[End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61  (อ่าน 107178 ครั้ง)

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ดีใจแต่ไม่สุดนะเนี่ย

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

เป็นหนี้ ครั้งที่ 26



             เสียงลงเท้าหนักตามจังหวะการก้าววิ่งขึ้นบันไดและตามทางเดินจนเกิดเป็นเสียงดังตึงตั้งก่อนร่างสูงโปร่งสมส่วนของเจ้าตัวจะหยุดหอบหายใจอยู่ที่หน้าประตูห้องห้องหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากห้องนอนของตน

            ลูกตาลกำมือแน่นเตรียมที่จะยกขึ้นเคาะบอกคนในห้องว่ามีคนมาหาแต่ก็ชะงักค้างเอาไว้กลางอากาศแล้วลดมือลง ทำแบบนี้อยู่ก็หลายครั้งด้วยสีหน้าคล้ายสับสนเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวบึ้งตึงกว่าจะทำอารมณ์ให้นิ่งแล้วเคาะประตูออกไป


ก๊อก ก๊อก

              แล้วก็เปิดประตูเข้าไปโดยไม่รอให้คนในห้องอนุญาต

              “แม่เปลว”  เสียงเด็กหนุ่มดังเบาเหมือนกระซิบเรียก

              ใบหน้าคมเข้มชะโงกหน้าออกมาจากด้านหลังประตูสีเปลือกสนมาเพียงส่วนหัวหันซ้ายหันขวามองหาคนที่น่าจะอยู่บนห้อง  เปลวอรุณละสายตาจากโน้ตบุ๊กสีสะอาดตาขึ้นมองเด็กหนุ่มที่มองหาตนแล้วคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเจอเขานั่งเหยียดขาอยู่บนที่นอนข้างๆก็มีมณีนิลนอนชูคอขึ้นมองอยู่ข้างเตียงเมื่อเห็นว่าเป็นใครก็หมอบลงเหมือนเดิม

              “มีอะไรหรือเปล่าตาล” เปลวอรุณพับหน้าจอลงพลางเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่ก้าวเข้ามาในห้อง

              “แม่ทำอะไรอยู่ฮะ” ลูกตาลถามนั่งทับขาข้างหนึ่งที่ขอบเตียง

              “หาอะไรดูไปทั่วนั่นแหละ” คนถูกถามตอบหน้าเจื่อน “แล้วตาลขึ้นมาทำไม กินข้าวแล้วหรอ” ก่อนจะเปลี่ยนคำถาม

              “ยังครับ”เรียวปากบางเม้มแน่น

              สีหน้าปั้นยากของเด็กหนุ่มทำเอาคนมองรู้สึกไม่ค่อยดี มือเรียวขาวเตรียมที่จะยกขึ้นหมายจะแตะเข้าที่ต้นแขนของเด็กหนุ่มหากแต่ลูกตาลกลับขยับตัวเข้ามาใกล้คว้าหมอนหนุนที่วางอยู่ที่หน้าตักของเปลวอรุณขึ้นมากอดแล้วทาบฝ่ามือของตนเองลงกับหน้าท้องแบนแทน

              แค่ทาบสัมผัสเบาๆแค่เพียงผิวเผินแล้วรีบชักมือกลับเหมือนกลัวว่าจะทำให้อีกคนที่อยู่ข้างในเจ็บ

                 รอยยิ้มกว้างๆที่อีกคนอยากทำแต่กลับพยายามที่จะเก็บอมมันเอาไว้จนแก้มสีแทนป้องลมขึ้นสีระเรื่อ เปลวอรุณยิ้มกับท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูด้วยไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะเป็นคนขี้อายได้ขนาดนี้

                 เมื่อรู้แล้วว่าความต้องการของเด็กหนุ่มคืออะไรเปลวอรุณก็ไม่รอช้าที่ทำตามบ้าง

                 มือฝ่าบางเรียบอบอุ่นเอื้อมออกไปจับเข้าที่มือสาดกร้านอย่างคนทำงานหนักของเด็กหนุ่ม  ประสบการณ์ชีวิตที่ดูจะมีมากกว่าเขาทั้งๆที่อายุยังไม่ทันจะถึงยี่สิบปีทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะนึกชื้นชมมันอยู่ในใจทุกครั้งและไม่นึกรังเกลียดมือที่หนากว่าของตัวเองคู่นี้ให้มาวางแนบที่หน้าท้องของตนนิ่งแล้ววางฝ่ามือของตนทับอีกชั้น

                “ทำแบบนั่นน้องไม่รู้สึกหรอกนะ”

                 เด็กหนุ่มก้มหน้าอาย

                “นี่น้องของตาลนะ” คนพูดคลี่ยิ้มอ่อน

            “น้องแข็งแรงไหม”

              “ต้องแข็งแรงอยู่แล้วละครับ”

              “แต่ผมเห็นแม่หน้าตาไม่ดีเลยตอนกลับมา”

              คนฟังสะอึก

              “มีอะไรหรือเปล่าครับ” ลูกตาลมองหน้าแม่นิ่ง “ผมเป็นห่วงนะ”

            สภาพหม่นหมองเหมือนคนเพิ่งพบพากับเรื่องร้ายแรงมาจนจิตใจคล้ายจะไม่อยู่กับร่องกับรอยแบบนั่น เขายอมรับเลยว่ารู้สึกไม่ดีและเป็นกังวลอยู่มาก เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาเขาไม่เคยเห็นคนตรงหน้ามีสีหน้าท่าทีเช่นนี้เลยสักครั้ง จึงไม่แปลกที่ตอนที่ได้ยินจากอัมรินทร์ว่าแม่บุญธรรมของตนกำลังตั้งครรภ์เขาถึงได้รีบร้อนวิ่งขึ้นมาดูแบบนี้

              “หมอบอกว่าอะไรอีกหรือเปล่าครับ”  ต้องมีอะไรแน่ๆ เขาเชื่ออย่างนั่น

              ฝ่ามือขาวที่ทาบทันอยู่ด้านบนบีบหลังมือเขาแน่น

              “หมอบอกว่าแม่ร่ากายไม่แข็งแรงก็เท่านั่นแหละตาล” เปลวอรุณแค่นยิ้ม แต่ไม่ว่าจะมองยังไงลูกตาลก็มองว่าเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนเอามากกว่า

              “แค่นั่นหรอครับ” ถึงจะไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไรก็เถอะ

              “แม่กลัวน้องไม่แข็งแรง กลัวว่าเขาจะไม่สมบูรณ์เหมือนเด็กคนอื่นๆ” และกลัวว่าจะไม่ได้เห็นเด็กคนนี้เติมโตด้วยตาตัวเอง...

              “ถ้าเป็นอย่างนั่นผมก็จะดูแลน้องเอง” เด็กหนุ่มพูดหนักแน่นให้คำมั่น “ผมจะไม่ให้มาแกล้งน้องได้หรอก แม่เปลวไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

            เขาไม่รู้หรอว่าตอนนี้ตัวเองทำสีหน้าแบบไหนออกไปตอนที่พูดแต่น้ำเสียงนั่นเขามั่นใจว่ามันออกมาจากใจลึกๆของเขา เขาไม่ได้นึกอิจฉาที่เปลวอรุณกำลังจะมีลูกเป็นของตัวเองจริงๆแล้วอาจทำให้อีกคนไม่เห็นความสำคัญของเขาเหมือนแต่ก่อน

              ไม่เลยสักนิด...

              ออกจะดีเสียอีกด้วยซ้ำไปสำหรับตัวเขาที่เป็นลูกคนโทนของบ้านไม่มีญาติพี่น้องที่อยู่ในช่วงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันมาเล่นด้วย หลายครั้งที่ตัวเขาเองนึกอิจฉาเด็กบ้างคนที่มีน้องชายหรือน้องสาวคอยวิ่งตาม คอยเล่นด้วย  แม้เพื่อนบางคนชอบเอาเรื่องน้องชายที่อายุห่างกันมากมาเล่าให้ฟังว่าดื้ออย่างนั่นว่าซนอย่างนี่แต่ทุกครั้งเพื่อนคนนั่นก็มันจะมีประกายความสุขในด้วงตาเสมอและเขาเองก็อยากมีบ้าง

              เขาอยากเป็น‘พี่ชาย’ที่แสนดีให้กับน้องที่กำลังจะเกิดมา...

              เปลวอรุณมองด้วงตาเป็นประกายมีความสุขของเด็กหนุ่มแล้วก็พลอยที่จะยิ้มตามอีกคนไปด้วยไม่ได้ ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆให้แน่ชัดแต่ความรู้สึกของลูกตาลที่ส่งผ่านมาทางฝ่ามือที่สัมผัสอยู่กับหน้าท้องของเขานั่นเขาสัมผัสถึงความรู้สึกนั่นได้ดี

              “ตาลต้องเป็นพี่ที่ดีแน่นอนแม่เชื่ออย่างนั่น”

               เด็กหนุ่มทำตาโตหูแดงกับคำพูดที่แสดงถึงความไว้เนื้อเชื่อใจเขาอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะขยับตัวเปลี่ยนมือที่แนบทับกับช่องท้องเป็นโอบรอบเอวคอดแล้วนอนซบให้ใบหน้าของตนอยู่ในระเดียวกับที่สามารถทำให้ดวงตาของเขาจะมองเห็นหน้าท้องตรงหน้าได้ชัดเต็มตา

              เปลวอรุณเองก็ขยับท่าทางของตนใหม่เป็นนอนตะแคงข้างแล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะทุย ลูกตาลคลี่ยิ้มพร้อมซุกหน้าลงแนบกับหน้าท้องนิ่งทำให้เขาไม่ทันจะได้เห็นแววตาสกาวใสในของคนท้องที่หม่นแสงลงเมื่อไรคนสบตา

.................

 

            ลมหายใจสม่ำเสมอกับเปลือกตาสีเข้มที่ปิดสนิทบอกให้คนมองมั่นใจแล้วว่าแขกพิเศษในค่ำคืนนี้ที่เข้ามาขอนอนด้วยนั้นหลับสนิทดีแล้ว

              ไม่ใช่แค่ลูกตาลหรอกที่หอบหิ้วเอาหมอนหนุนเดินมาเคาะที่ประตูห้องนอนของพวกเขาให้อัมรินทร์ที่เป็นคนเดินไปเปิดประตูขมวดคิ้วทำหน้าสงสัย แต่ยังมีเจ้าลูกสาวสี่ขาตัวโตที่คาบเอาหมอนรองนอนใบใหญ่สีเทาที่อัมรินทร์เคยซื้อให้รับขวัญตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ด้วยกันจนกลายเป็นที่นอนแสนโปรดของเจ้าตัวที่ไม่ว่าจะไปนอนที่ไหนก็มักจะคาบมารองนอนได้ตลอด

              “มาทำอะไรกัน” น้ำเสียงห้วนติดจะไม่เข้าใจกับภาพตรงหน้าเท่าไรดังขึ้นเรียกความสนใจของเปลวอรุณที่ตอนนั้นเพิ่งจะเดินออกจากห้องน้ำให้มาชะโงกมอง

              “ก็มานอนด้วยไง ถามอะไรแปลกๆ” ลูกตาลเองก็ตอบห้วนไม่ต่างกันพร้อมแทรกตัวเดินนำมณีนิลเข้ามาขยับหมอนสองใบที่วางอยู่ก่อนหน้าให้เขยิบไปแล้ววางหมอนที่สวมปลอกสีน้ำตาลเข้มของตนลงที่ข้างเตียงฝั่งหนึ่งแล้วขึ้นไปนอนกดโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงอย่างไม่สนใจ

              และที่น่าปวดหัวกว่านั้นในสายตาของอัมรินทร์คือลูกสาวสุดที่รักของตนลากเบาะนอนมาวางปิดทางลงเตียงของลูกตาลเดินวนอยู่สองรอบแล้วจึงนอนขดหลับตาลง เหมือนเป้นการบอกให้คนที่ยืนมองอยู่เข้าใจกลายๆว่า‘ถึงจะไล่ยังไงก็จะไม่ออกไป’

              แน่นอนว่าในตอนแรกอัมรินทร์ถึงกับทำสีหน้าตาบึ้งตึงกอดอกมองหนึ่งคนหนึ่งตัวที่หอบผ้าหอบผ่อนมานอนเอนกายกันอย่างสบายใจจนเปลวอรุณที่ยืมมองอยู่ยิ้มขำจนต้องเป็นคนเอ่ยปากไล่คนหน้าบึ้งตึงเป็นเด็กไปนอน

              โชคดีที่เตียงนอนของอัมรินทร์เป็นเตียงขนาดใหญ่การเพิ่มสมาชิกบนที่นอนมาอีกหนึ่งคนจึงไม่เป็นปัญหาอะไรมาก

              “นอนไม่หลับหรอ” ความคิดที่ว่าหยุดลงเมื่อเสียงกระซิบดังขึ้นที่ข้างหูพร้อมแรงกระชับกอดจากด้านหลังทำให้เขาละสายตาจากใบหน้ายามหลับของลูกชายหันกลับไปมองใครอีกคนที่ให้เขาใช้แขนนอนต่างหมอนแล้วโอบกอดรอบเอวเขาเอาไว้

              “นิดหน่อยนะครับ” แล้วหันกลับ

              “รู้สึกไม่ดีหรือว่าหิวอะไรหรือเปล่า” อัมรินทร์กระซิบถามแผ่วเบาเพื่อให้ไม่เป็นการรบกวนเด็กหนุ่มที่หลับสนิทอยู่ไม่ไกล

              “ไม่ครับ”  เปลวอรุณตอบปฏิเสธ

              เขาไม่กล้าบอกอีกคนหรอกว่าสิ่งที่ทำให้เขาเป็นกังวลอยู่ในตอนนี้คือสิ่งที่เขาเปิดดูเมื่อตอนเย็น

              ตอนที่อัมรินทร์ลงไปเอาข้าวเย็นขึ้นมาให้เขากำลังเปิดหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่เขาเป็นอยู่แต่ลูกตาลดันขึ้นมาเสียก่อนจึงทำให้ไม่ทันได้หาก็เป็นอันต้องปิดลงไปเสียก่อน กว่าจะได้เปิดดูอีกทีอย่างจริงจังก็ตอนที่เด็กหนุ่มเดินกลับออกไปนั่นแหละเขาถึงใช้ช่วงเวลานั้นที่อัมรินทร์ยังไม่ทันขึ้นมาเปิดดู

              แต่เหมือนว่ายิ่งเปิดดูยิ่งเปิดอ่านก็ยิ่งทำให้เขาเป็นกังวล

              การรักษามะเร็งเม็ดเลือดไม่ใช่เรื่องที่ง่ายต่อการรักษาเหมือนอย่างการรักษาโรคหวัดหรือการเป็นเนื้องอกร้ายที่พอพบเจอก็สามารถผ่ามันออกได้

              แต่นี้คือ เลือด เลือดที่ไหลอยู่ทั่วร่างกายของเขา

              เท่าที่พอจับความได้จากคำพูดของหมอที่ตรวจเขาเมื่อช่วงบ่ายบอกว่าอาการของเขายังไม่ถึงระยะที่อันตรา ซึ่งก็ยังพอที่จะรักษาให้หายได้ เขาจึงอยากรู้วิธีการรักษาอย่างน้อยก็เพื่อลูกของเขา

              แต่ยิ่งเปิดดูไอ้การวิธีการรักษานี้แหละที่ทำเขาเครียด

             การใช้รังสีและเคมีบำบัดถูกตัดออกไปทันทีอย่างไม่ต้องคิดเมื่อเขาคิดจะเก็บลูกเอาไว้เพราะมันส่งผลต่อลูกของเขาโดยตรงต่อลูกของเขาแน่นอน การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นวิธีที่น่าสนใจแต่เปอร์เซ็นต์ที่จะเจอคนที่มีไขกระดูกตรงกับเขานั้นแทบจะเป็นหนึ่งในสี่หมื่นคนและถ้าหากปลูกถ่ายแล้วเกิดเข้ากันไม่ได้ขึ้นมานั่นก็หมายถึงชีวิตของเขาและลูกทันที ส่วนยารักษาเขาเองก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าถ้ากินเข้าไปแล้วลูกของเขาจะเป็นยังไงเหมือนกัน

              ใบหน้าขาวตึงเครียดในความมืด

              “หรือว่าเปลวเป็นกังวลเรื่องลูก” อัมรินทร์ถามเสียงเครียดเกร็งลูบมือเบาๆตรงหน้าท้องที่อีกหนึ่งชีวิตกำลังเติบโตอยู่

              เปลวอรุณไม่ตอบ อัมรินทร์จึงลงความเห็นว่าสิ่งที่ทำให้อีกคนเคร่งเครียดจนไม่เป็นอันหลับอันนอนแบบนี้คงจะเป็นเรื่องที่ว่ามานี้ เพราะมันเป็นเรื่องเดียวในตอนนี้ที่เขารู้

              “คุณแม่เครียดมากๆจะไม่ดีกับลูกนะครับ” เขากระซิบบอกด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกเย้าเพื่อไม่ให้อีกคนเครียดจนเกินไป

            อัมรินทร์เคยได้ยินมาว่าแม่กับลูกที่อยู่ในท้องสามารถสื่อใจถึงกันได้ถึงเข้าจะไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวเล็กของเขากันเปลวอรุณจะรับรู้ถึงสิ่งที่ว่านั้นได้แล้วหรือยัง แต่เขาก็ไม่อยากให้อีกคนเก็บเรื่องพวกนี้มาเป็นกังวลอยู่คนเดียว

              อย่างน้อยเขาก็เป็นพ่อ เขาเองก็อยากจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแบ่งเบาความกังวลใจของคนที่เขารัก

              “ก็พยายามอยู่นะครับ” คนพูดยิ้มบาง

              ก็พยายามแล้วจริงๆนั่นแหละ แต่มันทำไม่ได้จริงๆ...

              “อย่าเครียดไปเลยเปลว” อัมรินทร์ปลอบ “ลูกเราต้องแข็งแรงอยู่แล้วละ”

              “ผมขอให้เป็นแบบนั้น”

              เปลวอรุณขยับศีรษะที่นอนทับท่อนแขนหนาให้ได้ที่ท่าที่สบายก่อนจะหลับตาลง ปล่อยวางความตึงเครียดของตัวเองลง...

              ตัวเขาเองก็ไม่ใช่หมอรักษาโรคร้ายเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีความรู้เฉพาะด้านในด้านนี้อาศัยแค่หาข้อมูลเอาเองแล้วตีความไปเองแบบนี้บางทีอาจไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไรนอกจากเพิ่มความเครียดให้ตัวเองแล้วพลอยทำให้คนรอบข้างวิตกกังวลตามไปเสียเปล่า อย่างน้อยก็อ่านศึกษาเป็นความรู้แล้วเอาไปสอบถามจากหมอที่ศึกษาเล่าเรียนเรื่องโรคและร่างกายมนุษย์มานานให้เขาอธิบายและช่วยหาทางออกในการรักษาน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเขาเองและลูกมากกว่า

 

            แต่บางเหมือนว่าเปลวอรุณจะลืมนิสัยอย่างหนึ่งของอัมรินทร์ไปเสียสนิท...

              อัมรินทร์เป็นพวกเจ้ากี้เจ้าการและขี้ห่วงเขี้หวงป็นที่สุด...

 

             
:-[

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

:-[


 เช้าวันอาทิตย์วันหยุดสุดสัปดาห์ก่อนเริ่มต้นอาทิตย์การทำงานกิจวัตรประจำวันต่างๆก็ยังคงดำเนินไปอย่างปกติเช่นเคย อาจเพราะเมื่อคืนเปลวอรุณนอนไม่หลับด้วยทำให้พอได้หลับสนิทแล้วจึงหลับลึกและนานกว่าปกติจนแทบจำไม่ได้ว่าตัวเองพูดคุยขานรับเด็กหนุ่มที่เดินขึ้นมาบอกลาเขาก่อนออกไปทำงานพิเศษตอนไหนเพราะกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ร่วงเข้ามาช่วงสายของวันที่แสงแดดส่งผ่านเข้ามากระทบเปลือกตารบกวนการนอนต่อ แต่ไอ้ครั้นจะลงขึ้นนั่งอาการเวียนหัวก็ทำให้เปลวอรุณแทบจะลุกจากเตียงไม่ขึ้นจนต้องนอนอยู่อย่างนั่นอีกสักพักจึงจะสามารถลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัวแล้วเดินลงมาข้างล่างได้

              “อ้าวเปลวตื่นแล้วหรอ” อัมรินทร์ร้องทักขึ้นพร้อมก้าวขาขึ้นบันไดมาประคองเปลวอรุณที่เดินลงมาถึงช่วงกลางบันไดโดยมีมณีนิลเดินตามมาข้างหลังคล้ายระแวดระวังภัยให้แม่มันอยู่ไม่ห่างกาย

              ตอนแรกอัมรินทร์ก็คิดว่าจะปลุกเปลวอรุณขึ้นมาตั้งแต่เช้าอยู่เหมือนกันแต่เพราะเมื่อคืนกว่าเจ้าคนคิดมากจะยอมนอนก็ปาได้ค่อนคืนแถมเมื่อพอนั่งดูใบหน้านอนหลับของอีกคนที่ดูจะผ่อนคลายด้วยแล้วเขาเองก็ไม่กล้าจะปลุกขึ้นมาเสียกลางคันได้ เลยปล่อยให้นอนไปก่อนพอจะขึ้นไปลุกอีกทีเมื่อเห็นว่ามันสายมากแล้วก็พบว่าอีกคนกำลังก้าวลงบันไดมาเอง

              “ทำไมหน้าดูซีดๆละเปลว รู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า” เขาถามขึ้นเมื่อสังเกตใบหน้าของอีกคนที่ดูซีดกว่าปกติ

              “ก็เวียนหัวเหมือนปกตินั่นแหละครับ” เปลวอรุณตอบความจริง

              อัมรินทร์มีสีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัดกับคำพูดนั้นของเปลวอรุณ

              ถึงจะบอกว่าเป็นเรื่องปกติของร่างกายคนที่กำลังตั้งครรภ์ที่มักจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนหรือวิงเวียนศีรษะเป็นเรื่องปกติ แต่กับเปลวอรุณแล้วเขารู้สึกเหมือนอีกคนจะมีอาการหนักกว่าคนทั่วไปจนน่าเป็นห่วง

              ดูหน้าซิ ซีดเหมือนคนไร้เลือดหล่อเลี้ยงร่างกาย...

              “เดี๋ยวดื่มน้ำผลไม้ก่อนนะจะได้สดชื้น” น้ำผมไม้รสเปรี้ยวอมหวานเย็นฉ่ำถูกส่งมาให้ระหว่างรอให้แววตักข้าวต้มใส่ชามให้

              “แล้วนี้คุณรุทธิ์ไปไหนหรอครับ” เปลวอรุณเอ่ยถามเมื่อมองไม่เห็นคนที่เอ่ยถึงตั้งแต่เดินลงมา

              “ไอ้รุทธิ์หรอ ยังไม่ตื่นเลยมั่ง” อัมรินทร์บอก “เห็นลุงอุ่นบอกว่ากว่าจะกลับมาเมื่อคืนก็เกือบตีสอง” พูดพลางหันไปมองคนมีอายุที่ผงกหัวรับอยู่ไม่ไกล

              “ไปไหนมาหรอครับกลับเสียดึงเลย”

              “เห็นว่าออกไปกับลิลนะ”

              เปลวอรุณพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

              เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างอนิรุทธิ์และลิลดาเขาเองก็ไม่รู้อะไรมากแต่พอฟังจากอัมรินทร์ว่าทั้งสองคนเหมือนจะคุยกันถูกคอ แม้จะออกไปทางที่หญิงสาวออกตัวแรงไปเสียก็เถอะ แต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งสองคนเหมือนจะไปด้วยกันได้ดีเขาเองก็ดีใจกับทั้งสองคนด้วย

              “จริงสิเปลว”

              “ครับ”

              “ฉันคิดว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไปจะให้เปลวหยุดพักยาวจนกว่าจะคลอด”

              “หมายความว่ายังไงครับที่บอกว่าผมไม่ต้องไปทำงานที่บริษัท” เสียงขอบแก้วน้ำผลไม้ที่ถูกดื่มจนหมดกระทบกับกระจกโต๊ะกินข้างจนเกิดเสียงดังขึ้นพร้อมคำถามที่คนฟังอย่างเปลวอรุณรู้สึกไม่เข้าใจ

              “อย่าเพิ่งทำหน้าไม่พอใจอย่างนั่น” อัมรินทร์ยิ้ม แก้วน้ำผลไม้ที่เหลือเพียงติดก้นแก้วถูกหยิบออกมาแล้วเลื่อนชามข้าวต้มเข้าหาอีกคนแทน

              “คือฉันเห็นว่าเปลวน่าจะยังไม่พร้อมสำหรับการทำงานเลยอยากจะให้หยุดพักอยู่ที่บ้านน่าจะดีกว่า” ในเมื่อเปลวอรุณกำลังตั้งครรภ์อีกทั้งร่างกายของอีกคนที่เขาเองก็คิดว่าคงไม่พร้อมเท่าไรสำหรับการไปทำงานเขาเองก็ไม่อยากจะเสี่ยงให้ทั้งแม่และลูกต้องไปทำงานแล้วต้องเกิดเรื่องอะไรที่คาดไม่ถึงขึ้นมา

              เพราะเขาคงรับไม่ไหวถ้ามันเกิดเรื่องขึ้นกับทั้งคู่...

              “แล้วใครจะมาทำงานแทนผมละครับ ไม่เอาด้วยหรอกนะ” เปลวอรุณขึ้นเสียงกว่าปกติเมื่อไม่ได้ดั่งใจ

              และอัมรินทร์ก็ไม่ว่าหรือมีท่าทีไม่พอที่อีกคนขึ้นเสียงใส่  ด้วยเข้าใจดีว่าคนกำลังท้องกำลังไส้แบบเปลวอรุณอารมณ์มักจะไม่ค่อยคงที่คงทางเสียเท่าไร

              “เรื่องนี้ฉันไปขอให้อานิรันดร์มาช่วยแทนแล้ว” เมื่อเช้าเขาลองโทรไปขอร้องให้นิรันดร์เลขาของบิดาให้มาช่วยเหลืองานในส่วนของเปลวอรุณในช่วงเวลาดังกล่าว

              ซึ่งทางนิรันดร์เองก็ไม่ได้ติดขัดอะไรทั้งยังยินดีที่จะช่วงเนื่องจากช่วงนี้เจ้านายวัยใกล้เคียงกันกำลังอยู่ในช่วงท่องเที่ยวกับภรรยาที่ต่างประเทศทั้งยังยกงานบริหารต่างๆให้ลูกชายคนเดียวดูแล ทำให้เลขาวัยใกล้เกษียณอย่างนิรันดร์ว่างงานเสียจนน่าหงุดหงิดใจเหลือเกิน

             “มันจะเป็นการรบกวนคุณนิเขาเสียเปล่าๆ” เปลวอรุณว่าหน้าตาบึ้งตึกพลางตักข้าวเข้าปาก

             “ไม่หรอ”อัมรินทร์ยิ้ม “อานิรันดร์เองก็ยินดีดูท่าจะดีใจเสียด้วยที่จะได้ทำงานไม่ต้องอยู่ว่างๆลอยไปลอยมาระหว่างที่พ่อฉันยังไม่กลับมาแบบนี้ด้วย”

                นิรันดร์กับเปลวอรุณมีนิสัยเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือเป็นพวกบ้างาน พอไม่ได้ทำงานแล้วจะหงุดหงิดคล้ายๆคนสมาธิสั้นที่ต้องหาอะไรต่อมิอะไรทำไปเรื่อยๆ อัมรินทร์เลยไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดที่เปลวอรุณดูจะเป็นลูกรักในที่ทำงานของนิรัดร์เสียเหลือเกิน

               “อีกอย่างฉันเป็นห่วงเปลวเป็นห่วงลูก ถ้าเปลวกับลูกเป็นอะไรไปฉันคงทำใจไม่ได้” อัมรินทร์ยิ้มให้ตาหยี่ไม่ได้เห็นเลยว่าคำพูดของตนเมื่อครู่จะทำให้คนตรงหน้านิ่งค้างยิ้มแกนอย่างไร

              “คิดมากไปแล้วครับ” เปลวอรุณหลบสายตาแสร้งทำเป็นตักข้าวต้มเข้าปากทั้งๆที่มันแทบจะกลืนไม่ลงเพราะฝืดคอมากก็ตาม

              “ไม่หรอก ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเปลวกับลูกแล้วไม่มีคำว่ามากไปหรอกนะ” ไม่ใช่คำพูดเอาอกเอาใจอย่างคนเจ้าชู้ปากหวาน แต่มันเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจ

              ถ้าเพื่อคนที่เขารักแล้วอัมรินทร์พร้อมที่จะทำทุกอย่างให้ได้เสมอ...

              “คุณอันครับ” เปลวอรุณก้มหน้าจับช้อนที่ถืออยู่แน่นจนมันสั่น

              “ครับ”

              “คือว่าผมปะ-“

Rrrrrrr

            “โทษทีนะเปลว” อัมรินทร์ยกมือเบรกก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือที่ว่างอยู่ตรงหน้าขึ้นมารับสาย “ครับ อัมรินทร์พูดครับ” แล้วลุกเดินออกจากห้องกินข้าวไป

              เปลวอรุณกะพริบตาถี่รีบวางช้อนที่ถืออยู่แล้วบีบมือตัวเองแน่น เมื่ออยู่ๆชั่ววูบหนึ่งของตนคิดจะพลั้งปากพูดอะไรบางอย่างออกไปให้อัมรินทร์รับรู้

              “เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณเปลว” ลุงอุ่นที่ยืนมองอยู่เลยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง

              เปลวอรุณส่ายหน้า “ผมอิ่มแล้วครับ”

              คนแก่พยักหน้าเข้าใจก่อนจะยกชามข้าวต้มที่พร่องไปไม่ถึงครึ่งออกมาเตรียมนำไปเก็บในครัว แต่ก็ไม่วายหันมามองคนที่ยังนั่งนิ่งไม่หยิบเอายาที่อยู่ในถุงกระดาษตรงหน้าออกมากินอย่างเป็นห่วง

              เขากำลังจะทำอะไร...

              เมื่อกี้เขากำลังจะบอกอัมรินทร์งั้นหรอว่าเขาเป็นอะไร...

              เปลวอรุณเท้าข้อศอกลงกับโต๊ะกำมือแล้วทุบเบาๆที่หน้าผากอย่างคนคิดไม่ตก

              “บ้าเอ๋ย”
.........................



              เสียงฝนตกกับภาพการจราจรติดขัดดูจะเป็นของคู่กันบางคนเลือกที่จะหักพวงมาลัยเลี้ยวรถยนต์ส่วนตัวเข้าศูนย์การค้าที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อหาอะไรทำฆ่าเวลาแทนการต้องติดอยู่บนถ้องถนน

              ลูกตาลเองก็เป็นหนึ่งในคนจำนวนหนึ่งที่ไม่คิดที่จะออกไปผจญกับความติดขัดบนท้องถนน ถึงเจ้าตัวจะอาศัยการเดินทางบนรถไฟฟ้าก็เถอะ แต่เวลาแบบนี้คนกลับเยอะเสียจนเขาไม่อยากจะไปเบียดเสียดแย่งที่ยืนในโบกี้ด้วยเสียเท่าไร

              มือหนากดข้อความบอกคนที่รออยู่บ้านให้ทราบว่าตนอาจกลับช้ากว่าปกติสักเล็กน้อยเนื่องจากสภาพอากาศในตอนนี้ ทางผู้ปกครองเพียงคนเดียวของเขาในตอนนี้ก็เข้าใจดีไม่ได้ว่าอะไรซ้ำยังบอกอีกว่าให้กลับดีๆแต่ถ้าฟ้ามืดแล้วฟ้าฝนยังไม่หยุดตกจะให้คนออกมารับ ซึ่งเขาก็เข้าใจความเป็นห่วงที่ว่าจึงตบปากรับคำไปเพื่อไม่ให้คนที่รอเป็นห่วงมากไปกว่าเดิม

              ลูกตาลเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินตรงไปที่ร้านขายหนังสือขนาดใหญ่ที่อยู่ภายในที่อยู่คนละชั้นจากชั้นที่เขาทำงานพิเศษ

              ภาพหน้าปกหนังสือเกี่ยวกับการดูแลคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์สามสี่เล่มกับหนังสือเกี่ยวกับพัฒนาการของเข้าตัวเล็กในครรภ์ถูกส่งมาให้จากบบุคคลผู้ที่ต้องการเป็นผู้ปกครองของเขาเสียเหลือเกินอย่างอัมรินทร์

              “ซื้อหนังสือกับของพวกนี้กลับมาด้วย”

              คำสั่งที่ถูกพิมพ์มาตอนท้ายรูปในตอนเช้าก่อนเข้างานทำเอาเข้ากรอกตา ถึงใจจริงเขาเองก็ว่าจะหาซื้อกลับไปให้แม่เปลวของเขาอยู่แล้วก็เถอะ แต่ไอ้การสั่งพร้อมส่งรูปหนังสือแบบเจาะจงมาให้ขนาดนี้เดาได้เลยว่าอัมรินทร์คงหาข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือที่ว่ามาแล้วเรียบร้อย ไหนจะรายการอาหารสดอาหารแห้งที่เจ้าตัวลิสต์รายการส่งทิ้งมาไว้ให้เขาระหว่างวันนั้นอีก นี้ยังไม่นับรวมของจิปาถะอีกนับสิบที่คนน่ารำคาญส่งทิ้งมาให้อีกเกือบสิบรายการนั้นอีก

              ใช้งานเขาคุ้มจริงๆ...

            แต่ก็ต้องขอบคุณที่อุตสาห์โอนเงินเข้าบัญชีมาให้พร้อมเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นเดือนนี้เขาคงกินแกรบแทนข้าว  ถึงแม้จริงๆแล้วช่วงนี้เขาจะไม่ค่อยได้ใช้เงินที่ได้มาเท่าไรก็เถอะแต่คนมันติดนิสัยเก็บเล็กเก็บน้อยมานานมันก็อดไม่ได้จริงๆนั้นแหละ

              ลูกตาลทำปากขมุบขมิบไปมายามนึกถึงหน้าตาเจ้าเล่ห์ของอัมรินทร์ในขณะที่มือก็หยิบหนังสือที่คนเจ้ากี้เจ้าการสั่งขึ้นมาเปิดดูเนื้อหาด้านในก่อนใส่ตะกร้าจนครบแล้วหันไปดูแบบอื่นที่วางเรียงอยู่ในหมวดเดียวกันอีกพักหนึ่งแล้วเลือกหยิบมาเพิ่มแล้วเดินไปหมวดอื่นหาหนังสือที่ตัวเองอยากได้บ้างก่อนจะนำไปชำระเงินที่แคชเชียร์

              เมื่อได้หนังสือเกินกว่าที่ต้องการมาแล้วเด็กหนุ่มก็เดินหิ้วถุงหนังสือลงไปซุปเปอร์ด้านล่าง วางถุงหนังสือลงในรถเข็นเปิดโทรศัพท์ดูรายการของที่ต้องซื้อแล้วเข็นรถไปเรื่อยๆเลือกหยิบของตามที่ต้องการโดยไม่วายแอบหยิบขนมของกินที่ตัวเองชอบใส่มาด้วยตามประสาเด็ก

            แต่พอเดินมาได้สักพักเท้าที่กำลังเดินมือที่กำลังเข็นรถเข็นอยู่ก็หยุดลงเมื่อเจอเข้ากับสิ่งกีดขวาง

              “สวัสดีตอนเย็นครับ” น้ำเสียงดูเป็นมิตรกว่าครั้งก่อนที่เคยได้ยินกับใบหน้ายิ้มแย้มของคนที่เขาจำได้ว่าอัมรินทร์เคยออกปากห้ามไม่ให้เข้าใกล้ในระยะร้อยเมตร

              ราชัน...

              ระหว่างราชันกับตัวเขาเองก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรบาดหมางใจกันมาก่อนการเจอหน้ากันตรงๆครั้งนี้ลูกตาลจึงไม่ได้มีสีหน้าทะมึนตึงไม่พอใจเหมือนอย่างที่อัมรินทร์ทำใส่เวลาเจอคนตัวซีด แต่เด็กหนุ่มกลับเลิกคิ้วสูงข้างหนึ่งอย่างสงสัยที่พบเจอคนตรงหน้าแต่ก็ไม่วายที่จะเว้นระยะห่างอย่างระแวดระวังโดยเฉพาะเวลานี้ที่คนตรงหน้ามีชายต่างชาติรูปร่างสูงล่ำสันยืนกอดอกอยู่ข้างๆไหนจะการ์ดชุดดำอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังทั้งสองคนนั้นอีก

              เขาไม่ได้กลัว แต่แค่กำลังระวังตัว... เฉยๆ

              ถ้าหากอัมรินทร์เป็นหมือนหมาป่าเจ้าแผนการ คนตรงหน้าก็เป็นเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ต้องระวังไม่ให้เสียท่า...

              “สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มทักทายกลับตามมารยาท

              “อย่าทำหน้าตาแบบนั้นสิ” ราชันทำหน้าทำตาตัดพ้อนึกน้อยใจที่ถูกเด็กหนุ่มทำตัวห่างเหินใส่จนวาเลนติโนที่ยืนอยู่ข้างๆกรอกตากับจริตมารยา

              “คุณมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า” ลูกตาลถามเข้าประเด็น

              “ทำไมถึงคิดแบบนั้นละ” ราชันยิ้มร่าเริง “ไม่คิดว่าฉันจะเดินมาซื้อของแล้วเราก็บังเอิญมาเจอกันแบบนี้บ้างเลยหรอ” คนร่าเริงตั้งข้อสมมุติฐานขึ้นมาให้เด็กหนุ่มคล้อยตาม

              เพียงแต่ลูกตาลไม่ได้คล้อยตามที่อีกคนพูดมานี้ซิ

              “ถ้าอย่างนั้นคงจะเป็นการบังเอิญที่โคตรจงใจเลยสินะครับ” เด็กหนุ่มยกมุมปาก “ที่พวกคุณบังเอิญเดินมาดักทางผมแบบนี้” ตั้งข้อสมมุติฐานให้เขาคิดตามว่ามาซื้อของแต่สองมือของทั้งสี่คนกลับว่างเปล่าไรถุงบรรจุสินค้า

              ราชันยิ้มกริมชอบใจความรู้ทันของเด็กตรงหน้า

            ใช่ เขาเดินมาดังทางเด็กคนนี้จริงๆอย่างที่เจ้าตัวคิดนั้นแหละ

              “โดนจับได้ตั้งแต่แรกแบบนี้ก็แย่สิ” คนพูดทำเสียงเศร้าแต่ใบหน้ายังไม่คล้ายรอยยิ้ม

              “พูดมาตรงๆดีกว่าว่าคุณต้องการอะไร” เพราะลูกตาลมั่นใจอยู่อย่างหนึ่งเลยก็คือระหว่างพวกเขาสองฝ่าย ตัวเขาดูจะไม่ใช่คนที่จะมาทำธุรกิจร่วมกันให้อีกคนมาหาผลกำไลได้ด้วยเสียเท่าไร

              “แต่ฉันว่าเราคุยกันที่นี้ไม่ค่อยจะเหมาะเสียเท่าไร” ปลายนิ้วเรียวขาวยกขึ้นแตะที่ปลายคาง

              “ผมมีของต้องซื้อก่อนกลับบ้าน”

              ราชันมองของที่อยู่ในรถเข็นก่อนพยักหน้าเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นปล่อยให้เป็นหน้าทีของคนพวกนี้ แล้วนายไปนั่งกินข้าวกับฉันหน่อยจะได้หรือเปล่า”

              แต่นั้นก็ยังไม่ทำให้เด็กหนุ่มคล้ายความระแวงวางใจมากพอที่จะยินยอมเดินออกมา

              “พวกฉันไม่ใช่คนไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเสียหน่อย” ภาษาไทยสำเนียงแปลกหูดังขึ้นจากชายต่างชาติตัวใหญ่ที่ยืนนิ่งมาตั้งแต่ต้นก่อนจะพยักเพยินหน้าให้ลูกน้องสองคนข้างหลังเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม

              “แล้วผมจะเชื่อใจพวกคุณได้ยังไง” ลูกตาลมองการ์ดตัวหนาที่ก้มหน้าให้เขาอย่างมีมารยาทอย่างไม่ไว้วางใจเท่าทีควร

              “ด้วยเกียรติ์ของฉัน” วาเลนติโนพูดเสียงเข้มหนักแทนคนข้างกาย

              ไม่รู้เพราะน้ำเสียงหนักแน่นที่ดูจริงจังนั้นหรือว่าเป็นท่าทีดุดันเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามของคนพูดหรือเปล่าที่ทำให้เขายอมที่ลองเชื่อคำพูดนั้นแล้วส่งมือถือให้หนึ่งในชายชุดดำถ่ายรูปรายกายของที่เหลือที่ต้องซื้อกลับไปอย่างไม่อิดออด

              แต่ถึงจะยอมไปด้วยแต่ใช่ว่าเขาจะยอมเชื่อใจคนทั้งสองโดยไม่ระแวงหรอกนะ...



______________________________________________________

สวัสดีวันแม่นะคะ


ที่จริงจะมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่บังเอิญว่าไม่ทันได้ลงเลยมาลงให้วันนี้แทน ไม่ว่ากันเนอะ

ต่อจากนี้ไปขอเชิญทุกท่านเลือกซื้อมาม่ารสโปรดพร้อมต้มน้ำแล้วมานั่งกินพร้อมๆกันได้เลย
หาเลือกไม่ถูก ที่หน้าเพจของเรามีบริการให้เลือกได้

ว่าแต่ราชันเข้าหาลูกตาลทำไมกันละเนี้ย???

 :serius2:

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
การมีลูกอาจเป็นการช่วยเปลวอีกทางนึงก็ได้

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
ราชันมันต้องการอะไร

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เป็นหนี้ ครั้งที่ 26


                วันงานประมูลเพื่อการกุศลเริ่มใกล้เข้ามาในอีกอาทิตย์ที่จะถึง ช่วงบ่ายแก่ใกล้เวลาเลิกงานอัมรินทร์เก็บของเพื่อเตรียมตัวออกจาบริษัทก่อนเวลาพร้อทั้งฝากฝั่งงานที่อาจเข้ามาหลังจากเขาออกไปไว้กับนิรันดร์ที่เข้ามานั่งทำงานที่โต๊ะหน้าห้องของเขาแทนเปลวอรุณและก่อนที่จะเดินออกไปชายหนุ่มก็ไม่วายที่จะยกมือไหว้กล่าวขอบคุณคนอายุมากกว่าเพื่อเป็นการลา

              รนยนต์สีดำเข้าจอดที่ช่องจอดรถของผู้บริหารที่ถูกกันเอาไว้ รองเท้าหนังขัดมันเงาพาเจ้าของร่างเดินไปตามทางโดยมีจุดหมายอยู่ที่ฝ่ายซ้อมบำรุงเพื่อไปนำกล่องเครื่องเพชรที่เขานำมาให้ทางแผนกซ้อมแซมและทำความสะอาด

              แต่พอมาถึงทางแยกระหว่างแผนกซ้อมบำรุงกับแผนกการผลิต อัมรินทร์กลับหันปลายรองเท้าไปยังฝ่ายการผลิตเสียอย่างนั้นเอาดื้อๆพร้อมกับรอยยิ้มมีความสุขที่ถูกจุดขึ้นมา


ก๊อก ก๊อก

              เสียงเคาะประตูทำให้ชายร่างท้วมเจ้าของตำแหน่งหัวหน้าแผนกการผลิตละสายตาจากเอกสารหยิบหย่อยภายในแผนกของตนขึ้นมามองที่ประตูสำหนักแบบเก่า

               หัวคิ้วสีอ่อนขมวดเป็นปมคล้ายสงสัยเมื่อมองประกอบกับนาฬิกาแขวนที่อยู่บนกำแพง ‘ใครมันมาทำอะไรตอนนี้’ ชายมีอายุคิดแต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามว่าใครบานประตูสีเทาก็เปิดออกพร้อมร่างของรองประธานหนุ่มที่ทำเอาคนแก่เช่นเขาเบิกตากว้าง

                “ท่านรอง” หัวหน้าแผนกร่างท้วมลุกขึ้นยืนกุรีกุจอเชื่อเชิญชายหนุ่มที่มีตำแหน่งสูงกว่าเข้ามานั่ง

               เนื่องจากเวลานี้เป็นเวลาใกล้เลิกงานทำให้พนักงานที่นั่งอยู่ที่ห้องข้างหน้าบางคนที่ทำงานเสร็จบางแล้วเลือกที่จะกลับกันออกไปก่อนทำให้ชายร่างท้วมต้องกวักมือเรียกนักศึกษาฝึกงานคนหนึ่งที่ยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ของพนักงานที่เป็นพี่เลี้ยงให้ไปรินน้ำใส่แก้วเข้ามาให้

              “ตามจริงไม่ต้องก็ได้นะครับ” อัมรินทร์บอก ก่อนจะหันไปยิ้มรับแก้วน้ำเปล่าจากเด็กนักศึกษาหนุ่มที่ยกน้ำมาให้

              “ไม่ได้หรอกครับ” ชายมีอายุว่า พร้อมยกมือรับไหว้เด็กหนุ่มที่ยกมือไหว้ลาคนทั้งสองคนที่นั่งอยู่

              “ว่าแต่ท่านรองมาทำอะไรหรือครับ” เขาเอ่ยถาม “หรือว่าเครื่องประดับมีอะไรต้องแก้” ก่อนจะนึกถึงงานล่าสุดที่เพิ่งเสร็จไป

              “เปล่าหรอ ไม่ใช่อย่างนั้น” อัมรินทร์รีบโบกมือปฏิเสธ

              “แล้วมีอะไรหรือเปล่าครับ”

              “ที่จริงผมมาเอาของที่ฝ่ายซ้อมบำรุงนะ” อัมรินทร์บอกตามตรง “ก็เลยมีเรื่องอยากจะรบกวนคุณสักหน่อย”

              “มีอะไรให้รับใช้บอกมาได้เลยครับ” ใบหน้าใจดีคลี่ยิ้มกว้าง ไม่ปฏิเสธงานที่เข้ามาและไม่คิดว่าสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้ากำลังมอบหมายให้เป็นเรื่องที่รบกวนเลยแม้แต่น้อย

              อัมรนทร์ยิ้มก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นเล็กที่พับเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อสูทด้านในออกมามองดูด้วยแววตาเปรี่ยมด้วยความสุขและความยินดี

              “ผมอยากให้คุณช่วยทำเจ้าของตามแบบนี้ให้ผมหน่อย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงมีความสุข “วัตถุดิบผมเขียนแนบไว้ให้แล้วข้างๆ” แววตาของเขามีความตื่นเต้นยามนึกภาพคนที่จะได้รับได้เห็นมันเมื่อเสร็จสิ้น

              หัวหน้าแผนกร่างท้วงหยิบเอาแว่นสายตาที่เหน็บอยู่ที่กระเป๋าเสื้อตรงอกขึ้นมาใส่ เมื่อแพ่งมองให้ชัดแล้วดวงตาหลังกรอบแว่นก็เบิกกว่าเดิม

              “โอ้ นี้มัน” ใบหน้าตื่นตกใจเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแห่งความยินดีมองแบบร่างสลับกับหน้าของชายหนุ่มอย่างตื่นเต้นยินดี  “ยินดีด้วยจริงๆครับท่านรอง ยินดีด้วย” รอยยิ้มบนหน้าชายมีอายุฉีกกว้างจนเห็นร่องรอยแห่งวัยชัด

              “ผมจะทำให้สุดความสามารถเลยครับไม่ต้องห่วง” พร้อมทั้งรับปากอย่าเป็นมั่นเป็นเหมาะสำหรับงานสำคัญครั้งนี้

            อัมรินทร์ใช้เวลาพูดคุณกับหัวหน้าฝ่ายการผลิตอยู่สักพักก่อนจะขอตัวกลับเนื่องจากตนยังมีอีกที่ที่ต้องไป หัวหน้าแผนกการผลิตเดินมาส่งเข้าถึงตรงทางแยกก่อนที่เป็นอัมรินทร์ที่เดินตรงไปตามทางนั่งต่อเอง

              โชคดีที่ก่อนมาเขาได้โทรบอกหัวหน้าฝ่ายซ้อมบำรุงไว้ก่อนหน้าจึงไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะสวนทางกับทางนั้น แต่เพราะมั่วแต่อยู่คุยกับหัวหน้าแผนกการผลิตนานไปหน่อยทำให้อัมรินทร์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขอโทษที่ทำให้อีกฝ่ายต้องรอ

              “ต้องขอโทษจริงๆครับที่ปล่อยให้รอ” อัมรินทร์พูดอย่างสำนึกผิด ถึงคนตรงหน้าจะมีตำแน่งที่น้อยกว่าตนแต่อย่างน้อยก็มีอายุที่มากกว่าและการปล่อยให้ผู้ใหญ่ต้องรอก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควร

              “โอ๊ย ไม่เป็นอะไรหรอกครับท่านรองแค่นี้เอง” ที่จริงเขาเองก็ไม่รออะไรนานเสียอย่างที่คนหนุ่มเป็นกังวลด้วยซ้ำ พอหยิบจับทำนู้นทีนั้นทีก็ทำให้ลืมเวลาได้เหมือนกัน ถ้าอีกคนไม่บอกว่ามาช้าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน

              “ยังไงก็ขอโทษอีกครังนะครับ” อัมรินทร์ก้มหน้า “แล้วของที่ส่งมาให้ครั้งก่อนละครับ” ก่อนจะถามถึงสิ่งที่มาเอา

              “อ๋อ เรียบร้อยแล้วครับ” หัวหน้าแผนกซ้อมบำรุงคลี่ยิ้มก่อนจะเดินไปเปิดตู้เซฟหยิบเอากล่องกำมะหยี่สีม่วงที่ถูกนำมาให้เมื่อหลายวัยก่อนส่งให้คนเป็นนาย

              “ไม่มีอะไรเสียหายนะครับ ผมแค่ให้ลูกน้องทำความสะอาดและปรับปรุงให้ดีขึ้นเล็กน้อย”

              อัมรินทร์รับกล่องตรงหน้ามาพร้อมกับสวมถุงมือก่อนที่จะหยิบเครื่องประดับราคาแพงนั่นขึ้นมาพิจารณางานอีกครั้ง

              “เยี่ยม ขอบคุณครับ”  อัมรินทร์ยิ้มเมื่อผลงานชิ้นเอกของบริษัทออกมาดูดีกว่าก่อนหน้าและยังถูกใจเขาเป็นอย่างมาก

              หลังจากบรรลุเป้าหมายในการมาเยือนโรงงานในครั้งนี้พร้อมทั้งอยู่พูดคุยกับหัวหน้าแผนกการซ้อมบำรุงเรียบร้อยอัมรินทร์ก็ขอตัวกลับ เพราะเขาต้องนำของชิ้นนี้ไปให้คุณจูนเลขาของราชันเก็บเข้าเซฟสำหรับสินค้าที่เข้าร่วมงานประมูล ซึ่งกว่าจะได้กลับบ้านจริงๆก็ปาไปอีกเป็นชั่วโมงเลยเหมือนกัน

 

              คำกล่าวที่ว่า ‘บางครั้งความสุขก็อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่เราคิด’ อัมรินทร์เองก็เพิ่งเข้าใจในความหมายของประโยคดังกล่าวมาเมื่อไม่นานมานี้

              ความสุขที่หลายคนต่างออกท่องไปทั่วเพื่อแสวงหามันอย่างไม่มีรู้ว่าเราจะพบมันจริงอย่างที่หวังหรือไม่ บางคนอาจพบมันหลังออกตามหา บางคนอาจหามันไม่พบทั้งๆที่ออกตามหามันมานานแสนนาน

              หากแต่หลายครั้งที่ผู้คนมักจะลืมไปว่า ‘ความสุข’ นั้นอยู่ใกล้ตัวเรายิ่งกว่าสิ่งใด

              สำหรับอัมรินทร์แล้วมันไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะทำให้เขารู้สึกมีความสุขกับการขับรถกลับบ้านมากเท่ากับครั้งนี้มาก่อน ในเมื่อการกลับบ้านในครั้งนี้ของเขาคือการกลับบ้านโดยที่รู้ว่ามีใครบางคนรอเขาอยู่ซึ่งมันทำให้หัวใจของเขาคล้ายถูกเติมเต็มจนพองฟูคับอก

            เขาไม่ใช่คนยิ้มยาก แต่การที่เราคิดถึงใครสักคนที่ออกมารอรับเราด้วยรอยยิ้มแล้วมันก็พลอยทำให้รอยยิ้มของเขากว้างขึ้นกว่าเดิมไม่ได้...

              ตอนที่เขาตัดสินใจนำมณีนิลมาเลี้ยงเป็นอีกหนึ่งสมาชิกของบ้านนั้นส่วนหนึ่งก็เพราะตัวเขาอยากจะพิสูจน์คำพูดของพนักงานคนหนึ่ง ที่ตัวเขาบังเอิญไปได้ยินเธอพูดกับเพื่อนร่วมงานระหว่างเวลาพักว่ามีความสุขขนาดไหนหายเหนื่อยเป็นปริบทิ้งอย่างไรตอนที่เปิดประตูบ้านเข้าไปแล้วเจอเจ้าสัตว์เลี้ยงสี่ขาที่เธอเรียกว่า ‘ลูก’ วิ่งออกมารอรับเธออยู่ที่หน้าประตู ประกอบกับช่วงนั้นเขาเริ่มท้อแท้กับการตามตื้อเปลวอรุณ

              เปลวอรุณคือความท้าทายที่เขารู้สึกอยากจะเอาชนะให้ได้ตามประสาคนหนุ่มที่ทั้งชีวิตไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากได้แล้วไม่เคยได้ ยอมรับเลยจากใจว่าตัวเขาในตอนนั้นมีรู้สึกเพียงแค่ สนุก ท้าทาย และอยากเอาชนะเท่านั้น แต่เปลวอรุณก็คือเปลวอรุณ วันแรกที่เจอกันอีกผ่านปฏิบัติตัวต่อเขายังไงทุกวันนั้นก็ยังคงเป็นแบบเดิม เฉยชาและไม่แยแสต่อสิ่งรอบตัวและที่น่าหงุดหงิดทุกครั้งที่เจอคืออีกฝ่ายพยายามหนีเขาทุกวิถีทางที่จะเอามาเป็นข้ออ้างได้ทุกครั้ง

              เขาหงุดหงิด..

              ใช่ .. เข้าหงุดหงิดทุกครั้งที่เปลวอรุณรู้ทันความคิดของเขาในทุกๆด้านจนเหมือนว่าบางครั้งอีกคนก็เดินนำความคิดของเขาไปได้ก่อนที่เขาจะเริ่มเสมอ  ต่อแรกก็แค่หงุดหงิดไม่พอใจแต่พอนานๆเข้าเขาก็เริ่มรู้สึกท้อแท้และพ่ายแพ้ต่อเปลวอรุณและเริ่มตะหนักได้ว่าของบางอย่างก็ใช่ว่าอยากได้แล้วจะได้

              เขาเริ่มหยุดการตามเปลวอรุณกลับบ้านในช่วงเย็นแล้วหันไปทุ่มเทกับการซื้อของเอาใจลูกสาว หางสั้นๆที่สายไปมาจนเห็นแล้วปวดเอวแทนกับเสียงครางอื้อในลำคอยามที่เห็นเขากลับบ้านทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกอย่างที่พนักงานสาวคนนั้นพูด

            เขามีความสุขและหายเหนื่อยอย่างที่พนักงานคนนั้นพูดมา...

              แต่..

              แต่มันกลับไม่เติมใจเขาจนเต็ม..

              ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักมณีนิล ไม่เลย เขารักลูกสาวตัวนี้ของเขามากเขาดูแลมันอย่างดีทำทุกอย่างที่ไม่เคยทำให้กับสัตว์เลี้ยงตัวนี้แทบทุกอย่างที่ทำได้ เพียงแต่ว่าการไม่ได้เห็นกิจวัตรของเปลวอรุณนั้นต่างหากที่ทำให้ในใจของเขาเหมือนยังเกิดช่องว่างบางอย่างที่ยังไม่ถูกถมจนเต็มล้น

              จากที่ว่าจะตัดใจแล้วหันหลังกลับมาใช้ชีวิตแบบเดินกลับกลายเป็นว่าเขาเริ่มหนักข้อขึ้นในเรื่องของเปลวอรุณ เขาขับรถตามเปลวอรุณกลับบ้านอย่างเดิม จอดรอดูข้างนอก วันหยุดบางวันก็แอบไปดูว่าเจ้าตัวทำอะไรในวันหยุด  ความชอบความไม่ชอบของเปลวอรุณเริ่มแทรกเข้ามาในความนึกคิดของเขาเรื่อยๆ

              อัมรินทร์ไม่ชอบปลูกต้นไม้แต่กลับหาซื้อมาปลูกเต็มบ้าน

             อัมรินทร์เป็นคนเลือกกินอะไรที่ไม่ชอบก็เขี่ยทิ้ง แต่ถ้าเป็นอาหารที่เปลวอรุณทำมาให้แล้วเขากลับกินหมดทุกครั้ง ทั้งยังเป็นฝ่ายออกปากรบเร้าให้อีกคนทำอาหารมาให้เขากินทุกกลางวัน หากวันไหนไม่ได้กินในตอนกลางวันเขาก็จะเอากลับมาอุ่นกินที่บ้าน

              เขารักเปลวอรุณ ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นเมื่อไรที่เขามีความรู้สึกแบบนี้ แต่ในเมื่อเขารู้ความรู้สึกนั้นแล้วมันก็ยิ่งทำให้เขาอยากครอบครองคนที่เขารักเอาไว้พียงคนเดียว....

              ถึงบางทีจะปากแข็งไปอย่างนั้นก็เถอะ...

               พวกมาลัยรถยนต์หันเลี้ยวเข้ามาในบริเวณบ้านพร้อมรอยยิ้มของคนที่ขับบังคับมันเมื่อสายตาคมสบเข้ากับร่างของใครบางคนที่เดินอยู่บริเวณสวน

              อัมรินทร์เปิดประตูรถแล้วก้าวออกมาเปลี่ยนให้คนขับรถเข้ามาขับนำไปเก็บที่โรงจอด ชายหนุ่มพยายามก้าวเท้าให้เบาที่สุดเมื่อเดินเข้าใกล้ร่างของคนที่กำลังแพ่งมองใบเรียวรีของต้นกวนอิม แต่การจะแอบมาเซอร์ไพรส์เปลวอรุณดูจะไม่เป็นดั่งที่ต้องการเท่าไรเมื่อข้างกายของเปลวอรุณมีเจ้าตัวที่หูดีอย่างมณีนิลอารักขาอยู่ข้างๆ

              “โฮ่ง โฮ่ง” เสียงเห่าเสียงดังพร้อมท่าทีกระโดดขึ้นลงของมณีนิลเรียกความสนใจจากคนที่กำลังมองสำรวจต้นไม้ใบหญ้าในสวนให้หันกลับมามอง

              และเมื่อเห็นว่าเป็นใครเปลวอรุณก็คลี่ยิ้มกว้าง “กลับมาแล้วหรอครับ”

              “ครับ” ถึงจะไม่ได้ทำอย่างที่ใจหวังแต่อัมรินทร์ก็ยังยิ้มกลับไปให้อีกคนพร้อมร่างกายสูงที่เดินเข้ามากอดอีกคนเอาไว้แน่นด้วยความรักและคิดถึงแล้วจูบนิ่งที่ริมฝีปากบางนั่น “กลับมาแล้ว”

              “ดื้อหรือเปล่านะเรา” อัมรินทร์ลูบหน้าท้องอีกคนพร้อมถามเจ้าตัวน้อยและถามคำถามเดียวกันนี้กับมณีนิลก่อนจะย่อตัวลงในระดับแล้วอุ้มลูกสาวตัวโตขึ้นมา

              “เจ้าตัวเล็กกับคุณนิลไม่ดื้อหรอกครับ” เปลวอรุณตอบแทนพลางลูบหัวเจ้าตัวโตที่พยายามเลียหน้าเลียตารับขวัญพ่อของมันอย่างเมามัน

            “แล้วทำไมวันนี้ถึงกลับมาช้าจังเลยละครับ”

              “พอดีไปที่โรงงานกับแวะเข้าไปเอาของไปไว้ที่งานนะ”

              เปลวอรุณพยักหน้า

              “แล้วไอ้รุทธิ์กับเจ้าตาลละ ยังไม่กลับหรอ” หลังจากฟัดลูกสาวตัวโตจนหนำใจแล้วปล่อยลงพื้นแล้วก็อดถามหาอีกสองคนที่เหลือไม่ได้

              “คุณรุทธิ์กลับมาแล้วครับ  ตอนนี้อยู่ข้างบน” เปลวอรุณตอบพลางกุมมืออีกคนเดินเข้าบ้าน “ส่วนลูกตาล อ๊ะ นั้นไงกลับมาพอดี” เปลวอรุณพูดขึ้นพร้อมชี้ไปที่ประตูรั้วที่ถูกเปิดเข้ามาพร้อมร่างของเดินหนุ่มที่เพิ่งตกเป็นหัวข้อสงสัยเมื่อครู่

            ลูกตาลเดินเข้ามาก่อนจะยกมือไหว้คนทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าบ้านก่อนจะหันไปลูบหัวทักทายมณีนิลที่กระโดดพันเข่งพันขาเขาอยู่

              “เพิ่งกลับมาหรอลุง” ลูกตาลทักขึ้นเมื่อเห็นอีกคนยังอยู่ในชุดทำงานเต็มยศ

              “ใช่ เพิ่งถึงเมื่อกี้นี้เอง”

              เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้

              “ว่าแต่ วันอาทิตย์นี้ว่างหรือเปล่า” อัมรินทร์หันกลับมาถามเด็กหนุ่มที่เดินตามหลังเข้ามา

              “ไม่ว่าง”

              “แล้วเลิกงานกี่โมง”

              “ถ้าไม่แลกกะก็เลิกสี่โมงเย็น มีอะไรหรือเปล่า” ลูกตาลเลิกคิ้วถามพลางถอดกระเป๋าที่คาดอกออกมาวาง

              “เอานี่” อัมรินทร์ไม่ได้ตอบตรงคำถามที่ว่านั้นแต่เลือกที่จะหยิบการ์ดเชิญส่งให้เด็กหนุ่มแทน

              “งานเลี้ยงประมูลการกุศล” เด็กหนุ่มอ่านออกเสียงพลางทำหน้าฉงน ดวงตาสีเข้มเหลือบมองคนที่ส่งมาให้ก่อนจะพลิกอ่านรายละเอียด

              “ใช่ งานเลี้ยงจะมีขึ้นวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ ตอนหกโมง” อัมรินทร์ตอบเรียบๆ “แต่ทางไปงานกับที่ที่นายทำงานพิเศษมันคนละทางกันฉันเลยคิดว่าจะให้ลาหยุดหรือเปลี่ยนกะกับเพื่อนแทน”

              “จะให้ผมไปด้วย?” ลูกตาลเลิกคิ้ว

              “ใช่ไง เดี๋ยวพรุ่งนี้เลิกงานก็รอฉันที่นั้นนั้นแหละเดี๋ยวฉันพาไปซื้อเสื้อผ้าใส่ไปงาน”  อัมรินทร์บอกแกมบังคับสั่งก่อนจะส่งการ์ดแบบเดียวกันนี้ให้กับแววที่เดินเข้ามานำน้ำมาให้เพื่อให้หญิงสาวนำไปให้กับอนิรุทธิ์ที่อยู่ด้านบน

            ลูกตาลมองอย่างไม่ค่อยเข้าใจถึงสาเหตุที่อัมรินทร์บอกให้เขาไปด้วยเสียเท่าไร บางทีอาจให้เขาไปเพื่อดูแลแม่เปลวของเขาก็เป็นได้เขาคิดเช่นนั้น

              แต่ก็ดีเหมือนกัน...

              เมื่อไม่มีอะไรแล้วลูกตาลจึงขอตัวขึ้นไปเก็บของแล้วอาบน้ำเพื่อที่จะได้ลงมากินข้าวเย็น
..................................................

 

             
:mew1:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
:mew1:


 งานเลี้ยงประมูลการกุศลถูกจัดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งในโอกาสวันคล้ายวันเกิดปีที่แปดสิบห้าของนายธรรมภาส อดีตสมาชิกพรรคการเมืองที่มีอิทธิพลระดับแนวหน้าของประเทศที่ถึงแม้จะเกษียณตัวเองออกมาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่จังหวัดแห่งที่ภาคเหนือหลายปีแล้วก็ตามแต่ก็ยังมีหน้ามีตาเป็นที่เคารพและเกรงอกเกรงใจของสมาชิกพรรคในปัจจุบันอยู่พอสมควร อีกทั้งยังมีหน้ามีตาในแวววงสังคมคนมีระดับฐานะอีกด้วย

              ธรรมภาสในวัยแปดสิบห้าปีเต็มในวันนี้แม้ร่างสังขารจะร่วงโรยไปตามวัยหากแต่ชายแก่ร่างผอมบนรถเข็นไฟฟ้ากลับยังมีสีหน้าสดใสไร้โรคภัยมาเบียดเบียนเรียกได้ว่าแข็งแรงตามวัยก็ว่าได้

              “แกแน่ใจนะว่าเขาจะมาตามที่แกว่า” น้ำเสียงแหบห้วนแต่เต็มไปด้วยอำนาจของชายชราดังขึ้นถามชายหนุ่มใบหน้าเปื้อนยิ้มข้างกาย

              “แน่นอนสิครับ” ราชันเอ่ยตอบอย่างมั่นใจ

              “ฉันจะเชื่อแกได้หรือเปล่า ไม่ใช่ว่าแกกำลังให้ความหวังคนแก่อยู่หรอกนะ” ธรรมภาสเหน็บแนมหลายชายคนเล็กของตน นัยน์ตาดุดุจเสือร้ายกวาดมองรอบห้องจักงานคล้ายกำลังมองหาใครสักคนผ่านกลุ่มสตาร์ฟประจำงานที่เดินตรวจความเรียบร้อยของงานกันอยู่อย่างขวักไขว่

              “งานยังไม่ทันจะเริ่มเลยนะครับ” ราชันยิ้มอ่อนใจให้กับคนแก่ใจร้อนที่อดใจรอไม่ไหวที่จะได้เจอหน้าใครคนหนึ่ง

              “เดี๋ยวคุณปู่ไปพักที่ห้องพักก่อนดีกว่านะครับ เดี๋ยวพองานเริ่มผมจะให้คนไปรับ”  ชายหนุ่มจับมือผอมแห้งเอาไว้อย่างรักใคร่ก่อนจะหันไปเรียกการ์ดที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ไม่ห่างให้พอเจ้าของงานไปพักผ่อนก่อนที่งานจะเริ่ม

              ราชันเดินมาส่งปู่ของตนที่หน้าประตูทางเข้างานแล้วยืนดูอยู่อย่างนั้นจนแน่ใจว่าปู่ของเข้าถูกพาเข้าลิฟต์ไปเป็นที่เรียบร้อยก่อนจะหันกลับเข้ามาเดินตรวจตราความเรียบร้อยภายในงานอีกครั้ง

              งานในวันนี้ถือว่าเป็นงานใหญ่เพราะนอกจากจะเป็นงานประมูลเพื่อนำเงินที่ได้ทั้งหมดไปแบ่งบริจาคให้กับโรงพยาบาลในต่างจังหวัดสองสามแห่งที่กำลังขาดแคลนและมีความจำเป็นในเรื่องทุนทรัพย์เป็นอย่างมาก อีกทั้งนอกจากนี้แล้วยังถือเป็นงานเลี้ยงวันเกิดของธรรมภาสอีกด้วย แน่นอนว่าคนใหญ่คนโตในแวดวงสังคมการเมืองและธุรกิจ ดารา คนมีชื่อเสียง ต่างตบเท้ากันเข้ามาให้ควัก หากเกิดการผิดพลาดแม้เพียงเรื่องเดียวนั้นย่อมหมายถึงหน้าตาของผู้อาวุโสเจ้าของงาน

              โชคดีที่งานวันนี้ได้วาเลนติโนมาช่วยในเรื่องการรักษาความปลอดภัยทุกอย่างภายในงาน ตั้งแต่การเฝ้าระวังโดยรอบงาน เฝ้าดูแลรักษาทรัพย์สินในการประมูลเพื่อป้องกันการสูญหายและถูกขโมยทำให้ราชันคล้ายความกังวลเรื่องความปลอดภัยไปได้ในระดับที่มากที่สุดเลยก็ว่าได้

              ก็แน่ละ ใครคิดจะสิ้นคิดอยากมีเรื่องกับมาเฟียต่างชาติกันละ....

              ราชันเดินเข้าไปทำทายเจ้าของทรัพย์ที่นำเข้าประมูลที่นั่งจับกลุ่มพูดคุยกันบ้างเดินดูความเรียบร้อยของนางแบบนายแบบที่จะเดินโชว์ทรัพย์ของตัวเองบ้าง

              “ไม่คิดว่าลิลจะมาเป็นนางแบบเองอย่างงี้เลยนะเนี้ย” ราชันยิ้มตาหยี่ทักทายเพื่อนสาวที่พอจะคุ้นเคยกันอย่างลิลดาที่ยังอยู่ในชุดคุ้มอาบน้ำสีขาวในห้องแต่งตัวนางแบบ

              “ก็ถือว่าเป็นการโปนโมทงานของตัวเองที่กำลังจะออกไปในตัวด้วยไงละ” เธอว่าอย่างยิ้มแย้มขณะนั่งให้ช่างทำผมจัดแต่งทรง “อีกอย่างนะ ลิลเองก็อยากจะลองทำอะไรแบบนี้มานานแล้ว” เธอว่า

              ก็นะ การเป็นนางแบบใส่ชุดสวยๆแล้วเดินให้คนดูแบบนี้เป็นเหมือนฝันของผู้หญิงทุกคนนั้นแหละ...

              “เราไม่กวนลิลแล้วดีกว่า” ราชันว่า “ขาดเหลืออะไรก็บอกได้เลยนะ เราออกไปดูข้างนอกก่อน”

              ลิลดายิ้มรับน้ำใจนั้นก่อนจะกันมาสนใจกับหน้าจอสี่เหลียมในมือต่อ

              ราชันเดินเข้ากลับเข้ามาในสถานที่จัดงานอีกครั้งก่อนจะพบกับแขกคนสำคัญที่เขารอมานาน ‘ครอบครัวของอัมรินทร์’

              ชายหนุ่มผิวขาวซีดยืนมองคนสี่คนที่กำลังตกอยู่ในวงล้อมของกลุ่มนำข่าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำข่าวได้ แต่ที่ดูจะขัดหูขัดตาของเขาไปเสียหน่อยเห็นว่าน่าจะเป็นฝ่ามือหนาของเพื่อนรักเพื่อนร้ายของเขาที่โอบแนบอยู่กับช่วงเอวของเปลวอรุณ

              มันน่านัก...

              ราชันข่มเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวเองเหมือนเด็กจนวาเลนติโนที่ยืนมองมาแต่ไกลได้ต่อทอดถอนใจกับนิสัยเสียของเจ้าตัวซีด แต่ครั้นพอจะก้าวเข้าไปหาใกล้ๆเจ้าตัวร้ายก็ชิงเดินหนีตรงไปยังกลุ่มคนที่ว่า

              อย่าทำอะไรแผลงๆแล้วกัน... วาเลนติโนได้แต่ภาวนาในใจเงียบๆ

              เฮ้อออ ....

             “อ้าวว อันมาแล้วหรอ” น้ำเสียงสดใสเกินหน้าเกินตาที่ไม่ต้องหันไปมองก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใครทำเอาใบหน้ายิ้มรับแขกของอัมรินทร์บึ้งตึงเอาเสียดื้อๆ

              “เออ” เจ้าตัวตอบเสียงห้วนรั้งเอวของเปลวอรุณเข้ามาใกล้ตัวเองจนแทบชิด

               ใบหน้ายิ้มแย้มของราชันเองก็พลอยบึ้งตึงไม่ต่างกันเมื่อเจอเข้ากับปฏิกิริยาเช่นนั้นของอัมรินทร์ แต่ก็แค่เพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนจะกลับมาปั้นยิ้มเหมือนดังเดิม

                นักข่าวบ้างคนที่ตาไวพอต่างพุ่งความสนใจไปยังมือข้างนั้นของอัมรินทร์แทบจะทันที หากแต่ไม่มีใครกล้าพูดแทรกขึ้นมาด้วยความกลังเกรงหลานชายเจ้าของงานที่ยังคงยืนอยู่

                 “แล้วนี้พาใครมาด้วยละเนี้ย” ราชันยิ้มเปิดประเด็นเมื่อกวาดตาไปเจอสายตาตั้งคำถามของเหล่านักข่าว

                 “นายก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” อัมรินทร์กัดฟันยิ้ม พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หลุดคำหยาบออกมาในที่สาธารณะ

                  “ใช่ๆ ฉันรู้แต่พี่ๆนักข่าวเขาไม่รู้กับนายด้วยนี่น่าเพื่อน” คำว่า ‘เพื่อน’ ที่ออกมาดูเหมือนจะพยายามเน้นหนักให้ได้ยินเป็นพิเศษในความรู้สึกของคนนอกอย่างอนิรุทธิ์ ลูกตาล และเปลวอรุณ

                 “ใช่ครับ” เสียงของนักข่าวร่างสูงผอมผิวออกเหลืองเป็นผู้กล้าเอ่ยซัพพอร์ต “อย่างคุณอนิรุทธิ์นี่พวกเราก็พอคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง แต่อีกสองคนนี้ละครับ”

                 สิ้นคำถามก็เกินเป็นเสียงอื้ออึงของเหล่านักข่าวสำนักข่าวอื่นที่อยู่ข้างๆจนกลายเป็นจุดสนใจให้กับแขกในงานที่มาก่อนหน้านี้ให้หันมาสนใจกลุ่มของอัมรินทร์

               อัมรินทร์เหยียดยิ้มเมื่อผลลัพธ์เป็นไปตามคาดที่เขาคิด

               “นั้นสินะราชัน ฉันนี้ใช้ไม่ได้เลยจริงๆที่เสียมารยาทไม่แนะนำคนที่มาด้วยให้คนอื่นๆรู้จักแบบนี้”

              ราชันคิ้วกระตุก

              “อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่านี้คือพี่ชายของผม ผมก็คงไม่ต้องแนะนำอะไรมา” อัมรินทร์ตบบ่าอนิรุทธิ์เล็กน้อย ก่อนจะดึงแขนเด็กหนุ่มให้เข้ามาใกล้

               “ส่วนข้างๆผมตรงนี้คือเปลวอรุณ คนรัก ของผมเอง”  อัมรินทร์ว่าพร้อมกระชับมือที่โอบรอบเอวอีกคนแน่น “ส่วนทางนี้คือลูกตาลลูกชายของเราครับ”

               เสียงลือลั่นกระซิบกระซากพลางแย่งกันถามถือเป็นการตอบรับที่อัมรินทร์พึ่งพอใจมากที่สุด ชายหนุ่มยิ้มรับให้กับทุกคำถามที่ส่งออกมาให้

              เหตุผลหลังที่เขาต้องการให้เด็กหนุ่มมาร่วมงานในครั้งนี้ด้วยก็คือเรื่องนี้ งานใหญ่แบบนี้เป็นไปไม่ได้ที่ทางเจ้าภาพอย่างราชันจะไม่เชิญบรรดานักข่าวเข้ามาร่วมด้วย

              สิ่งที่เขาต้องการคือการประกาศให้ทุกคนรับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเปลวอรุณและเปิดตัวลูกตาลในฐานะลูกชานคนโตของเขากับเปลวอรุณ เพื่อเป็นการแสดงให้เปลวอรุณรู้ว่าเขาจริงจังกับอีกฝ่ายขนาดไหนและบอกให้ลูกตาลรู้อย่างแน่ชัดว่าเขายอมรับเด็กหนุ่มคนนี้เป็นครอบครัวเดียวกัน

              ราชันมองเพื่อนตัวเองหน้าตึง แต่ในใจของเขากลับเป็นห่วงคนตัวขาวที่ตอนนี้ใบหน้าขาวซีดจนน่าเป็นห่วง

              เป็นอะไรไป..

              อัมรินทร์เองก็สังเกตเห็นความผิดปกติที่ว่าเมื่อเปลวอรุณเอนตัวซบเขาพร้อมยกมือขึ้นปิดปากเหมือนคนคลื่นเหียง

              “ไหวหรือเปล่าเปลว” เขาถามอย่างเป็นห่วง ยิ่งอีกคนส่ายหัวด้วยแล้วเขายิ่งเป็นกังวลมากขึ้น

              ตรงนี้แออัดมากเกินไป... อัมรินทร์ตะหนักได้อย่างนั่น

              “เดี๋ยวยังไงพวกผมขอตัวก่อนดีกว่านะครับ” อัมรินทร์เอ่ยขึ้นพร้อมประคองเปลวอรุณเอาไว้แน่นแล้วรีบพาอีกคนเดินแทรกผ่านกลุ่มนักข่างออกมาพร้อมลูกตาลที่เดินตามหลังมา และต้องขอบคุณอนิรุทธิ์ที่หัวไวพอที่จะเอ่ยรั้งนักข่าวตรงหน้าเอาไว้ไม่ให้ตามคนทั้งสามไป

              ข่าวคราวเกี่ยวกับคนรักและลูกชายของอัมรินทร์ดูจะเป็นหัวข้อที่ทุกคนต่างพูดคุยกันเป็นอย่างมาจนกระทั้งงานเริ่มขึ้นในเวลาหนึ่งทุ่มตรง เสียงของพิธีกรหนุ่มที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีปรากฏตัวขึ้นบนเวทีพร้อมกล่าวเปิดงานพอเป็นพิธีก่อนจะกล่าวเชิญเจ้าของงานขึ้นมาปราศรัย

            “.....ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมทำบุญร่วมกันในครั้งนี้” ธรรมภาสเอ่ยขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงานจากใจจริงแม้จะรู้อยู่ลึกๆดีว่างานเลี้ยงนี้ย่อมต้องมาคนอาศัยผลประโยชน์จากการพบปะกัน แต่ใครจะสนละ.. เขาเองก็แค่ชายชราที่อยากเห็นคนหนุ่มคนสาวแวะเวียนเข้ามาพูดคุยด้วยก็เท่านั้น

              ธรรมภาสกวาดตามองแขกเหลื่อที่นั่งกับอยู่คับห้องก่อนจะสะดุดเข้ากับใครคนหนึ่งที่นั่งก้มหน้าก้มหน้าอยู่ที่โต๊ะแถวหน้าที่พอมองจากบนเวลาทีแล้วทำให้คนแก่อย่างเขามองเห็นใบหน้านั้นได้ชัดขึ้น

              เปลวอรุณ...

            ชายชรายิ้มอย่างที่ยากจะเดาความรู้สึกภายในได้อย่างชัดเจน

            “เอาล่ะ  เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปมากกว่านี้ฉันก็ขอเริ่มงานประมูลเลยแล้วกัน”

              สิ้นเสียงของชายชราเสียงตบมือก็ดังขึ้นก่อนที่ไฟทั่วทั้งห้องจะดับลงจนเหลือไฟสีเหลือนวลที่วางเรียงไว้เป็นทางสำหรับให้นางแบบนายแบบถือหรือสวมใส่ทรัพย์ชิ้นนั้นมาให้แขกทุกคนได้ดู

              ทรัพย์ที่ถูกนำเข้าร่วมงานประมูลมีตั้งแต่ของชิ้นเล็กไปจนถึงของชิ้นใหญ่ แน่นอนว่ามูลค่าร่วมกันนั้นย่อมมหาศาลจึงไม่แปลกที่เมื่อก่อนเข้างานแขกทุกคนจะต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงาน

              “ต่อไปเป็นสินค้าชิ้นที่แปดจากบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องประดับชั้นนำที่ทุกท่านรู้จักดีนะครับ” เสียงพิธีกรหนุ่มเล่นน้ำเสียงชวนตื่นเต้นพร้อมเว้นวรรคก่อนประกาศชื่อ “ ห้องเพชรเซเรนิตี้”

              และเป็นธรรมเนียมของผู้นำเข้าประมูลเมื่อสิ้นเสียงประกาศเจ้าของทรัพย์ชิ้นนั้นจะต้องยืนขึ้นเพื่อแสดงตัวตน

              อัมรินทร์ลุกขึ้นยืนพร้อมแสงของสปอร์ไลย์ที่ส่องมายังตัวของชายหนุ่มที่ค้อมกายเล็กน้อยเป็นเชิงรับเกียรติ์เมื่อผู้คนตบมือรับ พร้อมกับการปรากฏตัวของร่างเพรียวระหงส์ในชุดเกาะอกรัดรูปสีชมพูอ่อนหางปลายาว

              ลิลดากรีดยิ้มหวานให้กับแขนทุกคนที่จัดจ้องเธอโดยเฉพาะชายหนุ่มขี้อายของเธอที่ดูจะตะลึงกับภาพลักษณ์ให้ในครั้งนี้ของเธออยู่ไม่นอน

              แน่ละก็ฉันสวยหนิ..

              เธอยิ้มพร้อมส่งสายตาชวนฝันไปให้อนิรุทธิ์ที่นั่งหน้าแดงจนต้องยกน้ำขึ้นจิบแก้เก้อ เธอหัวเราะเบาๆในลำคอก่อนจะก้าวเดินลงจากกลางเวลาให้ทุกคนที่นั่งอยู่ได้ยลโฉมเจ้าอัญมณีที่เธอสวมใส่อยู่

              รองเท้าส้นสูงสีขาวมุขหยุดลงตรงตำแหน่งที่ถูกมาร์คเอาไว้ตั้งแต่เมื่อตอนฝึกเดิน ปลายนิ้วเรียวเริ่มไล่ไปตามสายเส้นของเครื่องประดับตามเสียงของพิธีกร

              เครื่องประดับชนิดสร้อยของแบบส่วนหนึ่งตะขอที่ด้านหลังประดับลูกเล่นด้วยเชือกผ้าถักประดับเพชรเม็ดเล็กๆยาวจรดกลางแผ่นหลังขาว ที่ด้านหน้าสร้อยถูกแยกออกเป็นสามเส้นขนาดเล็กตัวเส้นทำจากทองคำขาวประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กแบ่งช่วงอย่างสวยงามหากแต่เพชรตรงกลางของสองเส้นลางถูกแทนที่ด้วยเพชรสีฟ้าอ่อนรอบกรอบเชื่อมโยงกันด้วยเพชรสีขาว และจุดเด่นของสร้อยที่ถือเป็นไฮไลที่ทำให้เกิดเสียงอื้ออึงดังกระฮึมก็คือเพชรสีชมพูหายากอย่าง Princess diamond เพชรน้ำดีที่ถูกเจียนระไนจนได้เหลียมคมแวววาวยามต้องแสงที่ประดับอยู่บนสร้อยเส้นบนสุดติดลำคอเรียว

              เป็นอันรู้กันดีในกลุ่มของคนที่เล่นเพชรกันอยู่แล้วว่าเพชรสีชมพูดังกล่าวถือเป็นเพชรที่หาได้ยากยิ่งในท้องตลาดและเพราะหายากนี้แหละทำให้มูลค่าของมันสูงลิ่วใช่เล่น และเมื่อมันปรากฏอยู่ภายในงานในค่ำคืนนี้แล้วแน่นอนว่าคงไม่มีใครคิดปล่อยให้มันหลุดมือไปแน่

              เสียงค้อนทุบครั้งแรกเพื่อประกาศการเริ่มต้นการประมูลดังขึ้น เสียงเสนอเม็ดเงินจำนวนมากดังขึ้นออกมาไม่ขาดสายจนเจ้าของที่นำมาอย่างอัมรินทร์อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอย่างภาคภูมิใจที่กระแสตอบรับงานของตนเป็นไปในทิศทางที่น่าพึ่งพอใจเป็นอย่างยิ่ง

              “แม่เปลวเป็นอะไรหรือเปล่า”  เสียงทักเบาของเด็กหนุ่มที่นั่งถัดออกไปดังขึ้นเรียกความสนใจของเขาจากเสียงรอบข้างมาที่คนข้างกายที่ตอนนี้นั่งเอามือกุมขมับ

              “เปลว” เขารีบจับไหล่ของอีกคนแล้วประคองให้ซบลงที่ไหล่

              “ผมเวียนหัว กลิ่นในนี้มันฉุนไปหมด” เปลวอรุณตอบเสียงล่องลอย

              “กุว่ามึงพาเปลวออกไปนั่งข้างนอกก่อนดีกว่า ถ้าไม่ดีก็พากลับไปก่อนเลยเดี๋ยวกูจัดการตรงนี้ให้” อนิรุทธิ์เสนอพร้อมส่งยาดมที่พกติดตัวมาด้วยส่งให้คนตัวขาว

              อัมรินทร์พยักหน้ารับก่อนจะประคองพาเปลวอรุณลุกออกจากที่โดยมีลูกตาลเดินตามหลังออกมาด้วยไม่ห่าง

            เพียงแต่ไม่ใช่แค่พวกเขาหรอกที่เดินหลบออกมาก่อน...

              ราชันที่จับตามมองมาทางพวกเขาตั้งแต่เริ่มแรงเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของอัมรินทร์ชายหนุ่มก็หันไปกระซิบกับชายชราข้างกายแล้วลุกออกมาพร้อมวาเลนติโนและลูกน้องอีกสองคนพร้อมของบ้างอย่างที่ถือเตรียมไว้ตลอด



__________________________________________________
เผยความในใจของอัมรินทร์กันสักเล็กน้อย

ตอนหน้าเตรียมพบกับรายการแฉ by ราชัน พร้อมกับเหตุการณ์อันไม่คาดฝัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-08-2017 22:45:03 โดย wavery »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ tistaek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :katai1: ราชันจะทำอะไรรึปล่าว

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
จะเกิดอะไรขึ้นอีกเนี้ยะ :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ลุ้นๆๆตามอ่านด้วยคน

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

เป็นหนี้ ครั้งที่ 27


              ภาพของอัมรินทร์ที่คอยประคองพาเปลวอรุณออกมานั่งที่เก้าอี้รับรองตรงโถงกลางของชั้นก่อนถึงทางลงบันไดอยู่ไม่อาจรอดพ้นสายตาของคนที่ลอบเดินตามออกมาเงียบๆตั้งแต่แรกอย่างราชันไปได้แม้แต่ช่วงเวลาเดียว

              ถึงจะไม่ได้สนิทสนมจนสามารถเรียกว่าเป็นเพื่อนรักเพื่อนที่รู้ใจกันได้อย่างเต็มปากเต็มคำเสียเท่าไร อีกทั้งยังออกไปในทางที่ไม่น่าจะเรียกว่ารักใคร่กันได้เลยเสียด้วยซ้ำไป แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของกันและกันในระดับหนึ่งได้

              และอัมรินทร์คนที่ราชันรู้จักไม่มีทางมานั่งดูแลเอาใจใส่ใครแบบนี่แน่ๆ...

              อัมรินทร์ที่เขารู้จักไม่ใช่คนที่จะมาสนใจกับอะไรเล็กๆน้อยๆแบบนี้ไอ้เรื่องดูแลใครพวกนี่ก็ตัดออกไปเลยเหมือนกัน แต่ไอ้ภาพตรงหน้านี่นี้สิที่ทำให้เขาแคลงใจและรู้สึกขัดๆนัยน์ตาเวลามอง โดยเฉพาะกับท่าทีของเปลวอรุณ...

              กับเปลวอรุณนั่นจัดได้ว่าพวกเขาสองคนรู้จักกันมานานและรักกันมากและในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั่นก็ถือได้ว่าเป็นคนสำคัญสำหรับกันและกันมานานแน่นอนว่าช่วงเวลานั้นของของเขามันต้องนานกว่าช่วงเวลาที่อัมรินทร์ได้รู้จักกับเปลวอรุณแน่ๆ

              แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่เคยเห็นสีหน้าแบบนั้นของเปลวอรุณเลยมักครั้งเดียว...

              ผ่อนคลาย ไว้ใจ และปลอดภัย...

              “เป็นอะไรไป” เสียงเข้มขรึมของวาเลยติโนดังขึ้นไม่ดังมากแค่พอให้เขาที่อยู่ไม่ไกลพอได้ยินเท่านั้น

            เขานิ่งเงียบไม่ตอบกลับ

              “เกินเปลี่ยนใจขึ้นมาหรือไง” คล้ายๆกับเขาสามารถเห็นรอยยิ้มเหยียดแสยะของคนที่อยู่เยื้องได้ด้านหลังได้โดยไม่ต้องหันกลับไปมอง

              “นายก็รู้ว่ามันไม่ใช่”  เขาพยายามทำน้ำเสียงให้ดูดุขึ้นเพื่อตำหนิความคิดนั่นของอีกคนที่เขาแต่กอดอกทำเสียงในลำคอเหมือนสะใจ

              ใช่..

            เขาจะไม่เปลี่ยนใจกลับหันหลังตอนนี้แม้ในใจจะรู้สึกผิดที่ต่อให้ต้องรู้สึกผิดที่ทำร้ายจิตใจของเปลวอรุณก็เถอะ

              สำหรับเขาแล้วเขารู้ดีว่าสถานที่ที่ทำให้เปลวอรุณรู้สึกปลดภัยได้เมื่ออยู่ใกล้และสามารถไว้วางใจได้จนสามารถปล่อยวางความตึงเครียดในใจของตัวเองลงได้นั่นมีน้อยเสียจนแทบจะหาไม่ได้อีกแล้วและไอ้พื้นที่ที่ว่านั่นก็ถูกเพิ่มขึ้นมาโดยอัมรินทร์  อันที่จริงเขาก็ไม่อยากจะยุ่งอยากจะทำอะไรที่จะเป็นสาเหตุทำให้เปลวอรุณเสียใจแบบนี้เหมือนกันในเมื่อมันคือสถานที่ทางใจที่เปลวอรุณเลือกเองและเขาย่อมยินดีที่อีกคนหามันพบ ถ้าไม่ใช่เพราะมันมีบางสิ่งที่อยู่นอกเหมือนจากสิ่งที่เป็นอยู่

              ซึ่งเขายอมไม่ได้...

              ก็ยอมรับอยู่ละนะว่าตัวเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีขนาดที่ว่าจะเที่ยวไปชี้หน้ากล่าวหาใครเขาได้ว่าคนนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไร แต่สำหรับเรื่องของเปลวอรุณแล้วเขาไม่มีทางนิ่งเฉยได้ ต่อให้ต้องถูกคนที่รักที่เขาให้ความสำคัญที่สุดเกลียดเขาก็ยอมได้แต่เขาจะไม่ยอมให้อัมรินทร์หลอกลวงเปลวอรุณเป็นอันขาดและเขาไม่เชื่อด้วยว่าคนอย่างมันจะกล้าเปิดปากบอกความจริงให้เปลวอรุณรับรู้ด้วย

                ราชันกระชับสิ่งที่อยู่ในมือแน่เมื่อตัดสินใจได้เด็ดขาดดีแล้ว

               ความตั้งใจของเขาคือการบอกความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่อัมรินทร์ปกปิดให้เปลวอรุณรับรู้เพียงเท่านั้นแล้วหลังจากนั้นอีกคนจะตัดสินใจอย่างไรก็แล้วแต่ เขาเคารพการตัดสินใจของอีกคนเสมอ

                สองขาเรียวยาวก้าวเดินตรงไปยังโซฟารับรองที่มีคนสามคนที่เขารู้จักคุ้นเคยดีนั่งอยู่ ลูกตาลที่นั่งอยู่ที่โซฟาฝั่งตรงข้ามกับทิศทางที่ราชันเดินมาจึงเป็นคนแรกที่มองเห็นกลุ่มคนหน้าใหม่ก้าวเข้ามาอย่างใจเย็น

                เด็กหนุ่มหยันกายขึ้นด้วยสีหน้ากึ่งแปลกใจกึ่งไม่ไว้ใจ โดยเฉพาะกับสีหน้าราบนิ่งของราชันที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนแบบนี้ด้วยแล้วปฏิกิริยาการตอบสนองจึงแสดงออกเองโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้อีกสองคนที่ยังไม่รู้ถึงการมาของอีกคนต้องมองไปอย่างแปลกใจ

                  อัมรินทร์ที่สังเกตเห็นความผิดปกติของเด็กหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมองท่าทีนั้นและมองตามสายตาของอีกคนไปและเมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงลุกขึ้นถามเสียงแข็ง “มึงมาทำไม”

                 “กูมีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย” ไร้ความหยอกล่อและรอยยิ้มทำให้คู่สนทนารู้สึกตงิดใจ
   
                “มีอะไร”

                ราชันเมินเฉยต่อเสียที่ว่าแล้วหันไปถามใครคนหนึ่งแทนด้วยน้ำเสียงที่ดูจะนุ่มเจือกระแสความอ่อนโยและห่วงใย “ไม่สบายหรอครับ เปลว”

                 กล้ามเนื้อบนผิวหน้าของอัมรินทร์คล้ายจะกระตุกเองอย่างไม่สบอารมณ์กับน้ำเสียงที่เปล่งออกมาไหนจะการเรียกชื่อที่ดูจะสนิทสนมเกินกว่าคนที่เพียงเจอหน้ากันสองสามครั้งอย่างผิวเผิน แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้เขาแสดงสีหน้าทะมึนตึงได้เท่ากับคำถามอีกคำถามที่ออกมาจากคนตัวซีดคนเดิม

                “ป่วยอีกแล้วหรอครับ”

                  เปลวอรุณนิ่งเงียบ

                  “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึง” อัมรินทร์กระชากเสียงไม่พอใจ เขากำลังรู้สึกสับสนกับสิ่งที่ราชันกำลังแสดงออกต่อเปลวอรุณ มันเหมือนกับว่าทั้งสองคนเคยรู้จักกันมาก่อนหน้า

                  “เกี่ยวสิ” ราชันตวัดสายตามามองคนถามก่อนจะคลี่ยิ้มเย็นใส่ “เพราะเวลาที่เปลวป่วยเขามักจะป่วยหนักและนานเสมอจนฉันอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้เลยละ” เจ้าตัวว่าพลางยกมือขึ้นทาบอกอย่างหวั่นใจตามคำพูด

                  “ไม่จำเป็น กูดูแลเมียกูได้ไม่ต้องลำบากให้มึงมานั่งเป็นห่วงหรอก” ถึงจะสะกิดใจกับคำพูดเหมือนรู้จักเปลวอรุณดีของอีกฝ่ายแต่อัมรินทร์ก็ไม่คิดอยากจะต่อความยาวสาวความยืดกับอีกคนให้เสียเวลา

                  มือข้างที่กุมมือของเปลวอรุณกระชับแน่น

                  ราชันไม่พูดอะไรนอกจากหยิบบางสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อสูทด้านในออกมา

                 “เปลวรู้ไหมว่าผมเป็นห่วงคุณขนาดไหนตอนที่ติดต่อคุณไม่ได้” เจ้าตัวว่าพลางยิ้มเศร้ามองสิ่งที่ถืออยู่ “ผมอยากคุยกับคุณให้เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องที่คุณเข้าใจผิด

                ราชันสาวเท้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะหยุดตรงด้านข้างของโซฟาที่อัมรินทร์ใช้นั่งอยู่เมื่อครู่

                “ผมเอาโทรศัพท์ไปซ้อมให้แล้วนะครับ ใช้ได้เหมือนใหม่เลย” เจ้าตัวว่าด้วยรอยยิ้มอีกครั้งพร้อมยืนโทรศัพท์มือถือเครื่องที่ว่าเมื่อครู่มาตรงหน้า

                 อัมรินทร์มองเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือกับใบหน้าของราชันสลับกันอย่างไม่ไว้วางใจ เมื่อราชันเองก็ไม่ม่ท่าทีจะขยับไปไหนเหมือนต้องการจะส่งมอบสิ่งที่ถืออยู่ให้ได้เขาจึงฉวยคว้ามันมาไว้แทนเปลวอรุณ

                  โทรศัพท์มือถือเครื่องสีขาวยี่ห้องเดียวกับโทรศัพท์เครื่องเก่าของเปลวอรุณที่ถูกคว้างจนแหลกละเอียดแต่ต่างกันตรงที่ว่าเจ้าโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของเขาตอนนี้กลับไร้ร่องรอยของความเสียหายที่ว่า

                   หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่ยมองหน้าราชัยอย่างระแวง พอกดที่ปุ่มด้านข้างตัวเครื่องเพื่อเปิดหน้าจอภาพพื้นหลังเรียบๆอย่างที่เขาจำได้ว่าคือภาพที่เปลวอรุณเลือกใช้ทำเอาหัวใจในอกเต้นระส่ำระคมหวั่นกลัว

                    อัมรินทร์มองหน้าของราชันอีกครั้ง แต่ส่งที่ได้กลับมาก็ยังคงเป็นรอยยิ้มกวนประสาทเช่นเดิม

Rrrrr

              แรงสั่นเบาๆกับเสียงทำนองเพลงเบาๆอย่างที่เจ้าของเครื่องชอบดังขึ้นจนอัมรินทร์ที่ถือมันอย่างเผลอตกใจกับสายเรียกเข้าที่เขาไม่ทันตั้งตัว

              091-xxx-xxxx

              ท่าทีของอัมรินทร์ที่ดูคล้ายตะลึงกับสิ่งที่ปรากฏกับท่าทีของเปลวอรุณที่ดูไม่ค่อยดีทำให้เด็กหนุ่มที่ยืนมองเหตุการณ์มาตั้งแต่เริ่มทนไม่ไหวก้าวเดินออกจากจนเดิมที่ตนยืนอยู่ไปตรงด้านข้างของอัมรินทร์แล้วฉวยเอาสิ่งที่อัมรินทร์ถืออยู่มามอง

              “นี้มัน”

              ลูกตาลตะลึงตะลาน นัยต์ตาสีเข้มเบิกกว้างกว่าเดิมเมื่อเบอร์ที่ปรากฏคือหมายเลขโทรศัพท์ที่ครั้งหนึ่งจนกับอัมรินทร์พยายามช่วยกันตามหาเจ้าของหมายเลขที่ว่า

              “ดูเหมือนจะรู้จักเบอร์นี้กันสินะ” ราชันพูดขึ้น

              “หมายความว่ายังไง” อัมรินทร์แค่น

              “ก็หน้าตาของพวกนายสองคนดูตกใจเหมือนคนที่เคยเห็นเบอร์ของกูเลยนิ” ราชันยิ้มแป้น

               “เบอร์มึง” อัมรินทร์ชะงัก

              “หมายความว่ายังไง” ลูกตาลเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง

              “มันก็ไม่แปลกหรอกนะที่มึงจะไม่รู้จักเบอร์โทรนี่มาก่อนหน้า” ราชันพูดเสียงนิ่ง

               โทรศัพท์มือถืออีกเครื่องที่เจ้าตัวถือซ้อนไว้ที่ข้างหลังถูกเผยออกมา โดยที่หน้าจอยังค้างอยู่ที่หน้าจอแสดงผลการโทรออก และเมือปลายนิ้วของราชันปัดที่ปุ่มสีแดงเพื่อตัดสายเสียงเรียกเขาขากโทรศัพท์มือถือของเปลวอรุณก็ดับลงก่อนจะเป็นข้อความรายงานว่าเมื่อครู่มีการติดต่อเข้ามาจากหมายเลขดังกล่าว

                 “ในเมื่อมึงไม่คิดที่จะสนใจอะไรในตัวกูมาตั้งแต่แรกมึงคงไม่คิดสนใจหรอกว่าเบอร์โทรของกูจะเป็นอะไร” เจ้าตัวยิ้มระคมเย้ยหยันและถือตัว

                เป็นจริงอย่างที่ราชันว่ามา อัมรินทร์ไม่คิดสนใจอะไรในตัวของราชันแม้แต่น้อยออกจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวหรือเข้าใกล้อีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกอะไรเลยที่เขาจะไม่รู้ช่องทางติดต่ออีกฝ่ายโดยตรง เพราะถ้าติดต่อเขามักจะติดต่อผ่านคุณจูนที่เป็นเลขาเสมอ

                “กูกับเปลวของมึงน่ะนะ รู้จักกันมานานแล้ว นานกว่ามึงเยอะเลยละ”  ราชันเน้นนักชัดทุกถ้อยคำ

               เส้นความอดทนอดกั้นของอัมรินทร์คล้ายถึงจุดสิ้นสุดเมื่อเจอคำพูดที่เหมือนจงใจเปล่งออกมาเพื่อขยี้จุดหนึ่งในใจของเขา ร่างสูงสมส่วนของคนถูกยั่วยุเตรียมพุ่งเข้าใส่คนหน้านิ่งตรงหน้าอย่างเดือดดาดจนการ์ดสองคนข้างหลังของราชันเตรียมขยับเพื่อปกป้องคนเป็นนาย ดีที่ลูกตาลอยู่ใกล้กว่าจึงช่วยรั้งอีกฝ่ายไว้ได้ทัน ไหนจะมือของเปลวอรุณที่จับมือของอัมรินทร์แน่นไม่ยอมปล่อยนั่นอีก

              “ใจเย็นหน่อยสิลุง” ลูกตาลพยายามเรียกสติ

              “เรื่องนี้มะ-“

              “ต้องการอะไรราชัน”

               คำถามที่อัมรินทร์ตั้งใจจะหันกลับมาถามคนที่ยังคงนั่งอยู่ถูกแทรกขึ้นเสียดื้อๆจนเป็นตัวเขาเองที่ชะงักเมื่อเสียงที่แทรกขึ้นมาคือเสียงของเปลวอรุณที่คล้ายกับว่าอีกคนยอมรับว่ารู้จักราชันจริงตามที่อีกฝ่ายพูดมา

              “อย่าเรียกกันห่างเหินอย่างนั้นสิครับ” ราชันหน้าเจือยิ้มเศร้าคล้ายอยากจะตักพ้อคนพูดเสียเต็มประดา

              “ฉันถามอยู่นะ” เปลวอรุณตวัดสายตามองอย่างแค่นถาม

             คำพูดที่แสนห่างเหินย่อมตัดทอนน้ำใจของคนฟังอย่างราชันอยู่ไม่น้อย

              “ผมแค่จะมาบอกว่าวันนั้นคุณเข้าใจผิด” ราชันยังคงพูดประโยคเดิมซ้ำๆขึ้นมาอีกครั้งเหมือนว่าอยากจะให้มันซึมซับเข้าไปในใจของอีกคน

              “ถ้าจะมาพูดเรื่องนั้นอีกละก็ฉันไม่ต้องการ” เปลวอรุณพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งราบแต่กลับดูเด็ดขาดจนน่ากลัว

              ราชันหน้าม้าน

               ใบหน้าซีดเจือลงจนน่าสงสารแต่นั้นกลับทำให้อัมรินทร์เหยียดยิ้มอย่างสะใจ คนสำคัญที่เปลวอรุณเคยพูดถึงเมื่อตอนนั้นดูไม่ต่างจากสุนัขที่เจ้าของไม่ต้องการในตอนนี้...

              ความสำคัญมันเปลี่ยนไปแล้ว นี้คือสิ่งที่อัมรินทร์คิด

              “ไม่พูดเรื่องนั้นก็ได้ครับ” ราชันยิ้มขืนก่อนจะเรียกให้คนของตัวเองที่อยู่ด้านหลังเอาบางสิ่งมาให้ตน

              “ถ้าอย่างนั่นเรามาพูดถึงเรื่องจริงที่ผมเคยพูดไว้ก่อนหน้ากันดีกว่านะครับ” เจ้าตัวว่าพลางเปิดเอกสารตรวจเช็ค

              “ความจริงอะไร” อัมรินทร์แทรกขึ้นใบหน้าของชายหนุ่มดูสับสนระคมแตกตื่น

              “ก็ความจริงของนายไง อัมรินทร์” ราชัยยิ้มกว้างไม่สะทบสะท้านกับในหน้าของอัมรินทร์ที่หันควับกลับไปมองหน้าของเปลวอรุณด้วยใบหน้าเผือดสีอย่างคงมีชนักติดหลัง

             
:serius2:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
 
:serius2:


 ลูกตาลเหลือบมองราชันเขม่งก่อนจะจงใจถอนห่างออกจากตัวอัมรินทร์กลับไปนั่งตรงที่ของตัวเองเหมือนกับไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น

              “นี้ครับ” ราชันขยับเข้ามาใกล้เพื่อยื่นเอกสาร

              ใจของอัมรินทร์ล่วงหลนลงพื้นเมื่อมืออุ่นของเปลวอรุณผละออกจากมือของเขาเพื่อเอื้อมออกไปรับเอาสิ่งที่ถูกส่งมา ความอุ่นเมื่อครู่กลายเป็นความรู้สึกเย็นวาบลมหายใจของสะดุดไม่เป็นจังหวะจนไม่กล้าขยับตัวทำอะไร

              เปลวอรุณกวาดสายตาพิจารณาเอกสารที่ถูกจัดแยกออกมาเป็นสองชุดอย่างฉงนสนใจ มองเผินๆเอกสารทั้งสองฉบับอาจเหมือนกันจนยากที่จะแยกออกว่ามันต่างกันเช่นไรจนเปลวอรุณเผลอคิดว่ามันคือเอกสารฉบับเดียวกันกระทั้งเขาพบบางสิ่งที่แตกต่างกัน

              จำนวนเงิน...

              “นี้มัน”  เปลวอรุณอุทานขึ้น แต่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาเคร่งเครียดและปวดหนึบที่ใจมากเท่ากับชื่อที่ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ให้กูยืม

              อนิรุทธิ์...

              “นี้มันหมายความว่ายังไงกันครับคุณอัน” เปลวอรุณเงยหน้าขึ้นถามอีกคนเสียงสั่น กระบอกตารู้สึกร้อนวูบอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ทำไมถึงมีชื่อของคุณรุทธิ์อยู่ในนี้ด้วย” จังหวะการเต้นของหัวใจเขาเริ่มช้าลง

              เขาไม่เชื่อว่าพี่น้องที่สนิทกันมากอย่างอัมรินทร์และอนิรุทธิ์จะมีเรื่องที่ปิดบังกันแน่...

              “ก็นอกจากการเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเอกชนแล้วคุณอนิรุทธิ์ยังมีอาชีพเสริมเป็นเจ้าพ่อเงินกู้ด้วยยังไงละครับ” ราชันตอนแทน

              อัมรินทร์ตวัดสายตามมองอีกคนเขียวปัด “ราชัน”

              “แล้วคุณรู้เรื่องนี้ด้วยสินะครับ” เปลวอรุณถามอัมรินทร์นิ่ง

              อัมรินทร์ไม่ตอบซ้ำยังก้มหน้านิ่งยิ้มรับความจริง  เปลวอรุณเม้มปากแน่น

            “พิมพาเข้าไปใช่บริการบ่อนการพนันบ่อยดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกที่ผู้หญิงคนนั้นจะทำสัญญากู้ยืมเงิน และที่ที่พิมพาเลือกที่จะกู้ยืมเงินด้วยก็คือที่กู้เงินของอนิรุทธิ์” ราชันพูดพร้อมชี้บอกให้เปลวอรุณหยิบรูปที่ถ่ายจากกล้องวงจรปิดที่เป็นรูปของพิมพากำลังทำสัญญากู้ยืมอยู่กับพิมพาขึ้นมาดู ก่อนจะพูดต่อ

              “เอกสารการกู้ยืมเงินที่พิมพากู้ยืมออกมาถูกเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินจำนวนหนึ่งให้มีมูลค่ามากกว่าเดิมอย่างที่เห็น ฉบับที่ถืออยู่ทางขวาคือฉบับจริงส่วนทางซ้ายคือฉบับปลอมที่ถูกแก้ไขทำขึ้นใหม่”

              “แล้วฉันจะเชื่อที่นายพูดได้ยังไง” เปลวอรุณถามเสียงนิ่งตาเองก็เอาแต่จ้องมองเอกสารในมือที่เริ่มสั่น ไม่แม้จะหันเงยขึ้นไปมองใครอีกคนที่ยืนค้ำหัวตนเองอยู่

              ราชันยิ้มบาง

            “มันไม่ใช่ของจริง ฉันไม่ได้ทำ”

            น้ำเสียงตะวาดอย่างคนไม่พอใจกับบางสิ่งบางอย่างดังขึ้นเรียกสายตาของทั้งเปลวอรุณ อัมรินทร์ และลูกตาล ให้หันไปมองต้นเสียงที่อยู่ในมือของราชันเป็นตาเดียว

            เสียงของพิมพา...

              “จริงหรอ”

              “จริงสิ .... ดูนี้นะ”

              “ฉันกู้ยืมเงินจริง แต่แต่ละครั้งที่ฉันกู้มันไม่เคยเกินแสนเลยสักครั้งแถมฉันก็คืนเกือบทุกงวด”


              “แต่เอกสารพวกนี้ฉันได้มาจากห้องทำงานของออแลนโด้ หยวน เจ้าของบัตเตอร์ฟลายคลับเลยนะ อย่างนี้ฉันจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณไม่ได้โกหกไม่ได้โกหก”

                 “ฉันพูดความจริง โธ่เว้ย”
เสียงของพิมพาเงียบไปแล้วมีเสียงพลิกกระดาษเข้ามาแทรกแทน

              “นี้ไง ... แกดูนี้ เห็นไหมว่ามันเป็นเอกสารกู้ยืมที่ลงวันที่เดียวกันกับอันนี้”         

            “แต่ลายเซ็นนี้ก็ลายมือคุณไม่ใช่หรือไง”

            “มันปลอมกันได้ แกดูดีๆ”

            เสียงพูดของพิมพาถูกหยุดลงพร้อมกับสายตาของเปลวอรุณที่จ้องมองลงไปยังตำแหน่งที่พิมพาระบุเอาไว้ และเป็นจริงอย่างที่เขาได้รับฟังมาเมื่อครู่

              รายเซ็นของพิมพาทั้งสองฉบับมีร่องรอยที่แตกต่างกันอยู่ตรงหยักสุดท้ายตรงหัวของสระอา...

              สระอาตัวสุดท้ายของชื่อในฉบับจริงมีความแหลมที่ตั้งตรงตามอุปนิสัยของคนที่มีความมั่นใจและทะนงตนอย่างพิมพา แต่อีกฉบับหากพิจารณาดีๆความแหลมตรงของมันกลับดูมนกว่า และเป็นแบบนี้ทุกฉบับ

              จังหวะการลงน้ำหนักเวลาเช็นชื่อแบบนี้เปลวอรุณจำได้ขึ้นใจ แน่ละ ก็เขาอยู่กับมันมาถึงสามปีเลยนี่น่า

              “หมายความว่ายังไงกันครับคุณอัน” เสียงของเปลวอรุณดูสั่นจนใจของอัมรินทร์หายวาบ “คุณรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งนี่ใช่ไหมครับ”

              อัมรินทร์ลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ  “เปลว เรื่องนี้ฉันอธิบายได้นะ”

              “แสดงว่าคุณรู้เห็นแต่แรกสินะครับ” มุมปากบางเหยียดยิ้มเย้ยหยันตัวเอง “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกนี่คือแผนของคุณหมดเลยงั้นหรอครับ”

              “เปลวฟังฉันก่อนได้ไหม”

              “บอกผมทีสิครับคุณอัน” เปลวอรุณไม่ฟังคำทักท้วนที่ว่านั้น พร้อมตั้งถามขึ้น “ไอ้เงินหนึ่งร้อยล้านที่คุณเคยบอกว่าจะเอาไปจ่ายหนี้แทนผมไปก่อนหน้ามันใช่เงินงบประมาณสำหรับการผลิตคอลเลคชั่นใหม่จริงหรือเปล่าครับ”

              เขาจำได้ว่าตอนนั้นอัมรินทร์เป็นคนบอกเขาเองว่าเงินจำนวนนั้นที่ถูกจ่ายออกไปคือเงินที่อีกคนกันเอาไว้สำหรับใช้จ่ายภายในของบริษัท พร้อมทั้งเอาบ้านของเขามาเป็นหลักประกันสำหรับหนี้ที่อัมรินทร์เข้ามาเป็นเจ้าหนี้ต่อเขา

              “ว่ายังไงละครับ” เปลวอรุณขึ้นเสียง กระบอกตาทั้งสองข้างของเขาร้อนผ่าวเหมือนคนกำลังจะร้องไห้

              “เปลว” อัมรินทร์ครางชื่ออีกคนอย่างรู้สึกผิด

              ร่างสูงใหญ่ของเขาทรุดลงนั่งตรงพื้นที่ข้างๆอีกคน  มือหนาโอบไหล่อีกคนเข้ามาใกล้หากแต่เปลวอรุณกลับขื่นมันไว้อย่างไม่ยอมจนเขาต้องเพิ่มแรงบังคับขื่นให้อีกคนยอมที่จะให้เขารั้งเข้ามากอดได้สำเร็จ

              เสียงสะอื้นดังขึ้นเบาๆจนอัมรินทร์รู้สึกผิดหนักกว่าเดิม “หนี้ก้อนนั้นฉันเป็นคนจ่ายให้เปลวจริงตามจำนวนที่แท้จริง ซึ่งมันเป็นเงินของฉันเองไม่เกี่ยวกับเงินของบริษัทอย่างที่อ้างไปหรอ” เขาสารภาพ

              เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วหากเขายิ่งโกหกปกปิดต่อไปย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดี

              เขาไม่อยากโกหกเปลวอรุณ...

              “ถ้าราชันไม่พูดเรื่องนี้ คุณคิดจะบอกผมเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เมื่อไร” เปลวอรุณถามขึ้น

              มือที่ลูบปลอบอยู่ชะงักค้าง

              อัมรินทร์ทำหน้าปั้นยากด้วยความที่เขาไม่รู้ว่าจะพูดมันออกไปยังไง

              ราชันที่ยังคงยืนนิ่งมองทั้งสองคนอยู่ก็ยังคงยืนนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน ใบหน้าของเขาเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกเช่นเดียวกับนัยน์ตาทอดมองคนทั้งสองอย่างยากที่ใครจะคาดเดาความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ภายในของอีกคน

              และเมื่ออัมรินทร์ไม่คิดที่จะตอบคำถามที่เขาอยากรู้ เปลวอรุณจึงเลือกที่จะยกมือดันอกอีกคนให้ออกห่างปลายจมูกและขอบตาของเขาแดงก่ำจนคนมองรู้สึกอ่อนแรง ครั้นพออัมรินทร์คิดจะเอื้อมมืออกไปสัมผัสใบหน้าเปลวอรุณกลับถลึงกายลุกขึ้น

              “นั่นเปลวจะไปไหน” อัมรินทร์ถามอย่างละส่ำละส่าย

              “ผมขออยู่คนเดียวสักพัก” เจ้าตัวว่าหันกายเตรียมพร้อมที่ก้าวเท้าเดินออกไปอีกทาง แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาออกไปอย่างที่ใจนึกข้อมือของเขาก็ถูกรั้งเอาไว้

              “ปล่อยครับ” ข้อมือขาวพยายามบีบออก แต่อัมรินทร์กลับไม่ยอม

              “ให้ฉันไปด้วยเถอะ” อัมรินทร์ไหว้วอน ถ้าไม่นับปลายจมูกกับขอบตาที่แดงเพราะการร้องไห้แล้วละก็สีหน้าของเปลวอรุณในตอนนี้ซีดเซียวจนหน้าเป็นห่วง

              เขาไม่กล้าปล่อยอีกคนไปไหนมาไหนคนเดียวแน่...

              “ไม่ครับ” เปลวอรุณยังคงยืนยันคำเดิม

              อัมรินทร์หน้าม้าน ในตอนนี้เขาคือคนผิดหากยังดื้อดึงต่อไปอีกไม่แน่ว่าเปลวอรุณจะยิ่งโกรธเขามากขึ้น เขาจึงยอมปล่อยมือออกแม้จะไม่เต็มใจที่จะทำมันก็ตาม

              เปลวอรุณมองหน้าอัมรินทร์กับราชันเล็กน้อยก่อนหันหนี

              เขารู้ว่าอัมรินทร์เป็นห่วงเขาแต่ตอนนี้เขาต้องการเวลาส่วนตัว ยอมรับอยู่ในใจนั้นแหละว่าโกรธอีกคนที่กล้าสร้างเรื่องสร้างราวหลอกลวงเขาเสียใหญ่โตเพื่อเอาเรื่องหนี้เรื่องบ้านพวกนี้มาบีบบังคับเขา

              เขาโกรธแต่ก็ไม่ได้เกลียด...

              ที่เขาโกรธเพราะอีกฝ่ายหลอกลวงเขาแต่กลับไม่รู้สึกเกลียดกับสิ่งที่อัมรินทร์ทำลงไป บางทีอาจเป็นเพราะเขารู้ว่าเพราะอะไรคือสาเหตุที่ทำให้อีกคนทำและรู้ว่าอะไรทำให้อีกคนตัดสินใจทำมันลงไป

              เพราะตัวเขา...

              และตอนนี้เขาต้องการที่จะอยู่คนเดียว...

              เขาอยากหาคำตอบให้กับตัวเองว่าควรจะเอายังไงต่อไป ทั้งความรู้สึกของเขาที่มีต่ออัมรินทร์ ทั้งการตัดสินใจสำหรับเรื่องที่เขาเพิ่งรู้ และที่สำคัญคือเรื่องของลูก

              เปลวอรุณเดินออกมาจากที่นั่งรับรองกลางมาจนใกล้ถึงบันไดเขาจำได้ว่าตอนที่มาถึงพนักงานต้อนรับบอกว่าที่สวนมีที่นั่งเล่นอยู่ดังนั้นเขาจึงคิดจะไปที่นั่น แต่ยังไม่ทันที่ปลายนิ้วของเขาจะสัมผัสกับราวจับอยู่ดีๆเขาก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

              “อาการเครียดของแม่ส่งผลโดยตรงต่อเจ้าตัวเล็กในท้อง เปลวต้องห้ามเครียดนะเข้าใจไหม”

            คำพูดอ่อนโยนแกมบังคับของอัมรินทร์แวบขึ้นมาในหัวเขาทันที

              ภาพแผ่นหลังบางที่หยุดนิ่งก่อนจะเริ่มงอโค้งไปด้านหน้าเล็กน้อยทำให้อัมรินทร์รู้สึกผิดสังเกตแม้เพียงแค่แปบเดียวที่เปลวอรุณหยุดนิ่งแล้วก้าวเดินต่อไปที่บันได ถึงเขาจะถูกสั่งห้ามไม่ให้ตามไปแต่สังหรณ์ของเขากลับสั่งการให้สองขาของเขาก้าวตามอีกคนไป

              ความวิตกกังวลบนสีหน้าของอัมรินท์ทำให้ลูกตาลที่อยู่ตรงข้ามสามารถมองเห็นมันได้ชันจนต้องเหลียวตัวมองตามหลังอีกคน

              ความเครียดทำให้เปลวอรุณเริ่มปวดหน่วงที่ท้องมากขึ้น อันที่จริงเขาเริ่มปวดมาสักพักแล้วตั้งแต่เริ่มอ่านเอกสารที่ราชันนำมาให้แต่มันก็เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นไม่เหมือนกันตอนนี้ที่เพียงแค่จะก้าวขาลงบันไดยังยากเย็นอาการวิงเวียนที่ตอนแรกหายไปแล้วเริ่มกลับอีกครั้งเมื่อเขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อครู่และตอนนี้พวกมันก็กำลังเล่นงานเขาพร้อมๆกัน

              ยิ่งก้าวขาลงก็ยิ่งรู้สึกอ่อนแรงไปเท่านั้นม่านตาของเขาเริ่มหรี่ลงและพร่ามั่ว เปลวอรุณพยายามกระชับมือที่จับราวบันไดเอาไวให้มั่นคงที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ หากแต่เข่งขาของเขากลับอ่อนแรงเกินกว่าจะทรงตัวอยู่ได้ทำให้ขาข้างที่กำลังก้าวลื่นออกจากขั้นบันได

              “เปลว!”

              เสียงเรียกชื่อที่คุ้นเคยคือสิ่งที่เขาได้ยิน

              มันดังพอที่จะลอยเข้ากระทบกับโสตประสาทที่เริ่มมึนเบลอของเขาจนต้องหันกลับไปมองเจ้าของเสียยง

              ใบหน้าตื่นตกใจของอัมรินทร์ที่รีบวิ่งก้าวลงบันไดมาพร้อมยื่นมือออกมาหมายจะฉวยคว้าเขาเอาไว้ทำให้เขายกมือออกไปหมายจะยืนให้อีกคนจับเอาไว้

              แต่เพียงเสียววินาทีเท่านั้นก่อนที่ปลายนิ้วของพวกเขาจะได้สัมผัสกันร่างของเปลวอรุณก็ล่วงลงและกลิ้งกรุกไปตามขั้นบันไดที่ทอดยาวก่อนจะแน่นิ่งหยุดลงที่ชั้นพักของขั้นบันได 

              ความเจ็บแล่นริ้วไปทั่วร่างเมื่อการกลิ้งหยุดลงและร่างของเขามานอนนิ่งอยู่ที่ชั้นพัก ร่างของอัมรินทร์ที่รีบวิ่งหน้าตาตื่นตระหนกตกใจอย่างขีดสุดวิ่งเข้ามาถึงตัวเขาเป็นคนแรงพวกโอบตัวเขาขึ้นมา ที่หางตาเขาเห็นความวุ่นวายที่ขั้นบนสุดของขั้นบันได ราชันหันไปสั่งการอะไรสั่งอย่างที่เขาฟังไม่ถนัดกับลูกตาลที่รีบวิ่งตามลงมา

              “เปลว เปลวเป็นยังไงบ้าง” อัมรินทร์ถามเสียงละล่ำละลักมือไม้สั่นไปหมด

              “ผมเจ็บ” เปลวอรุณตอบเสียงแผ่ว

              เขาเจ็บไปทั้งตัวเลย โดยเฉพาะช่วงท้องที่มันทั้งจุกทั้งเจ็บจนยากจะอธิบาย

              “แม่เปลว เลือด”  เสียงตะโกนของเด็กหนุ่มที่หยุดค้างอยู่บนขั้นบันไดเรียกสายตาของคนทั้งหมดให้หันมามอง

              !           

              อัมรินทร์ละสายตาจากใบหน้าซีดเซียวของเปลวอรุณมาที่ช่วงล่างของร่างกาย เลือดจำนวนหนึ่งไหลซึมออกมาจากกางเกงสแล็คสีเทาที่เปลวอรุณสวมใส่จนเป็นลอยดวงด่างและเปื้อนเต็มพื้นเป็นวง

              คำพูดของลูกตาลทำให้เปลวอรุณขยับคอก้มมองลงที่พื้น

              “ลูก.. ลูก” ดวงตากลมที่ไร้เลนส์แว่นช่วยขยาดภาพแม้จะมองไม่ชัด แต่สีแดงฉานของเลือดจำนวนมากที่ไหลออกมาจากร่างกายกลับเด่นชันในจักษุของเปลวอรุณ

              “คุณครับ รถพร้อมแล้วครับ” เสียงของพนักงานโรงแรมคนหนึ่งที่คาดว่าน่าจะเห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ที่เปลวอรุณตกบันไดรีบวิ่งเกาะขอบราวบันไดชั้นล่ำพร้อมตะโกนขึ้นมาอย่างร้อนรนไม่ต่างกัน

              อัมรินทร์ไม่เคยนึกขอบคุณบริการของทางโรงแรมมาก่อนเท่ากับครั้งนี้

              “ไม่เป็นไรเปลว ลูกจะต้องไม่เป็นไร” ถึงจะไม่มั่นใจในคำพูดของตัวเองเท่าไรยิ่งเลือดที่ออกมาเยอะขนาดนี้เขายิ่งคิดมันในแง่ตรงข้ามกับคำพูด หากแต่เขากลับเลือกที่จะพูดเพื่อรักษาใจอันสั่นไหวของเปลวอรุณมากกว่า

              อัมรินทร์ช้อนตัวอีกคนขึ้นอุ้มแล้ววิ่งลงบันไดไปตามทางที่พนักงานคนนั้นวิ่งนำ  เปลวอรุณเองก็เอาแต่กอดหน้าท้องของตัวเองแน่นแม้ว่าตัวเองจะสลบไปแล้วก็ตาม



____________________________________________

 ไม่มีอะไรจะพูดนอกจากคำว่า ม่ายยยยยยยยยยยยยย
 :katai1:


ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
เครียดเลย เปลวจะแท้งหรือเปล่านะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เอาระเบิดไปปาบ้านราชัน ดีกว่า หมั่นไส้

ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ยังคงดราม่ากันอย่างต่อเนื่อง...

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ทำร้ายจิตใจกันมากเลย

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
มันเป็นเรื่องสนุก ?? ราชัน ? อัน ?

ไหนพูดสิ

 :hao4:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

เป็นหนี้ ครั้งที่ 28



               ติ๊ก ติ๊ก...

              เสียงเข็มวินาทีจากหน้าปักนาฬิกาข้อมือดังขึ้นเป็นจังหวะการหมุนเดินของมันเพื่อบอกเวลาที่เคลื่อนผ่านไปอย่างที่มันเป็นในทุกๆวัน หากแต่วันนี้อัมรินทร์กลับรู้สึกว่ามันเดินได้ช้าเสียจนจังหวะการเต้นของหัวใจเขายังเร็วกว่า

ตุบ ตุบ..

              เสียงหัวใจในอกเต้นแรงและเร็วอย่างลุ้นระทึกพอๆกับความหวาดกลัวที่เกาะกุมทุกตารางนิ้วในหัวใจแม้จะพยายามสงบสติอารมณ์ของตนให้เย็นแล้วนั่งรอยู่ที่เก้าอี้หากแต่ใบหน้าหล่อเหลาก็ยังคงเครียดเกร็ง ความกลัว ความเป็นห่วง ฉายชัดในดวงตาที่เอาแต่จ้องมองไปยังบานประตูสีขาวของห้องฉุกเฉินอย่างไม่ลดละ

              เกือบห้านาทีแล้วที่ไฟสีแดงของห้องฉุกเฉินถูกเปิดขึ้นเมื่อบุรุษพยาบาลเข็นเตียงที่มีร่างของเปลวอรุณเข้าไปด้านใน ใบหน้าขาวดูซีดเซียวลงถนัดตาเมื่อเลือดสีสดยังคงไหลออกจากร่างอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง เขายังจำใบหน้าสวยของเปลวอรุณที่แม้จะดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็ไม่ยอมที่จะปล่อยมือที่กุมมือเขาเอาไว้พลางพึมพำเรียกชื่อเขากับลูกไม่ขาดปากเหมือนคนที่กำลังพยายามหาสิ่งเหนี่ยวรั้งเอาไว้

              “คุณอัน..คุณอัน.. ลูก...”

            “ฉันอยู่นี้เปลว ฉันอยู่นี้”
เสียงของเขาในตอนนั้นมันทั้งสั่นไหวและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

              กลัวว่าเปลวอรุณกับลูกจะเป็นอะไรไป....

              “อยู่..กับผม”

              “ฉันอยู่นี้ อยู่ข้างๆเปลวนี่ไง”
แต่อย่างน้อยรอยยิ้มที่เขาฝืนปั้นยิ้มออกไปก็ช่วยทำให้เปลวอรุณมีรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้งแม้จะเพียงเล็กน้อยก่อนที่นางพยาบาลที่วิ่งตีเสมอคู่กับเตียงฉุกเฉิดมาตั้งแต่เริ่มแรกจะเอ่ยปากกันเขาออกมา

              “ญาติคนไข้เข้าไม่ได้นะคะ” เธอยกแขนเล็กๆนั่นกันตัวเขาเอาไว้จนแน่ใจว่าเขาจะไม่ผลีผลามตามเข้าไปแล้วจึงปิดประตูแล้ววิ่งตามเข้าไปด้านใน

              คราแรกเขาเดินวนไปมาอยู่หน้าอย่างหนูติดจักรเขาทำอะไรไม่ถูกคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนตามเสื้อผ้าเริ่มแห้งกรัง มือหนายกขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างแรงหนึ่งทีก่อนจะทรุดนั่งลงที่เก้าอี้มาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ และเมื่อไม่มีทีระบายความตึงเครียดเขาจึงนั่งเขย่าขาไปมา

              เสียงพื้นรองเท้าหนังขัดมันดังก้องสะท้อนไปมาตามจังหวะการวิ่งของคนจำนวนหนึ่งและเมื่อใกล้เข้ามาใกล้เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เขารู้จักดีก็ดังขึ้น

              “ลุง!”

               อัมรินทร์ละความสนใจจากหน้าประตูห้องฉุกเฉินมาที่ร่างของเด็กหนุ่มที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา หากแต่ความโล่งใจเมื่อได้เห็นหน้าของคนที่วิ่งก็หายไปฉับพลันเมื่อเห็นว่าข้างหลังมีใครคนหนึ่งที่เขาเกลียดขี้หน้าวิ่งตามมา

             “มึง!” อัมรินทร์ขบเขี้ยวตัวเองแน่นแล้วตรงปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อของราชันที่ยังไม่ทันตั้งตัวเข้ามาใกล้จนอีกฝ่าหน้าตื่นตระหนก

              “ลุงอย่า” ลูกตาลที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบเขามารั้งแขนของอัมรินทร์เอาไว้ไม่ให้ทำร้ายราชัน

              “ถ้าเปลวกับลูกเป็นอะไรละก็ เพราะมึง!”  ชายหนุ่มไม่สนใจเสียงห้ามปรามของลูกตาลแม้แต่น้อยซ้ำยังตะคอกลั่นใส่คนตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว เหมือนคนหมดแล้วซึ่งอดทนหากแต่สิ่งหนึ่งที่อยู่ในประโยคใส่ความนั่นกลับสะกิดใจราชันขึ้น

               “ลูก.. หรอ”

                “ใช่ ลูก” อัมรินทร์เหยียดยกมุมปากขึ้นเมื่อคำว่า ‘ลูก’ ดังออกมาจากปากของอีกฝ่ายพร้อมกับมือหนาที่ยกคอเสื้อเชิ้ตของราชันขึ้นสูงอีกเล็กน้อยก่อนจะเหวี่ยงร่างสูงโปร่งของคนที่เขาชังน้ำหน้าเหลือทนลงไปกับพื้นอย่างแรงและสลัดช่วงแขนที่ถูกเด็กหนุ่มรั้งเอาไว้ออก

                “ตอนนี้เปลวกำลังท้องและเด็กในท้องของเปลวก็คือลูกของกูกับเขา แล้วมึง! มึง! โถ่เว้ย!” อัมรินทร์ชี้ราชันอย่างเดือดดาดถ้อยคำมากมายที่เขาอยากจะเปล่งมันออกมาสรรเสริญคนตรงหน้ากลับถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอด้วยเพราะเขาไม่รู้จะพูดมันออกมายังไงให้มันซึมซาบเข้าไปถึงสามัญสำนึกของอีกฝ่าย สุดท้ายเขาก็ทำเพียงสบถมันออกมาอย่างหัวเสียแล้วสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง

                เขาไม่กล้าพูดออกไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้น ไม่กล้าคิด...

                ใบหน้าขาวซีดของราชันคล้ายว่าจะซีดลงไปอีกหลายเท่าตัวเมื่อเขาได้พบกับความจริงอีกหนึ่งอย่างที่เขาไม่เคยรู้ ร่างของเขาชาและไร้เรี่ยวแรงไม่รับรู้แม้แต่น้อยว่าตัวของเขาถูกวาเลนติโนช่วยพยุงให้ลุกขึ้นยืนมาตั้งแต่ตอนไหน

                 “ท้องหรอ” เสียงสั่นๆดังออกมาแผ่วเบาจากริมฝีปากบางสีอ่อน กรอบตาเรียวสั่นไหว

                 อัมรินทร์เหลือบสายตามองอย่างชิงชังเพียงแวบเดียวแล้วหันกลับไปเฝ้ามองที่หน้าประตูดังเดิม

                 เมื่ออัมรินทร์ไม่คิดจะพูดจาอะไรและราชันก็อยู่ในสภาพคล้ายคนสติหลุดหายความเงียบก็เริ่มเข้ามาแทนที่ความวุ่นวายเมื่อครู่นี้อีกครั้งและมันก็พาพลอยทำให้เกิดความหวั่นวิตกกังวลใจมาสู่ผู้ที่ทำได้เพียงแค่เฝ้ารอผลอยู่ด้านนอกประตู

                  ทุกคนหวั่นเกรงการสูญเสียไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นกับเปลวอรุณหรือเจ้าตัวเล็กที่ยังไม่ทันได้ออกมาลืมตาดูโลก ไม่มีใครต้องการ ทั้งอัมรินทร์ ลูกตาล และราชัน พวกเขาล้วนแล้วแต่ไม่มีความต้องการที่จะให้มันเกิดขึ้น

                โดยเฉพาะกับลูกตาล

                 เด็กหนุ่มอายุน้อยหากแต่กลับต้องสูญเสียคนในครอบครัวไปทั้งหมดการสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตทำให้เด็กหนุ่มเคว้งไร้จุดยึดเหนี่ยวจนกระทั้งได้พบกับเปลวอรุณ การได้เปลวอรุณมาเป็นแสงส่องใจให้เขาและมาเป็นครอบครัวใหม่ให้กับเขาทำให้เขารู้สึกมีกำลังใจที่จะก้าวต่อไปแม้มันจะเป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆแต่เขาก็รักและเคารพเปลวอรุณเป็นอย่างมากและเขาไม่ต้องการสูญเสียอะไรไปอีกแล้วเช่นกัน

              ความตึงเครียดของทุกคนที่กระจายตัวกับอยู่หน้าห้องฉุกเฉินหยุดลงเมื่อแสงไฟสีแดงที่แสดงถึงการใช้งานของห้องดังกล่าวดับลง

              อัมรินทร์ถลึงกายขึ้นเป็นคนแรงด้วยใจละส่ำ

              บานประตูห้องฉุกเฉินถูกผลักออกมาด้วยมือของนายแพทย์หนุ่มคนหนึ่งที่เข้าไปทำการรักษา

              “หมอ เมียกับลูกผมเป็นยังไงบ้าง” อัมรินทร์ถามเสียงสั่น หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก ความหวั่นวิตกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อสีหน้าของหมอดูม้านลงและหลุบตาลงต่ำ

              “หมอ” เสียงเรียกของอัมรินทร์นั่นคล้ายเว้าวอนอย่าให้หมอได้เอ่ยคำใดที่จะทำร้ายจิตใจของผู้ฟังอย่างเขา

              “คนไข้ปลอดภัยพ้นขีดอันตรายแล้วครับ” นายแพทย์เลือกที่จะบอกข่าวดีให้ญาติผู้ป่วยได้โล่งใจเป็นอย่างแรก หากแต่รอยยิ้มแกนบนใบหน้าไม่ได้ช่วยให้คนที่รอฟังอยู่รู้สึกดีตามเท่าไรนัก

              “แล้ว..”

              “ส่วนเด็กในท้อง หมอไม่สามารถช่วยเขาไว้ได้จริงๆครับ” นายแพทย์ก้มหน้าต่ำอย่างยอมรับผิดได้แต่เพียงกล่าวขอโทษคนเป็นพ่อผู้เพิ่งสูญเสียลูกอยู่ในใจแล้วเดินจากออกมา สำหรับการสูญเสียชีวิตนั่นไม่ใช่สิ่งที่ใครต้องการให้มันเกิดขึ้นโดยเฉพาะคนเป็นหมอที่มีหน้าที่รักษาคนไข้

              ยังไม่ทันได้เห็นหน้าให้ชื้นใจเขากลับต้องสูญเสียโซ่ทองแสนล่ำค่าไปอย่างไม่มีวันห้วนกลับ อัมรินทร์ทิ้งกายอันไร้เรี่ยวแรงลงกับที่นั่งดังเดิมอีกครั้ง ความเจ็บช้ำใจเปลี่ยนเป็นความเกรี้ยวกราดเมื่อคนที่เป็นเหมือนต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดยังคงยืนอยู่ตรงหน้า

              อัมรินทร์ที่ยามนี้เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวผลุดลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้งแล้วซัดหมัดหลุมๆเข้ากระแทรกที่ใบหน้าด้านข้างของราชันเข้าอย่างจังจนคงไม่ทันตั้งตัวเซถลาลงพื้น

              “เพราะมึงไอ้ราชัน เพราะมึง!” อัมรินทร์ชี้หน้าปรามาสอย่างอาฆาต หมัดที่สองง้างขึ้นสูงหมายจะระบายความเดือดพรานในใจให้ออกมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้ทุกคนพอจะตั้งตัวได้ลูกตาลจึงรีบเข้ามารั้งชายหนุ่มเอาไว้อีกครั้ง

              “พอลุง อย่า!”

              “ปล่อยฉัน ฉันจะเอาเลือดหัวมันออก” อัมรินทร์กระฟัดกะเพียดพยายามบิดตัวออกจากการเหนี่ยวรั้งนั้นสุดแรง “เพราะฉัน มันทำให้ลูกฉันตาย มึงฆ่าลูกกูไอ้ราชัน” เขาตราหน้าอีกฝ่ายด้วยข้อหาที่ร้ายแรง

              ราชันก้มหน้านิ่ง

              น้ำตาหยดใสไหลอาบข้างแก้ม  ครั้งนี้เขาไม่นึกโกรธที่อัมรินทร์ตรอกหน้าเขาอย่างร้ายกราดเพราะมันเป็นเขาที่ผิดจริงดั่งที่อีกคนกล่าวหา เขาทำให้เด็กคนหนึ่งที่ควรจะได้เกิดมาตาย

              ราชันยังคงยืนนิ่งให้อัมรินทร์ที่สลัดหลุดจากการเกาะกุมของเด็กหนุ่มเข้ามาชกหน้าโดยไม่ต่อต้าน ความเจ็บทางกายที่อัมรินทร์สร้างไว้ให้เขาเขารู้ดีว่ามันคงเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดภายในใจของอีกคน เพราะอย่างนั้นเขาจึงยอม ยอมอยู่เฉยๆให้อีกคนทำร้ายโดยไม่โต้แย้งหรือสวนกลับ

              “เอาลูกกูคืนมาไอ้ราชัน เอาลูกกูคืนมา”  คนที่คลุ่มคลั่งคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายเขามาแล้วเขย่าเสียจนหัวคอน

              ครั้งนี้ไม่มีใครเข้ามาห้ามปรามอัมรินทร์อีกเมื่อน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาคมของเจ้าตัวทำให้พวกเขาตระหนักรู้แล้วถึงความทุกข์ใจและราชันเองก็ยินยอมที่จะรับมัน ทุกคนจึงเลือกที่จะทำเพียงแค่ยืนอยู่อย่างนั้นเงียบๆเท่านั้น

              “สะใจมึงหรือยัง พอใจมึงหรือยัง” เสียงของอัมรินทร์ยังคงตะโกนด่าทออีกฝ่ายออกมาทั้งน้ำตา หมันที่กำค้างเอาไว้เตรียมที่จะชกซ้ำลงที่ใบหน้าขาวซีดที่เริ่มแดงและเขียวช้ำลดตกอยู่ข้างตัว

              “คนอย่างนาย มันน่าจะตายตายปะ- อัก”

              ความเจ็บแปรบที่หลังคอทำให้คำพูดสุดท้ายของเขาขาดหายไปพร้อมๆกับภาพตรงหน้าที่ค่อยๆมืดลง แต่สิ่งหนึ่งที่เขาจำได้ก่อนที่ภาพจะดำมืดลงไปก็คือ บานประตูของห้องฉุกเฉินที่ถูกเปิดออกพร้อมกับเตียงคนไข้ที่ถูกเข็นออกมา

              “เปลว..”

 
....................................................

:ling3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
:ling3:


              “อืมม “

              อัมรินทร์ครางอื้อในลำคอเมื่อขยับกายแม้เพียงเล็กน้อยอาการปวดบริเวณท้ายทอยก็แล่นริ้วขึ้นมาทำให้หัวคิ้วขมวดกับจนมุ่ย เปลือกตาบางขยับปรือกะพริบถี่เพื่อปรับสภาพการของดวงตาให้คุ้นชินกับแสดงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง

              “เช้าแล้วหรอ ? ที่นี้มัน” เขาถามตัวเอง ดวงตาที่ยังปรือเปิดได้ไม่เต็มทีกวาดมองห้องห้องหนึ่งที่ต่อให้สติสัมปชัญญะของเขายังกลับมาไม่ครบถ้วนก็สามารถบอกได้ว่าที่นี้ไม่ใช่ห้องของเขา

              อัมรินทร์ขยับกะพริบตาอีกสองสามครั้งให้คุ้นชินก่อนจะค่อยๆหยันกายลุกขึ้นนั่ง อาการปวดที่หลังคอทำให้เขาตัวยกมือขึ้นนวดพลางกวาดตามองรอบๆห้องใหม่อีกครั้งก่อนจะสะดุดลงที่ปลายเตียงที่ตนเองนั่งอยู่

              “เตียงคนป่วย” เขาขมวดคิ้ว

              ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่โรงแรงเมื่อคืนนี้ฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง ภาพของเปลวอรุณที่พลาดตกลงไปกับพื้นบันได เลือดจำนวนมากที่ไหลออกมาจากกายขาว เสียงละล่ำละลักของเปลวอรุณก่อนจะถูกพาเข้าไปในห้องฉุกเฉิน

              “เปลว! ลูก!” 

              มือหนาตวัดผ้าห่มขาวออกจากกายอย่างรวดเร็วหมายจะรีบวิ่งออกจากห้องเพื่อไปหาเปลวอรุณกับลูก หากแต่ยังไม่ทันจะได้ออกวิ่งอย่างที่ใจนึกคำพูดคำพูดหนึ่งก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา

              “ส่วนเด็กในท้อง หมอไม่สามารถช่วยเขาไว้ได้จริงๆครับ”

              ร่างสูงอ่อนแรงซวนเซคล้ายจะล้มจนต้องเท้ามือยันขอบเตียงเอาไว้เป็นหลักไม่ให้ตัวเองล้มลงไปกับพื้น คราบเลือดแห้งกรังที่ติดอยู่กับเสื้อเชิ้ตสีอ่อนและกางเกงสเล็คคือหลักฐานที่บ่งบอกให้เขารู้ถึงความจริงอันโหดร้ายที่เขาไม่อยากแม้จะยอมรับมัน

              เขาเสียลูกไปแล้วจริงๆ...

              แล้วเปลวอรุณละ...?

              เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงหันรีหันขวางมองรอบห้องอีกครั้งเหมือนคนจับต้นชนปลายไม่ถูก หากแต่ห้องพักผู้ป่วยเดียวธรรมดาแห่งนี้ก็ยังคงมีเพียงเขาที่นอนอยู่

              อัมรินทร์ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอความเป็นห่วงอีกคนเริ่มทวีเพิ่มมากขึ้นเขาเป็นกังวลว่าหาเปลวอรุณตื่นขึ้นมาแล้วต้องมารับรู้ว่าลูกไม่อยู่กับตนแล้วอีกคนจะเศร้าโศกขนาดไหน

              ไม่ได้การณ์...

              เขาต้องรีบไปหาเปลวอรุณ ไปอยู่ข้างๆอีกคน...

Rrrrrrrrrr

              และเป็นอีกครั้งที่ร่างของเขาถูกฉุดรั้งเอาไว้ ครั้งนี้ไม่ใช่ความทรงจำก่อนจะหลับตาลงแต่เป็นเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือของใครคนหนึ่ง

              โทรศัพท์ของเปลวอรุณ...

              อัมรินทร์หัวกลับมามองเจ้าเครื่องมือสื่อสารเครื่องสีขาวที่ราชันบอกว่านำไปซ้อมมาให้คนของเขาที่ตอนนี้ส่งเสียงและสั่นอยู่บนตู้ข้างเตียนนอนผู้ป่วยที่เขานอนอยู่เมื่อครู่ข้างๆยังมีโทรศัพท์มือถือของเขาและกระเป๋าเงินวางอยู่

              หัวคิ้วของเขาขมวดอย่างไม่แปลกใจเจือกระแลความไม่พอใจ ปลายเท้าเปลี่ยนทิศทางจากบานประตูตรงหน้ามาเป็นที่ที่เจ้าโทรศัพท์เครื่องนั่นวางอยู่  หน้าจอแบบวีดีโอคอร์ทำให้เขายิ่งฉงนสงสัยแต่ก็ยอมที่จะรับสายนั้น

              ภาพห้องห้องหนึ่งที่ถูกผ้าสีขาวขึงบังทัศนียภาพด้านหลังที่เขาเดาว่าน่าจะเป็นกระจกขนาดใหญ่ที่ถูกติดตังแทนผนังทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าห้องที่ว่านั้นอยู่ที่ไหน แต่นั้นก็ไม่น่าสนใจเท่าใครคนหนึ่งที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงภายในห้องนั้น

              “เปลว”  เขาตะโกนเรียก

              ถึงจะอยู่ไกลแต่ภาพในหน้าด้านข้างแบบนั่นมีหรือที่คนอย่างเขาจะลืมมันได้ลง ไม่ละ ไม่มีทางที่เขาจะลืมเปลวอรุณได้แน่ แต่ทำไมเปลวอรุณถึงไปอยู่ในนั้นแล้วไหนจะสายต่างๆนานาที่เชื่อมโยงระหว่างร่างของเปลวอรุณกับจอแสดงอัตราการเต้นของหัวใจและชีพจรนั่นอีก

               เปลวอรุณเป็นอะไร...

               “เปลว เปลวได้ยินฉันไหม เปลว!” เขาพยายามส่งเสียงเรียกเสียงดังหวังให้คนที่ปรากฏอยู่ในหน้าจอโทรศัพท์ตื่น

              อัมรินทร์จ้องมองภาพของเปลวอรุณด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะต้องตกใจเมื่อภาพหน้าจอถูกเลื่อนไปทางขวาแล้วภาพของใครอีกคนก็ปรากฏขึ้น

              “ไอ้ราชัน” อัมรินทร์ตวาดเรียกชื่ออีกคนอย่างเกรี้ยวกราด

              “ไง” ใบหน้าขาวซีดของราชันบวมช้ำจากหมัดของเขาเมื่อชั่วคราวคืนที่ผ่านมามุมปากบางแตกช้ำจนเริ่มเขียวอมม่วง แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์ของคนที่มองมันดีขึ้นเลยสักนิดซ้ำยังเลวร้ายลงไปอีกเมื่อเปลวอรุณที่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่กับคนอย่างราชัน

              “เอาเปลวของกูคืนมา” เขาสั่ง

              “คงไม่ได้หรอกนะ ใน ‘ตอนนี้’ น่ะนะ” ราชันคลี่ยิ้มเล็กน้อยพอไม่ให้กระเทือนบาดแผลที่มุมปาก

              “มึงอยู่ไหนไอ้ราชัน กูจะไปเอาเมียกูคืน”

              “รู้ไหมว่าไอ้นิสัยใจร้อน อยากได้อะไรก็ต้องได้ดั่งใจนึกเนี้ย ถือเป็นข้อเสียที่แก้ไม่หายของมึงเลยนะรู้ไหม” ราชันเปลี่ยนเรื่อง

              “ไอ้ราชัน!”

              “นี้ เรามาพูดคุยกันหน่อยดีไหม” ราชันยิ้มน้อยๆ “มึงไม่อยากรู้หรอว่าทำไมกูถึงไม่ชอบมึง”

              อัมรินทร์ชะงัก

              ใช่ เขาอยากรู้...

              “ทำไม”

              เมื่อได้รับคำตอบรับอันเป็นที่น่าพึ่งพอใจใบหน้าเรียกนิ่งก็เริ่มผ่อนคลายลง

              “มึงจำผู้หญิงที่ชื่อ ลิลิธ ได้ไหม” ราชันถามขึ้นโดนไม่เปลี่ยนสีหน้า

              อัมรินทร์เริ่มใจเย็นลงและคิดตามถึงคำถามของราชัน

              “ผู้หญิงที่เรียนคาร์สเดียวกับเราตอนสมัยปีที่สองที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย” และเพื่อให้อัมรินทร์ฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับช่วงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้มาขึ้นราชันจึงเพิ่มรายละเอียดลงไปอีกเล็กน้อย

              อัมรินทร์หรี่ตาลงพลางนึกย้อนตาม

              ช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยในต่างแดงของเขาคือเขาชีวิตที่สุดกู้ที่สุด เหล้า ผู้หญิง ผู้ชาย การเรียน กีฬา หลายๆสิ่งทั้งดีและไม่ดีเขาลองมันและมั่วเมา ผู้หญิงผู้ชายหลายคนเสนอตัวเป็นเพื่อนร่วมเตียงให้เขาแทบทุกคืนวันและมันก็หลายคนจนตัวเขาเองแทบจะจำไม่ได้

              ลิลิธ...

              อ่า.. ผมสีน้ำตาลแดง ผิวขาวซีด ใบหน้าตกกะ ใส่แว่นหนาเตอะ ผู้หญิงขี้อายดูไม่มีอะไรน่าจดจำเสียเท่าไรแต่ในตอนนี้เขากลับจำเธอได้

              “ผู้หญิงคนนั้น ที่มีข่าวว่าประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตหลังวันจบภาคเรียน” เขาเอ่ยอย่างขาดความมั่นใจ

              ราชัยยิ้มเศร้า “ใช่ นั้นละเธอละ”

              “แล้วมันเกี่ยวอะไร” อัมรินทร์แค่นถาม

              “เธอแอบชอบนายมาตั้งแต่ปีแรกที่เข้าเรียน” น้ำเสียงของราชันเจือความคิดถึงจนอัมรินทร์รู้สึกได้ “และฉันก็แอบรักเธอต่อ” คนฟังชะงักเมื่อแววตาไร้อารมณ์ของราชันเริ่มแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา

              “ฟังดูน่าขำเนอะว่าไหม นายที่แทบไม่เคยสนใจใยดีอะไรผู้หญิงจืดชืดที่เป็นเหมือนเงาไร้ตัวตนของมหาลัยกลับเข้ามาสนิทสนมกับเธอ จำได้ไหมว่าเพราะอะไร” ราชัยเผลอรอยยิ้มเย็นเฉียบจนคนมองเสียวสันหลัง

              “ฉันมีเกมมาเสนอ” เสียงทุ้มหนักของเพื่อนชาวต่างชาติรูปร่างดีดังขึ้นมาในความทรงจำเมื่อนานมา

              “เกมอะไร” น้ำเสียงและสีหน้าฉงนสงสัยของอัมรินทร์ในวัยยี่สิบปรากฏขึ้น

              “ผู้หญิงคนนั้นที่เพิ่งมาสารภาพรักกับนาย” เขามองตามปลายนิ้วของเพื่อนต่างชาติไปยังแผ่นหลังเล็กของผู้หญิงผมน้ำตาลแดงหยักศกยาวถึงกลางหลังที่กำลังเดินห่อไหล่ตัวรีบเล็กหายเข้าไปในกลุ่มนักศึกษาที่เดินสวนมา

              “ภายในสามเดือนถ้ามึงทำให้ผู้หญิงคนนั้นมานอนกับมึงได้หนึ่งแสนดอลลาร์จะโอนเข้าบัญชีนายทันที” รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของเพื่อนสนิท

              ราชันกระตุกยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตกใจของอัมรินทร์

              “นึกออกแล้วสินะ”

              อัมรินทร์นิ่งเงียบ

              ใช่ เขาจำได้และจำได้ด้วยว่าเขาตบปากรับคำท้าของเพื่อนในกลุ่มคนนั้น

              เขาเข้าหาลิลิธอาศัยความที่เธอมีใจให้หว่านล้อมเธอให้หลงกลเพียงเวลาแค่สองเดือนกว่าๆทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เขาต้องการ เงินจำนวนหนึ่งแสนดอลลาร์ถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารของเขาทันทีเมื่อเขาส่งรูปภาพของตนกับลิลิธที่นอนเปลือยกายอยู่บนเตียงให้เพื่อนคนนั้น และเมื่อการท้าทายจบลงความสัมพันธ์ของเขากับเธอก็จบลง

              “มึงเคยรู้หรือบ้างหรือเปล่าว่าผู้หญิงคนนั้นดีใจขนาดไหนตอนที่นายเข้าไปทักเข้าไปพูดคุยด้วย” น้ำเสียงกึ่งเหยียดหยันกึ่งสมเพชเวทนาต่อความใสซื่อของหญิงสาวที่ตนแอบรัก ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างของลิลิธในตอนที่วิ่งเข้ามาหาเขาพร้อมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟังยังเด่นชัดในความทรงจำของเขาเสมอ

               ลิลิธรักอัมรินทร์จากใจ...

              และเขาเองก็ยินดีที่ได้เห็นคนที่เขารักมีความสุขแม้มันจะไม่ใช่ตัวเขาที่ทำให้เธอมีรอยยิ้มแบบนี้...

              บ่อยครั้งที่ผลการเรียนของอัมรินทร์สูงกว่าเขา เขาไม่เคยรู้สึกแย่กลับกันเขากลับรู้สึกเหมือนมีแรผลักดันให้พยายามมากขึ้น เรื่องของลิลิธเองก็เช่นกัน เขาไม่นึกโกรธหรือเกลียดอัมรินทร์อาจมีอิจฉาเสียด้วยซ้ำที่อีกคนคือคนที่หญิงสาวเลือก และยินดีหากคนทั้งคู่รักกันด้วยใจจริง

                แต่เพราะมันไม่ใช่...

               ในความเป็นจริงที่เขาเพิ่งได้รู้หลังจากนั้นคือมีเพียงลิลิธเท่านั้นที่หลงผู้ชายร้ายกาจคนนี้เพียงฝ่ายเดียวส่วนมันก็เห็นความรู้สึกของเธอเป็นแค่ของพนันสำหรับการท้าทาย

                และเพราะมันที่ทำให้ลิลิธตัดสินใจฆ่าตัวตาย!!

              “มึงมันก็เลวไม่ต่างจากที่มึงด่ากูนักหรอกไอ้อัน” ราชันหยามเหยียด “เพราะมึงก็ทำให้ลิลิธตาย ได้ยินไหมว่าเพราะมึงนั้นแหละที่เป็นสาเหตุให้ลิลิธตาย!” ราชัยตวาดลั่นใส่อย่างคนขาดความยับยั้ง

                 “อุบัติเหตุอะไรกัน เหอะ เธอเดินออกไปให้รถชนเองต่างหากเล่า”

                  อัมรินทร์หน้าซีดเผือก เขาไม่เคยรู้ ไม่สิ เขาไม่เคยสนใจมันเองต่างหาก ไม่คิดว่าลิลิธจะเก็บเอาเรื่องวันนั้นไปคิดมากจนคิดสั้นแบบนั้น

                   “ทำไมกันละอัน ไหนอันบอกว่ารักลิธไง” เสียงหวานเศร้าโศกเกาะแขนเขาอย่างเว้าวอน ดวงตาสีมรกตฉ่ำน้ำตา

                    “รัก ? ฉันพูดตอนไหนว่ารักเธอ” เขาถามพร้อมสะบัดแขนข้างที่เธอเกาะอยู่ออกอย่างแรงอย่างรำคาญ

                   “แต่อันได้ลิธแล้ว อันจะทำแบบนี้กับลิธไม่ได้นะ” เธอว่าทั้งน้ำตาดูน่าสงสาร แต่เขาไม่ชอบผู้หญิงที่มาตามงี่เง่าใส่

                   “แค่ครั้งเดียวเองลิธ รู้จักไหมคำว่าวันไนท์สแตนด์นะ” เขาพูดพลางเอานิ้วจิ้มหน้าผากมนของเธออย่างแรง

                    ภาพแผ่นหลังกับน้ำตาแห่งความเสียใจของลิลิธในวันนั้นใครจะรู้ว่ามันจะเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้เจอเธอ อัมรินทร์จำได้ว่าตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่เจอเธออีกแล้วเกือบหนึ่งสัปดาห์หลังจากเธอกลับมาเรียนเธอก็เอาแต่หลบหน้าหลบตาเขาและหลังสอบเสร็จเขาก็ได้ข่าวการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของเธอการบอร์ดข่าวสารในมหาวิทยาลัยและหอพักนักศึกษา

                     แน่นอนว่าการจากไปของเธอทำเอาเขาเองที่ทราบข่าวช็อคไปครู่หนึ่งเหมือนกัน เขาจำได้ว่าเขาเคยไปเหยียมหลุมศพของเธอครั้งหลังหลังจากงานฝั่งศพของเธอเสร็จสิ้น เขาไปขอโทษเธอ ขอโทษกับสิ่งที่เคยทำไม่ดีด้วย....

                      “มึงเลยแค้นกูเพราะเรื่องของลิลิธอย่างนั้นหรอ” อัมรินทร์แค่นเสียงถาม

                      “ถ้ากูตอบว่าใช่ละ” ราชันเอาลิ้มดุนกระพุงแก้ม

                       “เรื่องของ ทาเรีย ก็การแก้แค้นของมึงสินะ”  ทาเรีย ผู้หญิงคนแรกที่อัมรินทร์รู้สึกรักด้วยใจจริง

                       “ถ้ากูตอบว่าใช่ละ”

                       “ราชัน!”

                       “แต่จะพูดว่าแก้แค้นทั้งหมดก็คงไม่ถูกหรอกนะ” ราชันว่าอย่างไม่รู้สึกผิด

                       “หมายความว่ายังไง” อัมรินทร์ฉงน

                        “ก็ถ้าเธอมั่นคงในรักที่มึงอุตสาห์ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้เธอจะยอมเชื่อคำพูดฉันง่ายๆแบบนั้นหรือยังไง” ราชันไหวไหล่ไม่หยี่ระ “แค่ฉันบอกว่าให้เธอลองใจมึงช่วงที่มึงกับเธอทะเลาะกันดู เธอก็ดันทำจริง แต่ใครมันจะคิดละว่าเธอจะกล้าบ้าบิ่นทำเรื่องแบบนั้น”

                         ปีที่สี่ปีสุดท้ายสำหรับการเรียนในต่างแดนของอัมรินทร์ ปีนั้นเขาได้รู้จักกับหญิงสาวชาวอังกฤษที่ชื่อทาเรีย ทาเรียเรียกคนละเอกกับเขา ความสะสวยและมั่นใจของสาวเจ้าคือเสน่ห์ที่ทำให้เขาเหลี่ยวหลัง เธอเป็นคนฉลาดคิดฉลาดพูดและที่สำคัญเธอเป็นคนอ่อนโยนและใจดีนี้ละคือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกรักเธอจนยอมคิดที่จะทิ้งชีวิตเสเพนั่นแล้วเปลี่ยนตัวเองเพื่อเธอ แต่ใครจะคิดกันว่าตอนที่พวกเขาสองคนทะเลาะเธอจะกล้าที่จะไปนอนกับคนอื่นเพื่อประชดเขา

                          ถึงเขาจะทั่วถึงทั้งผู้ชายผู้หญิงแต่กฎที่เขาตั้งขึ้นกับคู่นอนทุกคนคือระหว่างที่เขายังให้ความสนใจอยู่ห้ามเขาหรือเธอไปวุ่นวายกับคนอื่นเด็ดขาด เพราะเขาไม่ชอบใช้ของร่วมกับใคร

                      เรื่องราวระหว่างเขากับทาเรียถือเป็นเรื่องที่หลายคนในมหาวิทยาลัยรับรู้ว่าพวกเขาสองคนกำลังคบหากันอยู่และการที่มีข่าวว่ามีคนเห็นทาเรียนอนอยู่ที่ห้องของราชันก็ทำให้เขาเดือดดาดจนเลือดขึ้นหน้าสองเท้าของเขาวิ่งตรงไปตามทางของหอพักอย่างคนคลุ่มคลั่งจนเพื่อนอีกสองคนที่ตามมายังวิ่งตามมาไม่ทัน ในใจก็ภาวนาขอแค่ว่ามันเป็นมุกตลกอะไรสักอย่างที่เธอให้เพื่อนสาวของเธอมาแกล้งอำเขา

                       แต่ก็ไม่ใช่...

                       ภาพของสาวเจ้าที่มีเพียงผ้าห่มผืนหนาของเจ้าของห้องปิดบังเนื้อสาวกับสภาพที่มีเพียงอันเดอร์แวร์ของชายรูปร่างโปร่ง อุปกรณ์เริ่งรมณ์ที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นคือหลักฐานชันดีที่ไม่ต้องมีใครพูดเขาก็พอเดาได้ เขาไม่ทำร้ายชายหนุ่มเจ้าของห้อง ไม่ด่าทอตัดพ้อสาวคนรัก แต่เดินออกมาเงียบๆอย่างคนไร้อารมณ์และประกาศสลัดความสัมพันธ์กับเธอหลังจากนั้น

                       แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมง่ายๆ...

                       เธอมาดักรอเขาพร้อมคราบน้ำตา ร้องไห้อ้อนวอนขอกลับมาคืนดีด้วย เธอบอกว่าที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะอยากจะยุให้เขาโกรธแล้วหันมาอ้อนวอนขอเธอคืนดี เธอก็แค่อยากจะประชดเขาเท่านั้น แต่เขาไม่สนใจ

                      “อันที่จริงฉันกับทาเรียเราก็ไม่ได้มีอะไรกันจริงๆอย่างที่มึงเข้าใจหรอกนะ” ราชันแก้ข้อข้องใจในวันนั้น

                     “แต่กูไม่สนใจ” อันนี้ราชันรู้ดีแก่ใจ ว่าอัมรินทร์เป็นพวกแข็ง หักก็คือหัก

                     แต่ไม่ใช่กับเปลวอรุณ...

                      “แล้วถ้าเป็นเรื่องของเปลวอรุณละ นายยังจะสนใจอยู่ไหม” และเขาก็ฉลาดพอที่จะเอาใครคนนั้นมาเป็นข้ออ้าง

                      “มึงจะทำอะไรเปลว” อัมรินทร์ตวาดตกใจ “มึงห้ามทำอะไรเปลวนะ เปลวไม่รู้เรื่องพวกนี้ด้วย”

                       “ไม่หรอก” ราชันยิ้มเย็น “สำหรับฉันเปลวอรุณก็ยังคือคนสำคัญสำหรับฉันเสมอ”

                       “กูขอร้อง คืนเปลวมาให้กูเถอะ” อัมรินทร์อ้อนวอน แค่เปลวอรุณเท่านั้นที่เขาไม่อยากเสียไป “กูเสียลูกไปแล้วคนหนึ่ง กูขอละคืนเปลวมาเถอะ”  หากราชันอยู่ตรงหน้าแล้วสั่งให้เขาคลานเหมือนหมาเข้าไปเลียรองเท้าเพื่อแลกกับการปล่อยเปลวอรุณกลับมาหาเขาเขาก็ยอม

                      “รักมากสินะ” น้ำเสียงที่ไม่สื่อถึงอารมณ์ดังขึ้น

                       “ใช่ เปลวคือคนที่กูรัก”  ราชันนั่งฟังนั่งเสียงอ่อนแรงแต่หนักแน่นอย่างยากที่จะคาดเดาความคิด นัยน์ตาไม่สื่อความเหลือบตามองคนที่นอนมองมาทางเขานิ่งไม่พูดไม่จา

                     ขอโทษทีนะ..

                    “กูเคยได้ยินมาว่าแม่ที่เสียลูกไปจะกลายเป็นโรคซึมเศร้าและคิดฆ่าตัวตายตามลูกไป” เขาว่าโดยไม่ละสายตาไปจากคนบนเตียง

                    “มึงจะทำอะไรราชัน มึงจะทำอะไร” อัมรินทร์ลนลานตาเหลือก

                    “กูจะคืนเปลวอรุณให้มึง”

                     ประกายความหวังอันเกือบริบหรี่สว่างขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย

                     “จริงหรอ” อัมรินทร์ยิ้ม

                     “ถ้ามึงหาตัวเขาเจอ”  ราชันพูดทิ้งท้าย

                      รอยยิ้มของอัมรินทร์ฉีกกว้างกว่าครั้งไหนเมื่อจอภาพถูกหันกลับมายังตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ครั้งนี้เปลวอรุณลืมตาขึ้นมาแล้วพร้อมทั้งยังหันมามองทางเขาอีกด้วย

                     “เปลว เปลวเป็นยังไงบ้าง” เขาถามเสียงกึ่งตระหนกกึ่งดีใจ

                     “คุณอัน” เสียงของเปลวอรุณแผ่วเบาและไร้เรียวแรง มืออ่อนแรงยกขึ้นให้ปลายนิ้วสัมผัสกรอบหน้าของคนที่รักผ่านหน้าจอสีเหลี่ยมในมือของราชัน น้ำตาหยดใสไหลลงจากขอบตา

                   “ไม่ร้องเปลว ฉันอยู่นี้ ฉันจะไปรับเปลวเราจะกลับมาอยู่ด้วยกัน” อัมรินทร์ยิ้มลูบปลายนิ้วหัวแม่มือที่ใบหน้าของคนรัก

                    แต่ความสุขของเขากลับสั้นนักรอยยิ้มนั่นเก้อค้างเมื่อครั้งนี้กล้องถูกขยับออกให้เห็นคนสองคนที่ใส่ชุดการ์วยาวสีขาวสวมหน้ากากอนามัยปิดปังใบหน้าจนตัวเขามองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงในมือของคนหลังถือถาดสแตนเลสสีเงินเข้ามาด้วย หัวใจของอัมรินทร์เต้นระรั่ว ความกลัวครั้งใหม่ถาโถมมาอีกครั้ง

                       ไร้เสียงพูดคุย มีแต่เสียงของเข็มฉีดยาที่ดังกระทบสแตนเลส

                       “นั้นพวกมึงจะทำอะไร” อัมรินทร์กู่ร้องลั่น ปลายเข็มแหลมจิ้มแทงเข้าที่ท่องแขนขาวที่อยู่อีกข้างหลังจากนั้นกล้องก็ถูกเคลื่อนมาที่หน้าจอแสดงผลชีพจนและความดัน

                       “พวกมึงทำอะไรเมียกู ไอ้ราชัน มันทำอะไรเปลว” เขาลนลานหลักขึ้นเมื่อชีพจรและความดันของเปลวอรุณเพิ่มขึ้นเรื่องจนน่ากลัว

ตี้ด ตี้ด

              เสียงเตือนระดับชีพจรที่เร็วจนอยู่ในเกณฑ์อันตรายต่อชีวิตดังขึ้น

              “ไอ้เหี้ยราชัน มึงทำอะไร” เขาตะคอก ใจของเขาตอนนี้แทบหล่นหาย เมื่อไม่ว่าจะพยายามตะโกนเรียกถามหาความจากใครก็ไร้ซึ่งคำตอบ ภาพรอยหยักของชีพจรและความดันของเปลวอรุณที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้เขาเคร่งเครียดและใจไม่ดี

              “ไม่ ไม่ ไม่ เปลว”

              “อยากได้ตัวคืน ก็มารับเอา”

ตี๊ดดดดดดดด....

              “เปลวววววววววววววว!!!!”



_____________________________________________________

จบ...?

บ้ายังไม่จบเว้ยยยย
หนูอันอันยังไม่โดนลงโทษเลยจะจบไม่ได้ !!



นิยายยังไม่จบอย่างเพิ่งนับซองมาม่า

 อย่าเพิ่งทิ้งกันไปยังเหลืออีกเซอร์ไพรส์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-08-2017 23:17:31 โดย wavery »

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
น่ารำคาณราชันอ่ะ ประสาทจะกิน

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
เราว่า ราชันย์ไม่ได้จะทำร้ายเปลว จริงๆหรอก  หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น

ออฟไลน์ MorethanMore

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ยอมรับอ่านตอนแรกโคตรลุ้นเลย แต่อ่านไปสักพัก นิยายเรื่องประสาทจะกิน คือราชันทำให้เราสามารถเป็นบ้าได้ คนบ้าสินะ

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ภาวนาให้เป็นการเล่นละครตบตา เพื่อเอาคืนอันอัน ก็พอนะ
อย่ามาม่าน้ำตก น้าาาาาา

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
หรือแค่ราชันจะเอาเปลวไปรักษาเอง แต่ก็ต้องการแก้แค้นด้วย เลยทำแบบนี้ คิดไปในทางที่ดีที่ไม่อยากกินมาม่าอีกกลัวท้องอืด

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

เป็นหนี้ ครั้งที่ 29


  ตี้ดดดดดดดดดดดดดด

              ภาพรอยหยักขึ้นลงที่แสดงงการเต้นของชีพจรและความดันเคลื่อนที่ถี่และเร็วกว่าปกติจนใจหวาดหวั่นก่อนจะหยุดลงและเป็นเส้นตรงยาวเพื่อบอกให้รู้ว่าชีพจรที่เต้นเร้าอยู่อย่างทรมารใจผู้เฝ้าดูได้กลับสู่ความสงบนิ่ง

              นี้คือสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาที่เบิกค้างของอัมรินทร์ก่อนที่ภาพหน้าจอการโทรแบบเห็นหน้าของอีกฝ่ายจะถูกตัดลง ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง และครั้งนี้มันกลับเงียบไปถึงขั้วหัวใจ

ตุบ

              โทรศัพท์มือถือเครื่องสีขาวที่เพิ่งถูกใช้งานเมื่อครู่ล้วงหลนจากมือคู่อ่อนแรง หากแต่อัมรินทร์ยังคงยืนอยู่ตรงที่เดิม เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยใจที่ว่างเปล่า

              เปลวตายแล้ว...

              ภาพที่แม้จะดับไปแล้วแต่กลับแจ่มชัดติดตายากจะสลัดให้หลุด ขาเข่งที่ยืนหยัดอย่างแข็งเกร่งมานานนับยี่สิบแปดปีกลับอ่อนแรงไร้กำลังจนไม่สามารถทรงกายให้ตั้งตรงได้อย่างทุกครั้งเหมือนเสาหินที่เคยแข็งแรงถูกพังลงจนล้มลงกับพื้น

              เพราะที่พังคือใจของเขา...

              ดีที่เขาใช้มือทั้งสองข้างค้ำตัวตัวเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปทั้งตัว แต่ยิ่งเห็นโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นตกอยู่ตรงหน้ามือทั้งสองข้างก็เผลอกำเข้าหากันแน่น เขาขบเขี้ยวตัวเองแน่นยกมือข้างหนึ่งชกพื้นกระเบื้องของโรงพยาบาลอย่างแรงเจ็บร้าวอย่างอัดอั้น

พลัก

พลัก

              แต่ถึงจะเจ็บจนกระดูร้าวยังไงเขาก็ไปได้สนใจมัน อัมรินทร์ชกกำปั้นลงพื้นอย่างไม่หยุดยั้งจนเนื้อแตกก่อนจะกู่ร้องออกมาเหมือนคนจะขาดใจ

              “อ๊ากกกกก!”

              เรียงร้องปานจะขาดใจลงด้วยความเจ็บปวดดังออกไปถึงด้านนอกห้องพักฟื้นจนคนสามคนที่กำลังเดินตรงมายังห้องที่ว่าชะงักมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนจะวิ่งสุดฝีเท้าไปยังห้องที่ว่า             

              “ไอ้อัน!”

              อนิรุทธิ์ผลักบานประตูออกอย่างแรงแล้วเรียกคนที่อยู่ในห้องเสียงดัง หากแต่ภาพของน้องชายที่เขารักกลับทำให้คนอย่างเขาแทบหยุดหายใจ

              อัมรินทร์ที่เอาแต่ชกมือลงกับพื้นเหมือนคนคลุ่มคลั่งไม่รับรู้อะไรแม้แพวกเขาจะเปิดประตูผลัวะผละเข้ามาเสียงดัง ลิลดาเองที่เป็นผู้หญิงถึงกลับยกมือขึ้นปิดปากกับภาพของเพื่อนสนิทที่อยู่ในสภาพย่ำแย่จะมีก็แต่ลูกตาลที่เหมือนจะพอตั้งสติได้เร็วกว่าใครวิ่งชนไหล่เรียกสติของอนิรุทธิ์ตรงไปล็อกตัวอัมรินทร์จากด้านหลังไม่ให้ชายหนุ่มทำร้ายตัวเอง

              “ลุง ใจเย็นก่อน!” เด็กหนุ่มตะโกนใส่ พยายามรั้งร่างที่พยศใส่ให้สงบ

              “ปล่อยกู! กูบอกให้ปล่อย” อัมรินทร์ดิ้นเร้า

              อนิรุทธิ์ที่พอได้สติกลับมาอยุ่กับที่กับทางก็รีบตรงเข้าไปช่วยเด็กหนุ่มจับตัวอัมรินทร์ที่คลุ่มคลั่งเอาไว้ไม่หยุด

              “ไอ้อัน! พอได้แล้วมือมึงพังหมดแล้ว” อนิรุทธิ์พูดเสียงดังคล้ายเรียกสติผู้เป็นน้อง

               หลังมือหนาสีแทนน้ำผิวของอัมรินทร์มีแต่เลือดที่ไหลซึมออกมาจากบาดแผลที่เกิดจากการเนื้อกระแทรกพื้นอย่างแรงโดยเฉพาะตรงข้อนิ้ว หากเขายังปล่อยไว้แบบนี้เขาไม่รู้เหมือนกันว่ากระดูกที่มือของอีกคนจะแตกไปด้วยหรือไม่

               “เดี๋ยวลิลจะไปตามพยาบาล” ลิลดาเสนอตัวก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป เพราะเธอรู้ตัวว่าตัวเธอเป็นผู้หญิงคงไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะช่วยอนิรุทธิ์กับลูกตาลจับตัวอัมรินทร์ได้แน่ แต่อย่างน้อยสิ่งที่เธอทำได้ก็คงไม่พ้นการไปตามพยาบาลให้มาทำแผลที่หลังมือให้อัมรินทร์ หลังจากที่อีกคนเลิกคลุ่มคลั่งแล้วละนะ..

               “ไอ้อัน มึงใจเย็นก่อนดิวะ มันกะ-“ คนพูดชะงักคำถามที่กำลังจะถามออกไปเมื่อใบหน้าของคนที่กำลังอารวาทฟาดงวงฟาดงาอย่างไม่สนใจใครหน้าไหนกำลังร้องไห้ออกมา

                 อัมรินทร์กำลังร้องไห้...

                 “ไอ้อัน” อนิรุทธิ์เรียกอีกคนเสียงแผ่วเบาเหมือนคนใจหาย “จะ ใจเย็นก่อนนะเว้ย ค่อยๆพูดค่อยๆจาอย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้” เขาพยายามปลอบ

                 พวกเขาโตมาด้วยกันด้วยคำสอนของสุริยะผู้เป็นบิดาของอัมรินทร์ ‘ผู้ชายน่ะ อ่อนแอได้แต่อย่าให้ใครเห็นน้ำตาของเราเด็ดขาด’ และพวกเขาก็ปฏิบัติกันมาอย่างนี้ตลอด โดยเฉพาะอัมรินทร์ เขาไม่เคยเห็นคนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและน้องชายที่เขารักร้องไห้ออกมาแบบนี้ นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้

               การสูญเสียเป็นเรื่องที่ใครก็ยากจะยอมรับมันได้เรื่องนี้ตัวเขาที่เคยผ่านมันมาย่อมรู้ดี และเขารู้จากคำบอกเล่าของลูกตาลแล้วเมื่อเช้าก่อนออกมาว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่เขายังยังอยู่ภายในงาน

               เขาสูญเสียหลาน ลูกตาลสูญเสียน้อง และอัมรินทร์กับเปลวอรุณสูญเสียลูก...

               การสูญเสียของอัมรินทร์ถือเป็นเรื่องที่หนักหนาถึงเขาจะไม่รู้ว่ามันมากขนาดไหนแต่ก็คงไม่ต่างกับตัวเขาที่เคยเสียพ่อกับแม่ผู้ให้กำเนิดไปตั้งแต่ตัวยังเล็ก ถึงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเข้าใจแต่เขาเชื่อว่าเขาเข้าใจมัน

              “ใจเย็นนะ” เขาดึงตัวอัมรินทร์เข้ามากอด ตบหลังเบาๆคล้ายกำลังปลอบ เมื่อเห็นว่าอัมรินทร์ยอมที่จะสงบลงมาบ้างแล้วลูกตาลที่ใช้แขนทั้งสองข้างล็อคช่วงไหล่อยู่จึงค่อยๆคลายกำลังออก

                หลังจากคลุ่มคลั่งทำร้ายตัวเองอัมรินทร์ก็เซื่องซึมจนอีกสองคนได้แต่มองหน้ากัน อัมรินทร์นั่งลงที่ขอบเตียงใบหน้าก้มต่ำดวงตาเหม่อลอยไร้ชีวิตชีวาถึงพวกเขาจะอยากถามหาเปลวอรุณจากอีกคนว่าพักฟื้นอยู่ห้องไหนก็ได้แต่เก็บเงียบเอาไว้แล้วเปิดทางให้พยายาลที่ลิลดาพาตัวมาเข้ามาทำแผลให้อัมรินทร์

                   โชคดีที่แผลที่มือไม่ได้ร้ายแรงจนถึงขั้นที่ว่าจะมีชิ้นส่วนไหนสึกหรอหรือกระดูกหักอย่างที่พวกเขากลัว มีเพียงผิวเนื้อที่ปริแตกจากการกระแทรกแต่ก็เจ็บน่าดูอยู่พอตัวยิ่งเป็นมือข้างที่ถนัดด้วยการดำเนินชีวิตของอัมรินทร์จนกว่ามือข้างนั่นจะหายก็ลำบากเอาการอยู่

                       “อย่าเพิ่งให้แผลโดนน้ำนะคะ” พยาบาลวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงก่อนจะเดินออกจากห้องไป

                      “น้ำหน่อยไหม” ลูกตาลเอ่ยขึ้นพลางบิดฝาขวดน้ำที่แช่เอาไว้อยู่ในตู้เย็นส่งมาให้คนยังคงนั่งซึมกระทืออยู่กับที่

                      อัมรินทร์เมินเฉย น้ำตาที่ไหลก่อนหน้าเหือดแห้งลงแล้วเหลือเพียงแค่คราบรอยที่ยังอยู่กับเวลาตาปวดร้าวแทบขาดใจจนคนที่มองดูพลอยปวดร้าวใจตาม

                     “มันเกิดอะไรขึ้นหรออัน” ลิลดาเอ่ยถาม โดยละเรื่องที่เปลวอรุณแท้งเอาไว้ด้วยกลัวจะกระทบจิตใจของเพื่อน

                      อัมรินทร์ขบกรามกำมือแน่นแล้วคลายออกด้วยใบหน้าเจ็บปวด

                       “เปลวตายแล้ว”

                        คำตอบที่ได้อยู่เหนือความคาดคิดของทุกคน อนิรุทธิ์ ลิลดา และลูกตาลต่างมีสีหน้าที่ตื่นตกใจกับข่าวคราวการสูญเสียอีกครั้งอย่างไม่ทันตั้งตัว

                          “มันฆ่าเปลว ไอ้ราชัน ไอ้ฆาตกรนั่นมันฆ่าเมียกู มันฆ่าเปลว” อัมรินทร์คว้าเสื้อของอนิรุทธิ์เข้ามากำไว้แน่น “มันให้คนฉีดอะไรให้เปลว ชีพจรเปลวเต้นเร็วมาก แล้ว แล้วก็หยุดลง” มือสองข้างเปลี่ยนมากุมหัวตัวเอง

                       ลิลดาหน้าซีดเผือก เธอแทบไม่อยากจะเชื่อว่าราชันจะทำอย่างที่ถูกกล่าวหาหากแต่สภาพของอัมรินทร์ในตอนนี้กลับหักล้างคำว่าไม่เชื่อของเธอจนหมดสองขาเรียวสวยอ่อนแรงก้าวถอยหลังและสะดุดนั่งลงกับโซฟา

                      “แต่เราไม่มีหลักฐาน ยังไงก็ฟ้องเอาผิดกับคนทำไม่ได้” ลูกตาลพูดขึ้น “ถ้าลุงคิดจะไปเอาเรื่องเขาละวังจะโดนฟ้องกลับข้อหาหมิ่นประมาท” อัมรินทร์ไม่อยู่เฉยเรื่องนี้แน่ เด็กหนุ่มจึงพูดดักทางเอาไว้เสียแต่เนิ้นๆ

                     อนิรุทธิ์เห็นด้วยหากแต่ใบหน้าเด็กหนุ่มใรครานี้กลับดูยากกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาให้ความสนใจอะไรมากเท่ากับสภาพของอัมรินทร์ในตอนนี้

                        “ มึงควรพักก่อน” เขาว่าพลางดับตัวอัมรินทร์ให้นอนลง

                        “กูไม่อยากนอน” อัมรินทร์รั้นขื่นกายเอาไว้ไม่ยอมนอน

                        “มึงต้องพักไอ้อัน ไม่ก็ไปอาบน้ำให้ใจเย็นลงก่อน” เขาว่าพร้อมส่งถุกกระดาษที่บรรจุเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ “กูเชื่อว่าถ้าเปลวเขารู้เขาคงรู้สึกไม่ดีเท่าไรที่เห็นมึงทำร้ายตัวเองแบบนี้หรอกนะ”

                         อัมรินทร์หน้าม้ายยอมที่จะเอื้อมมือรับถุงกระดาษที่ส่งมาแล้วลุดเดินหายเข้าห้องน้ำไป

                         อนิรุทธิ์มองตามหลังอีกคนไปแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

                         “เรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริงหรอคะ” ลิลดาเอ่ยถามเสียงเบาสั่น กรอบตาสวยเลือไปด้วยน้ำตา

                         “ไม่รู้สิ แต่ไอ้อันมันคงไม่เอาเรื่องพวกนี้มาล้อพวกเราเล่นแน่” อนิรุทธิ์ว่าอย่างลำบากใจเดินลงไปทรุดตัวนั่งข้างลิลดาแล้วรั้งตัวเธอเข้ามากอดปลอบ

                         “แล้วนั่นนายจะไปไหน” อนิรุทธิ์หันมาทักเมื่อเห็นว่าลูกตาลกำลังจะเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าทะมึนตึง

                          “โทรไปลางาน เดี๋ยวผมมา” เจ้าตัวว่าด้วยเสียงคล้ายไม่สบอารมณ์เสียเท่าไรก่อนจะเปิดประตูออกไปโดยไม่พูดอะไรต่อ

                          อนิรุทธิ์เองก็เข้าใจว่าเด็กหนุ่มคงกำลังอยู่ในช่วงที่สับสนและเคว้างคว้างไม่ต่างจากอัมรินทร์เพียงแต่เลือกที่จะแสดงออกออกมาต่างกันเท่านั้น

                           อัมรินทร์หายเข้าไปในห้องน้ำอยู่นานกว่าจะออกมาได้แม้สีหน้าจะไม่ได้ดูสดชื้นหรือสู้ดีมากกว่าเดิมแต่ก็ดูเหมือนคนที่พอจะทำใจยอมรับกับเรื่องร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อย แต่สภาพที่เหมือนร่างไร้วิญญาณอย่างนั่นก็ยังทำให้คนข้างหลังที่มองมารู้สึกสะท้านในอกไม่ได้


                          พวกเขาพาอัมรินทร์กลับบ้าน ลุงอุ่นกับแววที่ออกมารอรับอย่างทุกทีเมื่อเห็นรถเจ้านายก็ยิ้มกว้างดีใจแต่สีหน้าของอัมรินทร์กับการไร้เสียงหยอกล้อทักทายของลูกตาลทำเอาสองคนที่มาดักรอวิตก

                           “มันเกิดอะไรขึ้นคะคุณรุทธิ์ ทำไม” แววถามขึ้นพลางมองตามหลังทั้งสองคนไป

                            คนถูกถามเองก็หนักใจไม่แพ้กันจึงเลือกพูดแค่เรื่องที่คุณหนูตัวน้อยของบ้านจากไปโดยไม่ได้พูดถึงเปลวอรุณเพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดมันอย่างไรดี แต่ข่าวร้ายยังไงก็คือข่าวร้ายต่อให้พูดเพียงแค่ครึ่งเดียวใจของคนที่ฟังก็ยังสลายอยู่เช่นเดิมยิ่งกับคนอายุเยอะอย่างลุงอุ่นด้วยแล้วถึงกับลมจับเป็นลมเป็นแร้งลงไป

                           “ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับคนดีๆอย่างคุณอันด้วย” แววตัดพ้อน้ำตาคลอสงสารเจ้านายหนุ่มจับใจ

                           “มันคงเป็นกรรมของคุณเขานั่นน่ะนะนังแวว” น้อยหญิงสาวต่างจังหวัดเพื่อนร่วมงานของเธอตบบ่าปลอบขวัญเพื่อน

              “สงสารก็แต่สองคนนั่นนั้นละ” อนิรุทธิ์ถอนใจ เหลือบมองไปทางด้านบน

              ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านอัมรินทร์กับลูกตาลก็พากันเดินขึ้นบ้านแยกกันเข้าห้องใครห้องมันไม่พูดไม่จา ถึงลูกตาลจะดูเหมือนคนที่ทำใจได้ดีกว่าอัมรินทร์แต่เขาเชื่อว่าเด็กหนุ่มก็คงจะมีความรู้สึกที่ไม่ต่างกับอัมรินทร์เท่าไรนัก

              เย็นวันนั้นอัมรินทร์กับลูกตาลไม่ได้ลงมาร่วมกินข้าวด้วยกันซึ่งอนิรุทธิ์เองก็พอเข้าใจและคิดเอาไว้อยู่แล้วอย่างน้อยวันนี้เขายังมีลิลดานั่งกินข้าวเป็นเพื่อนละนะ

              ลิลดาอยู่เป็นเพื่อนอนิรุทธิ์จนดึกก่อนจะขอตัวกลับ แต่ยังไม่ทันที่อนิรุทธิ์จะเดินมาส่งเธอที่หน้าบ้านรถยนต์สำหรับครอบครัวคันใหญ่ของบ้านเขาก็มาจอดเทียบที่หน้าประตูทางเข้าบ้าน ชายหนุ่มเลิกคิ้วแปลกใจด้วยความสงสัยด้วยจำไม่ได้ว่าตนได้ยินเสียงรถวิ่งออกจากบ้านไปเมื่อตอนไหน

              “คุณลุง คุณป้า” อนิรุทธิ์เรียกคนสองคนที่ประคองพากันลงมาจากรถยนต์โดยสารด้วยความกึ่งตกใจกึ่งแปลกใจ

              สุริยะประคองภรรยาลงจากรถก่อนจะปลายตามองหลานชายทีหนึ่งแล้วหันไปมองหญิงสาวข้างกายที่ดูคล้ายๆจะอยู่ในช่วงสับสนระคมแปลกใจจนเห็นว่าตนมองมานั่นแหละถึงได้ยกมือขึ้นไหว้

              “หนูลิลดาสินะจ๊ะ” นภาแย้มยิ้ม “เข้าไปนั่งคุยกันก่อนดีกว่า” เธอว่าก่อนจะเปลี่ยนมาจับเข้าที่แขนของหญิงสาวแล้วกึ่งบังคับให้เธอกลับเข้าไปด้านใจ

              “ฉันรู้ข่าวแล้ว เข้าไปคุยข้างใน” สุริยะว่าก่อนจะเดินผ่านตัวหลานชายเข้าไปด้านใน

              อนิรุทธิ์ก้มหน้าต่ำเครียกก่อนจะเดินตามผู้ใหญ่เข้าไปด้านใน

              ห้องนั่งเล่นเงียบงันและอึดอัด ใบหน้าสวยอ่อนโยนของนภาประดับยิ้มบางเหมือนทุกครั้งแต่ปลายจมูกกับขอบตากลับแดงก่ำเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักข้างๆมีลิลดานั่งกุมมืออยู่ไม่ห่าง สุริยะเดินเข้าไปบีบไหล่ของภรรยาก่อนจะนั่งลงข้างๆ อนิรุทธิ์เดินเข้ามานั่งลงที่เก้าอี้ที่ว่างอยู่

              “อุ่นโทรมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฉันฟังแล้ว” ประมุขของบ้านพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงติดจะสั่นเครือเล็กน้อย

              ตอนที่ได้รับสายจากบ้านพวกเขาอยู่ที่ญี่ปุ่นกำลังเดินเที่ยวและหาซื้อเครื่องรางของฝากไปรับขวัญใหญ่ลูกสะใภ้และหลานตัวน้อยแต่ใครจะคิดกันละว่าความสุขในปั้นปลายของคนแก่อย่างพวกเขาจะพังลงเมื่อโทรศัทพ์ของสุริยะดังขึ้น

              “คุณเปลวแท้งครับคุณยะ” น้ำเสียงเศร้าสะอื้นของคนเก่าคนแก่ของบ้านทำเอาใจของชายมมีอายุเคว้งหาย ยิ่งนภาแล้วเธอถึงกับเป็นลม

              “แล้วหนูเปลวละ” เขาแค่นถาม

            “ไม่ทราบเลยครับ ตอนกลับมาคุณเปลวไม่ได้กลับมาด้วย แถมคุณๆเขาก็ไม่มีใครพูดถึงเลย”  และนั้นทำให้พวกเขาสองคนรีบซื้อตั๋วเที่ยวเดียวที่เร็วที่สุดกลับมาที่ประเทศไทยทันที

              “เจ้าอันกับเด็กที่ชื่อลูกตาลละ”

              “ไอ้อันกับลูกตาลหมกตัวอยู่แต่ในห้องตั้งแต่กลับมาแล้วครับ”

              สองคนนั้นเป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากการจากไปมากที่สุดจึงไม่แปลกหาทั้งคู่จะยังทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดไม่ได้ สุริยะพยักหน้า

              “แล้วหนูเปลวละตารุทธิ์” นภาทักขึ้น

              อนิรุทธิ์เม้มปากแน่น “เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจ แต่อัมมันบอกว่าเปลวเสียแล้ว”

              คนถามยกมือทาบอกทำท่าคล้ายจะเป็นลมไปอีกรอบจนทุกคนต่างเข้ามาดู

              “แล้วเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมอยู่ดีๆหนูเปลวถึงได้แท้งได้” คำถามของสุริยะทำเอาอนิรุทธิ์ถึงกับสะอึก

              “เรื่องนี้ผมเองก็ไม่ทราบแน่ชัดเพราะไม่ได้อยู่ด้วยในตอนที่เกิดเรื่อง” เขาไม่ได้อยู่ด้วยจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เท่าที่รู้มาจากปากคำของลูกตาลก็เพียงแค่เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นเท่านั้น แต่รายละเอียดอย่างอื่นเขาไม่รู้อะไรมากไปกว่านั้นเลย

              “ถ้างั้นฉันจะขึ้นไปคุยกับเจ้าอัน” สุริยะพูดขึ้นพร้อมลุกขึ้นเตรียมเดินขึ้นไปด้านบน

              อนิรุทธิ์เห็นดังนั้นก็ตาโตรีบเดินตามผู้เป็นลุงไปติดๆ

              กลิ่นเฉพาะตัวที่คุ้นเคยดีทำให้มณีนิลที่นอนหมอบอยู่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้องของอัมรินทร์ชะโงกหัวขึ้นมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครเจ้าสี่ขาก็ลุกขึ้นสายหางสั้นๆไปมาพร้อมเดินเข้าไปรับสุริยะ

              “ไงคุณนิล พ่อแกอยู่ในห้องใช่ไหม” สุริยะลูบหัวถาม

              มณีนิลครางหงิยในลำคอคล้ายจะตอบว่า ใช่

              สุริยะยืดการก่อนจะยกมือเคาะที่บานประตู

ก๊อก ก๊อก

              แต่เคาะอยู่นานก็ไร้วี่แววว่าคนในห้องจะตอบกลับมา ถาดข้าวที่ใครสักคนยกขึ้นมาให้ยังคงวางนิ่งอยู่ที่ข้างเบาะนอนของมณีนิลไร้ซึ่งการแตะต้องจนข้าวและกับเย็นชื้ด คนเป็นพ่อหน้าเคร่งตึงยกถามอาหารนั่นขึ้นถือแล้วออกปากสั่งให้อนิรุทธิ์ลงไปเปิดเอากุญแจสำรองมา

แก๊ก

              พอได้กุญแจมาอนิรุทธิ์ก็จัดการไขมันแล้วดปิกประตูเข้าไปโดยไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาต

              ภายในห้องมืดสนิมมีเสียงแสงจากไฟสนามหญ้าด้านล่างที่พอจะทำให้มองเห็นพอสลั่ว สุริยะกวาดตามองห้องนอนของลูกชายคนเดียวไปรอบๆก่อนจะหยุดลงที่โต๊ะข้างหน้าต่างก่อนจะเอื้อมมือออกไปกดสวิตช์ไฟที่กำแพง

              แสงไฟนีออนในห้องสว่างขึ้นจนอัมรินทร์ที่นั่งอยู่ในความมืดมานานต้องหลับตาลงเพื่อปรับแสงแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่อีกครั้งเพื่อจ้องมองอ่างสวนหินตรงหน้าต่อ

              “ไม่ยักรู้ว่าคนอย่างแกชอบปลูกต้นไม้” เสียงคุ้นเคยที่ไม่ได้ยินใกล้ๆมานานเรียกสายตาเหม่อลอยของเจ้าของห้องให้เงยขึ้นมอง

              “แต่เปลวชอบ” อัมรินทร์ตอบเสียงลอย

              “อันนี้หนูเปลวก็เป็นคนทำหรอ” สุริยะชะเง้อมองพลางชวนคุย

              “เปล่า อันนี้ผมทำเอง” เขาตอบพลางลูบเบาๆที่กลีบกุหลาบแคระแผ่วเบา “ผมทำให้เปลวเขา” เขายิ้มพลางนึกถึงสีหน้าแปลกใจของเปลวอรุณตอนที่เห็นมันครั้งแรก

              “แล้วหนูเปลวเขาชอบไหม” สุริยะถามพร้มนั่งลงที่เก้าตัวตรงข้าม นั่งมองลูกชายที่ใจสลายอย่างสงสารปวดใจ

              “ชอบสิ”  ไม่อย่างนั้นเปลวอรุณจะมานั่งที่ตรงนี้ทุกวันแล้วดูแลมันอย่างดีหรือไง

              “บอนไซจิ๋วพวกนี้ก็ของหนูเปลวด้วยหรอ” อัมรินทร์มองออกไปนอกหน้าต่างตรงที่มีต้นบอนไซย์ขนาดเล็กหลากหลายต้นวางอยู่ก่อนพยักหน้า

              ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งเมื่อไม่มีใครคิดจะพูดอะไรขึ้นมาอีก อัมรินทร์นั่งเงียบมอสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยใจล่องลอยนัยน์ตาที่มักจะฉายประกายความเจ้าเล่ห์กลับหม่นหมองและอับแสง สุริยะแลละอนิรุทธิ์มองคนตรงหน้าอย่างเห็นใจ

              “แกรักหนูเปลวเขามากเลยสินะ” สุริยะพูดขึ้นขณะจับต้นไม้ต้นน้อยที่อยู่ในอ่างหินสวน

              “ครับ ผมรักเปลว” เขาตอบอย่างเลื่อนลอย

              “เรื่องเมื่อวานมันเกิดอะไรขึ้น แกพอจะเล่าให้พ่อฟังได้ไหม” สุริยะถามพลางหยิบเอาฟ็อกกี้ขึ้นมาฉีดพมต้นไม้ในสวนหิน

              “เพราะผม” อัมรินทร์ยิ้มขืน

              “หมายความว่ายังไง” สุริยะเหลือตาขึ้นถาม อนิรุทธิ์เองก็เลิกคิ้วมองอย่างสงสัย

              “ถ้าผมไม่หลอกเปลว ลูกก็คงไม่ตาย มันเป็นเพราะผม” พอสงบจิตสงบใจลงและมีเวลาได้อยู่กับตัวเองเขาถึงคิดได้ ว่าจริงๆแล้วไม่ใช่ราชันหรอกที่ฆ่าลูกของเขาแต่เป็นตัวเขานี้แหละที่เป็นคนฆ่าลูกของเขากับเปลวอรุณ

              “แกหลอกอะไรหนูเปลว”

              “ผมหลอกว่าเปลวติดหนี้ผมอยู่ร้อยล้าน ผมหลอกเขาเพื่อที่จะให้เขายอมมาอยู่ด้วย”

              สุริยะนิ่งฟัง

              “และเรื่องมันก็แดงขึ้นมา ฮึ เปลวคงผิดหวังในตัวผมมาก” เขายิ้มขันพร้อมน้ำตาคลอ “ทั้งๆที่เขาเปิดใจให้ผมขนาดนั้นแล้วแท้ๆ”

              “ไอ้อัน” อนิรุทธิ์มองหน้าน้องชาย

              “กูผิดกูรู้ตัว กูอยากขอโทษเขาแต่ แต่” อัมรินทร์กัดฟันแน่น “เปลวเขาไม่อยู่ให้อภัยกูแล้ว” น้ำตาที่คลออยู่ไหลออกมาไร้เสียงสะอื้น

              “มึงไม่ผิดเว้ยอัน เรื่องนี้กูต่างหากที่เป็นคนผิด” ถ้าเขาไม่เสนอเรื่องนี้ขึ้นมาเรื่องคงไม่รุกรามใหญ่โตแบบนี้

              “แกก็รู้เรื่องด้วยอย่างนั้นหรอเจ้ารุทธิ์” อนิรุทธิ์ชะงัก ก้มหน้ายอมรับผิดต่อผู้ใหญ่หนึ่งเดียวในห้อง

              สุริยะมองเด็กทั้งสองที่ตอนเลี้ยงดูมาก่อนจะถอนหายใจ ก็คิดเอาไว้อยู่แต่แรกแล้วว่ามันจะต้องมีเรื่องอะไรลึกกว่าที่เจ้าลูกชายตัวดีเล่าใหญ่ฟังเมื่อครั้งก่อนแต่ก็ไม่นึกว่าสองพี่น้องนี่มันจะช่วยกันวางแผน ใจจริงเขาก็อยากจะดุด่าให้สำนึกอยู่บ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ในเวลาแบบนี้เขาคิดว่ามันคงไม่ใช่เวลาที่จะไปซ้ำเติมขยี้แผลในใจของอัมรินทร์ให้แหวะกว้างกว่าเดิม


ก๊อก ก๊อก

              สุริยะละสายตาจากลูกชายตรงหน้าไปยังบานประตูที่ถูกเคาะเรียก อนิรุทธิ์รู้งานดีจึงเดินไปเปิดประตูนั่นโดยที่ไม่ต้องรอให้ผู้ใหญ่บอก

              “อ้าว ตาล” อนิรุทธิ์ร้องทักขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝั่งของบานประตูเป็นใคร

              “แล้วนี้แปกกระเป๋าจะไปใหน” เขาถามพลางขมวดคิ้วมองกระเป๋าเป้ที่บบจุของเต็มจนตุงแบบเดียวกับตอนที่เด็กหนุ่มสะพายมาที่บ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก

              “ผมว่าจะออกจากที่นี้เลยว่าจะมาบอกลุงเขาเสียก่อน” เด็กหนุ่มพูด

              “เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนสิ” เขาตกใจ

              “มีอะไรกัน”

              เสียงของคนแปลกหน้าที่ลูกตาลไม่เคยได้ยินดังขึ้น เด็กหนุ่มมองผ่านไหล่ของคู่สนทนาไปมองชายมีอายุท่าทางภูมิฐานที่นั่งกอดอกมองมาทางประตูอย่างตั้งคำถาม

              “นั่น ลูกตาลใช่ไหม” สุริยะถามขึ้น

              เด็กหนุ่มมองอย่างสงสัยแต่ก็ยกมือขึ้นมาไหว้

              “เข้ามาคุยกันข้างในนี้”  เมื่อได้ยินดังนั้นอนิรุทธิ์จึงดึงแขนเด็กหนุ่มให้เข้ามาข้างในตามคำสั่งก่อนจะปิดประตูห้องลง

              “นี้ลุงยะ พ่อของไอ้อันมัน” อนิรุทธิ์กระซิบบอกให้คล้ายสงสัย

              “เราคือลูกตาล ลูกชายของหนูเปลวสินะ”

              “ครับ”

              สุริยะพิจารณามองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ดูไม่ต่างจากรูปที่อัมรินทร์เคยส่งมาให้ดูเมื่อครั้งก่อน รูปร่างหน่วยก้านไม่เลวออกจะดีมากในความรู้สึกจนอดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มออกมา

              “แล้วเราจะไปไหนดึกดื่นแบบนี้”

              “ผมจะกลับไปอยู่ที่บ้านแม่เปลวครับ” เด็กหนุ่มตอบ

              “กลับไปแล้วจะอยู่กับใคร” อัมรินทร์แทรกขึ้นมาเหมือนหัวเสีย

              “อยู่คนเดียว” ลูกตาลหันมาตอบ “ตอนนี้แม่เปลวไม่ได้อยู่ที่นี้แล้วผมก็ไม่รู้จะอยู่ที่นี้ทำไมสู้กลับไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นจะดีกว่า”

              “ไม่ต้อง!” อัมรินทร์ขึ้นเสียง

              “นายคิดว่าฉันดูแลนายไม่ได้หรือไง หรือคิดว่าที่ฉันพานายมาอยู่ด้วยเพราะเปลว”

              ลูกตาลไม่ตอบ

              “ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหนว่านายเป็นลูกของเปลวก็ถือว่าเป็นลูกของฉันด้วย ทำไมยังจะออกไปอีก”

              “ก็ผมไม่ได้อยากเป็นภาระของคุณหนิ” เด็กหนุ่มเถียง

              “ฉันเคยพูดหรือไงว่านายเป็นภาระ” อัมรินทร์ผลุดลุกขึ้น “แต่ถึงนายจะเป็นภาระที่เปลวทิ้งเอาไว้ให้แต่ฉันก็ยินดีที่จะรับนายมาดูแล”

              “เพราะอะไร”

              “เพราะฉันไม่เหลืออะไรแล้วไง” เขาแค่นยิ้ม “ทั้งลูก ทั้งเปลว แต่อย่างน้อยการมีนายอยู่ก็เป็นสิ่งที่บอกให้ฉันรู้ว่าเปลวยังเหลือนายเอาไว้ให้ฉัน ฉันสัญญากับเปลวว่าจะดูแลนายไม่ใช่เพราะนายเป็นลูกของเปลวแต่เพราะว่านายของลูกของฉันกับเปลวต่างหาก”

              ลูกตาลมองคนพูดด้วยความรู้สึกที่หลากหลายและสับสน

              “นายจะทิ้งพ่อคนนี้ให้อยู่คนเดียวได้จริงๆหรอ” น้ำเสียงของอัมรินทร์คล้ายคนที่กำลังจะหมดลงไปทุกที

              ลูกตาลกำมือแน่นก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้อัมรินทร์ก่อนจะตวัดแขนขึ้นกอดอีกคนเอาไว้

              “ผมอยู่นี้ครับพ่อ”



__________________________________________________

ตอนนี้มันดูสั้นๆไปสักหน่อยแถมมันก็จะดูหน่วงๆตามอัตภาพไปอีกสักเล็กน้อย

ไหนๆตอนนี้ก็เป็นตอนเอาคืนหนูอันอันแล้วก็ของสักนิดสักหน่อยก็ยังดี


ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
อ่านตอนนี้แล้วยิ่งเศร้า

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด