[End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61  (อ่าน 106832 ครั้ง)

ออฟไลน์ ลูกสมุนตัวเอฟ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
พระเอกนอกจากจะโง่แล้วยังชั่วอีก
งงลูกตาลมากเลยอะ ยอมให้คนอื่นมาหลอกเปลวได้เหรอ เห็นแก่เงินด้วยรึไง
คือเหมือนทุกคนรอบตัวทำให้เปลวเป็นคนโง่
อีพระเอกคือแบบ สามปีถ้าทนไม่ได้ จะขาดใจตายขนาดนั้นก็ตายไปเลย ไป๊
พฤติกรรมชั่วๆของตัวเองมีไม่รู้จักแก้ ใครเค้าจะอยากมาจริงจังด้วย
บอกเลยว่าเรื่องนี้สงสารแค่เปลว นอกนั้นคนอื่นเลว
ขอให้เปลวรู้ความจริงเร็วๆละให้อีพระเอกช็อคตายไปเลย

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
สงสาร :hao5:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

เป็นหนี้ ครั้งที่ 11



               “เช็คนี้พวกนายสามารถเอาไปขึ้นเงินได้ทันที รับรองว่าไม่มีเด้งแน่นอน”

                อัมรินทร์ยืนตั๋วแลกเงินราคาแพงให้กับนักทวงหนี้ท่าทางสุภาพในชุดสูทแบบที่เคยพบเห็นเหมือนเมื่อคราวก่อน  วันนี้เป็นวันที่ครบกำหนดเวลาที่นักทวงหนี้จะมาเอาเงินตามที่ได้บอกไว้เมื่อครั้งก่อนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเงินกับโฉนดที่ดินบ้านหลังน้อยแสนรักของเปลวอรุณตามสัญญา

              เมื่อเช็คถูกยื่นส่งมาให้ตรงหน้าแล้วหนึ่งในนักทวงหนี้ที่ถูกส่งมาก็เอื้อมมือออกไปเอารับเช็คที่ว่านั้นจากมือของชายหนุ่มไปตรวจสอบดู เจ้าตั๋วกระดาษสี่เหลียมผืนผ้าถูกจับพลิกหน้าพลิกหลังไปมาอยู่สองสามรอบเพื่อให้แน่ใจก่อนที่นักทวงหนี้คนนั้นจะเหลือบสายตาที่อยู่หลังเลนส์สีทึบของแว่นตากันแดดขึ้นมามองหน้าก่อนจะหันไปหานักทวงหนี้อีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังพยักหน้าเป็นอันรู้กันบ้างอย่างให้เพื่อนที่มาด้วยกันนำซองเอกสารที่ถือติดมือมาด้วยส่งให้กับคนที่ดูร้อนรนจนแทบจะนั่งไม่ติด

              เปลวอรุณรีบคว้าซองที่ว่ามาไว้กันตัวแทบจะทันทีเมื่อมันถูกส่งมาให้ตรงหน้าแล้วจัดการเปิดซองเอาสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาตรวจดูความสมบูรณ์จนมั่นใจแล้วว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ด้านในคือสิ่งที่ตนรักและมันก็ยังอยู่ดี รอยยิ้มดีใจฉีกกว้างเต็มใบหน้าสวยพร้อมกับเอามันมากอดไว้แนบอกอย่างหวงแหนซึ่งมันก็พลอยทำให้คนที่แอบมองอยู่ใกล้ๆอย่างอัมรินทร์และลูกตาลเผลอยิ้มตามรอยยิ้มนั้นไปด้วยอย่างเสียไม่ได้

              มันนานแค่ไหนกันแล้วนะที่รอยยิ้มที่ว่าไม่ได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเปลวอรุณ...

              อาจเป็นเมื่ออาทิตย์ก่อน สองอาทิตย์ก่อน หรืออาจไม่เคยมีใครที่เห็นมันเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง...

            อัมรินทร์ยกยิ้มมุมปากก่อนจะละสายตาจากคนข้างกายไปยังนักทวงหนี้ทั้งสองที่หย่งฟางส่งมาอีกครั้งพร้อมกับปรับสีหน้าของตนให้ดูจริงจังมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

              “แล้วยังมีเหลืออะไรอีกไหม พวกดอกเบี้ยอะไรพวกนี้” ลูกตาลที่ยืนกอดอกดูเหตุการณ์ภายในห้องรับแขกเอ่ยทักขึ้นมาก่อนที่ชายหนุ่มจะได้ถามอะไร

              “ไม่แล้วครับ ตอนนี้เราได้เงินครบตามจำนวนที่ต้องการแล้ว” นักทวงหนี้คนแรกพูด

              “ถ้าอย่างนั้นเรื่องหนี้ที่พิมพาทำเอาไว้ก็คือว่าหมดหมดแล้วใช่ไหม” อัมรินทร์ถามย้ำขึ้นเพื่อให้เปลวอรุณหันกลับมาสนใจสิ่งที่ยังอยู่ตรงหน้า

              “ครับ”

              นักทวงหนี้คนเดินตอบรับแน่นอนว่านั้นยิ่งทำให้รอยยิ้มของเปลวอรุณกว้างขึ้นและดูผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

              การชำระหนี้และส่งคืนสิ่งที่ใช้ในการประกันชำระหนี้เสร็จสิ้นพร้อมกับตราประทับของคาสิโนที่ถูกประทับไว้เหนือลายเซ็นของเปลวอรุณพื่อแสดงให้รู้ว่าหนี้จำนวนที่ว่าถูกชำระเรียบร้อยแล้วก่อนถูกเก็บเข้าแฟ้มเอกสารสีดำที่นักทวงหนี้นำติดมาด้วยเป็นอย่างสุดท้ายก่อนที่นักทวงหนี้ทั้งสองจะขอตัวกลับ

              และด้วยความเป็นเจ้าบ้านที่ดีเปลวอรุณจึงลุกเดินไปส่งแขกทั้งสองที่หน้าประตูรั้วพร้อมด้วยอัมรินทร์ที่เดินออกมาเป็นเพื่อน ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างๆเปลวอรุณตลอดเวลารอจนกระทั้งเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นพร้อมที่จะเคลื่อนตัวออกเขาถึงได้เอ่ยปากขึ้นมา

              “สบายใจขึ้นแล้วสินะ”

              เปลวอรุณละสายตาจากรถยนต์คันใหญ่ที่เพิ่งแล่นผ่านรั้วบ้านมามองเจ้าของน้ำเสียงทุ่มชวนฟังที่ยืนอยู่ข้างกายด้วยทาทีสบายๆ รอยยิ้มหวานอ่อนคลี่ออกมาเล็กน้อยแทนคำตอบส่งกลับไปให้คนถาม

              ถึงจะวางใจได้แล้วว่าบ้านของเขาปลอดภัยแต่เงินที่ไถ่มันกลับมามันไม่ใช่เงินของเขา....

              เพราะความช่วยเหลือจากอัมรินทร์ที่หยิบยื่นมาให้ทำให้เขาสามารถหาเงินมาได้ทันเวลาก่อนที่หนี้จะถึงกำหนดและเขาก็ต้องหาเงินดังกล่าวมาใช้คืนอัมรินทร์

              “ผมต้องขอบคุณคุณมาเลยนะครับคุณอัมรินทร์ ถ้าไม่ได้คุณผมคงไม่รู้จะหาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหนได้ทัน” คนพูดยิ้มขื่น เมื่อนึกไม่ถึงใครบางคนที่ตัดหางเขาอย่างเลือดเย็น

              “อย่าคิดอย่างนั้นสิ” อัมรินทร์ยิ้ม “ฉันเต็มใจช่วย”

              “แต่เงินขนาดนั้นยังไงผมก็จะพยายามหามาคืนคุณให้ได้ครับ คุณอัมรินทร์จะหักเงินเดือนผมออกไปด้วยก็ได้ผมยินดี” เปลวอรุณเสนอออกมาอย่างยินดี

              จำนวนเงินไม่ใช่น้อยลำพังตัวเขาเองชาตินี้ยังไม่รู้เลยว่าจะหามาคืนอีกคนได้ยังไงหมดหรือบางทีเขาคงต้องหางานทำเพิ่ม...

              “แต่เงินเยอะขนาดนั้นหักเงินเธอทุกเดือนเธอจะเหลือเงินที่ไหนใช่จ่ายกัน ไหนจะค่าเล่าเรียนของลูกตาลอีก” คนเจ้าเล่ห์ทำหน้าเห็นใจยกเอาเรื่องอนาคตของเด็กหนุ่มวัยอุดมศึกษาเข้ามาเป็นข้ออ้างเพราะรู้ดีว่ายังไงเสียเปลวอรุณก็ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการเรียนของลูกชายบุญธรรมคนนี้อยู่มาก

              “ผมพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง” เปลวอรุณตอบกลับอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร

              “เงินเก็บก็คือเงินเก็บสิเปลว เอาไว้ใช้ฉุกเฉิน” อีกคนแสร้งทำเป็นหวังดีเตือนด้วยความเป็นห่วงแม้ว่ามันจะมาจากใจจริงของคนพูดก็เถอะ

              “แต่..”

              “เอาน่า ค่อยๆคืนก็ได้”

              อัมรินทร์ทำน้ำเสียงให้ดูใจดีที่สุดให้เข้ากับรู้ประโยคที่แสนจะเข้าอกเข้าใจอีกคนเป็นอย่างมากและแน่นอนว่าการที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือยามยากลำบากที่สุดย่อมซื้อความไว้ใจของคนสิ้นทางได้อย่างง่ายดาย

ไม่เว้นแม้แต่คนอย่างเปลวอรุณ...

              “แต่ถ้ามีอะไรที่พอจะให้ผมทำเพื่อเป็นการจ่ายหนี้พวกนั้นคืนคุณได้ บอกผมได้เลยนะครับผมพร้อมทำทุกอย่าง” อัมรินทร์กรีดยิ้มร้าย

              “ทุกอย่างเลยหรอ” เขาแกล้งทำเสียงเย้าถามบ่นกั้นขำเพื่อลองเชิง

              “ครับ ขอแค่คุณบอกมาก็พอถ้าผมทำได้ผมทำให้คุณได้ทุกอย่างเลย” และเปลวอรุณก็ตอบกลับอย่างใส่ซื่ออย่างไม่รู้เลยว่าคำพูดที่ออกมาจะทำให้ตัวเองลำบากในอีกช้านี้

              “พูดแล้วนะ”

อัมรินทร์ถามอีกครั้งเพื่อยืนยันคำมั่น

              “ครับ”

            และเปลวอรุณก็ตอบรับคำมั่นที่ว่านั้นจากใจ

              ความยินดีปรากฏชัดเต็มแววตาของอัมรินทร์แม้ว่าตอนนี้เปลวอรุณอาจตอบรับให้คำมั่นอย่างเต็มใจด้วยความปิติแต่อีกไม่นานเรื่องที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้หลังม่านน้ำใจถูกแหวกออกและเขาเองก็คิดที่จะปิดบังเรื่องที่ว่านี้กับเปลวอรุณนานนักหรอกเพราะเขาเองก็เชื่อว่าไม่ว่าความลับไม่มีบนโลกและเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอย่างเปลวอรุณจะรู้สึกผิดหวังกับคนอย่างเขามากน้อยขนาดไหน...?

            “แล้วถ้าฉันจะขอเลยละจะได้ไหม” คำถามที่แลดูมีเล่ห์นัยของอัมรินทร์ดังขึ้นงพร้อมใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้เล็กน้อย

              “คุณอัมรินทร์อยากให้ผมทำอะไรหรอครับ” เปลวอรุณถามกลับอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรว่าควรจะรู้คำตอบดีหรือไม่พลางย่นคอขยับตัวหนีอีกคน

              อัมรินทร์ไม่คิดตอบคำถามอะไรนอกจากยิ้มที่เขามั่นใจว่าใครเห็นก็คงจะต้องหลงพร้อมกับเลื่อนใบหน้าเข้าหาอีกคนใกล้ขึ้นเรื่อยๆแม้เปลวอรุณจะหลบหน้าหนีก็ตาม

              “ถ้ายังไม่กลับก็เข้ามาในบ้านก่อนไหม ข้างนอกมันร้อน”

            แต่เหมือนว่าอัมรินทร์จะเผลอลืมเรื่องสำคัญอีกสักข้อสองข้อไปว่าตอนนี้พวกเขายังยืนกันอยู่ที่หน้าบ้านตรงประตูรั้วที่แน่นอนว่าต้องมีคนสันจรไปมาหรือเพื่อนบ้านที่ออกมารดน้ำต้นไม้สามารถหันมาเห็นได้ว่าพวกเขากำลังที่จะทำอะไรกันและที่สำคัญที่สุดคือเขาลืมไปว่าลูกตาลยังอยู่ในบ้าน

              แน่นอนว่าเสียงเข้มที่ไม่คิดจริงจังอะไรของเด็กหนุ่มนั้นทำเอาเปลวอรุณที่เผลอปล่อยตัวไปครู่หนึ่งสะดุ้งตกใจกับจนแอบคิดไปไกลต่อจากนั้นว่าหากลูกตาลไม่ทักขึ่นมมามันจะเกิดอะไรขึ้นแม้จะไม่มีใครผ่านไปมาให้หวั่นใจว่าจะมาเห็นภาพเมื่อครู่แต่ความกระด้างอายที่มีอยู่มันก็มากพอที่จะทำใบหน้าขาวของเขาก็รู้สึกเห่อร้อนแดงเป็นลูกตำลึงสุกก้มหน้าหลบสายตาเด็กหนุ่มพลิกายแล้วรีบก้างฉับๆเข้าบ้านไปทันทีไม่หันมองกลับผิดกับอีกคนที่ดูจะไม่สะทกสะท้านอะไรกับสิ่งที่จะทำเมื่อครู่ที่เอาแต่มองตามแผ่นหลังของเขาไปอย่างเศร้าเสียดายแต่พอร่างลสูงสมส่วนของเด็กหนุ่มเข้ามาอยู่ในระดับการมองอัมรินทร์เท่านั้นสายตาที่ว่าก็เปลี่ยนเป็นความไม่พอใจพร้อมทั้งยังทำเสียงจิ๊จ๊ะใส่อย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไร แต่มีหรือที่ลูกตาลจะสำนึกใดๆ

              ไม่เลย...

              นอกจากจะไม่สำนึกใดๆหรือรู้สึกผิดที่เข้ามาขัดจังหวะเวลาผู้ใหญ่คุยกันแล้วเด็กหนุ่มยังทำเป็นลอยหน้าลอยตาเมินเฉยต่อสายตาตำหนิของคนที่ยืนอยู่แถมยังยิ้มสะใจที่ได้ขัดจังหวะสำคัญที่ว่านั้นใส่ให้คนมองเจ็บใจเล่นอีกด้วย

              “อะไรลุง มองแบบนี้คือ?” ลูกตาลหันมาถามคล้ายจะเย้ย

              “แกตั้งใจ”

              “หื้อ ตั้งใจ? ตั้งใจอะไรกันลุง”

              “อย่างมาทำไขสือไอ้ตาล แกตั้งใจเข้ามาขัดจังหวะฉันกับเปลวก็เห็นๆอยู่” อัมรินทร์สะบัดเสียงใส่

              “ผมเปล่า” ลูกตาลทำเสียงสูง

              “หรอ”     เขาหรี่ตามองอย่างคิดจับผิด

              “เออสิ ผมเป็นเด็กดีจะตาย”

              อัมรินทร์แบะปากให้กับคำสรรเสริญตัวเองที่ว่านั้น

              “ แต่ว่านะลุง”

               “อะไร”

               “ถึงลุงจะไม่ค่อยมียางอายเท่าไรถึงได้อยากจะทำอะไรมันกลางวันแสกๆแถมยังทำมันหน้าบ้านแบบนี้ด้วยแต่ผมอยากให้ลุงเห็นใจแม่ผมหน่อย แม่เปลวเขาหน้าบางไม่เหมือนลุงหรอกนะ"  ลูกตาลพูดเหมือนปลงใจกับนิสัยที่ว่านั้น แต่ทว่าเนื้อความที่ออกมาจากปากของเด็กหนุ่มนั้นทำเอาอัมรินทร์รู้สึกทะแม่งๆ

              “นี้หลอกด่า”

              “เปล่า” ลูกตาลทำเสียงสูงก่อนหันหลังกลับเตรียมเดินเข้าบ้าน แต่เสียงของอัมรินทร์กลับดังแทรกขึ้นมาก่อน

              “ไปเก็บของสะให้เรียบร้อยละ”

               ลูกตาลหยุดเท้าที่กำลังจะก้าวกลับแล้วหันกายกลับมามองหน้าคนพูดอย่างสงสัย อัมรินทร์ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างไม่คิดตอบหรือขยายความที่ตนนพูดแล้วเดินผ่านเด็กหนุ่มเข้าบ้านไปอย่างสบายอารมณ์

             

 

 

            หลังจากเดินหนีความเขินอายเข้ามาในบ้านแล้วมุ่งตรงขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองแล้ว เปลวอรุณรีบยกมือขึ้นทาบแก้มทั้งสองข้างของตัวเองไปมาเหมือนคนที่พยายามที่จะวัดไข้ให้ตัวเองดูว่าตอนนี้มีไข้หรือไม่ แต่สำหรับเขาตอนนี้คงบอกได้แค่ว่าหน้าของเขานั้นร้อนจริงจนรู้สึกได้แต่มันไม่ได้มาจากพิษไข้อะไรนั้นเลยแม้แต่น้อย

              แต่เป็นเพราะ....

              จะเพราะอะไรก็ชั่ง เปลวอรุณรีบสะบัดหัวไร้ความคิดฟุ้งซ่านนั้นออกไปจากหัวพยายามอย่างยิ่งที่จะสั่งตัวเองไม่ให้หันมองดูหน้าของตัวในกระจกว่าตอนนี้มันมีสีเป็นเช่นไร

            ไม่งั้นหน้าของเขาคงระเบิดด้วยความอาย...

              คนตัวขาวสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเดินตรงไปยังชั้นวางของข้างโต๊ะทำงานลิ้นชักตู้เก็บของข้างโต๊ะทำงานในห้องของเขาถูกเปิดออกซองเอกสารที่เก็บโฉนดที่ดินที่เขาเพิ่งได้กลับคืนมาถูกว่างลงอย่างเบามือลงด้านในข้างๆซากของโทรศัพท์มือถือเครื่องเดิมที่ถูกเขาปาทิ้งไปเมื่อหลายวันก่อนตอนนี้ทั้งเศษซากกระจกหรือกรอบตัวเครื่องที่แตกถูกจับใส่ในถุงซิปล็อคพร้อมกับซิมการ์ดของมันที่เปลวอรุณถือโอกาสนี้เปลี่ยนเบอร์มือถือไปในตัวเพราะตนไม่คิดจะแตะต้องเบอร์นี้อีกและไม่คิดที่จะแตะต้องมันอีกหรือคิดจะนำมันมาใส่กับโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่อัมรินทร์พาไปซื้อตอนออกจากโรงพยาบาล

            นัยน์ตาสีเข้มกลับมาฉายแววเรียบนิ่งอย่างยากที่จะอ่านออกว่าตอนนี้คนที่มองมองมันด้วยแววตาของความรู้สึกแบบใดยามที่จ้องมองเจ้าเครื่องมือสื่อสารที่แตกละเอียดตรงหน้า

             เปลวอรุณจ้องมันอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะเลื่อนลิ้นชักกลับเข้าที่เดิมแล้วล็อคกุญแจด้วยความเคยชินยามที่มีพิมพาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ในบ้านการลงกรล็อคกุญแจจึงเป็นอะไรที่เคยชินมือของเปลวอรุณไปเสียทุกครั้งแต่การปิดล็อคครั้งนี้คงจะต่างเหตุผลออกไปจากทุกครั้งที่เขาทำเพราะตอนนี้สามารถวางใจได้แล้วว่าจะไม่มีใครเข้ามาขโมยของสำคัญของเขาได้อีก

             แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่จะล็อคบางสิ่งเอาไว้แทน...

              ไม่ใช่ว่าเขาโกรธที่ทางนั้นปฏิเสธความช่วยเหลือ แต่เพราะคำพูดบาดหัวใจที่ทำราวกับว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้นเขารับไม่ได้ ยิ่งมันออกมาจากปากของคนที่เขายังเคารพและรักอย่างนั้นด้วยแล้ว

              เจ็บ ผิดหวัง น้อยใจ ....

              ความรู้สึกมันผสมกันไปหมดแต่ที่แน่ๆเลยเขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจของเขาที่ทำให้เขาเลือกที่จะไม่หยิบเอาซิมการ์ดนั้นออกมาใช้อีก

              “เป็นอะไรหรือเปล่า”   อัมรินทร์เอ่ยขึ้นมาทามกลางความเงียบของห้อง เรียกรั้งสติของเจ้าของชื่อที่นั่งซึมอยู่บนเก้าอี้โต๊ะทำงานตรงมุมห้อง

              เปลวอรุณหันหน้ามามองก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆแทนการปฏิเสธ

              “แล้วทำไมทำหน้าอย่างนั้น” ชายหนุ่มถามอีกครั้ง

              “เรื่องไร้สาระนะครับ” เขาตอบพร้อมกับยืนขึ้นเต็มความสูง “คุณอัมรินทร์มีอะไรหรือเปล่าครับ” ก่อนจะเป็นฝ่ายถามกลับไปบ้าง

              “พอดีฉันมีเรื่องจะคุยกับเปลวหน่อยนะ” อัมรินทร์หรี่ตามมองอีกคนก่อนแล้วพูดออกมา

              “เรื่องอะไรหรอครับ ลงไปคุยกันข้างล่างดีไหมครับ”

              “คุยกันบนนี้แหละ จะได้ไม่เสียเวลา”

              “เสียเวลา? เสียเวลาอะไรหรอครับ” เปลวอรุณถามอย่างนึกฉงน

              “ไม่มีอะไรมากหรอก คุยไปเก็บของไปแล้วกันเนอะ” อัมรินทร์ยิ้มแย้ม แต่นั้นไม่ได้ทำให้เปลวอรุณรู้สึกเบาใจได้เลยสักนิดเดียวตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำไป

              “เดี๋ยวก่อนนะครับ หมายความว่ายังไง แล้วทำไมต้องเก็บด้วย” เปลวอรุณรัวคำถามใส่อย่างไม่เข้าใจ

              อัมรินทร์ส่งยิ้มพิมพ์ใจกลับพร้อมสาวเท้าเข้ามาใกล้จนอยู่ในระยะที่ท่อนแขนยาวแข็งแรงของตนสามารถตวัดรั้งให้คนตัวขาวเข้ากอดได้ง่าย คางมนเกยอยู่ที่ลานไหล่พร้อมกระชับแขนที่กอดให้แน่นขึ้นก่อนจะกดจูบเบาๆที่หัวไหล่ของเปลวอรุณ

              “ไปอยู่กันฉันนะเปลว”

              !!

            ม่านตาสีอ่อนเบิกขึ้นอย่างตกใจกับคำที่ออกมาจากริมฝีปากของอัมรินทร์ เปลวอรุณรีบขื่นผละตัวออกจากแผ่นอกกว้างของอีกคนทันที

            “หมายความว่ายังไงกันครับ”

          ทำไมต้องไปอยู่ด้วยกัน...?

           “ก็เธอพูดเองไม่ใช่หรอว่าไม่ว่าฉันจะขอให้ทำอะไรเธอก็พร้อมที่จะทำให้ฉันทุกอย่าง” อัมรินทร์ยิ้มกริมโอบรอบช่วงเอวของอีกคนไว้หลวมๆ ขณะพูดลื้อฟื้นสิ่งที่เคยออกมาจากปากของเปลวอรุณก่อนหน้า

           “ไม่ใช่ว่าฉันไม่ไว้ใจเปลวนะ” เขาว่าดัก

               “แล้วทำไม” ถ้าไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจว่าเขาจะสามารหาเงินมาจ่ายได้แล้วทำไมต้องพาเขาไปอยู่ด้วยด้วยละ....

              “นั้นสิ” อัมรินทร์ทำหน้าคิด

               “คุณอัมรินทร์” เปลวอรุณขึ้นเสียงแต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้คนที่ถูกเอ็ดหุบยิ้มแล้วหันมาจริงจังกับบทสนทนาที่ว่าเลยซ้ำยังรั้งตัวของเขากลับไปกอดเช่นเดิมอีกด้วย

               “จริงๆแล้วเงินที่ฉันออกให้เปลวไปก่อนหน้ามันเป็นเงินที่ฉันจะเอาไว้สำหรับการเตรียมงานเปิดตัวเครื่องเพชรชุดใหม่ของซีซั่นนี้” อัมรินทร์ว่าอย่างเป็นเรื่องเล็กๆไร้สิ่งน่าสำคัญใดๆ แต่ไม่ใช่กับเปลวอรุณ ก็แน่ละมันเป็นเรื่องโกหกนิ...

                “คุณว่าอะไรนะ” ครั้งนี้เปลวอรุณใช้แรงทั้งหมดผลักอกอัมรินทร์ออกอย่างแรงด้วยสายตาที่แทบไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่ออกมาจากปากของชายหนุ่มจะเป็นเรื่องจริงอย่างที่ได้ยิน

                “ก็ตามนั้นไง” อัมรินทร์ตอบท่าทีสบายๆไม่นึกโกรธที่ถูกผลักจนเซถอยหลัง

               “คุณทำแบบนี้ได้ยังไง นั้นมันเงินบริษัทนะ” เปลวอรุณตวาดกลับเสียงดังเหมือนคนสติแตก

              เขาทำงานมานาน นานพอที่จะรู้ว่าเงินบริษัทถ้าหากถูกเอามาใช้ในเรื่องส่วนตัวเมื่อไรมันก็ถือเป็นความผิดที่ถึงขั้นไล่ออกได้หรือไม่ก็ต้องหาเงินมาใช้แทน แต่โปรแจคครั้งนี้เป็นการทำงานร่วมกันนักออกแบบเครื่องประดับอัญมณีระดับโลกอย่างลิลดาด้วยแบบนี้งานย่อมไม่ใช่เล็กๆ นั้นหมายถึงเม็ดเงินจำนวนไม่น้อยที่จะถูกใช้สำหรับงานนี้

              อัมรินทร์คิดอะไรอยู่...

              “พอดีฉันเงินในบัญชีของฉันมันถูกระงับไว้ชั่วคราวนะ ฉันเลยออกเช็คในนามของบริษัทให้ไปแทนไปก่อนกะว่าพอเงินสามารถถอดได้เมื่อไรค่อยเอาออกมาโปะน่ะ”

              “แต่เงินนั้นมันต้องใช้สำหรับเรื่องงานนะคุณอัมรินทร์ ทำไมทำแบบนี้” เปลวอรุณหวีดเสียงสูงตำหนิ ตอนนี้เขาทั้งกำลังสติแตกและโกรธที่เจ้านายของเขาทำราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่นๆ

              “เพราะการจะได้ตัวเธอมามันไม่ใช่เรื่องง่ายไง”

              “อะไรนะ” เขาชะงักแล้วถามซ้ำ

              “ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน เปลวเองก็ไม่เคยที่จะไว้ใจฉัน” อัมรินทร์พูดจี้จุดอีกคนเสียงเรียบจ้องมองคนที่ยืนนิ่งไม่วางตา

              เปลวอรุณไม่เคยไว้ใจอัมรินทร์เลย ไม่แม้แต่จะคิด เชื่อสิถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอัมรินทร์คงไม่มีทางที่จะได้รับความไว้ใจจากเปลวอรุณแน่...

              “และฉันเชื่อว่าคนฉลาดๆอย่างเปลวคงดูออกว่าฉันต้องการอะไร” อัมรินทร์ย้ำความต้องการของตนเองที่อีกคนรู้อยู่เต็มอกให้ชัดขึ้นพร้อมสาวเท้าเข้าใกล้จนเปลวอรุณที่ถอยหนีจนแผ่นหลังติดกำแพงห้อง

              “อย่าบอกนะว่าทั้งหมดนี้คือแผนของคุณ” น้ำเสียงสั่นที่เดาว่าน่าจะเป็นเพราะความโกรธดังออกมาตามไรฟัน

              “แล้วถ้าฉันตอบว่า ใช่ ละ” คนทำยอมรับหน้านิ่ง

เพี๊ยะ!


              “คุณทำแบบนี้ทำไม!”

              ไม่ฝ่ามือที่ตบเข้าที่เสี่ยวหน้าคมฉากใหญ่ที่ทำให้อัมรินทร์รู้สึกเจ็บแต่น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวังนั้นต่างหากที่บาดลึกลงในความรู้สึกของเขา

              ก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องโดนแบบนี้...

              แต่...

              เจ็บชะมัด...

              “ทำไม”

              “...”

              “ทั้งๆที่ผมเชื่อใจไว้ใจคุณแล้ว ทำไมคุณถึงกับผมแบบนี้ ทำไม”

            อาศัยช่วงที่เขาอ่อนแอที่สุด มาทำให้เขาเชื่อใจและไว้ใจเพื่อที่จะทำกับเขาแบบนี้หรอ....

              น้ำตาสีใสไหลนองหน้ายิ่งกระตุกหัวใจของอัมรินทร์ให้ล่วงหล่นมากกว่าเดิม รอยยิ้มหยอกเย้าที่ตอนแรกยังประดับอยู่บนใบหน้ามาตั้งแต่แรกเดินเข้ามาในห้องหายวับไปหมดสิ้นเขายอมที่จะยืนอยู่เฉยๆอยู่ตรงนั้น ยืนนิ่งให้เปลวอรุณคว้าเสื้อของเขามากำแน่นแล้วเขย่าไปมายอมให้อีกคนตะคอกเสียงใส่

              ยอมให้ทำ แต่เขาคงไม่หยุด...

              “เพราะฉันรอเปลวมานานพอแล้ว”

              มือหนาเอื้อมขึ้นมาจับข้อมือทั้งสองข้างของคนตรงหน้าให้ปล่อยเสื้อของเขาออก นัยน์ตานิ่งเรียบจ้องมองแววตาสั่นๆที่คล้ายจะตัดพ้อเขา

              “...”

              “สามปีที่ฉันรอเปลวมามันนานพอแล้วและฉันจะไม่รออีกแล้ว ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลหรือเพราะอะไรก็ตามฉันจะทำให้เปลวเป็นของฉันเหมือนอย่างที่ฉันกำลังจะทำอยู่ตอนนี้”

              “...”

              “และเปลวก็เป็นคนพูดเองว่าจะยอมทำตามที่ฉันพูดทุกอย่างไม่ใช่หรอ นี้ไงฉันกำลังจะบอกให้ฟังนี้ไง”

              “ไม่!” เปลวอรุณปฏิเสธเสียงลั่น พยายามบิดข้อมือออกจากมือของอีกคนด้วยแต่ยิ่งบิดหนีอัมรินทร์ก็ยิ่งเพิ่มแรงให้จับแน่นขึ้นจนเริ่มแดง

              “หรือเปลวมีเงินมาคืนฉันทัน”

            !

            “เปลวก็รู้นิว่าพองานมันเริ่มแล้ว เงินมันต้องหมุนต้องจ่ายเธอมีพอจะจ่ายคืนฉันทันหรอ” ไม่ได้อยากจะเหยียบซ้ำแต่ถ้าไม่ขยี้เขาคงไม่ได้สิ่งที่ต้องการ

              “แต่..”

              “บ้านของเธอคือสิ่งที่ฉันจะขอ”

              “อะไรนะ”

              “ถ้าเธอเอาเงินมาคืนไม่ทัน บ้านของเธอจะกลายเป็นเงินที่ฉันจะเอามาจ่ายให้กับพนักงานและคนงานต่างๆ”

            “คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะคุณอัมรินทร์ ผมไม่ยอม” เปลวอรุณว่าเสียงกร้าว

              “งั้นก็ยอมเป็นของฉันสิเปลว” คำเสนอที่ออกมาทำเอาคนฟังถึงกับชะงักค้าง ใครจะคิดกันละว่าอัมรินทร์จะมาไม้นี้

              “ไหนๆนายก็ชอบบ่นฉันเรื่องเปลี่ยนคู่นอนไม่ซ้ำหน้าอยู่แล้วนายก็มาทำหน้าที่นี้ด้วยเป็นไง แค่นายยอมเป็นของฉันบ้านนายก็ยังปลอดภัย แถมเงินค่าหนี้ฉันก็ไม่เร่งรัดค่อยๆจ่ายเหมือนที่นายเสนอมาเผลอๆฉันอาจยกหนี้ให้เลยก็ได้”  อัมรินทร์ว่าเหมือนใจดี

               แต่นั้นไม่ใช่เลย...

              ข้อเสนอที่ดูจะเป็นความหวังดีสุดท้ายมันก็แค่ข้อเสนอที่บีบให้เขายอมที่จะตบปากรับคำตามความต้องการของอีกคนมันก็เท่านั้น

              เขาเสียรู้อัมรินทร์เข้าให้แล้ว...

              “คุณไม่ควรทำแบบนี้คุณอัมรินทร์ คุณไม่น่าทำ”  เปลวอรุณว่าเสียงสั่นไม่แม้จะเงยหน้าขึ้นมามองคนตรงหน้าแม้แต่น้อย

              เพราะมันทำให้ผมผิดหวัง...

              “ไม่ ฉันควรทำมันนานแล้วต่างหาก” อัมรินทร์ส่วน

              “คุณมันเจ้าเล่ห์” เปลวอรุณกล่าวหา

              “ฉันยอมเป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์ถ้ามันสามารถทำให้ฉันสามารถกินหนูน้อยหมวกแดงอย่างเธอเข้าไปได้ทั้งตัว”  เขาว่าพลางเชยคางหนูน้อยหมวกแดงตรงหน้าขึ้นมาสบตา

              “ไปล้างหน้าดีกว่า เปลวไม่เหมาะกับน้ำตาหรอกเชื่อฉันสิ”

              ไม่ใช่ว่าไม่เหมาะหรอก...

              สำหรับเปลวอรุณไม่ว่าจะยิ้มหรือหัวเราะเบาๆอย่างที่ชอบทำหรือยามที่ชอบตีหน้านิ่งไร้ความรู้สึกหรือแม้แต่ตอนนี้ที่ใบหน้าขาวเปื้อนไปด้วยคาบน้ำตาเขาก็มันว่าเหมาะกับเปลวอรุณอยู่ดี แต่เขาแต่ไม่อยากเห็นใบหน้าแบบนี้ของอีกคนมากกว่า

              มือที่เชยคางอีกคนเลื่อยลงมาเป็นโอบที่ไหล่ออกแรงเล็กน้อยเพื่อดันให้อีกคนยอมเดินตามไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล เพราะเปลวอรุณดูจะเหมือนหมดอาลัยไม่แม้จะคิดขยับตัวหรือทำอะไรเอาแต่ยืนนิ่งอยู่หน้าอ่างล้างหน้าอัมรินทร์จึงเป็นฝ่ายที่เปิดก๊อกน้ำน้ำผ้าที่อยู่ไม่ไกลชุบแล้วเช็ดที่หน้าของเปลวอรุณแทนโดยไม่คิดปริปาก

              และตั้งแต่ตอนนั้นเปลวอรุณก็ไม่เปิดปากพูดกับอัมรินทร์อีกเลยสักคำเดียว...

              จะบอกว่าโกรธก็คงใช่แต่มันก็เจือปนไปด้วยความผิดหวัง เปลวอรุณยอมรับอยู่ลึกๆว่าตอนนี้เขาเองก็เปิดใจให้อัมรินทร์มาพอสมควรเลยกานเป็นว่านอกจากความโกรธแล้วเขาจึงรู้สึกผิดหวังกับการกระทำที่อีกคนคิดฉวยโอกาสทำให้เข้าไว้ใจแล้วตลบหลังกันแบบนี้

                 ทำไมใครต่อใครถึงเอาความเชื่อใจของเขาที่มองให้มาทำร้ายจิตใจของเขาแบบนี้ด้วย...

                เปลวอรุณคิดอย่างตัดพ้อน้อยใจตัวเองจ้องมองเพดาห้องนอนผ่านความมืดมิดของเวลากลางคืน อัมรินทร์กลับไปแล้วแต่อีกไม่นานก็จะกลับมาใหม่กลับมารับเขากับลูกไปอยู่ด้วยที่บ้านของอีกฝ่ายข้าวของที่จำเป็นบางส่วนของเขาถูกเก็บใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่โดยลูกตาลเพราะตัวเขาเองไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรสักอย่างเลยในตอนนี้ ทั้งๆที่เขาเพิ่งได้บ้านกลับคืนมายังไม่ทันได้ดีใจหลับเต็มตาเขาก็ต้องกลับมานอนคิดมากอีก

                 ก็ได้แต่หวังว่าเรื่องร้ายๆมันจะผ่านไปจากชีวิตเขาเร็วๆก็เท่านั้น....



______________________________________________________________________________

แบบนี้เขาเรียกความพิมพาไม่ทันหายความอัมรินทร์ก็เข้ามาแทรก เอ๊ย ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก หรือเปล่า

ตอนนี้เปลวรู้แล้วว่าสิ่งแอบแฝงของอัมรินทร์คืออะไร

มาลุ้นกันต่อดีกว่าเปลวสิรู้เมื่อไรว่าทั้งนี้เป็นแผนของอิหนูอันอัน


บอกไว้ก่อนเลยว่าเส้นทางรักของหนูอันอันไม่ราบเรียบแน่นอน!!

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Timber Huang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บางทีการยึดติดกับอะไร จนสุดท้ายมันทำให้เราลำบากเราก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไร ที่จะยึดติดอยู่กับมันต่อไปนะ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
โดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า สงสารเปลว

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ชีวิตเปลว :hao5:

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 508
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ชีวิตเปลวน่าสงสารร แงงงงง โดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ออฟไลน์ ลิงน้อยสุดเอ๋อ

  • ถึงจะเหงา แต่ไม่ได้ง่าย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-2
    • Fanpage
สงสารเปลว


ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
 
เป็นหนี้ ครั้งที่ 12



               “ซ้ายๆๆ ซ้ายอีกหน่อยครับ นั้นแหละ โอ๊ะ  ตรงนั้นระวังหน่อยนะเดี๋ยวมันแตก”

                ชายหนุ่มเจ้าของบ้านร้องบอกพนักงานขนของสองคนที่กำลังขนของหนักสองคนให้ระวังสวนถาดแก้วที่การจัดแต่งดูจะแปลกตาไปเสียหน่อยแต่มันคือสุดยอดสิ่งที่อัมรินทร์ภาคภูมิใจที่สุดที่ทำมันออกมาได้และเขาจะไม่ยอมให้มันแตกก่อนที่เปลวอรุณจะได้มาเห็นมันแน่

                 “คุณอันครับ”

                  “ครับ”

                 อัมรินทร์ละสายตาจากคนงานที่กำลังขนย้ายข้าวของทั้งเก่าและใหม่ในห้องให้เป็นไปตามแบบมาสนใจหนุ่มใหญ่วัยหกสิบรูปร่างสูงโปร่งผมยาวสีดอกเลาที่ยังดูทะมัดทะแมงแข็งแรงเหมือนหนุ่มๆอย่างลุงอุ่น

                 “ลุงให้เด็กๆเคลียร์ตู้เสื้อผ้าอีกตู้ให้เรียบร้อยแล้วนะครับ ส่วนห้องนอนเล็กตอนนี้ก็ลงของเสร็จแล้วเหมือนกันครับ”

                 “โอ้ ขอบคุณมากครับลุงอุ่น ลุงไปพักเถอะเดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง” อัมรินทร์หันมายิ้มกว่าให้หัวหน้าคนพ่อบ้านที่สนิทกันก่อนจะออกปากจัดการที่เหลือต่อพร้อมดันหลังคนมีอายุให้เดินออกจากห้องไปคล้ายมัดมือชก

                  “ไม่เป็นไรครับ คุณอันนั้นแหละไปพัก”

                  “ไม่ครับ ลุงอุ่นอย่าดื้อสิ”

                   สองหนุ่มต่างวัยดูเหมือนจะไม่มีใครยอมใครในเรื่องการไล่ให้อีกคนไปพักแต่คนดื้อดึงอย่างอัมรินทร์มีหรือจะยอมง่ายๆ เขาจัดการดันหลังของลุงอุ่นให้ออกไปยืนอยู่ด้านนอกพร้อมทั้งสั่งแกมบังคับไม่ให้อีกคนเข้ามาด้านใน

                    “ห้ามลุงเข้ามาในห้องนี้จนกว่าช่างเขาจะจัดของเสร็จนะครับ พวกเธอด้วยถ้าใครปล่อยให้ลุงอุ่นเข้ามาฉันจะหักเงินเดือนพวกเธอ”

                    อัมรินทร์ชี้ไปทางสาวใช้สองคนที่เดินผ่านมาให้เฝ้าลุงอุ่นเอาไว้ งานนี้เลยพลอยทำให้ลุงอุ่นได้แต่ยืนน้ำท่วมปากอยู่หน้าห้องมองเจ้านายหนุ่มด้วยสายตาเป็นห่วง เพราะตั้งแต่ช่วงสายที่อัมรินทร์ลางานกลับมาดูความเรียบร้อยของงานตกแต่งห้องจนตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะห้าโมงเย็นแล้วแต่เจ้านายหนุ่มรุ่นลูกคนนี้ยังไม่คิดที่จะพักเลยแม้แต่น้อยซ้ำยังดูเอาจริงเอาจังกระตือรือร้นกับการจัดห้องใหม่เสียเหลือเกิน

                 จนน่าแปลกใจ...

                  บางทีอาจเป็นเพราะคำพูดเมื่อวาน....

                  “พรุ่งนี้เปลวกับลูกตาลจะย้ายมาอยู่ที่บ้านเรา”

                  หัวข้อของบทสนทนาบนโต๊ะอาหารในตอนเย็นที่อัมรินทร์พูดกับอนิรุทธิ์ฟังดูก็เหมือนหัวข้อคำบอกเล่าเฉยๆแต่ก็มากพอที่สร้างความแปลกใจให้กับคนที่อยู่ร่วมฟังอย่างตัวลุงอุ่นและแม่บ้านอีกสองคนที่ยืนอยู่ในห้องกินข้าวให้เกิดเป็นคำถามขึ้นในหัวว่า ใคร...

                 “เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมีของมาส่งที่บ้านลุงอุ่นก็ช่วยดูแลด้วยนะครับ”

                ตอนแรกเขาเองก็เข้าใจว่า ของ ที่จะมาส่งคงเป็นของเล็กๆน้อยๆแต่ที่ไหนได้กลับเป็นรถขนของจากห้างสรรพสินค้าสำหรับตกแต่งบ้านแบบชุดใหญ่ที่แต่เห็นก็พอที่จะเข้าใจได้ว่างานนี้คงไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ เพราะถึงขนาดที่ว่าอัมรินทร์ซื้อของชุดใหม่เกือบทั้งหมดในการตกแต่งห้องใหม่เพื่อรอรับใครบางคนที่กำลังมาด้วยแบบนี้ สมาชิกใหม่ ของบ้านคงไม่ได้มาในฐานะแขกชั่วคราวหรือคนมาอาศัยอยู่ด้วยแน่

                 ด้วยความที่อาบน้ำร้อนมาก่อนทั้งยังเป็นคนที่เลี้ยงดูอัมรินทร์และอนิรุทธิ์มาตั้งแต่ยังแบเบาะทำไมคนแก่คนนี้จะมองไม่ออกว่านายน้อยของตนดูมีความสุขขนาดไหนตอนที่พูดถึงหนึ่งในสองของสมาชิกใหม่ของบ้านขนาไหน

                  แต่ที่น่าสงสัยคือความสัมพันธ์ของทั้งสองมากกว่า...

                   “เวรละ”  เสียงสถบเบาๆของเจ้าของห้องดังขึ้นเรียกให้คนแก่ที่กำลังจมอยู่กับข้อสันนิฐานของตัวเองให้หันกลับไปมองเจ้านายหนุ่มของตน 

                   “มีอะไรหรือเปล่าครับคุณอัน” ลุงอุ่นถาม

                   “คือ..”  อัมรินทร์รนราน

                   เขามั่วแต่สนใจกับการแต่งห้องจนลืมไปเลยว่าเขานัดว่าจะไปรับเปลวอรุณที่บ้านซึ่งอีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะถึงเวลานัดแล้วด้วยแต่เขาไม่อยากจะฝากงานให้ลุงอุ่นดูแลต่อเพราะลุงแกก็ช่วยเขาดูช่างที่เข้ามาทำห้องเล็กตั้งแต่เที่ยงแล้วด้วย

                    “ไอ้รุทธิ์” และทางออกสุดท้ายของเขาก็เดินผ่านมาพอดี

                     อนิรุทธิ์ที่เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนเหลียวหลังกลับไปมองลูกพี่ลูกน้องหนุ่มที่ตะโกนเรียกเขาดังออกมาจากในห้องที่เต็มไปด้วยพนักงานขนของสามสี่คนที่กำลังช่วยกับเก็บรายละเอียดงานสุดท้ายกันอยู่

              “อะไรมึง” อนิรุทธิ์เลิกคิ้วถาม

              “มึงว่างใช่ไหม ใช่มึงว่าง”

              อัมรินทร์ตอบแทนอนิรุทธิ์ที่กำลังจะอ้าปากตอบ

              “กูต้องไปรับเปลวกับลูกตาลที่บ้าน กูฝากมึงดูช่างหน่อย” เจ้าตัวรวบรัดตัดตอนไม่แบ่งช่องไว้ให้อีกคนได้แย่งพร้อมยัดเยียดกระดาษแผ่นหนึ่งใส่มือลูกพี่ลูกน้องหนุ่ม

              “ฝากด้วยนะเว้ย ถ้ากลับมาห้องกูเละไม่ถูกใจเปลวกุเอามึงตายแน่ คุณนิลเฝ้าไอ้รุทธิ์ให้พ่อด้วยนะลูก” ซ้ำยังชี้หน้าคาดโทษพร้อมลูบหัวฝากฝั่งหน้าที่ผู้คุมให้กับลูกสาวสี่ขาที่เพิ่งเดินมาเป็นการตบท้ายก่อนจะวิ่งลงบันไดแล้วออกจากบ้านไป

              อนิรุทธิ์ที่เหมือนถูกขโมยปากขโมยคำไปไม่ทันได้แย้งหรือขัดอะไรก็ได้แต่บ่นพึมพำตามหลังคนเจ้ากี้เจ้าการอย่างอดไม่ได้แถมเจ้ามณีนิลก็ดูจะเชื่อฟังคำพ่อของมันเสียเหลือเกินทั้งดันทั้งงับขากางเกงให้เขาเดินเข้าไปในห้องจนเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินเข้าไปยืนคุมงานในห้องตามคำสั่งนั้นอย่างจำใจ

              อะไรวะเนี้ย....

            แต่เสียงคร่ำครวญตัดพ้อของอนิรุทธิ์คงไม่สามารถส่งไปถึงเพราะนอกจากอัมรินทร์จะหาได้สนใจเสียงในใจของลูกพี่ลูกน้องหนุ่มแล้วไซร้ เจ้าตัวยังคงฮัมเพลงอย่างมีความสุขไปจนถึงบ้านของเปลวอรุณอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวแต่อย่างใด

              อัมรินทร์ดับเครื่องยนต์รถขว้างหน้าประตูรั้วสีขาวก่อนจะก้าวลงจากรถเปิดประตูรั้วที่ไม่ได้ล็อกเอาไว้แล้วเดินเข้าไปด้านใจอย่างหน้าชื่อตาบานแต่เขาต้องเก็บอาการดี้ด้าออกนอกหน้าของตนเอาไว้ก่อน เพราะมันคงจะดูไม่ดีเท่าไรที่เขาจะยิ้มร่าเข้าไปในบ้านในขณะที่เจ้าของบ้านเอาแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดแววตาเศร้าซึมแบบนั้น

              “เปลว”

              เสียงเรียกชื่อที่พยายามอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้หลุดความลิงโลดยามที่ได้เจอไม่ได้ช่วยให้คนที่ยังอยู่ในชุดทำงานตัวเดินตั้งแต่เมื่อเช้าคล้ายความเซื่องซึมอยู่บนโซฟาหน้าทีวีให้ดูดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังเหมือนการตอกย้ำให้อีกคนทำหน้าตักพ้อน้อยใจใส่มากกว่าเดิมอีก

              “ฉันมารับแล้ว เก็บของเรียงร้อยแล้วใช่ไหม” เขาถาม

              เปลวอรุณนิ่งเงียบไม่ยอมพูด เลยกลายเป็นลูกตาลที่ต้องตอบคำถามนั้นแทนอย่างเสียไม่ได้

              “ถ้างั้นผมเอาของไปขึ้นรถเลยนะ”   ลูกตาลว่าพร้อมรับฉวยเอารีโมทรถยนต์มาจากมือของอัมรินทร์เพื่อนำกระเป๋าเสื้อผ้าของพวกเขาขึ้นรถที่จอดรออยู่ กลายเป็นว่าเป็นการเปิดทางให้อัมรินทร์ได้อยู่กับเปลวอรุณเพียงลำพังสองคนไปกลายๆ

              “ทำไมหน้าเซียวๆแบบนี้ เมื่อคืนไม่ได้นอนหรอเปลวหรืองานวันนี้มีปัญหา” อัมรินทร์ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

              อย่างที่บอกว่าเปลวอรุณเป็นคนผิวออกขาวเวลาเป็นอะไรจึงสามารถเห็นได้ชัด อย่างเมื่อวานที่เขาจับอีกฝ่ายแรงไปจนตอนนี้ที่ข้อมือทั้งสองของอีกคนก็ยังมีรอยแดงจางๆเป็นรูปมือของเขาให้เห็นอยู่จึงไม่แปลกที่เขาจะสามารถเห็นรอยคล่ำใต้ดวงตาคู่สวยกับผิวหน้าที่ออกเหลืองเล็กน้อยเหมือนตอนที่เจ้าตัวโหมงานจนอดหลับอดนอนทั้งคืน

              “ผมไม่เป็นอะไรครับ”  เปลวอรุณตอบแบบปัดๆพร้อมละใบหน้าหนีนิ้วมือของอัมรินทร์ที่ยกมาเกลี่ยอยู่ที่ข้างแก้ม

              “งั้นหรอ”  อัมรินทร์ไม่ได้ว่าอะไร

              นัยน์ตาคมกวาดมองบ้านหลังขนาดกลางแบบสร้างเองของเปลวอรุณที่ข้าวของทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาพที่ทุกอย่างยังคงถูกจัดวางอยู่ที่เดิมไม่มีการเก็บสิ่งใดลงกล่องหรือถูกคุมด้วยผ้า

              “ไปกันเถอะเปลว” เขาลุกขึ้นยืน แน่นอนว่าคำพูดนั้นของเขาทำเอาใจคนฟังหล่นหายม่านตาสวยคล้ายจะมีน้ำใสคลอหน่วงมือคู่กำแน่นไม่ยอมปล่อย

              “แต่ผมไม่อยากไป” เปลวอรุณพูดออกมาเสียงสั่น ทั้งๆที่นี้คือบ้านของเขาแต่เขากลับจะไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้อีกเป็นใครก็คงปวดใจไม่ต่างจากเขาตอนนี้

              “อย่าดื้อเปลว” อัมรินทร์ทำเสียงเอ็ด ทั้งยังจับเข้าที่มือของอีกคนเป็นเชิงให้ลุกตามมา

              “ฉันไม่ห้ามถ้าเปลวจะกลับมาบ้านนี้บ้างแต่ต้องบอกฉันก่อนแล้วฉันจะมาด้วย” เพราะความผูกพันมันคงตัดกันไม่ขาดภายในข้ามคืนดังนั้นอัมรินทร์จึงไม่คิดห้ามหากว่าเปลวอรุณจะคิดถึงบ้านแล้วอยากจะกลับมาอยู่ที่นี้บางในวันหยุดแต่ต้องบอกและให้เขามาด้วยก็แค่นั้น

              กว่าจะได้เปลวมาไม่ใช่เรื่องง่าน เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่คิดจะห่างจากเปลวอรุณแม้สักนาทีเดียว...

              แม้ข้อเสนอของอัมรินทร์จะไม่ทำให้เปลวอรุณรู้สึกดีขึ้นมาเลยเสียที่เดียวแต่อย่างน้อยการที่เขาสามารถขออีกฝ่ายกลับมาอยู่บ้านตัวเองได้บ้างก็ยังพอทำให้ใจดวงน้อยชื้นขึ้นมาบ้างจึงยอมที่จะลุกตามแรงดึงของคนตัวใหญ่ไปอย่างง่ายๆ

              อัมรินทร์ที่พอเห็นว่าเปลวอรุณดูว่าง่ายขึ้นก็ยิ้มพอใจจูงมือเดินนำอีกคนออกจากบ้านโดยไม่เอ่ยปากอะไรออกมาปล่อยให้เปลวอรุณทอดสายตามองบ้านแสนรักของตนอย่างอาลัยรักเงียบๆไม่เอ่ยปากเร่งแม้อีกคนจะทำตัวเอื่อยๆเฉยๆยามที่ลงกรใส่กุญแจรั้วเพราะเข้าอกเข้าใจจึงไม่รบเร้ามากให้อีกคนมองเคยแย่ไปกว่าเดิม

              แค่เปลวอรุณยังยอมพูดกับเขาแบบปกติเหมือนเมื่อครู่อยู่ก็พอแล้ว...

             

              คนอารมณ์ดีเหมือนผีเข้ามาตั้งแต่เช้าก็ยังอารมณ์ดีอยู่อย่างนั้นแม้ผู้โดยสารทั้งสอนในรถของตนจะไม่ได้ดูเอ็นจ้อยไปกับเขาด้วยเลยแม้แต่น้อย ลูกตาลทำหน้าเหม็นเบื่ออย่างเห็นได้ชัดมาตั้งแต่ออกจากบ้านมาเมื่อเย็นจนถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มไม่ได้พูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไรออกไปมากไปกว่าที่อัมรินทร์เอ่ยปากถามเวลายู่บนรถเพื่อที่ว่าบรรยากาศมันจะไม่ดูน่าอึดอัดใจมากเกินไป อย่างน้อยก็แค่พอทำให้บรรยากาศสองขั้วที่ข้างหนึ่งดูสดใสมีความสุขกับอีกข้างชั่งหม่นหมองเหมือนคนที่กำลังแบกโลกไว้ทั้งใบเอาไว้อย่างไงอย่างนั้น แม้เปลวอรุณจะไม่ขอเข้ามามีส่วนร่วมในวงสนทนาของทั้งคู่แต่แค่อีกคนมีการตอบรับออกมาบ้างเท่านั้นก็มาพอที่จะทำให้บรรยากาศดีขึ้นและอัมรินทร์ก็ยิ้มได้หน้าบานมากกว่าเดิมจนถึงบ้าน

              ทันทีที่อัมรินทร์หักพวงมาลัยรถต์เข้ามารถจอดที่ทางเข้าประตูบ้านชายหนุ่มก็รีบปลดเบลออกแล้วพุ่งตัวออกจากรถเพื่อไปเปิดประตูให้ตุ๊กตาหน้ารถคนสวยของตนตัดหน้าแม่บ้านวัยกลางคนที่กำลังเดินลงขั้นบันไดมาทำหน้าที่ แน่นอนว่าครั้งนี้ลูกตาลเองก็มีลูกคู่ที่พร้อมจะแบะปากไปพร้อมๆกันอย่างอนิรุทธิ์ที่ยืนกอดอกมองบนพิงกรอบประตูรออยู่ตรงประตูทางเข้าบ้าน

              ในขณะที่ใครหลายคนกำลังจับจ้องการกระทำของอัมรินทร์ที่ปฏิบัติต่อเปลวอรุณอย่างตั้งคำถามก็มีอยู่อีกหนึ่งที่ดูจะดีใจจนหางสั้นกุดของมันส่ายไปมาจนก้นน้อยๆส่ายไปมาอย่างน่ารัก

              “งื้มมมม”

              เสียงครางหงิงในลำคอยามที่จะแสดงอาการดีใจออกมาให้ผู้เป็นเจ้าของรับรู้พร้อมทั้งแรงกระโจนโถมใส่อย่างที่ทำเป็นประจำของมณีนิลที่วิ่งออกมาจากตัวบ้านด้วยความเร็วก่อนจะกระโดดขึ้นเพื่อหมายจะกอดต้อนรับการกลับมาบ้านของพ่ออันเป็นที่รักที่เพิ่งจากกันไปเพียงไม่นาน

              “เฮ้ย!”

              เปลวอรุณร้องเสียงหลง เนื่องด้วยตัวเขาเองไม่สันทัดเรื่องการเลี้ยงสัตว์ซ้ำยังเป็นสุนัขตัวโตสายพันธุ์นักล่าด้วยแล้วทำให้คนตัวขาวรีบเบี่ยงตัวหลบจนชิดประตูรถเช่นเดียวกับลูกตาลที่รีบยื่นแขนกางออกมาป้องแม่ตัวเองตามสัญชาติญาณ

              “ไม่ต้องกลัวเปลว คุณนิลไม่กัดหรอก จริงไหมคะ” อัมรินทร์กางแขนรับมณีนิลมาอุ้มก่อนจะหันมาบอกอีกคนทั้งรอยยิ้มขณะอุ้มเจ้าลูกรักที่ยกสองขาหน้าพาดบ่าเลียหน้าเลียตาเขาอย่างคิดถึงแทบขาดใจ

              “คุณนิลทักทายแม่เปลวกับพี่ตาลเขาหน่อยสิลูก” มณีนิลเองก็แสนเชื่องพ่อบอกอะไรก็ทำตามไปสะทุกอย่าง

              สี่ขาตัวโตในอ้อมแขนของอัมรินทร์ยื่นหน้ายื่นตาไปด้านข้างพยายามส่งเสียงเรียกความสนใจคล้ายอยากจะทักทายแม่กับพี่ชายคนใหม่ แต่เปลวอรุณดูจะยังไม่ค่อยกล้าที่จะเข้าใกล้เท่าไรจนอัมรินทร์ต้องขยับตัวเพื่อให้อยู่ในระยะที่มณีนิลจะสามารถเอี้ยวตัวไปหาอีกคนได้และพอเข้าใกล้ได้ความเป็นมิตรผิดสายพันธุ์ของเจ้าตัวก็ไม่รอช้าที่จะเลียเข้าที่ข้างแก้มขาวของแม่ใหม่ที่หลับตาปรี่ใส่มัน

              เมื่อไร้การคุกคามหรือพฤติกรรมกร้าวราวอย่างที่หวั่น เปลวอรุณจึงค่อยๆลืมตาขึ้นมามอง

              “ลองลูบดูสิเปลว” อัมรินทร์แนะ

              เปลวอรุณมองหน้าอัมรินทร์สลับกับมณีนิลอย่างหวั่นๆแต่ก็ยอมที่จะยกมือขึ้นอย่างกล้าๆกลัวตามที่อีกคนบอก เส้นขนสั่นดำมันวาวดูจะเป็นอะไรที่มณีนิลภูมิใจทันทีที่ฝ่ามืออุ่นนุ่มทาบลงที่หัวของมันได้มณีนิลก็ไถ่หัวของมันไปตามมืออุ่นของเจ้านายใหม่อย่างยินดีเรียกร้อยยิ้มของเจ้าของมือได้อย่างดี

           “เห็นไหมละเปลว” อัมรินทร์ว่า “ลองจับดูตาล” พร้อมพยักเพยินให้ลูกตาลเข้ามาใกล้

            ลูกตาลหรี่ตามองเว้นระยะไว้เล็กน้อยก่อนจะยอมทำตามที่อีกคนว่า แม้จะไม่ดุร้ายเหมือนที่ว่าแต่มณีนิลก็ไม่ได้แสดงความรักใคร่ต่อเด็กหนุ่มเหมือนที่ทำต่อเปลวอรุณเท่าไรนัก แค่เลียที่มือของเขาเท่านั้นก่อนจะหันไปเรียกร้องขอให้เปลี่ยนจากอัมรินทร์เป็นเปลวอรุณที่อุ้มตัวแทนเหมือนลูกหมาตัวเล็กๆที่กำลังเรียกร้องความรักความสนใจจากเจ้าของ

            “เหอะ” เด็กหนุ่มทำเสียงใส่ในลำคอกับความลำเอียงของทั้งคนทั้งหมาบ้านนี้

            คนพ่อก็ปล่อยให้เขาแบกของยกกระเป๋าเปิดประตูเอง ตัวลูกก็เชิดใส่....

             เอาเข้าไป...

              “มึงไม่คิดจะพาลูกเมียมึงเข้าบ้านหรือแนะนำตัวให้ใครเขารู้จักหน่อยหรอวะ” คนที่ยืนนิ่งเงียบมองดูครอบครัวสุขสันมาสักพักใหญ่เอ่ยขึ้นแทรกผ่านความเคลือบแคลงใจของเหล่าผู้น้อยในบ้านกับบรรยากาศครอบครัวของอัมรินทร์ที่เห็นละมันขัดๆตายังไงชอบกล

               “เออใช่” และเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ อัมรินทร์หันกายที่ยังคงอุ้มมณีนิลอยู่กลับมามองลุงอุ่นและเหล่าแม่บ้านคนสวนตรงหน้าที่ยังคงยืนกันอยู่

              “ทุกคนนี้ เปลวอรุณ กับ ลูกตาล ตั้งแต่วันนี้พวกเขาจะย้ายมาอยู่กับเราที่นี้นะ เดี๋ยวเอากระเป๋าเป้ไปเก็บที่ห้องนอนเล็กนะ”อัมรินทร์พร้อมหันไปทางกระเป๋าเป้เดินป่าใบใหญ่ของลูกตาล “ส่วนกระเป๋าลากใบนั้นเอาไปไว้ที่ห้องฉัน จัดใส่ตรงตู้ที่ว่างนะ” ก่อนจะหันมาที่กระเป๋าล้อลากของเปลวอรุณที่อยู่ข้างกัน

              “คุณอัมรินทร์!”  เปลวอรุณท้วงเสียงดัง

              “ทำไมละเปลว” เจ้าตัวหันกลับมาถามเสียงซื่อ

             “ทำผมต้องไปนอนห้องเดียวกับคุณด้วย”

              “โถ เปลว” อัมรินทร์พูดเสียงอ่อนใจ

              “ก็นี้พ่อ” เจ้าตัวพยักหน้าเข้าหาตัวเอง “นั้นแม่” แล้วพยักไปหาเปลวอรุณ “ส่วนนู้นก็ลูก จริงไหมลูกตาล” ก่อนจะไปจบลงที่เด็กหนุ่มที่กอดอกมองดูอยู่พร้อมคำถามที่ดูก็รู้ว่าวกำลังหาแนวร่วม

              “ปะ เข้าบ้านกันดีกว่า” คนที่เปิดประเด็นร้อนฉ่าออกมาก็ดันเป็นฝ่ายตัดบทเสียเอง

               อัมรินทร์ปล่อยมณีนิลลงกับพื้นก่อนจะใช้มือปัดเสื้อตัวเองเล็กน้อยแล้วหันไปโอบเอวเปลวอรุณออกแรงดันช่วงหลังให้คนน้ำท่วมปากยอมเดินตามตัวเองเข้าไปในบ้าน ไม่แคร์และไม่สนใจสายตาตั้งคำถามที่ต้องการการขยายความจากจนเลยแม้แต่น้อย

              “นี้มันเรื่องอะไรยังไงกับครับคุณรุทธิ์ ลุงงงไปหมดแล้ว” ลุงอุ่นรีบตรงเข้ามาถามเจ้านายหนุ่มคนพี่ที่ยังคงยืนกรอกตามองบนอยู่กับทีทันทีเมื่อคนที่อยากจะถามดันเดินหนีไปก่อน

            “นั้นสิค่ะ พ่อแม่ลูกอะไรกันคะ” แม่บ้านสาววัยใกล้เคียงกันถามขึ้นบ้าง

              “ก็ตามนั้นละ พวกเธอก็ทำตามที่ไอ้อันมันบอกนะ ไปตาลกินข้าว”

              อนิรุทธิ์เองก็ไมรู้จะตอบนั้นยังไงนอกจากว่าตามน้ำที่อัมรินทร์ทิ้งระเบิดเอาไว้ให้ก่อนจะกวักมือเรียกหลานชายที่ยืนทำหน้าเหม็นเบื่อไม่ต่างกันเข้าไปในบ้าน ทิ้งไว้แต่ความคำถามและเสียงซุบซิบกันของเหล่าแม่บ้านที่ลุงอุ่นยังต้องทำเสียงเอ็ดใส่ก่อนจะเดินตามผู้เป็นนายเข้าไปในบ้าน

              อัมรินทร์โอบเอวพาเปลวอรุณเข้ามายังห้องกินข้าวจัดแจงเลื่อนเก้าอี้ออกให้อีกคนนั่งก่อนที่ตัวเองจะหย่อนก้นลงที่เก้าอี้ข้างๆพร้อมถีบส่งพี่ชายของตนไปนั่งตรงข้ามติดกับลูกตาลแทนและเว้นที่ว่างตรงหัวโต๊ะเอาไว้เหมือนอย่างทุกครั้ง

              “เปลวลองนี้ดู ฉูฉี่ปลาฝีมือน้อยอร่อยมาเลยนะ”

               เนื้อปลาสีขาวมุขที่เคลือบคุมด้วยเครื่องแกงกลิ่นหอมถูกตักวางใส่จานข้าวของคนที่ยังไม่แม้จะเริ่มจับช้อนอย่างเอาใจ ครั้งจะเพิกเฉยต่อน้ำใจที่อีกคนหยิบยื่นมาให้ก็คงดูเสียมารยาทพอดูดังนั้นแม้จะไม่อยากกินก็ต้องจำใจตักมันเข้าปากแล้วเคี้ยวกลืนลงคอไป

                 “เป็นไง” อัมรินทร์ตาวาวเมื่อเห็นเปลวอรุณย้อมที่จับช้อนขึ้นมาตักข้าวและกับที่ตนตักให้เข้าปาก ชายหนุ่มไม่รีรอเลยที่จะหันมาถามอย่างตั้งตารอตั้งใจฟังคำตอบ

                “ครับ อร่อยดี” แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้คนตัวใหญ่ยิ้มกว้างแล้วหันไปสรรหาตัดนู้นตักนี้มาใส่จนพูนเต็มจาน

                “ถ้าอร่อยต้องกินเยอะๆนะ เปลวผอมลงไปตั้งเยอะ” อัมรินทร์ว่า

                ก็จริงอยู่ที่ช่วงนี้เปลวอรุณน้ำหนักลดลงไปแต่จริงๆแล้วมันก็แค่สองสามกิโลเท่านั้นไม่ได้มากมายอะไรอย่างที่โดนติเตียน แม้ช่วงนี้เขาไม่ค่อยอยากอาหารอะไรเสียเท่าไรแต่สำหรับมื้อนี้ถ้าเขากินไม่หมดก็คงหมดสิทธิ์ที่จะลุกจากเก้าอี้ไปได้โดยง่าย

                และก็จริง...

                 หลังจากกินไปไม่ถึงครึ่งพอเปลวอรุณทำท่าว่าจะวางช้อนลงอัมรินทร์ก็ไม่รีรอเลยที่จะตั้งข้าวในจากของอีกคนขึ้นจ่อที่ปากอาศัยความหน้าบางของอีกคนที่ลูกตาลเคยบอกก่อนหน้านี้มาเป็นตัวช่วย แน่นอนว่าความกระด้างอายที่ต้องมาถูกผู้ชายด้วยกันอย่างอัมรินทร์เอาอกเอาใจต่อหน้าคนเยอะเยาะแบบนี้ต่อให้เป็นคนรู้จักแต่เปลวอรุณก็ยังคงเป็นเปลวอรุณผู้หัวโบราณและเหนียมอาย

                 การป้อนของอัมรินทร์จึงเปรียบเสมือนเป็นการบังคับให้อีกคนยอมกินข้าวในจานตัวเองต่อเองให้หมดไปโดยปริยาย...

              และที่แน่นอนที่สุดคือ เมื่ออัมรินทร์กำลังมีความสุขกับการนั่งมองเปลวอรุณกินข้าวมากกว่าจะตักข้าวเข้าปากตัวเองแล้วนั่งยิ้มอิ่มใจอยู่ตรงนั้นก็ย่อมมีคนสองคนที่ถูกลืมแม้จะนั่งอยู่ตรงข้ามคนทั้งคู่ไหนจะลุงอุ่นกับแม่บ้านสาวอีกสองคนที่ยืนอยู่ที่ด้านหลังที่ดูๆแล้วคงจะถูกกลบลืมด้วยบรรยากาศเบาๆที่อัมรินทร์ตั้งใจสร้างขึ้นมากั้นทุกคนออกจากโลกของเขาและเปลวอรุณ

              “ตาล กินนี้สิแกงจืดสาหร่ายซดหน่อยจะได้กินข้าวได้คล่องคอไก่สามรสนี้ก็กินเยอะๆละเด็กกำลังโตอย่างเราต้องการพลังงานเยอะๆส่วนฉูฉี่ปลานี้ก็เหมือนกันกินระวังๆด้วยอย่างลืมว่ามันยังมี ก้าง อยู่” อนิรุทธิ์ตักกับอาหารทุกอย่างที่มีอยู่บนโต๊ะใส่จานของลูกตาลพร้อมคำพูดล่อเลียนซ้ำยังไม่ลืมที่จะแขวะให้อัมรินทร์รับรู้การมีอยู่ของ ก้าง ที่ว่านั้นด้วย

            นี้แค่พาเข้าบ้านวันแรกมันยังทำตัวเหมือนข้าวใหม่ปลามันเอาใจเมียขนาดนี้ นี้ถ้ามันได้เปลวอรุณสมใจอยากเมื่อไรมันไม่ตักป้อนถึงปากอุ้มเดินไม่ให้เท่าแตะพื้นเลยหรือไง.....

              “อ่า ใช่แล้วเปลวฉูฉี่ปลามันมีก้างอยู่ เอามานี้ก่อนดีว่า” อัมรินทร์หรี่ตามองพี่ชายตนก่อนจะหันไปตักเนื้อปลาที่ตนเพิ่งวางใส่จานเปลวอรุณเมื่อครู่กลับมาที่จานของตนใหม่

              “เดี๋ยวฉัน เขี่ย ก้าง ที่ว่าออกให้ก่อนดีกว่า” เจ้าตัวว่ากับเปลวอรุณเสียงนุ่ม แต่กลับเน้นเสียงหนักโดยหันหน้าไปหาคนตรงข้ามอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะตักกลับไปวางให้เปลวอรุณใหม่

              แต่ก็นั้นแหละ...

              เพราะพอวางยังไม่ทันที่อัมรินทร์จะชักช้อนกลับดีช้อนอีกคันที่มาไกลถึงอีกฝั่งก็ตักฉวยเจ้าเนื้อปลาดราม่านั้นเข้าปากหน้าตาเฉย และคงไม่ต้องเดาให้มากความว่าเจ้าของช้อมมือที่สามนั้นเป็นใครถ้าไม่ใช่ ลูกตาล

              “มองอะไรกันครับ กินข้าวสิ” เด็กหนุ่มว่าหน้าซื่อ แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวในจากของตัวเองต่อ

              อัมรินทร์ยู่ปากแสดงท่าทีคล้ายๆจะไม่พอใจแต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ในเมื่อเปลวอรุณยังคงนั่งอยู่ข้างๆเลยทำเพียงคาดโทษเด็กหนุ่มเอาไว้ในใจ แล้วหันไปสนใจจานข้าวของตัวเองต่อ

              เมื่อเห็นว่าอัมรินทร์หมดทางโต้กลับลูกตาลกับอนิรุทธิ์ก็แอบหันมามองหน้ายักคิ้วให้กันเป็นอันรู้กันว่าพวกเขาชนะในเกมกวนประสาทในรอบนี้อย่างสวยงาม

              อัมรินทร์ 0 : 1  ลุง&หลานเฉพาะกิจ

 

             
:katai2-1:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

:katai2-1:


หลังจากจบมื้อเย็นเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาที่ต่างคนต่างจะแยกย้ายกันไป ซึ่งดูเหมือนจะเป็นอะไรที่เปลวอรุณไม่อยากจะให้มันมาถึงเลย

             เพราะอะไรนะหรือ ?

              ก็เพราะทันทีที่ข้าวคำสุดท้ายเข้าปากและถูกกลืนหายไปในลำคออัมรินทร์ก็แทบจะหิ้วพาเปลวอรุณขึ้นไปที่บนห้องของตนทันที โชคดีที่ลูกตาลเปิดประเด็นหัวข้อสนทนาขึ้นมาเพื่อดึงคนใจร้อนเอาไว้ที่โต๊ะกินข้าวไว้เสียก่อนจึงพอจะถ่วงเวลาให้เปลวอรุณได้ทำใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดได้บ้าง

              แต่ก็แค่นั้น...

              เพราะอะไรที่มันจะเกิดก็ต้องเกิด....

              “ทำไมยืนอยู่ตรงนั้นละเปลว เข้ามาสิ”

              อัมรินทร์หันหลังกลับไปทักคนที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมกันแต่กลับหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องไม่ยอมขยับ ซ้ำยังก้มหน้าลงคางชิดอกอีก

              เห็นแล้วมันน่ารักน่าแกล้งชอบกล...

             คนถามไม่คิดถามซ้ำแต่เลือกที่จะเดินไปนั่งที่เก้าอี้หนังตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงานภายในห้องนอนของตนแล้วมองคนที่ยังคนยืนอยู่ที่เดิมแทน

             “มานี้” เขาเรียกซ้ำ

              มือขาวที่เดี๋ยวกำแน่นเดี๋ยวคล้ายออกเต็มไปด้วยเหงื่อชื้นๆนั้นเรียกร้อยยิ้มหฤหรรษ์ของเขาได้อย่างดี การได้แกล้งได้เย้าแหย่คนตัวขาวคืออะไรที่ทำให้อัมรินทร์มีความสุข แม้บางที่มันจะดูรุนแรงไปบ้างก็ตาม

             “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ นายเป็นคนเลือกเองนะ”

              “แต่ผมไม่ได้เลือกที่จะทำแบบนี้” เปลวอรุณเถียงเขาขาดใจ

              ซึ่งมันก็จริงอย่างที่อีกคนว่ามานั้นแหละ...

              “อ่า นั้นสินะ เธอไม่ได้เป็นคนเลือกเพราะคนเลือกคือ ฉัน” อัมรินทร์ยิ้มร้าย

              “ไหนดูสิมีอะไรที่ฉันสามารถเรียกเก็บจากเธอได้บ้าง” เขาว่าพร้อมลุกขึ้นจากเก้าอี้ก้าวช้าอย่างใจเย็นไปหยุดอยู่ตรงหน้าของเปลวอรุณโอยจงใจที่จะเว้นระยะห่างจากอีกคนเอาไว้เพื่อไม่ให้เหยื่อตัวน้อยของเขาไม่แตกตื่นไปมากกว่านี้ แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆที่จะไม่ยืนหน้าเขาไปใกล้อีกสักหน่อย

              แว่นสายตากรอบเล็กที่เปลวอรุณใส่ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวดูแก่ตามอายุเลยสักนิดแต่กลับกันเลยเพราะยิ่งเห็นแบบนั้นแล้วเขากลับคิดว่ามันทำให้เปลวอรุณดูน่าค้นหามากกว่าเดิม ไหนจะแก้มขาวๆนี้กลิ่นหอมอ่อนๆที่เขามักจะได้กลิ่นยามที่อยู่ใกล้อีกแต่เขาต้องอดทน...

              เพื่อไม่ให้เขาเองที่เผลอทำให้คนตรงหน้าสติแตกไปเสียก่อนเขาจึงเลือกที่จะเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้เหมือนเดิมอีกครั้งเพื่อให้เปลวอรุณได้หายใจหายคอได้คล่องขึ้นอีกสักหน่อย

              “เธอคิดว่าเธอจะหาเงินหนึ่งร้อยล้านมาคืนฉันทันภายในสองเดือนไหม” อีกสองเดือนงานที่วางเอาไว้คงใกล้เริ่มผลิตและเงินที่วางจะต้องถูกจ่ายออกไปให้กับค่าวัตถุดินและค่าสถานที่ในการจัดงาน

              และคงไม่ต้องเดาให้เสียเวลาด้วยเหมือนกันว่าเงินที่ว่าจะกลับมาที่เขาทันหรือไม่...

              “ผมขอเวลาเพิ่มได้ไหม”

              “ไม่” เขาส่วนกลับ

              “แต่เวลาแค่นั้นผมบอกแล้วว่ายังไงก็คงหามาไม่ทัน” แหงอยู่แล้ว เงินมากมายขนาดนั้นพนักงานบริษัทธรรมดาคนหนึ่งมีหรือจะหามาทันได้ถ้าไม่ใช่เจ้าของกิจการอย่างเขา

              “ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องเอาบ้านของเปลวไปขายแล้วเอาเงินนั้นมาใช้หนี้”

              “ไม่ได้นะ คุณจะเอาบ้านผมไปขายไม่ได้นะ” เปลวอรุณส่ายหน้าหวืออย่างไม่ยอม

              “ทำไมละ ฉันเป็นคนไถ่บ้านเปลวมาให้นะฉันเองก็น่าจะมีสิทธิที่จะเอามันมาทำประโยชน์อะไรก็ได้ในเมื่อเปลวหาเงินมาคืนฉันไม่ทันสิ”

              “แต่ผมไม่ให้ขาย” เสียงของเปลวอรุณเริ่มที่จะสั่นเครือ

              “แล้วจะเอายังไง คนทำธุรกิจเงินมันต้องหมุนตลอดเวลานะเปลวก็รู้” เขาแสร้งกอดอกทำเสียงเหมือนหนักใจเต็มที่ที่ต้องเอ่ยปากคาดคั้นขูดรีดเอาเลือดจากปู

              “ถอดกางเกงออก”

              !!

              แน่นอนว่าคำพูดที่ว่าสร้างความตกใจให้กับคนฟังเป็นอย่างมากดูได้จากดวงตาหลังกรอบแว่นที่เบิกกว้างถึงขีดสุดจนทำอะไรไม่ถูกนั้น

              “ว่าไง จะถอดเองหรือให้ฉันถอดให้” เขาถามอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า

              จริงๆเขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไรที่ดูล่อแหลมแบบนี้ออกมาหรอกแต่มันพรั่งปากออกไปแล้วจะแกล้งคืนคำบอกว่าล่อเล่นเปลวอรุณคงไม่นึกขำด้วยกับมุกจาบจ้วงของเขาเท่าไรเลยทำได้แต่ตามน้ำกันต่อไป

              คิดสะว่าเป็นกำไรละกันถ้าอะไรมันจะเกิดตามมา...

              “แต่ฉันอยากถอดมันออกเอามากกว่า เปลวว่าดีไหม” เขาถามพร้อมตั้งท่าว่าจะลุกขึ้นมาถอดกางเกงให้อีกคนจริงอย่างที่ปากพูด

              “ไม่ ไม่ต้อง ผมถอดเอง” เปลวอรุณรีบยกมือห้าม เพราะถ้าขื่นให้อัมรินทร์ลุกมาถอดให้เองมีหวังทั้งตัวเขาคงไม่เหลืออะไรห่อกายนอกจากเนื้อหนัง

              “งั้นก็ถอดสิ ฉันรออยู่”  อัมรินทร์ว่าตาวาว แต่คนที่บอกว่าจะถอดเองกลับยังคงยืนนิ่งจนเขาต้องทักทวงขึ้น  “เร็วๆสิเปลว”

              ความเงียบของห้องนอนที่มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่ยังคงทำงานอยู่ทำให้อัมรินทร์ได้ยินเสียงของหัวเข็มขัดของเปลวอรุณที่ถูกปลดออกได้ชัดพอๆกับเสียงหัวใจของเขาที่เต้นแรงเหมือนคนที่กำลังรอลุ้นเรื่องสำคัญอะไรสักอย่างอยู่และยิ่งเขาจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งนั้นก็ดูจะเชื่องข้าจนน่าหงุดหงิดแต่สิ่งที่ได้กลับมากลับคุ้มค่า

              รูปร่างภายนอกของเปลวอรุณก็ดูเหมือนผู้ชายทั่วไปที่ตัวไม่หนามากออกไปทางสูงโปร่งเสียมากกว่ายิ่งความขาวไม่ต้องพูดถึงคนขาวอยู่แล้วยิ่งสวยที่ไม่ค่อยโดนแดดด้วยแล้วยิ่งขาวจนเผลอกลืนน้ำลายลงคอมองตาค้าง

              “มานั่งนี้”

              เขารีบเรียกสติของจนเองไม่ให้จ้องมองขาเรียวขาวนั้นมากจนเกินไป มือหนาตบลงที่หน้าตักสองสามทีเป็นการบอกตำแหน่ง พอเปลวอรุณลงมานั่งค่อมที่ตักของเขาตามที่ต้องการแล้วเขาก็อดใจไม่ได้ที่จะบีบมือลงกับต้นขาขาวสัมผัสความนุ่ม

              “ฮึก”

             อัมรินทร์เหลือบตามองคนที่นั่งอยู่บนตักยกมือขึ้นปิดปากแล้วหันหน้าหนีไปอีกทางเมื่อเผลอส่งเสียงบางอย่างออกมา ชายหนุ่มยกแขนข้างหนึ่งขึ้นสูงกดให้อีกคนซบลงที่ไหล่เพื่อที่ว่าเขาจะได้สูดดมความหอมจากลำคอนั้นได้ถนัด ส่วนมืออีกข้างก็ยังคงสนุกอยู่กับการลูบไล้ไปตามต้นขาสวยลากยาวขึ้นสูงไปถึงช่วงเอวบาง เมินเฉยต่ออาการสั่นของลูกนกตัวน้อยที่นั่งนิ่งให้เขาลูบจับ

               “คุณอัมรินท์ หยุดเถอะ” เปลวอรุณร้องขอเสียงสั่นขอความเห็นใจ แต่ตอนนี้เขาไม่อยากเล่นบนพ่อพระเสียแล้วสิ

               “แล้วถ้าฉันตอบว่า ไม่ ละ” อัมรินทร์กระซิบที่ข้างหู

               “ผมขอร้อง ผม..”

               อัมรินทร์ไม่คิดอยากจะฟังคำร้องขอที่อาจทำให้เขาใจอ่อนลงเดี๋ยวนั้นได้อีกต่อไป เขาเลือกที่จะเชยปลายคางของอีกคนขึ้นมองใบหน้าสวยที่แดงก่ำเต็มไปด้วยความอายและน้ำตาที่คลอหน่วงอยู่ที่ขอบตาอย่างนึกสงสารก่อนจะกดจูบไปยังริมฝีปากบางสีอ่อนเรียกความตกใจให้กับเปลวอรุณเป็นอย่างมากจนเริ่มที่จะดิ้นขัดขื่นแต่มีหรือที่เขาจะยอม เขาใช้แขนข้างหนึ่งกดรั้งที่หลังขอของอีกคนเอาไว้ไม่ให้ขยับหนีส่วนอีกข้างก็รวบเอวบางเอาไว้แน่นไม่ให้หลุด

               จังหวะที่พยายามหนีออกจากท่อนแขนแข็งแรงเปลวอรุณเผลออ้าปากออกมาเล็กน้อยจนกลายเป็นช่องทางให้คนที่รออยู่อาศัยโอกาสนี้สอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของอีกคน

                ความแปลกใหม่ที่ได้รับทำให้เปลวอรุณรีบถกตัวหนีตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดเช่นเดียวกับลิ้นเล็กที่พยายามถอยหนีจากผู้บุกรุกที่พยายามพุ่งเข้ามาเกี่ยวรัดแต่ก็ไม่ได้ผล แม้จะอายุมากกว่าอีกคนอยู่กว่าเจ็ดปีแต่ความชำนาญนั้นต่างกันในเมื่อเปลวอรุณที่แทบไม่เคยผ่านมือใครแม้แต่ความรักยังไม่เคยมีหรือจะรู้ซึ้งในรสรักได้ดีเท่าอัมรินทร์ที่เปลี่ยนคนข้างกายเป็นว่าเล่นเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า

                ปลายลิ้นหนาลากไล้ไปตามขอบข้างของลิ้นเล็กกวาดไล่ไปทั่วทั้งช่องปากเกิดเป็นความเสี่ยวซ่านให้คนอ่อนเดียวสาในเรื่องเช่นว่าได้รู้สึกสะท้านไปทั่วกาย ความมึนเบลอจากการที่เส้นประสาทหลายเส้นถูกปิดกันทำให้สมองของเปลวอรุณเริ่มขาวโพนละหลุดลอยจนไร้การขัดขื่นเหมือนตอนแรกซ้ำยังกำปกเสื้อของอีกคนเอาไว้แน่นเป็นที่ยึดเมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองจะละลายไปกับรสจูบที่ได้รับ

                 อัมรินทร์ดูดดึงริมฝีปากบางของเปลวอรุณจนบวมช้ำอาศัยจังหวะที่คนแก่กว่ามึนเบลอกับรสรักที่มอบให้เลื่อนมือข้างที่โอบกระชับรอบเอวต่ำลงเรื่อยๆลูบไปมาตามความโค้งมนของบั้นท้ายกลมได้รูปผ่านชั้นในสีเข้มแบบมีขา ก่อนจะแทรกปลายนิ้วหนาเข้ามาด้านในลากผ่านตามร่องกลางของเนื้อนิ่มเต็มกำมือ

               เปลวอรุณเกร็งกายแน่นเบี่ยงใบหน้าหนีสัมผัสดูดดื่มที่คนตัวใหญ่กว่าสร้างขึ้นเมื่อนิ้วมือของอัมรินทร์กดย้ำอย่างจงใจตรงปากทางของช่องทางเล็กที่ด้านหลัง และมันยิ่งสั่นระริกมากขึ้นเมื่อคนเจ้าเล่ห์เริ่มกดแทรกปลายนิ้วเข้ามาด้านในจนเขารู้สึกเจ็บความหวาดกลัวเกาะกุมทั่วทั้งใจดวงน้อยให้เต้นระรัวไร้จังหวะเช่นเดียวกับเสียงหอบหายใจหนักๆยามที่อ้าปากร้องขอความเมตตา

             “ฮึก..พอเถอะ..ขอร้อง..คุณอัมรินทร์..ผมขอร้อง”

             “ได้สิ” อัมรินทร์ก้มกระซิบที่ข้างหู

               “ฉันรอได้ จนกว่าเปลวจะพร้อมฉันรอได้”  เขาไม่ชอบบังคับขื่นใจใคร ยิ่งเป็นเปลวอรุณด้วยแล้วเขายิ่งอยากจะถนอมให้มากที่สุด

               “ไม่ร้องนะเปลว” เขาว่า พร้อมเลื่อนมือขึ้นสูงตามส่วนเว้าโค้งของบั้นท้ายและบั้นเอวมาที่กลางหลังแล้วตบลงเบาๆเหลือปลอบเด็กร้องไห้

                ถึงอัมรินทร์จะพูดอย่างนั้นก็เถอะ....

                “ไปนอนกันดีกว่าเปลวเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

               ช่วงแขนยาวอีกข้างสอดเข้าที่ข้อพับขาทั้งสองข้างของเปลวอรุณทันทีที่พูดจบพร้อมลุกขึ้นเดินตรงไปที่เตียงนอนจัดแจงวางคนที่ยังใจเสียอยู่ลงบนเตียงซึ่งพอถูกวางลงบนเตียงปุบเปลวอรุณก็รีบถกตัวหนีเขาไปนั่งกอดเข่าอยู่ที่อีกฝั่งของเตียงแทบจะทันที

              “เดี๋ยวฉันจะออกไปดูคุณนิลก่อนเปลวอาบน้ำแล้วเข้านอนไปก่อนได้เลยนะ”  อัมรินทร์บอกก่อนจะหันหลังเดินไปทางประตู

                อัมรินทร์เหลือบมองคนที่นั่งกอดเข่าหลังชิดหัวเตียงแล้วถอนหายใจออกมาก่อนจะเปิดประตูห้องนอนแล้วก้าวออกไปไม่ใช่ว่าโกรธที่เปลวอรุณขัดขื่น อย่างที่บอกไปว่าเขาไม่ได้ต้องการที่จะบังคับเรื่องแบบนี้มันต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไปยิ่งไปเร่งเร้าเปลวอรุณจะยิ่งเตลิดตื่นกลัวซึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไรแน่ถึงยังไงๆตอนนี้เปลวอรุณก็หมดทางหนีเขาได้อยู่แล้ว จะถอนหลังออกไปหนึ่งก้าวก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร

              หลังจากเดินออกมาจากห้องเขาก็เดินวนรอบบ้านเลยก็ว่าได้เดินเอื่อยๆไปตามทางเดินตอนแรกว่าจะพามณีนิลไปเดินเล่นที่สวนด้านหลังแล้วจะได้ล้างเท้าก่อนพาขึ้นไปนอนที่ห้องแต่ดูเหมือนจะมีคนตัดหน้าเขาไปเสียก่อน

            “ไปสนิทกันตอนไหน” เมื่อกี้ยังถูกคุณนิลเมินอยู่เลยไม่ใช่หรือไง...

           “มันก็ต้องรู้จักผูกมิตรกันไว้บ้างสิ” เด็กหนุ่มสวนกลับโดยไม่หันไปมอง

          “แล้วทำไมลุงถึงมาอยู่นี้ อย่าบอกนะว่าแม่เปลวไล่ออกมานอนนอกห้อง” ปากก็ถามอย่างไม่ยี่หระส่วนมือก็ขว้างลูกบอลในมือต่อให้มณีนิลที่ส่ายหางรอวิ่งไปเก็บ

           “เปล่า”

            “แล้วทำไมถึงมาอยู่นี้” การมาของอีกคนคือสิ่งที่ลูกตาลรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาเพราะคนอย่างอัมรินทร์ไม่มีทางที่จะปล่อยให้แม่เปลวของเขาต้องอยู่คนเดียวแน่

            “ฉันลงมาตามคุณนิลเฉยๆ เดี๋ยวก็จะกลับขึ้นไปดูเปลวแล้ว”

             ลูกตาลพยักหน้ารับ แม้จะไม่ค่อยอยากจะเชื่อที่อีกคนพูดเสียเท่าไรแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปจนมณีนิลวิ่งคาบลูกบอลกลับมาอีกครั้งแล้วเอามาให้อัมรินทร์แทนเหมือนจะบอกว่าให้ชายหนุ่มเป็นคนปาให้มันเล่นบ้าง

               “ลุงคงจะไม่ทำอะไรแปลกๆกับแม่เปลวหรอกใช่ไหม” อัมรินทร์เลิกคิ้วให้กับคำว่า แปลกๆ ของลูกตาลขณะกำลังก้มลงไปรับลูกบอลที่ว่านั้นมาจากมณีนิลแล้วลูบที่หัวของมันเบาๆ

                “แปลกๆหรอ” เขาทวน

                “ไม่หรอก ถ้าเปลวไม่ยอมฉันก็ไม่ทำหรอก” ไม่รู้หรอกว่าความหมายของมันจะเหมือนกันที่เขาคิดหรือเปล่า แต่ถ้าใช่เด็กหนุ่มก็คงเข้าใจในความหมายนั้น

                “ผมไว้ใจลุงได้แน่นะ” กลายเป็นว่านอกจากลูกตาลจะไม่เชื่อที่เขาพูดแล้วเด็กหนุ่มยังระแวงเขาขึ้นมาอีกคนด้วย

                “แน่สิ ฉันลูกผู้ชายพอ” เขายืดอก

                “ให้จริงเถอะ” ลูกตาลว่าอย่างไม่ค่อยจะเชื่อ

                 “อยู่แล้ว” อัมรินทร์ยกยิ้ม

                 ทั้งสองคนยืนคุยกันอยู่ที่สนามหญ้าด้านหลังสลับกับเล่นกับมณีนิลอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่อัมรินทร์จะฝากฝั่งให้ลูกตาลเป็นคนรับหน้าที่พาลูกสาวสี่ขาที่น่ารักของตนเข้านอน

                 “เดี๋ยวคืนนี้นายก็พาคุณนิลไปล้างเท้าแล้วพาเข้านอนด้วยแล้วกันนะ ฉันจะไปละ”

                 “พาเข้านอน?” เด็กหนุ่มทวนคำ

                  “ใช่ ห้องคุณนิลอยู่หลังครัวนะ ทิชชู่เปียกก็วางอยู่ข้างๆเช็ดดินเช็ดหญ้าที่เท้าให้สะอาดละแล้วก็เปิดพัดลมให้ด้วย อ๋อ อย่าลืมจุ๊ฟๆคุณนิลด้วยละ แบบนี้...”

                     การฝากฝั่งพร้อมท่าประกอบที่ดูจะขัดหูขัดตาไม่เข้ากับภาพลักษณ์เจ้าเล่ห์อย่างที่เขาเห็นมาตลอดเวลาที่รู้จักกันทำเอาอกไม่ได้จริงๆที่จะหน้าแหย่งใส่ แต่อัมรินทร์ก็คืออัมรินทร์ต่อให้ลูกตาลมองเขาด้วยสายตาแบบไหนเขาก็ไม่สะทบสะท้านแต่อย่างใด

                     อัมรินทร์เดินฮัมเพลงเบาๆในลำคอมาเลื่อยๆจนถึงหน้าประตูห้องนอนของเขา มือหนาพยายามบิดลูกบิดประตูห้องอย่างเบามือที่สุดเปิดแง้มไว้เล็กน้อยพอที่จะสอดส่องสายตาเข้าไปในห้องที่มีเพียงแสงสีส้มนวลจากโครมไฟหัวเตียงสีส้มสลั่วพอแค่ให้เห็นทางซึ่งเดาได้ว่าคนที่อยู่ในห้องคนจะเข้านอนไปเรียบร้อยแล้ว และเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการนอนของคนที่เหนื่อยมาทั้งวันแล้วเขาจึงพยายามที่จะปิดประตูให้เบาและก้าวเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆเหมือนพวกตีนแมวย่องเบาชะโงกมองดูเปลวอรุณที่นอนห่อตัวเป็นดักแด้อยู่บนเตียงว่าหลับสนิทดีแล้วหรือยังก่อนที่จะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่แล้วกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียงนอนก้างแขนออกกว้างเพื่อคว้าเอาดักแด้น้อยบนเตียงมากอดให้ความอบอุ่น ถ้าคิดว่าผ้าห่มมันจะอุ่นกว่ากอดของเขาได้ละก็เปลวคิดผิดแล้ว....



___________________________________________________________________________

เครียดกันมานานต่อจากนี้ไปเราจะมาแบบเบาๆเป็นsingularบ้างเนอะ

ค่อยๆรักกันเบาๆ

อิอิ

 :mew1:

ต่อจากนี้ไปใครที่สงสารเปลวก็..สงสารต่อไปเนอะ

ส่วนใครที่รอให้อันอันกระอักเลือดก็รอไปก่อนได้กระอักสมใจอยากแน่นอน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้


ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
มานั่งรอความเบาๆต่อไป
อิอิ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

เป็นหนี้ ครั้งที่ 13




                // เอ๋ นั้นก็แสดงว่าตอนนี้คุณเปลวกับเจ้าหนูนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านของอันแล้วอย่างนั้นนะหรอคะ //ลิลดาถามกลับไปอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหู

                เปลวอรุณคนนั้นเนี้ยนะยอมมาอยู่ที่บ้านของอัมรินทร์ง่ายๆอย่างนี้หรือตัวเธอพลาดอะไรไป

                     “ก็ใช่ เพิ่งย้ายมาวันนี้เอง” อนิรุทธิ์ย้ำให้ชัด ตาก็พลางตรวจเอกสารในมือไปด้วย

                    // เดี๋ยวก่อนนะ // เธอเบรกความคิดเหมือนกำลังเรียบเรียงเรื่องราวใหม่ // ทำไมมันเร็วแบบนี้ละ //

                    เธอเพิ่งเจอเปลวอรุณไปไม่กี่ครั้ง แถมแต่ละครั้งก็ดูไม่เห็นมีปฏิกิริยาอะไรที่พอจะบอกให้เขารู้ได้ว่าเปลวอรุณยินยอมพร้อมใจที่จะมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับอัมรินทร์เลยสักนิด

                     “ก็ไอ้อันมันรีบไง นี้ก็คงมัดมือชกพาเขากับลูกมาอยู่ด้วยแน่ๆ”  อนิรุทธิ์ว่าอย่างปลงตก

                      ไอ้นิสัยอยากได้ต้องได้ของอัมรินทร์ทำไมคนเป็นพี่ที่อยู่ด้วยกันมาจะไม่รู้ ไอ้ที่แต่งห้องรอรับนั้นก็อีกไหนจะอะไรต่อมิอะไรที่มันบ้าขนเข้าบ้านนั้นด้วยบอกเลยว่าต่อให้เปลวอรุณปฏิเสธเสียงแข็งยังไงพนันได้เลยว่ามันก็จะอุ้มใส่รถแล้วพามาอยู่ด้วยให้ได้อยู่ดี

              // ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าแผนของอันก็สำเร็จแล้วซิ //

              “จะว่าอย่างนั่นก็ได้”

              // แล้วกันซิ ลิลยังไม่ได้ทำอะไรเลยทำไมมันจบง่ายอย่างนี้ละ // ลิลดาหน้างอ ก็เธออุตสาห์วางแผนล้านแปดไว้ให้แต่เพื่อนรักกลับไม่แม้จะส่งข่าวหรือพูดอะไรกับเธอเลยสักคำ ถ้าเกิดไปโทรหาอนิรุทธิ์ทุกวันเธอคนเหมือนถูกดีดออกนอกวงโคจรตกข่าวสารอยู่คนเดียว

              ใจร้ายที่สุดเลย...

              “มันก็ง่ายอย่างนี้แหละ”

              // เชอะ // เธอเชิดหน้าใส่สมาร์ตโฟน ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีกอย่าง

              // แต่คุณเปลวก็ยังไม่รู้ใช่ไหมว่านี้คือแผนของอัน //

              อนิรุทธิ์เงียบ

              นั้นสิ...

              “น่าจะยัง” จากที่ดูท่าทีของเปลวอรุณวันนี้เขาว่าเจ้าตัวน่าจะยังไม่รู้ว่านี้เป็นแผนของอัมรินทร์เป็นแน่ อย่างมากก็คงแค่คิดว่าอัมรินทร์ฉวยโอกาสหาทากรวบหัวรวบหางตัวเองมากกว่า

              // แล้วถ้าคุณเปลวรู้เข้าว่าทั้งหมดเป็นแผนของอันเขาจะเป็นยังไง // ลิลดาตั้งคำถามที่ฉุดความคิดของอนิรุทธิ์ให้คล้อยตาม

              “คงจะโกรธมาก”

              อยู่แล้วละ โดนหลอกด้วยความไว้ใจแบบนั้นเป็นใครก็ต้องโกรธ...

              “แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของเขาสองคน เราจะทำไรได้” ถึงจะดูไร้ความรับผิดชอบไปเสียหน่อยเพราะยังไงตัวเขาเองก็เป็นเหมือนตัวต้นคิดที่ชี้โพงให้กระรอกแล้วพอความแตกก็ตัดหางทิ้งอัมรินทร์แบบนี้

              // มันก็จริง แต่เราจะไม่ทำอะไรหน่อยหรอคะ //

              “ไอ้อันมันเคลียร์เรื่องนี้หมดแล้ว อยู่ที่ว่ามันจะบอกความจริงเมื่อไรเท่านั้นแหละ”

              ลิลดาพึมพำเบาๆในลำคอแล้วก็เงียบไปดื้อๆ

              เอกสารในมือถูกวางลงกับโต๊ะ อนิรุทธิ์นั่งคิดตามคำพูดนั้นของลิลดาดูก็เหมือนนึกได้ว่าทั้งเขาและอัมรินทร์เองก็ไม่ได้เตรียมแผนสำรองสำหรับเรื่องที่ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งเปลวอรุณรู้เรื่องนี้เข้าจะทำยังไง บางทีพวกเขาก็พลาดอะไรแบบนี้ไปอย่างไม่น่าให้อภัยเหมือนกัน

              ต้องบอกให้อันรู้เพื่อเตรียมแผนรับมือ...

              แต่ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังหน้าเครียดกับเรื่องที่เพิ่งฉุดคิดขึ้นมาได้ทางฝ่ายหญิงสาวคนเดียวในขบวนการอย่างลิลดาก็ค้นพบแผนการบางอย่างขึ้นมาได้

              รอยยิ้มกรุมกริมปรากฏขึ้นเล็กๆบนใบหน้าก่อนที่เจ้าหล่อนจะเป็นฝ่ายขอตัดสายนั้นไปเองทั้งๆที่เป็นคนโทรหาชายหนุ่มก่อน ร่างระหงส์วางสมาร์ตโฟนเครื่องสวยของตัวเองลงทับผ้าห่มหนาแล้วก้าวลงจากเตียงสาวเท้าเดินไปยังตู้เสื้อผ้าตู้ใหญ่ที่ด้านริมสุดถูกทำให้เป็นตู้เก็บสัมภาระ มือเรียวขาวเปิดบานประตูตู้ออกไล่สายตามองของหลากหลายสิ่งที่เธอจัดเรียงเอาไว้ในตู้ก่อนจะหยุดลงที่ของบางอย่างที่อยู่ในตู้นั้นด้วยรอยยิ้มนึกสนุก

              “เตรียมยกคุณรุทธิ์มาขอบคุณลิลได้เลยนะอัน”

              ไหนๆก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากแล้ว งั้นเรื่องนี้ลิลจะช่วยอันเองนะ...

........................................................

 

              “ฉลอง ?”

              “ใช่ค่ะ ฉลอง”

              น้ำเสียงร่าเริงผิดดูกระตือรือร้นจนน่าสงสัยของลิลดาเรียกสายตาตั้งคำถามของอัมรินทร์และอนิรุทธิ์ที่มองมาทางเธออย่างไม่วางตาไม่ได้

              “เนื่องในโอกาสอะไร” อัมรินทร์ถามหน้าฉงน

              “ก็ตอนนี้งานของลิลที่ทำร่วมกับบริษัทของอันกำลังไปได้ด้วยดีใช่ไหมละ ลิลก็เลยคิดว่าเราน่าจะมาฉลองเอาฤกษ์เอาชัยกันเสียหน่อย”  เธอว่าตาวาววับเหมือนเด็กๆ

              “แล้วมันใช่เหตุผลที่เธอมาบ้านฉันแต่เช้าแบบนี้ไหมลิล”  อัมรินทร์แทบจะกัดฟันพูดมือก็กุมขมับนึกปวดหัวกับเพื่อนหญิงตรงหน้าอย่างหมดคำพูด

              เมื่อเช้าหลังจากพามณีนิลไปวิ่งวนรอบๆแถมบ้านกลับมาตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะกลับขึ้นไปอาบน้ำแล้วนอนกอดเปลวอรุณอีกสักรอบแล้วค่อยปลุกอีกคนให้ไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าว แต่พอก้าวเข้ามาในรั้วบ้านหลังใหญ่ของตนแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรถสปอร์คาร์สีบรอนซ์เทาคันสวยแปลกหน้าจอดเทียบอยู่ที่หน้าทางขึ้นบ้านพอถามแม่บ้านที่ออกมารับก็ได้ความว่ามีคนมารอพบเขากับอนิรุทธิ์รออยู่ที่ห้องนั่งเล่น

              และท่าทางแขกที่มารอพบเขาจะเป็นผู้หญิงเสียด้วย...

              ถามว่าทำไมเขาถึงคิดอย่างนั้น นั้นก็เพราะสายตาของเหล่าคนงานในบ้านที่มองมาทางเขาที่บ่งบอกได้ชัดๆเลยว่ากำลังตำหนิตัวเขาอยู่ พอจะถามว่าใครลุงอุ่นก็พูดขัดดักคอเขาขึ้นมาเสียก่อน

              “เป็นผู้หญิงครับ โชคดีนะครับตอนนี้คุณเปลวยังไม่ตื่น”

              มันเหมือนเขาแอบพากิ๊กเข้าบ้านอย่างไรอย่างนั้นทั้งๆที่แขกที่ว่าก็มารอพบอนิรุทธิ์เหมือนกัน

              ก่อนที่เขาจะตกเป็นจำเลยของบ้านไปมากว่านี้ อัมรินทร์จึงส่งสายจูงของมณีนิลให้ลุงอุ่นก่อนจะเดินเข้าบ้านไปดูหน้าแขกเจ้าปัญหาที่ว่านั้น แต่ใครมันจะคิดกันว่าแขกยามเช้าที่ว่าคือ ลิลดา

              “อรุณสวัสดิ์อัน”

              และนั้นคือเรื่องน่าปวดหัวที่อัมรินทร์ต้องประสบตั้งแต่เช้า

              “อะไรกันอัน นี้ลิลอุตสาห์รีบมาเพื่อที่จะได้มีเวลาเตรียมตัวเลยนะ” เธอเริ่มโวยเมื่ออัมรินทร์ขัดคอ

              “มาตอนบ่ายมันก็ทัน” อัมรินทร์ว่าเสียงหน่ายพลางตัดข้าวต้มอุ่นๆเข้าปาก

              “อันนี้ไม่ละเอียดอ่อนเอาสะเลย” ลิลดาบ่นอุบ

              เสียงกึ่งทะเลอะขัดคอของสองหนุ่มสาวที่นั่งตรงข้ามกันทำเอาคนที่นั่งฟังบทสนาอยู่อย่างอนิรุทธิ์อยากกรอกตามองบนแล้วทำตัวลีบๆแล้วหายไปจากตรงนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย

              บางที่อนิรุทธิ์ก็คิดนะ

             ว่า..

             วันอันแสนปกติสุขของรุทธิ์มันหายไปไหน

             ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่เขากับลูกตาลต้องกลายส่วนเกินที่น้องชายลืมเลือนแล้วตอนนี้เขาก็จะกำลังกลายร่างเป็นเด็กสองขวบที่ยังตักข้าวกินเองไม่ได้ต้องมีคนคอยป้อนหรืออาจกลายร่างเป็นไอ้ง่อยแขนเดียงจับช้อนเองไม่ได้จนต้องมีพยาบาลพิเศษคอยดูแล

             “รุทธิ์กินอีกหน่อยสิค่ะ”

             ลิลดาที่เริ่มจะเบื่อกับการเถียงกับอัมรินทร์ก็หันมาหาอนิรุทธิ์ที่นั่งอยู่ข้างๆแทนพร้อมเอาอกเอาใจ

             “อาหารเช้าเป็นสิ่งสำคัญนะคะ รุทธิ์อย่าเพิ่งอิ่มสิ” เธอเอ็ดเขาเบาๆ

              ในใจอนิรุทธิ์เองก็อยากจะพูดมันออกไปเหมือนกันแหละว่า เขารู้ และ เขากินเองได้ แต่พอพยายามจะยกมือคว้าช้อนกลางจากมือเรียวสวยของลิลดามาถือเองเจ้าหล่อนก็ยืดแขนหนีเขาเอาดื้อๆเสียอย่างนั้น

              “ไม่ดื้อสิค่ะ” เธอยิ้มกัดฟัน

              และอนิรุทธิ์เองก็เป็นพวกไม่สู้คนและไม่ชอบทำร้ายขัดใจผู้หญิงเพราะฉะนั้นเขาจึงยอมที่จะอ้าปากงับเอาข้าวต้มในช้อนนั้นอย่างว่าง่าย

              “เก่งมาก”

               พอทำดีก็ต้องได้รับคำชม

               แต่ไม่ใช่กับอัมรินทร์แน่...

              “ขำอะไรของมึง” พอทำอะไรผู้หญิงไม่ได้อนิรุทธิ์จึงหันมาเอาเรื่องอีกคนแทน

              “เปล่า ฮึฮึ” ถึงปากจะพูดออกไปอย่างนั้นก็เถอะ แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูไม่เหมือนกับที่ออกมาจากปากเลยสักนิดเดียวทำเอาคนมองชักสีหน้าใส่อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์

              “เปลวเองก็กินเข้าไปเยอะๆนะ” เหมือนพอได้ทีอัมรินทร์ก็ขี่แพะไล่ย้อนใส่อนิรุทธิ์เหมือนที่อีกคนทำใส่เขาเมื่อวาน

              “แกนี้มัน”

              “แหม่ๆ นายสองคนดูเป็นพี่น้องที่สนิทกันจังเลยนะ”

              “เธอคิดอย่างนั้นหรอก” อัมรินทร์ตั้งคำถาม

              “อยู่แล้ว” เธอว่าพลางตักข้าวเข้าปากบ้าง

              “แล้วคุณเปลวกับลูกตาลละค่ะ เมื่อคืนหลับสบายไหม” ลิลดาเบนเข็มจากสองหนุ่มมาหาคนที่เอาแต่นั่งกินเงียบๆอยู่คนเดียวไม่สุงสิงกับใครจะมีบ้างก็แค่หันไปคุยกับลูกตาลที่นั่งอยู่ข้างๆ

              “ครับ” ลูกตาลรับคำเรียบๆก่อนจะกลับไปตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก

              ลิลดายิ้มรับก่อนหันไปมองหน้าเปลวอรุณคล้ายรอคำตอบ

              “ก็ ดีครับ” เปลวอรุณตอบเลี่ยงๆเหมือนไม่อยากจะพูดถึงมันเท่าไรซ้ำยังก้มหน้าก้มตา

              และถ้าลิลดาเดาไม่ผิดดูเหมือนว่าเปลวอรุณจะจงใจหลบหน้าเธอ

              ตอนที่อัมรินทร์พาเปลวอรุณเดินเข้ามาแล้วเจอเธอนั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าวถึงสีหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าไรแต่แววตาหลังกรอบแว่นนั้นต่างหากที่เริ่มเปลี่ยนไป ถึงจะแวบเดียวแต่ผู้หญิงอย่างเธอทำไมจะดูไม่ออก

              ไม่พอใจ แปลกใจ ...

              หรือเพราะคิดว่าที่เธอมาอยู่ที่นี้เพราะอัมรินทร์..

              บ้าจริง.. อะไรทำให้คุณเปลวคิดแบบนั้นกัน

              “แล้วเรื่องงานเลี้ยงละว่าไง ตกลงไหม” ลิลดาวกกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง พร้อมสีหน้าคาดคั้นเอาคำตอบ

              “เธอจะรีบไปไหนเนี้ยงานเพิ่งเข้าสู่ขั้นตอนการผลิต มันยังไปไม่ถึงไหนเลยถ้าจะให้พูดละก็น่าจะเพิ่งเป็นรูปเป็นร่างด้วยซ้ำไป” แก้วน้ำผลไม้ถูกเลื่อนไปตรงหน้าของเปลวอรุณพร้อมเสียงบ่นของอัมรินทร์

              “ก็แหม่ มันจะได้มีกำลังใจในการทำงานไง”  เธอว่าพร้อมทำตัวบิดไปมาเล็กน้อยเหมือนกับว่าจุดประสงค์หลังของเธอกำลังดูอัมรินทร์มองออก

              “ทำมาเป็นพูดดีน่าลิล ฉันว่าเธอหาเรื่องจัดเพราะอยากจะปาร์ตี้เองเสียมากกว่า” อัมรินทร์ดักอย่างคนรู้ทัน

              “ฮ่าฮ่าฮ่า  นั้นสินะ ไม่มีใครรู้ใจฉันได้เท่านานจริงๆนั้นแหละนะ อันอัน” เธอหัวเราะร่า

              แต่ดูเหมือนจะผิดเวลาไปเสียงหน่อย

แก๊ง

              ไม่รู้ว่าเปลวอรุณจงใจที่จะวางแก้วน้ำผลไม้นั้นให้กระทบกับโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเสียงหรือเพราะเผลอทำมันลื่นหลุดจากมือกันแน่จนเสียงหัวร่อต่อกระซิบนั้นเงียบลงพร้อมกับสายตาของคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะที่หันมามองมาทางเดียว

              “ผมขอตัวก่อนแล้วกันนะครับ” 

              เปลวอรุณว่าเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความกระด้างไม่พอใจแล้วลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปดื้อๆไม่พูดไม่จาหรือสนใจเสียงถามไถ่ของอัมรินทร์แม้แต่น้อย

              “สงสัยงานจะเข้าแล้วละลุง” ลูกตาลว่าก่อนจะลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเป้แบบคาดอกขึ้นสะพายแล้วเดินออกจากห้องกินข้าวตามแม่ตัวเองไป

              “เปลว เดี๋ยวก่อนสิเปลว” ทางอัมรินทร์เองเมื่อเรียกแล้วไม่สนใจ ก็ไม่มีวิธีอื่นนอกจากรีบวิ่งตามอีกคนไปก็เท่านั้นทิ้งให้ลิลดาเอียงคอนั่งมองตามหลังออกไปพร้อมตั้งคำถามขึ้นมาถามอนิรุทธิ์ที่นั่งอยู่ข้างๆว่า

              “นี้ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่า”

              “ผิดมากเลยแหละ” ผิดที่ผิดทางผิดเวลาแบบสุดๆ อนิรุทธิ์อยากจะบอกไปแบบนั้นละนะ

              “งั้นฉันควรที่จะตามไปขอโทษคุณเปลวสินะ” เธอว่าพร้อมขยับตัวเตรียมลุกขึ้น แต่อนิรุทธิ์รั้งแขนเธอเอาไว้เสียก่อน

              “เธอไปก็ยิ่งทำให้เปลวเขาไม่พอใจเปล่า นั่งกินข้าวของเธอให้หมดอยู่ที่นี้นี้อแหละ” เขาสั่งพร้อมขยับชามข้าวต้มของเธอเข้ามาใกล้

              “แต่ว่า” เธอเตรียมที่จะแย้ง

              “ไม่มีแต่ นั่งกินไปข้าวเช้ามันสำคัญไม่ใช่หรือไง” ได้ทีอนิรุทธิ์ก็ไม่รอช้าที่จะย้อนใส่ ลิลดาหน้างอแต่ก็ยอมที่จะนั่งกินข้าวต้นของตัวเองต่อเงียบๆ แม้จะมีบ้างที่จะชะเง้อมองหาพ่อแง่แม่งอนที่วิ่งตามกันออกไปเมื่อครู่

              “เดี๋ยวก่อนสิเปลว”

              อัมรินทร์รีบสาวเท้าตามหลังเปลวอรุณที่อยู่ๆก็ลุกเดินหนีออกมาจากโต๊ะดื้อๆจนมาถึงบันไดเขาอาศัยช่วงขาที่ยาวกว่าวิ่งข้ามขั้นบันไดขึ้นมาดักข้างหน้าของเปลวอรุณที่เดินจ้ำก้มหน้าไม่สนใจทางจนเผลอสะดุ้งเมื่อเกือบชนเข้ากับเขา

              “มองขั้นบันไดบ้างซิ เดี๋ยวก็ตกลงกันไปพอดี” อัมรินทร์เอ็ดเสียงใส่อย่างไม่จริงจัง มือก็รั้งเข้าที่ต้นแขนของอีกคนทันทีเพื่อกันไม่ให้เปลวอรุณเผลอก้าวถอยหลังแล้วตกบันไดลงไป

              “มีอะไรหรือครับ” เปลวอรุณทำเป็นไม่สนใจความเป็นห่วงที่ว่าซ้ำยังเปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อๆด้วยน้ำเสียงและแววตาที่ดูไม่ค่อยจะพอใจเท่าไรที่เห็นเขายืนอยู่ตรงหน้า

              “ก็มาตามเปลวนี้ไง”

              “แล้วจะมาตามทำไมกันครับ” เปลวอรุณใช้ข้อนิ้วดันสันแว่นขึ้นเล็กน้อย

              “ก็อยู่ๆเธอเดินออกมาแบบนี้นะซิ จะไปไหน”  อัมรินทร์ตั้งคำถามสอบ

              “มันก็เรื่องของผม”  เปลวอรุณตอบกลับพลางบิดเอาต้นแขนออกจากมือของอีกคนแล้วเดินผ่านตัวอัมรินทร์ขึ้นไปด้านบน

              เพราะที่นี้ไม่ใช่บ้านของเปลวอรุณจึงมีอยู่ไม่กี่ที่หรอกที่คนอย่างเขาจะไปได้ สุดท้ายที่ที่เปลวอรุณเลือกที่จะเดินมาก็คือห้องนอนของอัมรินทร์ที่เขานอนเมื่อคืน

              เปลวอรุณเลือกที่จะนั่งลงที่เก้าอี้เดียวสีครีมอ่อนหน้าหน้าต่างเท้าศอกลงกันที่วางแขนยกเข้าสองข้างขึ้นชิดอกแล้วเบี่ยงตามองออกไปด้านนอกทำเป็นไม่สนใจคนที่เพิ่งเดินตามเข้ามาในห้อง

              และเมื่อเปลวอรุณเลือกที่จะไม่สนใจอัมรินทร์เองก็ทำแค่นั่งลงเงียบๆที่ขอบเตียงแทน

              แต่จนแล้วจนรอดคนที่ไม่ชื่นชอบความเงียบซ้ำยังเป็นพวกความอดทนต่ำอย่างอัมรินทร์ก็เป็นฝ่ายที่ทนต่อความเงียบน่าอึดอัดนั้นไม่ไหว

              “เปลว”

              แม้จะเป็นการเรียกเพื่อเรียกความสนใจจากอีกคนแต่น้ำเสียงที่ดูเหมือนกัดฟันพูดนั้นก็พอจะทำให้คนฟังเดาได้อยู่กลายๆนั้นแหละว่าตอนนี้ชายหนุ่มอารมณ์กำลังคุกรุ่นได้ที่แล้วเหมือนกัน ยิ่งเปลวอรุณทำเพียงแค่เหลือบมองจากหางตาแล้วไม่หือไม่อือตอบกลับไปแบบนี้ก็ยิ่งทำให้อัมรินทร์รู้สึกเหมือนถูกเมินจนต้องกำมือแน่นระงับความโกรธ

              “เปลว” เขาเรียกชื่ออีกคนอีกครั้งพร้อมผ่อนลมหายใจออกช้าๆ

              “ฉันยังไม่อยากจะชวนเธอทะเลาะด้วยกันหรอกนะ ไม่พอใจอะไรก็พูดออกมาตรงๆ” อัมรินทร์พยายามพูดออกมาอย่างใจเย็นที่สุด

              แต่จนแล้วจนรอดเปลวอรุณก็ไม่ปริปากตอบเขากลับมาเลยสักนิดเดียว

              “เปลว”

              “ผมไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น”

              ครั้งนี้เปลวอรุณรีบตอบกลับทันควันเมื่ออัมรินทร์เริ่มกดเสียงต่ำลง

              “ผมไม่ได้เป็นอะไรและก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรด้วย” พูดให้ถูกคือเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร

              ยอมรับว่าเขาเองไม่พอใจอัมรินทร์มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่ทำตัวรุ่มร่ามกับเขาแต่ที่ตอบออกไปว่าไม่ได้ไม่พอใจอะไรนั้นเพราะตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าไม่พอใจเรื่องอะไรหรือหงุดหงิดอะไรกันแน่ ตอนที่เห็นลิลดานั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวยอมรับว่าแปลกใจที่เห็นเธอมาอยู่ที่บ้านหลังนี้แต่ตอนที่เห็นอัมรินทร์กับลิลดาหัวร่อต่อกระซิบกันอย่างสนิทสนมเขากลับไม่ค่อยพอใจมันเสียอย่างนั้น ถึงอัมรินทร์จะเคยบอกว่าเป็นแค่เพื่อนก็เถอะแต่สิ่งที่เขาเคยได้เห็นกับสิ่งที่เพิ่งเกิดยังไงมันก็ดูขัดกันอยู่ดี

              และที่น่าหงุดหงิดมากที่สุดก็คงจะเป็นตัวของเขาเองนี้แหละที่ดันเผลอไปเปิดใจยอมรับเอาคนอย่างอัมรินทร์เข้ามา...

              อัมรินทร์มองคนปากแข็งที่แสร้งมองออกไปข้างนอกหลบหน้าไม่ยอมหันมาสบตากับเขาตรงๆก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้ามายืนข้างเก้าอี้ที่อีกคนนั่งกอดเข้าอยู่

              “ฉันกับลิลเราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ” ไม่รู้หรอกว่าเปลวอรุณไม่พอใจเขาเรื่องอะไรแต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องนี้

              “อีกอย่างนะ  ลิลเองก็ไม่ได้มาหาฉันาะหน่อย ลิลมาหาไอ้รุทธิ์มันต่างหากไม่เชื่อก็ลงไปถามลิลดูก็ได้” ถึงที่จริงจะมาหาทั้งเขาแล้วก็อนิรุทธิ์ก็เถอะ แต่พอพูดออกไปแบบนั้นปฏิกิริยาของเปลวอรุณที่เริ่มจะหันมามองเขาบ้างแล้วแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขามั่นใจขึ้นแล้วเหมือนกันว่าคงจะเป็นเพราะเรื่องนี้และคิดถูกแล้วที่เลือกบอกไปแบบนั้น

              “ผมก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนิครับ” เปลวอรุณตอบกลับเสียงอ่อน

              เมื่อผู้ร้ายปากแข็งยอมจำนนอัมรินทร์ก็ยิ้มออก

              “จริงๆหรอ” อัมรินทร์เปลี่ยนน้ำเสียงใหม่เป็นเย้าหยอก ก้มโค้งตัวลงให้ใบหน้าลงมาอยู่ระดับเดียวกันกับใบหน้าขาวของเปลวอรุณ

              และยิ่งยิ้มชอบใจมากขึ้นไปอีกเมื่อใบหน้าขาวนั้นแดงระเรื่อขึ้นยามที่หันกลับมาแล้วเห็นว่าใบหน้าของพวกเขาสองคนอยู่ห่างกันเพียงแค่คืบเดียว

              “ไม่ต้องเอาหน้าเข้ามาใกล้ขนาดนั้นก็ได้ครับ” เจ้าตัวว่าพลางใช้ฝ่ามืออุ่นดันใบหน้าของเขาออก

              “หื้อ มือเปลวนี่อุ่นดีจังเลยนะ”  อัมรินทร์ว่า หลังจากฉวยโอกาสจับมือข้างนั้นที่ดันเขาออกให้มาแนบกับหน้าของเขาดีๆ

              “ผมมันพวกเลือดอุ่นนะครับ”

              อัมรินทร์ครางรับในลำคอหลับตาพริ้มชอบใจ  มือของเปลวอรุณทั้งอุ่นทั้งนิ่มพอเอามาแนบกับหน้าแบบนี้แล้วมันพลอยทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก มิน่าละมณีนิลถึงชอบให้เปลวอรุณลูบหัวลูบตัวอยู่เรื่อยๆ

              “ปล่อยได้แล้วมั่งครับ” เปลวอรุณว่า

              “ไม่เอาหรอก อยู่แบบนี้สบายจะตาย” อัมรินทร์หลับตาพูดไม่ได้สนใจใบหน้าที่เริ่มแดงขึ้นกว่าเดิมของเปลวอรุณเลยสักนิด

              เปลวอรุณเองยิ่งอัมรินทร์ทำท่าทีคล้ายว่าจะอ้อนไถ่ข้างแก้มที่แนบไปมากับฝ่ามือของเขาหัวใจเจ้ากรรมก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นไม่เป็นจังหวะความร้อนบนใบหน้าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนไม่กลายที่จะมองใบหน้าคมคายนั้นต่อจนต้องหันหนี

              พอหันหลบไม่มองหน้าอัมรินทร์สายตาของเปลวอรุณก็ไปสบเข้ากับอ่างหินขัดมันสีเทาควันบุหรี่เข้มที่วางอยู่ห่างไปเพียงสองช่วงแขน

              อาจเพราะเมื่อวานจนถึงเมื่อครู่มีเรื่องเข้ามาเลยไม่ทันให้เขาสังเกตหลายๆสิ่งรอบห้อง ไม่ทันได้มองว่าในห้องนี้มีเจ้าอ่างหินที่ดูไม่น่าจะเป็นของประดับห้องอยู่ โดยเฉพาะในห้องนอนของอัมรินร์แบบนี้

              “นั้นอะไรหรอครับ” เพราะอยากรู้เปลวอรุณจึงตัดสินใจถามออกมา

              อัมรินทร์ลืมตาขึ้นมองหันมองตามสาบตาของอีกคนไปยังเจ้าอ่างหินที่ว่านั้นพร้อมยกยิ้ม

              “ลุกไปดูสิ” เขาว่าพร้อมกระตุกมือของเปลวอรุณให้ลุกขึ้นแล้วเดินตามมา

              อ่างหินขัดมันขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งไม้บรรทัดภายในบรรจุดินสีดำจนเกือบเต็มตกแต่งด้านบนด้วยหินแตกแต่งสีเข้มที่ไล่จากอ่อนเข้ามาเข้มสามแถมก่อนจะเป็นต้นกุหลาบหนูที่ถูกตัดแต่งเป็นพุ่มเล็กๆล้อมหินสีขาวเม็ดเล็กเอาไว้และในใจกลางสุดคือต้นกุหลาบหินสีต้นวางล้อมต้นแคคตัสที่ดอกสีเหลืองตรงปลายด้านบนกำลังตูมเต่งเตรียมตัวผลิดอก

              “ชอบหรือเปล่า” อัมรินทร์เอ่ยถาม จงใจยืนซ้อนหลังกระซิบถามที่ข้างใบหูตีเนียนกอดรอบเอวของอีกคนไว้หลวมๆ

              “ฉันนั่งทำเองเลยนะ ตั้งแต่หาซื้อดินกับพวกหินประดับหาซื้อต้นไม้มาลง แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาอะไรดีต้นไม้มันเหมือนๆกันไปหมดบางอันก็หน้าตาประหลาดดูไม่เหมือนเป็นต้นไม้เลย” อัมรินทร์พูดพลางนึกถึงตอนที่ตนไปซื้อต้นไม้ที่ร้าน ต้นแคคตัสหน้าตาประหลาดบางอันมีหนามแหลมจนเขากลัวหนามมันจะทิ่มเข้าที่นิ่วของเปลวอรุณเลยตัดมันออกไม่หยิบมา

                “แต่ฉันเลือกอันที่เหมาะกับเปลวที่สุดเลยนะ แต่อันแรกที่ซื้อมาทำฉันเผลอทำมันแตกไปแล้วเลยสั่งให้ช่างทำอ่างอันนี้มาให้ใหม่แล้วไปซื้ออุปกรณ์มาจัดใหม่” ตอนแรกก็คิดว่ามันง่ายเหมือนที่เห็นในคลิปวีดีโอในยูทูปที่ดูเป็นไกด์ไลย์  แต่ไม่เลยนอกจากจะคิดไม่ออกว่าจะจัดวางมันยังไงให้ออกมาสวยถูกใจอีกคนแล้วเขายังเผลอทำมันแตกทั้งๆที่เพิ่งทำเสร็จไปไม่ถึงสามวันดีอีก จำได้ว่าเขาหงุดหงิดงุ่นง่านทั้งวันเลยเหมือนกันกว่าจะออกไปซื้อมาทำใหม่ได้

                “เปลวว่ามันเป็นยังไงบ้างสวยไหม ชอบหรือเปล่า” เขาถามออกไปอย่างตื่นเต้นเหมือนเด็กที่พอทำดีแล้วอยากได้รางวัลจากผู้ใหญ่

             “คุณทำมันเองหมดนี้เลยหรอครับ” เปลวอรุณถาม พลางเอื้อมมือออกไปจับที่ใบของต้นกุหลาบหนูอย่างเบามือ

             “ใช่”

              “แต่คุณไม่ชอบปลูกต้นไม้ไม่ใช่หรอครับ” ขนาดเมื่อก่อนเขาเคยให้ต้นตะบองเพชรไปอัมรินทร์ยังเผลอทำมันตายได้เลย แล้วคนอย่างนี้นะหรือจะมาปลูกสวนถาด

             “ก็เปลวชอบไม่ใช่หรือไง” อัมรินทร์ย้อน

            “มันก็ใช่นะครับ แต่..”

            “ฉันทำเอาไว้ให้เปลว”

             “...”

             “เพราะมันเป็นสิ่งที่เปลวชอบ ฉันก็เลยอยากจะลองทำมันดู”

 


________________________________________________

ไม่เคยคิดดองนิยายเลยจริงๆ แค่อู้นานไปหน่อยเท่านั้นเองงงงงงงง
อยู่ดีก็ทำการตั้งมิทชั่นปิดนารูโตะ500ตอนก่อนเปิดเทอมขึ้นมาเอาดื้อๆสะอย่างนั้น
เลยกลายเป็นว่าหนังดูทั้งวันทั้งคืนเพลินเลย กว่าจะดึงสติตัวเองกลับมาได้นั้น...


อย่างที่บอกไปว่าหลังจากนี้เราจะมาในโหมดเบาๆ ไร้ความเครียด
ฉากกระชับความสัมพันธ์นั้นมันก็ต้องมา!!
บรรโลงใจกันเสียให้พอก่อนจะเปิดตัวตัวละครใหม่


สำหรับวันเสาร์ที่ 1 กรกฏาคน ที่จะถึงนี้เพื่อนๆคนไหนจะไปงาน Y book fair
สามารถมาเจอกันได้ ที่บูธ D7 นะคะ
แต่จะโผล่ไปเมื่อไรก็อีกเรื่องเนอะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-06-2017 14:53:32 โดย wavery »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
 :o8: :o8: หวานเป็นกะเขาด้วยเหรอ อันอัน

ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 :z1:
อุ้ยยย เหมือนเบาหวานจะขึ้นนน

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
มาแบบหวานๆ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เป็นหนี้ ครั้งที่ 14


                “ก็เลยพากันมาซื้อของอย่างนั้นสินะครับ”   ลูกตาลเอ่ยขึ้นหลังก้มหน้าจดเมนูอาหารของแขกในร้านทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเนืองๆ

              “ใช่แล้วละจ๊ะ” ลิลดาตอบกลับหน้าบานดูมีความสุขพร้อมส่งเมนูอาหารคืนเด็กหนุ่มตัวสูง

              “แล้วแม่เปลวละฮะ” ลูกตาลยื่นมือออกไปรับเมนูนั่นคืนแล้วเหน็บไว้ที่แขนก่อนจะถามกลับเมื่อเห็นเพียงแค่ลิลดากับอนิรุทธิ์เพียงสองคนที่นั่งอยู่ ที่จริงก็อยากจะถามหาอัมรินทร์ด้วยแต่เขาคิดว่าหมอนั้นคงตามติดแม่เขาเป็นเงาแน่เลยถามแค่คนเดียวดีกว่า

              “แม่นายอยู่บ้านกับเจ้าอัน  เอานี้” อนิรุทธิ์ตอบพลางล่วงหยิบที่ใส่กุญแจขึ้นมาส่งให้

              ลูกตาลพยักหน้าพร้อมพึมพำกับตัวเองในใจ ว่าแล้วไง..

              “อันมันฝากมาให้บอกว่าเลิกงานแล้วให้ไปเอารถของเปลวที่บ้านมาให้ด้วย ขับรถเป็นใช่ไหม” ที่จริงมันควรจะถามเขาก่อนที่จะยื่นกุญแจมาให้ไม่ใช่หรือไง ลูกตาลคิดก่อนรับเอาของมาจากมือของอนิรุทธิ์

              ถ้าเขาตอบว่าขับไม่เป็นนี้ไม่ต้องเข็มมันกลับบ้านหลังใหญ่นั้นเองเลยหรือไง...

              “แล้วตาลเลิกงานกี่โมงหรอจ๊ะ”

              “ก็ประมาณสี่โมงครึ่งนะฮะ” เขาตอบพลางเก็บที่ใส่กุญแจใส่กระเป๋ากางเกงสแล็คสีดำที่ใส่ทำงาน

            ลิลดาพยักหน้ายิ้ม

              “งั่นก็รีบไปรีบกลับละ แล้วมีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษด้วยหรือเปล่าฉันกับลิลจะได้ซื้อเข้าไปไว้รอ”

              เด็กหนุ่มทำหน้าคิดอยู่ครู่ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธแล้วขอตัวกลับไปทำงานต่อ โดนมีสายตานึกชื่นชมของดีไซย์เนอร์สาวมองตามเรื่อยๆ

              “ลูกตาลนี้ก็เป็นเด็กดีเหมือนกันนะคะ” เธอประสาทมือรองไว้ที่ใต้คางแล้วเท้าศอกลงกับโต๊ะมองไปทางเด็กหนุ่มที่กำลังเดินเอาใบออเดอร์ไปให้เซนเตอร์เพื่อส่งต่อเข้าไปในครัวแล้วกลับไปรับลูกค้าวัยรุ่นผู้หญิงอีกสามคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่

              “ลิลไม่ค่อยเห็นเด็กสมัยนี้ทำงานพิเศษกันเท่าไรเลยด้วย” ถ้าเป็นแทบโซนยุโรปที่เธออยู่ก็ว่าไปอย่าง

              คล้ายๆว่ามันกลายเป็นค่านิยมในสังคมไทยไปแล้วละมั่งที่ว่าเด็กคนไหนทำงานพิเศษจะเป็นเด็กไม่มีเงินน่าแถมยังเป็นเรื่องที่น่าอายในหมู่เพื่อนอีกด้วยทั้งๆที่มันออกจะเป็นเรื่องที่เท่เสียมากกว่าด้วยซ้ำในสายตาเธอ เพราะนั้นมันหมายถึงว่าเด็กคนนั้นสามารถทำงานหารายได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องคอยพึ่งพ่อแม่อย่างเดียวและในแถบประเทศที่เธอเรียนเธอทำงานอยู่มันถือเป็นเรื่องที่ปกติมากที่พ่อแม่จะให้ลูกออกมาทำงานเผชิญโลกเพื่อก้าวออกมาจากความเป็นเด็กด้วยตนเอง

            “ก็จริงนะ” อนิรุทธิ์เองก็ยอมรับในข้อนี้

              เขาเองก็อยู่ที่นี้มาตั้งแต่เกิดมีแค่ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศแค่ไม่กี่ทั้งยังเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนทำให้เขาเจอกับเด็กและผู้ปกครองหลากหลายรูปแบบ และเท่าที่เขาได้สัมผัสมาพ่อแม่สมัยนี้เป็นโรคห่วงลูกมากเกินไปจนทำให้เด็กกลายเป็นโรคกลัวความลำบากหลายครั้งที่เขาเคยถามเด็กกลุ่มนี้ว่าคิดเห็นยังไงกับเรื่องการทำงานพิเศษคำตอบที่ได้มักจะไปในทางเดียวกันว่า น่าอาย และ เสียเวลาเที่ยวเล่น และจากสถิติที่เขาเคยทำกับนักเรียนของตัวเองพบว่ามีเพียงไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำไปที่ทำงานพิเศษกับอีกสิบเปอร์เซ็นต์น้อยๆที่อยากทำงานพิเศษแต่ที่บ้านไม่อนุญาตและเลือกที่จะให้เรียนเสริมที่สถาบันติวเตอร์แทน

              ก็น่าเป็นห่วงอยู่นะ...

              “เท่าที่ลิลดู คุณเปลวเองก็ดูจะเอาใจใส่ลูกตาลดีไม่น่าจะปล่อยให้เขามาทำงานแบบนี้เลยนะคะ”

            จริงอย่างที่หญิงสาวว่า ด้วยนิสัยเอาใจใส่และเป็นกังวลกับทุกเรื่องเปลวอรุณดูเป็นแม่ที่ค่อนข้างห่วงลูกเอาการอยู่ไม่น่าจะยอมให้ออกมาทำงานข้างนอนแน่ยิ่งมีอัมรินทร์เสนอตัวมาเป็นพ่อเลี้ยงให้แบบนี้ด้วยแล้วแทบจะได้ใต้โต๊ะจากคนที่เสนอตัวเป็นพ่อบุญธรรมอีกคนเยอะพอดู 

              “เห็นไอ้อันบอกว่าเด็กนั้นอยากทำเองนะ”

              “หื้อ?”

            “ไอ้อันมันเล่าให้ฉันฟังว่า เปลวเคยบอกให้เด็กนั้นเลิกทำงานแล้วเอาเวลามาอ่านหนังสือเตรียมสอบปีหน้าเหมือนกันแต่ลูกตาลมันเด็กดีเกินไปบอกไม่ยอมจะทำงานไปด้วยอ่านหนังสือไปด้วย”

              ลิลดาทำตาโต

              “ไม่ใช่แค่นั้นนะ ตอนที่เด็กนั้นมันรู้เรื่องแผนเห็นว่าที่ยอมเข้าร่วมด้วยเพราะอยากจะดีดยายแม่เลี้ยงของเปลวออกไปเลยยอมช่วย”

              ข้อแลกเปลี่ยนง่ายๆที่ลูกตาลขอไว้แลกกับการไม่พูดเรื่องแผนนั้นให้เปลวอรุณฟังคือการที่อัมรินทร์ต้องทำทุกวิถีทางในการไล่พิมพาออกไปจากชีวิตของเปลวอรุณ

              ไม่ได้ของเพื่อตัวเองแต่เพื่อแม่บุญธรรมของตัวเอง เด็กดีชะมัด....

            “แต่ทั้งทำงานไปด้วยอ่านหนังสือเตรียมสอบไปด้วยลิลว่ามันก็นักอยู่เหมือนกันนะคะ” เธอคิดก่อนจะสะกิดให้อนิรุทธิ์ขณะขยับแก้วน้ำออกจากทางเพื่อให้บริการสาวเอาขนมหวานวางลงบนโต๊ะได้สะดวก

              อนิรุทธิ์พยักหน้าเห็นด้วย  ขนาดเด็กที่มีเวลาอ่านหนังสือเต็มที่บางคนยังอ่านไม่ทันจนทางโรงเรียนต้องจัดติวเสริมเลย

              “แล้วเขาจะเรียนคณะอะไรหรอคะ” ลิลดาถามขณะหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเตรียมถ่ายรูป

              “ไม่รู้สิ” ก็เขาไม่ใช่พ่อมันนิน่าที่จะได้รู้

              พอลิลดาเริ่มลงมือกินขนมหวานตรงหน้าบทสนทนาของพวกเขาสองคนก็เริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆส่วนใหญ่จะเป็นลิลดาที่เป็นฝ่ายถามไถ่ตัวชายหนุ่มเสียมากกว่าส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องงานที่โรงเรียนบ้างสลับกับเรื่องส่วนตัวจนขนมหวานสองสามอย่างที่สั่งมาหายเข้ากระเพาะในร่างเล็กๆเพรียวลมของลิลดาจนหมด

              อนิรุทธิ์อดทึ่งไม่ได้เหมือนกันที่ผู้หญิงตัวเล็กแบบลิลดาสามารถเก็บกวาดสิ่งที่อยู่บนโต๊ะได้หมดเพียงคนเดียวและที่ทำให้เขาแปลกใจมากที่สุดคงเป็นตอบจ่ายเงิน เธอไม่ได้นั่งนิ่งรอให้เขาจ่ายค่าอาหารให้แต่หยิบเงินเท่าจำนวนของที่เธอกินส่งมาให้แล้วให้เขาเป็นคนไปจ่าย ที่จริงเขาว่ามันก็ดูแฟร์ดีที่เธอทำแบบนั้นแม้จะดูไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆที่เขาเคยคุยด้วยที่พวกเธอชอบที่จะให้เขาออกให้ตลอด

              “ไปค่ะ ไปซื้อของกัน”  เธอพูดด้วยรอยยิ้มหลังหันไปโบกมือลาลูกตาลที่ยืนอยู่ด้านใน

              “เริ่มจากไหนก่อนดีละ”

              อนิรุทธิ์เอ่ยถามก่อนจะโดนหญิงสาวจับแขนลากเข้าโซนซุปเปอร์เลือกซื้อของสดของแห้งที่ต้องการส่วนที่หาไม่ได้ก็เอาไปเก็บตกที่ตลาดสดก่อนทางเข้าบ้านเอา นี้คือความคิดของลิลดา...

            แต่ความสุขของเธอก็อยู่ได้ไม่นานเท่าไร เพราะหลังจากที่เดินเลือกซื้อของกันได้ประมาณครึ่งชั่วโมงก็มีโทรศัพท์ด่วนโทรตามตัวเธอกลับในทันที แผนการปาร์ตี้ฉลองตอนเย็นของเธอจึงจ้องพับเก็บใส่กระเป๋าพร้อมหน้างอๆของเจ้าหล่อนที่มุ้ยตลอดทาง

 

              “มึงก็เลยต้องหิ้วของทุกอย่างกลับมาด้วยสินะ” อัมรินทร์เลิกคิ้วถามพลางมองถุงพลาสติกที่วางอยู่บนเคาร์เตอร์หินอ่อนในครัวอย่างตั้งคำถาม

              “ก็เออนะสิ” อนิรุทธิ์ยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองอย่างนึกหน่าย 

ใช่ ของทุกอย่างที่บนเคาร์เตอร์ที่เปลวอรุณกำลังเปิดดูและแยกออกมาล้างอยู่ตอนนี้คือของที่ลิลดาพาเขาตะลอนเดินรอบโซนของสดในซุปเปอร์

             พอคิดถึงตรงนั้นแล้วก็อดเหนื่อยใจไม่ได้เลยจริงๆ...

            “เอ๋ อะไรนะคะ... ตอนนี้เลยหรอคะ”

            ที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากจะทำตัวเป็นพวกผู้ชายสู่รู้เรื่องชาวบ้านเขาสักเท่าไรหรอกนะแต่ไอ้ระยะห่างแค่ด้ามจับของรถเข็นกับขอบเหล็กหน้าหน้ามันก็ไม่ได้ห่างกันเท่าไร แต่เสียงแบบนี้กับการแอบเหล่ตามองมาด้านหลังแบบนี้ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ

           “แต่ว่าลิล..ค่ะ ดี๋ยวลิลรีบกลับ... ค่ะ”

            และคงเป็นเรื่องที่ลิลดาปฏิเสธไม่ได้แน่ๆ เพราะเสียง ค่ะ เมื่อครู่ดูอ่อยๆเหมือนไม่อยากจะทำ

            “คุณรุทธิ์ค่ะ” เธอเรียกพร้อมหันกลับมาหาเขาพร้อมหน้าตาที่ดูเหมือนพุดเดิ้ลขนาดไซย์มาตรฐานที่กำลังหูลู่หางตกมือกำขอบเหล็กของรถเข็นแน่น

              “มีธุระหรอ จะกลับก่อนก็ได้นะ” เขาไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว แต่ของบนรถที่หยิบมานี้สิเอามาจากไหนบ้างก็ไม่รู้ จะเอาไปเก็บถูกหรือเปล่าว่ะเนี้ย...

              “รู้แล้วละค่ะ แต่ว่า” เธอว่าพร้อมเหล่มองดูของสดที่วางอยู่ในรถเข็ดอย่างนึกเสียดาย กว่าจะได้เนื้อสดแต่ละชิ้นไม่ใช่เรื่องง่ายเธอ แถมบางอันก็สดใหม่มากด้วยถ้าเอาไปคืนก็เท่ากับเธอเสียของดีไปฟรีๆนะสิ

              ไม่ยอมแน่...

              การซื้อของดีๆเข้าบ้านคือจิตวิญญาณของผู้หญิง!

            “อยู่ดีๆยายนั้นก็เกิดนึกเสียดายของขึ้นมาเอาดื้อๆบอกให้กูเอาของพวกนี้กลับบ้านแถมยังให้ถ่ายสลิปกลับไปให้ดูเป็นหลักฐานด้วย ยุ่งยางชิปหายเลยให้ตายสิ”

              “แล้วมึงทำไหม” อัมรินทร์ย้อน

              “ทำ” เก่งมากไอ้พี่ชาย...

              “ถ้างั้นก็อย่าบ่น” อัมรินทร์ว่า แล้วหันไปถามเปลวอรุณว่ามีอะไรให้ช่วยไหมก่อนจะได้เนื้อหมูกับเนื้อไก่บางส่วนมาให้ล้างกันน้ำที่เจ้าตัวผสมเกลือไว้ให้แล้ว

               “ถ้าไม่คิดจะช่วยก็ออกไปได้แล้วอยู่ไปก็เกะกะเปล่าๆ” พร้อมกับออกปากไล่

              “มึงนี้ก็หาเรื่องไล่กูจัง” อนิรุทธิ์เบ้ปาก

              ไม่ใช่ว่าเขาไม่ช่วยนะ แต่ดูไอ้อัมรินทร์มันทำเสียก่อนเถอะยึดพื้นที่ใช้สอยเกือบทั้งหมดไว้เอากันท่ากลายๆให้เขาเป็นเศษเกินของห้องครัว  อัมรินทร์ไหวไหล่ทำเป็นไม่สนใจเสียงบ่นที่ว่านั้นแล้วหันไปสนใจกับการล้างเนื้อสัตว์ที่ได้รับมา

             เมื่ออัมรินทร์เลือกที่จะเงียบใส่ถามอะไรเริ่มไม่ตอบ อนิรทุธิ์จึงทำหน้าตึงลับหลังน้องชายแล้วเปลี่ยนเข็มไปทางเปลวอรุณที่กำลังเอาเนื้อหมูที่ล้างแล้วเก็บใส่ทัปเปอร์แวร์แทน

            “แล้วนี้เปลวจะเอาพวกนี้ไปทำอะไรหรอ” อนิรุทธิ์ถาม

              “เอ่อ ผมกำลังคิดว่าถ้าเอามาทำเป็นมื้อเย็นสำหรับวันนี้ก่อนจะไหมนะครับ” เพราะลิลดาบอกจะฉลองเขาเลยไม่แน่ใจว่าถ้าเอามาทำเป็นอย่างอื่นก่อนหญิงสาวจะว่าอะไรหรือไม่เพราะไม่รู้ว่าจะได้จัดจริงๆเมื่อไรแน่

              “ได้แหละ ทิ้งไว้นานเสียของเปล่าๆ” อนิรุทธิ์ตอบ

              “เปลวแล้วผักพวกนี้เอาไว้ไหน” อัมรินทร์แทรกเสียงขึ้นพร้อมย้ายตัวจากอ่างล้างจานมายืนชิดเปลวอรุณที่ยืนอยู่หน้าเคาร์เตอร์ฝั่งตรงข้ามกับอนิรุทธิ์

              กันท่านี้หว่า... อนิรุทธิ์คิด

              “ถ้างั้นเย็นนี้ฉันจะรอกินอาหารฝีมือเปลวนะ เห็นไอ้อันมันเอามาโม้อยู่ว่าคุณทำอาหารอร่อย” อนิรุทธิ์เย้าก่อนจะเดินออกจากครัวไปพร้อมกับมณีนิลที่นอนหมอบรออยู่หน้าประตูครัว 

              “เขินหรอ”  อัมรินทร์แหย่ต่อ เมื่อเห็นเปลวอรุณก้มหน้าก้มตาเม้มปากแน่น

              “เปล่านิครับ” เปลวอรุณปฏิเสธหน้าแดง       

              “ถ้าล้างเสร็จแล้วก็ใส่กล่องนี้ไว้ครับ แยกด้วยนะครับเวลาแม่ครับมาหยับจะได้หาง่าย” ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องโดยการส่งกล่องหลากหลายขนาดมาวางตรงหน้าอัมรินทร์

              “แล้วเอาของเข้าตู้เย็นเสร็จแล้วเปลวอยากไปไหนหรือเปล่า” ปากถามมือก็ทำงานของตัวเอง

              “ไม่ครับ”

              “แล้วอยากทำไรเป็นพิเศษไหม”

              “แล้วมีอะไรให้ผมทำหรือเปล่า”

            อัมรินทร์ยกยิ้มมุมปาก

              อัมรินทร์ส่งกล่องสูญยากาศที่บรรจุเนื้อสัตว์กับผักที่ซื้อมาส่งให้เปลวอรุณจัดเรียงเข้าตู้เย็นรอจนอีกคนทำจนเรียบร้อยแล้วก่อนจะเขาไปจูงมือพาออกไปที่สวนด้านหลัง


            ออกจากประตูหลังบ้านมาจะเป็นสนามหญ้ารอบๆกำแพงมีต้นไม้มงคลที่ท่านประธานพ่อของอัมรินทร์ให้คนเอามาปลูกเพื่อให้ร่มเงา สุดทางด้านในเป็นสวนแบบไทยประยุกต์มีทางเดินกินทอดตัวยาว ถ้าเดินตามทางเข้าไปจะเจอเข้ากับความร่มรื่นของไม้ใหญ่และศาลานั่งเล่นพื้นเตี้ยขนาดกลางไม่ใหญ่มากติดน้ำตกจำลองขนาดเล็กที่ทำเป็นกรอบชิดมุมเนื้อที่บ่อความยาวมากเมตรกว่าๆและสามารถนั่งหย่อนขาลงน้ำได้ข้างๆเป็นอุปกรณ์จัดสวนที่มีตั้งแต่ถุงใส่ดินที่ถูกเปิดใช้งานกระถางขนาดเล็กอ่างหินขนากเล็กจนไปถึงของตุ๊กตาดินเผาที่ใช้ตกแต่งสวนที่บางชิ้นมาคาบดินสีดำติดอยู่บางส่วนโดยเฉพาะที่ด้านล่างของตัวดินเผา ทั้งบนโต๊ะไม้เตี้ยบนศาลาเองกับพื้นศาลาต่างก็มีการเอาผ้าใบสีขาวที่ยังมีรอยเปื้อนติดอยู่มาปูทับไว้เดาได้เองไม่ยากเท่าไรว่าของพวกนี้มีคนใช้งานมันมาได้ไม่นาน

              “เปลวชอบจัดสวนถาดใช่ไหมละ ถึงจะไม่มีต้นไม้สวยๆเหลืออยู่แล้วแต่ฉันว่ามันก็น่าจะพอฆ่าเวลาแก้เบื่อได้นะ”  อัมรินทร์ยกมือทาบท้ายทอยอย่างประหม่า

              ของพวกนี้เป็นของเหลือใช้ที่เขาซื้อมามากเกินไปเลยกลายเป็นว่าแม้จะใช้มันลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้งจนสามารถทำสวนอ่างที่วางอยู่ในห้องได้แล้วแต่ก็ยังเหลือเยอะอยู่ดี จะทิ้งก็เสียด้ายเลยเอามาไว้ที่สวนเผื่อว่าลุงอุ่นจะให้คนสวนเอาไปใช้ต่อได้

              “ผมใช้ได้หรอครับ” เปลวอรุณถาม สองเท้าก็พาตัวเองเข้ามาใกล้อุปกรณ์ที่วางดวงตาพลางจ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคล้ายกำลังตรวจสอบและพิจารณาว่าจะใช้ทำอะไรได้บ้าง

              “ได้สิ เอาเลยเปลวอยากทำอะไรเชิญเลยเข้าไปนั่งทำด้านในได้นะ” อัมรินทร์บอกพร้อมก้าวขึ้นไปนั่งบนศาลา

              พออัมรินทร์เอ่ยปากอนุญาตม่านตากลมของเปลวอรุณขยาดขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยไม่ได้สนใจเสียงพูดของอัมรินทร์อีกก้มหน้าก้มตาเลือกหยิบของที่ชอบใส่กระถางดินเผาทรงกลมสีน้ำตาลแดง

              ที่เขาบอกว่าพอได้ทำสิ่งที่ชอบแล้วมันจะเหมือนว่าคนคนนั้นตัดขาดตัวเองออกจากโลกภายนอกอัมรินทร์ก็เพิ่งเข้าใจคำกล่าวที่ว่านั่นก็วันนี้

              ตากลมๆหลังกรอบแว่นดูจะสดใสขึ้นกว่าเมื่อเช้าหรือเปล่า กำลังอมยิ้มอยู่ใช่ไหม

              แค่เอาดินลงมันทำให้เปลวอรุณมีความสุขมากกขนาดนั้นเลยหรอ....

              “เปลวจะจัดเป็นแบบไหนหรอ”

              “ยังไม่รู้เลยครับ” เปลวอรุณตอบเสียงใส มือก็ง้วนอยู่กับการกลบดินให้แน่นในขณะที่สายตาก็มองของที่หยิบมากองกันไว้ที่โต๊ะเป็นระยะ

              “เปลวไม่ได้วางแผนไว้ก่อนหรอว่าจะทำออกมาเป็นแบบไหน” อัมรินทร์นึกแปลกใจ

              “ไม่ครับ ปกติถ้าไม่ทำตามแบบก็จะทำตามใจมากกว่า ทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็คิดออกเอง” เปลวอรุณตอบมือก็หยิบเอานู้นเอานี้ขึ้นมาทาบลอง

              เพราะของบางอย่างถึงจะวางแผนให้มันออกมาเป็นยังไงก็ใช่ว่าจะได้ตามนั้นเสมอ ยิ่งกับของที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามใจคนทำแบบนี้ด้วยแล้วเปลวอรุณชอบที่จะทำไปคิดไปมากกว่า

              แน่นอนว่าสิ่งที่เปลวอรุณกำลังทำอยู่มันขัดกับสิ่งที่อัมรินร์เคยเจอมาตลอด เปลวอรุณที่อัมรินทร์เคยเจอนั้นจะชอบวางแผนการทำงานก่อนทุกครั้งไม่ใช่คนที่ทำอะไรไปคิดไปแบบตอนนี้

              ผิดไปเป็นคนละคนเลย.. อัมรินทร์คิด

              เปลวอรุณที่เขาเจอชอบทำหน้านิ่งๆเครียดๆใส่แผ่นกระดาษแต่ดูเอาตอนนี้สินอกจากจะอมยิ้มจนแก้มจะแตกแล้วยังดูกระตือรือร้นสนุกสนานกว่าปกติอยู่หลายเท่า คิดถูกจริงๆที่เก็บของพวกนี้เอาไว้...

            มิน่าละถึงได้คลุกอยู่แต่ในสวนทั้งวัน....

              แม้จะมีหลังคาของศาลาทรงไทยกับร่มเงานของต้นไม้ช่วยลดทอนแสงแดดไม่ให้ส่องเข้ามาได้แต่ไม่ใช่กับไอร้อนที่ถึงจะไม่มากแต่ก็พอทำให้ก้อนน้ำแข็งในแก้วน้ำเย็นฉ่ำละลานจนเคลื่อนตัวกระทบกันภายในแก้วทรงกลม

              อัมรินทร์เท้าคางอ่านแบบรายงานผ่านจอแท็บเล็ตสลับกับเหลือบสายตาขึ้นมามองคนตรงหน้าที่ยังคงดูสนุกกับการจัดสวนถาด ใบหน้าขาวเริ่มขึ้นสีระเรื่อเป็นชมพูจางๆจากอุณหภูมิที่เริ่มสูงในช่วงใกล้เที่ยงเหงื่อเองก็เริ่มซึมมากรอบหน้าแต่ดูเหมือนเจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจอะไรซ้ำยังยกหลังมือขึ้นซับเหงื่อตัวเองลวกๆแล้วหันไปสนใจของตรงหน้าต่อ

              ตั้งแต่ช่วงสายจนถึงตอนนี้เปลวอรุณสามารถทำสวนถาดไปแล้วสองถ้าร่วมที่กำลังนั่งทำอยู่ตอนนี้ก็อันที่สาม ถ้าเทียบกับที่อัมรินทร์ทำแล้วละก็เปลวอรุณทำออกมาได้ดูดีกว่าเขามาก

              ตอนแรกเขาเองก็เอ่ยปากบอกจะทำด้วยเหมือนกันเลยลงไปหยิบเอาของที่อยากได้ใส่กระถางกลมแล้วกลับมานั่งลงตรงเบาะนั่งตรงข้ามเพราะอยากหาอะไรที่ตัวเองพอจะทำร่วมกับอีกคนได้บ้าง แต่ก็ดูเหมือนเขาจะทำออกมาได้ไม่ดีเท่าอันที่อยู่บนห้องและนั้นก็ทำให้เขารู้เรื่องของเปลวอรุณมาอีกข้อ...

              เปลวอรุณเป็นพวกชอบออกคำสั่ง...

            “คุณอัมรินทร์ทำไมจับต้นไม้แรงอย่างนั้นถ้าใบช้ำขึ้นมาทำยังไง วางลงเลยนะ” ต้นเฟิร์นเงินน้อยที่น่าสงสารในมือของเขาคงส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือแน่ เพราะไม่อย่างนั้นเปลวอรุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจับมันเบาหรือแรงทั้งๆที่แทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขาเลยจนถึงเมื่อกี้ก่อนออกปากบ่น

              “แต่ฉันก็จับเบาที่สุดแล้วนะ” ถ้าจะโทษก็โทษมือของเขาที่มันใหญ่กว่าลำต้นที่เล็กเสียเหลือเกินจนกะแรงไม่ค่อยถูก แต่ไอ้ต้นที่เขาจัดไว้บนห้องเขาก็จับแบบนี้นะไม่เห็นมันจะช้ำเลย

              เปลวใส่ร้าย...

              “มันเบาได้มากกว่านี้ครับ ต้นที่คุณทำบนห้องก็เหมือนกันบางใบมีรอยช้ำอยู่ไม่ระวังแบบนี้ไม่ได้นะครับ”
เจ้าตัวเริ่มบ่น

            “แล้วนี้อะไรกันครับ....”

              และอีกสารพัด

              ก็ไม่เชิงว่าชอบออกคำสั่งหรอกนะ ก็แค่ไอ้นั้นไม่ได้ ต้องอย่างนี้ ทำไมไม่ทำแบบนี้ สุดท้ายสวนถาดของเขาก็กลายเป็นสวนถาดถาดที่สองที่เปลวอรุณยึดจากเขาไปทำเอง

              ถึงจะพอรู้อยู่บ้างก็เถอะนะว่าเปลวอรุณเป็นพวกจริงจังกับงานที่ทำแต่พูดไงดีละ...

              บางทีก็จริงจังเกินไป...

              แต่..

              แต่ถ้าเปลวอรุณชอบเขาก็ไม่ว่าอะไรหรอก ดีเสียอีกอย่างน้อยมันก็ทำให้เขาได้ใช้เวลาร่วมกับเปลวอรุณ

              ให้ลืมไปว่าทำไมถึงมาอยู่ ให้ลืมเรื่องก่อนหน้าแล้วมาเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเราจริงๆจังๆกันตั้งแต่ตอนนี้โดยเริ่มจากสิ่งเล็กๆน้อยๆอย่างการจัดสวนถาดอย่างที่เจ้าตัวชอบ

              ถึงจะเริ่มช้าถึงจะทำอะไรอ้อมๆแต่ที่ทำมาทั้งหมดก็เพื่อสิ่งนี้...

              ถึงจะดูหลอกลวงไปหน่อยก็เถอะ...

              ชายหนุ่มอมยิ้มแล้วเปลี่ยนมาเท้าคางมองดูทุกการกระทำของคงตรงหน้าอย่างตั้งใจ เปลวอรุณดูตั้งอกตั้งใจเป็นอย่างมาไม่สนใจเลยด้วยว่าเขากำลังมองอยู่ ข้างแก้มขามอมชมพูมีรอยเปื้อนคาบดินเป็นทางยาวคงจะเผลอเอามือเปื้อนดินนั้นป้ายหน้าแน่ๆ

              ตุ๊กตาดินเผารูปเด็กผู้หญิงถูกปักลงดินเป็นอย่างสุดท้ายใต้ร่มเงาใบสีม่วงแดงของต้นแดงชาลีขนาดยี่สิบห้าเซนติเมตรในถากทรงกลม เปลวอรุณยิ้มพอใจให้กับผลงานชิ้นล่าสุด

              “เสร็จแล้วหรอ” เขาใช้ข้อต่อนิ้วมือดันกรอบแว่นขึ้นเล็กน้อยพร้อมขานรับคำถามนั้น

              “แล้วจะเอาไว้ไหนดีละ” อัมรินทร์ถามขึ้นกวาดสายตามมองไปรอบๆสวน

              “อันนี้ผมจะเอาไว้ตรงขอบบ่อได้ไหม” ต้นแดงชาลีชอบที่ชื้นถ้าวางไว้ตรงที่ชื้นๆ และแถวน้ำตกจำลองนี้ก็มีความชื้นที่พอเหมาะและยังมีแสงแดดส่องถึงวันอีกด้วย

              “เอาสิ เปลวอยากเอาวางตรงไหนก็วางเลย” อัมรินทร์อนุญาต ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นก่อนจะก้มมาใช้สองมือประคองกระถางกระเบื้องดินเถาทรงกลมแบนที่เปลวอรุณเพิ่งทำเสร็จขึ้นแล้วเดินเอาไปวางตรงที่เจ้าตัวพูดเมื่อครู่

              “แล้วอีกสองอันละ” ก่อนจะหันกลับมาถาม

              เปลวอรุณก้มมองกระถามอีกสองอันตรงหน้า กระถางแรกเป็นของที่จัดเป็นสวนหินจึงไม่มีปัญหาเรื่องที่วาเพราะสามารถวางได้ทุกทีส่วนอีกอันเป็นของอัมรินทร์ที่เขาเอามาทำต่อส่วนใหญ่เป็นต้นเทียนทองกับลิ้นมังกรที่เป็นพืชที่ต้องการแสงแดดในการเจริญเติบโตไม่เหมือนแดงชาลีที่แม้จะต้องการแสงแดดเต็มวันเหมือนกันแต่ก็ยังชอบที่ชื้นด้วย

              “สวนหินนี้เอาไว้ที่ไหนก็ได้ครับส่วนของคุณอัมรินทร์ผมว่าเอาไว้ในสวนนี้ละครับ แต่ไว้สูงหน่อยเพราะเมล็ดของเทียนทองมีพิษเดี๋ยวคุณนิลเผลอกินเข้าไปจะยุ่งเอา” อัมรินทร์พยักหน้ารับก่อนจะเริ่มมองหาที่ทางตามที่เขาว่า

              “งั้นสวนหินของเปลวเอาไปไว้ในห้องนั่งเล่นไหมมีที่ว่างอยู่พอดี ส่วนของฉันเดี๋ยวฉันหาที่วางเอง”  ชั้นวางข้างโทรทัศน์ว่างอยู่อัมรินทร์จึงให้เปลวอรุณเอาสวนหินของตัวเองเข้าไปวาง

              “เดี๋ยวเปลวรออยู่นี้แปบนะ” อัมรินทร์พูดดักไว้เมื่อเห็นเปลวอรุณทำท่าว่าจะลุกขึ้น  แต่ไม่ทันที่เปลวอรุณจะเอ่ยถามว่ามีอะไรอัมรินทร์ก็ก้าวลงจากศาลากึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปเสียก่อน

              คนตัวขาวมองตามหลังของคนที่วิ่งหย่อยๆเข้าบ้านไปทางประตูด้านหลังก่อนจะหันมาเอามือทั้งสองข้างปัดกันไปมาไล่เศษดินที่เกาะอยู่ออก

              “ใช้นี้ดีกว่าเปลว”

              คนที่เดินหายเข้าบ้านไปกลับมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กสีน้ำตาลเปียกหมาดมาให้ เปลวอรุณมองผ้าขนหนูที่ว่านั้นสลับกับมือของตัวเอง

              “มา ฉันเช็ดให้”

              อัมรินทร์ว่าพร้อมรวบจับข้อมือทั้งสองข้างของเปลวอรุณมาด้วยมือข้างเดียวส่วนอีกข้างก็ใช้ผ้าเช็ดเอาดินสีเข้มออกจากฝ่ามือซอกนิ้วและซอกเล็บ

              ถึงจะอายและรู้สึกแปลกๆที่อัมรินทร์มาทำอะไรแบบนี้ให้ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกดีจนอธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม เหมือนว่าเขากำลังชอบใจที่ถูกอีกคนดูแลแบบนี้...

           
:-[

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
:-[
 

              ช่วงเย็นของย่านกลางค้าครึกครื้นมากกว่าปกติในช่วงเย็นยิ่งเป็นช่วงวันหยุดด้วยแล้วประชากรของผู้โดยสารที่มายืนรอรถไฟฟ้าที่ชานชาลาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

              ลูกตาลซื้อตั๋วนั่งรถไฟฟ้าก่อนจะต่อรถไปอีกสักระยะแล้วเปลี่ยนมาเป็นเดินทอดน่องเรื่อยๆไปตามทางเดินของชุมชนระดับกลางที่มีทั้งบ้านเรือนที่ตั้งอยู่มานานจนกลายเป็นชุมชนหมูบ้านตลาดกลางซอยร้านค้ามากมายการจราจรบนถนนสองเลน เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กๆเสียงเรียกทักทายของป้าเจ้าของหอพักหลังตลาดใจดีที่ให้เขาเช่าห้องอยู่ฟรีสามเดือนแรกที่ขึ้นมาอยู่ที่กรุงเทพ พวกเขาพูดคุยกันแค่ครู่เดียวก่อนที่เขาจะเดินเท้าต่อเข้าไปยังซอยบ้าน

              ซองใส่กุญแจถูกหยิบออกมากระเป๋าที่คาดอยู่ที่อกไขมันกับแม่กุญแจที่เขาเป็นคนคล้องมันเอาไว้เองเมื่อวาน แต่ยังไม่ทันที่จะผลักประตูรั้วสีขาวเข้าไปด้านในเด็กหนุ่มกลับเลือกที่จะหยุดเดินหันข้างเพียงเล็กน้อยพอให้หางตาของจนสามารถกวาดมองไปทางด้านข้างและด้านหลังได้

              ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกตัว แต่รู้มาสักพักแล้วต่างหากว่าตัวเองถูกตาม...

            ตั้งแต่เดินเข้าเขตชุมชนหมู่บ้านเข้ามาเขาก็รู้สึกเหมือนถูกใครคนหนึ่งเดินตามมาสักระยะซึ่งอีกฝ่ายก็เหมือนจะจงใจเว้นระยะห่างระหว่างกันในระดับที่ถ้าไม่สนใจก็ไม่รู้ตัวได้

              จะบอกว่าเป็นพวกตีนแมวคิดย่องเบาเข้าบ้านก็คงไม่ใช่เพราะเจ้าของบ้านก็เพิ่งไม่อยู่เมื่อวานซ้ำตอนนี้ถึงจะใกล้หกโมงเย็นแล้วแต่ฟ้าก็ยังไม่มืดพอจะทำให้บรรยากาศดูน่าวังเวงแถมซอยนี้ก็มีคนอยู่ทุกหลังคาเรือนด้วย โจรคงไม่กล้าแน่ถ้าไม่ใช่โจรเก้อย่างเมื่อคราวก่อน

              ลูกตาลทำทีเป็นไม่สนใจแล้วเดินเข้าไปในบ้านเปิดไฟทุกดวงแล้วเริ่มตรวจดูของสำคัญว่ายังอยู่ครบหรือไม่ เมื่อไม่มีอะไรหายเด็กหนุ่มก็เริ่มลงมือเก็บของใช้เพิ่มเติมของเปลวอรุณที่ถูกไหว้วานมาใส่กล่องลังขนาดกลางแล้วทยอยเอาไปใส่ในรถสีลูกเจี๊ยบของเปลวอรุณที่จอดอยู่ที่โรงจอดรถก่อนจะทำทีเป็นกลับมานั่งเปิดโทรทัศน์ดู จนอัมรินทร์โทรมาตามนั้นแหละเขาถึงยอมปิดทุกอย่างแล้วล็อกกรให้แน่นหนากว่าเดิมแล้วขับรถออกมา

              และดูท่าแล้วพวกที่ตามเขามาจะไม่ใช่ขโมยอย่างที่เข้าใจในตอนแรก...

              รถยนต์ทะเบียนต่างจังหวัดคันหนึ่งขับตามเขามาตั้งแต่เลี้ยวออกจากซอยชุมชน เจ้ารถที่ว่าขับเว้นระยะจากเขาเหมือนตอนแรกที่เขาเดินเข้าบ้าน

               แต่พอเขาเลี้ยวเข้าเส้นทางที่จะไปบ้านของอัมรินทร์อยู่ๆรถคันดังกล่าวมันก็หายไปดื้อๆ...

              ลูกตาลขมวดคิ้วแน่นอย่างใช้ความคิด

              แต่ถ้าคิดในแง่ดีก็คือเขาอาจคิดมากเกินไปบางทีอาจเป็นแค่เพื่อนร่วมถนนธรรมดาหรือไม่ก็ยังหลอนกับหนังสายลับรอบดึกที่อนิรุทธิ์เอามาให้เขาดูเมื่อคืน



____________________________________________________________________

มาแล้วนะทุกคนนนน !!
ความสัมพันธ์ของเปลวกับอันเริ่มขึ้นแล้ว เหลือแค่ว่าเปลวจะรู้ความจริงเมื่อไรเท่านั้น
ตอนนี้ก็เอาเบาๆไปก่อนเนอะ

ออฟไลน์ rmlab

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1679
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-2
มาแล้ว ๆ

ออฟไลน์ anga

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
 :serius2:เนื้อเรื่องดีแล้วนะ แต่รบกวนอ่านทวนก่อนโพสได้มั้ยคะ สะกดคำผิดเยอะมาก ผันเสียงสูงต่ำก็ผิด อ่านไปสะกดคำไป เหนื่อย พาให้ไม่อยากอ่าน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด