เป็นหนี้ ครั้งที่ 21 ความโกลาหลขนาดย่อมเกินขึ้นเมื่อลูกตาลเดินกลับมาจากเข้าห้องน้ำแล้วไม่พบคนที่ควรจะนั่งรออยู่ตรงที่นั้นและยิ่งร้อนรนมากขึ้นไปอีกเมื่อคนที่เดินไปรับยาเดินกลับมาแค่เพียงคนเดียว
“แล้วเปลวละ” อัมรินทร์เสียงห้วนเมื่อที่ที่ควรจะมีใครบางคนนั่งอยู่กลับว่างเปล่า
“ผมไม่รู้ ก่อนผมไปเข้าห้องน้ำแม่ยังนั่งอยู่ตรงนี้เลย” ลูกตาลตอบกลับด้วยเสียงที่ดูรนรานไม่ต่างกัน
“โทรหาหรือยัง” อัมรินทร์ขมวดคิ้วแน่นล้วงมือหยิบโทรศัพท์มือถือส่วนตัวออกมา
“โทรแล้วแต่แม่ไม่รับ” เด็กหนุ่มพูดพร้อมโชว์หน้าจอที่กำลังแสดงผลการโทรออกให้อีกคนดู
ในมือของลูกตาลก็พยายามต่อสายหาคนไม่แม้จะยอมรับสายสักครั้งส่วนอัมรินทร์ก็กวาดตามองฝ่ากลุ่มคนจำนวนมากในบริเวณนี้รอบๆ
แต่ก็ไม่เจอ...
ความว้าวุ่นใจโถมใส่ใจของเขาเหมือนพายุลูกใหญ่อัมรินทร์สบถด่าในลำคออย่างหัวเสียนัยน์ตาเข้มฉายชัดถึงความเป็นห่วงและไม่พอใจ เปลวอรุณยังไม่หายดีถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไงถึงที่นี้จะเป็นโรงพยาบาลแต่เขาก็ไม่ไว้ใจขนาดนั้น
อัมรินทร์สาวเท้าออกจากจุดที่ยืนอยู่เดินไล่หาทุกที่ภายในชั้นที่พวกอยู่เป็นอันดับแรงโดยมีลูกตาลคอยสอดส่องช่วยมองหาอยู่ข้างหลัง
โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่พื้นที่ใช้สอยในแต่ละชั้นจึงมีมาก แต่นั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาเสียงเวลาคิดอัมรินทร์ก้าวเดินฝ่ากลุ่มคนจำนวนมากภายในชั้นไปตามเส้นทางที่ทอดยาว
แต่ไม่ว่าจะมองยังไงเขากลับไม่เห็นคนตัวขาวอย่างที่ต้องการ
จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเปลวอรุณจะอะไรไปจนต้องถูกหามส่งเข้าห้องตรวจ อัมรินทร์สะบัดหัวไล่ความคิดเลวร้ายนั้นออกจากหัวแต่ก่อนที่จิตใจของเขาจะจินตนาการถึงเรื่องราวในทางลบไปมากกว่านี้เสียงตะโกนแม้จะไม่ดังมากจนรบกวนผู้ป่วยคนอื่นในบริเวณนั้นของลูกตาลก็ดังขึ้น
“แม่เปลว!”
อัมรินทร์ชะงักฝีเท้าที่กำลังจ้ำก้าวยาวๆของตนเอาไว้แล้วหันกลับไปมองเด็กหนุ่ม
คนหายที่พวกเขากำลังตามหานั่งอยู่เพียงคนเดียวในบริเวณที่นั่งพักผ่อนที่ทางโรงพยาบาลจัดเอาไว้ให้ เจ้าตัวนั่งหันหลังให้ทางเดินเหม่อออกไปทางกระจกบานใหญ่ที่ถูกใช้แทนผนังทำให้เมื่อครู่นี้อัมรินทร์ไม่ทันสังเกต
ไม่สิ เขาไม่ได้มองเลยต่างหาก...
เพราะความว้าวุ่น ความเป็นห่วง ความกลัว ทำให้เขาแทบไม่มองสิ่งต่างๆที่อยู่รอบข้างเลยนอกเสียจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและนั้นก็ทำให้เขามองไม่เห็นเปลวอรุณ
อัมรินทร์หมุนกายกลับแล้ววิ่งตรงไปหาคนที่หายไปแล้วคว้าอีกคนเข้ามมากอดอย่างโล่งอก
“หายไปไหนมาเปลว” เขาถามเสียงสั่นโดยไม่คลายอ้อมกอด
เปลวอรุณไม่ตอบหากแต่ยกมือขึ้นตบที่แผ่นหลังของอีกคนเบาๆ ยืนยันให้รับรู้ว่าเขาไม่เป็นอะไร
“ไปไหนทำไมไม่บอกกันก่อนครับ ผมเป็นห่วงแทบแย่” ลูกตาลเดินเข้ามาสีหน้าของเด็กหนุ่มยังไม่คลายความกังวล ตบเบาๆที่ไหล่ของอัมรินทร์เป็นเชิงว่าให้ปล่อยคนป่วยออกมาก่อนที่จะขาดอากาศหายใจตาย
“เปลวมาทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่รอฉันกับลูกตรงที่เดิม” อัมรินทร์ผละออกแต่ยังไม่ละมืออกตากตนแขนอีกคน
น้ำเสียงและแววตาที่ฉายความเป็นห่วงกังวลจากการหายตัวไปของเขาทำให้เปลวอรุณหลุบตามองต่ำ
“ผมแค่รู้สึกไม่ค่อยดีเลยเดินออกมานั่งที่โล่งๆ ขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณกับลูกก่อน” ต้องขอบคุณหน้ากากอนามัยที่อัมรินทร์บังคับให้เขาใส่ออกมาตั้งแต่อยู่ที่บ้านทำให้สองคนที่กำลังเป็นห่วงเขาอยู่มองไม่เห็นว่าตอนนี้เขาพยายามยิ้มออกมาได้แหยเกขนาดไหน
“อย่าทำแบบนี้อีกนะครับ” เด็กหนุ่มว่า “แม่ยังไม่หายดีถ้าเกินไปล้มหรือเป็นลมที่ไหนจะทำยังไง” แต่ทั้งหมดก็เพราะเป็นห่วง
“ที่นี้โรงพยาบาลนะตาล หมอก็มีพยาบาลก็เยอะไม่เป็นอะไรหรอก” เปลวอรุณลูบต้นแขนเด็กหนุ่มหวังให้คลายความเป็นห่วงลง
“แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เป็นห่วงอยู่ดีนั้นแหละ” อัมรินทร์ส่วนขึ้น
“ไม่เอาแล้วนะเปลว ห้ามหายไปไหนแบบนี้อีกถ้าจะไปอย่างน้อยเอาลูกไปด้วย” ไม่ใช่คำสั่งบังคับทำแต่เป็นการขอร้องและร้องขอให้อีกคนทำตาม
เปลวอรุณยิ้มบาง “กลับบ้านกันเถอะครับ”
พออีกคนพูดออกมาอย่างนั้นอัมรินทร์ที่กำลังจะเปิดปากถามเรื่องขอบตาแดงๆของอีกคนก็ต้องเงียบไปแล้วพาอีกคนกลับบ้านตามคำขอนั้นแทน
แค่เปลวอรุณไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว...
หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลอัมรินทร์กลับสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างจากคนตัวขาว หลายวันมานี้แม้อาการป่วยไข้ของอีกคนจะหายดี นัดตรวจติดตามอาการที่หมอนัดเอาไว้ครั้งสุดท้ายก็ไม่พบโรคอะไรแทรกซ้อนแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่อัมรินทร์มองว่ามันไม่ปกติ
“ไม่กินต่ออีกหน่อยหรอเปลว” ข้าวสวยที่พร่องไปเพียงแค่ครึ่งเดียวในจานข้าวของเปลวอรุณที่รวบช้อนแล้วยกน้ำขึ้นดื่มทำให้อัมรินทร์อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วถาม
“ผมอิ่มแล้ว” เจ้าตัวตอบออกมาเนื่องๆ
“เปลวน่าจะกินเข้าไปอีกหน่อยนะ ตอนป่วยน้ำลงมาตั้งเยอะ” เขาบ่น
“กิโลเดียวเขาไม่เรียกว่าเยอะหรอกนะครับ” เปลวอรุณคลี่ยิ้มบาง
“งานที่ทำงานมีปัญหาหรือไง” อนิรุทธิ์เอ่ยถามขึ้น ไม่ใช่แค่อัมรินทร์หรอกที่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่ว่านั้น
“ไม่ครับ ทุกอย่างปกติดี”
อนิรุทธิ์รับคำในลำคอ “แล้วทำไมช่วงนี้ถึงดูเครียดๆละ เพิ่งหายป่วยไม่ควรเครียดนะ”
เปลวอรุณไม่ตอบนอกจากส่งยิ้มขอบคุณในความเป็นห่วงของคนตรงหน้าก่อนจะลุกออกจากโต๊ะไป
ตอนแรกอัมรินทร์ตั้งใจว่าจะลุกตามอีกคนไปด้วยความเป็นห่วงแต่อนิรุทธิ์กลับเอ่ยเรียกตัวน้องชายเอาไว้เสียก่อน ชายหนุ่มนั่งลงตามเดิมแม้ในใจจะอยากตามขึ้นไปดูอีกคนก็ตาม
“มึงกับเปลวมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า” อนิรุทธิ์เปิดประเด็นถามถึงความสงสัยที่เก็บมานานหลายวัน
“ไม่นะ กูกับเปลวเราไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน” เขามั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรให้เปลวอรุณผิดใจแน่นอน
“แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้น”
“กูก็ไม่รู้”
ชายหนุ่มตีหน้านิ่งยามคิดถึงช่วงเวลานั้นที่คล้ายกับตอนนี้ อาการเหม่อลอยคล้ายว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ไม่อยากอาหาร กลางคืนก็ไม่ยอมนอน อาการแบบนี้ของเปลวอรุณอัมรินทร์เคยประสบพบเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง
ตอนที่เขาทำให้เปลวอรุณเป็นหนี้ก้อนโต..
“กูจะขึ้นไปดูเปลว” อัมรินทร์ว่าทิ้งท้ายก่อนจะรวบช้อนแล้วลุกขึ้นตามอีกคนไปตามประสงค์เดิมของตน
ความเงียบที่ได้ยินเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานอยู่กวาดมองรอบๆห้องไร้การมีอยู่ของคนที่คาดว่าน่าจะขึ้นมาก่อน อัมรินทร์ขมวดคิดอย่างสงสัย ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาในห้องเสียงน้ำกระทบพื้นที่ได้ยินลางผ่านบานประตูสีน้ำตาลบอกให้เขารับรู้ว่าคนที่หายไปกำลังอาบน้ำอยู่ข้างใน
อัมรินทร์มองบางประตูที่กั้นเขากับเปลวอรุณด้วยความคิดที่หลากหลาย เขามองอยู่อย่างนั้นฟังเสียงกระทบพื้นอยู่อย่างนั้นก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้ทำงานแล้วหลับตาลง
เก๊ก
เสียงประตูห้องน้ำดังขึ้นเมื่อคนที่อยู่ด้านในเป็นคนบิดมันเพื่อเปิดออกมา อัมรินทร์เปิดเปลือกตามองเปลวอรุณที่อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เป็นชุดสำหรับนอนเรียกร้อยแล้วเดินออกมา
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เปลวอรุณเอ่ยถามขณะพาดผ้าขนหนูลงกับราวตากขนาดเล็กหน้าห้องน้ำ
อัมรินทร์ไม่พูดตอบแต่ใช้การกวักมือเรียกให้อีกคนเข้ามาใกล้แทน
คนถูกเรียกด้วยอาการภาษาเอียงคอเล็กน้องแต่ก็ยินยอมที่จะเดินเข้าไปหา พอเดินเข้ามาใกล้ในระยะที่สามารถสัมผัสถึงกันได้อัมรินทร์ก็ฉุดแขนของอีกคนที่ยังไม่ทันตั้งตัว
เปลวอรุณที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเบิกตาเล็กน้อยด้วยความตกใจเมื่อร่างกายของตนเซถลาลงนั่งที่ตักของอีกคน ครั้นพอจะขยับตัวลุกอัมรินทร์กลับบโอบรอบเอวเขาเอาไว้ไม่ให้หนีซบหน้าลงที่ไหล่ของเขาอยากที่เจ้าตัวขอบทำเวลาอยู่ด้วยกัน
“อย่าเพิ่งลุกนะ” อัมรินทร์พูดเสียงเบา
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เปลวอรุณถามอย่างสงสัย หากสังเกตดีๆในระดับความใกล้เพียงแค่นี้ทำให้รู้ว่าใบหน้าหล่อเหลานี้มีความอ่อนล้าแสดงออกมาให้เห็นอยู่เล็กน้อยเช่นกัน
จริงสินะ ช่วงนี้งานของอัมรินทร์ก็เยอะด้วยเครื่องประดับคอลเลคชั่นใหม่ที่อยู่ในระหว่างการผลิตก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้วไหนจะเรื่องงานการกุศลที่ว่านั้นอีก เปลวอรุณเรียบเรียงความคิด
“เปลวนั้นแหละเป็นอะไร” แต่ก็ต้องแปลกใจกับคำตอบกึ่งคำถามที่ได้กลับมา
“ผมหรอ”
“ใช่” ใบหน้าคมผละออกแล้วมองตรงมายังใบหน้าสวย “หลายวันมานี้เปลวดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ มีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจหรือเปล่า” เขาถาม
“ผม” เปลวอรุณเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรงพร้อมหลบสายตาที่กำลังจ้องมาอย่างต้องการคำตอบ
“มีเรื่องอะไรใช่ไหม” เขาถาม “บอกฉันได้ไหม” เพราะเขาเป็นห่วง
“คือ..”
อัมรินทร์ไม่เอ่ยอะไรออกมาเพื่อเป็นการคาดคั้นเอาคำตอบแต่เขานั่งรออย่างใจเย็น รอให้เปลวอรุณพูดมันออกมาเอง
“เรื่องหนี้ผมจะพยายามหามาคืนคุณ” อัมรินทร์หรี่ตามมองเปลวอรุณเมื่อประโยคที่ว่าหลุดออกมาจากปากของอีกคน
“ทำไมอยู่ๆถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา”
“นี้ก็ใกล้สิ้นเดือนแล้ว เงินเดือนสำหรับเดือนนี้ผมตั้งใจว่าจะเอามาใช้หนี้คุณ” เปลวอรุณพูดออกมาตามความตั้งใจของตน
ตั้งแต่มาอยู่บ้านหลังนี้เขาค่าใช้จ่ายบางส่วนของเขาลดลงไปเกินครึ่ง ซึ่งนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ดีในความคิดของเขาที่ต้องการจะปลดหนี้ที่มีอยู่ เขาตั้งใจว่าจะแบ่งเงินไว้กึ่งหนึ่งเพื่อใช้จ่ายส่วนตัวและเก็บเอาไว้เพื่อเป็นค่าเทอมมหาวิทยาลัยของลูกตาล ถึงจะไม่ตรงกับเรื่องที่ตนเก็บเอามาคิดมากอย่างที่ถูกถามแต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นอีกเรื่องที่เขาคิดอยู่เหมือนกัน
“เปลวยังคิดเรื่องนี้อยู่อย่างงั้นหรอ” อัมรินทร์ถามเสียงเรียบ
เปลวอรุณพยักหน้ายอมรับ
“เรื่องนั้นไม่ต้องสนใจมันแล้วก็ได้ ที่จริงฉันคืนโฉนดนั้นให้เปลวตอนนี้เลยก็ได้” เขาว่าพร้อมทำท่าเอื้อมมือออกไปหมายจะเปิดลิ้นชักโต๊ะเพื่อเอาโฉนดที่ดินดังกล่าวนั้นให้อีกคนตามที่พูดแต่เปลวอรุณกลับรั้งแขนของเขาเอาไว้เสียก่อน
อัมรินทร์หันมามองคนที่นั่งก้มหน้าด้วยความสงสัย
“ผม..” คนตัวขาวก้มต่ำซ้อนประกายความสั่นไหวในดวงตาไม่ให้ใครเห็น
“มีอะไรหรือเปล่าเปลว” อัมรินทร์ถาม โฉนดที่ดินบ้านหลังนั้นสำคัญกับเปลวอรุณมากเขารู้ดีแล้วทำไมอีกคนถึงห้ามเขาเอาไว้แบบนี้
“ผมไม่อยากรู้สึกเหมือนว่าผมเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ได้มันคืนมา”
!!
อัมรินทร์นิ่งอึ้ง
ทั้งตัวเขารู้สึกชาวาบกับคำพูดที่คล้ายจะเหยียดตัวเองของอีกคน ก้อนคำพูดมากมายจุกแน่นค้างอยู่กลางลำคอ
เรื่องโฉนดเขาตั้งใจจะคืนมันให้เปลวอรุณอยู่แล้วถึงไม่มีเหตุการณ์วันนั้นก็ตาม แต่เขาไม่คิดว่าเปลวอรุณจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดแบบนั้นและไม่เคยคิดด้วยเช่นกันว่าเปลวอรุณจะมีความคิดเหตุเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาในทางนี้
“เปลวก็รู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น” หลังจากควานหาเสียงที่หายไปในลำคอเจอเขาก็รีบพูดแก้ต่างนั่นออกมา
“แต่ถึงอย่างนั้น” เปลวอรุณเพิ่มแรงบีบเข้าที่แขนของอัมรินทร์มากขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ
“ผมเป็นหนี้คุณ ผมมาอยู่กับคุณที่นี้แถมยังเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกถ้ามีใครรู้ว่าคุณคืนโฉนดและยกหนี้ให้ผมมันต้องมีคนคิดว่าผมเอาตัวเขาแลกแน่” เพราะเขาเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันในวินาทีแรกที่อัมรินทร์พูดว่าจะคืนทุกอย่างให้
ช่วงไหล่ของเปลวอรุณเริ่มสั่นไหวขอบตาหลังกรอบแว่นเองก็คลอไปด้วยน้ำใสๆที่เจ้าตัวพยายามกลั้นไม่ให้ไหล
“เปลวอย่างคิดอย่างนั้น เปลวไม่ได้เอาตัวเข้าแลกอะไรทั้งนั้นใครจะพูดอะไรก็ช่างมันสิมันไม่ใช่เรื่องจริงเสียหน่อย” อัมรินทร์พูดออกมาอย่างร้อนรน มือหนาถอดแว่นสายตากรอบบางของอีกคนออกมาว่างบนโต๊ะ
“เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นเป็นเพราะความต้องการของเราตรงกัน” ความอุ่นจากฝ่ามือที่เปลี่ยนมาเป็นประคองใบหน้าของเขายิ่งประโยคต่อมาก็ทำให้อยากร้องไห้มากขึ้นไปอีก
“ฉันรักเปลว เหตุผลนี้เพียงพอไหมที่จะทำให้เปลวไม่ร้องไห้”
“ผมเชื่อคุณได้จริงใช่ไหม ไม่ใช่แค่คุณได้สิ่งที่คุณต้องการแล้วก็ทำเหมือนอย่างที่ผ่านมา” เปลวอรุณถามเสียงสั่น
สิ่งที่อัมรินทร์ต้องการคืออะไรเปลวอรุณรู้ดี เขาไม่เคยคิดถึงมันเลยจนกระทั้งวันนั้นที่ราชันพูดมันออกและมันทำให้เขาอดคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้ ไหนจะเรื่องหนี้ที่อีกคนจ่ายแทนเขาไปก่อนหน้านี้อีก
“ฉันไม่รู้ว่ามีใครพูดอะไรให้เปลวฟังหรือมีอะไรที่ทำให้เปลวคิดแบบนั้น แต่ฉันรักเปลวคือเรื่องจริง” เขามั่นใจว่ามันต้องมีใครพูดอะไรออกมาให้เปลวอรุณคิดแบบนี้แน่ และใครที่ว่านั้นมันต้องไม่หวังดีต่อเขาแน่...
“ฉันยกหนี้นั้นพร้อมคืนโฉนดให้เปลวก็ได้ แต่ถ้าเปลวต้องการที่จะคืนเงินฉันตามที่คิดฉันก็จะไม่ขัดถ้ามันเป็นความสบายใจของเปลว” อัมรินทร์เกลี่ยปลายนิ้วหัวแม่มือลงข้างแก้มขาว
“แต่ขออย่างเดียว อย่าคิดว่าเรื่องที่เกิดวันนั้นเพราะเปลวเอาตัวเข้าแลกเพราะฉันอยากให้มันเกิดขึ้นเพราะใจเปลวยอมรับฉัน” เขาบีบบังคับเปลวอรุณเรื่องหนี้เพื่อให้อีกคนยอมมาอยู่กับเขานั้นคือเรื่องจริง แต่เขาไม่เคยคิดฝืนใจเปลวอรุณ หากเจ้าตัวไม่ยืนยอมเขาเองก็พร้อมที่จะถอดใจกลับไปนั่งรอข้างสนาม
เพราะสำหรับเขาเปลวอรุณพิเศษกว่าใครๆ...
“คุณจะไม่ทิ้งผมเหมือนที่คุณทำกับคนอื่นๆใช่ไหม” อัมรินทร์ได้ในสิ่งที่ตนต้องการแล้วถ้าเกิดว่าอีกคนจะทิ้งเขาไปเหมือนที่เคยเกิดขึ้นเขาคงทนรับไม่ไหวหรอก
“ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าจะไม่มีวันทิ้งเปลว” เขามองคนขี้แงตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ฉันไม่ใช่คนดีฉันรู้ มีหลายเรื่องที่ฉันทำไม่ดีเปลวก็รู้ แต่ที่เรารู้ก็คือฉันรักเปลวมากกว่าใครที่ผ่านมาถึงตอนนี้เปลวจะไม่เคยพูดว่ารักฉันหรือไม่ก็ไม่เป็นไรฉันรอได้” รอยยิ้มเรียบๆกับสัมผัสอุ่นที่รอยยิ้มนั้นประทับแนบที่หางตามันก็มากพอที่จะทำให้หัวใจของคนฟังรู้สึกอุ่นขึ้นมากจนเผลอยิ้มรับ
นั้นสินะ...
ถึงอัมรินทร์จะมีเรื่องอะไรที่หลอกลวงหรือปิดบังเขาอยู่แต่อีกไม่นานมันก็ต้องปรากฏออกมาให้เขาได้รู้อยู่แล้ว เขาก็แค่รอเวลานั้น รอให้ราชันเอาหลักฐานที่ว่ามาให้เขาหรือไม่ก็รอให้ผู้ร้ายตรงหน้าสารภาพมันออกมาเอง แล้วถึงตอนนั้นเขาจะตัดสินใจอีกทีว่าควรจะทำอะไรกับเรื่องที่ว่า
“ตอบฉันตรงๆได้ไหมว่าเปลวกังวลเรื่องอะไรกันแน่ เรื่องหนี้หรือเรื่องของฉัน”
“ก็ ทั้งสองอย่าง” เปลวอรุณตอบ เอียงคอเล็กน้อยยามที่อัมรินทร์ไล่จูบลงมาตามลำคอ
“แล้วเรื่องไหนมากกว่ากัน” เขาถามต่อพลางไล่ฝ่ามาที่โอนเอวอยู่ไปตามผิวเนื้ออุ่นใต้ร่มผ้า
“พอกัน”
“จริงหรอ” อัมรินทร์ช้อนสายตามองสบอีกคนกรุ้มกริ่ม
เปลวอรุณไม่ตอบซ้ำยังเบี่ยงหน้าหนี
เขาไม่กล้าพูดออกไปหรอกว่าเรื่องที่ทำให้เขาเป็นกังวลมากกว่าเรื่องหนี้ก้อนโตร้อยล้านก็คือเรื่องหมาป่ามือปลาหมึกตรงหน้าที่กำลังบีบนวดบั้นเอวเขาอยู่
อัมรินทร์เป็นผู้ชายและเขาเองก็เป็นผู้ชายทำไมเขาจะไม่รู้ละว่าสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับอัมรินทร์คืออะไร..
อะไรที่ทำให้อัมรินทร์มาสนใจในตัวเขานั้นเขารู้ดีว่าเพราะอะไร เพราะเขาแตกต่างจากคนอื่นๆที่อีกคนเคยพบเจอ และนั้นแหละคือสิ่งที่เขากลัว
กลัวว่าวันหนึ่งมันจะไม่เหมือนเดิม..
ตอนนี้เขาอ่อนไหวไปกับหลายๆสิ่งที่อัมรินทร์แสดงออกให้เขาเห็น การกระทำหลายๆอย่างที่อีกคนทำมันให้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนสำคัญไม่มีใครหรอกที่จะไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งเหล่านั้นเขาเองก็ไม่พระอิฐพระปูนที่ไหนจะไม่โอนอ่อนตาม
ความพลั้งเผลอทำให้เขาโอนเอนไปตามรสสัมผัส อัมรินทร์ได้ในสิ่งที่ต้องการจากเขามานาน มันทำให้เขากลัว..
กลัวว่าสักวันเขาจะกลายมาเป็นเหมือนคนเหล่านั้น ...
และความกลัวของเขาก็ถูกคำพูดของราชันสะกิดเข้าอย่างจัง
ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเขาเอาแต่คิดเรื่องพวกนี้เอาแต่กลัวว่าเมื่อหมดความสนใจ หมดความท้าทายที่มากระตุ้มความกระหายความต้องการความอยากเอาชนะเขาจะกลายเป็นแค่สิ่งน่าเบื่อหน่ายสำหรับอีกคน
เขาไม่ต้องการแบบนั้น...
“วันหลังมีอะไรก็พูดกันออกมาตรงๆนะเปลว” อัมรินทร์กระซิบ “อย่าเก็บเอามาคิดเองเออกเองแบบนี้เข้าใจไหมครับ”
แต่ตอนนี้ของเขามีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก่อนได้ไหมถึงเบื้องหลังมันจะมีเรื่องโกหกหลอกลวงยังไงก็แล้วแต่ แต่ของอย่างเดียว ขอแค่คำพูดที่อัมรินทร์กระซิบบอกเขามันคือเรื่องจริงก็พอ
“ฉันรักเปลวนะ”
...........................................................................
“ที่ให้ไปหา หาเจอแล้วหรือยัง” น้ำเสียงราบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆของร่างที่นอนเหยียดขายาวอยู่บนโซฟาหนังสีขาวเอ่ยขึ้นกับผู้ที่เปิดประตูเข้ามาใหม่เสียงดังโดยไม่แม้จะลืมตาขึ้นมามอง
คนมาใหม่ไม่ตอบหากแต่วางของบางสิ่งที่ได้มาลงบนโต๊ะตรงหน้า ไม่สิ ไม่ได้เรียกวางแต่เป็นการปล่อยมันทิ้งลงจากมือต่างหาก
เปลือกตาสีขาวซีดลืมขึ้นก่อนจะปรายตามมองโต๊ะเสียงเมื่อครู่ ปึกเอกสารฉบับหนึ่งที่ไม่ถึงกลับหนามากวางนิ่งอยู่กับโต๊ะถัดออกไปเป็นชายชาวต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่เนื้อตัวเต็มไปด้วยหมัดกล้ามแข็งแรงหน้าตาไม่รับแขกยืนกอดอกนิ่ง
ราชันทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอคลายไม่พอใจก่อนจะพยุงร่างตัวเองขึ้นนั่งใหม่ดีๆ
“นายคิดว่าคลับนั้นมันเข้าออกง่ายนักหรือไง” ภาษาไทยสำเนียงแปร่งดังออกจากปากของชายต่างชาติตัวใหญ่ยักษ์
“ไหนว่าเก่งนักเก่งหนาไม่ใช่หรือไง” ราชัยยิ้มเหยียด มือก็พลางหยิบสิ่งที่ได้มาขึ้นมาดูก่อนจะขมวดคิ้วมุ่ยเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือ“ทำไมถึงเป็นแบบถ่ายมา”
ภาพเอกสารที่ได้มาไม่ใช่ฉบับจริงหรือแบบสำรองแต่มันเป็นภาพที่ได้จากการถ่ายเก็บไว้แล้วปริ้นมันออกมาให้ต่างหาก ไม่ใช่แค่แผ่นสองแผ่นแต่มันเป็นทุกแผ่นเลยต่างหาก
นัยน์ตาเรียวเล็กตวัดมองชายตรงหน้าอย่างไม่พอใจและต้องการคำตอบที่น่าพอใจ
“กว่าจะได้ขนาดนี้มานายคิดว่ามันง่ายนักหรือไงราช” อีกฝ่ายก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แสดงอารมณ์ว่าไม่พอใจเช่นเดียวกัน
บัตเตอร์ฟลายคลับ ไม่ใช่สนามเด็กเล่นหรือสวนสาธารณะที่ใครคิดจะเข้าไปของข้อมูลภายในมาแล้วทางนั้นจะยอมเอาออกมาให้ด้วยความเต็มใจ หนึ่งอาทิตย์กับข้อมูลเกือบทั้งหมดที่เกี่ยวข้องที่ได้มานี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว
ถึงมันจะเป็นการแอบถ่ายมาก็เถอะ...
“แต่ฉันต้องการฉบับจริง” ราชันว่าเสียงแข็ง ปึกเอกสารถูกปาใส่หน้าคนเอามาที่ไม่ขยับหนี
“อย่าเข้าใจอะไรยากได้ไหมราช การที่จะไปมีเรื่องกัน
ออแลนโด้ หยวน เองก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกนักหรอกนะ” ชายร่างใหญ่ตะคอกเสียงใส่เด็กเอาแต่ใจตรงหน้า
“ไหนว่าอิทธิพลใหญ่คับโลกไม่ใช่หรือไงแล้วทำไมแค่นี้ถึงทำไม่ได้ละ” ราชันกอดอกพูดเหยียด
“พวกเราจะไม่ทำงานทับรอยกันและพวกเราจะไม่หาเรื่องกันเพราะเรื่องไร้สาระแบบนี้เหมือนกันด้วย มันไม่คุ้มเสีย” ชายร่างใหญ่พยายามข่มใจให้เย็นขณะอธิบายกฎให้คนดื้อรั้นฟัง
“นายกลัวงั้นสิ”
“ราชัน!” นัยน์ตาที่ฟ้าหม่นฉายประกายกร้าว ตะคอกใส่คนตรงหน้าจนสะดุ้งเฮือก
คนอย่าง
วาเลนติโน่ ไม่ชอบให้ใครมาหยาม แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นราชัน
“ได้แค่นี้ก็แค่นี้” ราชันตัดบทอย่างไม่เต็มใจ ตัวเขาก็เท่านี้จะให้ไปมีเรื่องกับยักษ์ใหญ่ตรงหน้าก็คงใช่เรื่องเหมือนกัน
“แล้วครบหมดหรือยัง” คนตัวซีดถามยกขาขึ้นไขว่ห้าง
“ยัง”
“เหลืออะไร”
“ผู้หญิงที่ชื่อ พิมพา”
_______________________________________________
หนูราชันเราไม่ได้มาเล่นๆนะคะ นางมีแบล็คดี แบล็คใหญ่
อีกไม่นานอันอันจะโดนแฉแล้ว ถึงตอนนั้นเรามาลุ้นการตัดสินใจของหนูเปลวกันว่าจะออกหัวหรือก้อย
ยังมีใครจำพิมพากันได้อยู่อีกหรือไม่?