่ต้องร้องขอ แค่คิดก็อายแล้วเว้ย

"อะ อะไร หมายความว่าไง"
ผมถามออกไปเสียงตะกุกตะกักและเมื่อพี่ทาร์ตขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ก็ทำให้ผมต้องใช้หน้ามุดอกเขาอย่างห้ามไม่ได้ ก็กลัวว่าจะโดนขโมยจูบแบบไม่ทันตั้งตัวอีกนี่หว่า ถึงจะสมยอมก็เถอะ แต่มันมองหน้ากันลำบากทุกทีที่ทำแบบนั้น เพราะเกิดอาการเขินเมื่อนึกย้อนไป... อืม ภูมิต้านทานต่ำ

"เปล๊า ไปทำกับข้าวดีกว่า"
พี่ทาร์ตหัวเราะเบาๆ แล้วยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วบิดขี้เกียจไปมาจนชายเสื้อเปิด ไอ้ผมที่ไม่ได้คิดอะไรมากก็คว้ามันไว้เพราะอยากรั้งคนที่กำลังหนี แอบเห็นซิกแพคขาวๆ ที่น่าอิจฉาด้วยว่ะ

"หนีเหรอวะ"

"หึ มันจะหกโมงแล้ว ไม่หิวเหรอ"
พี่ทาร์ตหันมาเลิกคิ้วใส่กันแล้วมองชายเสื้อของตัวเองที่โดนรั้งไว้ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากหยักจนผมต้องรีบปล่อยมือทันที เดี๋ยวเขาจะคิดว่าผมพิศวาสอะไรอีก จริงๆ ก็แค่แอบมองซิกแพคนั่นนิดหน่อย ก็คนมันอยากมีแบบนั้นบ้าง แค่นั้นเอง ช่วงนี้ถ้านิสัยเปลี่ยนไปก็โทษเขาเลย! ก็มันรู้สึกคล้ายๆ โดนอ่อยตลอดเวลา ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

"ก็... หิว งั้นผมกลับไปอาบน้ำที่บ้านก่อนแล้วกัน อีกชั่วโมงจะกลับมาใหม่"
ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นยืนข้างๆ กัน พี่ทาร์ตพยักหน้ารับแล้วเอื้อมมือมาวางบนหัวก่อนจะโยกไปมา ที่จริงมันก็น่ารำคาญนิดๆ แต่รู้สึกดีมากกว่าเลยไม่ได้ปฏิเสธอะไรไป

"โอเคครับ รีบๆ มาล่ะ พี่รออยู่"
พี่ทาร์ตบอกแล้วผละมือออกจากหัว ผมเม้มปากเข้าหากันเพราะคำพูดนั่น 'รอ' เหมือนเราเป็นคนสำคัญของเขา รู้สึกดีจนเขินขึ้นมานิดๆ

"อะ อื้ม"

ผมใช้เวลาอาบน้ำอยู่ครึ่งชั่วโมงและหมดเวลาที่เหลืออีกครึ่งชั่วโมงไปกับการคุยโทรศัพท์ ไอ้กู๊ดมันอยากมางานวันเกิดไอ้ฟ่อนแต่เกิดติดธุระกะทันหัน แถมด้วยการคุยเรื่องแทจุน จากที่ฟังๆ แล้ว รู้สึกเหมือนมันจะชอบเขาแล้วล่ะ อีกไม่นานคงได้ยินข่าวดีจากทั้งคู่

"ปูน!"
เสียงเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำจากชั้นล่างของบ้านทำให้ผมรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องแทบทันที ป๋ายืนอยู่ที่ตีนบันไดพร้อมกับกล่องของขวัญในมือ เห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉาไอ้ฟ่อนจังวะ

"ครับป๋า เดี๋ยวปูนลงไป"
ผมตอบก่อนจะรีบลงบันไดไปหาป๋าที่ใส่ชุดสูทเตรียมพร้อมจะไปงานเลี้ยง เขาทำหน้าดุๆ ใส่กันเพราะไม่พอใจที่ผมวิ่ง... ก็มันลืมตัว

"เดี๋ยวก็กลิ้งเป็นลูกหมูตกบันได"
ป๋าว่าด้วยเสียงดุๆ แล้วส่งกล่องในมือมาให้กัน ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ เพราะรู้ว่าตัวเองทำผิด

"ฝากให้ชิฟฟ่อนด้วย ป๋ากับแม่ไปงานเลี้ยงก่อนนะ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย"

"โอเคครับผม ขับรถดีๆ นะป๋า"
ผมโบกมือลาป๋าด้วยรอยยิ้มแล้ววางกล่องของขวัญเอาไว้บนโต๊ะกระจกก่อนจะเดินตัวปลิวไปหยิบน้ำในตู้เย็นมาดื่มเพื่อดับกระหาย กำลังคิดอยู่ว่าแอบดูละครสักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยไปบ้านพี่ทาร์ตก็ยังไม่สาย แต่ว่าทำไม่ได้หรอกเพราะเจ้าตัวเดินดุ่มๆ เข้ามาหากันแล้ว...  เข้านอกออกในสบายเลยนะ หมั่นไส้

"มาตามครับ"
คำพูดตรงไปตรงมาทำให้ผมต้องลดแก้วน้ำดื่มลงแล้วย่นจมูกใส่เขา เหมือนจะรู้ทันกันไปซะทุกอย่างจนไม่สามารถหนีได้

"รู้เหรอว่าผมจะไปเลทน่ะ"
ผมถามออกไปตรงๆ แล้วยืนพิงสะโพกกับเค้าน์เตอร์ จ้องหน้าพี่ทาร์ตอย่างไม่เกรงกลัวทั้งๆ ที่ในใจแอบหวั่นไม่น้อยว่าเขาจะฉวยโอกาสกันไหม

"มาตามไปกินข้าวเย็นต่างหาก"
พี่ทาร์ตพูดก่อนจะคลี่ยิ้มละมุนแล้วยกมือขึ้นบีบจมูกกันเบาๆ ผมถึงกับรู้สึกหน้าร้อนอย่างห้ามไม่ได้ ทุกอย่างดูมุ้งมิ้ง นุ่มนวลยังไงไม่รู้ เหมือนอะไรสักอย่างที่เป็นสีพาสเทล

"ละ แล้วไม่รอกินพร้อมกับไอ้ฟ่อนเหรอ"
ผมเบนสายตาหนีไปทางอื่นในขณะที่พี่ทาร์ตผละมือออกจากจมูกไปเกลี่ยแก้มแทน มืออยู่ไม่สุขจริงๆ เลยให้ตายสิ มันรู้สึกอึนๆ มึนๆ คล้ายจะเป็นลมยังไงไม่รู้ สงสัยจะเขินจนหน้ามืด ใครก็ได้ช่วยปูนที ~

"หึ ส่วนของงานเลี้ยงไอ้ฟ่อนมีแต่ของหวานกับขนมขบเคี้ยวหรอก มื้อเย็นน่ะพี่จะดินเนอร์กับปูนสองคน"
พี่ทาร์ตก้มลงมาจุ๊บแก้มกันอย่างฉวยโอกาส ผมได้แต่หันมาแยกเขี้ยวใส่แต่พูดอะไรไม่ออกกับความน่ารักของเขา บางครั้งก็ไม่อยากเชื่อว่าเสือผู้หญิงเวลามีแฟนและหยุดที่ใครสักคนจะทำตัวแบบนี้ มันน่าหลงใหลจนหนีไปไหนไม่ได้จริงๆ

"เจ้าเล่ห์ตลอดเลยว่ะ"
ผมบ่นอุบอิบแล้วขยับถอยหลังออกมาแล้วเดินไปหยิบกล่องของขวัญเพื่อจะตรงไปยังบ้านพี่ทาร์ต เขาตามกันมาติดๆ แถมยังวาดแขนแกร่งโอบไหล่อีก เอาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ แฟนมีความสุขผมก็สบายใจแล้ว

เก้าอี้ถูกเคลื่อนออกจากโต๊ะโดยฝีมือของพี่ทาร์ตเพื่อทำการอำนวยความสะดวกให้กับผม อย่าถามว่าตอนนี้รู้สึกยังไง เพราะตอบได้แค่คำเดียวว่าโคตรเขิน แสงเทียนทำให้บรรยากาศรอบๆ ดูโรแมนติกขึ้นทันตาเห็นถึงมันจะทำให้มองอาหารตรงหน้าไม่ชัดก็เถอะ แต่ไม่เป็นไร ผมชอบ... ชอบทุกอย่างที่เขาทำให้

"เพิ่งหักทำไก่ทอดเกาหลีครั้งแรก ไม่รู้จะกินได้หรือเปล่า ปูนลองชิมดู"
พี่ทาร์ตตักปีกไก่ทอดใส่จานของผมแล้วมองด้วยสายตาคาดหวัง สีสันรูปลักษณ์ของมันเหมือนถอดแบบมาจากเกาหลีไม่มีผิด กลิ่นหอมของโคชูจังลอยเตะจมูกจนทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเริ่มทำงาน

"จะกินแล้วนะ"
ผมบอกก่อนจะหยิบไก่ทอดขึ้นมาด้วยมือเพราะแบบนี้มันกินสะดวกกว่า ไม่ต้องรักษาท่าทางอะไรมากหรอก ตอนเป็นพี่น้องปฏิบัติแบบไหนตอนเป็นแฟนก็ปฏิบัติแบบนั้น ส่วนหนึ่งเพราะเราเป็นผู้ชายเหมือนกันเลยไม่ต้องสร้างภาพอะไร

ผมงับไก่เข้าปากแล้วพบกับความกรอบนอกนุ่มใน รสชาติซอสที่เคลือบภายนอกให้ความกลมกล่อมเหมือนสูตรต้นฉบับอย่างไรอย่างนั้น มุมปากยกเป็นรอยยิ้มเพราะมันอร่อยอย่างที่คาดไว้จริงๆ พี่ทาร์ตเก่งจริงๆ แบบนี้ต้องอ้อนให้ทำบ่อยๆ แล้วสินะ

"อร่อยมากเลยพี่ทาร์ต"
ผมบอกก่อนจะใช้ส้อมจิ้มไก่ทอดอีกชิ้นมาใส่จาน รอบนี้ขอกินพร้อมข้าวเม็ดอวบอ้วนด้วยก็แล้วกัน อืม... โคตรฟินอะบอกเลย

"ดีใจที่ชอบ งั้นลองซุปเนื้อกับหมูสามชั้นตุ๋นด้วยสิ"
พี่ทาร์ตตักหมูสามชั้นตุ๋นสีน้ำตาลที่ส่งกลิ่นหอมของเครื่องเทศใส่จานให้กัน พร้อมด้วยกิมจิอีกพอดีคำ เห็นแบบนั้นแล้วผมก็พยักหน้ารับและตักมันใส่ปากตามคำเชิญ รสชาติของมันหวานๆ กลมกล่อม เนื้อหมูเปื่อยกำลังดี ความเปรี้ยวของผักช่วยตัดเลี่ยนได้อย่างยอดเยี่ยม อร่อยทุกอย่างเลยว่ะ

"อร่อยอีกแล้ว แบบนี้ผมอ้วนตายพอดี"
ผมว่าก่อนจะมุ่ยหน้าใส่ แต่มือก็ยังเอื้อมไปตักซุปเนื้อสีส้มอมแดงใส่ปาก รสเผ็ดร้อนกำลังพอดีบวกกับเนื้อวัวที่ต้มจนเปื่อย บอกเลยว่าถ้ากินตอนฝนตกอากาศเย็นๆ มันโคตรจะฟิน อย่างตอนนี้... โรแมนติกไปอีกว่ะ

"กินไปเหอะถ้ามีความสุข จะอ้วนจะผอมพี่ก็ยังรักปูนเหมือนเดิม"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงมีความสุข สายตาที่ใช้มองกันเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ผมหยุดชะงักการกินของตัวเองทันทีเมื่อคำบอกรักนั้นทำให้แก้มร้อน ไม่รู้ทำไมไม่เคยชินสักที... แต่นานๆ ครั้งเขาจะบอกคำนี้ หัวใจเต้นแรงว่ะ ทำไงดี

"มาปากหวานอะไรตอนนี้วะพี่ทาร์ต มันเลี่ยน"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแต่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตาเขาเลย ดีนะที่แสงเทียนไม่ได้สว่างจนทำให้เห็นแก้มแดงๆ ในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นคงได้เอาหน้ามุดจานไก่ทอดเพื่อหนีความเขินกันบ้างล่ะ

"หืม เลี่ยนจริงเหรอ พี่ว่าไม่นะ"
พี่ทาร์ตยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเกิดเงาดำทาบทับลงบนจานอาหาร ลมหายใจอุ่นๆ ที่ตกกระทบลงบนศีรษะทำให้รู้ว่าระยะห่างของเรานั่นเหลือน้อยเต็มที ถ้าเกิดว่าผมเงยหน้าขึ้นไปคงโดนจูบที่ไหนสักแห่งแน่ๆ แค่คิดก็รู้สึกขนลุกแล้ว...

"กินข้าวไปเลย อย่าแกล้ง"
ผมบอกทั้งๆ ที่ยังก้มหน้า รออยู่สักพักก็ไม่มีเสียงตอบรับอะไรกลับมาเลยเงยหน้าเพื่อมองอีกฝ่ายว่าทำอะไรอยู่ แต่ในจังหวะนั้นเองที่ริมฝีปากหยักฉกจุมพิตเข้าที่หน้าผากแล้วผละตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ให้ตาย... นี่วันเกิดไอ้ฟ่อนหรือวันครบรอบของเรากันแน่วะ

"พี่ทาร์ต... ชอบฉวยโอกาสว่ะ"
ผมบอกแล้วเม้มปากเพื่อมองหน้าเขานิ่งๆ อย่างคาดโทษ ทั้งๆ ที่ต้องโกรธแต่ทำไมตอนนี้กลับรู้สึกว่าอยากยิ้มเหลือเกิน เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความรักบางครั้งก็อยู่เหนือการควบคุมทั้งหมด เสียการทรงตัวอย่างสิ้นเชิง

"แค่นี้ยังน้อยไป ถ้าพี่ไม่เกรงใจก็จับปูนฟัดไปแล้ว"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายซะเต็มประดา ใบหน้าที่เหมือนหมาหงอยไม่ได้ทำให้น่าสงสารเลยสักนิด แต่มันกลับทำให้ผมต้องเม้มปากแน่นกว่าเดิมเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์อยากโวยวายเพราะความเขิน อะไรคือจะจับฟัดระหว่างกินข้าวว่ะ จะหื่นมาเกินไปแล้ว แบบนี้ผมจะรอดจากเขาไปได้อีกนานแค่ไหน

"หยุดเลย รีบๆ กินข้าวครับ เดี๋ยวไอ้ฟ่อนจะกลับมาแล้ว"
ผมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวโดยไม่สนใจพี่ทาร์ตอีก แต่หูก็ยังแว่วได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ จากเขา คนอะไรน่าหมั่นไส้ชะมัดเลย แกล้งกันได้ทุกวี่ทุกวันจริงๆ เว้ย

เวลานี้ผมกำลังนั่งตบยุงอยู่หน้าบ้านเพราะรอไอ้ฟ่อนกับพี่อินกลับบ้าน ส่วนพี่ทาร์ตกำลังคุยโทรศัพท์อยู่อีกมุมหนึ่ง สาเหตุที่ต้องทรมานแบบนี้ก็เพราะว่าอีกไม่เกินห้านาทีพวกเขาจะมาถึง ต้องเตรียมผ้าปิดตาบลาๆ วุ่นวายสุดๆ ดีนะ ที่งานวันเกิดไม่ได้มีแขกคนอื่นนอกเหลือจากเราสี่คน ป้าอุ่นและลุงตั้มก็ไปงานเลี้ยงเหมือนบ้านผม

"ปูนเข้าไปรอข้างในเหอะ เดี๋ยวตรงนี้พี่จัดการเอง"
พี่ทาร์ตเดินกลับมาหากันหลังจากคุยโทรศัพท์จบ เขาบอกให้ไปรอข้างในเพราะผมเริ่มต้นเกาแขนตัวเองจนแดงไปหมด จริงๆ ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมยุงชอบรุมกัดนักหนา ไม่ได้ใจบุญอะไรเลย

"ไม่เป็นไร เอ้ย พี่อินมาแล้วๆ"
ผมบอกก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นจากม้านั่งแล้วรีบเดินไปเปิดประตูรั้วทันที โดยมีพี่ทาร์ตตามมาติดๆ รถครอบครัวเข้ามาจอดเรียบร้อยพร้อมกับร่างบางที่ก้าวลงมาอย่างทุลักทุเลเพราะโดนพี่อินเอาผ้าอะไรสักอย่างคลุมหัวไว้ จริงๆ น้องจะโวยวายเอาออกก็ได้แต่ไม่ทำ เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ไอ้ฟ่อนก็แพ้ทางคนๆ นี้ตลอด

"เฮ้ยๆ เดี๋ยวตกรถ นั่งอยู่เฉยๆ เลย"
เสียงพี่อินโวยวายดังลั่นเมื่อเห็นไอ้ฟ่อนพยายามจะลงจากรถทั้งๆ ที่โดนผ้าคลุมหัว จริงๆ แล้วไม่ต้องตื่นตูมขนาดนั้นก็ได้ ผมว่าน้องคงลืมตาแอบดูพื้นแล้วลงมาได้สำเร็จล่ะ ไม่อย่างนั้นคงหัวทิ่มไปนานแล้ว

"ก็เพราะใครล่ะวะ เอาผ้ามาคลุมหัวกันแน่ แล้วขู่ว่าถ้าเอาออกจะปล้ำ"
น้ำเสียงหงุดหงิดของไอ้ฟ่อนทำให้ผมกับพี่ทาร์ตหันมองหน้ากันแทบทันที ไม่คิดเลยว่าพี่อินจะใช้วิธีนี้บังคับน้อง... โคตรล้ำว่ะ เป็นผมจะไม่เชื่อฟัง เอ้ะ โทษๆ ไม่ใช่ดิ โอย เบลอว่ะ สงสัยกินอิ่มแล้วง่วง

"ก็เราไม่เชื่อฟัง ดื้อ"

"ก็พี่อินเล่นอะไรเป็นเด็กๆ"

"น่า... ทำตามกันสักครั้ง"

"ก็ทำอยู่นี่ไง"

"ดีมากครับ เดี๋ยวพี่พาเข้าบ้าน"

แล้วทั้งสองคนก็จูงมือกันกะหนุงกะหนิงเข้าบ้านแล้วปล่อยให้ผมกับพี่ทาร์ตมองตามไปอย่างอึ้งๆ ก็ไหนเตี๊ยมกันอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายพี่อินจัดการเองจนหมดเกลี้ยง คืออะไร งงเว้ย

"คือ..."
ผมพูดได้แค่นั้นเพราะคิดอะไรไม่ออก รู้สึกว่ามันเบลอๆ มึนๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น ตกลงว่าหลังจากนี้ไม่ต้องทำตามแผนที่วางเอาไว้แล้วใช่ไหม พี่อินแค่หันมายิ้มให้แล้วไม่สนใจพวกเราอีกเลย... คือ งงอะ

"คิดอะไรมากล่ะครับ ให้ไอ้อินจัดการ เราแค่รอดูก็พอว่ามันจะมีเซอร์ไพร์สอะไรมากกว่าลูกโป่งพวกนั้น"
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วพาดแขนแกร่งลงบนไหล่ของผม นี่ก็เนียนแต๊ะอั๋งกันจังเลยว่ะ แต่ช่างเถอะ ตอนนี้อยากรู้แล้วว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ลุ้นฉิบหาย

ไอ้ฟ่อนยืนคว้างอยู่กลางห้องรับแขกภายใต้ความมืดที่มีแค่แสงสว่างจากเทียนเล่มเล็กๆ บนเลมอนทาร์ต พี่อินคลี่ยิ้มบางๆ แล้วเดินตรงเข้าไปหาเป้าหมายโดยที่ผมยืนอยู่ด้านหลังของน้องเพื่อที่จะเอาผ้าคลุมหัวน้องออก พี่ชายคนดีรออยู่ตรงมุมห้องเพื่อกดเปิดสวิตซ์ไฟ

"ฟ่อน..."
เสียงพี่อินเรียกชื่อไอ้ฟ่อนอย่างนุ่มนวล ผมแทบจะออกอาการเขินแทนมันเมื่อเห็นดวงตาคมที่มองมา ทั้งอ่อนหวานทั้งแสดงความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน เซอร์ไพร์สที่ว่าอาจจะขอเป็นแฟนหรือเปล่า ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ดูจากสถานการณ์แล้วผมอาจจะเดาถูก

"หือ..."
ไอ้ฟ่อนตอบกลับมาแค่นั้นทำให้ทั้งผมและพี่อินแทบจะเข่าอ่อน นึกว่ามันจะมีปฏิกิริยาตื่นเต้นมากกว่านี้ อย่าบอกนะว่าลืมวันเกิดตัวเอง

"วันนี้วันอะไรครับฟ่อน"

"วันเสาร์ไง พี่อินถามอะไรแปลกๆ นี่จะลืมตาแล้วเอาผ้าออกจากหัวได้ยังอะ อึดอัด"

แม่ง... ลืมวันเกิดตัวเองจริงๆ ว่ะ ได้ยินเสียงหัวเราะจากมุมมืดกับเสียงถอนหายใจจากพี่อิน ส่วนผมง้างกำปั้นจะเคาะหัวไอ้ฟ่อนอยู่แล้ว... เสียบรรยากาศสุดๆ

"วันนี้วันเกิดมึง ลืมเหรอวะ"
ผมก้มลงกระซิบข้างหูมันด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ไอ้ฟ่อนตกใจเล็กน้อยแล้วตอบกลับมาเสียงเบา

"ห๊ะ... จริงดิ ฟ่อนลืมอะพี่ปูน โอย ก็ว่าทำไมไอ้พี่อินทำตัวแปลกๆ"

"ฟายเอ้ย แดกปลาทองแทนข้าวเหรอ"
ผมลอบด่ามันไปด้วยเพราะตอนนี้น้องคงโต้กลับอะไรไม่ได้ โวยวายไม่ได้ เป็นโอกาสทองดีๆ นี่เอง

"ก็คนมันลืมปะวะ"

"เออๆ มึงนี่นะ"

"พี่ไม่คิดว่าฟ่อนจะขี้ลืมขนาดนี้ว่ะ แต่ยังไงก็ สุขสันต์วันเกิดนะครับ”
พี่อินพูดหลังจากที่เราแอบกระซิบกระซาบกันอยู่เกือบสองนาที ผมรีบดึงผ้าคลุมออกจากหัวน้องหลังฟังประโยคนั้นจบแล้วรอลุ้นว่าปฏิกิริยาต่อไปของไอ้ฟ่อนจะเป็นอย่างไร




ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 21 -P.4- (01/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 01-06-2017 17:16:18
“เฮ้ย... เลมอนทาร์ตน่ากินอะ”
ฟ่อนพูดเมื่อมันเห็นสิ่งที่พี่อินถืออยู่ชัดๆ ผมแทบจะตบหัวน้องเพราะดูเหมือนผิดโฟกัสไปอยู่มาก แทนที่จะแสดงอาการดีใจกลับกลายเป็นว่าตื่นเต้นกับของกิน โอย นี่มันอะไรกันเนี่ย แล้วเสียงหัวเราะจากมุมมืดคืออะไรวะ ตลกนักเหรอไง

“แม่ง... ไม่ตื่นเต้นหน่อยเหรอวะที่โดนเซอร์ไพร์สวันเกิดแบบนี้ ห่วงแต่เรื่องกินจริงๆ”
พี่อินว่าด้วยเสียงฉุนๆ ก่อนจะยื่นเลมอนทาร์ตที่มีเทียนปักอยู่ให้มันเป่า ไอ้ฟ่อนหัวเราคิกคักออกมาแล้วทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือพุ่งไปจูบปากคนตรงหน้าอย่างรวดเร็วแล้วหลับตาเพื่ออธิษฐาน... โอ้โห นี่มันล้ำกว่าอะไรทั้งหมด มึงไม่กลัวพี่ชายบ้างหรือไงวะ

พี่อินถึงกับเบิกตาโตแล้วยังทำหน้าอึ้งๆ เหมือนไม่เชื่อว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ไอ้ฟ่อนเป่าเทียนดับไปแล้วก่อนที่ไฟทั้งห้องรับแขกจะสว่างขึ้นด้วยฝีมือของพี่ทาร์ต คราวนี้ล่ะที่ไอ้น้องตัวดีร้องว้าวซะเสียงดังจนทุกคนตกใจ แสดงว่ามันชอบสินะ

“โหย ชอบอะ สวยมากเลย ขอบคุณทุกคนนะครับ รักน้า”
น้องบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแล้ววิ่งไปกอดพี่ทาร์ตเป็นคนแรก เจ้าคนที่ไม่ชอบแสดงความรักกับน้องก็เอาแต่ผลักหัวทุยๆ นั่นออกห่าง ส่วนผมได้แต่รับกอดจากน้องมาเต็มๆ พร้อมกับจุมพิตที่แก้มแรงๆ หนึ่งทีให้คนขี้หึงตรงมุมห้องได้แยกเขี้ยวใส่ ส่วนกับพี่อินไอ้ฟ่อนไม่ได้กอดอะไร แค่ไปยืนตรงหน้าแล้วคลี่ยิ้มหวานๆ ดุท่าทางคงเขินกันพอตัวเลยว่ะ หลังจากนี้จะเจอฉากขอเป็นแฟนปะ เรามารอดูดีกว่า

“ปูนว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น”
เสียงทุ้มดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้ผมหันไปมองด้านข้างตัวเอง เพิ่งรู้ว่าพี่ทาร์ตมายืนตรงนี้ เขามองตรงไปที่เพื่อนสนิทกับน้องชายของตัวเองที่จ้องกันไปกันมา ใบหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเคยคิดจะหวงไอ้ฟ่อนบางหรือเปล่า แต่บางทีอาจจะเพราะว่าอีกคนคือพี่อินก็เป็นได้เลยไว้ใจ

“ก่อนจะตอบผมขอถามอะไรก่อนดิ”
ผมตัดสินใจแล้วว่าจะถามเรื่องที่ค้างคาใจมาหลายวัน สิ่งที่เห็นวันนั้นมันเกินคำว่าแค่จีบกันแล้วจริงๆ แทบจะข้ามขั้นไปเป็นผัวเมียเลยมั้ง พี่ทาร์ตเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่าก่อนจะพยักหน้าอนุญาตเมื่อผมไม่ยอมเปิดปากสักที ก็กำลังชั่งใจอยู่

“คือ... สองคนนั้นยังไม่ได้เป็นแฟนกันเหรอ”
ผมถามเบาๆ แล้วมองไปที่พี่อินกับไอ้ฟ่อน ไม่รู้พวกเขาสองคนจะยืนมองกันอีกนานแค่ไหนวะ ถ้าเป็นปลากัดอาจจะท้องไปแล้วก็ได้

“ก็เหมือนจะยัง แต่แม่งการกระทำมันเป็นผัวเมียกันได้แล้ว”
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายกับกำลังเบื่อหน่ายทั้งสองคนอย่างเต็มที่ แต่มันทำให้ผมถึงกับหันขวับไปมองหน้าเขาทันที ไอ้แบบนี้แสดงว่าต้องไปแอบรู้อะไรมาแน่ๆ จะตรงกับที่ผมคิดไว้หรือเปล่าวะ

“ห๊ะ... อย่าบอกนะว่าพี่เห็นเหมือนผม”

“เดี๋ยวๆ ปูนไปเห็นอะไรมา”
พี่ทาร์ตรีบละสายตามามองผมแทบจะทันที เราจ้องกันไปมาเพื่อสื่อความหมายบางอย่างแบบไม่ใช้เสียง แต่เชื่อไหมว่าไม่ชัดเจนหรอก

“เอ่อคือ...”
ผมยังพูดไม่จบก็ได้ยินเสียงพี่อินดังขึ้นมาขัดซะก่อน เราทั้งสองคนเลยเบนความสนใจไปที่พวกเขาและรอฟังว่าจะเกิดอะไรต่อจากนี้ จะมีหนังรักฉากหวานๆ ตรงนี้น่ะเหรอ...

“ฟ่อน... พี่ก็จีบเรามานานแล้วนะ ตอนนี้พร้อมจะเป็นแฟนกันหรือยัง”
เป็นอย่างที่คาดจริงๆ พี่อินเซอร์ไพร์สไอ้ฟ่อนด้วยการขอเป็นแฟน... ต่อหน้าต่อตาคนอื่นซะด้วย อยากได้พยานรักหรือยังไงวะ แต่ก็ดีนะ ถือว่าเป็นการเปิดเผยไม่ได้ปิดบังอะไร

“เฮ้ย ขอต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ไม่อายหรือไงวะพี่อิน”
ไอ้ฟ่อนพูดแบบนั้นแล้วเหลือบสายตามามองผมกับพี่ทาร์ตเล็กน้อย เหมือนจะดูว่าพวกเราสนใจมันแค่ไหน เอาจริงๆ นะ เรื่องแบบนี้ใครมันพลาดก็โง่เต้มทนแล้ว จ้องกันตาไม่กระพริบขนาดนี้

“ทีเมื่อกี้จูบพี่ต่อหน้าทุกคนยังไม่อายเลย ขอเป็นแฟนแค่นี้ทำไมต้องอายวะ”
เรื่องนี้ผมกับพี่ทาร์ตพยักหน้ารัวๆ เพราะเห็นด้วย แค่พี่อินขอเป็นแฟนทำไมต้องอายวะ ไอ้ฟ่อนถึงขนาดขโมยจูบยังหน้าด้านหน้าทนอธิษฐานกับเค้กวันเกิดได้แบบไม่สะทกสะท้าน บางทีก็คิดว่าตรรกะครอบครัวนี้แปลก... พี่กับน้องไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ในบางเรื่อง

“อะ... ยอกย้อนเหรอพี่อิน เดี๋ยวฟ่อนไม่ตกลงเลยนี่”
ไอ้ฟ่อนก้มหน้าหลบสายตาพี่อินด้วยท่าทางเขินอายที่คนนอกมองว่าน่าถีบและแอบเล่นตัว ทั้งๆ ที่ดูท่าทางอยากจะตอบตกลงไปตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ ผมไอ้แต่ยืนเบะปากอย่างหมั่นไส้โดยไม่ทันระวังอีกคนที่มายืนซ้อนหลังกันตอนไหนก็ไม่รู้ รู้อีกทีก็โดนพี่ทาร์ตเอามือมากอดเอวนั้นล่ะ เห็นเข้าพลอดรักกันตัวเองอิจฉาหรือไง

“ไม่เป็นไร พี่มีวิธีให้เราตกลง”
พี่อินยังคงตอบโต้กับไอ้ฟ่อนต่อไป ผมว่าเขาเริ่มเจ้าเล่ห์ขึ้นแล้วนะ เหมือนๆ พี่ทาร์ตที่เอาหน้ามาซุกซอกคอกันตอนนี้ พอไม่ขัดขืนหรือออกปากไล่ก็ลวนลามกันใหญ่โต แม่ง... กำลังลุ้นเรื่องชาวบ้านอยู่อย่ามากวนตอนนี้สิวะ ตีมือก็แล้ว หยิกแขนก็แล้ว แต่ไม่มีทีท่าว่าเขาจะยอมปล่อย เอาเถอะ คงไม่คิดปล้ำกันตรงนี้หรอก... มั้ง

“ยังไงห๊ะ”
เฮ้ยๆ มันกำลังจะทะเลาะกันหรือเปล่าวะนั่น

“ปล้ำไง”
เออะ... แบบนี้คงทะเลาะกันตัวเปล่าเสื้อผ้าไม่เกี่ยวล่ะมั้ง เฮ้ย พี่อินแม่งหื่นกว่าพี่ทาร์ตแล้ว ตอนแรกนึกว่าจะเป็นชายหนุ่มสุภาพภูมิฐานน่ายำเกรงวะอีก ที่ไหนได้นิสัยไม่ต่างกันเลยว่ะ แล้วนี่ไอ้คนด้านหลังมันเริ่มเอามือมาลูบเอวกันตั้งแต่เมื่อไหร่

“ไอ้บ้า ไม่ต้องมาปล้ำคนอื่นเลย ยอมเป็นแฟนก็ได้เหอะ”
ไอ้ฟ่อนตกลงเป็นแฟนกับพี่อินในขณะที่ผมหาทางแกะมือพี่ทาร์ตออกจากตัว ทำไมมันวุ่นวายแบบนี้วะเนี่ย เมื่อครู่ยังเผือกเรื่องชาวบ้านอยู่เลย ทำไมตอนนี้ต้องมาหาทางเอาตัวรอดล่ะ

“ตกลงเป็นแฟนกันแล้วนะ ห้ามคืนคำ”
มาช่วยผมก่อนไหมครับพี่อิน ไอ้พี่ทาร์ตมันจะอุ้มผมขึ้นห้องอยู่แล้วเนี่ย หน้าไอ้ฟ่อนไม่ได้มีคราบอะไรติดหรอกไม่ต้องจ้องขนาดนั้นก็ได้เว้ย ช่วยสนใจสรรพสิ่งรอบข้างกันหน่อย เฮ้ๆ

“ใครจะไปคืนคำกันเล่า รักขนาดนี้”
ในขณะที่ไอ้ฟ่อนเขินม้วนอยู่ทางนั้น ผมก็ได้จังหวะต่อยท้องไอ้พี่ทาร์ตแบบพอดิบพอดี และมันส่งผลให้คนหื่นกามถึงกับตัวงอ ใบหน้าหล่อเหลาเหยเกเพราะความเจ็บปวด สมน้ำหน้า อยากทำอะไรไม่ดูเวล่ำเวลาเอง ถ้าอยู่ในห้องนอนก็ว่าไปอย่าง... 

“เลี่ยนๆ ทาร์ตนี่มึงจะกินกันไหม ถ้าไม่กูจะเอาไปกินกับปูนสองคนแล้วนะ”
พอเขาตั้งตัวได้ก็หันไปทำหน้าบอกบุญไม่รับกับสองคนนั้นแถมยังฉุดแขนผมให้เดินไปร่วมวงอีกด้วย จริงๆ อยากสารภาพว่าตามไม่ทัน เปลี่ยนอารมณ์ไวยิ่งกว่าพายุอีก อยู่ด้วยกันนานๆ ไป ใครจะเป็นบ้าก่อนกันวะ

“เฮ้ย อิจฉาแล้วพาลเหรอมึงอะ”
พี่อินหันมาต่อปากต่อคำกับพี่ทาร์ตแล้วคว้าตัวไอ้ฟ่อนไปกอดไว้แนบอก ปกติแล้วน้องมันจะดีดดิ้นหนีอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้กลับซบหน้าลงบนอกแกร่งซะอย่างนั้น ดูไปดูมาก็แอบหมั่นไส้เล็กๆ น้องชายเรามันแรดจริงๆ ว่ะ

“อะไร ใครอิจฉา แฟนกูน่ารักกว่าไอ้ฟ่อนอีก”
พี่ทาร์ตบอกอีกคนอย่างไม่ยอมแพ้แล้วดึงผมเข้าไปกอดไว้บ้าง แต่อย่าหวังว่าจะยอมง่ายๆ เลย เพราะถ้าปล่อยให้เขาทั้งคู่ฟาดฟันกันไปมาแบบนี้ มีหวังโดนจูบโชว์แน่ๆ ลางสังหรณ์มันบอกแบบนั้น

ผมดันอกพี่ทาร์ตให้ออกห่างซึ่งมันก็ได้ผล เพราะเขายังมีความผิดติดตัวอยู่ก่อนหน้านี้เลยไม่กล้าทำอะไรมาก แต่ไม่วายยักคิ้วกวนๆ ใส่พี่อินอีก สรุปว่าเป็นเพื่อนกันจริงๆ ไม่ใช่คู่แข่งนะ ทำไมแสดงอาการอยากเอาชนะกันขนาดนี้

“แหม ไอ้คนหลงแฟน”
พี่อินแขวะกลับมาสั้นๆ แต่นั่นเป็นตัวจุดประเด็นเรื่องที่ผมอยากรู้มานานแสนนานเลยล่ะ พูดง่ายๆ คงเข้าตัวเองล้วนๆ โดยที่คนอยากรู้ไม่ต้องพยายามอะไรให้ยุ่งยากแม้แต่นิดเดียว

“มึงก็ไม่ต่างปะไอ้อิน อย่าคิดว่ากูไม่เห็นนะที่มึงจะปล้ำน้องกูหน้าบ้านน่ะ แม่ง ไม่อายเจ้าที่บ้างวะ”
เข้าประเด็นแล้วก็ยาวเลยครับพี่น้อง ไอ้ฟ่อนที่โดนพาดพิงถึงกับสะดุ้งแล้วผละตัวออกมาอย่างเนียนๆ มันกำลังจะหนีจากสถานการณ์น่าอึดอัดแต่มีหรือที่ผมจะยอมเลยคว้าข้อมือแล้วพาน้องเดินหนีออกมาจากบริเวณนั้น ปล่อยให้พี่ๆ ทะเลาะกันเองจนหนำใจ

“อายก็แปลกแล้ว มึงก็รู้ว่ากูหน้าด้าน”

“ไอ้อิน... นั่นน้องกูมีพ่อมีแม่ คิดจะปล้ำได้ยังไงวะ”

“พูดงี้ต้องการอะไร”

“ถ้ามึงอยากได้มันเป็นเมีย ก็มาขอหมั้นก่อน”

“โห ไอ้คนขี้หวงน้อง”

“ใครบอกว่ากูหวง มึงมั่ว”

มันเป็นสิ่งที่ดังไล่หลังเราทั้งสองคนมาจนเงียบหายไปในที่สุดเมื่อผมลากน้องมาจนถึงลานจอดรถหน้าบ้านซึ่งมีกรงไอ้ขนมตั้งอยู่ด้วย ฟ่อนมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก บ่งบอกว่าไม่อยากให้ซักถามอะไรเรื่องที่พี่ทาร์ตพูดออกมามากนัก แต่พอดีว่าผมอยากรู้มานานเลยไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ หรอก ขอโทษนะที่ทำให้ผิดหวังที่พี่เป็นคนขี้เผือก...

“ฟ่อน...”
ผมเรียกชื่อน้องเพื่อลองเชิงดูปฏิกิริยาตอบรับ แล้วมันก็เป้นอย่างที่ขาดไว้จริงๆ ว่าเขารู้ตัว มันหันมาทำหน้าหงอยใส่กันก่อนที่แขนเล็กๆ จะเขามากอดรอบแขนไว้ด้วยท่าทางออดอ้อน อย่าคิดว่าจะยอมใจอ่อนนะเว้ย ไม่มีทาง ในเมื่อเริ่มเผือกแล้วก็ต้องผือกให้จบ มันคือปรัชญาชีวิต

“ไม่ถามเรื่องเมื่อกี้ได้ไหมอะ”
ไอ้ฟ่อนพูดเสียงอู้อี้เพราะมันเอาแต่ซบหน้าอยู่กับต้นแขนของผม ไม่รู้ว่าจะอายอะไรนักหนาทั้งๆ ที่กล้าทำเรื่องแบบนั้น ยังจำได้ดีว่าตอนเกิดเหตุการณ์น้องไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธแบบเด็ดขาดเลย เหมือนใจหนึ่งก็ยอมใจหนึ่งก็กลัว

“ต้องถามสิวะ มันประเจิดประเจ้อนะเรื่องแบบนั้น”
น้ำเสียงของผมเริ่มดุ เพราะคิดถึงภาพเหตุการณ์วันนั้นแล้วจำฝังใจ ถ้าหากว่าคนที่มาเจอไม่ใช่ผมจะเป็นยังไง...

“พูดแบบนี้แสดงว่าพี่ก็เห็นเหรอ”
ไอ้ฟ่อนถามเสียงสั่น ซึ่งผมก็พยักหน้ารับแบบไม่ปิดบัง เห็นแบบเต็มสองตาถึงจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่เพราะมองลอดซี่รั้วก็เถอะ

“เออดิ วันที่มึงยืนนัวเนียกับพี่อินที่ลานจอดรถ กูกำลังจะกระโดดข้ามรั้วมาเล่นกับไอ้ขนมพอดี”
ผมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้อย่างลื่นไหล แต่รู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนขึ้นพิกล ทำไมต้องมีฉากไซร้คอให้ขนลุกเล่นด้วยล่ะวะ เหลือบสายตาไปมองไอ้ฟ่อนก็พบว่ามันยืนหน้าแดงก่ำอยู่ไม่ห่างกัน

“แม่ง... ก็บอกพี่อินแล้วนะว่าเดี๋ยวมีคนมาเห็นอะ”
น้องบ่นอุบอิบทำให้ผมหน้าตึงขึ้นมาทันที อะไรคือตัดพ้อพี่อินวะ ควรจะตกใจไม่ใช่หรือไง ตลกแล้วมึง

“ปฏิเสธเขาไม่เด็ดขาดเองปะมึง”
ผมว่าเสียงดุแล้วแจกมะเหงกให้ไอ้ฟ่อนไปหนึ่งครั้งเพราะหมั่นไส้ เรื่องแบบนี้มันต้องผิดกันทั้งสองฝ่ายนั่นล่ะ คนหนึ่งก็หื่นเกินไป อีกคนก็คล้อยตามเขาซะอย่างนั้น

“ก็... อือ มันรู้สึกดีนี่หว่า”
ไอ้ฟ่อนก้มหน้าลงต่ำแล้วเข้ามากอดผมไว้แน่น ใบหน้าหวานๆ ซุกลงที่อกไม่ยอมสบตากัน เข้าใจว่าต้องมาพุดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นมันอายแค่ไหน แต่... ช่างมันเถอะ คิอะไรไม่ออกเลยว่ะตอนนี้

“แม่ง... ไปไม่เป็นเลยกู โอ้ย”

“พี่ปูนอ่า อย่าดุ”
น้ำเสียงอ้อนๆ ทำให้ผมต้องยกมือลูบหัวปลอบมันอย่างเต็มใจ ไม่ได้จะดุอะไรหรอกน่า

“กูเปล่า แต่อยากเตือน”

“อื้อ จะไม่ทำอีกแล้ว ถ้าพี่อินทำจะทุบแม่งเลย”
ไอ้ฟ่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมหลุดหัวเราะจนได้ ที่จริงก็แค่ออกปากห้ามแบบเด็ดขาดก็คงพอแล้ว ถึงขนาดจะไปทุบเขากลัวว่ามันจะโดนลากไปปล้ำแน่ๆ

“เออๆ กลับไปกินเลมอนทาร์ตกันเหอะ กูเล็งมาตั้งแต่บ่ายแล้ว”
พอนึกขึ้นได้ว่าในบ้านยังมีเลมอนทาร์ตรออยู่ก็อยากกินขึ้นมา อุตส่าห์เล็งไว้ตั้งแต่บ่ายตอนนี้สามทุ่มกว่าเข้าไปแล้วยังไม่ได้แตะเลย เพราะไอ้ฟ่อนกับพี่อินนั่นล่ะ เซอร์ไพร์สกันไม่เสร็จสิ้นสักที

“แหม นึกว่าอยากกินคนทำมากกว่า”
ไอ้ฟ่อนพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนก่อนจะเอาไหล่มากระแซะกัน จนทำให้ผมต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่ อะไรดลใจให้คิดแบบนั้นวะ โคตรอกุศลเลย ขนลุก!

“ไอ้ฟ่อน”
ผมกดเสียงต่ำเรียกชื่อน้องเป็นการขู่ว่าถ้ามึงยังพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกจะหาอะไรมาอุดปากจริงๆ

“จ้าๆ กินเลมอนทาร์ตจ้า ปะๆ”
สุดท้ายมันก็ต้องยอมแพ้ผมอยู่ดีล่ะน่า


----------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 21 -P.4- (01/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 01-06-2017 23:07:26
คู่ฟ่อนแซงหน้าไปแล้ววววว
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 21 -P.4- (01/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: gookgik ที่ 02-06-2017 19:54:27
พี่อินแกคิดแต่จะปล้ำฟ่อนอย่างเดียว 555

หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 22 -P.4- (05/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 05-06-2017 15:35:47
(http://i.imgur.com/cAMV1gk.png)


สูตรที่ 22

Matcha Cream Brulee
: ผงชาเขียว/วิปปิ้งครีม/ไข่แดง/น้ำตาล :



ถ้าถามถึงชีวิตรักของผมกับพี่ทาร์ตในช่วงนี้แล้วล่ะก็ถือว่าดำเนินไปอย่างราบรื่นแต่เสียอยู่อย่างเดียวตรงที่เขามีเวลาว่างไม่มากนักเนื่องจากต้องศึกษางานบริหารโรงแรมหนักขึ้นกว่าเดิม จะไปเที่ยวด้วยกันแต่ละครั้งนี่นัดแล้วนัดอีก โดนเบี้ยวตลอด

อย่างวันนี้ผมก็โดนทิ้งให้คว้างอยู่บ้านทั้งๆ ที่ตอนแรกจะไปดูหนัง อืม... ช่างเหอะ ผมเข้าใจว่าอะไรสำคัญกว่ากัน แต่ก็งดเหงาไม่ได้จนต้องปีนรั้วไปหาไอ้ฟ่อนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวน มันขึ้นมอหกแล้ว กำลังเตรียมสอบเข้ามหา'ลัยล่ะ

"ฟ่อน!"
ผมย่องเข้าไปด้านหลังก่อนจะตะโกนเสียงดังพอตัวเพื่อให้มันตกใจ แต่ผิดคาดตรงที่น้องยังนั่งนิ่งๆ แต่ไอ้ขนมสะดุ้งตื่นแทน หมดสนุกเลยแบบนี้ เฮ้อ

"พี่ปูนเล่นอะไร หูจะแตกแล้วเนี่ย"
ฟ่อนหันมาบ่นกันเบาๆ แล้วย่นจมูกใส่ ท่าทางของมันนิ่งเฉยซะจนผมหมดอารมณ์จะแกล้ง และได้แต่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะอุ้มไอ้ขนมมาไว้บนตัก

"ไม่ตกใจบ้างเหรอวะ เซ็ง"
ผมบ่นก่อนจะก้มลงจับให้ไอ้ขนมนอนหงายท้องแล้วใช้มือเกาพุงมันเล่น ฟ่อนหัวเราะออกมาเบาๆ ราวกับเรื่องเมื่อครู่มันตลกนักหนา ก็ใช่สินะ ผมหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ขนาดนั้น อายไหมล่ะ

"ไม่อะ ช่วงนี้สมาธิดี แล้วนี่ผีเข้าเหรอถึงได้ข้ามรั้วมาหาฟ่อนได้อะ"
มันพูดเสียงทะเล้นแล้วถอดแว่นสายตาวางไว้ตรงหน้าก่อนจะหันมามองกัน ผมเบ้ปากใส่เพราะคำพูดเมื่อครู่แทงใจดำ ไม่แปลกที่น้องจะสงสัยหรือเหน็บแนม เพราะร้อยวันพันปีจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นสักครั้ง ปกติแล้วรำคาญไอ้เด็กคนนี้จะเป็นจะตาย ยากที่จะเดินเข้ามาหาเอง

"พี่มึงอะดิ เบี้ยวนัดกูอีกแล้ว ลุงตั้มให้ศึกษางานหนักขนาดนั้นเลยเหรอ"
ผมพูดเสียงอ่อยแล้วละมือจากท้องไอ้ขนม อยู่ๆ ก็รู้สึกอยากร้องไห้แปลกๆ เพราะช่วงนี้เวลาจะคุยกันแบบปกติยังไม่มีเลย แต่เพราะคำว่างานยุ่ง ก็เลยไม่กล้างอแงใส่กลัวเขาจะเหนื่อยมากกว่าเดิม

"พี่ทาร์ตแอบมีกิ๊กปะเนี่ย ช่วงนี้ป๊าให้พักร้อนนะ ไม่เห็นจะป้อนงานอะไรเลย"
ไอ้ฟ่อนโผล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่างงสุดชีวิต แต่ผมกลับเครียดและขมวดคิ้วแน่น โพกัสแค่ประโยคแรก เพราะในใจก็แอบหวั่นกลัวว่าพี่ทาร์ตจะแอบมีคนอื่นจริงๆ เพราะหน้าก็แทบไม่ได้เห็นเลย...

"เดี๋ยวต่อยปากแตก ทำให้กูคิดมากอะ"
ผมพูดไม่เต็มเสียงนักเพราะในหัวความคิดกำลังตบตีและหาเหตุผลต่างๆ มาแย้งกันตลอด มันต้องไม่ใช่อย่างที่ไอ้ฟ่อนพูดสิวะ ก็พี่ทาร์ตเขาบอกว่ารักผม... ต้องเชื่อใจกันสิ ห้ามระแวง ห้ามกังวล ห้ามๆๆ

"เอ้า ก็พี่ทาร์ตพักร้อนอยู่จริงๆ ตั้งแต่วันพฤหัสแล้ว"
ไอ้ฟ่อนพูดย้ำสิ่งที่ตัวเองรู้มาอย่างชัดเจน แต่มันทำให้ผมถึงกับสะดุดลมหายใจตัวเองเพราะว่าตั้งแต่วันพฤหัสที่มันบอกมานั้นยังไม่ได้เจอหน้าพี่ทาร์ตสักครั้ง เขากลับบ้านดึกออกไปทำงานเช้าตลอด แล้วเรื่องพักร้อนคืออะไร หรือน้องแค่อยากอำกัน...

"มึงอย่าอำ พี่ทาร์ตบอกกูว่าช่วงนี้งานยุ่งมากนี่ จะพักร้อนได้ไงวะ"
ผมแย้งขึ้นเมื่อคิดทบทวนสิ่งที่พี่ทาร์ตบอกและกระทำกับตัวเอง พยายามเชื่อ... เชื่อว่าเขายังคงซื่อสัตย์อยู่เหมือนเดิม หรือจริงๆ แล้วตั้งแต่คบกันมาไม่เคยมีความจริงใจให้กัน ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วย ทั้งๆ ที่คิดว่าทุกอย่างจะไปได้สวย เพราะที่ผ่านมาเรื่องมือที่สามไม่เคยมีปัญหา ไม่มีใครกล้าแทรกกลางระหว่างเรา

"ไม่เชื่อโทรไปถามป๊าได้เลย ฟ่อนจะโกหกพี่ปูนทำไมอะ แล้วอีกอย่างนะ... อย่าลืมเด็ดขาดว่าพี่ทาร์ตเป็นเสือผู้หญิงมาก่อน นิสัยเดิมๆ อาจจะกลับมาก็ได้"
คำพูดยาวยืดของฟ่อนมันตอกย้ำชัดเจนว่าพี่ทาร์ตกำลังโกหกคำโตใส่กัน ใบหน้าและดวงตาของมันไม่ได้มีแววล้อเล่นเลยสักนิด ผมได้แต่นั่งเงียบกำมือแน่นจนขึ้นข้อขาว หัวใจกำลังสั่นไหว ความกลัวกำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ และที่สำคัญขอบตากำลังร้อนผ่าว คล้ายจะร้องไห้... ผมกำลังคิดมากและอ่อนแอ พี่ทาร์ตกำลังเบื่อหรือนิสัยเดิมๆ มันแก้ไม่หายอย่างนั้นเหรอ ควรจัดการยังไงดี ควรทำอะไร ควรรู้สึกแบบไหนล่ะ ช่วยบอกที

"เชี่ยฟ่อน... กูร้องไห้จริงๆ นะเว้ยถ้าเป็นแบบนั้น"
ผมพูดเสียงสั่นแล้วยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง เผื่อว่ามันจะช่วยให้ขอบตาหายร้อนได้บ้าง แต่เปล่าเลย ยิ่งทำแบบนี้มันกลับรู้สึกโหยหาสัมผัสบางอย่างจากพี่ทาร์ต ไม่ว่าจะเป็นการจับมือ ลูบหัว แตะต้องตัว  หอมแก้ม หรือแม้กระทั่งจูบ... ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับรักครั้งแรกและคาดว่าคงเป็นรักสุดท้ายแบบนี้

"แค่เตือนให้คิด ไม่ใช่ว่าจะเป็นจริงสักหน่อยนี่ มีอะไรก็หันหน้าคุยกันสิครับ"
ฟ่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงก่อนจะใช้มือลูบไหล่กันเป็นการปลอบประโลม แต่สิ่งที่น้องแนะนำมันพูดง่ายแต่ตอนจะทำจริงๆ ควรเริ่มต้นยังไงล่ะ

"จะให้กูคุยอะไรล่ะฟ่อน ถามตรงๆ งี้เหรอว่าทำไมต้องโกหก มีกิ๊กหรือเปล่าเนี่ยนะ บ้าไปแล้ว"
ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า มีบางช่วงขาดหายจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง ตอนแรกก็เชื่อว่าเขางานหนัก แต่ตอนนี้มันกลับพังทลายเหลือแค่ความหวาดระแวง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วพี่ทาร์ตคงมีเหตุผลที่จำเป็นต้องโกหกก็เป็นได้ แต่มันไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้เลยนี่สิ

"ก็ลองดู มันไม่เสียหายนะพี่ปูน พี่ทาร์ตคงจะตอบอะไรกลับมาบ้าง"

"ไม่อะ กูไม่กล้า กูกลัวคำตอบ..."
ยอมรับว่าป๊อด เพราะยังไม่กล้าถามและยังไม่ได้เตรียมใจสำหรับคำตอบ

"ฟ่อนเข้าใจนะ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก เรื่องของคนสองคนน่ะ ต้องเคลียร์กันเอาเอง"

"เออ กูรู้ ขอเวลาทำใจก่อนดิวะ เหี้ยเอ้ย"
ผมสบถออกไปแล้วฟุบหน้าลงบนโต๊ะ บางทีความมืดอาจจะทำให้จิตใจสงบลงได้บ้าง อากาศตอนนี้คงร้อนไปหน่อยล่ะมั้ง เลยทำให้อะไรๆ ก็รู้สึกแย่ไปหมด เพิ่งเข้าใจคำว่ามีรักก็ต้องมีทุกข์ก็คราวนี้นี่เอง ทุกอย่างไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบจริงๆ สินะ เฮ้อ

"ใจเย็นๆ น่า กินขนมปะ เดี๋ยวฟ่อนไปหยิบมาให้ หรือจะเป็นน้ำอัญชันดี"
ฟ่อนถามก่อนจะใช้มือแตะไหล่กันเบาๆ ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองแต่อย่างใด เพราะกลัวว่าน้ำตาจะไหล

"ขอน้ำอัญชันก็พอ..."
ถ้ามีน้ำบัวบกคงขอมาแทนแล้วล่ะ ไว้แก้ช้ำใน... เพราะตอนนี้บอบช้ำเหลือเกิน

"โอเค รอก่อนนะ"
เสียงฝีเท้าไกลออกไปแล้ว ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ฟ่อนหายไป แต่ความมืดในอ้อมแขนของตัวเองบวกกับความเหนื่อยล้าจากการปั่นงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อวันปิดเทอมสิ้นปีก็ดึงให้สติสัมปชัญญะจมลงสู่ห้วงนิทรา

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงยวบด้านข้าง ดวงตารีพยายามมองหนาแสงสว่างที่มีน้อยนิดภายในห้อง เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเผลอหลับไปนาน เดี๋ยวนะ ครั้งสุดท้ายที่จำได้คือฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะในสวนไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมตอนนี้...

"ตื่นแล้วเหรอครับ"
น้ำเสียงทุ้มต่ำของคนที่เป็นสาเหตุให้เตียงยวบดังขึ้น ผมชะงักความคิดแล้วหันไปมองพี่ทาร์ตด้วยความตกใจ เขากลับมาตั้งแต่ตอนไหน แถมยังแบกกันขึ้นมาบนห้องตัวเองอีก

"คะ ครับ พี่ทาร์ต... อุ้มผมขึ้นมาเหรอ"
ผมพยายามขยับตัวเพื่อที่จะลุกขึ้นนั่งแต่กลับโดนมือหนาจิ้มหน้าผากเอาไว้เป็นเชิงห้าม

"นอนไปครับ มีไข้ต้องพักผ่อน"
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง และตอนนี้เองที่ผมได้ตระหนักว่าตัวเองไม่ปกติ ทั้งปวดเมื่อยตัวและปวดตา เมื่อครู่คงตกใจมากไปหน่อยไม่ทันรู้สึกอะไร แย่จริงๆ

"อือ ขอโทษที่ทำให้ลำบาก"
ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ยอมสบตากับพี่ทาร์ต ตอนนี้ทุกอย่างมันดูกระอักกระอวนไปหมด

"ทำไมพูดแบบนั้นวะปูน พี่ไม่ได้ลำบากอะไร"
พี่ทาร์ตขมวดคิ้วยุ่งแล้วพยายามจับใบหน้าของผมเอาไว้อย่างเบามือ แต่ตอนนี้แค่การสัมผัสจากอีกคนก็ทำให้น้ำตารื่นขึ้นมาได้ มันทรมานที่ต้องคอยเก็บความรู้สึกเวลาโดนคนที่รักโกหก

"ก็ช่วงนี้งานเยอะไม่ใช่เหรอ แค่ดูแลตัวเองก็คงเหนื่อย ไม่ต้องดูแลผมเพิ่มหรอก"
พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมถึงหัว ไม่อยากเห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยนั้น เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไร รักหรือแค่สงสารกันนะ

"ปูนเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมพูดจาแปลกๆ"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับสัมผัสเบาๆ ที่แตะลงมาบนหัว ผมเม้มปากแน่นเพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้ อยากรู้ว่าทำไมต้องโกหก แต่ไม่กล้าถาม หัวใจมันสั่นไหว ความคิดปั่นป่วนไปหมด

"ไม่เป็นอะไร พรุ่งนี้งานยุ่งเหมือนเดิมหรือเปล่าครับ"

"อืม... ก็ต้องเข้าไปที่โรงแรม มีประชุม"
ประชุมอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ จะโกหกกันตลอดชีวิตเลยหรือยังไง

"งั้นเหรอ... แต่ฟ่อนบอกผมว่าพี่พักร้อนยาวจนถึงสิ้นปี"
ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวจนหลุดปากถามออกไป หัวใจราวกับถูกมือของใครบางคนบีบเค้น มันปวดหนึบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ถ้าคำตอบของเขาคือการที่ต้องแบ่งเวลาให้ใครอีกคน ผมคง... เสียใจ

"คือเรื่องนั้นมัน..."

"ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรครับ ผมเชื่อว่าพี่ทาร์ตมีเหตุผลมากพอที่โกหก"
พี่ทาร์ตยังพูดไม่ทันจบแต่ผมก็แทรกขึ้นเพราะตอนนี้ไม่พร้อมจะฟังอะไรทั้งนั้น น้ำตามันกำลังไหลลงมาเงียบๆ โดยไร้เสียงสะอื้นใดๆ ทำไมต้องกลายเป็นคนอ่อนแอขนาดนี้ ทำไมต้องกลายเป็นคนคิดมากเวลามีความรัก ถ้าเป็นแต่ก่อนเรื่องแบบนี้มันธรรมดามากเลยนะ... รับได้อยู่แล้ว

"ปูน..."
พี่ทาร์ตเรียกชื่อกันด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบกระซิบ ผมไม่รู้ว่าทำไมวันนี้เขาดูกระอักกระอวน ถ้าเป็นปกติแล้วไม่ว่าจะยังไงต้องบังคับให้ฟังคำอธิบาย แต่นี่เหมือนกับว่าจะยอมปล่อยเรื่องมันผ่านไป

"ผมขอนอนต่อหน่อยนะ ดีขึ้นแล้วจะกลับบ้านเองครับ"
ผมตัดบทเองแล้วหลับตาลง ไม่ได้สนใจว่าหลังจากนั้นพี่ทาร์ตจะพูดอะไรบ้าง เพราะไม่อยากฟังเองล่ะมั้ง เขาเลยไม่อยากพูดอะไร จริงๆ ถ้าจะโทษคงต้องโทษตัวผมที่ใจไม่แข็งพอ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่จะเป็นฝ่ายตั้งคำถามนั้นกับพี่อีกรอบนะ

จากวันนั้นมาก็ผ่านไปเกือบหนึ่งอาทิตย์ที่ผมกับพี่ทาร์ตยังคงมึนตึงใส่กันไม่เลิก จริงๆ เขาก็พยายามเข้ามาคุยด้วย แต่ความไม่พร้อมอะไรหลายๆ อย่างของตัวเองจึงหาทางหลีกเลี่ยงอยู่ร่ำไป

ผมกำลังนั่งหายใจทิ้งรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ ทุกอย่างรอบตัวดูหน้าเบื่อไปซะหมด ทั้งๆ ที่ไอ้กู๊ดก็มาหาถึงที่บ้าน แถมยังหอบขนมมาฝากอีก ณ ตอนนี้ของโปรดก็ไม่ได้ช่วยเยียวยาหัวใจเอาซะเลย ทำไมถึงเป็นคนขี้ขลาดขนาดนี้

"มึงจะถอนหายใจอะไรนักหนาวะไอ้ปูน"
คนที่แช่น้ำอยู่ในสระถามขึ้นด้วยใบหน้าสงสัย ผมได้แต่เลิกคิ้วมองมันแล้วส่ายหน้าตอบกลับไป มือเรียวก็ลูบหัวไอ้ขนมที่แอบขโมยมาจากบ้านนู้นไปด้วย คิดถึงเจ้าของหมาว่ะ ป่านนี้จะไปทำอะไรอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้

"กูรู้ว่ามึงมีเรื่องไม่สบายใจ ระบายบ้างก็ได้ เก็บไว้แล้วเงินจะงอกขึ้นมาหรือไง"
ไอ้กู๊ดเบ้ปากใส่กันราวกับว่าโดนขัดใจเพราะผมเอาแต่ปิดบัง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเฝ้าถามว่าเป็นอะไรหรือเครียดอะไร ความจริงแล้วก็อยากระบายให้ใครสักคนฟัง แต่กลัวจะโดนหาว่างี่เง่า คิดมาก หรืออีกอย่างคือ กลัวเขาสันนิษฐานเรื่อราวตามไอ้ฟ่อน...

"แซะกูจังนะมึง"
ผมมองหน้ามันครู่เดียวก่อนจะก้มหน้าลงไปเกาหูให้ไอ้ขนมต่อ ไม่อยากให้ไอ้กู๊ดทำหน้าตาเป็นห่วงมากกว่านี้ เพราะสงสารเพื่อนที่ต้องมาคอยกังวลกับตัวเอง

"ก็ดูสภาพมึงดิ เหมือนคนเครียดตลอดเวลา ไม่ยิ้มไม่หัวเราะ"
ไอ้กู๊ดเอ่ยน้ำเสียงจริงจังแล้วเอามือที่เปียกน้ำขึ้นมาวางไว้บนขาของผม อยากจะด่ามันที่ทำกางเกงชื้นแต่ก็พูดไม่ออกเพราะแววตาคมนั้นกำลังฉายแววเป็นห่วงกันอยู่ คงไม่ได้ตั้งใจแกล้งอะไร คงแค่ใช้การสัมผัสให้รู้ว่าเพื่อนคนนี้ยินดีจะรับฟังเรื่องราวต่างๆ เสมอ

"เฮ้อ อืม... ก็เครียดนิดหน่อย"
ในที่สุดผมก็ยอมแพ้แล้วปล่อยลมหายใจออกมายาวๆ ดวงตารีเสมองไปทางอื่นอย่างใช้ความคิดว่าควรเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจากตรงไหนดี แค่คิดถึงต้นเหตุก็พาลให้รู้สึกจุกหน้าอกยังไงไม่รู้

"กูว่าไม่หน่อยแล้ว หน้าเหมือนคนขี้ไม่ออกสะสม"
ไอ้กู๊ดพยายามพูดตลกให้ขำ แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรมาก เพราะผมยังหาจุดเริ่มต้นที่จะเล่าเรื่องไม่เจอ

"ก็ไม่ขนาดนั้น... มั้ง"
ผมกำลังโกหกแบบไม่แนบเนียนเอาซะเลย เพราะปลายประโยคกลับเผลอต่อท้ายด้วยคำที่แสดงความไม่แน่ใจอย่างชัดเจน ส่งผลให้เพื่อนสนิทที่ยังแช่ตัวอยู่ในน้ำขยับถอยห่างออกไปจากขอบสระแล้วจ้องมองกันอย่างต้องการคำตอบ

"เป็นอะไร ไหนว่ามา เดี๋ยวกูเป็นที่ปรึกษาให้เอง"
น้ำเสียงจริงจังของไอ้กู๊ดมาพร้อมกับแววตาแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน มือหนาเฉยผมที่เปียกชื้นขึ้นเพราะมันบดบังทัศนียภาพเบื้องหน้า อยู่ๆ ก็มีความคิดอยากจะเก็บภาพเมื่อครู่ไว้ให้แทจุนดู เพราะเพื่อนสนิทดูเท่เหลือเกิน

"จะดีเหรอวะ"
ผมถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ

"ดีสิ"
ไอ้กู๊ดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"จริงเหรอ"
ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลงกว่าเดิมเมื่อเริ่มกลัว

"เออ"
ไอ้กู๊ดตอบด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างบอกว่ากำลังไม่สบอารมณ์และกำลังจะหมดความอดทน อาจจะปล่อยให้ผมเข้าโหมดอยู่กับตัวเองจนเครียดตายได้ ไอ้นี่ใจเด็ดกว่าที่ทุกคนเห็น บางทีถ้าเพื่อนงี่เง่ามากๆ มันก็เลิกสนใจไปเลย

"กู..."
ผมพูดได้แค่นั้นแล้วปิดปากเงียบเพราะอยู่ๆ ก็กลัวขึ้นมาอีกแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะเลิกคิดมากวุ่นวายกับสิ่งที่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานจากคนๆ เดียวสักที ถึงพี่ทาร์ตจะเคยเป็นเสือผู้หญิง แต่เขาเคยสัญญาว่าจะไม่ทำให้ผมเสียใจนี่... ต้องเชื่อมั่นสิถึงจะถูก แต่ต้องขอโทษจริงๆ ที่ไม่สามารถจัดการตัวเองได้จนต้องพาคนอื่นๆ เดือดร้อนไปด้วย

"ไอ้เชี่ย ไม่ต้องเล่าละ เบื่อการเล่นตัวของมึงฉิบหาย"
ความคิดยังไม่ทันจัดเรียงดี ไอ้กู๊ดก็หมดอารมณ์จะเป็นที่ปรึกษาลงซะก่อน มันทำท่าจะออกตัวว่ายน้ำไปอีกฝั่งของสระ แต่ผมกับร้องเรียกชื่อเอาไว้ด้วยเสียงที่ดังลั่น ลืมตัวไปหน่อยคนข้างบ้านคงไม่ปาขี้ใส่หรอกมั้ง

"เฮ้ยๆ กลับมาฟังกูก่อนไอ้กู๊ด ขอร้อง!"
ผมแทบกระโดดตามมันลงไปในสระเพื่อรั้งเอาไว้ถ้าไม่ติดว่าไอ้หมาขาสั้นนอนหลับตาพริ้มอยู่บนตัก เพราะไอ้กู๊ดยังคงไม่หยุดที่จะว่ายน้ำออกไปอีกฝั่ง ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ แฟนทิ้ง เพื่อนยังมาทิ้งอีก มีอะไรดราม่ามากกว่านี้อีกไหมชีวิต

ผมมองมันว่ายน้ำวนไปวนมาอยู่สองรอบก่อนจะมาโผล่หัวอยู่ตรงหน้ากัน หยดน้ำจากเส้นผมค่อยๆ ไหลลงมาตามใบหน้าหล่อคม ตอนนี้ถ้าสาวๆ มาเห็นไอ้กู๊ดในสภาพนี้คงกรี๊ดจนคอแตกไปข้าง ไหนจะเจอส่วนบนที่เปลือยเปล่าขาวสว่าง บวกกับซิกแพคแน่นๆ ที่เห็นร่ำไร อยากจะบอกว่ามันใส่กางเกงตัวสั้นสำหรับว่ายน้ำอีกด้วย อะไรๆ มันก็ชัดเจน... เชื่อว่าใครหลายๆ คนคงน้ำลายไหล แต่ไม่ใช่ผมที่คิดพิศวาสหรอก อิจฉามากกว่า

"อย่าลีลาอีก ไม่งั้นกูหนีกลับบ้านปล่อยให้มึงเครียดตายอยู่นี่ล่ะ"
ไอ้กู๊ดกระโดดขึ้นมานั่งข้างๆ กัน ทำให้น้ำกระเซ็นมาโดนกัน ถึงจะชุ่มช่ำไปไม่น้อยแต่ผมไม่คิดจะด่าอะไร แต่กับเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพี่ทาร์ตกับตัวเองให้ฟังตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบัน สีหน้าของมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามเนื้อเรื่องที่ดราม่าเข้าไปทุกขณะ จนสุดท้ายก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมาเมื่อสิ้นเสียงพูด

"คือสรุปสั้นๆ ว่า ช่วงนี้พี่ทาร์ตไม่มีเวลาให้มึงเลย แต่ไอ้ฟ่อนบอกว่าป๋าให้เขาพักร้อน เท่ากับว่ามึงโดนโกหก กูเข้าใจถูกปะ"
ไอ้กู๊ดพูดสรุปสิ่งที่ผมเล่าไปเมื่อครู่ออกมาสั้นๆ เพื่อยืนยันว่าตัวเองเข้าใจเรื่องถูกและไม่มีอะไรผิดพลาด

"อือ"
ผมตอบกลับไปแค่นั้นแล้วทอดสายตามองไปยังพื้นน้ำในสระที่นิ่งสนิทและกำลังต้องแสงยามบ่ายเป็นประกายระยับ สวยจนอยากถ่ายรูปเก็บไว้ แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรแบบนั้นสักนิดเดียว ระบายเรื่องออกไปแต่ไม่ได้รู้สึกว่าดีขึ้นเลย ทุกๆ อย่างยังหน่วงอยู่ในหัวใจ

"อีกอย่างคือ มึงคิดมากตามที่ไอ้ฟ่อนสันนิษฐานว่าพี่ทาร์ตอาจจะมีกิ๊ก"
น้ำเสียงราบเรียบสรุปออกมาต่อและนั่นทำให้ผมชะงักมือที่กำลังลูบหัวลูบหางไอ้ขนม ลมหายใจเผลอสะดุดกึกไปหนึ่งจังหวะ หัวใจกระตุกวูบและค่อยๆ ปวดหนึบทีละนิด อ่า... จะตายไหมนะ

"อะ อืม"

"คิดมากอะไรนักหนาวะมึง ไม่มีอะไรหรอก"
ไอ้กู๊ดบอกแบบนั้นก่อนจะเอื้อมแขนมากอดไหล่กันทั้งๆ ที่ตัวมันยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ ไม่มีกะจิตกะใจจะว่าเลยปล่อยเลยตามเลยแถมยังซบหัวลงบนลาดไหล่กว้างเพื่อพักพิงร่างกาย แต่หัวใจนี่สิจะเอายังไงกับมันดี ในเมื่อคนที่ครอบครองไม่ดูแลแบบนี้...

"ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ มึงก็หาเหตุผลที่เขาต้องโกหกกูดิ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย มือเรียวยังคงทำหน้าที่ลูบขนไอ้ขนมต่อเพราะเชื่อว่าอาจจะทำให้ใจสงบลงได้บ้าง แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรหรอก

"อาจจะหนีไปซุ่มทำอะไรหรือเปล่า นี่กูเดานะ"
ไอ้กู๊ดเอื้อมมืออีกข้างมาลูบหัวกันอย่างทุกลักทุเลรู้สึกถึงความพยายามที่จะปลอบของเพื่อน แต่ผมไม่สามารถสลัดความคิดเรื่องนี้ทิ้งไปจากสมองได้จริงๆ พยายามแล้ว พยายามอีกจนท้อ เหนื่อยจนล้า บางทีก็อยากร้องไห้ออกมา

"ซุ่มคิดวิธีจะทิ้งกูไหมล่ะ หึ"
ผมหัวเราะเยาะกับความคิดเลวร้ายของตัวเอง ทั้งๆ ที่ในใจร้องตะโกนว่ามันคงไม่เป็นความจริง แต่ปากก็ยังพูดทำลายความรู้สึกที่เปราะบาง ทำไมคนที่กำลังเสียใจต้องซ้ำเติมตัวเองกันนะ ผมคิดว่าเข้าใจแล้วล่ะ เพราะอยากให้แผลเป็นมันเจ็บจนชา...

"มึงคิดเล็กคิดน้อยตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยปูน เหมือนผู้หญิงเลยเหอะ"
เหมือนรูปแบบประโยคคำถามที่ไม่ต้องการทำตอบ ราวกับพูดเรื่อยเปื่อยไปตามประสาคนห่วงเพื่อน แต่ผมกลับชะงักแล้วลอบมองใบหน้าด้านข้างของไอ้กู๊ด นั่นสินะ ตั้งแต่ตอนไหนกันที่กลายเป็นคนคิดมากและกลัวสิ่งที่ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองมากขนาดนี้ เพราะพี่ทาร์ตกลายมาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตอย่างนั้นเหรอ เมื่อไตร่ตรองดูแล้วพบว่ามันใช่... เพราะเขาพิเศษและสำคัญมากกว่าใครๆ

"ตั้งแต่มีแฟน... มันเป็นของมันเอง กูไม่ได้อยากมีนิสัยผู้หญิงแบบนี้นะกู๊ด รู้ตัวว่ามันน่ารำคาญแค่ไหน แต่มันห้ามไม่ได้ว่ะ"
ผมพูดออกมายาวเหยียดก่อนจะผละตัวออกจากเพื่อนสนิทแล้วก้มหน้าก้มตามองไอ้ขนมที่อยู่บนตัก คิดถึงพี่ทาร์ต อยากเจอหน้า อยากคุย อยากกลับมายิ้มด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน สัมผัสซึ่งกันและกันอีกครั้ง...

"เอ้อ อย่าว่าตัวเอง กูเข้าใจนะ ก็พี่ทาร์ตเป็นแฟนคนแรกของมึงนี่ จะคิดมากก็คงไม่แปลกมั้ง"
ถึงไอ้กู๊ดจะพยายามเข้าใจกัน แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเพราะคำลงท้ายประโยค สุดท้ายเป็นผมที่งี่เง่าเองหรือเปล่านะ คิดไปเอง มโนไปเอง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง พี่ทาร์ตจะเบื่อกันหรือเปล่า

"แล้วตอนมึงมีแฟนคนแรกเป็นแบบกูไหม..."
ผมถามออกไปด้วยเสียงที่เบาหวิว รู้สึกว่าตัวเองอาจเป็นคนไร้เหตุผล เอาแต่หนีปัญหาที่ยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร ไม่ยอมฟังคำอธิบายเพราะคิดว่าจะโดนโกหกซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งๆ ที่บอกเองว่าเขาน่าจะมีเหตุผลมากพอในการกระทำครั้งนี้ แต่ทำไมห้ามระแวงไม่ได้ แย่ที่สุด ผมเป็นแฟนที่แย่มากๆ สินะ

"โอ้ย อย่าถามเลย กูจำไม่ได้แล้วปูน นานเกินไป"
ก็คงนานสำหรับมันจริงๆ ล่ะมั้ง บางทีแฟนคนแรกอาจจะไม่ใช่รักครั้งแรกก็ได้ จริงไหม

"เฮ้อ กูจะบ้าตายว่ะ"
ผมถอนหายใจหนักๆ แล้วเอนตัวลงบนพื้นโดยไม่สนว่าเสื้อผ้าจะสกปรกหรือเปล่า กำลังจะยืดขาลงจุ่มน้ำในสระก็คิดได้ว่าไอ้ขนมยังอยู่บนตัก เกือบได้ลงไปออกกำลังกายแล้วไหมล่ะเจ้าขาสั้น

"ใจเย็นน่า เอาเป็นว่าวันนี้มึงก็ลองคุยกับพี่เขาดีๆ อีกสักครั้ง ทุกอย่างมันอาจจะดีขึ้นก็ได้"

"แต่กู... ยังไม่พร้อมว่ะ อีกสักสองสามวันได้ไหม"
ผมยังทำใจไม่ได้ ถึงแม้ว่าอยากจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมกับพี่ทาร์ตแค่ไหน ลองคิดดูถ้าเรื่องที่เขามีคนอื่นมันจริงขึ้นมา ตอนนั้นผมต้องแสดงสีหน้าแบบไหน ยิ้ม หัวเราะ โกรธ หรือร้องไห้ และควรรู้สึกยังไงกันล่ะ

"เฮ้ย ไม่ได้ๆ มึงจะปล่อยเรื่องให้ยืดเยื้อไปถึงไหนวะ เป็นตายยังไงก็ต้องคุยกันวันนี้ เคลียร์ให้จบด้วย ถ้าไม่งั้นกูจะไม่คุยกับมึง"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง หน้าตาก็ดูตื่นๆ เหมือนกับว่าถ้าผมไม่คุยกับพี่ทาร์ตวันนี้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่โต อาการแบบนี้มันก็แปลกๆ แต่ผมไม่มีเวลาสนใจขนาดนั้นหรอก

"อ้าว อะไรวะ ข้อต่อรองอะไรของมึง"
ผมถามออกไปแล้วมองเพื่อนสนิทด้วยความไม่เข้าใจ รู้สึกตัวเองเริ่มตาร้อน ปวดหัว ไข้แดกแล้วมั้งเนี่ย พักผ่อนไม่เพียงพอมาเกือบสองอาทิตย์ เมื่อวานยังโดนฝนตอนออกไปข้างนอกอีก เจริญล่ะชีวิต

"เออน่า กูแค่เป็นห่วงเพื่อน อยากให้มึงมีความสุขมากกว่ามานั่งคิดมากเป็นตุเป็นตะอยู่คนเดียวแบบนี้"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวกันเบาๆ ก่อนที่มันจะยอมลุกขึ้นไปเอาผ้าขนหนูมาเช็ดตัวสักที ไม่ใช่ว่าน้ำแห้งไปแล้วหรือยังไงวะ ความรู้สึกช้าไปไหมเพื่อน

"เออ จะลองดู"
สุดท้ายก็บอกออกไปแบบนั้นให้เพื่อนสบายใจ ทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะกล้าทำอะไรหรือเปล่า

ไม่รู้ว่าปล่อยให้ตัวเองนอนหลับไปนานแค่ไหนหลังจากกินข้าวและกินยาเรียบร้อย แต่การที่เตียงยวบลงนั่นเองที่ปลุกผมจากนิทราแสนหวาน ร่างกายสูงใหญ่ที่คุ้นเคยกำลังมองมาทางนี้ด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นในแฝงด้วยความคิดถึง อยากจะดึงคนๆ นี้เข้ามากอดเหลือเกิน ควรเริ่มต้นจากอะไรดี เปิดปากพูดหรือพุ่งตัวเข้าหาเพื่อสัมผัส

"ไม่สบายขนาดนี้เลยเหรอปูน"
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามกันพร้อมกับมือหนาที่คอยลูบแก้มอย่างแผ่วเบา ผมเม้มปากแล้วเบนสายตาหนีเพราะไม่กล้ามองเขาตรงๆ แต่ความคิดถึงมาตลอดหลายวันส่งผลให้ต้องพลิกตัวไปกอดแล้วซุกหน้าลงกับต้นขาแกร่งนั่น

"พี่ทาร์ต..."
ผมเรียกชื่อเขาเสียงสั่น มีอะไรอยากถามมากมายแต่ปากไม่ยอมขยับมากกว่านั้น ทุกอย่างมันจุกออกจนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดได้เลย

"กำลังคิดมากเรื่องพี่อยู่ใช่ไหม"
เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะประคองหัวผมให้นอนเกยตัก ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมาและใช้ปลายจมูกสัมผัสเข้าที่หน้าผากอย่างแผ่วเบา ตอนนี้ไม่อยากปฏิเสธเลยว่าความคิดสะเปะสะปะจางหายไปเกินครึ่ง ผมแพ้เขาทุกทางจริงๆ สินะ

"พี่ทาร์ต... บอกผมที อึก"
พยายามแล้วที่จะไม่ร้องไห้ แต่สุดท้ายก็กลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ไม่อยู่ หัวใจกำลังเต้นแรงอย่างกับเพิ่งผ่านการวิ่งหนักๆ มา

"ไม่งอแงนะครับ พี่ไม่ได้นอกใจปูนสักหน่อย เชื่อไอ้ฟ่อนเหรอ"
พี่ทาร์ตพูดปลอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนจะประคองตัวผมให้พิงอยู่แนบอกแล้วโอบกอดเอาไว้ไม่ห่าง มือหนายกขึ้นลูบหัวอย่างแผ่วเบา มันอบอุ่นจนอยากหยุดเวลาเอาไว้แค่นี้เหลือเกิน

"ก็... มันน่า อึก คิดนี่ครับ"
ผมซุกหน้าลงกับอกแกร่งเพื่อเก็บซ่อนความอ่อนแอ แต่น้ำตาที่ไหลลงมากลับซึมเข้าไปในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าของพี่ทาร์ต ใครไม่รู้ก็โง่แล้วว่าผมกำลังร้องไห้อย่างหนัก พยายามเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นอย่างสุดชีวิต เพราะกลัวเขารำคาญ

"ไม่ได้ตั้งใจจะโกหก ก็แค่ไม่ได้บอก"
พี่ทาร์คกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นแล้วกดจมูกโด่งลงกลางกระหม่อม ผมยิ่งเบียดตัวเข้าแนบชิดอย่างกับเด็กๆ ที่ต้องการการโอ๋จากคนที่รัก

"....."

"พี่บอกว่าไม่ว่างเพราะต้องจัดการเรื่องเจน"
คำสารภาพของพี่ทาร์ตทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น หัวคิ้วขมวดแทบจะผูกโบว์ได้ เพราะอะไรพี่เจนถึงกลับมาวุ่นวายในชีวิตเขาอีก ทั้งๆ ที่หายไปเป็นปีแล้ว... เธอเป็นคนทิ้งไปเองมีสิทธิ์อะไรในการกลับมาอีกเหรอ

"อะไรนะ ทำไมอยู่ๆ ถึง..."
ผมถามออกไปได้แค่นั้นแล้วเผลอกำหมัดแน่น ไม่เข้าใจในการกลับมาของพี่เจนเลยสักนิด แล้วทำไมพี่ทาร์ตต้องปิดบังกัน เพราะยังแคร์ ยังใส่ใจเธอหรือเปล่า



ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 22 -P.4- (05/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 05-06-2017 15:36:29
"เขาโผล่มาที่โรงแรม ยังไงก็จะขอคืนดีให้ได้ พี่ไม่รู้หรอกว่าเจนมีแผนหรืออะไรยังไง แต่เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะพี่รักปูน"

"แล้วทำไม... ทำไมไม่บอกผมตรงๆ"
ผมสะอึกกับสิ่งที่พี่ทาร์ตบอก จะว่าเขาแคร์ผมก็ใช่แต่เรื่องแบบนี้ควรบอกกันตรงๆ ไม่ให้เหรอ ยิ่งปิดบังก็ยิ่งทำให้คิดมาก ถ้าแค่บอกตรงๆ ผมจะเป็นกำลังใจให้เขา ไม่เข้าไปก้าวก่ายอะไร เพราะเชื่อว่าคนๆ นี้สามารถจัดการเรื่องราวได้ด้วยตัวเอง

"เพราะไม่อยากให้ปูนคิดมาก และพี่คิดว่าตัวเองสามารถจัดการเรื่องนี้ได้"
ความคิดของเขาไม่ผิดอะไร ผมยอมรับอย่างไม่มีข้อกังหา แต่...

"ฮึก ไม่บอกกันแบบนี้ผมก็คิดมากเหมือนกันนะเว้ย กลัวโดนทิ้ง พี่ทาร์ตไม่รู้หรือไง"
ผมพูดทุกสิ่งที่คิด ทุกสิ่งที่กลัวออกไปหมด ตอนนี้ไม่ได้กลัวแล้วว่าเขาจะรำคาญหรือเปล่าที่มีแฟนแสนงี่เง่าแบบนี้  ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย มีอะไรบ้างไหมที่ตัวเองจะสามารถแบ่งเบาภาระที่เขาต้องเผชิญได้

"โอ๋ๆ พี่รักปูนนะ จะทิ้งได้ยังไง"
พี่ทาร์ตก้มลงหอมแก้มกันอย่างรักใคร่ แล้วกระชับกอดแน่นขึ้นจนดึงผมขึ้นไปนั่งบนตักได้สำเร็จ น่าอายฉิบหาย รู้สึกว่าสถานการณ์มันล่อแหลมแปลกๆ แต่ไม่มีแรงจะขัดขืนอะไรเพราะร้องไห้ไปเยอะ รู้สึกเหมือนไข้จะขึ้นด้วย

"ห้ามทิ้งครับ ถ้าทิ้งนะ... อึก จะโกรธข้ามชาติเลย"
ผมพูดไปสะอื้นไปก่อนจะพลิกตัวเอาหน้าซุกไหล่ของเขาเอาไว้ ไม่สนใจแล้วว่าตัวเองจะดูเป็นเด็กน้อยแค่ไหนในสายตาเขา ตอนนี้แค่อยากได้ความอบอุ่น ความห่วงใยและความรักจากคนๆ นี้

"ไม่มีทาง ไม่ทิ้งไปไหนแน่ครับ เชื่อพี่สิ"
เขาบอกก่อนจะใช้มือช้อนคางผมขึ้นมาเพื่อที่จะได้สบตากัน ทุกๆ อย่างที่สื่อออกมานั้นเต็มไปด้วยความหนักแน่นและจริงใจ

"อื้อ เชื่อครับ"

"เอ้อ อีกอย่างนึง พี่หายไปเตรียมของเล็กๆ น้อยๆ ให้ปูนด้วยล่ะ"
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนจะขยับตัวยุกยิกเพื่อหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง ผมผละตัวออกมาเพื่อให้เขาทำอะไรได้สะดวก แล้วมองด้วยความสงสัย

"อะไรเหรอครับ"
ผมถามเมื่อเห็นกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วมันน่าจะเป็นของที่มีค่าพอตัว แต่ไม่กล้าเดาหรอกว่าคืออะไร

"เอาไปเปิดดูสิ"
พี่ทาร์ตส่งกล่องในมือมาให้กันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแบมือรับมันมาเปิดออก ของด้านในทำให้ความรู้สึกตอนนี้แปลกประหลาด หัวใจเต้นแรง หน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

"พี่ทาร์ต แหวนนี่มัน..."
มันคือแหวนทองคำขาวเกลี้ยงๆ วงหนึ่ง ที่มีขนาดรูปทรงไม่ใหญ่เกินไป ผมมองหน้าพี่ทาร์ตอย่างไม่เข้าใจเหตุการณ์สักเท่าไหร่ ทำไมอยู่ๆ ถึงให้แหวนกัน เนื่องในโอกาสอะไร จะบอกว่าคบกันครบรอบหกเดือนก็ไม่น่าจะเป็นของมีค่าแบบนี้สิ แปลกมา แต่ก็ดีใจมาก

"จองไว้ก่อนไง คบกันครบห้าปีเมื่อไหร่จะมาขอแต่งงาน"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและส่งรอยยิ้มละมุนมาให้กัน ผมก้มหน้าลงมองแหวนโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่เพราะว่าสนใจแต่ไม่สามารถสบตากับคนตรงหน้าได้ ทำไมเขาชอบทำอะไรให้หัวใจเต้นแรงแบบนี้วะ ไม่กลัวผมจะเขินตายก่อนหรือยังไง


"หวงก้างว่ะ เป็นผมปะที่ต้องจองพี่ทาร์ตไว้ก่อน หล่อขนาดนี้"
ผมบ่นอุบอิบโดยไม่ยอมมองหน้าพี่ทาร์ตเลยสักนิด เพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอทำหน้าตางอแงใส่เขาอีกรอบ คนอะไรก็ไม่รู้ฮอตฉิบหาย แต่ดีหน่อยที่เขาเลิกนิสัยเสือผู้หญิงไปแล้ว...

"ตัวเองนั่นล่ะ เสน่ห์แรงจะตาย เดี๋ยวไอ้กู๊ด เดี๋ยวไอ้กาย ต้องกันไว้ก่อนสิ"
พี่ทาร์ตเอื้อมมือมาดึงแก้มกันด้วยความหมั่นไส้ทำให้ผมถึงกับยอมเงยหน้าขึ้นแล้วแยกเขี้ยวใส่เพราะเถียงไม่ออกเรื่องนั้นจริงๆ ไม่ได้ไปยั่วพวกมันสักหน่อยนี่หว่า ผมไม่ผิดเหอะ

"อะไรเล่า... ใส่ให้หน่อย"
ผมเลี่ยงที่จะพูดเรื่องนั้นต่อแล้วยื่นกล่องแหวนให้เขา พี่ทาร์ตทำเพียงเลิกคิ้วแต่ไม่ยอมรับมันไปสักที เหมือนต้องการอะไรสักอย่างเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน

"หอมแก้มพี่ก่อนดิ เดี๋ยวใส่ให้"
พี่ทาร์ตยิ้มทะเล้นแล้วยื่นแก้มมาใกล้ๆ ผมถึงกับเบ้ปากใส่แล้วผลักไหล่ให้เขาออกไปไกลๆ แค่ขอแค่นี้ยังหากำไรจากคนอื่นอยู่ได้ มันน่าหมั่นไส้ไหมล่ะ อย่าคิดว่าจะยอมกันง่ายๆ

"หึ ใส่เองก็ได้วะ"
ผมหยิบแหวนขึ้นมาเตรียมจะใส่เองเพราะไม่อยากให้พี่ทาร์ตได้ใจไปมากกว่านี้ ยังไม่หายงอนเรื่องที่เขาหายไปและปิดบังเรื่องพี่เจนนะเว้ย ใครจะไปทำแบบนั้นล่ะ ฝันไปเถอะ

"โอ๋ๆ ไม่แกล้งแล้ว มาๆ พี่ใส่ให้เนอะ"
พี่ทาร์ตรีบคว้ามือผมไว้แล้วแย่งแหวนไปถือเองก่อนจะบรรจงสวมมันไว้บนนิ้วนางด้านซ้าย อยู่ๆ ก็โดนจับจองซะอย่างนั้น เสียเปรียบนะแต่ก็มีความสุข

"อะ..."
ผมหลุดเสียงร้องเมื่อพี่ทาร์ตบรรจงประทับรอยจูบลงบนนิ้วนาง แก้มที่เห่อร้อนบ่งบอกให้รู้ว่าตัวเองกำลังเขิน หัวใจที่เต้นแรงบ่งบอกให้รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกรักผู้ชายคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม...

"รักปูนนะครับ"
คำบอกรักหวานหูดังขึ้นเมื่อสายตาของเราประสานกัน

"รักพี่ทาร์ตเหมือนกัน"
ผมตอบรับความรู้สึกของเขาด้วยการขยับเข้าไปใกล้และมอบจุมพิตแสนหวานให้กับคนที่รัก ขอให้เรามีความสุขกันแบบนี้ไปอีกนานๆ




-----------------------------------------------

ดราม่าพอหอมปากหอมคอเนอะ
เรื่องนี้ควรมี NC หรือเปล่าน้า 55555
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 22 -P.4- (05/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 05-06-2017 20:36:08
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 22 -P.4- (05/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-06-2017 23:42:39
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 22 -P.4- (05/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 06-06-2017 14:34:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 23 -P.4- (09/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 09-06-2017 14:58:01
(http://i.imgur.com/GvUPsth.png)


สูตรที่ 23

Mango Crepe
: แป้งอเนกประสงค์/ไข่ไก่/นมสด/น้ำเปล่า/เกลือ/เนยจืดละลาย/มะม่วงสุก/น้ำมะนาว/น้ำตาล :



ทุกอย่างผ่านไปไวราวกับเรื่องโกหก เวลาหนึ่งปีที่พี่ทาร์ตเคยขออิสระไว้กับลุงตั้มก็จบลง และวันนี้เป็นวันแรกที่เขาต้องเขาทำงานในโรงแรมตำแหน่งผู้จัดการโรงแรม... ผมไม่รู้หรอกว่าวันๆ หนึ่งเขาต้องทำอะไรบ้าง เอกสารจะกองเต็มโต๊ะขนาดไหน ผู้ชายคนหนึ่งที่ยังอยู่ในวัยเรียนคนนี้ก็ทำได้แค่ให้กำลังใจ ถ้าเรียนจบเมื่อไหร่สัญญาว่าจะช่วยทำงานให้ดีที่สุด

ผมนั่งขยี้หัวตัวเองไปมาหลังจากตื่นนอนได้แค่ห้านาทีเพราะได้ยินเสียงพี่ทาร์ตลุกจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัว ตอนนี้เราผลัดกันนอนบ้านนั้นทีบ้านนี้ทีจนโดนพวกผู้ใหญ่แซวว่าเป็นคู่รักปาท่องโก๋ ถามว่าเขินไหม ตอบได้เลยว่าโคตรๆ แต่คงไม่เท่าไอ้ฟ่อนที่หอบผ้าหอบผ่อนไปนอนบ้านพี่อินยาวๆ เว้นแค่เสาร์อาทิตย์จะกลับมาค้างกับครอบครัว มันอ้างว่าเพื่อความสะดวกสบายในการไปโรงเรียน... ก็ว่ากันไป

"ฟ่อน ตื่นมาทำไม"
พี่ทาร์ตที่เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพด้านบนเปลือยเปล่าอวดซิกแพคขาวๆ ส่วนด้านล่างมีเพียงผ้าขนหนูสีขาวสะอาดปิดบังร่างกาย ผมที่ไม่กล้ามองเขาตรงๆ ได้แต่นั่งหน้าร้อนแบบไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองแพ้หุ่นคนตรงหน้ายังไงก็ไม่รู้ ประมาณว่าอยากสัมผัส... แค่คิดก็รู้สึกถึงความหื่นที่แผ่กระจายเป็นวงกว้างแล้ว โอย จะบ้า

"ก็... เอ่อ"
พูดไม่ออก จะบอกว่าตื่นมาส่งเขาไปทำงานก็กระดากปาก มันคล้ายๆ กับละครหลังข่าวที่พวกศรีภรรยาเขาทำกัน แต่เผอิญว่าผมเป็นแฟนแถมเป็นผู้ชายอีกด้วย มันเลยดูแปลกๆ

"ปวดฉี่เหรอ"
พี่ทาร์ตยังคงตั้งคำถามต่อในขณะที่เขาเริ่มจัดการใส่เสื้อผ้าต่อหน้าต่อตา ดีหน่อยที่ยังมีความเกรงใจไม่ปลดผ้าขนหนูทิ้ง ไม่อย่างนั้นผมคงต้องขุดหลุมมุกหนีแล้วล่ะ

"เปล่าครับ"
ผมตอบกลับไปแล้วลอบมองพี่ทาร์ตเป็นระยะโดยไม่ให้เขารู้ตัว อยากจะเดินเข้าไปผูกเนคไทให้ แต่คิดไปคิดมาแล้วมันโคตรจะแต๋วและดูหวานๆ ยังไงชอบกล อันที่จริงแล้วอายมากกว่าที่ทำอะไรแบบนั้นให้ กลัวโดนแซว

"หรือว่าอยากตื่นมาส่งพี่ไปทำงาน"
จึก... เหมือนได้ยินเสียงอะไรสักอย่างปักลงกลางอกเมื่อคำถามต่อมาจบลง ผมอ้าปากพะงาบๆ เพราะไม่รู้จะหาอะไรมาปฏิเสธ ในขณะที่พี่ทาร์ตยกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเดินเข้ามาหากันทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว ดวงตารีเบนหลบภาพตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ก็ใครใช้ให้เอาซิกแพคมาแยงตากันแบบนี้ล่ะวะ

"บะ บ้า ใครเขาจะทำแบบนั้น ผมไม่ใช่เมียพี่นะเว้ย"
ผมพูดเสียงตะกุกตะกักแล้วเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองมือตัวเอง ก็ไม่รู่ว่ามันมีอะไรน่าสนใจแต่ดีกว่าต้องสบตากับพี่ทาร์ตเป็นร้อยเท่า ตอนนี้รู้สึกว่าระบบหายใจทำงานยากเหลือเกิน ควบคุมยังไงให้ตัวเองไม่พ่นลมออกทางจมูกหนักแบบนี้ ฟังๆ แล้ว คล้ายกับคนเพิ่งวิ่งรอบสนามจบ

"ไม่ใช่งั้นเหรอ อืม... แล้วอยากเป็นไหมล่ะครับ"
น้ำเสียงกรุ้มกริ่มดังขึ้นข้างหูทำให้ผมสะดุ้งเฮือกแล้วถอยหลังหนีออกมา แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรผิดพลาดถึงได้หงายหลังตึงลงบนเตียง พี่ทาร์ตเลยสบโอกาสที่จะตามมาคร่อมไว้ ใบหน้าของเราห่างกันแค่คืบและสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ค่อนไปทางร้อน... ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นวะ ถ้าผมไม่ผลักไสเขาออกไป

"ถะ ถามอะไร ผมเป็นผู้ชายจะเป็นเมียได้ยังไง"
ผมถามออกไปเสียงแผ่วก่อนจะพยายามมองหาอะไรสักอย่างมากั้นใบหน้าของเราสองคน แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เป็นใจให้ทำอย่างนั้น ในเมื่อพี่ทาร์ตเล่นปิดบังทุกช่องทางเอาตัวรอดอย่างสมบูรณ์ คราวนี้ตายๆ ไอ้ปูนเอ้ย

"ได้สิ ลองดูไหมล่ะ รับรองว่าใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง"
พี่ทาร์ตเอ่ยน้ำเสียงกระเส่าก่อนจะใช้ปลายจมูกโด่งไล่คลอเคลียกับพวงแก้ม ผมหดคอหนีเพราะรู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมา ยอมรับว่ามันวาบหวามชวนหลงใหลมัวเมา แต่ผมยังไม่พร้อม... ก็ใครหลายคนเคยบอกว่าครั้งแรกโคตรเจ็บ ถึงตลอดมาจะย้ำเตือนความเป็นผู้ชายของตัวเองอยู่หลายครั้ง แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างทำให้รู้ว่าเป็นฝ่ายรับให้เขาคงเหมาะที่สุด

"ฮื่อ ไม่เอาครับ"
ผมร้องออกมาอย่างขัดใจก่อนจะใช้มือดันหน้าอกของเขาให้ถอยห่าง หัวใจเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก ตัวมันร้อนๆ คล้ายคนกำลังเป็นไข้

พี่ทาร์ตกดตัวลงมาแนบชิดอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้จนสามารถกดริมฝีปากลงมาทาบทับตำแหน่งเดียวกันจนสำเร็จ จากนุ่มนวลไม่รุกล้ำในตอนแรกค่อยๆ ไต่ระดับความร้อนแรงจนลิ้นชื้นสามารถแทรกผ่านรอยแยกเข้ามาเก็บเกี่ยวความหวานได้สำเร็จ กว่าเราจะผละออกจากกันก็ตอนที่น้ำลายเริ่มปริ่มที่มุมปาก

"พี่จะรอปูนพร้อมกับเรื่องนี้นะครับ"
น้ำเสียงอ่อนโยนถูกส่งมาให้ผมใจสั่นเล่นๆ ร่างสูงผละตัวออกไปยืนนิ่งๆ ข้างเตียงแต่ไม่วายจ้องกันด้วยสายตาหวานเชื่อม เจอคำพูดแบบนี้จะให้ตอบกลับยังไงวะ เขาเรียกมัดมือชกให้สมยอมเป็นเมียหรือเปล่า...

"อือ... รีบติดกระดุมเสื้อให้เรียบร้อยเลยครับ เดี๋ยวก็ไปทำงานวันแรกสายหรอก"
ผมลุกขึ้นนั่งแล้วส่งสายตาดุๆ ไปใช้พี่ทาร์ตที่ยังคงยืนนิ่งๆ ไม่ยอมติดกระดุมเสื้อสักที

"หึ แฟนช่วยแต่งตัวให้หน่อยสิครับ"
เขาบอกแบบนั้นก่อนจะตรงเข้ามาจับไหล่ทั้งสองข้างของผมเอาไว้ แล้วส่งสายตาออดอ้อนมาให้กันจนต้องเบนหน้าหนี ไม่รู้ว่าทำไมช่วงนี้พี่ทาร์ตชอบทำตัวน่ารักใส่กันนักนะ ไปทำอะไรผิดเอาไว้หรือเปล่าเนี่ย มันน่าสงสัย

"อะไรเล่า พี่ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับ"
ผมบอกปัดแล้วพยายามดิ้นขลุกขลักให้เขายอมปล่อยมือสักที แต่ไม่เป็นผลเพราะร่างสูงกลับโอบแขนรอบเอวแล้วกระชับอ้อมกอดแทน อยู่กับพี่ทาร์ตถ้าไม่ตั้งสติหรือระวังตัวให้ดีก็จะโดนจู่โจมระยะประชิด ลมหายใจกระทบใบหน้าแบบนี้ล่ะ... แต่อย่าให้รู้ว่าไปทำกับคนอื่นด้วย ผมไม่ปล่อยเอาไว้แน่ จะกระทืบให้จมดินเลยคอยดู นี่ไม่ได้หวงเลย

"ก็อยากอ้อนแฟนนี่ครับ ไม่ได้เหรอ"
พูดจบก็เอาหน้าซุกลงมาที่ซอกคอแล้วไซร้เบาๆ คล้ายกำลังอ้อนและหยอกล้อไปในตัว ผมที่โดนรวบกอดไว้เลยไม่มีทางขัดขืนใดๆ ได้แต่หลับตาแน่นเพราะรู้สึกวายหวามแปลกๆ เกิดความวูบโหวงตรงท้องน้อยจนเสียงสั่นแทบฟังไม่รู้เรื่อง

"อะ... เออๆ ผมติดกระดุมให้ก็ได้ ปล่อยดิ อื้อ!"
ผมยังพูดไม่ทันจบพี่ทาร์ตก็ทำการอุกอาจดูดเม้มซอกคอจนแรงๆ เชื่อว่ามันต้องขึ้นเป็นรอยแดงแน่ๆ แล้ววันนี้ผมมีเรียนนะเว้ย โอ้ย ไอ้กู๊ดแม่งแซวยันแก่แน่ๆ

"น่ารักจังวะปูน ถ้าวันไหนพี่รอไม่ไหวอย่าหาว่าผิดสัญญาเลย ก็แฟนแม่งน่าฟัดขนาดนี้"
เขาทำหน้ามันเขี้ยวกันซะเต็มประดาแล้วกดจมูกโด่งฝังลงบนแก้มผมแรงๆ สองของ ครั้นจะดิ้นหนีก็เปล่าประโยชน์ พี่ทาร์ตโคตรแรงควายเลยแม่ง

"ไอ้... หยุดพูดไปเลยนะเว้ย"
ผมกระทืบเท้าพี่ทาร์ตแล้วผละตัวออกมาในขณะที่เข้าร้องลั่นเพราะเจ็บ สมน้ำหน้าที่เล่นอะไรไม่เข้าเรื่องทำให้คนอื่นเขินจนตัวแทบระเบิด ไอ้เรื่องติดกระดุมก็จัดการไปเองแล้วกัน คนเจ้าเล่ห์แบบนี้ผมจะไม่หลงกลอีกแล้วเว้ย... นอกจากสมยอมเองอะนะ

พี่ทาร์ตไปทำงานแล้วเท่ากับว่าหลังจากวันนี้ผมต้องขับรถไปเรียนเอง ไม่มีสารถีอย่างที่ผ่านๆ มา ยอมรับว่ารู้สึกโหวงๆ ยังไงชอบกล ต้องโทษเขานั่นล่ะที่ทำให้ติดนิสัยเสียๆ มา ครั้นจะอ้อนแม่หรือป๋าให้ไปส่งคงโดนโวยวายยกใหญ่ เซ็งว่ะ ขี้เกียจด้วย

"อ้าวปูน แม่เตรียมอาหารเช้าให้แล้วนะ มีเรียนกี่โมง"
แม่ร้องเรียกและถามกันในขณะที่ผมกำลังก้าวลงจากบันได กลิ่นหอมของอาหารช่วยยืนยันคำพูดของเธอได้เป็นอย่างดี หิวแล้วแต่กลับคิดถึงฝีมือพี่ทาร์ตแทน

"เรียนสิบโมงครับผม หาว ~"
ผมตอบแม่กลับไปแล้วเดินเซไปหาเธอก่อนจะรวบเอวบางๆ มากอดไว้แล้วซุกหน้าลงกับลาดไหล่อย่างออดอ้อน ความขี้เกียจบวกกับความง่วงทำให้อะไรๆ ไม่สดใสเอาซะเลย

"มาอ้อนแม่แบบนี้จะเอาอะไรหืม"
เธอถามด้วยน้ำเสียงสูงๆ แล้วใช้มือนุ่มตบหัวกันเบาๆ ผมส่ายหัวไปมาเพราะไม่รู้เหมือนกันว่าต้องการอะไร แค่รู้ว่าอยากอ้อน...

"ปูนขี้เกียจจังเลย"
ผมบอกแม่ก่อนจะผละตัวออกมาเมื่อเธอใช้มือฟาดลงที่ต้นแขนไม่แรงมากนัก ใบหน้าสวยๆ ขมวดคิ้วแน่นแล้วใช้นิ้วจิ้มแก้มกันอย่างกับผมเป็นเด็กตัวน้อยกำลังงอแงอยากได้ของเล่น

"ขี้เกียจไปเรียนหรือขี้เกียจขับรถเอ่ย"
แม่ถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วจูงมือผมให้นั่งลงเพื่อกินข้าวเช้า วันนี้ป๋าออกไปทำงานไวกว่าปกติเพราะมีแขกวีไอพีเข้าพัก ต้องไปเลี้ยงรับรองอะไรทำนองนั้น

"มันก็ทั้งสองอย่างอะแม่"
ผมบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะหยิบส้อมขึ้นมาจิ้มไส้กรอกทอดขนาดพอดีคำใส่ปาก แม่ยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างสื่อความหมายแล้วหยิบขวดซอสมะเขือเทศมาบีบไว้ข้างจานให้ หลังจากนี้ผมต้องเตรียมรับมืออะไรสักอย่างจากคำพูดของเธอแน่ๆ

"เหรอค่ะ นึกว่างอแงที่พี่ทาร์ตเขาไม่ได้ไปส่งซะอีก"
แม่หัวเราะน้อยๆ แล้วกินอาหารในจานตัวเองต่อด้วยรอยยิ้ม ผมถึงกับชะงักมือที่กำลังจะจิ้มไข่ดาวทันที ทำไมโดนรู้ทันไปซะหมดนะ แสดงออกมากไปเหรอ แย่ว่ะ แบบนี้ก็โกหกใครไม่ได้อะดิ

"เปล่าซะหน่อย ปูนชอบขับรถไปเองมากกว่าน่า"
ผมบอกปัดๆ แล้วจิ้มไข่ดาวเข้าปากก่อนจะเคี้ยวหงุบหงับอย่างสบายอารมณ์ จริงๆ ก็แอบคิดอยู่ว่าพี่ทาร์ตจะได้กินข้าวเช้าบ้างแล้วหรือยังนะ เพราะเขาออกไปพร้อมๆ กับป๋านั่นล่ะ

"แต่พี่เขาไปส่งก็ดีเหมือนกันใช่ไหมล่ะ"
แม่ยังไม่วายเอ่ยแซวกันด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแถมเธอยังหยิกแก้มผมเป็นเชิงหยอกล้ออีกด้วย อะไรกันวะ ทำไมมีแต่คนรุมแซวผมล่ะ แบ่งไปทางพี่ทาร์ตบ้างเหอะ

"แม่ครับ ~"
ผมเสียงด้วยน้ำเสียงสูงๆ เพื่อบ่งบอกว่าให้แม่หยุดแซวกันสักที แค่นี้ก็อายจะแย่แล้ว แต่ดูเหมือนเธอกำลังมีความสุขที่ได้แกล้งลูกชายเหลือเกิน โอย เดี๋ยวจะขุดพื้นบ้านเป็นหลุมหลบภัยจริงๆ แล้วนะเว้ย

"อะไรคะ"
แม่ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะลุกขึ้นแล้วคว้าจานเปล่าไปเก็บแล้วกลับมาพร้อมนมรสจืดหนึ่งแก้ว เธอยื่นมาให้ซึ่งผมก็รับเอาไว้แล้วดื่มจนหมด

"โธ่ รู้ทันตลอดอะ"
ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก็เกิดเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุขของแม่ดังขึ้นมา รู้สึกดีนะ ที่พวกท่านรับความรักระหว่างเพศเดียวกันได้ แถมยังไม่มีทีท่าว่ารังเกียจอะไร แถมยังดูรักพี่ทาร์ตซึ่งปกติก็เป็นคนโปรดอยู่แล้วมากขึ้นไปอีก เหมือนเขากำลังยืนยันว่าลูกรักใครแล้วมีความสุขพ่อแม่ก็พลอยมีความสุขไปด้วยจริงๆ นี่สินะที่เขาเรียกว่าครอบครัวที่เข้าใจกัน

ผมนั่งเท้าคางด้วยความเบื่อหน่ายเพราะเสียงหึ่งๆ ของอาจารย์สอนภาษาเกาหลีวันนี้ฟังดูน่ารำคาญชอบกล ไม่รู้เพราะง่วงจนสมองไม่อยากรับอะไรหรือเพราะมัวแต่คิดถึงคนที่ไปทำงานกันแน่ รู้สึกว่าตัวเองจัดการอะไรไม่ได้เลยตอนนี้ คล้ายๆ คนกำลังเมาไร้สติสัมปชัญญะ

"ไอ้ปูน เมื่อคืนไม่ได้นอนหรือไงวะ ดูลอยๆ"
เพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ กันเอ่ยถามเสียงเลาแต่กลับทำให้ผมสะดุ้งจนทำปากกาตกลงบนตัก เมื่อครู่เผลอคิดอะไรเพลินๆ ไม่นึกว่าจะมีคนเปิดปากคุยด้วยเลยไม่ทันตั้งตัว

"เปล่าๆ แล้วนี่ไอ้ไนน์หายไปไหน ไม่มาเรียนเหรอ"
ผมเปลี่ยนเรื่องทันทีเพราะรู้ว่าไอ้กู๊ดคงสังเกตถึงความไม่ปกติบางอย่างในตัวผม มันจ้องหน้ากันนิ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ

"มันไม่สบาย นี่มึงไม่ได้อ่านไลน์กลุ่มเลยเหรอไง"
ไอ้กู๊ดขมวดคิ้วมองกันแล้วใช้ปากกาในมือจิ้มลงบนแก้มของผม ไม่มีการปัดป้องเกิดขึ้นแต่กลายเป็นหลบสายตาแทน จริงๆ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่เอาแต่สนใจพี่ทาร์ตจนไม่ยอมจับโทรศัพท์เลย ก็ใจมันหวิวๆ ที่เขาต้องไปทำงานท่ามกลางคนเป็นร้อยๆ แถมสาวๆ ยังสวยอีกด้วย...

"เออ พอดีแบตฯ มันหมดว่ะ เพิ่งได้ชาร์ตก่อนออกมาเรียนนี่ล่ะ"

"อืมๆ ตอนเที่ยงจะกินข้าวกับกูก่อนหรือกลับบ้านเลย"
ประโยคคำถามสามัญที่ต้องถามทุกครั้งในวันที่เลิกเรียนเที่ยง ส่วนมากผมจะรีบกลับบ้านเพราะพี่ทาร์ตมารับไปกินข้าว แต่เนื่องจากเทอมนี้และต่อๆ ไปคงต้องตัวติดกับไอ้กู๊ดแทนแล้วล่ะ...

"กินข้าวกับมึงก่อน ไปห้างด้วยก็ดี กูยังไม่อยากกลับบ้านว่ะ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ก่อนจะหยิบปากกาที่ตั้งอยู่บนตักออกมาจนงานที่อาจารย์มอบหมายลงสมุดตรงหน้า ทั้งๆ ที่สุดท้ายแล้วก็ต้องลอกไอ้กู๊ดส่งอยู่ดี เพราะตั้งแต่ต้นคาบยันท้ายคาบ ความรู้ไม่เข้าสมองเลยสักตัว

"อะไร มาแปลก ปกติต้องรีบไปตัวติดกับพี่ทาร์ตไม่ใช่หรือไง"
ไอ้กู๊ดถามออกมาด้วยน้ำเสียงสงสัย แต่ผมกลับชะงักมือที่เขียนงานอยู่ดื้อๆ คิดย้อนไปถึงเมื่อเดือนก่อนยังทำตัวติดเป็นปาท่องโก๋กับเขาอยู่เลย... แต่ตอนนี้อะไรๆ มันก็เปลี่ยน ต่างคนต่างต้องทำหน้าที่ของตัวเอง ผมเข้าใจแต่มันก็ไม่ชินเลย

"ก็... พี่ทาร์ตไม่อยู่บ้านแล้ว"
ผมพูดเสียงอ่อยก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆ พยายามแล้วที่จะไม่คิดมากและไม่ทำตัวงี่เง่า แต่ก็อดไม่ได้จริงๆ

"ห๊ะ พี่ทาร์ตไปไหนวะ"
ให้กู๊ดทำหน้าเหวอเมื่อผมบอกว่าพี่ทาร์ตไม่อยู่บ้านแล้ว เดาง่ายๆ มันคงคิดว่าพี่เขาย้ายไปอยู่ที่อื่นมากว่า ซึ่งความจริงแล้วแค่ไม่ว่างมากินข้าวเที่ยงด้วย

"ทำงานดิ วันนี้เริ่มงานที่โรงแรมวันแรก"
ผมบอกก่อนจะใช้มือเท้าคางอีกครั้ง อาจารย์หน้าชั้นเรียนบอกเลิกคลาสอย่างพอดิบพอดีเลยทำให้การฟุบลงไปกับโต๊ะไม่ได้ผิดอะไร ตอนนี้อยากเอาสมองตื้อๆ ตันๆ ไปโยนทิ้งฉิบหาย คิดถึงแต่หน้าพี่ทาร์ตทั้งวัน... ไม่ใช่ว่าโดนของอะไรเข้าหรอกนะ

"อ๋อ... ไอ้ที่มึงดูลอยๆ นี่ คิดถึงผัวใช่ปะ"
คราวนี้ไอ้กู๊ดเปลี่ยนท่าทีและน้ำเสียงเป็นกวนตีนกันทันที ผมหันไปถลึงตาใส่เพราะคำว่าผัวคำเดียว ไอ้นี่ก็อีกคน ชอบยัดเยียดตำแหน่งเมียพี่ทาร์ตให้กันตลอด อย่าเผลอนะมึง กูจะยุให้ไอ้แทจุนรุกมึงบ้างแล้วจะรู้สึก

"ผัวบ้าอะไรของมึง เพ้อเจ้อละ"

"ยังไม่ได้กันอีกเหรอ"
มันถามต่อด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่มจนผมต้องยกมือขึ้นตบหัวไอ้กู๊ดแบบไม่ออมแรง ผลที่ได้คือมันยู่ปากใส่แถมด้วยการบ่นงุ้งงิ้งฟังไม่เป็นภาษา

"ไอ้บ้า ถามอะไรของมีง น่าเกลียด"
ผมด่ามันก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความในสมุดที่เพิ่งจดไป แต่เชื่อไหมว่าไม่มีอะไรผ่านเข้าสมองเลยสักนิด ตัวอักษรมันเบลอๆ ไปซะหมด แก้มก็พาลร้อนขึ้นมาเมื่อคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า

"ก็เห็นคบกันมานานแล้วนี่หว่า"
ผมหันขวับไปมองเพื่อนสนิททันทีเพราะไม่คิดว่ามันจะพูดออกมาแบบนั้น จะคบกันนานได้ยังไงวะ ครึ่งปีเองเถอะ

"นานอะไรของมึงเนี่ย ยังไม่ครบปี"
ผมตอบเสียงเบาแล้วเหลือบสายตามองไอ้กู๊ด มันไหวไหล่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้แล้วกระซิบอะไรบางอย่างให้หัวใจกระตุก

"ถ้ากูเป็นพี่ทาร์ตคงไม่ปล่อยมึงให้ซิงมาจนถึงทุดวันนี้หรอกไอ้ปูน"
มันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีแววล้อเล่นจนผมเผลอสะดุดลมหายใจเมื่อคิดตามประโยคนั้น มีความเป็นไปได้สูงที่พี่ทาร์ตจะไม่ปล่อยให้ผมรอดมือเขาไปได้ แต่นี่แฟนนะเว้ย คงไม่คิดจะปล้ำกัน แล้วพี่เจนล่ะ... หรือเพราะเป็นผู้ชายด้วยกันถึงไม่กล้าทำอะไรวู่วาม

"พูดบ้าๆ เลิกคุยเรื่องนี้เหอะ"

"มึงไม่คิดว่ามันแปลกบ้างหรือไงที่อดีตเสือผู้หญิงอย่างพี่ทาร์ตไม่ปล้ำมึงสักที"

"ทำไมวะ เขาบอกว่ารอวันที่กูพร้อมไง"
จริงๆ ก็ปล้ำ แต่ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นไม่ยอมปล่อย... แล้วยังไงวะ ทำไมชอบมีคนทำให้คิดมากเรื่องพี่ทาร์ตอยู่เรื่อย ปวดหัวเว้ย

"อ๋อเหรอ ไม่คิดว่าระหว่างรอเขาไปฟันคนอื่นฆ่าเวลาบ้างหรือไง"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วลงมือจดงานต่อไปเหมือนประโยคนั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่ากังวลอะไร แต่ผมกลับขมวดคิ้วแน่นด้วยความเครียด ไม่เคยคิดมาก่อนว่าพี่ทาร์ตจะไปฟันใครระหว่างที่รอ... ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ควรจะทำยังไงดี

"ไอ้กู๊ดมึงจะปากหมาเกินไปแล้ว"
ผมว่ามันไปแบบนั้นทั้งๆ ที่ความคิดเริ่มปั่นป่วนอีกครั้ง คราวที่แล้วก็ไอ้ฟ้อนคราวนี้มาเป็นไอ้กู๊ดอีก ถึงจะพยายามเชื่อใจแต่มันอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่ะ แม่งเอ้ย อยากจุดรูอยู่ไม่ต้องรับรู้อะไรจริงๆ แล้วนะเว้ย

"เอ้า นี่กูพูดให้คิดตาม ไม่ได้ยุยงเลยจริงๆ"
เออ... เข้าใจแต่มันทำให้เครียดเว้ย เพิ่งผ่านเรื่องไอ้ฟ่อนกรอกใส่สมองไปไม่ถึงเดือนเอง

"แม่ง..."

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปนับจากวันแรกที่พี่ทาร์ตเริ่มทำงาน เขาไม่เคยย่างกรายมาค้างที่บ้านผมเลยแม้แต่วันเดียว ปากบอกว่าเหนื่อยอย่างนั้นอย่างนี้แล้วอีกอย่างคือกลัวควบคุมอารมณ์หื่นของตัวเองไม่ได้ ครั้นจะเลิกคิดเรื่องที่เพื่อนสนิทกรอกหู กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างมันวนเวียนอยู่ในสมองหนักขึ้น แถมตกตะกอนจนรู้สึกระแวง ยอมรับว่าเป็นแฟนที่แย่ คิดมาก แต่การกระทำของอีกฝ่ายมันน่าสงสัยจริงๆ

"ปูน"

"....."

"น้องปูน"

"....."

"แฟนครับ!"

"ห๊ะๆ ครับ มีอะไรเหรอ"
ผมสะดุ้งสุดตัวจนหัวเกือบจะชนหลังคารถ ตอนนี้พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปห้างกัน เพื่อกินข้าวเที่ยงและดูหนังสักเรื่อง แต่เมื่อครู่คงเหม่อไปหน่อยเลยไม่ได้ยินที่พี่ทาร์ตเรียกก่อนหน้านี้

"เป็นอะไร เห็นนั่งเหม่อมาตั้งแต่ออกจากบ้าน"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงก่อนจะเอื้อมมือมาแตะแก้มกันเบาๆ ในขณะที่รถติดไฟแดง ผมสะดุ้งอีกครั้งเพราะไม่คิดว่าเขาจะถูกเนื้อต้องตัวกันหลังจากที่ไม่ได้สัมผัสมาร่วมอาทิตย์ ขนาดหน้ายังไม่ได้เห็น จะเอาเวลาที่ไหนอยู่ใกล้กัน เขาเล่นกลับจากโรงแรมดึกดื่นทุกวัน ไม่รู้จะรักงานอะไรนักหนา... แอบซุกใครไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้

"มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยครับ"
ผมบอกไปแบบนั้นก่อนจะขยับตัวหนีมือเย็นๆ ของเขา ดวงตารีเบนออกไปมองวิวด้านนอกเพราะไม่รู้จะทำตัวยังไงดีในตอนนี้ กำลังคิดไม่ตกว่าควรจะถามตรงๆ ดีหรือดูพฤติกรรมของเขาต่อ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกินไป

"มีอะไรก็บอกพี่ได้นะปูน คิดมากคนเดียวมันเหนื่อย"

"อื้อ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่จะบอกนะ"

"ครับ"

เราถึงห้างกันตอนเที่ยงกว่าๆ เลยตกลงกันว่าไปซื้อตั๋วหนังรอบบ่ายประมาณบ่ายสองก่อนแล้วค่อยไปหาอะไรกิน ระหว่างเรื่องมัมมี่กับมินเนี่ยนทำให้ผมลังเลอย่างหนัก เพราะมันน่าดูทั้งคู่... เอาไงดีวะ คนละแนวด้วยดิ ไม่รู้พี่ทาร์ตชอบแบบไหน

"พี่ทาร์ต"
ผมเรียนคนที่ยืนมองโปสเตอร์หนังอยู่ข้างๆ กัน ดูเหมือนเขาจะสนใจเรื่องมัมมี่มากพอตัวเพราะทอมครูซเป็นนักแสดงนำ แต่ผมก็อยากดูมินเนี่ยนด้วยนี่ดิ ตะแยกกันก็แปลกๆ อีก

"หืม"
เขาครางรับในลำคอก่อนจะเบนสายตาออกจากโปสเตอร์หนังแล้วเลิกคิ้วใส่กันเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่า

"อยากดูเรื่องอะไร"
ผมชี้นิ้วไปที่เรื่องมัมมี่กับมินเนี่ยนแล้วลอบมองปฏิกิริยาของพี่ทาร์ต เขายิ้มออกมาก่อนจะเนียนวาวแขนแกร่งพาดไหล่กัน

"ตามใจปูนเลย"
เขาบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ แถมกระชับแขนดันให้ผมแนบชิดมากขึ้นโดยไม่แคร์สายตาประชาชีที่ลอบมองอยู่ห่างๆ เลย เชื่อว่าพวกนั้นไม่ได้คิดอะไรนอกจากว่าพี่ทาร์ตหล่อหรอก

"ไม่เอาดิ พี่อยากดูเรื่องไหน"
ผมถามย้ำอีกครั้งเพราะกลัวว่าวันหยุดที่แสนมีค่าของพี่ทาร์ตจะต้องมาเบื่อหน่ายเพราะโดนชวนดูการ์ตูนแบบนี้ อยากให้เขามีความสุขที่ได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน

"เรื่องไหนก็ได้ น่าดูทั้งคู่นะ"
พี่ทาร์ตหันมายิ้มให้กันเพื่อยืนยันคำพูดตัวเอง ผมยังไม่แน่ใจว่าถ้าตัดสินใจไปแล้วจริงๆ จะทำให้เขาไม่รู้สึกเบื่อได้

"แน่ใจเหรอว่าดูได้ทั้งสองเรื่องอะ"
ผมถามอีกครั้ง ดูน่ารำคาญแต่ก็อยากมั่นใจ

"ต้องแน่ใจสิ"
พี่ทาร์ตตอบย้ำอีดครั้งแล้วผละมือออกจากไหล่แล้วเลื่อนมาดึงแก้มผมแทน

"ปูนเลือกหนังพี่เลือกอาหาร โอเคปะ จะได้ไม่ต้องคิดมากแบบนี้ รู้ตัวไหมว่าคิ้วจะผูกโบว์ได้อยู่แล้ว"
เขาเลื่อนมือมีคลึงหว่างคิ้วให้ผมต่อย่างอ่อนโยน สายตาที่ส่งมาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง อยู่ๆ ก็รู้สึกอุ่นใจจนสิ่งที่คิดมากมาตลอดหนึ่งอาทิตย์จางลงไปเยอะ

"อื้อ งั้นดูมินเนี่ยนนะ"

"ครับผม ~ ขอที่นั่งโซฟานะ"
รักความสบายจริงๆ เลยแฟนผม

หลังจากซื้อตั๋วหนังกันเรียบร้อยแล้วพี่ทาร์ตก็เลือกเข้าร้านชาบูแบบบุฟเฟ่ต์ ผมได้ขัดอะไรเพราะสามารถกินได้ทุกอย่างอยู่แล้วในตอนนี้ เพราะเมื่อเช้าตื่นสายเลยหิวเป็นอย่างมาก บวกกับตกลงกันไว้แล้วว่าเขาจะเป็นฝ่ายเลือกร้านอาหารเอง กว่าจะอิ่มก็ปาเข้าไปบ่ายโมงกว่าเลยต้องรีบพากันไปเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้าโรงหนัง

ผมที่กลับออกมาจากห้องน้ำถึงกลับชะงักเมื่อเห็นว่าพี่ทาร์ตยืนคุยกับใครบางคนด้วยท่าทางสนิทสนม เธอเป็นสายสวยหุ่นดี ผมสีดำยาวสลวยถึงกลางหลัง แต่งตัวด้วยชุดเดรสสั้นเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อย  ดูๆ แล้วเหมาะสมกับเขาทุกประการ... ตลกเนอะ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นแฟนแต่กลับไม่มีความมั่นใจอะไรเลย

“ทาร์ตมากับใครเหรอคะ”
เสียงหวานๆ เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าสวยคลี่ยิ้มสดใสจนผมเผลอมองด้วยความอิจฉา บางครั้งถ้าพี่ทาร์ตเลือกผู้หญิงคนนี้อาจจะดีกว่า เขาจะได้มีครอบครัวอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งควรมี

“ผมมากับแฟน นุ่นล่ะมากับใคร”
พี่ทาร์ตถามกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน ทุกอย่างระหว่างทั้งสองคนดูละมุนละไม จนคนที่ผ่านไปผ่านมาอาจจะคิดว่าทั้งสองคนเป็นแฟนกันก็ได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงต้องแอบฟังอยู่ตรงนี้ คงอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างพวกเขาล่ะมั้ง ถึงจะหน่วงๆ ในใจก็เถอะ

“โห ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าทาร์ตมีแฟนแล้ว คงสวยมากแน่ๆ เลยใช่ปะ นุ่นมากับเพื่อนค่ะ”
ไม่เลย แฟนพี่ทาร์ตไม่ได้สวยเลยครับ หน้าตาธรรมดาๆ ตัวสูง เสียงทุ้ม ไม่มีความน่ารักอ่อนโยนอะไรเลย

“ไม่หรอกครับ เฮ้ย ปูน มานี่ๆ”
ผมกำลังจะหาที่หลบใหม่เพราะพี่ทาร์ตกำลังหันซ้ายหันขวา แต่ไม่ทันเพราะเขาเห็นผมก่อนแล้วเรียกซะเสียงดังโดยไม่เกรงใจคนที่ผ่านไปผ่านมา แถมยังกวักมือให้กันจนไม่หนีไปไหนเลย เลยจำต้องคลี่ยิ้มแหยๆ แล้วเดินเข้าไปหาเขาทั้งสองคนแทน

“ออกมาจากห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย พี่ก็ว่าเราตกส้วมไปแล้วซะอีก”
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนดึงข้อมือของผมให้ขยับเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้พี่นุ่นมองไม่ได้เลยได้แต่ขืนตัวเองไว้จนเขาขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น

“ปล่อยก่อนครับพี่ทาร์ต”
ผมบอกเขาเสียงกระซิบเพราะโดยพี่นุ่นมองมาด้วยสายตาสนใจ พี่ทาร์ตไม่ยอมทำตามแต่ออกแรงบีบข้อมือกันแน่นขึ้น ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ในเวลานี้

“ทำไม”
เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงดังปกติ ไม่ได้แคร์เลยว่าคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ จะได้ยินอะไรแปลกๆ

“เขามองอยู่...”
ผมตอบเสียงแผ่วแล้วแอบเหลือบมองพี่นุ่นไปด้วย ส่วนพี่ทาร์ตถอนหายใจออกมาแล้วออกแรงกระตุกจนไหล่ของเราชนกันในที่สุด ครั้นจะผละตัวออกก็คงไม่ทันแล้วเพราะโดนสายตาดุๆ ของเขาห้ามเอาไว้

“เอ่อ... คนนี้น่ะเหรอแฟนของทาร์ตน่ะ”
พี่คนสวยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าไม่อยากเชื่อสักเท่าไหร่ แต่ภาพตรงหน้ามันฟ้องว่าเราทั้งสองคนเกินเลยมากกว่าคำว่าพี่น้องไปแล้ว ยืนจับมือถือแขนแถมยังโดนโอบเอวแบบนี้คงปฏิเสธอะไรไม่ได้

“อื้ม คนนี้ล่ะครับ ตกใจปะ”
พี่ทาร์ตถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบราบแต่ใบหน้าเจือรอยยิ้มบางๆ เอาไว้ พี่นุ่นดูจะอึ้งๆ แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้าว่าตกใจจริงๆ ก็คงเป็นเรื่องปกติที่คนๆ หนึ่งเห็นเขาเป็นผู้ชายแมนๆ มาตลอดแต่ที่ไหนได้กลับมีแฟนเป็นเพศเดียวกันซะอย่างนั้น

“ก็... นิดหน่อยอะ ไม่คิดว่าทาร์ตจะมีแฟนเป็นผู้ชาย”

“นั่นสินะ เอาเป็นว่าผมขอตัวก่อนแล้วกันนะครับ ไว้เจอกันที่โรงแรม”
พี่ทาร์ตบอกกับพี่นุ่นแบบนั้นก่อนจะลากผมออกมาจากตรงนั้นโดยไม่ได้สนใจเลยว่าเธอจะแสดงสีหน้าแบบไหนอยู่ แต่เชื่อไหมว่ามีบางอย่างในดวงตาคู่สวยนั้นบ่งบอกว่ากำลังเสียดาย...

“พี่ทาร์ต... รู้ใช่ปะว่าเธอคิดอะไรอยู่”
ผมถามในขณะที่เราทั้งสองคนกำลังมุ่งหน้าตรงไปที่โรงหนังโดยที่พี่ทาร์ตไม่ได้ปล่อยมือผมแต่อย่างใด อายคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเพราะกลัวเขาจะโดนมองไม่ดี แต่ช่างเถอะ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้รู้ว่าคนๆ นี้ก็มีเจ้าของแล้วนะ

“อืม... ถ้าบอกไม่รู้ก็คงโกหกใช่ไหมล่ะ”
พี่ทาร์ตเหลือบมองกันเล็กน้อยแล้วปล่อยมือผมออกเมื่อเรามายืนต่อแถวเพื่อซื้อป๊อปคอร์นกับน้ำอัดลม ผมพยักหน้ารับคำเพราะรู้ดีว่าสายตาผู้หญิงคนนั้นมันชัดเจนจนใครๆ ก็สมารถดูออกได้ว่าคิดอะไรอยู่




ต่อหน้าถัดไปจ้า
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 23 -P.4- (09/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 09-06-2017 14:58:42
“อื้อ เขาเป็นเพื่อนเหรอ”
ผมถามต่อด้วยความอยากรู้แล้วทำเป็นไม่สนใจที่จะเอาคำตอบโดยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดนั่นกดนี่ไปเรื่อยทั้งๆ ที่ในใจนั้นกำลังเรียกร้องสิ่งที่อยากรู้ ถ้าเป็นแค่เพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนก็คงไม่น่ามีปัญหาอะไรมากมาย ถ้าเกิดเป็นแฟนเก่าอาจจะมีการคุของถ่านไฟเก่าก็ได้ อะไรในโลกนี้ล้วนไม่แน่นอนอยู่แล้ว

“เปล่าหรอก เลขาฯ น่ะ”
พี่ทาร์ตตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแบบคนไม่ได้คิดอะไร แต่ผมกลับสะดุดกับคำว่าเลขาฯ เขาต้องทำงานใกล้ชิดกันอย่างนั้นเหรอ แล้วถ้าวันหนึ่งเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมาล่ะ...

“อ่า...”

“แต่ปูนไม่ต้องคิดมากนะ พี่ไม่ได้อะไรกับเขาหรอก สวยก็จริง แต่ก็ไม่ได้สนใจ”
เหมือนพี่ทาร์ตจะมองออกว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่เขาเลยบอกประโยคนั้นให้ผมสบายใจ ตอนนี้เชื่อเขานะ แต่ไม่สามารถเชื่อได้ว่าพี่นุ่นจะรามือไปหรือเปล่า ถ้าหากเธอคิดว่าคนๆ นี้เป็นเกย์ไปแล้วจริงๆ ก็คงปลอดภัยดีล่ะมั้ง

“อื้อ... ครับ”

หนังสนุกแต่ผมแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยเมื่อยังคิดเรื่องของพี่นุ่นวนเวียนอยู่ในหัวสมองไม่หยุด ทั้งๆ ที่พยายามไม่สนใจหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ทำไม่ได้เมื่อสายตาของเธอตอกย้ำว่าเสียดายพี่ทาร์ตมากแค่ไหน เกลียดตัวเองที่กลายเป็นคนขี้ระแวงเพราะมีความรักขนาดนี้

“ปูน เหม่ออีกแล้วนะ คิดมากเรื่องนุ่นหรือไง”
พี่ทาร์ตถามขึ้นในขณะที่เรากำลังเดินไปที่รถเพื่อจะกลับบ้านไปทำอาหารเย็นด้วยกัน เมนูคือพวกบาร์บีคิวทั้งหลายเพราะวันนี้ไตรมาตรนี้พี่อินสามารถทำยอดที่ร้านเหล้าได้ทะลุเป้ามากกว่าครั้งไหนๆ

“ก็... มันอดคิดไม่ได้นี่ครับ พี่นุ่นเขาทำงานใกล้ชิดกับพี่มากเลยนะ”
ผมว่าเสียงอ่อยแล้วเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองพื้นซีเมนต์ตรงหน้า พี่ทาร์ตถึงกับต้องดึงตัวผมเพื่อให้หลบต้นเสาตรงหน้า เกือบเจ็บตัวไปแล้วไหมล่ะมานอยด์อะไรไม่เข้าเรื่องตอนนี้

“ไม่ไว้ใจพี่เหรอ”
เขาถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคงมากนัก ผมถึงกับต้องเยหน้าขึ้นมาเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดวงตาคมฉายแววเศร้าออกมาอย่างชัดเจนและมันบ่งบอกให้รู้ว่าเขากำลังเสียใจที่โดนระแวง... อยากขอโทษสักร้อยครั้ง แต่ในสมองก็ยังคิดมากอยู่ดี กลัวอีกแล้ว เมื่อไหร่จะเลิกเป็นคนแบบนี้ได้สักทีวะกู

“เปล่าครับ แค่กลัวว่าพี่นุ่นจะทำอะไรขึ้นมา”
ผมรีบแก้ตัวทันทีเพราะไม่อยากให้พี่ทาร์ตทำหน้าเศร้าไปมากกว่านี้ ทั้งๆ ที่เขาหวังจะมีความสุขเวลาที่เราอยู่ด้วยกันสองคนแท้ๆ ทำไมต้องมีเรื่องดราม่าด้วยวะ

“เขาจะมาทำอะไรพี่ได้ครับปูน ป๊าจะย้ายเธอไปอยู่สาขาต่างจังหวัดแล้วล่ะ”

“ทำไมล่ะ...”
ผมถามต่อแทบจะทันทีเมื่อได้ยินคำว่าย้ายจากปากของพี่ทาร์ต ความรู้สึกในตอนนี้กำลังดีใจที่เธอจะออกห่างจากเขาสักที

“ไม่รู้สิ พี่ไม่ได้สนใจหรอก”
คำตอบของพี่ทาร์ตชัดเจนจนทำให้ผมต้องเม้มปากเพื่อกลั้นยิ้ม นี่ถึงขนาดไม่รู้เลยเหรอว่าเลขาฯ ส่วนตัวโดนย้ายไปทำงานที่อื่นเพราะสาเหตุอะไร

“อ่า... ครับ”

หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยจนถึงบ้าน ในระหว่างที่พี่ทาร์ตกำลังเตรียมของเพื่อทำบาร์บีคิวผมก็คิดอะไรบางอย่างออก แล้วถามเรื่องที่ค้างคาใจจากคำพูดของไอ้กู๊ดก่อนหน้านี้

“พี่ทาร์ตครับ... ผมขอถามอะไรสักอย่างได้ไหม”

“ถามมาสิ อยากรู้อะไรล่ะ”

“ปกติที่พี่มีแฟน... คบกันนานแค่ไหนถึงจะมีเซ็กซ์กันเหรอครับ”
ท้ายประโยคผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงเบาราวกระซิบ อยู่ๆ มันก็กระดากปากขึ้นมาซะเฉยๆ แต่ดูท่าทางพี่ทาร์ตจะตกใจพอดูถึงขนาดทำหัวหอมใหญ่ในมือกลิ้งลงบนพื้น

“ห๊ะ ทำไมอยู่ๆ ก็ถามเรื่องแบบนี้วะ”
พี่ทาร์ตถามกลับด้วยน้ำเสียงประหลาดใจแล้วก้มเก็บหัวหอมใหญ่ที่กลิ้งอยู่บนพื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมจับจ้องและฉายแววคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ ผมรีบเบนหน้าหนีแล้วแสร้งทิ้งตัวนั่งลงด้วยท่วงท่าที่ทำให้ดูเหมือนสบายๆ ไม่ได้เคร่งเครียด

“ก็แค่อยากรู้เฉยๆ ตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ทั้งๆ ที่พยายามควบคุมแทบตายไม่ให้มันสั่น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้คงไม่หลุดปากถามอะไรแบบนี้ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวและเป็นอดีต ใครๆ คงไม่อยากให้รื้อฟื้น ตัวผมเองก็เหมือนกัน บางทีคำตอบของเขาอาจจะทำให้เจ็บก็ได้

“ตอบได้ดิ อย่าเพิ่งนอยด์ แต่พี่กลัวว่าปูนจะเอาไปคิดมากต่างหาก”

“จะคิดมากเพื่ออะไรเล่า”

“โอเคๆ ก็คบกันประมาณสองสามเดือนนี่ล่ะ”
พี่ทาร์ตตอบแล้วลอบมองปฏิกิริยาของผมอยู่เงียบๆ ซึ่งนั่นทำให้ผมไม่สามารถแสดงอาการอะไรออกไปได้นอกจากพยักหน้ากลบเกลื่อนความตกใจ

“เหรอครับ...”

“แล้วนี่เราอยากรู้ไปทำไม”

“ก็ถามเฉยๆ หรอกน่า ไม่มีอะไรครับ”

“ครับๆ”

หลังจากนั้นพี่ทาร์ตก็ลงมือเตรียมอาหารต่อและผมก็ช่วยหยิบเนื้อและผักที่หั่นเรียบร้อยแล้วเสียบไม้จนหมดแล้วยกออกไปด้านนอกเพื่อทำการย่าง อีกประมาณสิบนาที่พี่อินกับไอ้ฟ่อนจะตรงมาที่นี่หลังจากที่ไปเที่ยวทะเลกันมาอย่างหนำใจ น่าอิจฉาเนอะ แต่ก็ไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอของคู่นั้น ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ชวนแล้วล่ะแต่พวกเราปฏิเสธเอง

“เอ่อ พี่ทาร์ต แล้วช่วงนี้พี่แบบว่า... มีอารมณ์อะไรอย่างว่าหรือเปล่าอะ”
ผมยังไม่เลิกสงสัยจนต้องออกปากถามพี่ทาร์ตอีกรอบ และมันเป็นประเด็นใหญ่พอตัวเลยล่ะ นี่สิถึงจะเป็นเรื่องคาใจที่แท้จริง ไอ้ฉิบหายเอ้ย ต้องโทษไอ้กู๊ดคนเดียวเลยที่ทำให้ผมกล้าถามอะไรแบบนี้ออกไป

“หือ... มันก็มีบ้างล่ะ อยู่ใกล้ปูนทีไรก็หื่นทุกที”
ไอ้พี่ทาร์ตก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่มเหมือนกำลังเดาใจผมออกว่ากำลังระแวงอะไรอยู่ ถ้าไม่ใช่คนโง่เง่าก็คงจับทางได้ไม่ยาก แถมเขาไม่มีทีท่าว่าจะตกใจเหมือนครั้งที่แล้วเลยสักนิด สรุปว่าผมพลาดสินะที่ถาม...

“ห๊ะ... บ้า ผมเป็นผู้ชายนะ”
เป็นผมเองล่ะที่เผลอร้องออกไปอย่างตกใจ ใครจะไปคิดว่าพี่ทาร์ตจะมีอารมร์แบบนั้นแทบตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน แก้มมันก้พาลจะร้อนๆ ขึ้นมายังไงก็ไม่รู้ แย่แล้ว...

“แต่ปูนก็เป็นแฟนพี่ไม่ใช่หรือยังไง มีอารมณ์กับแฟนไม่เห็นจะแปลก”
พี่ทาร์ตขยับเข้ามาใกล้จนผมต้องถอยหลังหนีออกไปหลายก้าว ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ปล่อยจานบาร์บีคิวให้ร่วงลงกับพื้นเพราะตกใจ แต่มันก็จริงของเขานะที่จะรู้สึกแบบนั้นเวลาอยู่กับแฟน ไม่ปฏิเสธหรอกว่าเคยเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

“โอเคๆ เข้าใจแล้ว... พี่ จัดการมันยังไงอะ”
ปลายประโยคแทบจะกลายเป็นการพ่นลมออกมา แต่โชคดีหรือร้ายก็ไม่รู้ที่ห้องครัวเงียบจนได้ยินเสียงพูดนั่นอย่างชัดเจน นี่กูหน้าด้านกล้าถามเรื่องอะไรแบบนี้ออกไปได้ยังไงวะ โอย

“มือไงครับ”
เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่ผู้ชายทุกคนเคยปฏิบัติมาก่อน แต่ผมกลับนั่งหน้าร้อน เพราะไม่คิดว่าเขาจะพูดตรงไปตรงมาขนาดนี้

“อ๋อ...”

“ปูนคิดว่าพี่ไประบายออกกับคนอื่นหรือยังไง”
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงดุๆ แล้วใช้สายตาคมจ้องกันจนผมสะดุ้งแล้วรีบละล่ำละลักบอกเขาว่าไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น ทั้งๆ ที่คิดไว้ตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว

“เปล่านะ เปล่า ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลย”
ผมรีบปฏิเสธเป็นพัลวันพร้อมกับโบกมือเป็นการยืนยันว่าไม่ได้คิดอะไรจริงๆ หวังว่าตัวเองจะโกหกได้แนบเนียนนะคราวนี้

“หึหึ ครับๆ ไม่คิดก็ไม่คิด”
แล้วต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่มีใครปริปากอะไรกันอีกเลยเพราะพี่อินกับไอ้ฟ่อนมาถึงแล้ว

ผมคิดว่าคืนนี้อาจจะต้องเข้ากูเกิ้ลแล้วศึกษาประสบการณ์เสียตัวครั้งแรกของผู้ชาย...




----------------------------------------

ปูนควรจะคิดดีๆ ก่อนตัดสินใจทำอะไรนะลูกนะ... 555555555
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 23 -P.4- (09/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-06-2017 20:43:50
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 23 -P.4- (09/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 10-06-2017 00:00:36
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 23 -P.4- (09/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: gookgik ที่ 10-06-2017 09:40:17
ปูนคงอยากบอกว่าถ้าตัวเองเสียตัว  ต้องโทษไอ้กู๊ดที่บิ้วซะปูนคิดมาก กลัวพี่ทาร์ตเปลี่ยนใจ ว่าแต่ปูนไม่ต้องไปศึกษาทฤษฎีหรอก
รอปฏิบัติจริงกับพี่ทาร์ตเลยดีกว่า 

---------------------------
:L2: :pig4: เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ



หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 24 -P.5- (13/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 13-06-2017 09:16:58
(http://i.imgur.com/JeqQcgs.png)


สูตรที่ 24

Red Velvet Lava Cake
: แป้งอเนกประสงค์/เบกกิ้งโซดา/ผงโกโก้/สีผสมอาหารสีแดง/น้ำตาล/น้ำมันพืช/นม/กลิ่นวนิลลา/น้ำส้มสายชู :




การหักโหมทำงานหนักมันทำให้สุขภาพร่างกายของคนเราถดถอยอาจจะถึงขั้นป่วยหนักเลยก็เป็นได้ แต่ทั้งๆ ที่รู้ว่าสักวันต้องเป็นแบบนั้นแต่คนบ้างานอย่างพี่ทาร์ตก็ยังไม่ยอมวางมือสักที แม้กระทั่งเวลาเข้านอนอย่างตอนนี้ ยังเอาแฟ้มเอกสารมาเปิดอ่าน ไปเป็นแฟนกับกระดาษเลยไหมล่ะ แม่ง สนใจผมที่นอนมองตาปริบๆ เหมือนลูกหมาโดนเจ้าของเมินบ้างเถอะน่า

พี่ทาร์ตเอาแต่นั่งอ่านเอกสารให้มือไม่หยุด บ้างก็ขมวดคิ้วบ้างก็เพ่งจนตาแทบถลน ดูๆ ไปคงมีอะไรให้เครียดน่าดู อาจจะเป็นพวกรายงานผลกำไรของโรงแรมซึ่งผมไม่เคยอยากเข้าไปยุ่งอะไรเกี่ยวกับตัวเลขพวกนี้เลย มันน่าปวดหัวจะตายไป 

ผมอยากจะเข้าไปอ้อนก็กลัวว่าเขาจะเสียสมาธิ เลยทำแค่นอนมองเฉยๆ เพราะไม่อยากเป็นเด็กงี่เง่างอแงจนใครๆ หนักใจ แต่ดูเหมือนว่าตัวเองจะเผลอจ้องมากไปหน่อยเลยทำให้พี่ทาร์ตรู้ตัว แฟ้มเอกสารถูกวางลงบนตักก่อนที่ดวงตาคมจะเบนมาทางนี้

"มีอะไรหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ แต่ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มที่มักมีให้กันเสมอ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะตัดสินใจคว้าแฟ้มเอกสารบนตักของเขาเอาไปวางที่โต๊ะหัวเตียงแล้วพาหัวทุยๆ ของตัวเองเข้าไปแทนที่

"อ่านเอกสารมาทั้งวันแล้ว จะไม่หยุดพักบ้างหรือไงครับ"
ผมถามก่อนจะช้อนตามองอีกคนด้วยความเป็นห่วง ถ้าสังเกตจะรู้ว่าพักหลังๆ มานี้ขอบตาเขามีรอยคล้ำจางๆ แถมหน้าตายังดูโทรมๆ คล้ายคนอดนอน พี่ทาร์ตเป็นพวกบ้างานมากจริงๆ

"เป็นห่วงพี่เหรอ"
เข้าก้มลงมาจนปลายจมูกของเราแตะกันเบาๆ ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ยืดตัวขึ้นไปจุมพิตริมฝีปากหยักแทนคำตอบ แฟนทั้งคนไม่ห่วงก็บ้าแล้ว

"ทำแบบนี้ยั่วกันหรือเปล่าครับ"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่มก่อนจะเริ่มใช่ปลายจมูกซุกไซร้ไปตามซอกคอ ผมดิ้นเล็กน้อยก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างดันอกเขาเอาไว้ สภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นแบบนั้นยังจะหื่นอีกคนเรา ถ้าขืนให้ทำอะไรขึ้นมาจริงๆ คนที่อารมณ์ค้างคงเป็นผมแบบไม่ต้องสงสัยเลยว่ะ

"ผมแค่จุ๊บแทนคำตอบ ไม่ได้ยั่วซะหน่อย หื่นตลอดเลยนะพี่ทาร์ต"
ผมว่าก่อนจะเอื้อมมือไปดีงแก้มด้วยความหมั่นไส้ อะไรๆ ก็ชอบคิดเข้าข้างตัวเองทั้งนั้นเลยว่ะ มีวันไหนบ้างที่เลิกหื่นได้... อยากจะบอกว่าเรื่องเสียตัวครั้งแรกอะไรนั่นกูเกิ้ลช่วยได้เยอะนะ บางคนบอกเจ็บโคตรๆ บางคนบอกเสียวโคตรๆ บางคนบอกเดินไม่ได้ไปสองสามวัน บางคนบอกมันส์จนหยุดไม่ได้... สรุปว่าควรจะเชื่อใครดีวะ ตัดสินใจรุกปล้ำพี่ทาร์ตซะเองคงจะดีกว่าหรือเปล่า

"เคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่าพี่หื่นทุกครั้งที่อยู่ใกล้ปูน"
เขายืนยันคำพูดด้วยการก้มลงมาประกบปากอย่างนุ่มนวล ค่อยๆ ขบเม้มเบาๆ ก่อนจะใช้ลิ้นร้อนละเลียดชิมอย่างเชื่องช้า มือหนาประคองใบหน้าเอาเหมือนกับกลัวว่าผมจะปฏิเสธหนี ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะใช่แต่ในตอนนี้พร้อมรับมือแล้ว... ถ้าให้พูดตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมคงพร้อมเสียตัว

"ถ้าพี่ขอทำมากกว่าจูบปูนจะให้ไหม"
น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยกระซิบข้างหูจนทำให้ขนลุกทั่วทั้งตัว ผมรู้สึกว่าภายในห้องอุณหภูมิร้อนขึ้นอย่างน่าประหลาด จำได้ลางๆ ว่าเปิดแอร์ไว้ที่ยี่สิบองศาเลยนะ... หรือมันจะเสีย

"จะ... ทำอะไรล่ะครับ"
แกล้งถามออกไปทั้งๆ ที่รู้ว่าเข้าหมายความว่าอะไร ผมในตอนนี้ไม่กล้าสบตากับเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวหัวใจจะวายตายซะก่อน นี่มันครั้งแรกของผม เซ็กซ์ครั้งแรกในชีวิต ผู้ชายคนแรกและคาดว่าจะเป็นคนสุดท้าย กำลังวอนขอกันอยู่ตรงหน้า ให้ตายเถอะ...

"เป็นของพี่ได้ไหม"
ไม่มีการอ้อมค้อมใดๆ อีกต่อไปแล้วเมื่อต่างคนต่างรู้สึกว่าบางที่อะไรๆ ก็สมควรแก่เวลาของมันแล้ว ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตาของเขาก่อนจะเม้มปากเข้าหากันแน่น ควรจะตอบว่าอะไรดีล่ะ เชิญเลยครับ ผมพร้อมแล้ว หรือว่า อืม คำเดียว... โว้ย ทำไมต้องยอมเสียตัวขนาดนี้ด้วยวะเนี่ย ผมคงต้องรุกแล้วสินะ ลุกขึ้นมารับน่ะ ฮือ

"อ่า... อื้อ"
สรุปผมก็หน้าบางเกินกว่าจะตอบตกลงแบบประโยคยาวๆ ใครจะหน้าด้านหน้าทนเชิญชวนให้คนอื่นปล้ำตัวเองได้ล่ะวะ ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยยั่วใครด้วยซ้ำ... แม่ง ถอนคำพูดทันไหม เห็นสายตาของพี่ทาร์ตแล้วผมคงไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอย่างน้อยสองวันแน่ๆ

"จะไม่เปลี่ยนใจทีหลังใช่ไหม"

"อือ... คิดมาดีแล้วน่า"
เกลียดคำถามที่สั่นคลอนความมั่นคงนั่นฉิบหาย จริงๆ ก็อยากเปลี่ยนใจอยู่หรอก แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เห็นแก่ความหื่นของเขาจะยอมให้ก็ได้

"หึ น่ารักจังครับ พี่สัญญาว่าจะเบามือที่สุด"
เขาก้มลงจูบหน้าผากเหมือนประทับรอยคำมั่นสัญญาให้ผมได้อุ่นใจ

"ครับ ผมเชื่อพี่ทาร์ตนะ"
ผมตอบรับด้วยรอยยิ้มหวานๆ ก่อนจะเบนสายตาหลบเมื่อมือหนาเริ่มลูบไล้ตามสะโพกมน ตอนนี้รู้สึกว่าหัวใจทำงานหนักมาก เต้นถี่จนแน่นหน้าอกไปหมด ร่างกายร้อนวูบคล้ายคนเป็นไข้ นี่น่ะเหรออาการที่เรียกว่ากำลังมีอารมณ์ร่วมกับคนที่รัก มันแตกต่างกับตอนนี้เป็นฝ่ายเพ้อเจ้อไปคนเดียวสุดๆ

ผมกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับการปรนเปรอของพี่ทาร์ต ซึ่งเขามีความชำนาญจากการผ่านศึกรบมานับครั้งไม่ถ้วนเลยทำให้ร่างกายที่ไม่เคยผ่านเรื่องอย่างว่าอ่อนยวบและโอนอ่อนตามได้โดยง่าย ริมฝีปากหยักไล่ดูดเม้มมอบความเสียวซ่านให้อย่างไม่หยุดหย่อน เสื้อผ้ากองกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณเหลือเพียงแค่อันเดอร์แวร์ตัวน้อยที่ทำหน้าที่ปกปิดส่วนสำคัญ ดีนะที่วันนี้ป๋ากับแม่ไปต่างจังหวัด ไม่อย่างนั้นคงจะได้ยินเสียงประหลาดๆ แน่ๆ

"อ๊ะ... พะ พี่ทาร์ต เจ็บ"
ผมร้องเสียงแผ่วเมื่อโดนเขาดูดดึงยอดอกอย่างแรง มันทั้งเสียวและเจ็บในคราวเดียวกัน พี่ทาร์ตผงกหัวขึ้นมองกันเล็กน้อยก่อนจะแลบลิ้นเปียกชื้นเลียเบาๆ คล้ายจะปลอบ ยิ่งทำแบบนั้นปลายเท้าของผมก็ยิ่งจิกเกร็งมากกว่าเดิม ใจจะขาดรอนๆ อยู่แล้ว อึก

ผ่านมารวบห้านาทีที่พี่ทาร์ตยังคงวนเวียนอยู่แถวๆ หน้าอกของผม ไม่รู้ว่าติดใจอะไรนักหนา แต่พอได้สังเกตดีๆ แล้วจะเห็นถึงความปกติ เขานิ่งไปเหมือนไม่ได้ขยับเขยื้อนอีก หรือว่า...

ผมลองเขย่าไหล่และลองขยุ้มเส้นผมมันเงานั่นดู แต่เขาไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ท่าทางคงเพลียจัดจนสามารถทิ้งสติสัมปชัญญะแล้วหลับได้!

ผมกำลังมีอารมณ์สุดๆ แต่เขาดันหลับ โอ้โห ค้างอยู่บนยอดมะพร้าวเลยไหมล่ะกู! ยอมรับว่าหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย แต่พอได้สัมผัสตัวพี่ทาร์ตแบบจริงจังกลับได้รู้ว่าทฤษฎีโหมงานหนักจะป่วยนั้นเป็นเรื่องจริง ในเมื่อเขาตัวร้อนอย่างกับไฟเดือดร้อนไอ้คนขี้ตกใจให้ต้องตาลีตาเหลือกลงจากเตียงไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัว

"ผมจะเอางานของพี่ไปซ่อนแล้วนะ แม่ง ป่วยจนได้"
ผมบ่นอุบแล้วเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เขาไปเรื่อยๆ เพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย ครั้นออกเสียงปลุกเท่าไหร่พี่ทาร์ตเพื่อให้ลุกขึ้นมากินยาแต่ก็ไม่ยอมขยับเลยทำได้แค่เพียงรอดูอาการแบบใกล้ชิด ถ้าไข้ไม่ลดคงต้องโทรเรียกไอ้ฟ่อนให้มาช่วยแบกพี่ชายไปโรงพยาบาล

ตลอดทั้งคืนผมครึ่งหลับครึ่งตื่นเพราะกังวลว่าคนข้างตัวจะอาการหนักขึ้นหรือเปล่า เช้ามาเลยตกใจหน้าตัวเองในกระจกที่ใกล้เคียงหมีแพนด้าเข้าไปทุกที กว่าจะอาบน้ำและจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก็พบว่าคนป่วยนอนลืมตามองเพดานอยู่ก่อนแล้ว

"พี่ทาร์ต เป็นยังไงบ้างครับ รู้สึกดีขึ้นไหม"
ผมรีบเดินเข้าไปหาคนป่วยทั้งๆ ที่ตัวเองยังมีผ้าขนหนูผืนเล็กอยู่บนหัว ด้วยความเป็นห่วงเลยทำให้ลืมไปแล้วว่ายังไม่ได้จัดการเป่าผมให้แห้ง

"เจ็บ... คอมาก"
เสียงแหบแห้งของเขาหลุดออกมาจากริมฝีปากซีดทำให้ผมต้องกุลีกุจอออกจากห้องเพื่อไปเอาน้ำดื่มที่ชั้นล่างและพบว่าแม่บ้านมาทำงานพอดิบพอดีเลยได้อาหารเช้าพร้อมยาติดมือไปด้านบนด้วย ใช้เวลาเพียงไม่นานแต่กลับเจอพี่ทาร์ตที่กำลังจะเคลิ้มหลับอีกรอบ

"เฮ้ยพี่ อย่าเพิ่งหลับครับ ลุกขึ้นมากินข้าวกินยาก่อน"
ผมวางถาดอาหารเอาไว้แล้วตรงไปหาอีกคนที่ดูมึนๆ เบลอๆ และพยายามดันตัวลุกขึ้น จากสภาพแล้วคงพาสังขารตัวเองไปล้างหน้าแปรงฟันไม่ไหวแน่ๆ

"ง่วง"
พี่ทาร์ตบอกสั้นๆ ในตอนที่ผมเข้าไปประคองเขาให้นั่งพิงหัวเตียง ผิวเนื้อยังคงร้อนไม่ต่างจากเมื่อคืนสักเท่าไหร่ อาการแบบนี้น่าเป็นห่วง ควรไปหาหมอ

"พี่ทาร์ต ผมว่าเราไปหาหมอกันดีกว่า ตัวร้อนมากเลยเนี่ย"
ผมพูดไปก็เอื้อมมือแตะหน้าผากคนตรงหน้าไปด้วยความเป็นห่วง สารภาพตามตรงว่าไม่เคยดูแลคนป่วยแบบนี่เลย ถ้าขืนปล่อยไว้อาจจะอาการหนักกว่าเดิมหรือเปล่านะ แต่ความคิดทั้งหมดกลับสะดุดกึกเมื่อพี่ทาร์ตส่ายหน้าช้าๆ เป็นเชิงปฏิเสธ

"ไม่เอา แค่ก กินยา นะ นอนพัก เดี๋ยวก็หาย"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงแหบๆ ไอออกมาเป็นระยะ ผมเลยได้แต่ถอนหายใจกับความดื้อรั้นของคนตัวโต เออ หายแน่ๆ เสียงพี่น่ะ หายไปแล้ว! ต้องเอาขนมมาล่อเหมือนเด็กๆ ตอนอยากให้เชื่อฟังอะไรปะวะ ถึงจะยอมไปหาหมอด้วยกันเนี่ย ป๋ากับแม่ ป้าอุ่นกับลุงตั้มก็ไม่อยู่... ไม่มีใครมีอำนาจพอจะออกคำสั่งเลยว่ะ หรือจะโทรไปฟ้องดี

"เออ หายแน่ๆ เสียงพี่อะนะ"
ผมพูดประชดแล้วผละตัวออกจากพี่ทาร์ตเพื่อไปหยิบถาดอาหารมาตั้งบนโต๊ะตรงหัวเตียง พี่ทาร์ตเบะปากลงเมื่อเห็นข้าวต้มในถ้วย เข้าใจว่ามันจืดชืดไม่น่ากิน แต่จะให้เอาของรสชาติจัดๆ มาประเคนตอนนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่

"ไม่กินได้ปะวะ แค่เห็นก็ แค่กๆ จะอ้วก"
ทั้งๆ ที่ป่วยจนแทบไม่มีเสียงก็ยังพยายามเถียงแถมยังไอใส่กันอีก แต่อย่าหวังว่าผมจะใจดี เพราะถ้าไม่กินข้าวต้มนี่ก็ไม่มีอะไรกินแล้ว

"หยุดพูด แล้วก็กินๆ เข้าไป ถ้าเรื่องมากผมจะโทรไปฟ้องลุงตั้มแล้วนะว่าพี่ดื้อ"
ผมว่าเสียงดุแล้วยกถ้วยข้าวต้มส่งให้เขา พี่ทาร์ตมองมันนิ่งก่อนจะยอมรับไปแบบไม่เต็มใจ ทำไมตอนป่วยใครๆ ก็ชอบงอแงเหมือนเด็ก ไม่เข้าใจจริงๆ

"ไม่ป้อนหน่อยเหรอ"
พี่ทาร์ตถามกลับมาแล้วส่งสายตาอ้อนๆ ให้กัน ผมทำหน้าเหวอไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้ารัว ถ้าต้องมานั่งป้อนข้าวให้ขอมุดหายไปจากตรงนี้ดีกว่า บรรยากาศคงหวานจนมดไต่แน่ๆ

"กินเองเลย เดี๋ยวผมไปเตรียมของมาเช็ดตัวให้พี่อีก"
ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นยืน เหลือบมองคนบนเตียงเล็กน้อยก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาหยิบกะละมังเพื่อเอาไปรองน้ำ ได้ยินเสียงคนป่วยบนงึมงำตามท้ายประมาณว่าใจร้ายๆ อะไรทำนองนั้น

หลังจากรอคนหน้าบึ้งกินข้าวกินยาเสร็จก็ได้เวลาของการเช็ดตัว แต่ผมอยากมุดรูหนีสุดๆ เพราะพี่ทาร์ตจัดแจงถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแค่บ็อกเซอร์ติดตัว จะรู้หน้าที่ดีเกินไปปะวะ แล้วส่งสายตากรุ้มกริ่มมาเพื่ออะไร ป่วยจริงๆ หรือเอาไดร์มาเป่าหน้าผากให้ร้อน

"โอย"
ผมร้องออกมาเบาๆ ก่อนจะลงมือเช็ดตัวให้เขาด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ไม่รู้ทำไมตอนนี้อะไรๆ ก็ขัดเขินไปซะหมด เพราะดวงตาคมคอยจับจ้องทุกการกระทำโดยไม่ละไปไหน มันไม่ใช่ความหมายซาบซึ้ง แต่เป็นการบ่งบอกว่าพร้อมกลืนกินกันทุกเมื่อ น่าจะไม่รอดแล้วล่ะกู ไม่เกินพรุ่งนี้พี่ทาร์ตหายเป็นปลิดทิ้งแน่ๆ แล้วผมจะลงไปนอนตรงนั้นแทนเอง

โชคดีที่รอดพ้นสายตาโลมเลียหรือโชคร้ายให้ผมเตรียมใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะหลังจากที่ผมเช็ดตัวให้เขาเรียบร้อย คนป่วยก็เข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็ว ลมหายใจเข้าออกยังส่งเสียงฟืดฟาดเล็กน้อยแต่ไม่มากเท่าเมื่อคืน เดาว่าตื่นมาคงรู้สึกดีกว่าเดิมแน่ๆ

ผมหยิบเอาโน้ตบุคมากางบนตักเพื่อทำงานอยู่ข้างๆ เตียง ไม่กล้าไปไหนไกลเพราะกลัวว่าเขาอาจจะไข้ขึ้นอีก ตอนนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เพราะการโหมทำงานหนักมากเกินไปบวกกับพักผ่อนไม่เพียงพอ ใบหน้ายามหลับของพี่ทาร์ตยังคงดูดีเหมือนยามตื่น แต่มันไร้พิษสงค์ใดๆ สนผมเผลอยิ้มออกมา ไม่น่าเชื่อว่าสุดท้ายแล้วพี่ชายข้างบ้านที่รู้จักมักจี่กันมาตั้งแต่เด็กๆ จะกลายมาเป็นแฟนคนแรกและคนปัจจุบันของผม

การแอบมองจบลงเมื่อเขาเริ่มขยับเปลือกตา ผมเหลือบมองเขาก่อนจะยกโน้ตบุคไปตั้งบนโต๊ะทำงานแล้วกลับมาดูอาการ สีหน้าดูมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเมื่อเช้า ตัวไม่ค่อยร้อน แต่อะไรๆ ก็ไม่แน่นอน คงต้องรอดูกันต่อไป เพราะเขาว่ากันว่าคนไม่เคยป่วยพอป่วยขึ้นมาจะเป็นหนัก

"รู้สึกดีขึ้นไหม ตัวไม่ค่อยร้อนแล้วนะครับ"
ผมพูดก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง พี่ทาร์ตพยักหน้ารับคำแต่นิ้วเรียวกลับชี้ไปที่คอของตัวเอง เป็นอันรู้ว่ายังเจ็บ ก็แน่ล่ะ มันไม่ได้หายง่ายขนาดนั้น

"เดี๋ยวผมเอาน้ำอุ่นกับยาอมมาให้กินแล้วกัน ตอนเย็นจะออกไปซื้อยาแก้อักเสบให้"
ผมร่ายยาวก่อนจะลุกขึ้นเพื่อไปเอาสิ่งที่บอกไป แต่มือเย็นๆ ของพี่ทาร์ตกลับรั้งกันเอาไว้แล้วออกแรงกระตุกจนผมล้มทับคนที่นอนยิ้มกริ่มอยู่ ครั้นจะยันตัวออกห่างกลับโดนแขนแกร่งรัดรอบตัวไม่ให้หนี สถานการณ์เหมือนในละครหลังข่าวเด๊ะๆ นางเอกกำลังจะเสียตัว... แต่ผมเป็นผู้ชายนะเว้ย ควรเป็นข้อยกเว้น

"พี่ทาร์ตเล่นอะไรวะ ปล่อยเหอะ"
ผมบอกเสียงอู้อี้เพราะใบหน้าซุกอยู่ตรงอกแกร่งของเขา จะผงกหัวขึ้นก็โดนมือหนากดไว้ นี่กะจะฆ่ากันหรือเปล่าวะ ทำไมแรงเยอะแบบนี้ รั้งกันไปรั้งกันมาคอแทบเคล็ด

"อยากได้ยาวิเศษ พี่... จะได้หายไวๆ"
เสียงแหบแห้งของพี่ทาร์ตดังขึ้นก่อนที่มือหนาจะถือวิสาสะลูบไล้แผ่นหลังของผมจนรู้สึกสยิวขึ้นมาดื้อๆ ไม่เข้าใจว่ายาวิเศษที่เขาหมายถึงคืออะไร บนโลกนี้มีที่ไหนวะ หรือผมต้องไปเรียนฮอกวอตส์กับศาสตราจารย์สเนป...

"คืออะไรครับ บนโลกนี้มีที่ไหน"
ผมบ่นแต่ก็ยอมนอนนิ่งๆ ให้อีกคนลูบหัวเล่น แต่คำตอบของพี่ทาร์ตมันทำให้ความรู้สึกบางอย่างตีตื้นขึ้นบนใบหน้า... จะตรงไปไหนวะคนเรา

"ปูนคือยาวิเศษของพี่ไงครับ"
คำพูดของพี่ทาร์ตทำให้ผมหน้าร้อนอย่างช่วยไม่ได้ มันดูซึ้งๆ ชวนให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจ

"เหรอครับ แล้วยาวิเศษต้องทำอะไรบ้างพี่ทาร์ตถึงจะหายป่วย"
ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเพราะรู้สึกเขิน ไม่ว่าเขาจะให้ทำอะไรในตอนนี้ผมอาจจะใจอ่อนยอมง่ายๆ ก็ได้ บางทีความรักของเราคงเริ่มต้นมานานแสนนาน แต่ไม่มีใครกล้าก้าวผ่านเส้นบางๆ ของคำว่าพี่น้อง แต่ปัจจุบันนี้ทุกอย่างลงตัวแล้ว

"ต้องให้พี่... กิน"
สิ้นคำพูดของพี่ทาร์ตผมถึงกับกระตุก ความหมายนั้นคงเป็นอะไรที่มันลึกซึ้งเกินกว่าที่เป็นอยู่ ยอมรับว่าทำใจกับเรื่องนี้มาพอสมควร เพราะในชีวิตของเราเซ็กซ์ไม่ได้สำคัญแต่มันคือส่วนประกอบเล็กๆ ของความรัก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรับหรือรุก สุดท้ายแล้วความรู้สึกระหว่างคนสองคนก็ไม่ได้เปลี่ยนไป แต่คงเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะใช้แขนหยัดตัวให้ลุกขึ้นเพื่อสร้างระยะห่างระหว่างเราเพื่อที่ดวงตาทั้งสองคู่จะสอดประสาน ยอมรับอย่างเต็มอกว่าตอนนี้เขินมากแต่เพราะอยากส่งถ่ายความรักโดยไม่เปล่งเสียงให้อีกฝ่ายรับรู้ ริมฝีปากบางกดลงอย่างแผ่วเบาที่ปลายคางมนได้รูปคล้ายกับการอนุญาตให้พี่ทาร์ตทำตามต้องการ

"แน่ใจแล้วเหรอครับ พี่... รอได้"
พี่ทาร์ตเอ่ยถามกันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือหนาเอื้อมมาลูบแก้มกันอย่างแผ่วเบาจนผมคลี่ยิ้มบางแล้วพยักหน้ารับโดยไม่ลังเล ไหนๆ ก็รักขนาดนี้และไม่คิดจะมีคนอื่นต่อ ยอมเป็นของเขาก็ไม่ได้แย่ เพราะสุดท้ายแล้วเราก็เป็นผู้ชายเหมือนๆ กัน ไม่ท้องหรอกน่า จริงไหม... และถ้าเกิดท้องได้ขึ้นมา ผมเชื่อว่าคนๆ นี้จะรับผิดชอบด้วยชีวิตทั้งหมดที่เหลืออยู่

"ให้ผม... เป็นของพี่นะครับ"
กระดากอายเกินกว่าจะสู้หน้าเลยได้แต่ก้มลงซบเข้ากับลาดไหล่กว้าง แอบสูดกลิ่นประจำตัวของเขาเข้าไปหนึ่งช่วงลมหายใจ นี่ขนาดยังไม่ได้อาบน้ำทำไมถึงมีกลิ่นหอมล่ะ หึหึ ผมคงบ้าไปแล้วสินะ

"น่ารักจังครับ... แต่พี่ยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันเลยนะ"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วก้มหน้าลงมาจูบกลางกระหม่อม ผมผงกหัวขึ้นก่อนจะใช้มือดึงจมูกของเขาแรงๆ ด้วยความหมั่นไส้ คนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มใครสนเรื่องนั้นวะ เสียอารมณ์ชะมัด แต่สุดท้ายผมก็ขำตามอยู่ดี

"งั้นให้เวลาสิบนาทีครับ ถ้าเกินผมไม่ยอมแล้วจริงๆ ด้วย"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงทะเล้นก่อนจะแกล้งขย่มตัวตรงช่วงหน้าตักของเขาแล้วกระโดดลงจากเตียงเมื่อมือปลาหมึกกำลังจะคว้าเอว พี่ทาร์ตถึงกับขมวดคิ้วแล้วเด้งตัวขึ้นมา มีเซเล็กน้อยเพราะพิษไข้อ่อนๆ น่าสงสารจัง แต่หมั่นไส้คนหื่นมากกว่า

"แสบนักนะแฟน"
พี่ทาร์ตบ่นแล้วชี้หน้าคาดโทษผมไว้ เชื่อเถอะว่าเขาอาบน้ำแค่ห้านาทีและตะไม่เสียเวลาแต่งตัวให้ยุ่งยาก เพราะไหนๆ ก็ต้องถอดออกอยู่ดี

"เอ้า ผมเริ่มจับเวลาแล้วนะ ช้าอดไม่รู้ด้วย หึหึ"
ผมแกล้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจับเวลา  พี่ทาร์ตเลยรีบดีดตัวลงจากเตียงแล้วเดินตรงเข้าห้องน้ำอย่างทุลักทุเล ยังไม่หายดีทำไมหื่นแบบนี้นะ ถ้าเขาเผลอหลับกลางอากาศเหมือนครั้งที่แล้วอีกผมไม่ยอมจริงๆ ด้วยว่ะคราวนี้ อย่าหวังว่าจะได้กินไอ้ปูนอีกเลย หึ

อากาศหนาว เป็นสิ่งแรกที่สมองคิดได้เมื่อเสื้อผ้าของผมถูกปลดเปลื้องโดยเขาที่คร่อมกันอยู่ด้านบน พี่ทาร์ตมีเพียงผ้าขนหนูสีขาวผืนเดียวปกปิดร่างกาย กล้ามหน้าท้องเป็นลอนๆ ช่างน่าอิจฉา ชาตินี้ทั้งชาติผมคงไม่มีมันหรอก

"หนาว..."
ผมครางเสียงแผ่วแล้วใช้มือปกปิดร่างกายด้วยความอายเพราะพี่ทาร์ตใช้สายตาโลมเลียกันจนรู้สึกวาบหวิวไปหมด เขายกยิ้มเล็กน้อยแล้วโน้มตัวลงมากระซิบถ้อยคำที่ทำให้อุณหภูมิร่างกายพุ่งสูงปรี๊ด

"เดี๋ยวพี่จะ 'กอด' แฟนให้อุ่นเองครับ"
สิ้นประโยคชวนวาบหวิว มือร้อนถูกส่งมาประคองใบหน้ากันก่อนที่ริมฝีปากจะทาบทับลงมาอย่างนุ่มนวล บดเบียดกันช้าๆ ค่อยๆ ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อลิ้นชื้นสอดแทรกเข้าไปด้านใน ความชำนาญของพี่ทาร์ตทำให้ผมอ่อนระทวยราวกับขี้ผึ้งลนไฟ แขนสองข้างคล้องคอเขาไว้อย่างต้องการที่ยึดเหนี่ยว อ่า... ทำไมถึงรู้สึกว่าเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆสีขาวกันนะ มีความสุขเหลือเกิน

สองร่างกอดก่ายกันด้วยความรักและแรงปรารถนา ครั้งแรกของผมจะเจ็บไหมนั่นคือความกังวลที่รบกวนตลอด จนเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรเย็นๆ จากทางด้านหลังความคิดทุกอย่างก็ชะงักกึก ใบหน้าชื้นนิ่วลงเพราะรู้สึกแปลกประหลาดปวดแปลบไม่คุ้นชิน

"อะ..."
ผมร้องออกมาก่อนจะเม้มปากแน่นเมื่อมันเสียงมันน่าอาย แถมยังไม่กล้าสบตากับคนที่กระทำการอุกอาจโดยให้เจลหล่อลื่นสูตรเย็นป้ายทางด้านหลัง... จะทำให้คลั่งไปถึงไหนครับพี่ทาร์ต แค่นี้ก็จะละลายเป็นของเหลวอยู่แล้ว เห็นใจกันบ้างสิ

"เม้มปากทำไมครับ ไม่ต้องกลั้นเสียงหรอก พี่อยากฟัง"
น้ำเสียงนุ่มๆ เอ่ยบอกกันก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะแนบลงบนแอ่งสะดื้อให้ผมสะดุ้ง ความวาบหวามเกิดขึ้นทันทีส่งผมให้อารมณ์ปั่นป่วนไปหมด ไม่ไหว ไม่ไหวแล้วจริงๆ อึดอัดจนแทบบ้า

"อายจะตาย อึก"
ผมพูดได้แค่นั้นเมื่อรู้สึกว่านิ้วของเขาเริ่มขยับช้าๆ อยู่ในตัว สายตาที่จ้องมองมานั่นราวกับสิงโตที่พร้อมจะเขมือบเหยื่อเข้าไปทั้งตัว... ถ้าเปลี่ยนใจตอนนี้คงไม่ทันแล้ว ถึงแม้ว่าครั้งแรกจะเจ็บ แต่เชื่อว่าความรักจะเยียวยามันได้อย่างดี

"เด็กดี ถ้าไม่ไหวบอกพี่นะ จะหยุดให้"

"อ๊ะ มะ ไม่เป็นไรครับ ทำต่อเลย"
เหมือนเป็นคำอนุญาตให้เขาทำตามใจชอบ ผมไม่ว่าอะไรถ้าหากอยู่ๆ เขาจะรุนแรงขึ้นมา เพราะเมื่อคนเรามีอารมณ์เรื่องเซ็กซ์สติสัมปชัญญะในการยับยั้งจะน้อยลงเท่าตัว ถึงจะไม่เคยมีประสบการณ์แต่ก็เข้าใจในเมื่อเราก็ต่างเป็นผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น

กิจกรรมอันร้อนแรงดำเนินต่อไปไม่รู้นานเท่าไหร่ แต่จำได้ว่าครั้งแรกที่เขาเข้าไปในตัวนั้นเจ็บแทบจะขาดใจ มือจิกลงบนแผ่นหลังของพี่ทาร์ตอย่างแรงจนได้กลิ่นของคาวเลือดจางๆ ยิ่งเริ่มขยับผมก็ยิ่งลงแรงมากขึ้น แต่เขาพร่ำบอกว่าระบายได้เต็มที่เลย ไม่ต้องห่วงอะไร ผ่านไปชั่วอึดใจความเสียวซ่านก็เข้ามาแทนที่จนร่างกายบิดเร่าไปหมด... อ่า นี่สินะการขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ด ที่ใครๆ ชอบพูดกัน แต่รู้อะไรไหม เมื่อลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งก็เจอเข้ากับนรกขุมใหญ่ ปวดร้าวไปทั้งตัวโดยเฉพาะสะโพก แม่งเอ้ย เหมือนโดนรถชนเลย




ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 24 -P.5- (13/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 13-06-2017 09:17:15
"อึก..."
ผมเม้มปากแน่นเมื่อลองขยับตัวเพื่อจะลงจากเตียง ความเจ็บแล่นริ้วไปทุกส่วนของร่างกายจนน้ำตาเล็ด เมื่อครู่ยังอยู่บนสวรรค์แล้วทำไมตอนนี้ตกนรกวะแม่ง

"เฮ้ยๆ อย่าขยับดิปูน"
พี่ทาร์ตส่งเสียงห้ามกันมาแต่ไกล ผมเพิ่งสังเกตว่าเขาเพิ่งเข้ามาทางประตูห้องนอน ใบหน้าหล่อเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ในมือของเขาถือถุงอะไรบางอย่างเอาไว้ อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าหายไปไหนมา

"เจ็บ"
ผมบอกเขาสั้นๆ ด้วยดวงตาที่มีน้ำใสๆ คลอหน่วย ไม่ได้อยากร้องไห้แต่มันเจ็บมากต่างหาก พี่ทาร์ตตรงเข้ามาหากันแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอย่างแผ่วเบา คงกลัวมันจะกระทบกระเทือนล่ะมั้ง

"ขอโทษนะครับที่ทำให้เจ็บ"
พี่ทาร์ตมีสีหน้าสำนึกผิด เขาก้มลงมาจูบหน้าผากกันอย่างแผ่วเบาคล้ายกำลังปลอบประโลมอาการเจ็บ ผมคลี่ยิ้มบางก่อนจะใช้มือวางทาบลงบนแก้มสากตรงหน้า ไม่ใช่ความผิดใครสักหน่อย จะขอโทษกันทำไม

"ขอโทษทำไมล่ะครับ ไม่ได้ทำอะไรผิด"
ถึงจะพูดได้ไม่เต็มเสียงนักเพราะเจ็บช่วงล่างแต่ผมใช้ดวงตาสื่อความหมายว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆ เข้าใจคำว่าสมยอมและไม่ห้ามปรามปะ ตอนมีอารมณ์จะรุนแรงมากแค่ไหนผมก็โอนอ่อนตามหมดล่ะ ก็มีความสุขนี่...

"แต่ปูนเจ็บ..."
เขายังไม่วายส่งสายตารู้สึกผิดมาให้กันขนผมต้องดึงจมูกของคนคิดมากเบาๆ

"ครั้งแรกมันก็เจ็บอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ถึงพี่จะทำเบาแค่ไหนก็เถอะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ก็แอบซี๊ดปากอยู่เหมือนกันเพราะเผลอออกแรงขยับมากไปหน่อย ตอนนี้แม่งถ้าปวดหนักขึ้นมาคงไม่กล้าถ่ายจริงๆ

"แต่..."
พี่ทาร์ตยังคงไม่หยุดแสดงสีหน้าแบบนั้นจนผมต้องใช้นิ้วตัวเองแตะปากของเขา ฟันคนอื่นแล้วรู้สึกผิดตลอดหรือเปล่าวะ ถ้าเป็นกับคู่นอนที่ผ่านมาแล้วทุกคน ผมคงรู้สึกแย่มากๆ เลยล่ะ

"ไม่แต่แล้วครับ เมื่อกี้หายไปไหนมาเหรอ"
ผมเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครูเขามาจากด้านนอก ในมือยังคงถือถุงสีขาวแซมสีเขียว คล้ายกับยา...

"อ๋อ ไปซื้อยามาให้น่ะ มีแก้อักเสบแล้วก็ยาทา"
พี่ทาร์ตบอกแล้วหยิบของให้ถุงออกมาโชว์ มันเป็นยาแคปซูลสีหวานกับหลอดยา ตอนไปซื้อต้องบอกเภสัชกรแบบไหนวะ ไม่อายเหรอ อยากถามแต่เก็บไว้ก่อนดีกว่า กลัวตัวเองจะอายจนระเบิดตูมขึ้นมาเมื่อได้คำตอบ

"อ่า... ขอบคุณนะครับ"
ผมเอ่ยขอบคุณแล้วหลับลงเพราะความเหนื่อยล้า อยากนอนต่ออีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วค่อยลุกขึ้นมาอาบน้ำ แต่ประโยคที่พี่ทาร์ตพูดออกมาทำให้ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง... ฉิบหายแน่ๆ

"เดี๋ยวพี่ทายาให้เนอะ แล้วเดี๋ยวกินข้าวเสร็จค่อยกินยา"
เขาบอกด้วยน้ำเสียงปกติแถมเปิดหลอดยาเตรียมบีบ ผมถึงกับลืมตาโพลงแล้วเอื้อมมือไปรั้งทันทีก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรลงไป

"ดะ เดี๋ยวครับ ผมทาเองดีกว่า"
ผมละล่ำละลักบอกออกไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่พี่ทาร์ตกลับขมวดคิ้วแล้วขยับหลอดยาหนีกันดื้อๆ ดวงตาคมจ้องมองมาอย่างไม่เข้าใจ โอย... จะทำยังไงดีวะเนี่ย

"ดียังไง ปูนมองเห็นซะที่ไหนกัน"
พี่ทาร์ตบอกเสียงแข็งแถมด้วยทำตาดุใส่กัน ผมได้แต่เบือนหน้าหนีเพราะที่เขาพูดมามันถูกทั้งหมด แต่ว่า...

"มะ ไม่เอานะพี่ทาร์ต ให้ผมทำเองเถอะ"
ผมยังคงดื้อดึงจะทำเองเพราะมีเหตุผลบางอย่างที่มันน่าอายเอามากๆ ยังไงล่ะ

"อย่าดื้อสิครับ"
พี่ทาร์ตมองกันด้วยสายตาเป็นห่วงแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวกันเบาๆ รู้ว่าเขาหวังดี แต่... เฮ้อ โอย ไม่น่าเลยกู ทำไมต้องมีความรู้สึกแบบนี้ด้วยวะ

"ไม่ได้ดื้อนะ แต่เกรงใจ"

"มันมีอะไรที่ต้องเกรงใจอีกวะ มาถึงขึ้นนี้แล้วนะเมีย"
คำพูดของพี่ทาร์ตทำให้ผมสะดุ้งโหยงไม่พอยังต้องซี๊ดปากอีก เจ็บเพราะขยับตัวและอายเพราะคำว่า 'เมีย' แม่ง ครั้งเดียวเลื่อนสถานะเลยเหรอ เป็นแฟนเหมือนเดิมได้หรือเปล่าอะ

"พี่แม่ง... เรียกผมแบบนั้นได้ไง"
ผมประท้วงเสียงเบาแล้วหยิบหมอนอีกใบมาปิดหน้าเอาไว้ แค่นอนซมเพราะโดนจัดหนักก็อายจะแย่ ไหนต้องมากน้าร้อนเพราะสรรพนามที่ใช้เรียกอีก

"เอ้า ก็มันเรื่องจริงนี่ครับ"
เขาพูดแบบไม่สะทกสะท้านแถมยังส่งรอยยิ้มหวานๆ มาให้ จากที่จะขว้างหมอนใส่กลับกลายเป็นว่าต้องเลื่อนปิดทั้งหน้าเหมือนเดิม โอย พลาดครั้งเดียวพังทั้งชีวิต ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่มันอายเว้ย เป็นผู้ชายแต่โดนเรียกว่าเมีย... ฮือ

"เออๆ จะเรียกอะไรก็ตามใจเลย แต่เอายามาให้ผมเถอะ"
ผมไม่อยากจะเถียงกับเขาเลยเปลี่ยนเรื่องกลับมาเป็นทวงหลอดยาต่อ

"ไม่ครับ"
น้ำเสียงหนักแน่นมาก

"พี่ทาร์ตอะ"
ผมเริ่มใช้เสียงอ้อนๆ แล้วขยับเข้าไปกอดแขนทั้งๆ ที่ปวดช่วงล่างแทบขาดใจ นี่พยายามสุดชีวิตแล้วนะ ยอมๆ สักทีเหอะ แค่ทายาเองเว้ย

"ปูน... ไม่ดื้อครับ"
เสียงแข็ง ตาดุกว่าเดิมอีก ท่าทางจริงจังแบบนี้ของเขา ยังไงๆ คงไม่ยอมอ่อนข้อให้กันแน่ๆ ผมเม้มปากแน่นก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเมื่อตัดสินใจพูดความจริงที่เป็นเหตุผลต้องดื้อ

"เปล่า... แค่กลัวว่าเดี๋ยวจะเผลอมีอารมณ์ขึ้นมาอีกอะ ถ้าเป็นแบบนั้นต้องแย่แน่ๆ"
ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังมากนัก ก่อนจะงับปากลงบนหมอนแล้วช้อนตามองพี่ทาร์ตอย่างขอร้อง เพราะความรู้สึกตอนนี้มันยังหวิวๆ ถ้าโดนปลุกอีกคงไม่พ้นเกิดกิจกรรมเข้าจังหวะอีกรอบแน่ๆ ไม่ไว้ใจตัวเองเว้ย

"เอ่อ... พี่เข้าใจแล้วครับ งั้นปูนทายาเองก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปยกถอดอาหารขึ้นมาเนอะ"
พี่ทาร์ตทำหน้าอึ้งๆ แถมยังพูดตะกุกตะกักจนหน้าแดง เขาลุกขึ้นยืนตัวตรงทันทีเพราะจะไปทำตามที่พูดเอาไว้ แต่คิดเกรอว่าผมจะปล่อยโอกาสดีๆ ให้หลุดลอย ขอแกล้งให้เขินมากกว่าเดิมเถอะ... เอาคืนซะหน่อยแล้วกัน

"ครับผม พี่ทาร์ต..."
ผมรั้งเขาด้วยเสียงอ้อนๆ พี่ทาร์ตหันขวับกลับมาด้วยใบหน้าที่ยังแดงเหมือนเดิม ท่าทางอึกอักของเขาทำให้รอยยิ้มเล็กๆ ของผมผุดขึ้น

"ครับ"
เขาตอบรับกลับมาเสียงสั่น

"รักนะ"
ผมบอกรักเขาด้วยน้ำเสียงชัดเจนแล้วขยำหมอนในมือแน่น จะแกล้งให้เขาเขินแต่ดันเขินซะเอง ไอ้อ่อนเอ้ย

"รักเหมือนกันครับ"
พี่ทาร์ตบอกรักกลับมาพร้อมรอยยิ้มเขินๆ ผมก็ตายสิครับ แฟนใครวะ โคตรน่ารัก!





--------------------------------------------

พี่ทาร์ตทำความฝันสำเร็จแล้วนะ? 55555555
น้องปูนเอ้ย เป็น 'เมีย' มันเปลี่ยนไม่ได้นะลูกนะ

ปล. ตอนหน้าตอนสุดท้ายแล้วนะ + บทส่งท้าย 1 บทจะจบแล้ว
หลังจากนี้คงรวบรวมต้นฉบับส่ง สนพ อีกเหมือนเดิม
สาธุ ขอให้ผ่านๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 24 -P.5- (13/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 13-06-2017 09:51:48
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
ในที่สุดปูนก็เสร็จพี่ทาร์ตจนได้  :z1: :z1: :z1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 24 -P.5- (13/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: gookgik ที่ 13-06-2017 09:54:10
พี่ทาร์ตขนาดเป็นไข้ ยังจัดการปูนเรียบร้อยโรงเรียนพี่ทาร์ต  ขอยกนิ้วให้ o13
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 25 -P.5- (19/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 19-06-2017 12:36:24
(http://i.imgur.com/dAwqB2k.png)


สูตรที่ 25

Strawberry Chocolate Tart
: โอรีโอ้/เนยจืดละลาย/ดาร์กช็อกโกแลต/วิปปิ้งครีม/สตรอเบอร์รี่ :



เวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วแต่ผมยังไม่ได้นอนเพราะยังไม่สามารถจัดกระเป๋าเดินทางได้อย่างลงตัว หยิบนั่นออกใส่นี่เพิ่มมาราวๆ สองชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เสร็จสักที จนพี่ทาร์ตที่นั่งอ่านเอกสารอยู่บนเตียงต้องลงมาช่วย

"เมื่อไหร่จะเสร็จครับแฟน ใกล้เที่ยงคืนแล้วนะ"
พี่ทาร์ตทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นฝั่งตรงข้ามกัน วันนี้พอเขากลับจากที่ทำงานก็ตรงมาหาผมที่บ้านทันที เพราะพรุ่งนี้ต้องไปเรียนซัมเมอร์ที่เกาหลีและต้องห่างกันไปอีกหนึ่งเดือน ถือว่าเป็นระยะวัดใจหลังคบกันมาเกือบหนึ่งปี

"ก็คิดอยู่ว่ามันควรเอาไปหรือไม่เอาไปดีอะ"
ผมหยิบหนังสือนิยายแล้วพลิกไปมาก่อนจะวางลงที่เดิม ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรเอาไปอ่านฆ่าเวลาตอนนั่งเครื่องหรือเปล่า กลัวจะเอาไปลืมไว้ที่เกาหลีเพราะมันเป็นเรื่องโปรด หาซื้อตามร้านก็ไม่ได้แล้วด้วย

"ไม่ต้องเอาไปหรอก ขึ้นเครื่องก็ควรนอนพักผ่อนมากกว่า"
พี่ทาร์ตหยิบหนังสือเอาไปตั้งบนโต๊ะแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวกันด้วยรอยยิ้ม ผมมองอย่างชั่งใจก่อนพยักหน้ารับ นอนก็นอนวะ แต่เชื่อสิว่าไอ้กู๊ดไม่ปล่อยกันง่ายๆ หรอก ครั้งนี้ก็ได้ที่นั่งติดกันอีกแล้ว ส่วนไนน์ก็ตัวติดเป็นปาท่องโก๋กับแฟนเหมือนเดิม

"อื้อ ไม่เอาก็ได้ พรุ่งนี้ไปส่งผมหรือเปล่า"
ผมช้อนตามองเขาด้วยแววตาอ้อนๆ เพราะคราวที่แล้วพี่ทาร์ตไม่ได้ไปส่งกัน

"อืม... ไปดีไหมครับ"
พี่ทาร์ตถามกลับมาด้วยใบหน้าที่ยกยิ้มเล็กน้อย แต่ผมเข้าโหมดอึมครึมแล้วล่ะ ทำไมต้องถามกลับด้วยทั้งๆ ที่ต้องการคำตอบ

"ให้ตอบนะ ไม่ใช่มาถามกลับแบบนี้"
ผมปัดมือพี่ทาร์ตทิ้งแล้วหันไปล็อกกระเป๋าเดินทางแล้วขยับตัวขึ้นเตียงโดยทำเป็นเมินเขา หลายวันมานี้พูดกันแทบนับคำได้เพราะต่างคนต่างยุ่ง พอมีเวลาก็กวนตีนกันอีก เซ็งจริงๆ เลย

"งอนเหรอคนดีของพี่"
เขาขยับตัวขึ้นมานั่งบนเตียงแล้วสอดมือกอดผมจากด้านหลังก่อนที่คางมนๆ จะมาลงมาบนลาดไหล่คล้ายกับกำลังอ้อน แต่จะยอมใจอ่อนง่ายๆ ไม่ได้ เดี๋ยวเสียนิสัยกันพอดี

"ไม่ได้งอน"
ผมตอบน้ำเสียงแข็งแล้วหลบเลี่ยงปลายจมูกซุกซนของเขาที่เอาแต่จะไซร้ซอกคอกัน ง้อแบบนี้พี่ทาร์ตแม่งได้กำไรเต็มๆ

"อื่อ ไอ้พี่ทาร์ต หยุดเลยนะ"
ผมส่งเสียงประท้วงเมื่อเขากดริมฝีปากลงบนซอกคอจนได้แล้วดูดดึงจนรู้สึกเจ็บ พรุ่งนี้ถ้ามันเป็นรอยแดงจะทำยังไง แม่ง เอาพลาสเตอร์ปิดก็ยิ่งเด่น ไอ้กู๊กได้ล้อยันแก่แน่ๆ

"หยุดแน่ครับถ้าเลิกโกหกพี่"
เขาพูดจบก็เป่าลมใส่หูกันเบาๆ แถมท้ายด้วยการขบเม้มติ่งหู ผมสะดุ้งเฮือกเพราะรู้สึกตัวร้อนวูบวาบคล้ายกำลังจะมีอารมณ์ ช่วงนี้กระตุ้นนิดๆ หน่อยๆ ก็เคลิ้มตามพี่ทาร์ตแล้ว บ้าจริง

"เออๆ ก็งอนนิดหนึ่ง ตกลงว่าไม่ไปส่งกันจริงๆ ใช้ปะครับ"
ผมยอมแพ้แล้วรีบพูดทุกอย่างที่คิดออกไปจนหมด เพราะกลัวว่าเขาจะเล่นอะไรแผลงๆ พี่ทาร์ตส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกดปลายจมูกลงมาบนแก้มแล้วสูดลมหายใจฟอดใหญ่ เกลียดไอ้ทักษะการฉวยโอกาสขึ้นเทพนี่จริงๆ เลย อยู่ใกล้กันทีไรผมเป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกที

"พรุ่งนี้พี่ติดประชุมบอร์ดบริหารน่ะ ขอโทษจริงๆ ครับ"
พี่ทาร์ตเอ่ยขอโทษกันเพราะเขาเพิ่งรู้ว่ามีประชุมพรุ่งนี้หลังจากรับปากไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่กำหนดเวลายังไม่ออกแน่นอนเลยทำให้ผมงอแงอยู่แบบนี้ รู้ว่าตัวเองกำลังงี่เง่า แต่จะไม่ได้เจอกันหนึ่งเดือนเลยหวั่นๆ

"อือ... ขอโทษครับ ผมงี่เง่าอีกแล้ว"
ผมเอ่ยขอโทษเขากลับไปเมื่อทบทวนอะไรหลายๆ อย่างแล้ว ไม่อยากทำให้หนักใจและคิดกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องขณะที่เขาต้องทำงาน

"ปูนตั้งนาฬิกาปลุกหรือยัง"
พี่ทาร์ตผละอ้อมกอดออกแล้วดึงตัวผมให้นอนลงพร้อมๆ กับเขา เรากอดกันอยู่แบบนั้น และไม่คิดว่าจะปล่อยจนเช้า...

"หึ ยังไม่ตั้งครับ อยากให้พี่ทาร์ตเป็นคนปลุก"
ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะขยับตัวไปซุกอกแกร่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สาเหตุหลักไม่ใช่เพราะต้องการไออุ่นแต่เป็นการปิดบังความอายต่างหาก อยากตีปากตัวเองสักสิบครั้งที่หลุดพูดอะไรแบบนั้นออกไป

"แต่นาฬิกามันก็ต้องปลุกพี่นะปูน ถ้าขืนนอนเพลินกันจะตกเครื่องเอา"
พี่ทาร์ตว่าเสียงกลั้วหัวเราะแล้วขยี้หัวกันเบาๆ ผมถึงกับส่งเสียงจิ๊จ๊ะเพราะโดนขัดใจ คล้ายจะกวนตีนแต่มันคือเรื่องจริงที่ต้องทำ ไม่ตั้งนาฬิกาปลุกชีวิตอาจจะบรรลัยก็ได้

"ตกก็ดีนะ ผมขี้เกียจไป"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก การไปเรียนซัมเมอร์มันสนุกดี ได้เพื่อนใหม่ๆ เยอะ แต่บางทีก็เบื่อเพราะคิดถึงคนที่บ้าน...

"ได้ไงครับ นั่นเรียนซัมเมอร์นะ เดี๋ยวก็ไม่จบหลักสูตรหรอก"
พี่ทาร์ตใช้น้ำเสียงดุๆ เตือนกันจนผมต้องช้อนตามองด้วยความน้อยใจ ทำไมต้องจริงจังด้วยวะ ทั้งๆ ที่ผมพยายามจะเล่นเพื่อคลายอาการคิดมากของตัวเอง บางทีก็กลัวเขาไปเจอคนใหม่ๆ แล้วเกิดถูกใจ

"ไม่ดุดิ แค่ล้อเล่นเอง"
ผมยืดตัวขึ้นไปจุ๊บปลายคางของพี่ทาร์ตก่อนจะกลับมาซุกหน้าที่อกของเขาเหมือนเดิม ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ หลุดออกมา คงชอบใจล่ะมั้งที่เจอไอ้ปูนโหมดลูกหมาอ้อน นี่ไปจำๆ จากไอ้ขนมมาเลยนะ

"ครับๆ ไม่ดุก็ได้ แล้วปูนง่วงหรือยังพี่จะได้ปิดไฟ"

"ง่วง แต่ยังไม่อยากนอน"
ผมยังคงออกอาการอ้อนเขาต่อทั้งๆ ที่หนังตาจะปิดอยู่รอมร่อ แถมยังต้องตื่นเช้าเพื่อไปขึ้นเครื่องที่สนามบินอีก เดือดร้อนแม่ต้องไปส่งด้วย

"ทำไมล่ะ"
พี่ทาร์ตถามกลับก่อนจะใช้มือหนาลูบแก้มกันเบาๆ ผมหลับตาลงเพื่อให้สัมผัสนั้นชัดเจนขึ้น อยากจดจำเอาไว้ให้คิดถึงเวลาต้องห่างกัน

"ก็... พรุ่งนี้ต้องห่างกันแล้วนี่หว่า มันไม่ชิน"
ผมบ่นเสียงงุ้งงิ้งแล้วกระชับอ้อมแขนตัวเองให้แน่นขึ้น ปกติทำตัวเป็นปาท่องโก๋ตลอด แต่พอไปเรียนซัมเมอร์หน้าก็ไม่ได้เจอ สัมผัสก็ไม่ได้สัมผัส โคตรไม่ชินเลยจริงๆ

"แค่เดือนเดียวเองน่า จิ๊บๆ พี่สัญญาว่าจะคิดถึงปูนทุกวันเลย ดีปะ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแล้วชูนิ้วก้อยตรงหน้า ผมมองนิ่งก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา พี่ทาร์ตคิดว่าแฟนตัวเองอายุกี่ขวบวะนั่น

"พูดอย่างกับผมเป็นเด็กๆ ไปได้"

"อ้าว ไม่อยากให้คิดถึงเหรอ"
พี่ทาร์ตถามกลับด้วยน้ำเสียงแปลกใจแล้วใช้นิ้วก้อยจิ้มแก้มกัน ถ้าใครมาเห็นคงอิจฉา แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าผมทรมานหัวใจมากแค่ไหนเวลาอยู่ใกล้เขา อะไรๆ ก็พาลขัดเขินทำตัวไม่ถูกสักที ไม่ชินเลย

"อยากดิ แต่มันดูปัญญาอ่อนอะ"

"หึ เจ้าเด็กน้อยขี้งอแง"
พี่ทาร์ตจับใบหน้าของผมไว้แล้วกดจูบลงมาหนักๆ ด้วยความมันเขี้ยวจนต้องร้องประท้วง ถ้าปล่อยไว้นานๆ เชื่อว่าคืนนี้จะไม่ได้นอนไปตามระเบียบ

"อื้อ อะไรเล่า"
ผมยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเมื่อพี่ทาร์ตยอมผละตัวออกไป และทำเพียงส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้กัน

"ตั้งใจเรียน เวลาผ่านไปไวจะตาย เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนจะขยับเข้ามาใกล้จนปลายจมูกชนกัน ผมมองตาเขาก่อนจะกดจูบลงบนริมฝีปากเบาๆ คงคิดถึงแย่เลยว่ะ

"อือ ก็ได้..."

"เก่งมาก"
พี่ทาร์ตเอื้อมมือมาขยี้หัวผมก่อนที่เราจะกอดกันนอนหลับไปตลอดทั้งคืน

นาฬิกาปลุกแผดเสียงดังลั่นห้องแต่ผมยังเอาแต่ซุกตัวเข้ากับอกแกร่งเพราะไม่อยากตื่น พี่ทาร์ตขยับตัวเอื้อมมือไปปิดมันก่อนจะกดปลายจมูกลงมากลางกระหม่อม

"ตื่นได้แล้วครับ"
น้ำเสียงงัวเงียเอ่ยบอกกันแทบฟังไม่รู้เรื่อง ผมอยากจะนอนต่อแต่จำใจต้องตื่นเพราะไม่อยากทำให้พี่ทาร์ตเสียเวลาในการนอน เขามีประชุมช่วงเช้าเลยอยากให้ออมแรงไว้

"อือ ผมไปอาบน้ำแล้วนะ พี่นอนต่อเถอะ"
ผมผละออกจากอ้อมกอดแล้วลุกขึ้นขยี้ตาเบาๆ พี่ทาร์ตใช้มือแตะต้นแขนกันทำให้ต้องหันไปมอง

"ครับ มีอะไรเหรอ"
ผมถามออกไปแต่ได้รับคำตอบเป็นการที่พี่ทาร์ตยันตัวลุกขึ้นมาแตะปากกันไม่นานก่อนจะผละออกไปแล้วส่งยิ้มหวานมาให้

"เดินทางปลอดภัยนะที่รัก"

"อะ ครับ"
ผมตอบได้แค่นั้นก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากของพี่ทาร์ตแทนคำขอบคุณก่อนจะลงจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัว

ระหว่างทางไปสนามบินผมนั่งแทะแซนวิชอย่างเหม่อลอย อยากให้แม่ยูเทิร์นรถกลับบ้านใจจะขาด รอบนี้ทำไมรู้สึกว่าเกาหลีมันน่าเบื่อ ทั้งๆ ที่ผ่านมาอยากไปแทบตาย

"ปูนคะ เป็นอะไรหรือเปล่า"
แม่ถามกันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนผมต้องละสายตาจากวิวข้างทาง แซนวิชในมือถูกงับเข้าปากคำโตเพื่อปกปิดอารมณ์ตอนนี้ก่อนจะส่ายหน้าเพื่อยืนยันว่าไม่เป็นอะไร เพราะไม่อยากให้แม่เป็นกังวล

"ไม่ลืมอะไรไว้ใช่หรือเปล่า ถ้าลืมแม่เอาไปให้ถึงเกาหลีไม่ได้นะ"

"อื้อ... ไม่ลืมหรอกครับ"
ความจริงอยากตอบว่าลืมใจไว้ที่พี่ทาร์ตก็กลัวว่าแม่จะไล่ลงจากรถ

"อื้ม ตั้งใจเรียนล่ะ อย่ามัวเถลไถล เข้าใจไหม"

"ครับผม วางใจได้เลย"

หลังจากที่แยกจากแม่ผมก็ลากกระเป๋าเดินทางใบโตไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ก่อนจะพากันไปเช็คอินและขึ้นเครื่อง คราวนี้ไอ้กู๊ดดูท่าทางจะตื่นเต้นกว่าปกติ หรือเพราะผมอารมณ์ไม่คงที่กันแน่ว่ะ เลยเห็นอะไรๆ น่าเบื่อไปซะหมด

"ปูน..."
ไอ้กู๊ดส่งเสียงเรียกกันเมื่อเครื่องบินขึ้นได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ผมไม่ได้หันไปสนใจเพื่อนแต่จ้องมาเมฆปุยๆ ด้านนอกหน้าต่าง เผื่อบางครั้งอาจจะทำให้ความคิดวุ่นวายในหัวหายไป

"อือ"
ผมตอบรับแค่สั้นๆ แล้วใช้มือเท้าคางเอาไว้เมื่อเริ่มรู้สึกเบื่อ เพิ่งแยกจากพี่ทาร์ตไม่เท่าไหร่แต่กลับคิดถึงเขาขึ้นมา แย่จริงๆ

"เป็นอะไรของมึง ไม่พูดไม่จา"
น้ำเสียงของไอ้กู๊ดเจือไปด้วยความห่วงใย มันแตะมือลงบนไหล่คล้ายกำลังปลอบประโลม ผมถอนหายใจเบาๆ แต่ไม่ยอมละสายตาไปไหน มองท้องฟ้าก็เพลินดีเหมือนกัน หลีกหนีความวุ่นวายของบรรดาเพื่อนๆ ร่วมทางได้ดี

"เบื่อๆ อะ"

"แปลก ปกติมึงต้องตื่นเต้นดิ ไปเกาหลีนะเว้ย"
น้ำเสียงแปล่งๆ แบบไม่อยากเชื่อคำพูดดังขึ้น ไม่แปลกพี่ไอ้กู๊ดจะมีอาการแบบนี้ เพราะโดยปกติแล้วผมจะตื่นเต้นกับการไปเยือนเกาหลีมากกว่าใคร เพราะชอบศิลปินที่นั่นมาก แต่ครั้งนี้ความรู้สึกต่างออกไป สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นกลับกลายเป็นแฟนของตัวเอง

"อือ"

"เดี๋ยวๆ มึงลืมเอาวิญญาณมาเหรอ"
ไอ้กู๊ดเอื้อมมือมาประคองหน้ากันและบังคับให้สบตา ผมพ่นลมหายใจเบาๆ ใส่มันก่อนจะสะบัดออก ทำไมต้องมากวนตอนอารมณ์ไม่ปกติด้วยวะ

"ก็เบื่อไง"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายแล้วแสร้งหยิบนิตยสารที่เสียบอยู่ตรงเบาะด้านหน้าขึ้นมาอ่าน ไม่อยากสบตาไอ้กู๊ดตอนนี้เพราะกลัวว่ามันจะจับความรู้สึกบางอย่างได้ เพราะยังไม่อยากโดนตอกย้ำและโดนแซว

"เบื่ออะไรของมึง"
ไอ้กู๊ดถามย้ำด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายพอกัน เข้าใจว่ามันเป็นห่วง แต่ผมไม่อยากทำตัวเป็นเด็กงอแงงี่เง่าในสายตาของใครๆ ทั้งนั้น บางทีก็กลัวว่ามันจะเอาเรื่องไปบอกพี่ทาร์ตแล้วทำให้เขากังวล

"เออน่า อย่ากวน"
ผมบอกปัดๆ ไปเพราะไม่อยากพูดอะไรมาก ขี้เกียจจะโดนเพื่อนเทศนาชุดใหญ่เพราะรู้ว่าตัวเองกำลังออกอาการงอแงเหมือนเด็กๆ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย พี่ทาร์ตเป็นแฟนคนแรก จะคิดถึงก็ไม่แปลกหรือเปล่า...

"หรือว่าเบื่อที่ต้องอยู่ห่างกับพี่ทาร์ตเป็นเดือนๆ"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ดวงตาทอประกายระยิบระยิบราวกับจับความรู้สึกกันได้ ผมทำได้เพียงเบ้ปากใส่มันเพราะไม่รู้จะเถียงความจริงข้อนั้นยังไง สุดท้ายก็ต้องยอมรับชะตากรรม

"รู้ดีนะมึง"
ผมพูดเสียงเหน็บแนมแล้วเบนสายตากลับไปมองท้องฟ้าได้นอก รูปร่างประหลาดๆ ของก้อนเมฆทำให้เราจินตนาการไปได้หลายอย่าง แต่มันไม่ได้ลดอาการคิดถึงใครบางคนลงเลย แย่เนอะ

"กูเพื่อนมึงนะปูน อย่าเป็นเด็กขี้งอแงสิวะ เดือนนึงมันแป๊ปเดียวเองเหอะ"
ไอ้กู๊ดเอื้อมมือมาตบบ่ากันเบาๆ เหมือนให้กำลังใจ ผมหันไปมองแล้วพยักหน้ารับแกนๆ ก็พยายามไม่งอแงอยู่นี่ไง มึงอย่าพูดย้ำมากๆ สิวะ เดี๋ยวร้องใส่แม่งเลย

"เออๆ พยายามอยู่ แล้วมึงล่ะ หน้าบานเป็นกระด้งเลยนะจะได้เจอแทจุนเนี่ย"
ผมแซวมันด้วยความหมั่นไส้เพราะสังเกตว่าไอ้กู๊ดหน้าระรื่นกว่าปกติ ดูคล้ายๆ คนกำลังพบเจอเรื่องที่ทำให้มีความสุข

"ใช่ที่ไหน มึงก็มั่วไปเรื่อย"
ไอ้กู๊ดเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยทันทีเมื่อประโยคเมื่อครู่จบลง อย่างที่มันว่านั่นล่ะ ผมเดามั่วๆ เพราะตอนนี้สถานการณ์ช่างราบเรียบ ไร้ซึ่งความคืบหน้าใดๆ เหมือนต่างคนต่างถึงจุดอิ่มตัวหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ เพราะแทจุนไม่ได้เอาอะไรมาปรึกษากันเลยในช่วงนี้

"ถามจริง พวกมึงไปถึงขั้นไหนแล้ว"
ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะเปลี่ยนท่าทางมาเท้าคางรอคำตอบ ไอ้กู๊ดไหวไหล่เล็กน้อยเหมือนไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอะไร

"ยังไม่ถึงไหน"
คำตอบของมันเป็นไปอย่างที่ผมพอจะเดาได้ เพราะรู้นิสัยกันดี ไอ้กู๊ดเป็นคนประเภทไม่ชอบมีข้อผูกมัดกับใคร ความคืบหน้าส่วนมากก็เปลี่ยนจากคุยเป็นขึ้นเตียง ยังไม่มีใครเปลี่ยนจากคุยแล้วเป็นแฟนสักคน

"ทำไมวะ แทจุนจีบมึงมาจะครบปีแล้วนะ"
ผมถามออกไปเพื่อหวังว่ามันจะมีเหตุผลที่ดีกว่าไม่ชอบผูกมัด เพราะเวลาหนึ่งปีไม่ใช่น้อยๆ ถ้าไม่ชอบไม่รักก็ควรปฏิเสธไปตรงๆ ไม่ใช่ทีเล่นทีจริงให้ความหวังคนอื่นแบบนี้ พ่อแม่มันควรเปลี่ยนชื่อให้นะ จากนายแสนดีเป็นนายแสนเลว...

"กูไม่ชอบผูกมัดกับใครไง ไม่มีสถานะก็ดีแล้ว"
คำตอบไม่ได้แต่ต่างจากที่ผมคิดเอาไว้เลย แถมดูไอ้กู๊ดจะไม่เดือดร้อนอะไรกับเรื่องนี้ อย่าให้เดาว่ามันรู้สึกอะไรกับใครยังไง เพราะแม่แต่เรื่องที่มันชอบหรือเลิกชอบผมเกิดขึ้นเมื่อไหร่ยังไม่รู้ตัวเลย...

"แต่ถ้าแทจุนไปผูกมัดกับคนอื่นมึงจะยอมเหรอ"
ผมถามออกเพราะคิดว่าไอ้กู๊ดคงรู้สึกอะไรขึ้นมาบ้าง ถึงมันจะไม่ชอบผูกมัดกับใครแต่มันก็หวงของ หวงคน หวงที่

"ก็... คงไม่ยอมมั้ง"
ไอ้กู๊ดยักคิ้วกวนๆ ส่งมาให้หลังพูดจบ มันคือความเห็นแก่ตัวที่มีมาแต่ไหนแต่ไร แก้ไม่หายสักที แต่ครั้งนี้แววตาของมันไม่ได้ปกติอย่างแต่ก่อนเพราะมันมีความสั่นไหวถึงแม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่เพื่อนสนิทอย่างผมมองออก

"นั่นไง เจอกันคราวนี้ก็เคลียร์ๆ ให้จบสักที จะคบหรือจะหยุดความสัมพันธ์ก็เลือกเอาสักอย่าง"
ผมพูดเสียงดุๆ แล้วผลักหัวมันด้วยความหมั่นไส้ คนหล่อจำเป็นต้องเลือกได้แบบนี้ทุกคนหรือเปล่านะ

"เออๆ สั่งจังนะแม่"
มันบ่นงุ้งงิ้งแล้วย่นจมูกใส่กันเหมือนเด็กโดนขัดใจ มีอย่างที่ไหนมาเรียกคนอื่นว่าแม่วะ เดี๋ยวพ่อโบกคอหักเลยนี่

"อะไร กูเป็นเพื่อน"
ผมว่าเสียงแข็งแล้วแยกเขี้ยวใส่มันเป็นเชิงขู่ แต่ได้รับเสียงหัวเราะในลำคอกลับมา

"จ้าๆ ไม่เถียงกับมึงแล้ว"

"ดี"

เกาหลีใต้ยังคงเป็นเมืองที่ทำให้ผมตื่นเต้นได้เสมอ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนอะไรๆ จะกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว มื้อแรกที่มาเหยียบที่นี่คือบิบิมบับให้โรงอาหารมหา'ลัย หลังจากนั้นก็พากันไปเก็บสัมภาระที่หอก่อนจะลงมาฟังอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะเข้าคลาสเรียนในอีกสองวันข้างหน้า

ผมนอนแผ่อยู่กลางเตียงด้วยสภาพของคนหมดแรงไม่อยากทำอะไรต่อ ส่วนไอ้กู๊ดนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ปลายเตียง รูมเมทที่เป็นคนเกาหลีออกไปหาเพื่อนข้างนอก

"นอนเป็นปลาดาวเลยนะมึง"
ไอ้กู๊ดเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มาพูดด้วยแล้วก้มกลับไปมองอีก ดูท่าทางช่วงนี้มันจะติดโซเชี่ยลหนัก เพราะตั้งแต่ลงจากเครื่องก็เห็นกดนั่นกดนี่อยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จะแชทกับใครนักหนา ของผมนี่เงียบเหมือนป่าช้า แม้แต่พี่ทาร์ตยังไม่ทักมา อยากร้องไห้วันละร้อยรอบจริงๆ

"เหนื่อย เพลีย อยากตาย"
ผมพูดออกไปด้วยความเบื่อหน่ายแล้วพลิกตัวคว่ำลงกับเตียง ใบหน้าซุกกับหมอนก่อนจะว้ากใส่มัน ว่างจนไม่รู้จะทำอะไร เพื่อนก็เมินกัน แฟนก็หาย หึ!

"ห๊ะ ถึงขนาดอยากตายเลยเหรอวะ"
ไอ้กู๊ดแทบจะขว้างโทรศัพท์เมื่อได้ยินคำว่าอยากตาย มันทำหน้าตาตื่นๆ ใส่กันแถมยังคลานเข้ามาหา แววตาแสดงความเป็นห่วงแบบไม่ปิดบัง ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่ากำลังโดนประชดอยู่

"เออ จะนอนแล้ว ปิดไฟด้วย"
ผมบอกก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคอแล้วหลับตาลงเพื่อตัดรำคาญทุกๆ สิ่ง หลับๆ ไปจะได้เลิกคิดฟุ้งซ่านสักที ทั้งวันยังไม่เลิกคิดถึงพี่ทาร์ตอีก บ้าฉิบหาย

"เดี๋ยวๆ มึงจะไม่รอจีฮุนหน่อยเหรอวะ"
ไอ้กู๊ดเอ่ยถึงชื่อรูมเมทอีกคน เอาจริงๆ ผมลืมไปแล้วว่ามาอาศัยห้องคนอื่นอยู่ แต่จะให้นอนลืมตาอยู่มันก็ไม่มีอะไรทำไง น่าเบื่อจะตายจริงๆ นั่นล่ะ

"กูไม่มีอะไรทำ มึงเอาแต่เล่นมือถือ พี่ทาร์ตก็แม่งหายเข้ากลีบเมฆ"
ผมบ่นทั้งๆ ที่ยังหลับตาก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากัน ความรู้สึกโหวงๆ เกิดขึ้นอีกแล้ว พี่ทาร์ตไม่เคยเงียบหายไปนานขนาดนี้เลยนะเว้ย เป็นอะไรหรือเปล่า

"ถ้าจะบ่นขนาดนี้มึงเอาผ้าคลุมหัวแล้วนอนเถอะ จีฮุนกลับมาค่อยปิดไฟ"
ไอ้กู๊ดว่าด้วยเสียงฉุนๆ แล้วเอื้อมมือมาผลักหัวกันจนผมต้องลืมตามาจ้องเขม็ง ไม่สนใจกันแถมทำร้ายอีก ถีบสักทีดีไหม

"หึ เบื่อมึง!"

"อะไรอีกครับคุณปูน"

"ไม่รู้ นอนล่ะ"
สุดท้ายผมก็หนีมันไปนอนจนได้ งอนฉิบหาย แต่ไม่พูด กลัวจะโดนหาว่าเป็นเด็กไม่รู้จักโต...


ผมขยับตัวซุกหาไออุ่นเมื่ออากาศเริ่มหนาวลงในตอนเช้าตรู่ แต่เมื่อประสาทสัมผัสรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่พาดอยู่บนเอวเลยต้องลืมตาโพลงอย่างช่วยไม่ได้ เพราะความทรงจำมันบอกว่าผมนอนเตียงเดี่ยว แล้วคนที่กอดกันอยู่คือใครวะ!

ดวงตารีหรี่มองคนที่นอนหายใจสม่ำเสมอก่อนจะต้องตกใจเมื่อใบหน้านั้นช่างแสนคุ้นเคยและวนเวียนอยู่ในความคิดถึงมาตลอดเมื่อวาน หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมาจากอก สมองกำลังคิดวิเคราะห์อย่างหนักว่าทำไมพี่ทาร์ตถึงมาโผล่ที่นี่แล้วขึ้นหอมาได้ยังไง... หรือผมกำลังฝัน แต่หยิกตัวเองแล้วเจ็บนะ




ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 25 -P.5- (19/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 19-06-2017 12:37:03
"พี่ทาร์ต..."
ผมเรียกชื่อเขาไม่ดังนักแล้วพยายามสอดส่ายสายตามองที่เตียงอื่นๆ พบว่ามันว่างเปล่า จีฮุนกับไอ้กู๊ดหายไปไหนวะ

"อืม ง่วง"
เสียงงัวเงียทำให้ผมต้องกลับมาสนใจคนที่กอดกันเอาไว้ ตอนนี้สับสนและมึนงงไปหมดแล้ว ตกลงว่าเขาบินตามมาอย่างนั้นเหรอ อะไรวะ คือยังไง โอย

"ตื่นมาคุยกันก่อนดิ ทำไมอยู่ๆ มาโผล่ที่นี่ได้อะ"
ผมเอื้อมมือไปดึงแก้มเขาเพื่อเป็นการปลุก แต่พี่ทาร์ตกลับนอนนิ่งๆ ไม่ยอมขยับหรือลืมตา สงสัยเพิ่งลงจากเครื่องแล้วตรงดิ่งมาที่นี่เลย

"นั่งเครื่องบินมาไงครับแฟน"
น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับมาเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่ผมรู้ว่าเขากำลังกวนตีนเลยบีบแก้มแรงๆ ด้วยความมันเขี้ยว

"ไม่ใช่ ทำไมอยู่ๆ ถึงมาเว้ย อย่ากวนตีนดิ"
น้ำเสียงสะบัดเล็กๆ ก่อนจะยอมปล่อยมือออกจากแก้มเมื่อพี่ทาร์ตเริ่มซี๊ดปากและลืมตาขึ้น ตื่นได้สักทีนะคนเรา

"กลัวใครบางคนคิดถึงเลยมาหา"
พี่ทาร์ตส่งสายตาหวานๆ มาให้จนผมได้แต่ก้มหน้าลงจนคางแทบชิดกับอก แม่ง... บรรยากาศมันชวนให้คิดลึกไปถึงไหนต่อไหนไหมล่ะ

"ขี้ตู่ว่ะ ใครเขาจะคิดถึงพี่"
ผมบ่นเสียงอู้อี้แล้วพยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ เขารู้ทันไปหมดซะทุกเรื่อง แย่จริงๆ

"เหรอ แล้วทำไมเสียงหัวใจของปูนดังจังเลยครับ"
ไม่ว่าเปล่าแถมยังเอาหูมาแนบที่อกของผม ทำอะไรไม่เคยปรึกษากันเลย ครั้นจะขยับตัวหนีก็โดนรั้งเอวไว้อย่างแน่นหนา ยอมแพ้จริงๆ

"อะ... เอาหน้าออกไปนะเว้ย แล้วนี่เพื่อนผมไปไหนกันหมด"
ผมพยายามผลักพี่ทาร์ตให้ออกไปห่างๆ แต่กลับโดนกอดจนแน่นขึ้น สุดท้ายก็เลยถอดใจยอมอยู่นิ่งๆ ให้คนขี้แกล้งซบอก ดูท่าทางเขาจะชอบด้วย

"ออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว มันบอกว่าขี้เกียจอยู่เป็นก้าง อยากทำอะไรก็เชิญตามสบาย"
พี่ทาร์ตพูดด้วยเสียงอู้อี้เพราะใบหน้ายังซุกอยู่ที่เดิม แถมยังขยับจมูกถูไถหน้าอก นี่มันจะมากเกินไปแล้วหรือเปล่า เช้าๆ อารมณ์ขึ้นง่ายผู้ชายทุกคนน่าจะรู้ดี... แต่เขาไม่หยุดแค่นั้นยังเอามือสอดเข้ามาใต้เสื้อยืดแล้วลูบไล้ตรงเอวจนรู้สึกสยิว

"เฮ้ย อย่าลูบ จะทำอะไร อื้อ ไอ้พี่ทาร์ต ไม่เอา"
ผมร้องประท้วงแล้วทุบไหล่เขาให้หยุดทำ แต่ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุเพราะพี่ทาร์ตงับปากลงบนยอดอกผ่านเสื้อยืด โอย แม่ง ใจจะขาดอยู่รอมร่อแล้วกู!

"หิว"
พูดด้วยน้ำเสียงกระเส่าจนผมรู้สึกถึงความอันตรายที่กำลังมาเยือน ตายแน่ๆ โดนแน่ๆ หนีไปไหนไม่ได้แล้วว่ะ เสือกนอนด้านในติดผนังด้วย โอย ถ้าเจอหน้าไอ้กู๊ดเมื่อไหร่จะจับเขกหัวให้เข็ดเลย!

"กะ ก็ลุกไปหาอะไรกินดิวะ"
ผมพูดเสียงสั่นแล้วพยายามดันตัวพี่ทาร์ตให้ถอยไปห่างๆ แต่อย่าหวังว่าไอ้คนหื่นกามมันจะยอมถอยไปง่ายๆ

"กินเปียกปูนไง ไม่ได้เหรอ"
ถามกันด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแถมยังใช้ปลายจมูกไล้ไปตามกรอบหน้าและจบด้วยการประกบรอมฝีปากลงมาชกชิม... น้ำลายบูด แม่ง ผมยังไม่ได้แปรงฟันนะเว้ย!

"มะ ไม่... อื้อ"

สุดท้ายก็เรียบร้อยโรงเรียนพี่ทาร์ต แม่ง!

ผมเดินย่องช้าๆ เพราะระบมช่วงล่างไปหมด มีพี่ทาร์ตที่คอยเดินประคองอยู่ข้างๆ ไม่ห่าง ที่จริงก็อยากโกรธเขาอยู่หรอกแต่ทำไม่ลง เพราะว่าเมื่อครู่ก็เผลอสมยอมไปด้วย... ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษทั้งสองฝ่าย พอดวงตารีพบเจอไอ้กู๊ดในระยะสายตาเลยชี้หน้าคาดโทษมันทันที

"เพราะมึงเลยไอ้กู๊ด สัด"
ผมด่าเมื่อพี่ทาร์ตพาผมมานั่งรอที่โต๊ะ ในส่วนของห้องอาหาร ไอ้กู๊ดเลิกคิ้วขึ้นและเอียงคอด้วยความงุนงงแต่ไม่นานนักมันก็ยกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้น

"โธ่ๆ โดนหนักสินะมึง เดินขาถ่างขนาดนี้"
มันว่าเสียงกลั้วหัวเราะแล้วขยับเข้ามาจิ้มแก้มกันเพื่อหยอกล้อ ผมปัดมือมันทิ้งด้วยความหงุดหงิดผสมความอาย แม่ง ท่าเดินบ่งบอกขนาดนั้นเลยเหรอวะ อุตส่าห์แอ๊บเต็มที่แล้วนะ ดีหน่อยที่พี่ทาร์ตเดินไปสั่งอาหารให้กัน ไม่อย่างนั้นผมคงอายกว่านี้ร้อยเท่า

"ยังจะพูดอีกนะ ไอ้เหี้ย"
ผมด่ามันด้วยใบหน้าบึ้งตึง จะขยับแต่ละทีก็เกรงใจก้นตัวเอง มันไม่ได้เจ็บเหมือนครั้งแรก แต่ก็ระบมหนักอยู่เหมือนกัน จะกี่ครั้งๆ ก็ไม่ชินสักที...

"อย่าเกรี้ยวกราดสิ"
ไอ้กู๊ดกลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดง ส่งผลให้ผมต้องแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะฟาดมือลงบนไหล่ของมันอย่างไม่ปรานี เลิกล้อกันได้แล้วน่า มึงไม่เป็นเมียคนอื่นบ้างให้มันรู้ไปสิ หึ!

"มึงก็อย่ากวนตีน ไม่งั้นกูจะยึดแทจุนทั้งวัน"
ข้อต่อรองของผมช่างอ่อนนัก เพราะดูท่าทางไอ้กู๊ดไม่ได้เป็นคนหึงเรี่ยราดอะไร มีแต่พี่ทาร์ตล่ะมั้งที่ยังตึงๆ กับแทจุนไม่เลิก กลัวว่าผมจะไปเป็นผัวเขา...

"ผัวมึงคงยอมหรอก ~"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นอย่างหน้าตาเฉย ไม่มีแววเกรงกลัวกันสักนิดเดียว ผมล่ะเกลียดมันจริงๆ เลย

"หุบปากไป"
ผมใช้น้ำเสียงดุๆ แล้วผลักหัวมันแรงๆ ด้วยความหมั่นไส้ แต่ไอ้กู๊ดก็ยังยิ้มหน้าระรื่นได้เหมือนเดิมทุกประการ ถีบแม่งเลยดีไหม กลางห้องอาหารนี่ล่ะ

"หูย แรงอะ เออ แล้วตกลงจะไปไหนกันวะ"
เหมือนมันจะรู้ตัวว่ากำลังโดนปองร้ายก็เลยเปลี่ยนเรื่องไปถามเกี่ยวกับทริปไปเที่ยววันนี้ มีไกด์เป็นแทจุนเจ้าเก่า

"โซลทาวเวอร์"

"ห๊ะ... ถามจริง ใครเป็นคนคิดสถานที่"
ไอ้กู๊ดถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อหูสักเท่าไหร่ เพราะโซลทาวเวอร์มันให้อารมณ์โรแมนติกที่คู่รักชอบไปกัน แล้วดูบรรดากรุ๊ปทัวร์นี้สิ มีแต่ผู้ชายตัวสูงไม่น่าจะมรมุมมุ้งมิ้งอะไรแบบนั้น

"กูอยากไปเอง"
ผมตอบไปตามความจริงเพราะตั้งใจว่าถ้ามีแฟนก็อยากพาไปโซลทาวเวอร์ด้วยกัน แต่มันแปลกเพราะตอนนี้คนที่คบด้วยดันเป็นผู้ชายนี่ดิ... ตอนคิดน่ะ คิดว่าตัวเองจะมีแฟนเป็นผู้หญิงไง

"อุ้ย จะไปคล้องกุญแจเหรอจ๊ะ"

"เลิกล้อเลียนคนอื่นสักที ไอ้แสนเลว"

"โอ๋ๆ ไม่งอนดิวะมึง"
ง้อกันด้วยหน้าตากวนตีนก็อย่างอเลยดีกว่าไอ้สัด!

"โอ๋พ่อง กูอยากไปคล้องกุญแจแล้วไง มีปัญหาเหรอ"
เริ่มหงุดหงิดจนแทบจะพุ่งไปกระชากคอเสื้อเพื่อน แต่ติดตรงที่ขยับตัวก็ร้าวไปถึงสมอง อ่า... ความเจ็บที่มีความสุข

"ก็เปล่า แต่มึงมีมุมนี้กับเขาด้วยเหรอวะ มุ้งมิ้งฉิบหาย"
มันเลิกคิ้วมองกันด้วยความแปลกใจเพราะปกติแล้วผมไม่ได้มีมุมแบบนี้สักเท่าไหร่ ก็เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้มุ้งมิ้งอย่างใครเขา

"จริงๆ ก็อยากลองไปคล้องกับแฟนสักครั้ง แต่ตอนนั้นคิดว่าจะมีแฟนเป็นผู้หญิงไง ที่ไหนได้... ยืนหล่ออยู่นู่น"
ผมพยักพเยิดหน้าไปทางพี่ทาร์ตที่กำลังส่งยิ้มหวานให้แม่ค้าขายอาหาร ไอ้กู๊กถึงกับขำแล้วพยักหน้าราวกับเห็นด้วยก่อนจะพูดสิ่งที่คิดออกมา

"หล่อวัวตายควายล้มเลยมึง"

"เออ กูว่าพี่ทาร์ตไม่น่าจะยอมคล้องกุญแจกับกู"
ผมขมวดคิ้วเมื่อคิดว่าคนอย่างพี่ทาร์ตคงไม่ยอมทำอะไรหวานๆ อย่างการคล้องกุญแจกับหนุ่มน้อยหรอก ถ้าเป็นสาวๆ อาจจะยอมก็ได้

"หือ กูว่ายอม"
แต่ไอ้กู๊ดคิดต่างออกไปจนผมต้องท้าพนัน เอาจริงๆ ผมว่าผมรู้จักพี่ทาร์ตดีที่สุดนะ

"พนันไหมล่ะ"

"ว่ามา"

"ถ้ากูแพ้พนันมึงต้องขอคบแทจุนบนโซลทาวเวอร์ ถ้ามึงชนะกูเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่"
ผมยักคิ้วกวนๆ ให้มันไปเมื่อพูดจบ ไอ้แผนเนี่ยเพิ่งคิดได้เมื่อสองวินาทีที่แล้วเลย ลงทุนสุดๆ ด้วยนะเออ

"เดี๋ยวๆๆ ทำไมตอนมึงแพ้คนซวยเป็นกูอะ นี่ยังไม่ได้เตรียมตัวเหี้ยอะไรเลย"
ไอ้กู๊ดบอกเสียงหลง ใบหน้ายังคงดูตื่นๆ อยู่ ไม่แปลกที่มันจะตกใจอะไร เพราะผมเล่นของสูงกับความรู้สึกคน แต่เชื่อเถอะน่าว่ามันจะดีสำหรับทั้งคน ขืนกั๊กกันไปกั๊กกันมาหมาคาบไปแดกซะก่อน

"หึหึ กูอยากให้เพื่อนขอเป็นแฟนแบบโรแมนติกหน่อย"

"วุ่นวายจริงๆ"
มันส่ายหัวคล้ายจะปลง แต่ใบหน้ากับขึ้นสีระเรื่อหน่อยๆ ไอ้กู๊ดก็มีมุมเขินแบบน่ารักๆ ด้วยนี่หว่า

"ทำได้ไหมล่ะ"
ผมถามย้ำด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยเพราะอยากกระตุ้นความกล้าและเอาชนะของมัย เชื่อเถอะว่าได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์

"เออๆ ถึงมึงจะแพ้หรือชนะ กูจะขอแทจุนเป็นแฟนบนโซลทาวเวอร์แล้วกัน... แค่คิดก็เขินแล้วแม่ง"
ไม่ใช่เขินธรรมดานะ เขินมากถึงขนาดหลบสายตาผมเลยเถอะ อยากให้แทจุนมาเห็นฉิบหาย

"สัญญาแล้วนะ"
ผมเหล่สายตามองมันอย่างไม่เชื่อถือ ไอ้กู๊ดเบ้ปากใส่กันแล้วพ่นคำที่ทำให้รอยยิ้มแย้มขึ้นได้ไม่ยาก

"เออ เดี๋ยวซื้อกุญแจไปคล้องด้วย แม่ง พอใจยัง!"
ทำเป็นโวยวายกลบเกลือนความเขินสินะ. ผมรู้ดีหรอก ขอแกล้งหยอกสักหน่อยแล้วกัน หึหึ

"น่ารักว่ะคุณแสนดี ~"

ผมและพี่ทาร์ตกำลังเดินนำหน้าไอ้กู๊ดกับแทนจุนที่คุยกันกะหนุงกะหนิงอยู่ด้านหลัง ท่าทางน่าหมั่นไส้จนต้องแอบเบะปากใส่อยู่หลายครั้ง ปากบอกไม่ชอบผูกมัดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอมีใครมองคนของตัวเองก็แทบจะแยกเขี้ยวใส่เขา ซึนเดเระจริงๆ เลย

"ทำไมปูนอยากมาโซลทาวเวอร์ล่ะ"
พี่ทาร์ตถามขึ้นในขณะที่เรากำลังเดินอยู่ในชั้นขายของที่ระลึก ผมเลิกคิ้วมองเขาก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะไม่รู้จะบอกยังไงดี อยากมาคล้องกุญแจกับแฟนงี้เหรอ อายตายเลย

"ก็... ชั้นบนมันดูวิวได้ไง"
ผมบอกปัดไปทั้งๆ ที่ไม่เคยสนใจวิวทิวทัศน์มากนัก ปกติไม่ชอบเที่ยวแนวธรรมชาติสักเท่าไหร่ ชอบที่ที่มีแสงสีมากกว่า


"อ๋อ นึกว่าอยากมาคล้องกุญแจกับพี่ซะอีก"
พี่ทาร์ตแซวกันก่อนจะเอื้อมมือมาพาดบ่า ผมสะดุดลมหายใจตัวเองเพราะเขาพูดแทงใจ ได้แต่หวังว่าความลับยังคงเป็นความลับอยู่เหมือนเดิม

"บ้าน่า หวานเลี่ยนตายเลยแบบนั้น"
ผมแสร้งทำหน้าแหยๆ ทั้งๆ ที่ใจอยากชวนเขาไปคล้องกุญแจด้วยกันจะตาย นานๆ ครั้งจะมีโอกาสมาเที่ยวไกลๆ พร้อมกันแบบนี้

"ปูนจะเข้าไปดูของที่ระลึกในร้านหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตถามเมื่อเราเดินเข้าใกล้ร้านขายของที่ระลึกเข้าไปทุกที ผมพยักหน้าเพราะอยากรู้ว่าด้านในขายอะไรบ้าง ตอนแรกกะว่าจะไปร้านเทดดี้แบร์แต่ตัดใจ ผู้ชายกับตุ๊กตาหมีไม่เข้ากันเท่าไหร่หรอก

"ไปครับ พี่ทาร์ตจะซื้ออะไรหรือเปล่า"

"ก็ว่าจะซื้อของไปฝากคนที่บ้านนั่นล่ะ"

"อ๋อครับ... เฮ้ย มึงจะเข้าไปในร้านด้วยกันปะ"
ผมตอบรับแล้วกันไปถามไอ้สองคนด้านหลังที่ทิ้งช่วงห่างพอตัว คือเหมือนแยกกันมายังไงไม่รู้ น่าหมั่นไส้จนอยากแยกแทจุนออกจากเพื่อนสนิท

"โนๆ เดี๋ยวกูกับแทจุนขึ้นไปดาดฟ้าเลย"
ไอ้กู๊ดตอบแล้วชี้มือขึ้นไปด้านบน ส่วนแทจุนเอาแต่ยิ้มกว้างส่งมาให้ อยากจะบอกว่าวันนี้เด็กมันแต่งตัวโคตรน่ารัก เชิ้ตสีชมพูอ่อนกับกางเกงสีขาวขาสั้น รองเท้าผ้าใบ ปล่อยผมลงแบบธรรมชาติไม่มีการเซ็ต แถมด้วยแว่นตากลมๆ สมควรที่ไอ้กู๊ดจะหวง

"โอเค ไว้เจอกันนะมึง"
ผมโบกมือให้เพื่อนแล้วเดินเข้าร้านขายของที่ระลึกไปพร้อมกัน แต่พี่ทาร์ตกลับบอกว่าขอตัวไปเลือกซื้อของฝากอีกทางหนึ่งเพื่อความสะดวกรวดเร็ว ซึ่งผมก็ไม่ได้ขัดอะไร แยกย้ายกันดูของที่ต้องการจะได้ไม่เสียเวลาไปเที่ยวต่อ

ผมหยิบนั่นดูนี่ไปเรื่อยจนได้ของติดไม้ติดมือไปฝากคนที่บ้านเล็กน้อย ตอนเดินผ่านโซนขายกุญแจยังมองจนตาละห้อย ซื้อไปก็คงไม่ได้คล้องอยู่ดี ส่วนพี่ทาร์ตหิ้วถุงลูกโตเดินมาหากันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แถมในมือยังมีปากกาติดมาด้วย ไม่รู้จะซื้อมาเพื่ออะไร

"ไปดาดฟ้ากัน"
ผมเอ่ยปากชวนก่อนจะถือวิสาสะแตะแขนพี่ทาร์ตเบาๆ ให้ออกเดิน จริงๆ อยากคล้องแขนแต่ดูจากสายตาคนรอบข้างแล้วมันไม่สมควร บ้านเมืองที่นี่ส่วนมากจะแอนตี้พวกรักร่วมเพศอยู่พอตัว

บรรยากาศยามใกล้พระอาทิตย์ตกทำให้วิวโดยรอบของโซลทาวเวอร์ดูสวยแปลกตา คู่รักชายหญิงต่างก็ยิ้มแย้มดูมีความสุข บางคนกำลังเดินวนรอบๆ เพื่อหาที่ว่างสำหรับคล้องแม่กุญแจ บางคนกำลังเตรียมโยนลูกกุญแจทิ้ง บางคนกำลังโพสต์ท่าเพื่อให้แฟนตัวเองถ่ายรูป ความรักอบอวลไปทั่วบริเวณจริงๆ เลยว่ะ

"มองหาไอ้กู๊ดให้หน่อยดิพี่"
ผมสะกิดคนข้างๆ ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรสักอย่างโดยที่สายตาสอดส่ายมองไปทั่วบริเวณเพื่อหาเพื่อนสนิท ไม่ใช่ว่าลากแทจุนไปข่มขืนแล้วนะ ทำไมหาไม่เจอสักที

"หึ เดี๋ยวมันก็โผล่มาเองล่ะน่า"
พี่ทาร์ตตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วหันมาคลี่ยิ้มให้กันในขณะที่ผมขมวดคิ้วมอง

"ก็ได้ๆ แล้วพี่เขียนอะไรอยู่"
ผมชะโงกหน้าไปดูแต่กลับมองไม่เห็นเพราะขนาดของในมือของพี่ทาร์ตมันชิ้นเล็ก เขายืดตัวขึ้นแล้วคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม

"แบมือมาสิ"
เขาบอกก่อนจะยื่นกำปั้นข้างหนึ่งมาตรงหน้า ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยแต่ก็ยอมทำตามที่เขาบอก

"เอาไปเขียนชื่อเนอะ"
พี่ทาร์ตวางแม่กุญแจสีฟ้าพาสเทลลงในมือของผมแล้วยักคิ้วกวนๆ ส่งมาให้ ถามว่าตอนนี้รู้สึกยังไง ขอตอบเลยว่าอึ้งมาก

"อ่า..."
ผมพยักหน้ารับแบบมึนๆ แล้วรับปากกามาจากพี่ทาร์ตแล้วหมุนตัวหนีเขาไปทางอื่นเพราะรู้สึกว่าตัวเองแก้มร้อนฉ่า อยู่ๆ ก็ได้คล้องกุญแจแบบไม่ต้องขอ จะรู้ใจกันเกินไปแล้วครับแฟน เขินว่ะ ทำไงดี

สรุปว่าผมได้มีโมเม้นท์คล้องกุญแจกับแฟนแบบมึนๆ แถมสียังหวานซะผู้หญิงยังอาย พี่ทาร์ตเอื้อมมือมากอดไหล่กันอย่างสนิทสนมโดยไม่แคร์สายตาคนรอบข้าง ถ้ามองเผินๆ ก็เหมือนพี่น้องธรรมดา แต่บรรยากาศและสถานที่โดยรอบนั้นบ่งบอกสถานะได้ชัดเจนที่สุด

"ฮันนีมูนที่โซลก็ดีเนอะ บรรยากาศดี"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นเมื่อเราเงียบกันไปนาน ผมหันขวับไปมองหน้าเขาด้วยความตกใจ อะไรคือฮันนีมูนครับคุณ ยังไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย

"ฮันนีมูนบ้าอะไรของพี่ เราไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย"
ผมแกะมือปลาหมึกของเขาออกจากตัวแล้วขยับถอยห่าง ไม่ใช่เพราะรำคาญแต่เขินจนหัวใจเต้นแรกต่างหาก ไม่ไหว...

"เหรอ งั้นรอปูนเรียนจบพี่ขอแต่งงานเลยดีไหม"
เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วยิ้มกรุ้มกริ่มส่งมาให้กัน ผมผงะถอยหลังแล้วเบนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะรู้สึกว่าแก้มร้อนจนแทบระเบิด อยู่ๆ ก็โดนขอแต่งงาน จะให้รู้สึกยังไงวะ บรรยากาศรอบๆ ก็โคตรโรแมนติกอีก หัวใจจะวาย

"เฮ้ย ผู้ชายเหมือนกันจะแต่งยังไง"
แสร้งทำเสียงตกใจแต่ไม่กล้ามองหน้าเขา พี่ทาร์ตขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกว่าลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดลงบนหัว อุตส่าห์หนียังตามมาอีกนะ...

"แต่งได้สิ มีเยอะแยะไป"
เขาก้มลงมากระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงร่าเริงจนผมนึกหมั่นไส้ อยากจะเตะให้กระเด็นแต่เหมือนตัวเองจะไร้เรี่ยวแรงเพราะเขิน

"จะทำอะไรก็ทำเหอะ ห้ามได้ที่ไหนเล่า"
ผมบ่นเสียงงุ้งงิ้งเพราะไม่สามารถขัดความต้องการของเขาได้ อีกใจหนึ่งก็อยากมีงานแต่งงานเป็นของตัวเองอยู่เหมือนกัน ถึงจะไม่ได้เป็นเจ้าบ่าวอย่างผู้ชายปกติทั่วไปก็เถอะ

"ถือว่าตอบตกลงแต่งงานกันแล้วนะ"
พี่ทาร์ตถามย้ำด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแถมยังรวบเอวผมเข้าไปกอดแบบไม่แคร์สายตาใคร จังหวะนี้ไม่มียางอายกันแล้ว ความโรแมนติกมันผลักดันให้ยอมโอนอ่อนตาม

"เออ แต่งก็แต่ง อย่าลืมมาขอแล้วกัน อีกสองปี!"
ผมบอกเขาทีเล่นทีจริงแล้วได้แต่ซุกหน้าลงบนอกแกร่ง ถึงมันจะเป็นเรื่องของอนาคตที่เราไม่สามารถกำหนดได้ แต่ตอนนี้มีความสุขก็เพียงพอแล้ว

ความรักดีๆ ควรรักษามันด้วยความซื่อสัตย์และความจริงใจ




------------------------------------------

ตอนที่ 25 มาแล้วน้า หวานนิดๆ เลี่ยนหน่อยๆ 555555
ส่วนบทส่งท้ายจะมาอาทิตย์หน้าเนอะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาจนจบเรื่องน้า -/\-
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 25 -P.5- (19/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 19-06-2017 13:32:56
ถือว่าซ้อมฮันนีมูนนะน้องปูน ฮึ่ยยยยย อิจฉาอ่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 25 -P.5- (19/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 19-06-2017 13:46:28
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 25 -P.5- (19/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-06-2017 14:33:28
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 25 -P.5- (19/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: gookgik ที่ 19-06-2017 16:33:37
เป็นการขอแต่งงานที่โรแมนติกมาก สมแล้วที่เป็นพี่ทาร์ต รักจริงหวังแต่ง
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ สูตรที่ 25 -P.5- (19/06/17)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 19-06-2017 22:06:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 25-06-2017 10:10:00
(http://i.imgur.com/FP2ybjF.png)


จบหลักสูตร



'เราเป็นแค่พี่น้องกัน'

ผมสะดุ้งตื่นทันทีเมื่อความฝันเมื่อครู่มันช่างบีบหัวใจ เพดานสีขาว บวกกับกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ของโรงพยาบาลทำให้เกิดความสับสน ตกลงแล้วระหว่างตัวเองกับพี่ทาร์ตมีสถานะแบบไหนต่อกัน แล้วทำไมอยู่ๆ ผมถึงมานอนให้น้ำเกลืออยู่ที่นี่วะ 

หรือผมเป็นแค่เจ้าชายนิทราที่เพิ่งตื่นมาเจอกับความจริงที่ว่า 'พี่ทาร์ตก็แค่พี่ชายข้างบ้าน' โอย ทำไมปวดหัวแบบนี้ ห้องเงียบจนน่าวังเวง ใครอธิบายอะไรได้หรือเปล่าเนี่ย!

"ตื่นแล้วเหรอ"
น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจนผมต้องหันขวับไปมอง พี่ทาร์ตมีสภาพคล้ายคนเพิ่งผ่านการอาบน้ำมา ใบหน้าเรียบเฉยไม่ได้แสดงอาการยินดียินร้ายอะไร ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

"ผม... มาอยู่นี่ได้ยังไงครับ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ดวงตารีมองไปรอบๆ ห้องสีขาวด้วยความสงสัย ทำไมคิดถึงเหตุผลที่มานอนโรงพยาบาลไม่ออกเลยวะ สมองตื้อไปหมด

"ปูนเป็นลมกลางแดด พี่เลยรีบพามาโรงพยาบาลเนี่ย"
พี่ทาร์ตเดินเข้ามารินน้ำใส่แก้วแล้วส่งให้ผมดื่มก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับอยู่

"แล้วตอนนั้นเราทำอะไรกันอยู่ครับ"
ผมส่งแก้วน้ำคืนให้เขาแล้วถามสิ่งที่คิดไม่ออก ไม่รู้สิ เหมือนเพิ่งตื่นแล้วสติยังไม่เข้าที่เข้าทาง จำอะไรไม่ได้สักอย่าง อย่าบอกนะว่าเป็นลมถึงขั้นความจำเสื่อม...

"ไปเที่ยวทะเลไง จำไม่ได้เหรอ"
พี่ทาร์ตตอบพลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ เขาขยับใบหน้าเข้ามาใกล้กันเหมือนต้องการสำรวจอะไรบางอย่าง แต่ผมจำอะไรไม่ได้จริงๆ ไม่คิดจะแกล้งเลย

"มัน... มึนๆ คิดอะไรไม่ออกอะ"
ผมตอบก่อนจะหลบสายตาของเขา ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่โดนจ้องมองก็ไม่สามารถสู้ได้สักที แล้วไอ้อาการกึ่งจริงกึ่งฝันผมเชื่อว่าใครหลายๆ คนอาจจะเคยเป็น บางครั้งทำสิ่งหนึ่งในความจริงไปแล้ว แต่ตื่นขึ้นมาอีกวันกลับคิดว่าสิ่งที่ทำไปเมื่อวานนั้นตกลงทำจริงหรือทำแค่ในฝัน... ประหลาดดี

"งั้นนอนพักไปก่อน เดี๋ยวพี่เรียกพยาบาลให้"
พี่ทาร์ตทำท่าจะลึกจากเก้าอี้เพื่อยืดตัวไปกดปุ่มเรียกพยาบาลแต่ผมกลับรั้งชายเสื้อของเขาเอาไว้ ตอนนี้มีเรื่องคนใจอยากจะถาม อย่าเพิ่งเอาคนอื่นมาเป็นก้างขวางคอสิ

"อย่าเพิ่ง..."
ผมบอกเสียงอ่อยเมื่อโดนพี่ทาร์ตจ้องมาด้วยสายตาสงสัย แต่ไม่นานก็กลับกลายเป็นว่าเขาระบายยิ้มน้อยๆ แล้วยอมนั่งลงที่เดิมก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวกันเบาๆ

"ครับ มีอะไรเหรอ"

"คือว่า... เมื่อกี้ผมฝัน แต่ไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไร"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เมื่อคิดย้อนไปถึงความฝันเมื่อครู่ อยู่ๆ ก็เกิดความกลัวและสับสนขึ้นมาอีกครั้ง ฝันหรือความจริงกันแน่วะ

"หืม ยังไงครับ"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันปกติธรรมดาเหลือเกิน หรืออาจจะคิดมากไป

"แบบว่า... มันเหมือนจริงมากจนผมสับสน"
ผมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น อยากถาม อยากรู้ แต่กลัวสิ่งที่จะได้รับกลับมาจากเขา ทำไมต้องไม่แน่ใจอะไรมากขนาดนี้ด้วยวะ

"....."
เขานิ่งเงียบเหมือนรอให้ผมพูดต่อ

"ผมขอถามอะไรอย่างนึงได้ปะ"
ผมหันไปสบตากับเขาแล้วถามออกไปแบบนั้น เพราะไม่กล้าเล่าเรื่องที่ตัวเองสงสัยออกไป กลัวว่ามันจะเป็นเรื่องจริง แล้วถ้ามันไม่จริงคือต้องหน้าแตก อายแบบไม่มีที่ซุกหน้าหนีด้วยสิ

"หลายๆ อย่างก็ได้"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะ ดูท่าทางเขาจะไม่รู้ว่าผมกำลังคิดอะไร กลายเป็นคนไม่รู้ทันตอนนี้ก็ดีเหมือนกันล่ะมั้ง

"ตอนนี้เราเป็นอะไรกันเหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มก่อนจะเบนสายตาหลบ เพราะรู้สึกขอบตาร้อนผ่าวเพราะความกลัวของตัวเอง อยู่ๆ อะไรๆ มันก็ดูจะลำบากไปซะหมด น้ำตาจะไหลว่ะ

"แล้วปูนคิดว่าไงล่ะครับ"
เขาไม่ได้ตอบแต่ถามกลับมายิ่งทำให้ผมคิดหนักมากขึ้น แล้วตกลงมันยังไงกันแน่วะ

"คือผม..."

"เป็นลมถึงขนาดลืมเลยเหรอว่าเราเป็นอะไรกัน"
พี่ทาร์ตพูดแทรกขึ้นมาแล้วเลื่อนมือมาหยิกแก้มกันด้วยความมันเขี้ยว ผมเบิกตาโตเพราะตกใจกับการกระทำไม่มีปี่มีขลุ่ยของเขา

"ก็... กลัวเหมือนในละครที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นแค่ฝันอะ"
ผมพูดเสียงเบาเพรารู้สึกว่าอะไรๆ มันชัดเจนขึ้น บางอย่างในใจลึกๆ กำลังร้องบอกว่าตัวเองกำลังเพ้อเจ้อ


"ในฝันนี่เจ็บสะโพกอย่างตอนนี้ปะ"
พี่ทาร์ตถามด้วยแววตากรุ้มกริ่มก่อนจะเลื่อนมือมาจับสะโพกกัน ผมถลึงตามองเขาเพราะคำถามมันกำกวมแปลกๆ

"ห๊ะ... ถามอะไรเนี่ย"

"ก็ก่อนที่ปูนจะไปเดินตากแดดแล้วเป็นลมล้มพับเนี่ย พี่จัดซะหนัก..."
ไม่พูดเปล่าแต่บีบมือลงบนสะโพกของผมไม่แรงมากนัก แต่รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นริ้วขึ้นมาตามสันหลัง ชัดเจนจนต้องเม้มปากเข้าหากันแน่น ตอนนี้รู้แล้วว่าเมื่อครู่แค่ฝัน

"อึก..."

"คราวนี้ยังจะคิดอะไรวุ่นวายอีกไหมครับเมีย สงสัยติดละครมากไปหน่อยล่ะมั้ง จินตนาการโคตรล้ำเลย"
เขาว่าเสียงกลั้วหัวเราะแล้วแนบริมฝีปากลงมาบนแก้มด้วยความมันเขี้ยว ปลายจมูกโด่งถูกไถไปมาจนผมต้องใช้มือฟาดไหล่ของเขา ขนลุกไปหมดแล้ว นี่ขนาดผมนอนป่วยอยู่บนเตียงยังแกล้งกันขนาดนี้ ไม่อยากคิดสภาพตอนได้กลับบ้านเลย เละแน่ๆ

"อย่าพูดดิ... กะ ก็คนมันกลัวอะ อื้อ"
พูดยังไม่ทันจบก็โดนไอ้คนหื่นกามทุกเวลางับเข้าที่ซอกคอก่อนจะดูดเม้มให้ผมรู้สึกเสียวหน้าท้องวาบ โอย เกลียดตัวเองที่ไม่สามารถวิ่งหนีได้ ติดสายน้ำเกลือเนี่ย

"กลัวอะไรหืม"
ถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าแต่ยังไม่ยอมขยับใบหน้าออกจากซอกคอ แถมยังกดจูบย้ำลงไปอีก รักกันมากใช่ไหมครับ ปล่อยผมนอนสบายๆ สักวันได้ไหมเนี่ย นี่ป่วยนะ ช่วยเข้าใจหน่อยสิ!

"กะ กลัวว่าพี่จะไม่ได้เป็นแฟนผมจริงๆ"
ได้แต่ใช้มือปัดป้องเขาแล้วตอบกลับไปเสียงสั่น ในใจกังวลว่าจะเสียงตัวบนเตียงโรงพยาบาลหรือเปล่า ผมยังไม่อยากเปลี่ยนบรรยากาศขนาดนั้นเว้ย เดี๋ยวใครมาเห็นเข้านี่ตายกับตายเลยนะ

"ก็ไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วนะตอนนี้"
พี่ทาร์ตผละตัวออกไปแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แววตาไม่มีความขี้เล่นหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย หมายความว่ายังไงที่ไม่ได้เป็นแฟนกันวะ ย้อนแย้ง สับสนไปหมดแล้วเว้ย!

"อะไรนะ เราเลิกกันที่ทะเลเหรอ!"
ผมโผลงออกไปแล้วจ้องหน้าพี่ทาร์ตด้วยความตื่นตกใจ แต่เขากลับหลุดหัวเราะแล้วขยับเข้ามาดึงตัวผมไปกอดไว้หลวมๆ อะไรวะ จะร้องไห้แล้วเนี่ย!

"เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ ครับคนป่วย พี่แค่จะบอกว่าตอนนี้พี่เป็นผัวปูนก็เท่านั้นเอง ทำไมชอบคิดในแง่ลบตลอด"
เสียงพูดกลั้วกัวเราะทำให้ผมสะดุดลมหายใจตัวเองแล้วสำลักออกมาเบาๆ เมื่อครู่ถ้าฟังไม่ผิดจะได้ยินคำว่า 'ผัว' ใช่ไหม ไอ้บ้านี่!

"อะ... ไอ้พี่ทาร์ต พูดอะไรวะ ไม่อายบ้างหรือไง"
ผมบ่นเสียงดังเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้น พยายามเม้มปากอย่างสุดความสามารถไม่ให้ยิ้มไปกับคำบ้าๆ นั่น ทำไมต้องใจเต้นกับคำว่าผัวๆ เมียๆ ทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายด้วยวะ เกลียดตัวเองเว้ย

"ระดับนี้ไม่มีอะไรต้องอายแล้วครับ อีกไม่กี่วันจะแต่งงานกันอยู่แล้ว ลืมเหรอ"
พี่ทาร์ตบอกเรื่องที่น่าตกใจมากกว่านั้นออกมา ผมถึงกับเบิกตาโตเพราะลืมไปซะสนิท เออว่ะ เพิ่งโดนขอแต่งงานไปเมื่อตอนรับปริญญา อีกไม่กี่วันก็จะจัดงานอยู่แล้ว โอย อะไรของผมวะเนี่ย สติหายไปอยู่ที่ไหน

"อะ... ลืมสนิทเลย
ผมพูดเสียงเบาแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความอาย จะแต่งงานอยู่แล้วแต่คิดอะไรเป็นตุเป็นตะ ขายขี้หน้าฉิบหายเลย โอ้ย

"เมียเอ้ยเมีย ต่อไปมีแววจะเป็นอัลไซเมอร์แน่ๆ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยเสียงสูงจนผมต้องลดมือลงแล้วมองหน้าเขาด้วยสายตาดุๆ ทำไมพูดแบบนี้วะ...

"ไม่หรอก พี่แช่งผมปะเนี่ย จะมีเมียน้อยเหรอ"
ผมจ้องเขม็งก่อนจะคว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้แน่น อย่าบอกนะว่านิสัยเดิมๆ กำลังจะหวนกลับมา

"เฮ้ยๆ เปล่าๆ ไม่ใช่แบบนั้น อย่าดุสิ"
พี่ทาร์ตรีบปฏิเสธเป็นพัลวันแล้วดึงมือของผมไปกุมเอาไว้อย่างแผ่วเบาก่อนจะกดจูบลงไป

"อย่าให้รู้นะครับว่าคิดจะนอกใจ"
ผมเหล่สายตามองเขาอย่างคนไม่สนิทใจ ใครจะไปรู้เรื่องอนาคตล่ะจริงไหม ตั้งแต่คบกันมาผมเลิกนิสัยคิดมากไม่ได้เลย เพราะทุกเรื่องของเขาสำคัญเสมอ

"คบมาตั้งขนาดนี้แล้ว ไม่นอกใจหรอกน่า"
พี่ทาร์ตกดจูบลงมาบนหน้าผากของผมคล้ายให้คำมั่นสัญญาก่อนจะเลื่อนลงมาขบเม้มริมฝีปากเบาๆ อย่างหยอกล้อ ไอ้บ้านี่ชอบฉวยโอกาสอยู่เรื่อย

"ให้มันจริงเถอะครับคุณว่าที่สามี"
ผมใช้มือทั้งสองข้างคล้องคอเขาไว้แล้วมองนิ่ง พี่ทาร์ตถึงกับหลุดยิ้มแล้วโน้มตัวลงมามอบจูบหวานละมุนให้กันอีกครั้ง

"เชื่อใจผมได้ครับคุณว่าที่ภรรยา"

ผมคิดว่าสูตรความรักของเราไม่ได้เพอร์เฟ็คหรอก แต่มันเป็นสูตรที่ลงตัวที่สุดแล้วต่างหาก




---------------------------------------------

จบแล้วฮับ ขอบคุณที่ติดตามกันมาอย่างยาวนาน
หลังจากนี้มาลุ้นกันเนอะว่าจะได้ตีพิมพ์หรือเปล่า

ทาร์ต/ปูน : รักทุกคนนะครับ /มินิฮาร์ท
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-06-2017 12:45:44
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 25-06-2017 12:56:03
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-06-2017 16:33:42
 :pig4: :pig4: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 25-06-2017 18:06:42
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 06-08-2017 03:35:46
                                         :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
                                 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 04-10-2017 16:55:57
ตอนกว่าจะรักกันได้ก็ปากแข็งนะพี่ทาร์ต พอเป็นแฟนกันนี่หวานเชียว
ขอบุณมากค่าา  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 20-07-2018 19:18:55
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 22-07-2018 06:47:29
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 25-07-2018 02:34:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 01-08-2018 12:20:11
 :3123:  :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 02-08-2018 02:20:16
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 03-08-2018 23:05:55
เพิ่งรู้ว่าคือนักเขียนคนเดียวกับเรื่องพี่ยูถึงว่ากลิ่นอายอบอุ่นเหมือนกันมากแต่พระเอกทุกคนก็ยังมีความหื่นสูง 5555555 ชอบมากค่ะ