♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว  (อ่าน 38321 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2017 10:06:02 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2017 11:13:19 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
เริ่มเรียน




'พี่ชายข้างบ้าน' เป็นบุคคลที่ยังอยู่ในความทรงจำแต่มันช่างเลือนลางเหลือเกิน สมัยเด็กๆ จำได้ว่าทุกๆ วัน 'พี่ทาร์ต' จะมาขลุกตัวอยู่ที่บ้านของผม เอาขนมจากที่ร้านมาฝากบ้าง มาช่วยสอนการบ้านบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะมาชวนกันเล่นเกมมากกว่า

เขาย้ายไปเรียนไฮสคูลที่อเมริกาโดยทิ้ง 'น้องชายข้างบ้าน' อย่างผมที่ตอนนั้นอยู่เพียงชั้นประถมเอาไว้ ในช่วงแรกๆ อาการติดพี่ทำให้งอแงอยู่บ่อยๆ จนพ่อแม่สงสารแต่ช่วยปลอบใจได้แค่อย่างเดียว ไม่สามารถส่งผมไปเรียนที่นั่นกับเขาได้ ก็รายจ่ายสูงลิบลิ่วขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นปัจจุบันนี้จะให้ตามไปเรียนก็ไหว

พี่ทาร์ตแก่กว่าผมหกปีถือว่าห่างกันพอตัว บางเรื่องความคิดของเราทั้งคู่ก็ต่างกันคนละแนว... ล่าสุดที่เราคุยกันคงเป็นเมื่อสามวันที่แล้วล่ะมั้ง อืม

'จะกลับไทยแล้วนะเว้ย อยากเจอชะมัดเลยน้องเปียกปูน - พี่ทาร์ต'

เกลียดแม่ง... บอกไม่รู้กี่รอบแล้วว่าให้เรียกปูนเฉยๆ เรียกชื่อเต็มทีไรรู้สึกว่าตัวเองเขียวๆ ดำๆ ทั้งๆ ที่มีผิวก็ขาวจนซีดอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่พี่ทาร์ตไปเรียนไฮสคูลยันจบปริญญาโท เรายังไม่เคยเจอหน้ากันสักครั้งเดียว ได้แต่คุยผ่านทางโซเชี่ยล เห็นรูปถ่ายบ้างประปรายเลยอดตื่นเต้นไม่ได้ที่พรุ่งนี้จะได้เจอกันตัวเป็นๆ ผ่านมาเก้าปีแล้วสินะ... ความสนิทสนมมันก็คงเจือจางลงไปมาก อาจจะต้องเริ่มต้นทำความรู้จักกันใหม่ด้วยซ้ำล่ะมั้ง

ผมยังคงนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงแม้เวลาจะล่วงเลยเข้าช่วงเที่ยงวันเพราะไม่มีใครอยู่บ้าน ท้องไม่ได้ประท้วงว่าหิวเลยสักนิด คงเป็นเพราะเกิดความตื่นเต้นที่จะได้เจอเขาล่ะมั้ง คิดถึงจนไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ยังไง แต่ที่แย่กว่านั้นคือควรวางตัวยังไง เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว จะให้ปฏิบัติเหมือนตอนเป็นเด็กคงไม่ใช่ แล้วอีกอย่างคือพี่ทาร์ตจะพาแฟนกลับมาที่บ้านด้วย เชื่อว่าป้าอุ่นคงโวยวายบ้านแตกแน่ๆ

Rrrrr

เสียงริงโทนดังขึ้นจนผมต้องรีบเอื้อมมือไปหยิบเครื่องมือสื่อสารจากบนหัวเตียงขึ้นมาดูหน้าจอ มันปรากฏชื่อคนโทรเข้าเป็นภาษาอังกฤษ P' Tart แปลกใจเล็กน้อยที่อยู่ๆ เขาก็โทรมาแบบนี้ ร้อยวันพันปีไม่เคยใช้เสียงคุยกัน มีแต่พิมพ์ตัวหนังสือเท่านั้น ผมลังเลอยู่สักพักแต่ก็ยอมเลื่อนหน้าจอรับสาย

"ฮัลโหล"
ผมกรอกเสียงราบเรียบลงไปและพยายามควบคุมอาการตื่นเต้น เพราะนี่นับเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ยินเสียงเขาผ่านโทรศัพท์ ไม่ใช่ดูไลฟ์สดผ่านโซเชี่ยล ปลายสายเสียงดังเล็กน้อยอาจจะกำลังปาร์ตี้เลี้ยงส่งอยู่ก็เป็นได้

'ไฮ ~ น้องปูนของพี่'
คำทักทายแรกจากเขามาพร้อมเสียงทุ้มนุ่มที่ทำให้ใจกระตุก ไม่เคยคิดเลยว่าบุคคลที่หล่อเหลาคมคายติดโหดจะเสียงละมุนขนาดนี้ แล้วมันคืออะไรที่เรียกว่าน้องปูนของพี่วะ ไปเป็นของมันเมื่อไหร่เนี่ย

"อะไรของพี่วะ เมาเหรอ"
ผมถามกลับไปก่อนจะขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงดังแทรกเขามา ไม่ใช่ว่าปาร์ตี้ไปนัวเนียผู้หญิงไปนะ น่าเกลียดฉิบหาย

'เมา... เปล่า คอทองแดงขนาดกินไวน์แทนน้ำเนี่ยนะ เด็กๆ น่า'
เสียงกลั้วหัวเราะตอบกลับมาได้อย่างน่าหมั่นไส้ ใครจะไปรู้ชีวิตพี่ล่ะวะว่าดื่มไวน์แทนน้ำก็ได้ด้วย ไม่ได้เจอกันตั้งเก้าปีใครมันตรัสรู้ได้บ้างถ้าเจ้าตัวไม่บอก คิดแล้วก็น่าหงุดหงิด พรุ่งนี้เบี้ยวไม่ไปรับที่สนามบินให้นั่งแท็กซี่กลับบ้านให้เข็ด หลงทางก็ช่างแม่ง

"ขี้คุย แล้วโทรมามีอะไรครับ พี่ทาร์ตปาร์ตี้อยู่ไม่ใช่เหรอ"
แอบแขวะไปเล็กน้อยให้ปลายสายสำนึกผิด แต่เปล่าเลย เขาหัวเราะเสียงใสกลับมาให้ผมได้เบะปากหมั่นไส้เล่นๆ เสี่ยงลองถามไปว่าเขาปาร์ตี้อยู่นั้นเป็นความจริงหรือเปล่า ก็เสียงเพลงมันดัง เสียงคนรอบข้างก็น่าหงุดหงิด โหวกเหวกโวยวายอะไรนักหนาก็ไม่รู้

'แค่โทรมาเตือนว่าพรุ่งนี้อย่าลืมไปรับพี่ที่แอร์พอร์ตด้วย เออ... พี่ปาร์ตี้อยู่ เสียงดังเกินไปปะวะ'
ที่แท้ก็กลัวว่าผมจะลืมไปรับเขา จริงๆ ก็กังวลอยู่นิดหน่อยนะ เพราะไม่รู้ว่าหน้าตาของพี่ทาร์ตกับในรูปถ่ายเหมือนกันมากแค่ไหน ขืนไปทำตัวป้ำๆ เป๋อๆ ต่อหน้าเขาก็แย่ดิ ไม่อยากทำให้การพบกันครั้งใหม่เป็นความทรงจำที่แย่สักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้อยากจะด่าให้หูชาเหลือเกิน เพิ่งรู้เหรอว่าฝั่งตัวเองเสียงดังมากแค่ไหน หึ!

"ไม่ลืมหรอกน่า ผมไม่ใช่ปลาทองสักหน่อย พี่กลับไปปาร์ตี้เหอะครับ"
ออกปากไล่ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อยและลุกขึ้นนั่งก่อนจะใช้มือขยี้หัวไปมา ตอนนี้เริ่มหิวแล้วสิ ต้องไปอาบน้ำแล้วลงไปหาอะไรยัดใส่ปากสักที

'โอเค อือ เจนอย่าเพิ่งจูบสิครับ ไอคุยกับน้องอยู่นะ'

"....."
เหี้ยอะ โคตรเหี้ยเลย ไม่ได้อยากรับรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพี่ทาร์ตกับใครทั้งนั้น แม่ง โคตรประเจิดประเจ้อ จะว่าอิจฉาอยู่เล็กๆ ก็คงใช่ ก็ผมมันไม่มีแฟนนี่หว่า หน้าตาก็ธรรมดาไม่ได้โดดเด่นอย่างใครเขา

'ยูต้องสนใจไอสิทาร์ต ไอเป็นเกิร์ลเฟรนด์ของยูนะ'
อ่าว... ผมนี่หมาเลยครับ ก็เข้าใจว่าเธอเป็นแฟน แต่พี่ทาร์ตคุยกับผมไม่ถึงสิบนาทีเนี่ยนะ จะเรียกร้องความสำคัญอะไรขนาดนั้น พี่เจนอะไรนี่คงไม่ถูกชะตากันแน่ๆ

'เออๆ ไอสนใจเจนก็ได้... ปูนๆ ยังอยู่ปะ'
พี่ทาร์ตถามกลับมาด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิด ผมเดาว่าต้องโดนพี่เจนอะไรนั่นทำหน้างอใส่อยู่แน่ๆ มีแฟนเป็นผู้หญิงก็ลำบากนะบางที แต่จะให้มีแฟนเป็นผู้ชายเขาก็คงไม่เอาหรอกมั้ง ได้ข่าวว่าเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ

ผมถอนหายใจเล็กน้อยเพราะรอสายอยู่นานแล้ว รอจนจะถอดเสื้อผ้าเสร็จแล้วด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าโทรศัพท์แนบหูอยู่คงเปลือยล่อนจ้อน ปากบางเบ้ออกด้วยความเบื่อ เสียงพี่เจนง้องแง้งเป็นภาษาอังกฤษรัวๆ ลอดมาตามสาย เฮ้อ ไปเคลียร์กันให้จบๆ เหอะ ประสาทจะเสีย

"อยู่ครับ พี่ทาร์ตควรวางสายแล้วไปเคลียร์กับแฟนสักที น่ารำคาญอะ"

'โว้ เจ้าอารมณ์จังนะน้องปูน โอเคๆ วางสายแล้วครับ พรุ่งนี้เจอกัน จุ๊บ'
แล้วสายก็ตัดไปพร้อมกับผมที่สบถคำด่าตามหลังไปเป็นกระบุง เป็นเหี้ยอะไรต้องมาจุ๊บส่งท้ายให้ขนลุกขนพองด้วยวะ แม่งเอ้ย

ผมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็พาขายาวๆ ก้าวลงจากบันไดทีละขั้นอย่างไม่รีบร้อน ภายในบ้านเงียบสงบจนน่าวังเวง แต่ก็ยังแว่วเสียงไอ้ฟ่อนดังมาจากข้างบ้าน ไม่รู้โหวกเหวกโวยวายอะไรของมัน น่ารำคาญฉิบหาย ถึงจะเป็นน้องแท้ๆ ของพี่ทาร์ตแต่นิสัยต่างกันราวฟ้ากับเหว

คนพี่จะออกแนวเฮฮาปาร์ตี้ไม่คิดอะไรมาก แต่คนน้องจะขี้โวยวายขี้หงุดหงิดเอาแต่ใจสารพัดสารเพไปหมด บางทีผมไปนั่งเล่นกับมันก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาดื้อๆ อีกอย่างคือพี่ทาร์ตกับชิฟฟ่อนอายุห่างกันแปดปี เท่ากับมันเป็นน้องของผมสองปี

"พี่ปูน!!"
เสียงไอ้ฟ่อนตะโกนดังมาจากรั้วข้างบ้านทำให้ผมที่กำลังจะเดินผ่านหน้าต่างบานกระจกใสต้องหยุดชะงักแล้วเปลี่ยนทิศทางไปคุยกับมันแทน ขืนทำเป็นไม่ได้ยินหรือไม่สนใจคงบุกมาหาถึงบ้านแน่ๆ

ผมตรงเข้าไปเปิดบานกระจกหน้าต่างออกแล้วยืดตัวออกไปเพื่อจะคุยกับฟ่อน สีหน้าท่าทางของมันดูจะตื่นเต้นอยู่มาก ให้เดาคงไม่พ้นเรื่องพี่ทาร์ต... แต่จะว่าไปทางนั้นก็บินไปหาบ่อยนี่หว่า

"มีอะไรวะฟ่อน เสียงดังฉิบหาย ไม่กลัวคนข้างบ้านเอาขวดปาหัวหรือไง"
ผมว่ามันด้วยเสียงดุๆ แล้วเท้าแขนลงบนขอบหน้าต่าง ไอ้ฟ่อนเบะปากลงจนเป็นเส้นโค้งบ่งบอกว่ากำลังไม่พอใจ แต่ไม่กล้าโวยวายหรอกเพราะผมจะด่ามันทันทีที่ทำตัวงี่เง่าใส่

"คนข้างบ้านฟ่อนมันก็พี่ปูนไม่ใช่เหรอไง"
มันยอกย้อนกลับมาด้วยใบหน้าเซ็งๆ ที่พูดไปเมื่อครู่ผมหมายถึงคนอื่นๆ บริเวณรอบๆ ปะวะ กูคงไม่เอาแค่ขวดปาอะ ขอระเบิดเลยแล้วกัน

"คุยกับมึงแล้วปวดหัว"
ผมยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ พร้อมกับเบ้ปากใส่ไอ้ฟ่อนที่ยืนเบะปากอยู่ริมรั้ว ไม่พอใจแล้วชอบทำตัวอย่างกับเด็กผู้หญิงขี้งอน อนาคตป้าอุ่นคงมีลูกเขยแน่ๆ ผมฟันธงเลย คิดแล้วก็เพลียแทนว่ะ

"พี่ปูนอะปากร้าย เพราะแบบนี้ไงเลยหาแฟนไม่ได้สักที"
ได้ทีด่ากูอีกไอ้เด็กเวรเอ้ย! ไม่วายยังย่นจมูกใส่อีก ผมทำท่าจะปีนหน้าต่างออกไปกระทืบมันให้จมดินอยู่รอมร่อแต่ไอ้ฟ่อนไหวตัวทันแล้วหลบไปอยู่หลังต้นไม้ซะอย่างนั้น คิดว่ามันจะบังตัวเองได้หรือไง แต่ผมขี้เกียจออกแรงว่ะ เมื่อวานไปวิ่งมาเมื่อยขาจะแย่

"ปากวอนหาตีนนะไอ้ฟ่อน กูจะมีหรือไม่มีแฟนหนักหัวมึงมากหรือไง พูดอย่างกับตัวเองมี"
ผมยืนกอดอกพิงขอบหน้าต่างแล้วมองไอ้เด็กที่โผล่หัวออกมาจากหลังต้นไม้ มันส่งยิ้มแห้งๆ มาให้กันก่อนจะทำการใหญ่โดนลากบันได้แล้วปีนข้ามรั้วมาหา เดี๋ยวนะ... ประตูบ้านก็มีทำไมมึงไม่เข้าทางนั้นวะ โอ๊ย สติ! เสือกเสียหลักกลิ้งลุนๆ บนสนามหญ้าอีก กูจะบ้าตาย

"โอย เจ็บๆ พี่ปูนมาช่วยฟ่อนหน่อย"
ไอ้ฟ่อนนอนร้องโอดโอยอยู่ในสนามข้างบ้าน ผมปีนขอบหน้าตาที่อยู่แค่ระดับขาอ่อนออกไปแล้วยืนค้ำหัวมันอยู่เฉยๆ ดวงตาคมมองด้วยความสะใจ ทางดีๆ ให้เข้าก็มีดันไม่เข้า ชอบทำอะไรที่มันผาดโผนก็สมควรแล้วล่ะ จะไปช่วยให้เปลืองแรงเพื่ออะไรไม่ทราบ

"ตกลงมาเองก็ลุกขึ้นเองสิวะ ประตูก็มีทำไมไม่เข้ามาทางนั้น ประสาทนะมึง"
ผมใช้เท้าเตะไหล่มันไปเบาๆ แล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งที่โต๊ะในสวน ไอ้ฟ่อนทำลุกขึ้นด้วยตัวเองก่อนจะใช้มือปัดเศษหญ้าออกแรงๆ ท่าทางแบบนั้นคงหงุดหงิดแล้วล่ะ แต่ใครจะสน ทำตัวเองทั้งนั้นและผมไม่จำเป็นต้องแคร์

"พี่ปูนแม่ง ตลอดอะ ไม่เคยรักฟ่อนเลย รักแต่พี่ทาร์ตสินะ"
พูดเสียงง้องแง้งแล้วทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามด้วยใบหน้าบึ้งตึง ดวงตากลมที่มองมาฉายแววไม่พอใจอย่างไม่ปิดบัง ถือว่าเป็นข้อดีของน้องมันนะที่เป็นคนเปิดเผย รู้สึกยังไงก็แสดงออกทางสีหน้าและท่าทางจนหมดเปลือก ผมไหวไหล่อย่างไม่สนใจคำพูดของมันสักเท่าไหร่ บอกไม่ได้หรอกว่ารักพี่ทาร์ตมากกว่าฟ่อนหรือเปล่า ห่างหายกันไปตั้งหลายปีแล้วนี่นา

"ไม่รู้เว้ย ก็มึงซุ่มซ่ามเองปะฟ่อน แล้วนี่ป้าอุ่นไม่อยู่หรือไง"

"ชิ เออๆ ซุ่มซ่ามเองล่ะ แม่ออกไปวัดกับญาติๆ อะ กลับอีกทีคงตอนบ่ายเลยมั้ง"
มันพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ สีหน้าราบเรียบไม่บอกอารมณ์ใดๆ ไอ้ฟ่อนเป็นเด็กที่ไม่ชอบคลุกคลีกับญาติตัวเองสักเท่าไหร่เพราะเคยโดนพวกเขาหาว่าบุคลิกไม่แมน โตมาคงเป็นตุ๊ด เป็นผมก็ไม่อยากจะสุงสิงกับใครที่ตัดสินเราจากภายนอกเหมือนกัน แต่ถึงจะเป็นตามที่เขาว่าจริงๆ แล้วมันจะหนักหัวใครที่ไหน ในเมื่อป้าอุ่นเองบอกว่ายอมรับสิ่งที่ลูกเป็นได้ทั้งนั้น เป็นแม่ที่โคตรประเสริฐจริงๆ

"อืม กินอะไรมาหรือยัง"
ผมถามออกไปเผื่อว่าตอนไปเอาข้าวมานั่งกินจะได้ตักให้มันด้วย ฟ่อนส่ายหัวเป็นคำตอบ ดูจากรูปการณ์แล้วป้าอุ่นคงออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แล้วเด็กในร้านขนมคงไม่ได้ซื้ออะไรติดไม้ติดมือมาฝากแน่ๆ

"ยังเลยพี่ปูน ขอฝากท้องด้วยได้ปะ"
มันพูดด้วยน้ำเสียงออกอ้อนแถมยังขยับเข้ามาใกล้แล้วเอาหน้าถูกับไหล่ผมอีก รู้สึกขนลุกซู่จนต้องผลักหัวไอ้ฟ่อนออกไปห่างๆ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นขยะแขยงเมื่อโดนน้องตวัดสายตามอง

"เออ... อ้อนก็ไม่ได้ คนอะไรโคตรแข็งกระด้างเลย"
พูดจบก็เบะปากใส่กันซะอย่างนั้น และด้วยความหมั่นไส้ผมเลยเอื้อมมือไปดึงแก้มไอ้ฟ่อนจนยืดออก มันโวยวายปัดป่ายยกใหญ่คงจะเจ็บ แต่ผมกลับสะใจว่ะ ขี้งอนอย่างกับผู้หญิง ทุกวันนี้สงสัยว่าตอนเกิดน้องมันคงหยิบอวัยวะเพศมาผิดแน่ๆ

"มาขอฝากท้องไม่พอแถมยังด่ากูอีก... กลับบ้านไปหาแดกเอาเองไป"
ผมออกปากไล่แล้วโบกมือแถมไปด้วย แต่แทนที่มันจะออกอาการฮึดฮัดใส่แบบปกติที่เคยทำกลับนั่งนิ่งๆ ก่อนจะส่งสายตาอ้อนวอนมาให้กัน มันต้องมีอะไรมากกว่าการมาฝากท้องแน่ๆ ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงตั้งคำถามและไม่นานปากสีชมพูบางๆ นั่นก็พูดเรื่องที่ต้องการออกมา

"อย่าไล่น้อง ฟ่อนขอโทษนะพี่ปูน ~ พรุ่งนี้ขอไปรับพี่ทาร์ตด้วยได้ไหมอ่า"
กูว่าแล้วว่าต้องมาเรื่องพี่ทาร์ตแน่ๆ ผมเหล่มองมันด้วยความสงสัย แค่ไปรับพี่ทาร์ตกลับบ้านแค่นี้ทำไมต้องอยากไปด้วย ได้ข่าวว่าเดือนที่แล้วก็แห่ไปเยี่ยมที่อเมริกามาหมาดๆ คงไม่ใช่เพราะความคิดถึงแน่ๆ ทำไมชอบมีเรื่องอื่นแอบแฝงตลอดวะ

ฟ่อนส่งยิ้มหวานมาให้กัน ปากบางสีชมพูคลี่ยิ้มสดใสอย่างเอาใจ มันก็ดูน่ารักน่าจับกดอยู่หรอก แต่ความรู้สึกตงิดๆ ว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นคืออะไร ตาขวากระตุกยิกๆ ขนาดนี้... ฉิบหายแน่ๆ

"ฟ่อน เอาตรงๆ มึงจะไปรับพี่ทาร์ตที่สนามบินทำไม"
ผมถามเสียงนิ่งแล้วใช้ดวงตาคมมองบุคคลที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กัน ฟ่อนเม้มปากอย่างครุ่นคิดก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ท่าทางเหมือนคนกำลังหงุดหงิด หรือว่า...

"ฟ่อนไม่ชอบพี่เจนอะไรนั่น ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมพี่ทาร์ตก็โดนผู้หญิงคนนี้แย่งความสนใจไปตลอด"
คิดไว้ไม่มีผิดว่าต้องเกี่ยวกับพี่เจนอะไรนั่นแน่ๆ เพราะผมเพิ่งโดนเธอแย่งความสนใจไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อสักพักที่ผ่านมานี่เอง ฟ่อนเบ้ปากและทำหน้าตาไม่สบอารมณ์ มือบางกำหมัดไว้แน่นก่อนจะทุบลงกับโต๊ะแรงๆ ผมไม่ได้ห่วงน้องนะแต่กลัวโต๊ะจะพังมากกว่า พอดีซื้อมาแพง

"เออ แล้วมึงจะไปทำอะไรเขาไม่ทราบ จะงัดข้อกับพี่ทาร์ตหรือไง ไล่พี่เจนกลับอเมริกางี้เหรอ"
ผมถามน้องออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แสดงอาการใดๆ ทั้งที่ในใจก็สนับสนุนให้ฟ่อนอาละวาดใส่พี่ทาร์ตเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ไม่มีสิทธิ์อะไรขนาดนั้นไงเป็นแค่น้องชายข้างบ้านที่ไม่ได้สนิทกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไปก้าวก่ายชีวิตเขาเดี๋ยวจะโดนหาว่าเสือกอีก มันเจ็บปวด

"พี่ทาร์ตไม่ได้จริงจังอะไรกับพี่เจนหรอก ผมว่าคงคบกันเพราะเรื่องเซ็กซ์อะ บางครั้งก็ดูเหมือนเขาไม่ได้รักกัน"
ฟ่อนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ สีหน้าดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับความสัมพันธ์แบบนั้นของพี่ชายตัวเอง เรียนจบป.โทนี่มันก็อายุเยอะแล้วนะ จะไม่คบใครให้เป็นเรื่องเป็นราวแล้วแต่งงานมีครอบครัวบ้างเหรอ หรือน้องมันแค่มโนไปเองเพราะไม่ชอบพี่เจนวะ ผมสงสัยจริงๆ

"เดี๋ยวไอ้ฟ่อน แล้วมึงไปรู้เรื่องเขาลึกขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ไปนอนใต้เตียงเขามาหรือยังไง ถึงได้รู้ว่าระหว่างพี่ทาร์ตกับพี่เจนคบกันแค่เรื่องบนเตียง"
ผมขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อถามจบแล้วยื่นหน้าเข้าไปมองไอ้ฟ่อนใกล้ๆ อย่างต้องการคำตอบ คนเราจะพูดอะไรออกมาสักอย่างนั้นมันต้องมีมูลล่ะ... น้องเป็นคนช่างสังเกตอาจจะมีอะไรที่ผิดแปลกออกไปล่ะมั้ง ไม่รู้สิ ผมไม่เคยมีแฟนและไม่เคยเจอพี่ทาร์ตกับพี่เจนตอนคบกันสักหน่อย

"พี่ปูน... อย่าเข้ามาใกล้ดิ หายใจลำบากอะ"
ฟ่อนพูดเสียงตะกุกตะกัก ใบหน้าหวานๆ นั่นแดงระเรื่ออย่างน่ารัก แต่ผมถึงกับต้องผละตัวออกห่างอย่างรวดเร็วเพราะลืมไปแล้วว่าน้องมันแอบชอบ... ก็นะ มันไม่ได้เป็นตุ๊ดอะไรอย่างที่ญาติกล่าวหาหรอกแต่เป็นเกย์... รับด้วย

"เมื่อไหร่จะเลิกชอบกูสักทีวะฟ่อน ไปหาคนใหม่ที่เขารักมึงเถอะ รอกูไปก็เสียเวลาเปล่าๆ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วยกมือขึ้นลูบหัวเด็กน้อยที่ทำหน้าหงอยอยู่ใกล้ๆ ฟ่อนส่ายหน้าเบาๆ เพื่อปฏิเสธคำแนะนำทิ้ง ไม่รู้ว่าน้องถูกใจอะไรผมนักหนา แต่นับถือที่มันกล้าเดินเข้ามาบอกตรงๆ ว่าชอบกัน ไม่ได้รังเกียจอะไร แต่สำหรับผมแล้วคนตรงหน้าก็แค่น้องชายคนหนึ่งที่ไม่สามารถคิดเกินเลยได้จริงๆ

"ถ้าเลิกชอบได้ง่ายๆ ฟ่อนทำไปแล้วปะวะ จะมานั่งรอคนไร้หัวใจอย่างพี่ปูนไปทำไม รู้ปะว่านิสัยพี่กับพี่ทาร์ตคล้ายๆ กันนะถึงมันจะคนละโลกเลยก็เถอะ เพราะคนหนึ่งสนุกกับคู่ควงไปวันๆ แต่ไม่ได้รัก ส่วนอีกคนสนุกกับการใช้ชีวิตประจำวันแต่ไม่ยอมรักใคร ฟ่อนอยากรู้ว่าพวกพี่กำลังรออะไรกันอยู่ อยากรู้ว่าคนที่พวกพี่จะยอมมอบความรักให้หน้าตาเป็นยังไง"

"....."
เออว่ะ ผมรออะไรอยู่กันแน่ ที่ยังไม่ยอมมีแฟน คนมาจีบก็มีบ้างนั่นล่ะ แต่พอเผลอใจรู้สึกดีด้วยก็ดึงสติกลับและเลิกคุยกับเขาไปซะอย่างนั้น แล้วพี่ทาร์ตล่ะรออะไรอยู่ทั้งๆ ที่ก็มีแฟนมาตั้งหลายคนแต่ไม่ยอมมอบความรักให้ใครสักที นี่เรียกว่าความเหมือนที่แตกต่างปะ โคตรงง

"หรือต่างฝ่ายต่างรอกันและกันอยู่"
ฟ่อนมองลึกเข้ามาในดวงตาของผมคล้ายกับต้องการค้นหาคำตอบบางอย่างที่เขากำลังสงสัย แต่มันไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก เพราะตัวผมยังไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร ความรักหน้าตาเป็นแบบไหนกันแน่เพราะไม่เคยมอบความรู้สึกแบบนั้นให้ใครที่ไหนมาก่อน

แต่... เรื่องเชี่ยอะไรของไอ้ฟ่อนที่หาว่าผมรอพี่ทาร์ตแล้วพี่ทาร์ตก็รอผมวะเนี่ย นั่นผู้ชายนี่ก็ผู้ชาย จะรออีกฝ่ายหาพระแสงของ้าวอะไรกัน มันคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่สุดแล้วในโลกนี้ จำไว้!!




----------------------------------------------------

แอบมาลงอินโทรเรื่องใหม่ล่ะ คึคึ ฝากติดตามกันด้วยน้า


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ตลอดไปเสียหน่อยนะ

ออฟไลน์ maekkun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ติดตามค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3593
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
ติดตามจ้า

ออฟไลน์ karamailpraleen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ชื่อน่ากินจังเลย :hao6: จะมีคนมาดามใจฟ่อนไหมนะ

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
รอติดตามค่ะๆ :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 1


Nutella Cheese Pie

: แครกเกอร์/เนยจืด/ครีมชีส/น้ำตาลไอซิ่ง/นูเทลล่า/วิปปิ้งครีม/สตอเบอร์รี่(สำหรับตกแต่ง) :




อากาศช่วงเช้าในวันนี้ร้อนอบอ้าวจนต้องสละผ้าห่มเร็วกว่าเวลาอันสมควร มือเรียวควานหารีโมทเครื่องปรับอากาศที่ตั้งไว้ข้างๆ ตัวแล้วกดปุ่มให้ความเย็นเพิ่มขึ้นอีกเพื่อจะได้นอนต่ออย่างสบาย แต่ความคิดนั้นกลับหยุดชะงักเมื่อนาฬิกาปลุกแผดเสียงเตือนซะลั่นห้องนอน ผมขยี้ตาด้วยความงัวเงียแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแทน พอเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอในใจก็ร้องอุทานดังมากว่า... ฉิบหาย! ตอนนี้เวลาเกือบจะแปดโมงครึ่งเข้าไปแล้ว พี่ทาร์ตจะแลนดิ้งตอนเก้าโมงตรง ตายแน่ๆ จะโดนด่าไหมเนี่ย นัดกันครั้งแรกในรอบหลายปีผมก็ดันจะสายซะแล้ว

ผมดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงอย่างรีบร้อน ผ้าห่มพันแข้งขาไปมาจนสะดุดล้มลงกับพื้น กว่าจะพาตัวเองไปห้องน้ำได้ก็หัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่นานหลายนาที สุดท้ายเลยตัดสินใจว่าแค่ล้างหน้าแปรงฟันก็พอเพราะขืนช้ากว่านี้ที่สนามบินรถจะเยอะ ในตอนแรกไอ้ฟ่อนจะไปด้วยกันแต่สุดท้ายมันก็ติดนัดของทางโรงเรียนซะอย่างนั้น นี่มันวันเสาร์นะจะให้เรียนหรือทำกิจกรรมอะไรนักหนาก็ไม่รู้ บางครั้งก็รู้สึกดีที่หลุดพ้นวัยมัธยมมาได้ แต่บางครั้งก็รู้สึกอยากกลับไปตรงจุดนั้นเพราะวัยมหา'ลัยวุ่นวายจนน่าปวดหัวเหมือนกัน ปิดเทอมก็ไม่มีอีกเพราะคณะและสาขาที่ผมเรียนต้องไปซัมเมอร์ที่เกาหลีในเทอมสาม...

เสียงวิ่งลงบันไดดังลั่นจนคนที่อยู่ในครัวโผล่หน้าออกมาต้อนรับกันด้วยน้ำเสียงดุๆ ปกติผมจะเป็นเด็กดีเสมอ แม่สั่งอะไรก็ทำตาม แต่วันนี้ขอแหกกฏหน่อยแล้วกัน รีบจริงๆ

"แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามวิ่งลงบันไดแบบนั้น ถ้าตกลงมาแข้งขาหักจะทำยังไง"
น้ำเสียงนุ่มๆ หวานๆ แต่แฝงไปด้วยความดุเอ่ยขึ้น ผมหันไปยิ้มแหยๆ ให้แม่แล้วเข้าไปกอดอ้อนเพื่อลบล้างความผิดของตัวเองทันที การที่เป็นลูกคนเดียวมันก็ดีนะ ไม่มีตัวเปรียบเทียบตอนทำผิดให้ได้น้อยใจหรอก

"ปูนระวังแล้วนะแม่ แต่วันนี้รีบจริงๆ"
ผมบอกก่อนจะยืดตัวขึ้นมาหอมแก้มแม่ไปฟอดใหญ่ เธอขมวดคิ้วแล้วผละตัวออกห่างไปเล็กน้อยเพื่อมองหน้ากัน สายตาเต็มไปด้วยคำถาม คงอยากรู้สินะว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมีธุระอะไรรีบร้อนขนาดนั้น

"ธุระอะไรวันหยุดล่ะปูน จะออกไปไหน"
แม่ถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจแล้วขมวดคิ้วใส่กัน ผมคลี่ยิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยบอกเธออย่างตื่นเต้นว่ากำลังจะไปทำอะไร

"ไปรับพี่ทาร์ตที่สนามบินครับแม่ เขากลับมาไทยแล้ว!"
ผมบอกก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปกอดแม่แน่นๆ หลังพูดจบ ในตอนแรกไม่คิดเลยว่าตัวเองจะตื่นเต้นได้ขนาดนี้แค่จะได้เจอคนที่หายหน้าหายตาไปนานเกือบสิบปีก็เท่านั้นเอง... แม่ง เป็นใครกันวะมาทำให้คนอื่นเขาทำตัวไม่ถูกแบบนี้ ได้ข่าวว่าก็แค่พี่ชายข้างบ้านคนหนึ่งเท่านั้น

"โอ้ยลูก เบาๆ หน่อยค่ะ พี่เขากลับมาแล้วเหรอ ให้แม่ไปด้วยไหม"
แม่พูดด้วยน้ำเสียงดีใจไม่แพ้กันแล้วดันไหล่ให้ผมปล่อยเธอออกจากอ้อมกอด เผลอตื่นเต้นเกินไปหน่อยเลยควบคุมตัวเองไม่อยู่สักเท่าไหร่

"ไม่ดีกว่าครับ แม่รออยู่ที่บ้านนี่ล่ะ ไม่เกินเที่ยงปูนคงกลับบ้านมาพร้อมพี่ทาร์ต"
ผมไม่อยากให้แม่ต้องลำบากเดินทางเพราะบ้านของเราอยู่ในตัวเมืองแต่สนามบินกลับอยู่อีกอำเภอ ซึ่งนับว่าไกลอยู่พอตัว ประเด็นสำคัญคือเธอเมารถน่ะ... ทรมานแย่

"งั้นก็รีบไปรีบกลับ กุญแจรถอยู่ในตู้เซฟเล็กของป๋านะ"
แม่บอกที่เก็บกุญแจรถเสร็จสรรพแต่ผมส่ายหน้าพรืดเพราะไม่อยากเอารถราคาแพงของป๋าออกไปขับหรอก ไม่ไว้ใจความสามารถในการขับรถของตัวเองสักเท่าไหร่

"ไม่ๆ เอารถผมไปนี่ล่ะครับ"
ผมพูดรัวจนแม่หลุดขำ ที่เธอเสนอให้เอารถป๋าไปก็เพราะว่าเจ้ามินิคูเปอร์ยังอยู่ในสภาพเลอะโคลนเต็มไปหมด ไม่มีเวลาเอาไปล้าง คิดดูสิว่าสีขาวมันจะสกปรกขนาดไหนกัน... เอาไปลุยตอนฝนตกมานั่นล่ะ อีกอย่างคือป๋าไปต่างประเทศด้วยล่ะ

"สกปรกมากเลยนะปูน พี่ทาร์ตจะว่ายังไงล่ะหื้ม"
แม่เอื้อมมือมาดึงแก้มกันแล้วคลี่ยิ้มบางด้วยความเอ็นดู ผมมุ่ยหน้าลงเมื่อคิดว่าอีกคนจะล้อเรื่องสภาพรถที่ดูไม่จืด คนเขาอุตส่าห์เสียเวลาไปรับเชียวนะ ไม่อยากนั่งก็ไม่ต้องนั่ง เรียกรถแท็กซี่ แอร์พอร์ตบัส ไม่ก็รถสองแถวกลับบ้านเองเลยก็แล้วกัน!

"ช่างหัวพี่ทาร์ตดิแม่ ผมไปรับก็บุญแล้วเนี่ย"
ผมบ่นเสียงอุบอิบในลำคอแต่แม่หูดีเกินไปจึงมองกันด้วยสายตาดุๆ รู้อยู่หรอกว่าไม่ควรพูดอะไรแบบนั้นกับคนที่อายุมากกว่าตัวเองเกือบสิบปี แต่มันอดไม่ได้นี่หว่า... แอบหมั่นไส้เรื่องที่เขากับแฟนจู๋จี๋กันผ่านโทรศัพท์ให้ฟังด้วยเถอะ อิจฉาว่ะ

"ปูน ไม่พูดแบบนั้นค่ะ จะไปรับพี่เขาก็รีบๆ เลย ขับรถดีๆ ล่ะ"

"ครับๆ ปูนไปแล้วนะ"

ผมขับเจ้ามินิฯ คู่ใจตรงออกจากใจกลางเมืองภูเก็ตมุ่งหน้าไปตามถนนสายหลักเพื่อไปสู่สนามบินนานาชาติที่ตั้งอยู่ในอำเภอถลาง ในวันเสาร์ช่วงเช้าแบบนี้จราจรไม่ค่อยติดขัดสักเท่าไหร่เนื่องจากเป็นวันหยุด ถ้าวันปกติล่ะก็... แทบจะเรียกว่ากรุงเทพฯ ขนาดย่อมเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่ถนนโล่ง ตัวเลขดิจิตอลบอกอัตราความเร็วอยูที่หนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งอีกประมาณสามสิบนาทีก็จะถึงที่หมาย

ตอนนี้สารภาพเลยว่าท้องร้องโครกครากเพราะยังไม่ได้กินอาหารเช้า อยากจะแวะซื้ออะไรในเซเว่นสักหน่อยก็เกรงใจคนที่รออยู่ เหลือบตามองเวลาที่คอนโซลรถแล้วต้องถอนหายใจ ฉิบหายแล้วไงเก้าโมงครึ่ง แต่แปลกตรงที่อีกฝ่ายไม่โทรตามกันเลยด้วยซ้ำทั้งๆ ที่เครื่องน่าจะแลนด์ดิ้งได้สักพักแล้วหรือกำลังจูงมือแฟนสวีทอยู่ในสนามบิน... เหอะๆ

ผมเลี้ยวซ้ายเข้าประตูสนามบินตอนเวลาเกือบสิบโมง มือข้างหนึ่งควานหาเครื่องมือสื่อสารเพื่อจะติดต่ออีกคนแต่เป็นจังหวะพอเหมาะที่มีสายเรียกเข้าจากเขาพอดี แหม... เหมือนรู้ใจเลยว่ะ ดีเหมือนกันจะได้ไม่เปลืองค่าโทร

"ฮัลโหลพี่ทาร์ต"
ผมสไลด์หน้าจอเพื่อกดรับแล้วกรอกเสียงลงไปก่อนบังคับรถไปที่จุดรับผู้โดยสารขาเข้า

'ไฮ ~ ถึงยังวะ พี่ยืนรออยู่หน้าประตู'
อีกคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติไม่ได้แสดงอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด ผมสอดส่องสายตาจนเห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ผิวขาวออร่า สวมแว่นตาสีชายืนสะพายเป้ใบโตและที่พื้นยังมีกระเป๋าเดินทางใบยักษ์อีก มั่นใจว่าเป็นเขานั่นล่ะ แต่แปลกใจเล็กน้อยเพราะส่วนสูงกับร่างกายของเขานั่นล่ะ ตัวใหญ่ฉิบหาย... หุ่นดีโคตรๆ น่าอิจฉา

"ถึงแล้วดิ พี่ใส่เสื้อกล้ามสีดำสะพายเป้แล้วก็ใส่แว่นตาสีชาๆ ปะ"
ผมบรรยายสิ่งที่เห็นในระยะไกลออกไปเพราะตอนนี้รถกำลังจอดรับผู้โดยสารอยู่หลายคัน ถ้าใจร้อนอยากกลับบ้านคงต้องเดินมาขึ้นรถเองแล้วล่ะ เพราะกว่าจะไปถึงที่พี่ทาร์ตยืนคงเกือบสิบนาที

'เยป รถคันไหนวะ เดี๋ยวพี่เดินไปหา อากาศภูเก็ตร้อนฉิบหาย'
น้ำเสียงพี่ทาร์ตเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย ถึงจะเป็นช่วงปลายปีแต่อากาศที่นี่ไม่เคยหนาวเลยสักครั้ง ที่ใครๆ เขาเรียกว่าเมืองฝนแปดแดดสี่นั่นคือเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัย อุณหภูมิเฉลี่ยรายวันนี่ไม่ต่ำกว่าสามสิบองศา ผมตกใจเล็กน้อยนะที่เขาใช้คำว่า 'ฉิบหาย' ทั้งๆ ที่ไปเป็นเด็กนอกตั้งนาน... สงสัยติดมาจากเพื่อนสมัยเรียนมัธยมต้น

"มินิฯ สีขาว"
ผมตอบสั้นๆ เพราะคิดถึงสภาพรถตัวเองแล้วไม่รู้ว่าคนอื่นยังเห็นมันเป็นสีขาวอยู่หรือเปล่า... ตอนนี้เริ่มละอายใจจนอยากกลับบ้านไปเอารถป๋ามาใช้ อยากร้องไห้

'มินิคูเปอร์สีขาว... เหี้ย นั่นยังเรียกว่าขาวอีกเหรอวะปูน สกปรกมาก'
พี่ทาร์ตเพ่งมาทางผมอยู่นานก่อนจะอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ นั่นยิ่งทำให้อยากจะหนีกลับบ้านซะตอนนี้ แม่พูดไม่มีผิดเลยว่าเขาต้องทักเรื่องรถแน่ๆ โอย ปูนผิดไปแล้วครับที่ดื้อและไม่เชื่อฟัง อยากตาย อายฉิบหาย

"ด่ารถผมอยู่ได้ ถ้าไม่อยากนั่งก็เรียกสองแถวกลับบ้านเองเลยนะ"
ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงประชดก่อนจะวางสายใส่กัน ก็บอกแล้วไงว่าถ้ารังเกียจไม่อยากนั่งก็เรียกสองแถวกลับบ้านเองแล้วกัน ชาวต่างชาติเพียบเลยด้วย... คนประเทศเพื่อนบ้านทั้งนั้น

พี่ทาร์ตเหมือนจะกลัวการต้องนั่งรถกลับบ้านเองเลยรีบสาวเท้ามาหากันแล้วเคาะกระจกรัวๆ ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าเขาใกล้ๆ ในระยะประชิด หล่อเหี้ยๆ หล่อกว่าในรูปอีก แม่งเอ้ย นี่ถ้าเขาเลือกไปเรียนต่อกรุงเทพฯ แทนที่จะเป็นอเมริกานะ ตอนนี้คงกลายเป็นเน็ตไอดอลไม่ก็ดาราไปแล้วล่ะมั้ง แล้วดูผมสิ อาตี๋ตาชั้นเดียว หน้าตาโคตรธรรมดา มีดีแค่ขาวจนจะเป็นกระดาษนี่ล่ะ

ผมคงตะลึงนานเกินไปพี่ทาร์ตเลยแยกเขี้ยวใส่กันแล้วทำสัญญาณมือให้ลดกระจกลงเดี๋ยวนี้ เมื่อดึงสติกลับมาได้ก็ทำตามอย่างรวดเร็ว กลัวโดนสวดน่ะ ขี้เกียจจะฟัง

"นั่งนิ่งเป็นหินอยู่ได้ เปิดท้ายรถให้พี่หน่อยเว้ย"
เสียงทุ้มๆ ดังแหวกเสียงเพลงในรถเข้ามา ผมโบกมือเป็นเชิงว่าจะไม่เปิดให้ เพราะกระเป๋าแค่นั้นเอาตั้งไว้ที่เบาะหลังคงสะดวกกว่า จากที่ดูสถานการณ์รอบตัวแล้วเขาคงกลับมาคนเดียวไม่ได้หนีบเอาแฟนไทยคำอังกฤษคำกลับมาด้วย

"เอายัดไว้เบาะหลังได้เลยครับ"
ผมรีบบอกต่อเพราะเห็นพี่ทาร์ตขมวดคิ้วแน่น เขาได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้ารับและรีบยัดสัมภาระของตัวเองให้เข้าที่และสอดตัวเข้ามานั่งข้างคนขับในเวลาต่อมา พอระยะห่างระหว่างเราลดลงไอ้ความตื่นเต้นที่เหมือนจะลืมเลือนไปแล้วได้กลับมาอีกครั้ง จะเปิดไฟเลี้ยวเพื่อให้สัญญาณว่าจะออกรถยังเปิดด้านผิด สติหน่อยนะปูนนะ!

"โตขึ้นเยอะเลยนะน้องปูนของพี่ เป็นหนุ่มแล้ว"
น้ำเสียงทะเล้นเอ่ยขึ้นเมื่อเราออกจากสนามบินนานาชาติภูเก็ต ผมหน้าตึงขึ้นมาเล็กน้อยกับคำว่า 'ของพี่' ไม่เข้าใจว่าไปเป็นของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ฟังแล้วขนลุกขนพองแปลกๆ สยองว่ะ

"โตแล้วดิ ไม่เจอกันเก้าปีนะพี่ ใครจะตัวเท่าเมี่ยงเหมือนเดิม"
ผมพูดเสียงขึ้นจมูกเพราะฉุนอยู่เล็กน้อย ถ้าคนเราไม่โตขึ้นแล้วจะให้ตัวหดลงหรือยังไง พี่ต้นขำออกมาเล็กน้อยแล้วถอดแว่นตาสีชาเหน็บไว้กับคอเสื้อ ใบหน้าดูดีขึ้นกว่าตอนที่ยืนรอรถอยู่มาก ก็แอร์มันหนาวจนมือจะแข็งอยู่แล้ว อยากปรับอุณหภูมิอยู่หรอกแต่ก็สงสารคนที่มาจากต่างประเทศแล้วเจอแดดภูเก็ตแบบนี้

"นั่นสินะ นั่นสิน้า ~ แล้วมีแฟนหรือยังล่ะ"
พี่ทาร์ตทำเสียงทะเล้นใส่กันอย่างอารมณ์ดี ผมถึงกับลอบเบ้ปากเพราะหมั่นไส้ สบายเป็นคุณชายสุดๆ ไปเลยเอนเบาะลงไปนอนเนี่ย ไม่เข้าใจบ้างเหรอว่าน้องอิจฉาและหิวมาก... แต่มันคืออะไรที่อยู่ๆ ถามว่ามีแฟนหรือยังวะ แทงใจชะมัด สิบแปดปีแล้วที่โสดสนิทไม่กิ๊กกั๊กกับใครสักคน ตอบไปจะโดนหัวเราะหรือเปล่านะ ก็เขาน่ะเสือผู้หญิงเปลี่ยนแฟนบ่อยยิ่งกว่าใช้กระดาษทิชชู่อีก

"อะไรของพี่เนี่ย อยู่ๆ ก็ถาม"
ผมเหลือบมองเขาเล็กน้อยเพราะอยากรู้ว่าตอนนี้อีกคนกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ พี่ทาร์ตส่งยิ้มกวนๆ มาให้กันก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ จะนั่งให้มันดีๆ เหมือนชาวบ้านไม่ได้หรือไงกัน แล้วเอาแขนมาเท้าเบาะคนอื่นเพื่ออะไร น่าอึดอัดเป็นบ้า

"ก็อยากรู้เฉยๆ เห็นไอ้ฟ่อนเล่าให้ฟังว่าตามจีบปูนอยู่ไม่ใช่เหรอ"
พี่ทาร์ตถามด้วยเสียงทะเล้น ซึ่งผมได้แต่ย่นจมูกใส่เขาเมื่อคิดถึงไอ้ฟ่อน รายนั้นน่ะจะเรียกว่าตามจีบก็ไม่ถูกสักเท่าไหร่หรอก มาตื้อ มาอ้อนมากกว่า ไม่ได้จริงจังขนาดต้องขอให้เป็นแฟนอะไรขนาดนั้น ถ้ามันจริงจังป่านนี้คงร้องไห้ดราม่าใส่ทุกวันไปแล้วมั้ง

"ปล่อยผมไปเหอะพี่ ตามใจไอ้ฟ่อนไม่ไหวหรอก"
ผมตอบทีเล่นทีจริงไปเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ทาร์ตแคร์ไอ้ฟ่อนมากแค่ไหน แต่ก่อนไม่เคยจะสนใจน้องตัวเองด้วยซ้ำ อยากจะทำอะไรก็ทำ เจ็บตัวกลับมาก็ไม่เคยโอ๋ ซ้ำเติมแถมด้วย แต่เขาก็รักกันดี ความสัมพันธ์แบบประหลาดๆ ระหว่างพี่น้องล่ะสินะ ผมเป็นลูกคนเดียวไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอก

"พี่ก็ว่าอย่างนั้นล่ะ ใครเอาใจมันได้คงเก่งมาก"
เขาพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วขยับไปนั่งให้เข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม ผมเหลือบมองเขาแล้วชั่งใจว่าจะถามเรื่องส่วนตัวดีหรือเปล่า เพราะความสงสัยมันยังค้างคาอยู่ในความคิด ก็ไหนตอนคุยไลน์กันบอกจะพาพี่เจนกลับมาด้วยไง... ก็เพิ่งข้ามไปวันเดียว จะเปลี่ยนใจอะไรไวขนาดนั้น

"พี่ทาร์ต... ผมขอถามอะไรหน่อยได้ปะ"
ผมเอ่ยปากไปแบบนั้นอย่างลืมตัวว่าเราไม่ได้สนิทถึงขั้นถามเรื่องส่วนตัวของกันและกันอีกแล้ว แต่จะบอกให้เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงยาก เพราะรายนั้นหันมามองกันแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามใส่กันเรียบร้อย จะให้ทำเป็นสนใจการขับรถเพื่อเบี่ยงประเด็นก็ไม่ได้เพราะติดไฟแดง จังหวะเหมาะจนอยากร้องไห้

"จะถามอะไรล่ะครับน้องปูน"
พี่ทาร์ตกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มกวนๆ ผมขยับตัวจนไหล่ชิดกับกระจกรถ ไม่รู้ว่าไอ้นิสัยขี้แกล้งของเขาจะเลิกได้เมื่อไหร่ ชอบเข้ามาใกล้ทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำอยู่ตลอด ไม่ใช่เพราะว่าหวั่นไหวอะไรหรอก คิดดูสิตอนมีคนหน้าตาดีมาอยู่ใกล้ๆ ก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

"พี่เลิกเอาหน้าเข้ามาใกล้ผมได้ไหม มันอึดอัด"
ผมดันไหล่อีกคนให้ถอยห่างออกไป พี่ทาร์ตหัวเราะออกมาก่อนจะยอมกลับไปนั่งที่ตัวเองดีๆ

"แกล้งนิดแกล้งหน่อยก็ไม่ได้"
พูดเหมือนจะงอนๆ กันแต่หน้านี่ยิ้มสะใจสุดๆ ผมเบ้ปากใส่เขาด้วยความหมั่นไส้ ตั้งแต่เด็กๆ แล้วที่ไม่เคยเอาชนะคนๆ นี้ได้เลย

"นึกว่าโตแล้วจะเลิกแกล้งคนอื่นได้สักที"
ผมบ่นงึมงำก่อนจะเข้าเกียร์เพื่อออกรถมุ่งสู่ตัวเมือง ก่อนจะกลับบ้านคงต้อฃแวะหาอะไรกินก่อน เพราะว่าตอนนี้เริ่มปวดท้องแล้ว ไม่น่ารีบออกจากบ้านเพื่อมารับคนขี้แกล้งแบบนี้เลย น่าหงุดหงิดชะมัด เจอกันครั้งแรกในรอบหลายปีไม่เห็นจะทำเรื่องประทับใจให้จำบ้างเลยวะ

"เรื่องอะไรต้องหยุดแกล้งคนอื่น สนุกดีออกน่า"
พูดแบบไม่สำนึกแล้วยังเอื้อมมือมาผลักหัวกันเบาๆ อีก ถ้าไม่ติดว่าขับรถจะต่อยให้ เล่นอะไรแผลงๆ ตลอดเลย

"เออๆ ไม่เถียงด้วยแล้ว"
ผมบอกปัดๆ ก่อนจะตั้งใจขับรถต่อเพื่อหาร้านกินข้าว ที่จริงอยากจะแวะร้านติ่มซำแต่พอเหลือบมองเวลาที่คอนโซลรถแล้วต้องถอดใจ สิบโมงกว่าเกือบสิบเอ็ดโมง... เขาคงปิดร้านไปนอนกันหมดแล้วล่ะ

"จะถามอะไรก็ถามมาเลย รออยู่"
เขาบอกแบบนั้นก่อนจะเคาะปลายนิ้วลงบนต้นขาตัวเอง ผมเผลอกลั้นลมหายใจไปหนึ่งจังหวะเพราะคิดจะบ่ายเบี่ยง อยู่ๆ ก็เกิดไม่แน่ใจว่าเป็นสิ่งที่ควรถามออกไปหรือเปล่า ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวคนอื่นมันเสียมารยาท... แต่อยากรู้อะ ถ้าอย่างนั้นเสี่ยงถามแล้วกัน

"เอ่อ ไหนว่าจะพาแฟนกลับมาภูเก็ตด้วยกันไม่ใช่เหรอ ทำไมพี่ทาร์ตถึง..."
ปลายประโยคถูกอีกคนพูดแทรกขึ้นมาซะก่อนเลยทำให้ผมต้องชะงักไว้เพียงเท่านั้น

"เลิกแล้ว"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งผมคิดว่าอาจจะหูฝาดเลยถามย้ำอีกรอบเพื่อความแน่ใจ ไม่จริงหรอกที่อยู่ๆ ก็เลิกกันกะทันหันแบบนี้

"ห๊ะ... อะไรนะพี่"

"พี่เลิกกับเจนแล้ว"
พี่ทาร์ตย้ำชัดกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ชวนใจสั่น ไม่มีร่องรอยของความเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว ผมไม่รู้หรอกว่าเขาปกปิดเก่งหรือไม่ได้รู้สึกอะไรจริงๆ กันแน่ แต่ด้วยความเป็นเสือผู้หญิงแล้วความคิดเลยเอนเอียงไปอย่างหลังมากกว่า

"อ๋อ... โอเคครับ"
ผมตอบกลับไปแค่นั้นเพราะไม่กล้าถามละลาบละล้วงมากกว่านี้ มันดูเสียมารยาทเกินไปถ้าจะถามถึงเหตุผล พี่ทาร์ตเป็นคนนิสัยดีนะ แต่เสียอย่างเดียวเรื่องที่ไม่จริงจังกับใครนี่ล่ะ... ผู้หญิงทุกคนก็พร้อมใจที่จะเป็นของเล่นไว้ให้เขาควงไปวันๆ คนหล่อก็แบบนี้ล่ะ ใครๆ ก็ อยากเอาตัวเข้าแลกกันทั้งนั้น เฮ้อ

"ไม่ถามต่อเหรอว่าเลิกกันทำไม"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนกำลังลองใจในความอยากรู้ของผม ถ้าเขาอนุญาตก็อยากถามจริงๆ นั่นล่ะ คิดมากจนเผลอเม้มปากแน่นทำให้อีกคนสังเกตกันได้ทันที แต่ไหนแต่ไรมาคนๆ นี้เซ้นส์ดีเสมอ เอาง่ายๆ คงเรียกว่ารู้ทัน

"อยากรู้ก็ถาม ไม่ต้องซีเรียส"

"แต่มันเสียมารยาทนี่ ไม่ได้สนิทกันแบบเมื่อก่อนสักหน่อย"
ผมบ่นพึมพำเบาๆ พอให้เขาได้ยิน พี่ทาร์ตหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือหนามายีหัวกันเบาๆ อย่าสนิทสนม นี่เขากำลังสร้างความคุ้นเคยหรือเปล่านะ ตอนแรกก็อยากปักออกอยู่หรอกเพราะผมเสียทรง แต่เอาไปเอามาก็รู้สึกดีเหมือนกัน จริงๆ ก็แอบคิดถึงสัมผัสของเขานะ ห่างหายกันมาตั้งนาน

"คิดมากจริงๆ เลยว่ะ ถ้ารู้สึกแบบนั้นเรามาเริ่มต้นสนิทกันใหม่ก็ได้ ดีไหม"
พี่ทาร์ตผละมือออกไปแล้วแต่ผมรู้สึกได้ถึงการจ้องมองของเขา ตอนนี้ความรู้สึกตื่นเต้นและอึดอัดจางลงไปบ้างแล้วจากตอนแรก ถ้ากลับมาสนิทกันง่ายๆ ก็คงดี เพราะการมีพี่ชายให้เราอ้อนสักคนมันดีจะตาย ทุกวันนี้ยังแอบอิจฉาไอ้ฟ่อนอยู่เลย ถึงเขาจะดูมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับน้อง แต่พอถึงเวลาที่มีเรื่องให้ช่วยก็ช่วยอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องขอร้อง อาจจะพูดได้ว่าปากร้ายใจดีหรือเปล่านะ

"ก็ดีนะ แต่สนิทด้วยการแกล้งกันผมว่ามันไม่เวิร์คว่ะ"
ผมแอบเหล่มองเขาอย่างรู้ทัน พี่ทาร์ตเลยได้แต่ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเพราะโดนดักไปซะแล้ว แต่เชื่อว่าเดี๋ยวคนอัจฉริยะอย่างเขาก็หาทางตีสนิทได้อยู่ดี

หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกเพราะพี่ทาร์ตเอาแต่มองวิวข้างทางที่ไม่ได้สัมผัสมาหลายปี บางทีก็ชี้นั่นถามนี่ไปตลอดทาง ซึ่งผมก็เต็มใจที่จะตอบออกไปอย่างไม่รำคาญ

สุดท้ายแล้วผมก็ลืมแวะกินข้าวจนพาพี่ทาร์ตกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ แม่ออกมารับเมื่อได้ยินเสียงรถ ทั้งสองคนโผเข้าหากันอย่างน่าหมั่นไส้ ทั้งกอดทั้งหอมแก้ม ดูท่าทางจะลืมลูกชายของตัวเองไปซะแล้ว แถมยังสั่งให้ขนกระเป๋าลงอีก อะไรวะ สรุปผมเป็นลูกที่ถูกเก็บมาเลี้ยงเหรอ มีความลำเอียงอะ แต่เดี๋ยวสิ... มีอะไรแปลกๆ นะ

"แม่ๆ เดี๋ยวก่อน"
ผมร้องเรียกแม่ที่กำลังเดินกอดเอวลูกชายสุดที่รักเข้าบ้าน เธอหันมาเลิกคิ้วใส่กันเป็นเชิงถามว่ามีอะไร ในขณะที่ผมกอดเป้ใบยักษ์ของพี่ทาร์ตอยู่ อยากจะบอกว่ากนักยิ่งกว่ากระสอบข้าวสารอีกมั้ง

"อะไรเจ้าปูน"

"ทำไมปูนต้องขนกระเป๋าพี่ทาร์ตเข้าบ้านเราด้วยอะแม่"
ผมถามออกไปด้วยความสงสัย ก็แล้วทำไมไม่ให้เอาไปเก็บที่บ้านพี่ทาร์ตล่ะ ทำอย่างกับจะให้เขาค้างที่นี่เลย... แต่จะว่าไป ทำไมป้าอุ่นไม่ออกมารับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนวะ

"อ้าว ทาร์ตไม่ได้บอกปูนเหรอลูก"
แม่ร้องเสียงหลงแล้วหันไปขอคำตอบจากลูกชายสุดที่รักแทน พี่ทาร์ตโผล่มาที่บ้านเมื่อไหร่ผมจะกลายเป็นเด็กที่เก็บมาเลี้ยงทันที โลกเรามันช่างโหดร้ายจริงๆ

พี่ทาร์ตส่ายหน้าพรืดแล้วหันมามองผมด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ไอ้ผมนี่งงเป็นไก่ตาแตกไปแล้ว ตกลงมันอะไรยังไงกันแน่เนี่ย ข้าวก็ยังไม่ได้กิน หงุดหงิดนะเว้ย หนักก็หนักเนี่ย ถ้าไม่เกรงใจจะขว้างเป้ทิ้งแล้ว

"ผมนึกว่าน้องรู้แล้วน่ะครับแม่พลอย เลยไม่ได้บอก"
พี่ทาร์ตพูดด้วยท่าทางนอบน้อม เสียงนุ่มๆ นั่นทำให้แม่ยิ้มกว้างอีกแล้ว จำไม่ได้เหรอว่าผมเป็นลูกชายอะ แล้วไอ้คนที่ยืนข้างๆ เป็นเด็กข้างบ้านไง... อยากร้องไห้ ใครก็ได้ช่วยที ไม่อยากมีพี่ชายแล้ว!

"จ้าๆ ปูน... พี่ทาร์ตต้องนอนที่บ้านเรายาวจนถึงสิ้นปีเลยล่ะ เพราะป้าอุ่นบินไปต่างประเทศกะทันหัน ส่วนฟ่อนมีแข่งวิชาการที่กรุงเทพฯ ก็เลยจะอยู่เที่ยวปีใหม่ด้วย"
แม่อธิบายกลับมารัวๆ จนผมได้แต่ยืนอ้าปากหวอ เพราะกว่าจะถึงปีใหม่ก็อีกตั้งครึ่งเดือนเชียวนะ ไม่ได้เตรียมใจที่จะต้องมีสมาชิกเพิ่มมาในบ้านสักเท่าไหร่ ก็ด้วยเหตุผลเดิมที่ยังรู้สึกไม่สนิทกันนั่นล่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงดีใจจนกระโดดกอดพี่ทาร์ตไปแล้ว

"เข้าใจแล้วใช่ไหมลูก อย่าเอาแต่อ้าปากสิ แมลงวันจะเข้าไป"
แม่พูดเสียงกลั้วหัวเราะ ส่วนพี่ทาร์ตหันมายักคิ้วกวนๆ ใส่กัน ผมหุบปากฉับทันที อยากจะปาของในอ้อมแขนทิ้งจริงๆ นะ มาอาศัยบ้านคนอื่นแล้วยังใช้คนอื่นขนของให้อีก

"แม่! นี่ผมลูกไงจำไม่ได้เหรอ"
พูดด้วยเสียงงอนๆ ก่อนจะเดินไปใกล้ แม่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วพาพี่ทาร์ตเข้าไปในบ้านอย่างหน้าตาเฉย ดูเขาสิ ไม่สนใจผมอีกแล้วล่ะ เกิดมาเป็นไอ้ปูนนี่มันรันทดจริงๆ

แม่สรุปเองเสร็จสรรพว่าให้พี่ทาร์ตนอนห้องของผมแทนที่จะเป็นห้องนอนแขก โดยให้เหตุผลว่าขี้เกียจทำความสะอาดและจะได้ให้ลูกทั้งสองคนกระชับความสัมพันธ์กัน... คือ ถามความคิดเห็นกันก่อนไหมล่ะ แล้วต้องทำตัวแบบไหนตอนอยู่กับพี่เขาในห้องนอนสองต่อสอง มันแปลกๆ ก็เพราะปกติมันเป็นอาณาเขตของเราคนเดียว

"ถ้าปูนไม่สะดวกเดี๋ยวพี่ไปทำความสะอาดห้องนอนแขกเองก็ได้นะ"
พี่ทาร์ตบอกในขณะที่ผมวางเป้ลงที่ปลายเตียง เขาหยุดยืนอยู่ไม่ห่างจากกันเท่าไหร่ ใบหน้าหล่อเหลานั่นไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลยสักอย่าง ทำไมถึงได้เป็นคนที่เดายากเสมอเลยนะ

"แม่บอกให้นอนห้องนี้ก็นอนเถอะพี่ทาร์ต ผมยังไงก็ได้ครับ แต่ขอเปลี่ยนผ้าปูที่นอนก่อนแล้วกัน"
ผมพูดอย่างไม่ติดใจอะไรมากมาย ทั้งๆ ที่ในใจปฏิเสธเป็นล้านๆ รอบ มันรู้สึกขัดเขินแปลกๆ นี่นา คนไม่ได้เจอกันตั้งนานหลายปีมาอยู่ด้วยกัน... ก็ยอมรับว่าเป็นคนคิดมากและแคร์ความรู้สึกคนอื่นพอตัว เฮ้อ

"พี่รู้ว่าปูนอึดอัดน่า"
เสียงน่ะฟังดูสบายๆ จนถ้าไม่สังเกตจะไม่รู้เลยว่าพี่ทาร์ตกำลังขมวดคิ้วอยู่ ด้วยความที่กลัวว่าอีกคนจะไม่สบายใจเลยรีบอธิบายทันที

"เฮ้ย พี่ทาร์ต... คือก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้น มันก็แปลกๆ ไง เราไม่เจอกันนานผมเลยทำตัวไม่ค่อยจะถูกอะ"
ผมพูดรัวจนลิ้นแทบพันกันก่อนจะยกมือขึ้นลูกท้ายทอยเผื่อว่าจะลดอาการประหม่าลงได้บ้าง พี่ทาร์ตที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงเหลียวมามองกันก่อนจะหลุดยิ้ม แล้วย้ำคำพูดเดิมที่เคยบอกกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

"บอกแล้วไงว่าพี่จะทำให้เราสนิทกันเหมือนเดิมเอง"
มือหนาเอื้อมมาตบบ่ากันให้ผมผ่อนคลายลง ก็ช่วยได้เยอะเหมือนกันล่ะมั้ง ตอนนี้สมองเบลอๆ ตื้อๆ

"อื้อครับ เดี๋ยวผมเอาผ้าปูที่นอนมาเปลี่ยนให้นะ"
ผมหันตัวกลับเพื่อจะเดินไปยังตู้เสื้อผ้าแต่โดนมือหนารั้งแขนกันไว้ซะก่อน

"ไม่ต้องๆ บอกพี่มาว่ามันอยู่ไหนก็พอ เดี๋ยวจัดการให้ ส่วนปูนไปหาอะไรกินไป"
พี่ทาร์ตละมือออกเมื่อผมหันไปรับฟังเรื่องที่เขาพูด เขายังจำได้ที่ไอ้ปูนคนนี้บ่นว่าหิวทั้งๆ ที่ตัวเองลืมไปแล้ว น่าทึ่งจริงๆ ผู้ชายคนนี้

"อ่า... จะดีเหรอวะพี่"
ผมถามออกไปด้วยความเกรงใจ เขาเป็นคนมาขออาศัยก็จริงแต่ก็นับว่าเป็นแขกขอฃบ้านคนหนึ่ง จะใช้ให้ทำนั่นทำนี่ก็ไม่สะดวกใจสักเท่าไหร่นี่หว่า

"เออน่า ดีอยู่แล้ว ก็หิวไม่ใช่หรือไงครับ"
พี่ทาร์ตยกเรื่องหิวขึ้นมาทำให้ผมเพิ่งคิดขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า ถ้าเขาจะทำเองก็ปล่อยให้เขาทำดีกว่า เถียงไปเถียงมาจากที่จะสนิทกลายเป็นทะเลาะกันเดี๋ยวแย่กว่าเดิม

"อื้อ งั้นผมไปกินข้าวนะ ส่วนผ้าปูที่นอนอยู่ในตู้นั้นครับ"
ผมบอกเขาก่อนจะชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าตรงมุมห้อง พี่ทาร์ตมองตามไปก่อนจะยกมือทำสัญญาณว่าโอเคแล้วคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย อยากจะบอกเขาให้หยุดยิ้มสักที เพราะมันน่าอิจฉา คนอะไรจะหล่อวัวตายความล้มแบบนี้

"โอเค เดี๋ยวพี่ทาร์ตจะจัดการให้น้องปูนนะครับ"
พี่ทาร์ตบอกกันแบบนั้นด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วบิดขี้เกียจไปมา เสื้อกล้ามสีดำของเขาเปิดขึ้นเล็กน้อยจนทำให้เห็นกล้ามหน้าท้อง อ่า... เกลียดพี่ชายคนนี้ชะมัด ซิกแพคนั่นอยากมีเหมือนกันว่ะ แต่ผมเป็นคนที่ขี้เกียจออกกำลังกายไง วาดเส้นแทนได้ปะวะ

"ขอบคุณนะ"
เอ่ยคำขอบคุณกับเขาก่อนจะหันหลังเดินจากมาเพราะไม่ต้องการให้ตัวเองเกิดความอิจฉามากไปกว่านี่ ยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งว่าพี่ทาร์ตเป็นคนที่หล่อเลือกได้จริงๆ ส่วนผมนี่เป็นคนหน้าตาธรรมดาๆ ที่เรื่องมากเอาการ... ถึงได้โสดยันทุกวันนี้ไง

ผมลงมาจากชั้นสองของบ้านก็เจอแม่ที่กำลังนั่งดูซีรี่ย์เกาหลีอยู่ในห้องนั่งเล่น คาดว่าเธอคงเตรียมอาหารเที่ยงไว้เรียบร้อยแล้วล่ะมั้ง... แล้วพี่ทาร์ตกินข้าวมาหรือยังวะ ลืมถาม โอย ไอ้ปูนเอ้ย เรื่องแค่นี้ยังคิดไม่ได้อีก

"ยืนเกาหัวทำไมลูก หน้ายุ่งเชียว"
แม่หันมาถามกันในขณะที่ผมกำลังหงุดหงิดงุ่นง่านกับตัวเองอยู่ มือเรียวชะงักกึกแล้วรีบจัดทรงผมให้เข้าที่ก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างๆ

"ปูนลืมถามว่าพี่ทาร์ตจะกินข้าวเที่ยงหรือเปล่า"
ผมเหลือบมองไปทางชั้นบนเล็กน้อยก่อนจะทำหน้าเพลียๆ ท่าทางของพี่ทาร์ตดูร่าเริงเป็นปกติก็จริงแต่แววตาก็ทำให้รู้ว่าเขาเหนื่อยล้าอาจจะทางร่างกายหรือทางจิตใจ... มีอาการเจ็ทแลคด้วยมั้ง

"ขึ้นไปถามสิลูก แล้วพี่เขาทำอะไรอยู่ข้างบนล่ะ"

"เปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ปูน แต่เขาอาสาทำเองนะแม่"
ผมรีบบอกก่อนที่จะโดนเทศน์เอา แม่หัวเราะออกมาน้อยแล้วพยักหน้ารับคำพูดนั่น

"จ้าๆ แต่ไปดูพี่เขาหน่อยเถอะ อาจจะหลับไปแล้วก็ได้ เดินทางมาไกลขนาดนั้น"
แม่ยิ้มแล้วยกมือขึ้นลูบหัวกันเบาๆ ก่อนจะไล่ให้ผมไปดูลูกชายคนโปรดของเธอที่ชั้นบน




ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ผมเลือกที่จะเคาะประตูสองสามครั้งเผื่อว่าอีกคนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือทำอะไรส่วนตัวอยู่ แต่รออยู่นานก็ไม่มีเสียงตอบรับเลยถือวิสาสะย่องเข้าไปดู สรุปแล้วร่างสูงใหญ่นอนแผ่อยู่บนเตียงกำลังกลับอย่างสบายด้วยอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่กำลังเย็นสบาย มองๆ ไปแล้วตอนนี้พี่ทาร์ตดูน่ารักไร้พิษสงค์ใดๆ เหมือนเป็นเด็กตัวน้อยที่ไร้เดียงสา ไม่มีความเจ้าชู้ และเพิ่งได้สังเกตผ้าปูที่นอนในตอนที่เดินเข้าไปใกล้ ยังไม่ได้เปลี่ยนเลย สงสัยร่างกายคงน็อกไปซะก่อน

"เจน..."
เสียงทุ้มแหบดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะกำลังจะห่มผ้าให้คนที่นอนหลับอยู่ ชื่อที่ออกจากปากนั้นเป็นชื่อของแฟนเก่า... จะเรียกแบบนั้นได้ไหมนะ เพราะเขาเพิ่งเลิกกันไปเอง

"พี่ทาร์ต..."
ผมพึมพำชื่อของคนที่ละเมอก่อนจะเลื่อนผ้าห่มให้คลุมร่างกายของเขาเอาไว้แล้วผละตัวออกมายืนมอง เขาขมวดคิ้วแน่นเหมือนกำลังเผชิญความฝันอันแสนเลวร้าย ถ้าให้เดาคงเกี่ยวข้องกับพี่เจน บางทีนะ บางทีพี่ทาร์ตอาจจะรักพี่เจนก็เป็นได้ เพราะผมได้ยินฟ่อนเล่าว่ากับคนนี้คบมานานที่สุดแล้ว แต่ใครหลายๆ คนมักบอกว่าผู้ชายเป็นประเภทที่รู้ตัวช้า เสียใจช้า... ไม่รู้สิ ไม่เคยอกหักนี่หว่า

"เกลียด..."
พี่ทาร์ตพูดขึ้นมาอีกคำ ผมแทบหยุดหายใจเมื่อได้ยิน ความอยากรู้ทวีคูณขึ้นเป็นสองเท่าจากเดิม เหตุผลที่ทำให้เขาทั้งสองคนเลิกกันกะทันหันคืออะไรนะ ไม่ใช่ว่าอยากเสือกหรอกแต่เป็นห่วงเขา จากผู้ชายที่ชอบควงผู้หญิงเป็นว่าเล่น แต่คบพี่เจนได้นานเป็นปีๆ มันต้องรักกันบ้างล่ะน่า หลังจากนี้จะเสียใจจนไม่กินไม่นอนหรือเปล่านะ

ผมกลับออกมาจากห้องนอนอย่างเงียบเชียบแล้วลงไปกินข้าวกับแม่แต่สองคน วันนี้กับข้าวมีแต่ของโปรดของพี่ทาร์ตทั้งนั้น... แต่ไม่รู่ว่าตอนนี้เขายังจะชอบเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า น้ำพริกกะปิ ไข่เจียว แกงเลียงกุ้งสดและใบเหลียงผัดไข่ อาหารสไตล์คนภาคใต้

"พี่ทาร์ตโตขึ้นหล่อมากเลยเนอะปูน"
แม่พูดในขณะที่ผมตักข้าวเพิ่มจานที่สอง อย่าหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ก็กินรวบมือเช้ากับมื้อเที่ยงไง

"ใช่แม่ ปูนเห็นที่สนามบินยังตกใจเลย ดูดีกว่าในรูปถ่ายเยอะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนจะวางจานข้าวลงและตักไข่เจียวใส่จาน จะให้บอกว่าพี่เขาหล่อสักกี่ครั้งผมก็ยังอิจฉาอยู่เหมือนเดิมแต่ก็แอบภูมิใจนะที่คนรู้จักและเคยสนิทกันหน้าตาดีขนาดนี้ ตอนเขาเข้ามาใกล้นี่พาลใจสั่นทุกที คล้ายๆ ฟีลเจอนักร้องเกาหลีตอนไปดูคอนเสิร์ตเลยว่ะ ฮึย แต่ยืนยันนะว่าผมไม่ได้พิศวาสคนเพศเดียวกัน

"พี่เขาคงจะมีแฟนแล้วใช่ไหม"
แม่ถามต่อ ซึ่งทำให้ผมที่กำลังจะตักจ้าวใส่ปากชะงักมือ แฟนอย่างนั้นเหรอ... ก็เพิ่งเลิกกันไปไง คนอย่างพี่ทาร์ตหาใหม่ได้ไม่ยากนักหรอก ถ้าเป็นผมนี่สิเกิดได้เจอคนที่ใช่คงไม่ปล่อยเขาไปไหนแล้วล่ะ

"มีนะแม่ แต่เลิกไปแล้วก่อนกลับมาภูเก็ตนี่ล่ะครับ"
ผมตอบกลับไปแล้ววางช้อนลงเพราะรู้แล้วว่าเรื่องนี้คงโดนแม่ซักยาวเหยียด ป้าอุ่นคงฝากมาถามด้วยล่ะ... รายนั้นเขาไม่ชอบลูกสะใภ้เป็นสาวฝรั่ง

"อ้าว เลิกกันก่อนกลับมาบ้านน่ะเหรอ ทำไมล่ะ"
แม่ขมวดคิ้วยุ่ง ผมส่ายหน้าแทนการตอบคำถามเพราะไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน ไม่สนิทอย่าคิดยุ่มย่ามอะไรประมาณนั่น ซึ่งเป็นตัวผมเองที่เกรงใจความเป็นส่วนตัวของเขาน่ะ

"ปูนไม่กล้าถามอะ แต่เมื่อกี้พี่เขาก็ละเมอชื่อแฟนที่เพิ่งเลิกไปนะ"

"อย่างนั้นเหรอ ปูนก็ช่วยๆ ดูแลพี่ทาร์ตหน่อยแล้วกันนะลูก เพิ่งกลับมาคงไปไหนมาไหนไม่ถูก ถ้าว่างๆ ก็พาพี่เขาไปผ่อนคลายบ้างเนอะ"

"ครับๆ แต่ขอทุนทรัพย์ในการพาลูกชายสุดที่รักของแม่ไปเที่ยวด้วยนะ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะเลยไปรับมะเหงกมาจากแม่ แค่ขอเงินเองอะ ทำไมต้องดุด้วย นี่เพื่อพี่ทาร์ตเลยนะเอ้อ

"เดี๋ยวแม่ขอจากป๋าให้แล้วกัน ถ้ารู้คงดีใจ"
แม่พูดน้ำเสียงเยาะเย้ยเล็กน้อยแล้วลุกไปจากโต๊ะอาหาร ปล่อยให้ผมนั่งทำหน้าบูดเป็นตูดหมึกอยู่คนเดียว ฮึ่ย ไม่กินแล้วข้าวอะ ขัดใจๆ ที่สุดเลย

เอ้อ... ใช่สิ ทั้งแม่ทั้งป๋าเลย ใครๆ ก็รุมรักพี่ทาร์ตอะ ตกลงว่าผมเป็นลูกใครกันแน่เนี่ย น้อยใจเว้ย ถ้าป้าอุ่นกับลุงตั้มกลับมาเมื่อไหร่จะยึดไว้กับตัวเองเลยคอยดู จะแย่งบ้าง หึ!





------------------------------------------------

ตอนที่ 1 มาแล้วนะทุกคน ขอโทษที่ปล่อยให้รอนานไปหน่อย
เพิ่งปั่นตอนพิเศษเรื่อง Alcohol Addict จบเอง

ปล. นิยายเรื่องนี้เราแอบใส่ส่วนผสมขนมด้วยนะ 55555 เหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ฮือ
ปล.2 รูปขนมเราวาดเองนะ อาจจะกากไปสักหน่อย แต่ก็อยากวาดประกอบ มันน่ารักดี (เหรอ?) 5555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-03-2017 08:43:25 โดย Ch0cmint »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ทำไมละเมอว่าเกลียดล่ะ

ออฟไลน์ milin03

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ Melonlove

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1

ออฟไลน์ Mickey199663

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ละเมอหาแฟนเก่าว่าเกลียดนี่เกลียดอะไร อยากรู้เรื่องแฟนเก่าเลยว่ารักจริงๆ หรือเปล่า

ออฟไลน์ gakuen

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :katai1: :katai1: รอออออ

ออฟไลน์ gakuen

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
''แม่ นี่ลูกไงจำไม่ได้หรอ" 555555โอ้ยสงสารน้องปูน

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 2


Japanese Cheese Tart
: อัลมอนด์ป่น/น้ำตาล/ไข่ไก่/แป้งอเนกประสงค์/เนยจืด - ครีมชีส/โยเกิร์ต/น้ำตาล/ไข่ขาว/ไข่แดง/วิปปิ้งครีม :




คืนแรกของการนอนกับพี่ทาร์ตออกจะทุลักทุเลไปสักเล็กน้อย ไม่รู้ว่าต้องจัดเตียงแบบไหน เอาหมอนข้างไว้ตรงกลางหรือเหวี่ยงทิ้งไปที่พื้นดีนะ มันเกะกะ เพราะปกติเคยนอนคนเดียว แต่มีอีกคนเพิ่มเข้ามาพื้นที่ในการขยับตัวก็น้อยลง ผมคิดไม่ตกจนเผลอยืนเกาหัว ในขณะที่อีกคนออกมาจากห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เดินเข้ามายืนซ้อนด้านหลัง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่ที่แสนคุ้นเคย ทำให้ตระหนักว่าเขาอยู่ใกล้เพียงใด

"ทำอะไรอยู่"
เขาเอ่ยถามด้วยเสียงไม่ดังมากนักแต่ด้วยความที่ขยับเข้ามาใกล้กันมาไปทำให้ผมสะดุ้ง พอหันไปก็ตาลีตาเหลือกขึ้นมาเพราะจมูกแทบจะชนแก้มใสๆ ของพี่ทาร์ต แถมยังเผลอถอยหลังจนชนเข้ากับเตียงแล้วล้มลงนอนแผ่ ทำให้เรียกเสียงหัวเราะจากอีกคนได้ง่ายๆ น่าอายชะมัด เผลอทำเรื่องเปิ่นๆ ลงไปอีกแล้วสิน่า

"โอย พี่ทาร์ต จะเข้ามาใกล้อะไรขนาดนั้นครับ เกือบไปแล้วไหมล่ะ"
ผมนอนแผ่ท่าปลาดาวแบบเดิมโดยไม่ขยับไปไหนเพราะรู้สึกปวดหลังตอนกระแทกลงบนเตียง พี่ทาร์ไม่เลิกหัวเราะกันสักที ใบหน้าหล่อๆ นั่นก็แดงเถือกไปหมด อะไรจะตลกขนาดนั้น ชัดเริ่มหงุดหงิดแล้วนะเว้ย เดี๋ยวก็ไล่ให้ไปนอนโซฟาห้องนั่งเล่นซะเลย

"จะคิดอะไรมากล่ะน้องปูน ตอนเด็กๆ หอมแก้มกันออกจะบ่อย"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กัน เขาดึงผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กขึ้นขยี้เส้นผมของตัวเองไปมา ผมมองภาพนั้นแล้วได้แต่เบ้ปากใส่ จะไม่ให้คิดมากได้ยังไงว่ะ ตอนนั้นกับตอนนี้เทียบกันได้ที่ไหน น่าขนลุกออก

"จะบ้าหรือไง มันไม่เหมือนกันเว้ย"
ผมพูดเสียงฉุนๆ ก่อนจะขยับนั่งพิงหัวเตียงแล้วคว้าเอาหมอนข้างมากอดไว้ พี่ทาร์ตชะงักมือแล้วหันมาเลิกคิ้วใส่กันอย่างกับว่าคำพูดที่ได้ยินไปเมื่อครู่แปลกประหลาด

"ครับๆ ทำไมล่ะ ขนลุกเหรอหรือกลัวเคลิ้ม"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงเย้าหยอกก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาจนจมูกแทบจะชิดกัน และด้วยความที่ผมตกใจเลยเผลอง้างเท้าถีบอีกคนจนผงะถอยหลัง ดีนะที่ไม่ตกเตียง

"โอย เจ็บนะปูน ถีบพี่ทำไม"
พี่ทาร์ตเงยมองด้วยใบหน้าเหยเกแล้วใช้มือลูบช่วงหน้าอกเพื่อบรรเทาความเจ็บ ผมแยกเขี้ยวใส่แถมด้วยการถลึงตาให้รู้ว่าเมื่อครู่ตัวเองไม่ผิด ก็เขาเล่นเข้ามาให้ระยะประชิด พูดจาชวนให้ขนลุกแบบนั้น

"ก็พี่ทาร์ตเล่นอะไรวะ ถ้ายังแกล้งกันอีกก็ลงไปนอนที่โซฟาด้านล่างเลยไป"
ผมพูดด้วยเสียงจริงจังแล้วมองพี่ทาร์ตด้วยสายตาดุๆ อีกฝ่ายยกมือขึ้นยอมแพ้แล้วถอนหายใจเบาๆ

"โอเคๆ ไม่แกล้งก็ได้แล้วครับปูน จะนอนหรือยัง"
พี่ทาร์ตถามแล้วเดินไปตากผ้าขนหนูในห้องน้ำ ผมส่ายหน้าแทนคำตอบเพราะจะอ่านการ์ตูนที่เพิ่งไปซื้อมาใหม่เมื่อสองวันก่อน และดูท่าทางเขาก็คงจะไม่นอนเหมือนกัน มีอาการเจ็ทแลคสินะ

"ก็ดี... พี่ยังปรับเวลาไม่ได้เลยว่ะ"
เขาทิ้งตัวลงนั่งพิงหัวเตียงข้างๆ กันแล้วหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่น พอดีที่สายตาของผมเหลือบมองหน้าจอสี่เหลี่ยมนั่น มันคือรูปคู่ชายหญิงซึ่งพอจะเดาได้ว่าเป็นพี่ทาร์ตกับพี่เจน อยากจะถามถึงสาเหตุที่เขาเลิกกัน แต่ปากกลับขยับไม่ได้ โธ่เว้ย จะเสือกเรื่องคนอื่นทั้งทีกลับใจไม่กล้าพอ

"นี่... พรุ่งนี้ปูนไปห้างกับพี่ได้ไหม อยากได้มือถือใหม่ว่ะ"
พี่ทาร์ตโยนโทรศัพท์ในมือกลับไปไว้ที่หัวเตียงแล้วหันมาบอกกันด้วยใบหน้าเรียบเฉย ผมเลิกคิ้วขึ้นก่อนพยักหน้าตกลงไป แอบสงสัยว่าที่อยากเปลี่ยนเครื่องใหม่นี่เพราะอยากลืมคนบางคนหรือเปล่านะ

"ได้ดิ แต่เครื่องที่พี่ใช้มันก็ยังใหม่ไม่ใช่เหรอ"
ถามลองเชิงไปแบบนั้น ถ้าเขาบอกสาเหตุจริงๆ ก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าเขาบอกปัดก็จงพึงระลึกไว้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว ผมทำทีท่าว่าไม่ใส่ใจในคำตอบมากนักแล้วเดินไปหยิบหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ออกจากชั้น พี่ทาร์ตยังคงเงียบแต่สายตากลับมองตามผม... เพื่ออะไรว่ะ

"เปลี่ยนเพราะไม่อยากใช้เครื่องเก่าแล้ว ขี้เกียจมานั่งลบอะไรหลายๆ อย่าง"
เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเป็นปกติ ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เหมือนเดิม แต่อยู่ๆ ศีรษะชื้นๆ ของเขาก็ซบลงมาบนไหล่กันซะอย่างนั้น

"พี่ทาร์ต... เป็นอะไรหรือเปล่า ง่วงเหรอครับ"
ผมถามออกไปเสียงเบาและไม่กล้าขยับตัวไปไหน ทั้งๆ ที่ไม่ชินสภาพแบบนี้แต่ก็ไม่อยากผลักไสเขา กำลังเสียใจอยู่หรือเปล่านะ เรื่องพี่เจนอะไรนั่น ควรทำยังไงดีวะ

"เปล่า... ปูนเคยรู้สึกเกลียดใครหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย ผมลอบมองปฏิกิริยาของเขา อยากเห็นสีหน้าตอนนี้ แต่ซบไหล่กันแบบนี้เลยหมดหวัง

"หือ เกลียดเหรอครับ มันก็มีบ้างนั่นล่ะ พี่ถามทำไม"
เรื่องเกลียดใครสักคนก็เป็นธรรมดาของมนุษย์โลกไม่ใช่เหรอ

"แล้วกับคนที่เคยรักล่ะ เกลียดเขาบ้างหรือเปล่าตอนเลิกกันไป"
พี่ทาร์ตยังคงถามต่อไป แต่ผมเริ่มสะกิดใจแล้วล่ะว่าเขากำลังจะพาเข้าสู่เหตุผลของการเลิกกับแฟนและการเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ตั้งแต่เมื่อตอนกลางวันล่ะมั้งที่คนข้างๆ นี้อยากระบายอะไรออกมา แต่ปัญหาคือผมไม่เคยมีแฟนนี่สิ ตอบยังไงดีวะ
"เอ่อ... ผมไม่เคยมีแฟนนะพี่ทาร์ต แต่ผมคิดว่ากับคนที่เคยรักแล้วเปลี่ยนเป็นเกลียดได้ เขาต้องทำเรื่องอะไรร้ายแรงไว้แน่ๆ"
ผมพูดไปตามที่คิดไว้ มันอาจจะเป็นกลางหรือไม่เป็นกลางก็ได้ ช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าอีกคนจะตัวสั่นขึ้นมาหน่อยๆ ล่ะ กำลังร้องไห้อยู่หรือเปล่านะพี่ชาย

"เจนนอกใจพี่น่ะ ก็คิดไว้ว่ากับคนนี้จะลองจริงจังดูสักครั้ง แล้วสุดท้ายก็... หึ"
โดยไม่คาดคิดว่าอยู่ๆ พี่ทาร์ตจะเล่าออกมาง่ายๆ ด้วยน้ำเสียงที่สั่นจนยากจะควบคุม เขาผละตัวออกแล้วใช้หลังมือเช็ดน้ำตาลวกๆ ผมอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะคนเจ้าชู้เมื่อคิดจะหยุดแล้วก็คือเขาต้องจริงจังกับคนนั้น... คงเจ็บปวดมากสินะ ควรปลอบยังไงดีล่ะ

"พี่ทาร์ต... กอดกันไหม เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น"
ผมซึ่งเป็นบุคคลที่ปลอบใครไม่เก่งที่สุดในสามโลกบอกกับพี่ทาร์ตไปแบบนั้นด้วยท่าทางอึกอัก เขามองกันนิ่งก่อนจะหลุดยิ้มออกมาแล้วดึงผมไปกอดเอาไว้แน่น แต่ก็พอจะหายใจออกล่ะนะ

"พูดปลอบไม่เป็นจนต้องเอาตัวเข้าแลกเลยเหรอน้องปูน"
พี่ทาร์ตว่าเสียงเย้าหยอกแล้วซบหน้าลงกับลาดไหล่ ปล่อยให้น้ำตาซึมผ่านเสื้อยืดสีขาวของผมไปเรื่อยๆ สถานการณ์แบบนี้ยังจะแกล้งคนอื่นอีก บ้าจริงๆ เลย

"พี่ทาร์ตหยุดพูดเล่นสักทีเหอะน่า"
ผมว่าเสียงดุๆ แต่ก็เอื้อมมือไปลูบแผ่นหลังของเขาเบาๆ พี่ทาร์ตส่งเสียงหัวเราะออกมาแล้วกระชับกอดกันมากขึ้น คนที่ดูร่าเริงตลอดเวลาอย่างเขามานั่งร้องไห้ซบบ่าคนอื่นนี่ดูไม่เข้ากันเอามากๆ เลยล่ะ

"อึดอัดไหมปูน"
อยู่ๆ เสียงแหบๆ ก็ถามขึ้น ผมไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอึดอัดในความหมายไหน แต่ก็ส่ายหัวแทนคำตอบไป ตอนนี้ไม่คิดอะไรแบบนั้นแล้วล่ะ แต่เห็นพี่เขาสามารถอ่อนแอต่อหน้าน้องชายคนนี้ได้ ก็รู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเราตลอดหลานปีที่ไม่เจอกันมันลดลงไปแล้ว

"ไม่หรอกพี่ทาร์ต ผมยังหายใจออกอยู่น่า สบายใจเมื่อไหร่ค่อยปล่อยก็ได้"
ผมพยายามตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทั้งที่ในใจกลับว้าวุ่น ไม่ชอบให้คนๆ นี้ร้องไห้ ไม่ชอบให้คนๆ นี้อ่อนแอเลย

"ถ้าพี่ไม่สบายใจทั้งคืน ปูนจะให้พี่นอนกอดไหมล่ะ"
ถามกันด้วยน้ำเสียงทะเล้นและยังไม่กลายอ้อมกอดออกจากกัน ผมได้แต่กรอกตามองบนเพราะเหนื่อยที่จะโวยวายให้เขาหยุดแกล้งกันสักที นี่ขนาดเจอกันแค่วันแรกยังโดนนับครั้งไม่ถ้วน ไม่อยากจะคิดถึงวันต่อๆ ไปเลย เฮ้อ แต่ก็ไม่ได้รำคาญอะไรหรอก ชีวิตมีสีสันดี... มั้ง

"แบบนั้นผมเสนอให้กอดหมอนข้างแทนนะพี่ อยู่ๆ จะให้ผู้ชายสองคนนอนกอดกันบนเตียงก็แปลกๆ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเนือยๆ กอดกันมันก็ได้อยู่หรอก แต่ถ้าให้นอนกอดกันมันจะดูเกินไปหรือเปล่า ที่สำคัญคืออึดอัดเว้ย ผมชอบนอนหงายให้ผ้าห่มทับตัวแค่นั้นล่ะ

"หมอนข้างมันไม่อุ่นนะ"
ยัง... ยังไม่จบ

"เลิกแกล้งแล้วปล่อยผมเลย จะนอนแล้ว"
ผมผลักเขาออกแล้วทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้เขาทั้งๆ ที่ตัวเอียงเกลียดการนอนตะแคงเพราะหายใจลำบาก ตอนแรกก็ว่าจะมองข้ามเรื่องโดนแกล้งไปเพราะเห็นอีกคนดราม่า แต่เอาไปเอามาทนไม่ได้ว่ะ

"โอเคๆ อย่างอนดิ"
พี่ทาร์ตยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจปะทะเข้ากับข้างแก้ม ผมต้องใช้มือดันไหล่เขาออกไปห่างๆ แล้วถลึงตาใส่ด้วยความหงุดหงิด พูดดีๆ ไม่ต้องเข้ามาประชิดจะได้ไหม มันขนลุกเนี่ย ตอนเด็กๆ อาจจะเคยสกินชิพกันบ่อยๆ แต่โตมาแล้วมันแปลกๆ นี่หว่า

"ไม่ได้งอนเว้ย ไม่ใช่ผู้หญิง"
ผมโวยเสียงไม่ดังนักกลับไปแล้วกระตุกผ้าห่มขึ้นคลุมหัวจนหมด หนังสือการ์ตูนก็ไม่ได้อ่านยังจะโดนกวนอีก มันน่าไล่ออกไปจากห้องจริงๆ ไหมล่ะ ไม่อย่างนั้นก็ไล่กลับบ้านไปนอนที่สนามหญ้า

"ถ้าปูนเป็นผู้หญิงพี่คงจีบไปแล้วล่ะ... น่ารัก"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอามือมาสะกิดแขนกันเล่น ผมทำท่าฟึดฟัดแล้วดึงผ้าห่มลงมาแยกเขี้ยวใส่คนขี้แกล้ง ไม่ไหวแล้วนะ จีบบ้าจีบบออะไร ถึงผมจะเป็นผู้หญิงก็ไม่ยอมคบกับมันหรอก เจ้าชู้เป็นปลาไหลขนาดนี้ ใครจะเอาอยู่ล่ะ ถ้ายังไม่เลิกเล่นแผลงๆ ผมจะถีบเขาลงจากเตียงจริงๆ ด้วย

"ไอ้พี่ทาร์ต อยากจะลงไปนอนข้างล่างใช่ไหม"
ผมว่าเสียงดุแล้วลุกขึ้นนั่งจ้องหน้าเขาอย่างจริงจัง พี่ทาร์ตรีบถอยห่างด้วยหน้าตาตื่นๆ แล้วยกมือขึ้นยอมแพ้กัน

"โอ้ นอนที่นี่ล่ะครับ ไม่แกล้งแล้วๆ พี่แค่ไม่อยากคิดถึงเรื่องเจนอีก ถ้าทำให้ปูนไม่พอใจก็ขอโทษด้วยนะ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ มองกันด้วยสายตาอ่อนล้า ผมอึกอักไม่กล้าแสดงอาการโมโหใดๆ อีกต่อไป ถ้าหยุดคิดสักนิดเรื่องราวอาจจะไม่ดำเนินมาถึงตอนนี้ก็ได้ โอย... ผมอยากเอาหัวโขกเตียงให้ตาย คนอกหักโคตรเข้าใจยาก


"ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้จะพาไปซื้อมือถือใหม่เนอะ เดี๋ยวเลี้ยงอาหารเกาหลีฉลองที่พี่ทาร์ตกลับไทยด้วย โอเคปะ"
ผมโบกมือไปมาเป็นสัญญาณว่าไม่ติดใจเอาความแถมด้วยความใจป๋าจะควักกระปุกตัวเองเลี้ยงข้าวพี่ทาร์ตไปอีก เอาเถอะ พี่ชายกลับบ้านทั้งทียอมเข้าเนื้อหน่อยจะเป็นไรไป

"โอเค ขอบคุณครับ แต่... ทำไมต้องอาหารเกาหลีวะ"
พี่ทาร์ตขมวดคิ้วมองกันด้วยความสงสัย ผมไหวไหล่แล้วเดินไปปิดไฟก่อนจะกลับขึ้นเตียงล้มตัวลงนอนและตอบคำถามอีกคนในความมืด

"ก็ผมชอบอะ"
ประโยคสั้นๆ จบทุกการซักถาม พี่ทาร์ตหัวเราะเบาๆ แล้วเอื้อมมือสะเปะสะปะมาขยี้หัวกันก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์สำหรับค่ำคืนนี้

"ฝันดีนะ"

"ครับ ฝันดี"
แปลกๆ ว่ะ มีคนมาบอกฝันดีก่อนนอน แต่ก็รู้สึกดีล่ะนะ

แสงแดดยามเช้าลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านสีครีมเข้ามาทำให้ทั้งห้องเกิดแสงสลัว เสียงนกร้องยามเช้าไพเราะแต่มันรบกวนการนอนชะมัด ผมรู้สึกตัวเพราะอึดอัดช่วงหน้าท้อง พอลองขยับตัวกลับพบว่ามีอะไรหนักๆ พากทับอยู่ ตอนนี้ถึงจะเป็นผีอำก็ไม่กลัวหรอก คนมันง่วงนี่ สติไม่ค่อยมีหรอก

ผมปรือตาขึ้นอย่างยากลำบากเพื่อมองดูสิ่งที่พาดทับหน้าท้องกันอยู่ แต่สายตากลับชะงักก่อนเพราะรู้สึกว่าตรงซอกคอมีลมอุ่นๆ เป่ารดอยู่... คงไม่ต้องลำบากหาต้นตอแล้วล่ะ พี่ทาร์ตนอนกอดกันไม่ผิดแน่ๆ เมื่อคืนบอกแล้วว่าให้เอาหมอนข้างไปก็ไม่ยอม เป็นไงล่ะ... เฮ้อ

"พี่ทาร์ต..."
ผมเรียกเสียงยานพร้อมกับตีมือลงบนแขนเจ้าปัญหาหลายๆ ครั้งเป็นการปลุก แต่พี่ทาร์ตไม่หือไม่อือเลยสักนิดเดียว สงสัยจะหลับลีก แต่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างคงอึดอัดตายแน่ๆ ปวดฉี่ด้วย งงตัวเองเหมือนกันว่านอนมาได้ยังไงตลอดคืน ทั้งๆ ที่ไม่ชอบให้ใครกอดถ้าไม่เต็มใจ

ผมตัดสินใจยกแขนแกร่งออกจากลำตัวแล้วก้าวลงจากเตียงก่อนจะเดินสะลึมสะลือเข้าไปฉี่ในห้องน้ำ เห็นสภาพตัวเองในกระจกบานใหญ่ถึงกับต้องเบือนหน้าหนี สารรูปดูไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว หัวยุ่งเหยิง หน้ามัน ตาบวม ช่างแม่ง กลับไปนอนดีกว่า

ในขณะที่กำลังก้าวขากลับเตียงก็ต้องสะดุดกึกเมื่อสายตาปะทะเข้ากับสภาพของพี่ทาร์ตที่นอนอยู่บนเตียง ขนาดนอนอ้าปากยังดูดี แต่ที่สำคัญคือเขาร้องไห้จนผมต้องนั่งยองๆ แล้วถือวิสาสะใช้มือปาดคราบน้ำตาออก คงจะฝันเรื่องไม่ดีอยู่ล่ะมั้ง ควรทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดี เรื่องเรียนน่ะเก่ง แต่เรื่องแก้ปัญหาหัวใจกลับติดลบ

ผมนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน เวลาล้วงเลยไปนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจระบุได้ รู้แค่เพียงว่าห้องทั้งห้องสว่างโล่เพราะแสงอาทิตย์ที่ขึ้นเต็มดวง และนั่นส่งผลให้มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของพี่ทาร์ตได้อย่างเต็มที่ จมูกโด่งเป็นสันจนน่าอิจฉา อยากลองจับดึงดูสักครั้งด้วยความหมั่นไส้ ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคนบนเตียงขยับตัวพลิกไปนอนหงาย แขนแกร่งควานหาอะไรบางอย่าง

ผมนั่งมองการกระทำของพี่ทาร์ตอยู่สักพักแล้วกลั้นขำไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังหาคืออะไร ไม่นานนักอีกคนก็ดีดตัวขึ้นนั่งจนผมผงะถอยหลังด้วยความตกใจ ทำอะไรของเขาเนี่ย ละเมอเหรอ

"ปูนอยู่ไหน..."
เขาเอ่ยถามด้วยเสียงงัวเงียแล้วปรือตาขึ้นช้าๆ ผมที่นั่งอึ้งอยู่ถึงกับเผลอเม้มปากแน่นเพราะไม่รู้ว่าจะถามหากันทำไม ดูพี่ทาร์ตจะเริ่มไม่สบอารมณ์แล้วด้วย ควรบอกไหมว่าผมนั่งอยู่ข้างเตียงเนี่ย...

"เอ่อ..."
กำลังจะร้องบอกว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้แต่พี่ทาร์ตหันมาเจอกันซะก่อนเลยได้แต่อ้าปากค้างแบบนั้นเพราะโดยสายตาดุๆ มองมา ไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่าวะ ไม่เห็นรู้ตัวเลย

"หายไปไหนมาครับ ทำไมไปนั่งอยู่ตรงนั้น"
ถามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ ก่อนจะคลานลงจากเตียงมาหากันแล้วทิ้งตัวลงนอนบนตักของผมอย่างหน้าตาเฉย จะขยับตัวหนีก็กลัวหัวพี่ทาร์ตโขกกับพื้นเลยได้แต่นั่งนิ่งๆ ให้ทำอะไรตามใจ

"ไปเข้าห้องน้ำ กลับมาพี่ก็นอนแผ่เต็มเตียงแล้วไง"
ผมตอบเสียงเบาเพราะกำลังโกหกอยู่ ที่จริงเตียงเหลือที่ว่างเยอะแยะแต่เลือกที่จะนั่งมองเขาเอง เพราะไม่ได้เจอกันนานเลยอยากทบทวนความหลังนิดหน่อย แอบเสียดายเหมือนกันที่ความสนิทของเราลดลง ทำให้ตอนนี้ไม่กล้าถามด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่ฝันอะไรอยู่หรือเปล่าถึงได้ร้องไห้

"อ๋อ... อืม เมื่อคืนนอนไม่หลับว่ะ แต่พอได้กอดปูนแล้วหลับสบายดี"
พี่เขาพูดแล้วคลี่ยิ้มบางๆ มาให้กัน ผมเบิกตากว้างพร้อมกับที่จังหวะหัวใจเริ่มเต้นถี่ขึ้น ในตอนแรกก็คิดว่าเขาละเมอ ที่ไหนได้จงใจกอดเหรอวะ ควรจะโกรธใส่ดีไหม ก็บอกแล้วว่าทำแบบนั้นมันแปลกๆ แล้วดูตอนนี้สิ นอนตักเหมือนเป็นแฟนกันเลย

"พี่ทาร์ต... บอกแล้วไงวะว่ามันแปลกๆ แล้วนี่มานอนตักกันอีก ขนลุกนะเว้ย"
ผมโวยเสียงไม่ดังมากนักแล้วก้มลงแยกเขี้ยวใส่คนที่ช้อนสายตามองกันแบบไม่สะทกสะท้านแถมยังใช้มือหนาดึงแก้มผมจนต้องปัดทิ้งก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะอารมณ์ดีของคนขี้แกล้งกลับมา

"น่าๆ จะเครียดไปทำไมล่ะ ชิลล์ๆ พี่น้องกัน ทำแค่นี้เรื่องปกติ"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วหลับตาลงอีกครั้งหนึ่ง ผมได้แต่เบ้ปากใส่เขาเพราะไม่รู้จะทำยังไง นี่ล่ะมั้งที่เขาบอกกันว่าเด็กไทยหัวโบราณแถมยังคิดมากอีก จะพยายามคิดว่าไม่มีอะไรในก่อไผ่แล้วกัน... ความจริงก็เห็นชัดๆ ว่าต่างคนต่างชอบผู้หญิงนี่เนอะ เลิกเครียดดีกว่า

"ครับๆ แล้วนี่พี่ทาร์ตจะนอนต่ออีกหรือไง ผมจะไปอาบน้ำ เริ่มหิวแล้ว"

"ไปกินติ่มซำกันไหม พี่เลี้ยงเอง ตอบแทนที่ปลอบเมื่อคืน"
พี่ทาร์ตลุกขึ้นแล้วขยี้หัวตัวเองหลังพูดจบ ผมคลี่ยิ้มกว้างแล้วรีบพยักหน้ารับความหวังดีนั่นทันที ก็ไปกินติ่มซำแต่ละครั้งราคาแพงแถมได้น้อยอีก... มีคนเลี้ยงจะกอบโกยให้หนักๆ จนท้องแตกเลย

"งั้นไม่เกรงใจนะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแล้วลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจไปมาและด้วยความไม่ทันระวังตัวให้ดีเลยถูกพี่ทาร์ตกะตุกกางเกงนอนลง แต่ดีที่มือไวคว้าเอาไว้ได้ก่อนมันจะกองลงไปกับพื้น แม่ง เผลอไม่ได้เลย!

"เฮ้ย! เล่นอะไรของพี่เนี่ย"
ผมโวยเสียงดังแบบไม่เกรงใจใครแล้วรีบดึงกางเกงกลับไปที่เดิม ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันก็เถอะ ใครจะชอบแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นวะ พี่ทาร์ตก็เอาแต่หัวเราะจนตัวงอไปหมด ถ้าไม่ติดว่าอายุห่างกันหลายปีจะเตะให้ ชอบเล่นอะไรแผลงๆ อยู่เรื่อย

"ขาเนียนนะเนี่ย ถ้าได้ลูบสักครั้งคงติดใจ"
พี่ทาร์ตเลียปากตัวเองแล้วขยับเข้ามาใกล้ผมให้ผมถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความระแวง มือเรียวยังคงจับขอบกางเกงเอาไว้แน่น รู้นะว่าเขาแกล้ง แต่มันอดไม่ได้ที่จะหวั่นใจ ขาเนียนๆ อะไรที่เขาบอกมันเป็นความจริง เพราะผมเป็นคนที่มีจนน้อย น้อยจนมองแทบไม่เห็นเลยล่ะ

"พี่ทาร์ต! ไม่เล่นดิ เดี๋ยวไล่กลับบ้านเลยนี่"
ผมว่าเสียงดุแล้วขมวดคิ้วมองคนที่แสร้งทำหน้าหงอย คือไม่ได้เนียนอะไรเลย เห็นแล้วยิ่งเพิ่มความหมั่นไส้ให้ทวีคูณไปอีก

"ใจร้ายว่ะ จะให้พี่ไปนอนที่ไหน กุญแจบ้านก็ไม่มี"
พูดด้วยเสียงน้อยใจแล้วส่งสายตาตัดพ้อมาให้กัน ผมอยากจะลากคอไอ้ฟ่อนกลับมาใจจะขาด ก็ไหนบอกว่าแค่มีนัดทำงานที่โรงเรียนไง ทำไมไปๆ มาๆ ดันไปแข่งวิชาการได้ หลอกลวงว่ะ ชอบกันประสาอะไรของมันเนี่ย แถมยังไม่ให้กุญแจบ้านไว้ให้พี่ชายมันอีก

"เรื่องของพี่ดิ ทำไมชอบเต๊าะกันตลอด สนุกเหรอวะ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ กลัวคนอื่นจะเข้าใจผิดกับการกระทำของพวกเรา เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่

"นิสัยคนเจ้าชู้มั้ง"
พี่ทาร์ตตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ ผมไม่ได้ถอยห่างไปไหนเพราะอยากรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อ ยอมรับว่าเกลียดประโยคเมื่อครู่สุดใจ แต่ผมเป็นแค่น้องชายคนหนึ่งจะไปบอกให้เลิกเจ้าชู้ก็ไม่ใช่ไง

"ไม่เลือกเพศหน่อยเหรอ"
ถามด้วยน้ำเสียงปลงๆ ก่อนจะปล่อยขอบกางเกงตัวเองแล้วยกมือขึ้นเกาหัวไปมาด้วยความไม่เข้าใจ พี่ทาร์ตเป็นคนเจ้าใจยากมาแต่ไหนแต่ไร ความคิดน่าจะซับซ้อน ถ้าผมเลือกเรียนหมอคงทำเรื่องขอผ่าสมองพี่เขาออกมาวิเคราะห์

"เลือกสิ แต่กับปูนเป็นข้อยกเว้น"
คำตอบของเขาทำให้ผมเบิกตากว้าง ไม่เข้าใจว่าอยู่ๆ ทำไมตัวเองถึงมีสิทธิพิเศษขึ้นมาได้ ถ้าคิดย้อนกลับไปก็ตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้วที่พี่ทาร์ตจะใส่ใจกันมากกว่าปกติ เอาใจกันมากกว่าปกติ ใกล้ชิดกันมากกว่าปกติ จนใครๆ ก็แซวว่าเขาหลงน้องผิดคน ส่วนไอ้ฟ่อนแทบจะเป็นอากาศธาตุ

"ทำไม ผมเหมือนผู้หญิงเหรอไง ไม่แมนงี้เหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังเพราะไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ส่วนสูงก็ต่างจากพี่ทาร์ตแค่นิดหน่อย ขนาดตัวก็ใช่ว่าจะเล็กอะไร มาตรฐานชายไทยทั่วไป ไม่ผอมไม่อ้วน หน้าตาไม่ได้ติดสวยหรือหวาน แล้วทำไมชอบแกล้งกันนักนะ

"เปล่าๆ แมนครับ แต่... จะบอกไงดีวะ ปูนน่าแกล้งอะ พี่รู้แค่นี้ล่ะ ไปอาบน้ำเถอะ หิวแล้ว"
พี่ทาร์ตตอบแล้วโบกมือไล่กันซะอย่างนั้น พอเห็นผมที่ไม่นอมเคลื่อนไปไหนก็เดอนมาดันหลังกันเข้าห้องน้ำแถมยังหยิบผ้าขนหนูพาดบ่าให้เรียบร้อยอีก... ช่างแม่งเถอะ อยากแกล้งก็แกล้งไปถ้าเขาสบายใจผมก็โอเคล่ะวะ เมื่อไหร่เกินเลยกว่านี้ค่อยว่ากัน

ผมลงมาจากชั้นบนของบ้านพร้อมกับพี่ทาร์ตด้วยชุดสบายๆ เสื้อยืดกางเกงยีนส์  ชั้นล่างเงียบสงบปราศจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแม่ แต่พอจะเปิดประตูบ้านออกไปก็เจอกับกระดาษโน้ตใบโตที่ระบุว่าคุณนายไปเที่ยวกับเพื่อนๆ และให้ลูกสุดที่รักกับพี่ชายข้างบ้านหาข้าวเช้า เที่ยง เย็นกินเอาเอง... ก็นะ เป็นแบบนี้ประจำล่ะ

"โดนทิ้งแบบนี้บ่อยไหมปูน"
พี่ทาร์ตถามขึ้นในขณะที่ผมล็อกประตูบ้าน เขายืนพิงกำแพงด้วยท่าทางสบายๆ แต่ดูเท่จนน่าหมั่นไส้

"ก็... ประจำนั่นล่ะ ทุกวันอาทิตย์แม่จะออกไปสังสรรค์กับเพื่อน"
ผมตอบแล้วเดินผ่านพี่ทาร์ตไปยังลานจอดรถข้างบ้าน มินิฯ สีขาวสะอาดจอดนิ่งสนิทอยู่ข้างบีเอ็มฯ รุ่นใหม่ล่าสุด อยากจะอวดว่าเอารถไปเข้าคาร์แคร์มาเรียบร้อยแล้วนะ ไม่ใช่ความสมัครใจของผมหรอกแต่เพราะโดยพี่ชายตัวดีบังคับ... แค่เลอะโคลนนิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นรังเกียจ เหอะ

"แล้วปิดเทอมแบบนี้ไม่มีแพลนไปเที่ยวบ้างเหรอ"
พี่ทาร์ตถามต่อในขณะที่สอดตัวเข้ามานั่งในรถ ผมเหลือบมองเข้าเล็กน้อยก่อนจะเข้าเกียร์ถอยหลัง ดีหน่อยที่วันนี้ลุงคนสวนมาทำงานเลยไม่ต้องเสียเวลาลงไปเปิดประตูรั้วเอง

"ขี้เกียจขับรถ ขี้เกียจเดินทาง นอนอืดอยู่บ้านดีกว่า"
ผมตอบลวกๆ แล้วตั้งหน้าตั้งตาขับรถออกจากบ้าน ถนนยามเช้าในวันอาทิตย์คือสวรรค์ชัดๆ เพราะมันโล่จนสามารถเหยียบคันเร่งหนักๆ ได้เลย

"นี่คนหรือหมูวะ"
พี่ทาร์ตถามเสียงกลั้วหัวเราะจนผมต้องหันไปถลึงตาใส่ คนบ้าอะไรกวนประสาทได้ทุกเวลาจริงๆ อยากจะถีบให้ตกรถก็กลัวแม่จะด่าจนหูชา

"คนดิคน เห็นผมมีหางหรือไง หุ่นออกจะดีเนี่ย"
ผมพูดด้วยเสียงเซ็งๆ ก่อนจะบุ้ยปากเพราะไม่สบอารมณ์ตั้งแต่เช้า พี่ทาร์ตใช้ตาคมมองสำรวจกันตั้งแต่หัวจรดเท้า จะสำรวจอะไรนักหนา ไม่มีสมาธิขับรถไม่รู้หรือไง

"ไหน เปิดเสื้อให้พี่ดูหน่อยดิ มีพุงหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตทำเสียงเจ้าเล่ห์แล้วจ้องมองท้องของผมด้วยสายตาสนุกสนาน ผมเหลือบมองแล้วจิ๊ปากอย่างขัดใจ จะบ้าหรือไงอยู่ๆ จะให้ถลกเสื้อเนี่ยนะ หาเรื่องแกล้งกันไม่จบไม่สิ้นจริงๆ

"ไอ้พี่ทาร์ต เดี๋ยวผมจะจอดแล้วให้พี่โบกรถสองแถวไปเองเลยนะ"
ผมว่าเสียงดุๆ แล้วย่นคิ้วอยู่แบบนั้น ไม่เข้าใจว่าไอ้คนที่เพิ่งอกหักมานี่คึกอะไรขนาดนั้น ต้องแกล้งกันมาแค่ไหนถึงจะลืมแฟนเก่าไปได้วะ

"อ้าว... พี่แค่อยากพิสูจน์นี่หว่า ผิดตรงไหนเนี่ย"
ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกวนตีนหน่อยๆ แถมยังทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ใส่กันอีก จะไปด่าอะไรมากก็ไม่ได้เพราะพี่มันแก่กว่าหลายปี ผมต้องข่มใจแล้วท่องยุบหนอพองหนอ

"นั่งเงียบๆ ไปเลยก่อนที่ผมจะโมโห"
หลังจากคำพูดนั้นพี่ทาร์ตก็ยอมแพ้แล้วนั่งเงียบไปตลอดทางอย่างที่ผมบอกจริงๆ มีเหลือบสายตามามองกันบ้างแต่ผมเลือกที่จะไม่สนใจอะไร แต่จังหวะที่รถกำลังผ่านโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัยและโรงเรียนสตรีภูเก็ตเขาก็พูดขึ้น

"ตอนมัธยมพี่น่าจะเลือกเรียนที่นี่เนอะ สาวๆ เยอะดี"
พี่ทาร์ตชี้ไปที่โรงเรียนสตรีภูเก็ตที่อยู่ฝั่งซ้ายมือของเรา ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงแล้วเผลอเบ้ปากใส่ ความคิดของคนเจ้าชู้ก็มีแค่นั้นล่ะ คอยแต่จะมองสาวๆ อย่างเดียวมันใช้ได้ที่ไหน ถ้าพูดถึงโรงเรียนนี้จะได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนหญิงล้วนประจำจังหวัด แต่เมื่อหลายปีก่อนเริ่มรับนักเรียนชายเข้าไปศึกษาด้วย แต่มีจำนวนไม่มากคล้ายๆ ชนกลุ่มน้อยประมาณนั้น... เช่นเดียวกับโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัยที่เป็นโรงเรียนชายล้วนประจำจังหวัดและรับนักเรียนหญิงในจำนวนที่น้อยเหมือนกัน

"ความคิดของคนเจ้าชู้สินะ"
ผมพึมพำเบาๆ ไม่คิดเลยว่าพี่ทาร์ตจะได้ยิน พลาดที่สุดในชีวิตเลยว่ะ

"รู้ทันพี่อีกแล้วว่ะ แบบนี้รู้ใจด้วยหรือเปล่าน้อ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยเสียงหยอกล้อแถมยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจระอยู่ที่แก้ม ผมเผลอขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหนีระยะนั้นให้ไกล หัวชอบเต้นผิดจังหวะอยู่เรื่อยเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรบ้าบิ่น

"เกรงใจหน่อย นี่น้องพี่นะเว้ย เต๊าะอยู่ได้"
พยายามข่มอารมณ์สุดชีวิตแล้วหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายตรงหน้าเรือนจำจังหวัด อยากฆ่าพี่ทาร์ตว่ะ บอกให้เลิกแกล้งก็ไม่เลิก ผมควรจะปลงจริงๆ ใช่ไหม

"เต๊าะน้องตัวเองปลอดภัยที่สุดแล้ว ไม่มีหวั่นไหว ไม่มีเรื่องให้ตามแก้จนปวดหัว แถมยังเป็นผู้ชายด้วยกันอีก ชิลล์ๆ น่า"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยื่นมือมาตบบ่ากันเหมือนกำลังปลอบใจ ซึ่งอย่างที่เขาพูดมันก็จริงนั่นล่ะ เต๊าะน้องชายตัวเองเพื่อคลายเครียดมันปลอดภัยที่สุดแล้ว แถมยังเป็นผู้ชายด้วยกัน ไอ้เรื่องหวั่นไหวคงเป็นไปได้ยาก... แต่เรื่องหัวใจใครจะไปคาดเดาล่วงหน้าได้ล่ะ ความรู้สึกของคนผันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาน่ะสิ

"เออๆ ไม่เถียงกับพี่แล้ว เสียพลังงานเปล่าๆ"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงปลงๆ ก่อนจะจอดรถเมื่อถึงที่หมาย ‘ร้านซุปเปอร์ติ่มซำ’ ตั้งอยู่ที่บริเวณใกล้ๆ บขส.เก่า ขายาวๆ รีบก้าวอย่างรวดเร็วเพื่อตรงไปสั่งอาหารโดยมีพี่ทาร์ตตามมาอยู่ไม่ห่าง กลิ่นหอมของติ่มซำนึ่งสดทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเริ่มทำงาน จากที่ทนหิวได้ ตอนนี้แทบจะเขมือบทุกอย่างที่ขวางหน้า




ต่อด้านล่างนะ


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“พี่ทาร์ตอยากกินอะไรบ้าง เดี๋ยวผมสั่งให้”
ผมหันไปถามคนที่ยืนข้างๆ กันแล้วกลับไปสนใจอาหารตรงหน้าเพราะต้องใช้ระบบชี้สั่งก่อนที่จะมีคนเอาไปเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ ติ่มซำจะขายเป็นเข่งๆ ราคาประมาณยี่สิบห้าบาท

“ไม่รู้จะกินอะไรดี ฝากปูนสั่งด้วยแล้วกัน เดี๋ยวพี่เข้าไปหาโต๊ะนั่งนะ”
เขาพูดก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่ากันแล้วคลี่ยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน ผมไหวไหล่เล็กน้อยก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาชี้ติ่มซำที่ตัวเองอยากกินไปเรื่อยๆ ราวสิบเข่ง พร้อมกับสั่งซาลาเปาและบะกุ๊ตเต๋ (กระดูกหมูตุ๋นยาจีน) ให้กับอีกคน ไม่รู้ว่าจะกินหรือเปล่านี่สิ เพราะเขาห่างหายจากอาหารประเภทนี้ไปนาน ก็เล่นไม่ยอมกลับบ้านเลยตลอดเก้าปีสิบปีที่ผ่านมา ถ้าไม่ติดว่าเป็นพี่ชายข้างบ้านผมคงลืมเขาไปแล้วล่ะ

“ผมสั่งซาลาเปากับบะกุ๊ตเต๋มาเผื่อพี่ด้วยนะ”
ผมบอกแล้วทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามของพี่ทาร์ต เขากำลังกดโทรศัพท์ด้วยหน้าตาบอกบุญไม่รับ ดวงตาคมช้อนมองกันแค่ครู่เดียวก่อนที่เขาจะพยักหน้าให้กัน ท่าทางแบบนั้นเลยทำให้ต่อมเผือกเริ่มทำงานอีกแล้ว...

“ทำอะไรครับ เล่นเกมเหรอ”
ผมถามไปแบบนั้นก่อนจะคลี่ยิ้มบางให้ พี่ทาร์ตมองกันนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้กันโดยไม่ยอมตอบคำถามอะไร สถานการณ์แบบนี้อาหารคงไม่อร่อยแล้วล่ะมั้ง

“เอามาให้ผมทำไม”

“เอาไปดูเองสิ ขี้เกียจพูดถึงน่ะ”
พี่ทาร์ตพูดจบก็จับมือผมแล้วยัดโทรศัพท์ให้กันก่อนจะผละออกไปเพราะพนักงานเข้ามาเสิร์ฟอาหารแบบพอดิบพอดี

“ให้ผมดูจะดีเหรอ”
ผมถามไปแบบนั้นเพราะเกรงใจที่จะดูอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา พี่ทาร์ตพยักหน้ารับแล้วหยิบซาลาเปาขึ้นมากิน เอาวะ เจ้าของเขาอนุญาตก็ขอดูหน่อยแล้วกัน

ผมก้มลงดูหน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ปรากฏรูปชายหญิงคู่หนึ่งกำลังจูบกันในห้องนอน คำบรรยายใต้ภาพเขียนชื่อของคนสองคนเอาไว้ทำให้รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร... พี่เจนกับแฟนคนใหม่ เพราะแบบนี้ใช่ไหมคนตรงหน้าถึงได้ละเมอว่าเกลียด นอกใจแล้วเปิดตัวกันอย่างชัดเจนขนาดนี้ แย่ว่ะ

“พี่ทาร์ต... กินเยอะๆ นะ แล้วมือถือเนี่ยไม่เอาแล้วใช่ปะ ผมขอยึดนะ ไม่ให้คืนแล้ว”
ผมพูดจบก็จัดการปิดเครื่องแล้วยัดลงกระเป๋ากางเกงของตัวเองทันทีโดยไม่รอให้อีกคนอนุญาตใดๆ พี่ทาร์ตที่กำลังคาบซาลาเปาคาปากอยู่ถึงกับมองกันอึ้งๆ คงไม่คิดว่าน้องตัวเองจะกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้สินะ ถึงจะปลอบใครด้วยคำพูดไม่เป็นแต่ก็มักหาการกระทำมาลบล้างได้เสมอ ไม่ต้องห่วงหรอก

“ไม่รอพี่อนุญาตหน่อยเหรอวะ”
พี่ทาร์ตเอาซาลาเปาออกจากปากแล้วพูดขึ้น ผมส่ายหน้าแรงๆ จนผมสะบัดตามไปด้วย เรื่องอะไรจะรอคำตอบล่ะ ขืนไม่ยอมให้ยึดคราวนี้จะทำยังไง ไม่อยากให้เขาซึมเศร้านี่นา เขาน่ะต้องร่าเริงถึงจะถูก

“ไม่อะ เลิกสนใจมันแล้วกินเข้าไปเยอะๆ เลย อุตส่าห์สั่งมาให้กิน บะกุ๊ตเต๋นี่อร่อยนะ กินดิๆ”
ผมเลื่อนทุกอย่างไปตรงหน้าพี่ทาร์ตพร้อมกับคลี่ยิ้มกว้างให้ พยายามแสดงอาการร่าเริงใส่เขาทั้งๆ ที่ในใจหวั่นกลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถปลอบคนๆ นี้ได้เป็นครั้งที่สอง แต่ผิดคาดไปหน่อยเพราะเขาหัวเราะออกมาแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวกันจนยุ่งเหยิง

“ครับๆ จะกินให้หมดเลย”

หลังจากที่อิ่มท้องกันเรียบร้อยแล้วผมก็ขับรถพาพี่ทาร์ตวนรอบเมืองเพื่อเป็นการฆ่าเวลารอห้างเปิดเพื่อจะไปซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ และสวนสาธารณะสะพานหินที่ตั้งอยู่สุดสายถนนภูเก็ตบรรจบกับทะเลก็เป็นที่หมายในการหยุดพักในครั้งนี้ บริเวณโดยรอบปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ให้บรรยากาศร่มรื่นเหมาะแก่การมาปิคนิก เดินเล่น และยังมีศูนย์กีฬา โรงยิม สระว่ายน้ำไว้ออกกำลังกายอีกด้วย

ผมจอดรถเทียบริมฟุตบาทก่อนจะพาอีกคนไปเดินเล่นดูทะเลที่ไกลสุดลูกหูลูกตา พี่ทาร์ตทิ้งตัวลงนั่งบนก้อนหินที่ตั้งเรียงรายเป็นแนวไปตลอดสาย ดวงตาคมทอดมองไปด้านหน้าอย่างเหม่อลอย ตอนนี้คงไปขัดจังหวะความคิดของเขาไม่ได้เลยทำได้แค่นั่งลงข้างๆ ค่อยลอบมองเป็นระยะๆ

“ปูน...”
เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อกันขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปนาน ผมหันไปมองเขาก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร แต่เพิ่งค้นพบว่าอีกคนไม่ได้สนใจกันเลยด้วยซ้ำเพราะดวงตาของเขายังทอดมองน้ำทะเลสีฟ้าครามตรงหน้าเหมือนเดิม

“ครับพี่ทาร์ต”
ผมขานรับไปแล้วทอดสายตามองไปด้านหน้าบ้าง แต่กลับกันตรงที่พี่ทาร์ตกลับหันมามองทางนี้ กำลังเล่นอะไรกันอยู่วะ ใครหันมาสบตากันก่อนแล้วแพ้แบบนั้นหรือเปล่านะ

“พี่อยู่กับปูนแล้วสบายใจว่ะ พูดจริงๆ นะ ถ้าน้องเป็นผู้หญิงพี่จีบจริงๆ ด้วย”
พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมเผลอกลั้นหายใจ ตั้งแต่เจอหน้ากันได้ยินประโยคแบบนี้มากี่ครั้งแล้ววะ แต่เพราะไม่ใช่ผู้หญิงและไม่มีวันเป็นไปได้ผมเลยหัวเราะออกมาไม่ดังมากนักเพราะยังเกรงใจคนรอบข้างอยู่

“อย่าพูดในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้น่า แล้วถ้าผมเป็นผู้หญิงจริงๆ คงไม่กล้าคบคนเจ้าชู้หรอก กลัวโดนนอกใจ”
ผมพูดทีเล่นทีจริงแล้วเหล่มองอีกคนว่าจะมีปฏิกิริยายังไง พี่ทาร์ตนิ่งไปก่อนจะขยับเข้ามาใกล้กัน

“ถ้าเจอผู้หญิงแบบปูน พี่จะเลิกเจ้าชู้ว่ะ”
เขากระซิบกันเบาๆ แล้วผละตัวออกไปก่อนจะคลี่ยิ้มให้แล้วลุกขึ้นจากโขดหินเดินทอดน่องไปตามทางเรื่อยๆ ทิ้งให้ผมมองตามไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ผู้หญิงแบบผมอย่างนั้นเหรอ... ถ้าเป็นพี่ทาร์ตสักวันอาจจะหาเจอก็ได้ล่ะมั้ง

“เฮ้ย รอผมด้วยดิพี่ทาร์ต จะไปไหนล่ะนั่นเดี๋ยวก็หลงหรอก!”
ผมรีบตะโกนไล่หลังคนที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ แล้วรับวิ่งตามไปทันที เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศแล้วเดินไปเดินมาคนเดียวกลัวจะหลงเอาจริงๆ น่ะสิ ถึงสวนสาธารณะมันไม่ได้ลึกลับซับซ้อนก็เถอะ กลัวสาวๆ จะลากเขาไปด้วยนั่นล่ะ ผู้ชายหล่อๆ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ปลอดภัยแล้วนะจะบอกให้

พี่ทาร์ตหันมามองก่อนจะยักคิ้วกวนๆ ให้กันแล้วออกวิ่งไปตามทางเพื่อแกล้งให้ผมวิ่งตาม โอย ไอ้พี่บ้าเอ้ย อย่าให้จับตัวได้นะ จะเตะให้ก้นช้ำเลยคอยดู!





----------------------------------------------------

ตอนที่ 2 มาแล้วเนอะ รู้กันแล้วนะว่าทำไมพี่ทาร์ตละเมอว่าเกลียด...
สงสารเขาเนอะ แต่มีน้องปูนคอยปลอบแล้วนี่สิ หูยย

เต๊าะน้องเหลือเกิน บ้าบอๆๆๆๆๆ

ปล. ฝากติดตาม ฝากติชมกันด้วยน้า

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
คนเจ้าชู้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
พี่ทาร์ตระวังหยอดมากเต๊าะมากน้อยหวั่นไหวมารับผิดชอบด้วย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Toon_TK

  • เ ด็ ก อ้ ว น
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 742
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
ชอบน้องก็พูดมาาาา

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
หยอดน้องบ่อย ๆ น้องก็หวั่นไหวและเจ็บเองคนเดียวสิ

ออฟไลน์ papapajimin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ชอบๆๆๆๆๆ ชอบความเต๊าะของพี่ทาร์ต หายเศร้าเร็วๆเด้อ ผู้หญิงนิสัยไม่ดีคนนั้นนะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 3

Apple Cinnamon French Toast
: ขนมปัง/นม/ไข่ไก่/ผงชินนาม่อน/เกลือ/เนย/แอปเปิ้ล/วิปปิ้งครีม/น้ำตาลไอซิ่ง/ครีมชีส/กลิ่นวนิลลา :




นาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาตีสองแล้ว เป็นช่วงที่มนุษย์เราสมควรจะล้มตัวลงนอนพักผ่อนเพื่อให้ระบบร่างกายได้หยุดหรือซ่อมแซมส่วนต่างๆ แต่พี่ทาร์ตยังนั่งอยู่บนเตียงทั้งๆ ที่วันนี้ก็ใช้พลังงานไปเยอะ ไหนจะเดินเล่นสวนสาธารณะ ไหนจะเดินห้างจนขาลาก แถมตอนหัวค่ำยังไปเดินหลาดใหญ่ (ตลาดนัดวันอาทิตย์ในย่านเมืองเก่า) ที่ถนนถลางอีก กลับถึงบ้านแทบคลานด้วยซ้ำ

ผมไม่ได้โวยวายเรื่องที่เขายังไม่ปิดไฟ เพราะตัวเองสามารถนอนได้ท่ามกลางแสงสว่าง แต่แค่แปลกใจเพียงเท่านั้น เพราะหลับหนึ่งตื่นจนปวดฉี่ลุกขึ้นมา อีกคนก็ยังอยู่ในท่าเดิมคือนั่งกอดเข่า ดวงตาคมจ้องรายการโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ  ไม่รู้ว่าจดจ่อหรือเหม่อลอยกันแน่

"พี่ทาร์ต"
ผมเอ่ยเรียกชื่ออีกคนแล้วขยับตัวลุกขึ้นด้วยสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น พี่ทาร์ตยังคงนั่งนิ่งๆ ไม่รับรู้อะไรสักอย่างจนเริ่มน่าเป็นห่วงและได้คำตอบว่าที่เขาจ้องโทรทัศน์เนี่ยเหม่อเต็มๆ อาการอกหักมันหนักกว่าที่คิดไว้หรือเปล่านะ

ผมมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเดินลงจากเตียงเพื่อไปจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับมาดึงสติพี่ทาร์ตอีกครั้ง แต่เหมือนว่าจะคิดผิดไปนิดหน่อยเมื่อไม่เจออีกคนอยู่ที่เดิมแล้ว แต่ดีที่สายตาเหลือบไปเห็นประตูกระจกตรงระเบียงด้านนอกเปิดเอาไว้  สงสัยจะไปยืนทำเอ็มวีดูดาวรับลมอยู่แน่ๆ

"พี่ทาร์ต"
ผมเรียกเสียงดังขึ้นกว่าครั้งแรกนิดหน่อยแล้วเดินไปยืนข้างๆ เขาที่ทำแค่เพียงเบนสายตามามองกันเล็กน้อย ท้องฟ้าสีดำยามค่ำคืนที่ประดับด้วยดวงดาวดึงดูดดวงตาคมให้จับจ้องอยู่แบบนั้น ควรจะเริ่มบทสนทนาอะไรดีนะ

"ทำไมยังไม่นอน"
ผมแทบจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาดที่เลือกใช้คำถามแบบนั้น พี่ทาร์ตหันมาคลี่ยิ้มบางแล้วขยับปากตอบกลับมา

"นอนไม่หลับว่ะ ดีเนอะที่นี่มีดาวให้ดู"
พี่ทาร์ตหันหน้ากลับไปแหงนมองดวงดาวบนฟ้าเหมือนเดิม ผมไม่กล้าจะถามต่อว่าเพราะเรื่องพี่เจนหรือเปล่าที่ทำให้นอนไม่หลับ

"อืม ชอบดูดาวเหรอพี่"
ผมถามกลับไปสั้นๆ แล้วใช้แขนเท้าขอบระเบียงเอาไว้ก่อนจะแหงนหน้ามองดวงดาวเช่นเดียวกับอีกคน พี่ทาร์ตส่ายหัวแทนคำตอบแล้วยกมือเสยผมขึ้นเมื่อสายลมปะทะเข้ามา

"เปล่า ไม่ได้ชอบ แต่พอได้มองก็รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย"
ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนผมต้องเปลี่ยนโฟกัสมาเป็นใบหน้าของพี่ทาร์ตแทน ดวงตาคมสบมองกันอย่างพอดิบพอดีเลยได้รู้ความลับที่เขาพยายามปิดบัง

"ไหวปะพี่"
ผมถามออกไปตรงๆ เมื่อเจอแววตาหม่นมองและแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดของพี่ทาร์ต เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะส่ายหัวแทนคำตอบแล้วซบหน้าลงบนไหล่ในเวลาต่อมา อาการอกหักมันต้องใช้เวลาเยียวยานานแค่ไหนกันวะถึงจะหายเป็นปกติ ผมไม่ชอบโหมดซึมเศร้านี่เลย มันหดหู่ไร้สีสันชะมัด

"ผมอยู่ข้างๆ พี่เสมอ ไม่ไหวก็มากอดกันเนอะ เผื่อจะดีขึ้นบ้าง"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือออกไปโอบกอดพี่ทาร์ตเอาไว้หลวมๆ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำแต่กลับกอดกระชับเข้ามาแทน อยู่ๆ ก็อยากกลายเป็นที่พักพิงให้เขาขึ้นมาซะอย่างนั้น แต่ไม่กล้าหรอก เรื่องความรักมันยังห่างไกลจากผมอีกเยอะ

"อืม... ใครได้ปูนเป็นแฟนนี่น่าอิจฉาว่ะ พี่ไปเกิดใหม่เป็นผู้หญิงจะดีไหม"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแต่มันยังคลุมเครือเพราะผ่านการร้องไห้มา เขาไม่ได้สะอื้นเลยแม้แต่นิดเดียว ที่ทำให้รู้ก็เพราะว่าน้ำตาที่ไหล่ซึมเสื้อของผม เวลาแบบนี้ยังจะพูดเล่นอีกเนอะ

"ไม่เห็นต้องอิจฉาใครปะ ผมเห็นพี่สำคัญกว่าแฟนอยู่แล้ว แต่ถ้าพี่ทาร์ตไปเกิดเป็นผู้หญิงตอนนี้ ไม่เท่ากับว่าผมต้องเลี้ยงต้อยเหรอวะ"
ผมพูดทีเล่นทีจริงไปแบบนั้น ก็ถ้าพี่เขาไปเกิดใหม่อายุจะห่างกันสิบเก้าปีเลยนะเว้ย ยังไม่อยากติดคุกด้วยข้อหาพรากผู้เยาว์นะ พี่ทาร์ตผละตัวออกไปแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากใส่กันไม่หยุด อาการหนักจนต้องยกมือขึ้นกุมท้อง อะไรจะตลกขนาดนั้น

"โอย ไม่ไหวแล้วปูน พี่ปวดท้องว่ะ"
ยังคงขำไปพูดไปจนน่าหมั่นไส้ ผมถึงกับย่นจมูกแล้วกำหมัดต่อยต้นแขนเกร็งไปหนึ่งทีเต็มๆ แบบไม่ยั้งมือ คนเขาอุตส่าห์ปลอบใจ

"หึ หัวเราะให้ตายไปเลย ผมไปนอนต่อแล้วเว้ย!"

แสงแดดยังคงทำหน้าที่ปลุกทุกสรรพสิ่งให้ตื่นขึ้นในยามเช้าเป็นอย่างดีรวมถึงตัวผมด้วยแต่กับคนข้างๆ นี่ไม่ได้ผล เพราะเขายังเอาแต่ซุกหน้ากับหมอนข้างและหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อคืนพี่ทาร์ตกลับมานอนเมื่อไหร่

ผมตัดสินใจลุกออกจากเตียงอย่างเงียบเชียบแล้วย่องเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ใช้เวลาอยู่ไม่นานเท่าไหร่ก็กลับมายืนอยู่ข้างเตียงและมองดูคนที่ยังหลับสนิท ความคิดกำลังตีกันวุ่นวายเพราะไม่แน่ใจว่าควรปลุกเขาให้ไปกินข้าวพร้อมกันหรือปล่อยให้เขานอนต่อไปจนกว่าจะตื่นเอง

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูห้องทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบหมุนตัวไปเปิด แม่คลี่ยิ้มหวานอยู่ตรงนั้นก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาสำรวจด้านใน

"พี่ทาร์ตล่ะลูก"
มาถึงก็ถามหาลูกชายคนโปรดให้ผมได้เบะปากใส่ซะอย่างนั้น

"ลืมลูกตัวเองแล้วเหรอ"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงน้อยใจ จริงๆ แล้วก็แค่อยากแกล้งแม่ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้งอแงอะไรนักหรอก ก็เข้าใจว่าพี่ทาร์ตน่ะเป็นขวัญใจของทุกคน

"ลืมที่ไหน เมื่อกี้แม่ก็เรียกปูนว่าลูกนะ"
 แม่แจกมะเหงกให้ผมไปหนึ่งทีแล้วขยับถอยออกไปด้านนอกเมื่อเห็นว่าพี่ทาร์ตยังนอนอยู่บนเตียงและไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาพูดคุย

"ทาร์ตยังปรับเวลาไม่ได้สินะ"
แม่ถามขึ้นในขณะที่ผมปิดประตูห้องนอนอย่างเบามือ อยากจะพยักหน้ารับเรื่องที่เขาปรับเวลาไม่ได้ แต่ความจริงอีกครึ่งหนึ่งคืออาการอกหักแทรกซ้อนนี่สิ ควรโกหกหรือบอกความจริงดี

"ก็... คงงั้นล่ะครับ ปล่อยพี่เขานอนเถอะ วันนี้มีอะไรกินบ้างอะแม่"
ผมกอดแขนแม่แล้วลากเธอลงมายังชั้นล่างเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเรื่องพี่ทาร์ต ถ้าขืนไม่ทำแบบนี้คงได้ซักต่อจนเผลอหลุดปากไปแน่ๆ มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก แต่เขาคงไม่อยากเอาเรื่องส่วนตัวไปทำให้ใครทุกข์ใจตามไปด้วย

"เจ้าปูนนี่ตะกละจริงๆ เลย"
แม่ว่าก่อนจะเหล่ตามองกันแล้วส่ายหน้าปลงๆ ความจริงก็อยากเถียงออกไปว่าปูนไม่ได้ตะกละแต่หิวต่างหากก็กลัวว่าจะโดนเทศน์ยาวเลยเลือกก้มหน้ายอมรับข้อกล่าวหาไปดีกว่า

"น่าๆ วันนี้แม่ทำอะไรให้ปูนกินบ้าง"
ผมถามก่อนจะตรงเข้าไปในครัวแล้วพบกับข้าวต้มกุ้งหม้อปานกลางสำหรับสามคน แม่เข้ามาขวางทางแล้วบอกว่าให้ตักแบ่งส่วนของพี่ทาร์ตเอาไว้ก่อนและช่วงสายเธอจะเข้าไปที่โรงแรมเพื่อตรวจงานแทนพ่อและลุงตั้มซึ่งเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกัน

ประมาณสิบโมงผมเห็นพี่ทาร์ตลากสังขารลงมาจากชั้นสองของบ้านด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ไม่รู้ว่าควรถามอะไรออกไปหรือเปล่า เอาเป็นว่าทักทายตามประสาคนอยู่ร่วมบ้านเดียวกันคงจะพอมั้ง

"ตื่นแล้วเหรอพี่"
ผมทักทายด้วยน้ำเสียงสดใสแล้วเดินไปหาคนที่หยุดยืนตรงตีนบันได เขาพยักหน้ารับก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ มาให้กัน

"ทำไมไม่ปลุกพี่วะ ปล่อยให้นอนอยู่ได้"
พี่ทาร์ตพูดเสียงเซ็งๆ แล้วเอื้อมมือมาผลักหัวกันเบาๆ ผมถึงกับจิ๊ปากใส่ด้วยความขัดใจ ผิดมากเหรอที่ไม่ยอมปลุกเพื่อให้อีกคนพักผ่อนให้เต็มที่น่ะ จิตใจอ่อนแอก็ไม่อยากให้ร่างกายของเขาอ่อนแอตามไปด้วย

"อ้าว นี่ผมผิดหรือไงพี่ทาร์ต คนเขาอุตส่าห์หวังดีเห็นว่านอนดึก"
ผมบ่นเสียงอู้อี้แล้วปัดมือที่ทาร์ตออก ดวงตารีมองอีกคนอย่างหาเรื่อง แต่เพราะแสดงท่าทางแบบนั้นออกไปทำให้เขาถึงกับหัวเราะออกมา

"คิดว่าทำหน้าแบบนี้พี่จะกลัวหรือไง ดูไปดูมาน่ารักมากกว่าดุซะอีก"
พี่ทาร์ตยิ้มกรุ้มกริ่มให้กันก่อนจะเดินผ่านหน้าผมตรงไปยังห้องครัวซะเฉยๆ ไม่รู้ว่าคนเจ้าชู้นี่มันต้องหยอดชาวบ้านไปทั่วขนาดนี้หรือเปล่า เวลาแค่สองสามวันที่อยู่ด้วยกันนี่ก็โดนเต๊าะจนตัวจะพรุนอยู่แล้ว ถ้าวันนึงผมเกิดหวั่นไหวขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ ถึงจะบอกว่าตัวเองไม่พิศวาสผู้ชายก็เถอะ แต่ในอนาคตใครจะไปรู้ล่ะ

"พี่ทาร์ตจะเลิกพูดเชิงจีบกันได้หรือยังวะ ไม่สนุกเลยนะเว้ย"
ผมเดินตามเขาเข้าไปในห้องครัวแล้วพูดสิ่งที่คิดออกมาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม พี่ทาร์ตกำลังเลื่อนชามข้าวต้มไปตรงหน้ากลับหยุดชะงักมือแล้วช้อนสายตามองกัน

"หวั่นไหวเหรอ"
ถามกันสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ผมถอนหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ ตอนนี้น่ะไม่หรอก แต่ในอนาคตอะไรก็เกิดขึ้นได้ มีคู่รักหลายคู่ที่ตอนแรกเกลียดกันอย่างกับอะไรดีแต่สุดท้ายก็ได้เป็นแฟนกันมีเยอะแยะไปซึ่งนี่คือกรณีตัวอย่างเลย

"เปล่าครับ"
ไม่รู้จะตอบอะไรออกไปดี เพราะสีหน้าของพี่ทาร์ตแสดงออกอย่างกับว่าโลกจะถล่มถ้าหากต้องหยุดเต๊าะผม ความคิดคนๆ หนึ่งมันยุ่งเหยิงได้ขนาดไหนกันวะ

"อืม... ถ้าทำให้ปูนลำบากใจก็ขอโทษด้วย พี่ไม่รู้จะหาวิธีลืมเรื่องของเจนได้ยังไงดีว่ะ"
พี่ทาร์ตปล่อยชามข้าวต้มแล้วยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเอง ผมไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์แบบนี้ยังไงดีเพราะไม่ได้เก่งเรื่องการให้คำแนะนำเรื่องความรักกับใคร จะโทรไปปรึกษาไอ้ไนน์กับไอ้กู๊ดก็ดูจะเป็นการขายพี่ชายตัวเองมากไปหน่อย ทำไมมันยุ่งยากขนาดนี้วะ สุดท้ายเลยได้แต่ถอนหายใจยาวๆ และตัดใจยอมแพ้

"ช่างมันๆ ถ้าพี่ทาร์ตทำอะไรแล้วสบายใจก็ทำไปเถอะ ผมจะคิดซะว่าเพื่อความสุขของพี่ชายคนเดียวก็แล้วกัน"
สุดท้ายก็ยอมใจอ่อนอีกอยู่ดีเพราะกลัวว่าพี่ชายคนนี้จะจมอยู่กับความทุกข์จนถอนตัวไม่ขึ้น เขาถือว่าเป็นคนในครอบครัวและมีความสำคัญเป็นอย่างมากในชีวิตของผม เรื่องแค่นี้จะทำเป็นมองผ่านไปไม่คิดมากก็แล้วกัน บางทีอาจจะเพ้อเจ้อไปเอง กลัวไปเองว่าจะหวั่นไหวทั้งๆ ที่มันคงเป็นไปไม่ได้ รู้จักกันมาทั้งชีวิตคงไม่พิศวาสกันตอนนี้หรอก ใช่ไหม

"จะไม่หยุดน่ารักบ้างหรือไงครับปูน ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ"
พี่ทาร์ตเอ่ยชมกันด้วยรอยยิ้ม แต่ผมคิดว่ามันแปลกอยู่สักเล็กน้อยที่ใช้คำว่าน่ารักกับผู้ชายด้วยกันเลยได้แต่ขมวดคิ้วจนยุ่ง เดือดร้อนอีกคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามตรงส่งนิ้วมานวดให้ บริการทุกระดับประทับใจหรือเปล่านะแบบนี้

"ทำไมชอบชมผู้ชายว่าน่ารักวะพี่ทาร์ต มันแปลกๆ รู้สึกขนลุก"
ผมทำหน้าเหยเกแล้วผงะถอยหลังหนีมือของพี่ทาร์ต ตอนที่พูดว่าขนลุกนั้นก็รู้สึกจริงๆ จนต้องใช้มือลูบแขนไปมา เขามองกันนิ่งๆ อยู่สักพักก่อนจะหลุดขำ

"พี่หมายถึงนิสัยน่ารักเว้ย ไม่ใช่หน้าตาอะไรแบบนั้น อย่าแปลความหมายผิดๆ"
พี่ทาร์ตเหล่มองกันแล้วส่ายหน้าอย่างปลงๆ ผมเลยได้แต่เบนสายตาหลบไปทางอื่น ก็ใครมันจะไปรู้เล่นพูดสองแง่สองง่ามมาตลอด

"ก็พูดกำกวมเองนี่หว่า"
ผมพึมพำอยู่ในลำคอ แต่คนหูดีอย่างพี่ทาร์ตคงไม่พลาดหรอก เพราะเขาวางช้อนในมือลงแล้วอ้าปากตอบกลับมาได้ซะอย่างนั้น โดนไปอีกไอ้ปูนเอ้ย

"หัดเถียงเหรอน้องปูน"
ว่าเสียงดุๆ แต่หน้าตาดันสวนทางกันลิบลับเพราะเขาเอาแต่ทำหน้าทะเล้นใส่ หมั่นไส้จนอยากโทรตามไอ้ฟ่อนให้กลับมาจัดการพี่ชายตัวเองหน่อย ไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ แล้วนะเว้ย

"อะไรเล่า รีบๆ กินข้าวไปเลย เดี๋ยวเที่ยงๆ จะพาไปไหว้พระที่วัดฉลองแล้วไปแวะกินข้าวที่หาดราไวย์กัน ตอนเย็นก็ไปแหลมพรหมเทพดูพระอาทิตย์ตก โอเคปะ"
ผมตัดบทเพราะขี้เกียจให้เรื่องไม่เป็นเรื่องต้องยาวไปกว่านี้โดยยกโปรแกรมเที่ยวขึ้นมาบอกอีกคน พี่ทาร์ตเบิกตาโตด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด ก็ไม่ได้บอกเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะพาไปไหน... เพราะหลังจากที่ลุงตั้มกับป้าอุ่นบินกลับมา เขาก็คงต้องเรียนรู้งานบริหารในโรงแรมสี่ดาวแล้ว

"โอ้ ไกด์นำเที่ยวคนนี้ดีว่ะ แบบนี้ต้องให้รางวัลสักหน่อยแล้ว"
พี่ทาร์ตคลี่ยิ้มกว้างส่งมาให้กัน และนั่นทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง อยากรู้จริงๆ ว่าจะให้อะไรเป็นของตอบแทน จะว่าไปเขาก็กลับมามือเปล่านะ ไม่เห็นจะมีของฝากติดไม้ติดมือมาให้กันบ้างเลย

"ไหนๆ จะให้อะไรผม รีบๆ เลย"

"พี่จะหอมแก้มปูนเป็นรางวัล"
พี่ทาร์ตยักคิ้วกวนๆ ใส่กันแล้วขยับหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผมเบิกตาค้างแล้วขยับเก้าอี้ห่างออกจากโต๊ะอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ เมื่อครู่ไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม! เอาอีกแล้ว แกล้งกันให้ได้โวยวายใส่อยู่เรื่อย

"เก็บปากไว้กินข้าวเถอะ!"
แล้วสุดท้ายก็ได้รับเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีกลับมา ให้มันได้แบบนี้สิ เวลาครึ่งเดือนที่ต้องอยู่ร่วมบ้านกับพี่ทาร์ตอาจจะทำให้ผมเป็นบ้าก็ได้

ตอนสายของวันผมที่เป็นไกด์เฉพาะกิจก็ขับรถพาคุณชายมายังวัดฉลองเพื่อไหว้พระและทำบุญให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง อากาศร้อนอบอ้าวเป็นปกติของประเทศภูเก็ตทำให้เราต้องรีบย่ำเท้าลงจากรถอย่างรวดเร็วเมื่อถึงที่หมาย จะมัวชักช้าให้ผิวไหม้เล่นๆ คงไม่ดีแน่ แต่พี่ทาร์ตน่ะสิ ไม่เคยเข้าใจกันบ้างเลย

"พี่ครับ รีบๆ เดินตามมาสิ"
ผมออกปากเร่งคนเป็นพี่ที่ยกโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ขึ้นถ่ายรูปตรงนั้นทีตรงนี้ทีไม่สะทกสะท้านกับอากาศเลยสักนิด ทั้งๆ ที่ตอนมาถึงสนามบินภูเก็ตวันแรกยังบ่นเป็นหมีกินผึ้งอยู่เลย

แชะ

เสียงกดถ่ายรูปดังขึ้นอีกครั้งให้ผมได้อ้าปากค้าง เพราะโทรศัพท์เล็งมาทางนี้เต็มๆ พี่ทาร์ตเดินมาหากันแล้วยื่นหน้าจอสี่เหลี่ยมให้ดู... โคตรเกลียดตัวเองที่เหมือนจะขาวกลืนไปกับแสงแดดว่ะ ผิวซีดได้อีก คล้ายๆ ไก่ต้มอะไรประมาณนั้น

"ลบทิ้งเลยพี่ น่าเกลียดฉิบหาย"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วแย่งโทรศัพท์จากมือพี่ทาร์ตเพื่อจะลบรูปตัวเองเมื่อครู่ออก แต่ต้องตกใจเมื่อในแกลอรี่มันเต็มไปด้วยรูปของผมตั้งแต่ตอนที่เขาได้เครื่องใหม่มาเมื่อวาน มันเรื่องบ้าอะไรกันไม่ทราบ มาแอบถ่ายรูปแบบนี้จะแบล็กเมล์กันใช่ไหม!

"ไอ้พี่ทาร์ต ทำไมมีแต่รูปผมวะเนี่ย จะถ่ายทำไมตอนนอนอ้าปากน้ำลายยืดก็ไม่เว้น สนุกมากนักเหรอ!"
ผมโวยเสียงดังด้วยความลืมตัวว่าอยู่ในวัด พี่ทาร์ตเลยเอามืออุดปากแล้วลากผมไปตรงลานหน้าส่วนเช่าพระเครื่องและบริการดอกไม้ธูปเทียนซึ่งมีที่ให้นั่งพักแล้วมีร่มไม้ใหญ่บังแดดก่อนจะปล่อยกันให้เป็นอิสระ

"ลองเล่นกล้องไงวะ รูปดีๆ ก็มีเยอะแยะน่า"
พี่ทาร์ตพูดแล้วดึงโทรศัพท์ออกไปจากมือผมแล้วเปิดรูปที่ดูดีส่งมาให้กัน ผมขมวดคิ้วแน่นไม่ใช่ว่าโกรธเรื่องที่เขาถ่ายรูปตลกๆ เอาไว้ แต่ที่ไม่เข้าใจคือจุดประสงค์ต่างหาก ไอ้ที่บอกว่าลองกล้องนี่ แค่รูปสองรูปก็พอหรือเปล่า ที่อยู่ในแกลอรี่เกือบๆ ห้าสิบ

"ลองกล้องเยอะไปปะพี่ทาร์ต"
ผมถามอย่างจับผิด แต่อีกคนไม่มีพิรุจใดๆ แสดงออกมาแม่แต่น้อย ใบหน้าหล่อเหลายังคงยิ้มแย้มเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรแอบแฝง คงคิดมากไปเองอีกแล้วล่ะมั้ง...

"ไปไหว้พระกันเถอะ เดี๋ยวคนเยอะ ขี้เกียจไปเบียดใคร"
พี่ทาร์ตไม่ตอบแต่เปลี่ยนเรื่องแล้วเดินไปตรงจุดบริการดอกไม้ธูปเทียนแทน ผมมองตามไปก่อนจะถอนหายใจ อย่าสงสัยอะไรมากเพราะจะปวดหัวเปล่าๆ เขาให้ทำอะไรก็ทำ หรือเจาอยากทำอะไรก็ตามใจ

ผมกับพี่ทาร์ตไหว้พระกันเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่ทุกคนชอบคือการเสี่ยงเซียมซี มาทีไรก็ต้องรอคิวไอ้เจ้ากระบอกนี่ทุกที แต่ครั้งนี้ผมขอบายเพราะเมื่อต้นปีได้เลขที่ไม่เป็นมงคลเท่าไหร่ อ่านคำทำนายแล้วจิตตกไปเป็นวันๆ

"เซียมซีไหม"
พี่ทาร์ตยื่นกระบอกไม้สีแดงมาให้กันตรงหน้า ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธแล้วดันมันกลับไป เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาก่อนจะเริ่มเขย่ามันช้าๆ และค่อยๆ แรงขึ้นตามลำดับจนด้ามไม้หล่นลงมา

"ได้เลขสิบสองว่ะ"
พี่ทาร์ตหันมาบอกผมก่อนจะเก็บด้ามไม้ลงในกระบอกเซียมซีแล้วก้มกราบพระอีกครั้งก่อนจะชวนกันออกมาจากตรงนั้นเพื่อไปปิดทองพระพุทธรูปสามองค์

"ปูนหยิบฟ็อกกี้ให้พี่หน่อยดิ ปิดทองไม่ได้ว่ะ ปลิวหล่นตลอด"
พี่ทาร์ตชี้นิ้วไปที่ฟ็อกกี้ฉีดน้ำที่ตั้งอยู่ข้างๆ ผมเอื้อมมือไปหยิบและส่งให้เขาก่อนจะปิดทองให้มือต่อ อยากจะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ลำบากพอสมควรเพราะทองคำเปลวมักจะติดมือมากกว่าติดพระพุทธรูป บางครั้งติดตามใบหน้าก็มี...

"ผมไปรอที่ชั้นหยิบใบทำนายนะพี่"
ผมบอกออกไปแล้วรออีกคนตอบรับ พี่ทาร์ตพยักหน้าหงึกหงักให้กันเป็นการรับรู้ ไม่นานนักเขาก็เดินมาสมทบและหยิบใบทำนายเลขที่สิบสองไปอ่าน

"ถามหาลาภว่าประเสริฐแท้ ถามคู่แน่คนนี้ตามที่หมาย ถามคนป่วยว่าบรรเทาคลาย ถามของหายจะประสบพบเจอเอย"
ท้ายแผ่นพี่ทาร์ตอ่านให้ฟังแล้วเหลือบมองกันไปด้วย ทุกอย่างที่ว่ามาดีทั้งหมดจนผมพลอยยิ้มให้กับคำทำนายนั่น ถ้าเป็นแบบนี้เราก็สามารถนำใบเซียมซีกลับบ้านได้

"ดีว่ะพี่ เก็บกลับบ้านเลย"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อยแล้วคว้ามือไปหยิบกระดาษคำทำนายเอามาพับแล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตของพี่ทาร์ตก่อนจะเดินนำไปที่ตู้รับบริจาคเงิน

"เขาบอกว่าพี่จะเจอเนื้อคู่ว่ะ หมายตาคนไหนได้คนนั้นจริงดิ"
พี่ทาร์ตที่เดินตามกันมาถามขึ้นในขณะที่ผมหยิบธนบัตรออกมาเตรียมหยอดตู้บริจาค คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยแล้วกันไปมองหน้าคนตั้งคำถาม ก็... ไม่รู้สินะ

"ไม่รู้ดิพี่ ทำบุญเหอะ ผมเริ่มหิวแล้วเนี่ย"

"ครับๆ ตะกละจริงๆ เลย"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วกยิบธนบัตรขึ้นมาหยอดตู้บริจาคบ้าง ผมถลึงตาใส่เขาก่อนจะหนีออกทางประตูโบสถ์และใส่รองเท้าเดินไวๆ ไม่รอแม่งแล้ว พูดอะไรอย่างกับไปลอกแม่มาอะ หึ

"เฮ้ย รอพี่ด้วยสิน้องปูน งอนพี่เหรอวะ"
พี่ทาร์ตวิ่งตามมาดึงแขนกันจนได้ ผมหยุดแล้วแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะสะบัดแขนออก จะบอกว่างอนก็ได้ แต่ไม่อยากยอมรับเพราะมันดูเหมือนผู้หญิงเกินไป ทำใจรับตัวเองไม่ได้

"เปล่า โมโหหิวเฉยๆ"
ตอบกลับไปด้วยเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อยแล้วออกเดินตรงไปที่รถแทบจะทันที พี่ทาร์ตไม่ได้ทิ้งช่วงห่างกันเท่าไหร่แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อจนเรามาถึงหาดราไวย์

ผมเดินนำพี่ทาร์ตเข้าร้านอาหาร 'ศาลาลอย' ที่ไม่ค่อยได้มานัก เพราะปกติแล้วชีวิตจะวนเวียนแค่ในตัวเมืองและห้างสรรพสินค้ามากกว่า แต่อีกคนสะกิดไหล่กันทำให้ต้องหยุดชะงักแล้วกันไปมอง

"โต๊ะริมทะเลนั่นของร้านไหนวะ อยากนั่งตรงนั้น"
พี่ทาร์ตชี้มือไปอีกฝั่งหนึ่งของถนนที่มีโต๊ะตั้งเรียงรายภายใต้ร่มเงาต้นไม้ ผมมองดูอยู่สักพักก่อนจะตอบออกไป

"ร้านเดียวกันครับ ถ้าอยากนั่งตรงนั้นก็ได้"
ผมตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม ซึ่งพี่ทาร์ตก็พยักหน้ารับแล้วคว้าข้อมือไปจับซะเฉยๆ

"เฮ้ย จับมือผมทำไม"
ผมร้องเสียงไม่ดังมากนักเพราะตกใจ อยู่มาจับมือกันแบบไม่บอกไม่กล่าวนี่นา

"ข้ามถนนไง"
พี่ทาร์ตตอบด้วยเสียงสบายๆ แล้วไม่ยอมปล่อยมือกัน ผมกรอกตาด้วยความปลงก่อนจะหัวเราะออกมาน้อยๆ โตแล้วนะไม่ใช่เด็กๆ ที่จะข้ามถนนไม่ได้น่ะ

"ผมโตแล้วนะพี่ ข้ามเองได้น่า"
ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยักคิ้วใส่พี่ทาร์ตด้วยท่าทางกวนๆ ไม่คิดเลยว่าเขายังดูแลกันเหมือนตอนเด็กๆ บางครั้งก็โดนคนอื่นเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ ว่าเราเป็นพี่น้องกัน ส่วนไอ้ฟ่อนเป็นน้องชายข้างบ้านไปซะอย่างนั้น ขำดีเหมือนกัน

"ไม่รู้ล่ะ ตอนนี้หิวแล้ว"
พี่ทาร์ตไม่ยอมปล่อยกันแถมยังกระตุกมือให้เดินข้ามถนน ผมได้แต่มองแผ่นหลังของคนที่เดินนำหน้าแล้วหลุดยิ้มออกมา เขาในโหมดพี่ชายนิสัยน่ารักดีนะ ในโหมดแฟนก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกมั้ง

พี่ทาร์ตเลือกโต๊ะที่อยู่มีแสงแดดส่องถึงน้อยที่สุดแล้วจัดการนั่งลงโดยที่มีผมทิ้งตัวลงฝั่งตรงข้าม พนักงานส่งเมนูให้กับเราและบอกว่าอีกสักครู่จะกลับมารับออเดอร์เพราะตอนนี้ลูกค้าเยอะจะให้ยืนรอเราตัดสินใจคงเสียเวลาไม่น้อย

"ถอดแว่นกันแดดก่อนไหมพี่ทาร์ต"
ผมเอ่ยทักเขาไปแบบนั้นเพราะสายตาหลายคู่กำลังมองมาที่เราทั้งสองคน พี่ทาร์ตเงยหน้าขึ้นจากเมนูแล้วพยักหน้าตอบรับก่อนจะถอดแว่นกันแดดออกแล้วเหน็บไว้ที่เสื้อเชิ้ต แต่ที่นึกว่าคนอื่นจะเลิกมองนั้นผิดคาดอย่างสิ้นเชิงเลยว่ะ จ้องแทนเฉยเลย

"พี่ทาร์ตควรไปกินยาลดความหล่อว่ะ สาวๆ มองพี่เต็มไปหมด"
ผมว่าติดตลกแล้วบุ้ยปากให้พี่ทาร์ตมองไปรอบๆ ด้วยนิสัยเจ้าชู้ของเขาแล้ว เมื่อเห็นคนอื่นสนใจตัวเองเลยส่งยิ้มหล่อๆ กลับไปเล่นๆ และนั่นทำให้พวกเธอกระดี๊กระด๊าเข้าไปใหญ่

"ทำไมครับ น้องปูนหวงพี่เหรอ"
เขาหันกลับมาให้ความสนใจผมด้วยใบหน้าที่ยังเปื้อนยิ้ม อะไรทำให้พี่ทาร์ตคิดแบบนั้นได้ล่ะนั่น สิทธิความเป็นน้องชายข้างบ้านไม่ได้มีมากขนาดนั้นมั้ง

"จะหวงเพื่ออะไร ผมไม่ใช่ไอ้ฟ่อนนะ"
รายนั้นเขาหวงพี่ชายน่ะ ใครแตะไม่ค่อยได้หรอก ผมพูดจบก็ก้มลงอ่านเมนูในมือแทนที่จะสนใจพี่ทาร์ต มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นเลย เลือกไม่ถูกจนพลิกหน้ากระดาษกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ

"แต่พี่หวงปูนนะ ไม่อยากให้มีแฟน"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนทำให้ผมเกือบทำเมนูหล่นจากมือ ดวงตารีช้อนมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามด้วยความรู้สึกหลากหลาย คราวนี้จะให้เหตุผลว่ายังไงอีกนะ แต่คงไม่ได้แกล้งกันหรอก

"ทำไมครับ ชอบผมเหรอ"
ผมแกล้งแหย่ไปแบบนั้นเป็นการเอาคืนที่เขาชอบเต๊าะกันได้ตลอดเวลา พี่ทาร์ตเลิกคิ้วขึ้นสูงกับคำถามนั้นก่อนจะเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสบายๆ นิ้วเรียวยาวเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ ทำแบบนี้หมายความว่ายังไงเนี่ย

"เปล่านี่ หวงน้องชายมันผิดเหรอวะ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วเบนสายตาไปมองน้ำทะเลสีฟ้าอมเขียว เรือประมงขยับไปตามเกลียวคลื่นที่กระทบฝั่ง สายลมอ่อนๆ พัดผ่านร่างกายไป

"ไม่ผิดครับ แต่ทำไมพี่ไม่ไปหวงไอ้ฟ่อนล่ะ"
ผมตอบไปตามที่คิด ตั้งแต่ไหนแต่ไรพี่ทาร์ตไม่เคยแสดงความหวงกับไอ้ฟ่อนสักครั้ง ใครจะเข้าไปจีบน้องก็ไม่สน แต่กับผมจะคอยถามคอยสแกนอยู่ตลอดเวลา ก็แปลกดี

"Just Kidding. สั่งอาหารเถอะ"
พี่ทาร์ตตัดบทไปแบบนั้นแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านเมนูอย่างตั้งใจ ผมที่ยังคงความสงสัยเอาไว้ได้แต่หุบปากเงียบและคิดเอาเองว่าเขาคงไม่อยากเห็นคนสนิทเจ็บเพราะเรื่องความรักล่ะมั้ง... แต่ไอ้ฟ่อนล่ะ ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ ช่างแม่งเถอะ ท้องร้องจะแย่แล้ว

ปลาสามรส หมึกนึ่งมะนาว หมึกทอดกระเทียม ทอดมันกุ้ง ปูผัดต้นหอม และข้าวผัดทะเลตรงหน้าดึงให้เราทั้งสองคนหลุดเข้าสู่โลกแห่งความสุขอย่างแท้จริง อาหารทะเลยังคงเป็นสวรรค์ของคนจำนวนมากถึงแม้ราคามันจะสูงก็ตามที พี่ทาร์ตเป็นคนที่ชอบกินปูมากแต่ผมกลับไม่ชอบเพราะมันแกะยาก แต่ตอนนี้มีคนบริการให้ทุกอย่างจนอดอมยิ้มไม่ได้ ชักเริ่มมีความรู้สึกอิจฉาแฟนในอนาคตของเขาแล้วสิ... ถ้าเลิกเจ้าชู้ได้คนๆ นี้จะเพอร์เฟ็คมากจริงๆ

"ที่จริงผมกินแค่ไข่ก็ได้พี่ทาร์ต ไม่เห็นต้องลำบากแกะปูให้ผมเลย"
ผมบอกอีกคนที่ยังขะมักเขม้นแกะปูให้กันอย่างตั้งใจ ยอมรับว่าเขามีความชำนาญอยู่มากแต่ก็ไม่อยากให้ลำบาก เพราะปกติแล้วแม่ก็ชอบกินปูผัดเหมือนกัน และผมจะเลือกกินแต่ไข่ที่ใส่มาด้วย อร่อยได้รสชาติอยู่หรอก

"พี่อยากให้ปูนกินของที่พี่ชอบ"
ตอบกลับมาแบบนั้นแต่ไม่ได้มองหน้ากัน แล้วผมควรต้องรู้สึกยังไงกับประโยคที่รู้สึกว่าอีกคนกำลังจีบ... แต่น่าจะฟุ้งซ่านไปเองนั่นล่ะ ปกติเขาก็ชอบเต๊าะผมเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว ไม่มีอะไรในกอไผ่หรอก

"ตามใจครับ อย่าบ่นมาเจ็บมือก็แล้วกัน"
ผมตอบออกไปแบบนั้นก่อนจะเหลือบมองโทรศัพท์มือถือที่มีแจ้งเตือนไอจีโผล่ขึ้นมา ผมสไลด์หน้าจอแล้วกดเข้าแอพพลิเคชั่นทันที




ต่อด้านล่างเนอะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ใต้รูปอาหารที่ผมเพิ่งเอาลงไอจีไปนั้นแสดงยอดกดไลค์ห้าสิบคนและยังมีคอมเม้นท์ประปรายและหนึ่งในนั้นก็เป็นของเพื่อนสนิทที่มีนามว่า 'ไนน์' เป็นสาวสวยรวยเสน่ห์ติ่งโอป้าเป็นกิจวัตรและมีแฟนเป็นหนุ่มลูกครึ่งเกาหลีที่เรียนคณะเดียวกันสาขาวิชาเดียวกันอีกด้วย ถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิตสุดๆ

nine_official ไปกินข้าวกับใครวะแก ทำไมไม่ชวน!
Poonn_x ชวนบ้าอะไรวะ แกอยู่เกาหลีไม่ใช่เหรอ @nine_official

ผมตอบคอมเม้นท์ของไนน์ไปแล้วกดล็อกโทรศัพท์เพื่อจะกินข้าวต่อ บางทีก็อยากถามเพื่อนว่ามันมึนงงอะไรหรือเปล่าตัวเองอยู่เกาหลีกับแฟนแท้ๆ จะให้ชวนกินข้าวยังไง ถ้าเป็นไอ้กู๊ดที่ยังสถิตอยู่คอนโดในภูเก็ตก็ว่าไปอย่าง แต่รายนั้นหายเงียบไปเลยตั้งแต่ปิดเทอม นานๆ ครั้งจะตอบไลน์กลับมา ดูท่าทางคงมีปัญหากับสาวที่มันคุยอยู่ล่ะมั้ง

"ชอบเล่นมือถือตอนกินข้าวเหรอ"
พี่ทาร์ตถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วตักเนื้อปูล้วนๆ ใส่ในจานให้ ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธ เพราะไม่ได้ติดเล่นโทรศัพท์อะไรขนาดนั้น เมื่อครู่ก็แค่เห็นแจ้งเตือนพอดี

"เปล่าครับ ไม่ได้ติดอะไรหรอก แค่ตอบคอมเม้นท์ไอจีของเพื่อนนิดหน่อยเอง พี่ทาร์ตไม่ชอบเหรอ ผมเก็บมือถือก็ได้"
ผมไม่ได้หงุดหงิดอะไรที่โดนทักแบบนั้น เวลากินข้าวก็ไม่สมควรเล่นโทรศัพท์จริงๆ นั่นล่ะ มันไม่เหมาะสมเท่าไหร่

"เปล่าๆ ว่าแต่ปูนเล่นไอจีด้วยเหรอ พี่ขอหน่อยดิ เดี๋ยวฟอลโล่วไป"
พี่ทาร์ตหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะสแกนลายนิ้วมือแล้วส่งเครื่องมาให้ผมจัดการฟอลโล่วตัวเอง... ไอ้ที่พี่พูดมาเมื่อครู่เพื่ออะไรวะถ้าจะทำกันแบบนี้ งงในงงไหมล่ะ

ผมส่งเครื่องมือสื่อสารให้กับเขาก่อนจะลงมือกินข้าวต่อ หมึกนึ่งมะนาวรสชาติจี๊ดจ๊าด ปลาสามรสอร่อย ทอดมันกุ้งกรอบนอกนุ่มใน ปูผัดต้นหอมก็ดี หมึกทอดกระเทียมก็ฟิน ข้าวผัดนี่ไม่ต้องบรรยายกลมกล่อมสุดๆ อ่า ~ สวรรค์

เราสองคนจบมื้ออาหารด้วยการออกค่าเสียหายกันคนละครึ่งอย่างที่ได้ตกลงกันไว้ตอนแรก ผมเดินลูบท้องกลับไปที่รถด้วยความอึดอัดเล็กน้อย กินมากไปจนอยากได้อีโน่เลยว่ะ แย่แล้ว...

"โอย อึดอัด"
ผมนั่งแช่อยู่ในรถเพราะไม่อยากขับออกไปทั้งๆ ที่สภาพยังไม่พร้อม พี่ทาร์ตนั่งกดโทรศัพท์เล่นอยู่ข้างๆ กันโดยไม่โวยวายอะไรออกมาสักคำ

"กินเยอะไปล่ะสิ พี่ลงไปซื้อยาลดกรดให้เอาไหม ในเซเว่นน่าจะมี"
พี่ทาร์ตอาสาแต่ผมกลับส่ายหน้าปฏิเสธความหวังดีของเขาไป

"ไม่เอาๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้นครับ"
ผมปฏิเสธกลับไปแบบนั้นก่อนจะเข้าเกียร์และเหยียบคันเร่งออกรถไปตามถนนเรียบหาด ทางด้านหน้าจะเริ่มคดเคี้ยวและลาดชันขึ้นเรื่อยๆ ตามสภาพพื้นที่ภูเขา

"เราจะไปแหลมพรหมเทพกันเลยเหรอ"
พี่ทาร์ตเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์เพื่อมองเส้นทางด้านหน้า ผมส่ายหัวเบาๆ เป็นการปฏิเสธเพราะเหลือบมองเวลาแล้วเพิ่งจะบ่ายสองโมงกว่าๆ เอง ไปแหลมพรหมเทพตอนนี้จะไปฟินอะไร แดดเผาตายกันพอดี

"ยังครับ แดดเปรี้ยงขนาดนี้ไม่ไหวหรอก กว่าพระอาทิตย์จะตกดินก็อีกนาน"
ผมบอกไปแบบนั้น พี่ทาร์ตก็พยักหน้าเข้าใจในทันทีและเหมือนว่าเขากำลังจะถามอะไรต่อแต่เสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้นซะก่อน

Rrrrr
ผมเอื้อมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อเพื่อดูว่าเป็นสายเรียกเข้าจากใคร และชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ผมส่งไปยังพี่ทาร์ตทันที ดูเขาจะงงๆ แต่ก็ยอมรับไป

"ให้พี่ทำไม"
เขาถามและปล่อยให้โทรศัพท์แผดเสียงร้องไปแบบนั้น

"ไอ้ฟ่อนโทรมาอะ รับให้หน่อยดิ"
ผมขอความช่วยเหลือจากเขาตรงๆ ขี้เกียจรับสายไอ้ฟ่อนด้วยล่ะ มันคงโทรมากวนประสาทไม่ก็อ้อนตามเคย

"หืม... โอเคๆ"
พี่ทาร์ตตอบกลับมาก่อนจะกดรับแถมด้วยการเปิดสปีคเกอร์อีกด้วย จริงๆ ไม่ต้องเผื่อแผ่ผมก็ได้ ไม่อยากคุยด้วยเลยสักนิด รำคาญน่ะ...

"ไฮ คุณน้องชาย"
พี่ต้นกรอกเสียงทักทายน้องชายอย่างอารมณ์ดีจนผมถึงกับเผลอยิ้มออกมา

'เอ๊ะ เดี๋ยวๆ ฟ่อนโทรเบอร์พี่ปูนไม่ใช่เหรอทำไมเป็นเสียงพี่ทาร์ตรับโทรศัพท์อะ!'
ปลายสายโวยวายกลับมาด้วยเสียงที่ดังพอตัว แถมรอบด้านยังได้ยินเสียงรถราอีกด้วย สงสัยจะออกไปสยามอีกตามเคยล่ะมั้ง

"ก็กูอยู่กับปูนไงครับน้องชาย มึงมีปัญหาเหรอ"
สรรพนามที่เขาใช้เรียกไอ้ฟ่อนต่างจากที่ใช่กับผมลิบลับ ก็ไม่รู้ว่าเขาเอามาตรฐานไหนมาแบ่งใช้ความลำเอียงนี้เหมือนกัน

'มีแน่ๆ อะ พี่ปูนเป็นของฟ่อนนะ อย่ามายุ่งสิพี่ทาร์ต'
ไอ้ฟ่อนทำเสียงง้องแง้งกลับมาจนพี่ทาร์ตเบ้ปากใส่โทรศัพท์ที่ถืออยู่ ผมแทบจะจอดรถแล้วกระชากเจ้าเครื่องสีเหลี่ยมมาตะโกนถามว่ากูไปเป็นของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่ นอนฝันกลางวันอยู่เหรอไงถึงได้พูดแบบนั้นออกมา

"เฮ้ยๆ ไม่ใช่..."

"มึงเป็นเด็กขี้โมเมเนอะ ปูนเป็นของกูต่างหาก"
เฮ้ย... ทำไมต้องขัดจังหวะปฏิเสธไอ้ฟ่อนของผมด้วยวะ แล้วที่ร้ายแรงไปกว่านั้นคือพี่ทาร์ตดันเปิดศึกกับน้องชายไปอีก จะมาแย่งกันทำไมเนี่ย โอย จะบ้า

'พี่ทาร์ต ไอ้บ้า! ฟ่อนจะคุยกับพี่ปูน'

"พี่เขาขับรถ มึงนี่ยังไงครับไอ้ฟ่อน มีธุระอะไรกับปูนของกูนักหนา"

เอาเข้าไปไอ้สองพี่น้องนี่ ผมล่ะขี้เกียจเถียง ตีกันได้ก็ตีกันไปเลย ไม่ยุ่งด้วยแล้ว

'ฮือ ไปไหนกันอะ หนีฟ่อนเที่ยวเหรอ!'
ไอ้ฟ่อนงอแงไม่จบสักทีจนผมทนไม่ไหว ใครหนีใครกันแน่วะ จะไปแข่งวิชาการก็ไม่ยอมบอก ปล่อยให้ไปรับพี่ทาร์ตอยู่คนเดียวเนี่ย

"ไม่ได้หนี มึงนั่นล่ะหนีกูไปแข่งวิชาการเอง อย่ามาเรียกร้อง"
ผมพูดเสียงดังเพื่อให้คนที่โวยวายอยู่ปลายสายได้ยิน พี่ทาร์ตที่นั่งข้างๆ กันหลุดหัวเราะออกมา แล้วเปลี่ยนโหมดเป็นคุยธรรมดาก่อนจะเอาโทรศัพท์แนบหู

"จะไปไหนมาไหนหัดบอกคนอื่นบ้างนะฟ่อน แล้วนี่มีธุระอะไรกับปูน ฝากกูก็ได้ เดี๋ยวบอกให้"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงแล้วเหลือบสายตามามองกันเป็นระยะ ผมส่งยิ้มไปให้เขาก่อนจะหักเลี้ยวจอดรถเมื่อถึงที่หมาย

'จุดชมวิวสามอ่าว' เป็นจุดชมวิวที่ตั้งอยู่บนเนินเขาทางทิศตะวันตก สามารถเห็นวิวหาดกะตะน้อย กะตะ กะรนที่คล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยวได้ มองจากมุมที่ผมกับพี่ทาร์ตกำลังยืนอยู่นี้เราจะเห็นสีน้ำทะเลไล่จากเขียวอ่อนจนไปถึงน้ำเงินเข้มตามระดับความลึก สายลมพัดผ่านร่างกายของเราไป เส้นผมปลิวจนยุ่งเหยิงจนต้องเสยผมขึ้น

"สวยดีนะ"
พี่ทาร์ตที่ยืนอยู่ข้างๆ กันเอ่ยขึ้น ไม่รู้ว่าเขาคุยโทรศัพท์กับไอ้ฟ่อนเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกัน

"ใช่ครับ สวยมาก ผมชอบสีน้ำทะเลนะ"
ผมตอบกลับไปก่อนจะรับโทรศัพท์คืนมาจากมือคนด้านข้าง พี่ทาร์ตนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวแล้วทอดสายตาตรงไปด้านหน้า ยังเศร้าเรื่องพี่เจนอยู่อีกหรือเปล่านะ

"อืม ลมแรงฉิบหายเลยเนี่ย"
พี่ทาร์ตเสยผมขึ้นแล้วหันมาหากัน ขนาดเปิดหน้าผากยังหล่อ...

"นั่นดิพี่"
ผมตอบกลับไปแค่นั้นแล้วยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปวิวโดยรอบเพื่ออัพลงไอจี นานๆ ทีจะได้ออกมาเที่ยวแนวธรรมชาติบ้าง

"เฮ้ย ทำอะไร"
ผมตกใจเมื่อละสายตาจากภาพตรงหน้าก็เจอเข้ากับพี่ทาร์ตที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาทำท่าจะถ่ายรูปกัน เขาคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนที่เสียงชัตเตอร์ดังขึ้น อีกแล้ว... แอบถ่ายอีกแล้วว่ะ

"พี่ทาร์ตลบเลยนะเว้ย ทำไมแอบถ่ายผมอีกแล้วเนี่ย"
ผมโวยวายเสียงดังแล้วเดินตรงเข้าไปหาคนที่ลุกหนีไปแล้ว เขาเก็บโทรศัพท์ยัดในกระเป๋ากางเกงเรียบร้อยก่อนจะยักคิ้วกวนๆ มาให้กัน กวนตีนฉิบหาย!

"อย่าโวยวายน่า พี่ก็ถ่ายสนุกๆ ไปงั้นล่ะ"

"ทำแบบนี้เหมือนพี่แอบชอบผมเลยว่ะ"
ผมพูดไปตามที่คิดเมื่อมาหยุดยืนตรงหน้าพี่ทาร์ต ดวงตารีจ้องมองใบหน้าหล่อเหลานั่นไม่วางตา ไม่ได้จริงจังกับประโยคเมื่อครู่เท่าไหร่หรอกก็แค่อยากแกล้งกลับ ในเมื่อไม่สามารถล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของเขาได้

พี่ทาร์ตมองนิ่งก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้จรผมต้องเป็นฝ่ายถอยหลังออกมาซะเองทั้งที่อยากแกล้งเขา ตอนนี้รู้สึกใจมันหวิวแปลกๆ

"อาจจะชอบ..."
เขาพูดเบาราวกับกระซิบแต่ผมกลับได้ยินทุกอย่างชัดเจนจนเบิกตาโต หัวใจเผลอเต้นแรงไปซะอย่างนั้น

"ห๊ะ..."

"ชอบแกล้งไง"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวกันให้ยุ่งกว่าเดิมไปอีก ผมถึงกับถลึงตาใส่ในความขี้แกล้งของเขาแต่ไม่ได้ปฏิเสธการกระทำนั้น

"ตลอดอะพี่ทาร์ต"

เรานั่งเล่นกันอยู่ที่จุดชมวิวสามอ่าวจนเวลาล่วงเลยเข้าช่วงสี่โมงเย็นจึงขับรถต่อมุ่งหน้าไปยังแหลมพรหมเทพเพราะขืนไปช้ากว่านี้อาจจะไม่มีที่จอดรถ ตลอดทางผมเห็นพี่ทาร์ตนั่งกดโทรศัพท์เล่นไปเรื่อยๆ แอบสงสัยว่าเขาไม่เวียนหัวบ้างหรือไงนะ

"พี่ไม่เวียนหัวเหรอเล่นโทรศัพท์ตอนนั่งรถเนี่ย"
ผมถามในขณะที่จดจ่อเส้นทางด้านหน้าไปด้วยเพราะไม่อยากให้บรรยากาศภายในรถเงียบเกินไป หางตาเหลือบเห็นอีกคนชะงักมือแล้วเหลียวมามองกันเพียงครู่เดียว

"ไม่นะ อ่านหนังสือก็ยังได้"
เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบซึ่งนั่นทำให้ผมพยักหน้ารับและไม่พูดอะไรต่อ

"ปูนยังไม่ได้เมมเบอร์ใหม่พี่เลยใช่ไหม"
อยู่ๆ พี่ทาร์ตก็ถามขึ้น ผมก็เลยนึกได้ว่าลืมไปซะสนิทว่ายังไม่มีเบอร์ใหม่ของเขา ถ้าขืนหลงกันที่ไหนจะแย่เอา

"เออใช่ ลืมไปเลย"

"งั้นเดี๋ยวพี่โทรไป"

"ครับๆ เบอร์ศูนย์แปด..."

"พี่จำได้"
เขาตอบกลับมาก่อนจะพิมพ์เลขสิบหลักลงไปแล้วกดโทรออก ไม่นานนักริงโทนที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น ผมแปลกใจที่เขาจำเบอร์ผมได้ ปกติก็ไม่เคยจะโทรหากันนี่หว่า

"เมมเบอร์พี่ด้วยล่ะ"
เขาบอกก่อนจะส่งยิ้มมาให้กันแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อ ผมพยักหน้าตอบรับก่อนจะเลี้ยวเข้าสู่ลานจอดรถของแหลมพรหมเทพ

"คนเยอะจังวะปูน"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นตอนที่เราเดินทอดน่องไปตามร้านค้าที่เรียงรายอยู่ใกล้ๆ ลานจอดรถ มีทั้งของที่ระลึก เสื้อผ้าและอาหารเยอะแยะละลานตา แต่ราคาจะสูงอยู่นิดหน่อยเพราะเน้นขายนักท่องเที่ยว

"ปกติอะพี่ เป็นที่เที่ยวยอดฮิตนี่หว่า"
ผมบอกไปแบบนั้นแล้วตรงดิ่งไปที่ร้านขายปลาหมึกย่างตัวโต เห็นแล้วน้ำลายก็แตก เปรี้ยวปากอยากกินว่ะ

"จะกินอีกแล้วหรือไง"
พี่ทาร์ตถามเมื่อมาหยุดยืนข้างๆ กัน ผมหันไปพยักหน้ารับแล้วเริ่มสั่งปลาหมึกย่าง รอไม่นานนักก็ได้รับของกินมาถือไว้แต่อีกคนเป็นฝ่ายยื่นเงินให้กับคนขาย...

"เฮ้ย ผมจ่ายเอง"
ผมรีบท้วงทันทีแต่พี่ทาร์ตก็จับข้อมือกันแล้วลากออกมาจากบริเวณนั้นทันที ไม่ค่อยเข้าใจการกระทำอะไรของเขาสักเท่าไหร่หรอก

"กินไปเหอะน่า ถือซะว่าเป็นค่าไกด์พาเที่ยววันนี้แล้วกัน"
พี่ทาร์ตพูดแบบนั้นก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ขอบปูนตามทางเดินที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้จากตรงนี้

"แค่นี้ไม่พอหรอกน่า"
ผมว่าด้วยเสียงทะเล้นแล้วจิ้มปลาหมึกย่างราดน้ำจิ้มซีฟู้ดเข้าปาก รสชาติเผ็ดเปรี้ยวผสานกันอย่างลงตัว แต่มันคือความผิดพลาดตรงที่ลืมซื้อน้ำเปล่ามา

"เดี๋ยวเลี้ยงข้าวเย็น พอไหมล่ะคราวนี้"

"แฮ่ก พอๆ แต่ตอนนี้อยากได้น้ำเปล่าอะ น้ำจิ้มเผ็ด"
ผมพ่นลมออกจากปากอย่างต่อเนื่องแล้วยัดถ้วยปลาหมึกย่างใส่มือพี่ทาร์ตเพื่อจะวิ่งไปซื้อน้ำเปล่าแต่กลับโดนรั้งข้อมือให้นั่งลงตามเดิม

"นั่งนี่ล่ะ เดี๋ยวพี่ไปซื้อมาให้"
พี่ทาร์ตลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและก้าวเดินออกไปอย่างไม่รอคำตอบ ปล่อยให้ผมมองตามแผ่นหลังกว่าไปด้วยความคิดหลากหลาย ทำตัวดีใส่กันขนาดนี้ไม่คิดว่าคนอื่นจะหวั่นไหวบ้างหรือยังไงนะ แต่จะคิดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในหนักสมองก็เสียเวลาเปล่าๆ ขอจิ้มปลาหมึกกินต่อเถอะ หยุดไม่ได้เลยเพราะมันเผ็ดมาก

 หกโมงครึ่งเป็นเวลาที่ท้องฟ้าเริ่มประดับด้วยแสงสีส้ม ผมชวนพี่ทาร์ตลงไปที่ปลายแหลมด้วยกันเพราะได้บรรยากาศมากกว่า เขาเดินตามกันมาติดๆ แต่ทำไมตอนที่หันหลังไปเขากลับอยู่ห่างจากผมไปมาก หยุดทำอะไรอยู่ตรงนั้นล่ะ

"พี่ทาร์ตมานี่ๆ"
ผมกวักมือเรียกเขาให้เดินมาหากัน ในมืออีกข้างยังคงถือขวดน้ำเปล่าเอาไว้อยู่

"ครับๆ"
เขาขานรับแล้วเดินมายืนเคียงข้างกันก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บรูปพระอาทิตย์ยามเย็น

"สวยใช่ปะพี่ทาร์ต"
ผมถามออกไปแล้วมองพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำเบื้องหน้า พี่ทาร์ตพยักหน้ารับแทนคำตอบโดยไม่เปล่งเสียงอะไรออกมา

เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เราทั้งคู่เข้าสู่สภาวะดื่มด่ำบรรยากาศโดยรอบ รู้ตัวอีกทีก็ก่อนหันมาสบตาและยิ้มให้กัน หวังว่าเขาจะค่อยๆ ลืมเรื่องราวร้ายๆ ที่ผ่านมาล่ะนะ

เราทั้งคู่กลับถึงบ้านในสภาพที่หมดเรี่ยวแรง ผมซึ่งขอตัวอาบน้ำก่อนพี่ทาร์ตทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่น ข้อความเตือนจากไอจีปรากฏขึ้นว่ามีใครคนหนึ่งแท็กรูปมาหากัน มันคือรูปที่แหลมพรหมเทพยามพระอาทิตย์กำลังจะตกและมีผู้ชายคนหนึ่งยืนหันหลังอยู่มุมซ้าย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นตัวผมเอง... โดยแอบถ่ายอีกแล้ว

Tart_Thitipat So Happy : )

มีความสุขผมไม่แปลกใจหรอก แต่ทำไมพี่ทาร์ตต้องลงรูปนี้ด้วยล่ะ ทำแบบนี้เหมือนเป็นแฟนมากกว่าพี่น้องอีกล่ะมั้ง ตรรกะคนเรียนเมืองนอกกับเมืองไทยมันต่างกันมากขนาดไหนกันนะ อยากรู้จริงๆ





------------------------------------------------

ตอนนี้ยาวมาก... เราแต่งเพลินไปหน่อย 55555
พี่ทาร์ตเป็นผู้ใหญ่นิสัยเสียมากอะ เต๊าะไม่หยุดหย่อน ระวังงานเข้านะจ๊ะ

ออฟไลน์ milin03

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
เริ่มออกอาการเเล้วสิ :hao6:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด