[End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61  (อ่าน 106816 ครั้ง)

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

เป็นหนี้ ครั้งที่ 7



              โกรธ.. แล้วโกรธเรื่องอะไร  ?

ไม่พอใจ... เพราะอะไรถึงไม่พอใจ ?

 ไม่ชอบ... ทำไมถึงไม่ชอบ ?

ฝ่ามือขาวกำแน่นกับการสื่อสารที่บอกผ่านการกระทำของหญิงสาวที่ยังคงเด่นชัดในจอเรติน่าเหมือนว่าเหตุการณ์ที่ว่ากำลังเกิดขึ้นอยู่ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วตัวตนเรื่องอย่างลิลดาจะกลับไปนานแล้วก็ตาม

ความรู้สึกที่เหมือนมีกองไฟขนาดย่อมกำลังก่อตัวกันอยู่ในอกกับอาการคันยุบยิบที่หัวใจที่หาสาเหตุไม่ได้ยิ่งทำให้เปลวอรุณรู้สึกไม่สบอารมณ์กับมันสักเท่าไร  มันคล้ายกับว่าเขากำลังโกรธ แต่เขาโกรธเรื่องอะไรกัน ? มันหงุดหงิดในใจเหมือนกับว่าเขาไม่พอใจในสิ่งที่เห็น แล้วเพราะอะไรทำไมเขาถึงจะต้องรู้สึกไม่พอใจด้วย ? แต่ที่แน่ๆคือเขาไม่ชอบ... แต่เขาก็ยังหาคำตอบของเรื่องไม่ได้อยู่ดีว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงไม่ชอบ.....

ผู้หญิงข้างกายของอัมรินทร์ถูกสลับสับเปลี่ยนไม่ซ้ำหน้าอยู่บ่อยครั้งในช่วงแรกที่พวกเขาทำงานร่วมกันมา นอกจากหน้าที่ที่ต้องดูแลตารางงานและคอยช่วยเหลือเจ้านายหนุ่มในเวลาทำงานงานนอกเวลาของเขาคือการตามตัวชายหนุ่มนักรักที่มักจะชอบหนีหายไม่ยอมกลับบ้านให้กลับสู่อ้อมอกของผู้ปกครองอย่างปลอดภัย

เขาน่าจะเคยชินกับสิ่งที่เห็นแล้วแท้ๆ

แต่ทำไม...

ทำไมวันนี้มันไม่เหมือนวันนั้น....

การที่เปิดประตูเข้ามาเห็นว่าทั้งคู่กำลังกอดกันอย่างแนบชิดเมื่อครู่ถึงทำให้เขาโกรธทั้งๆที่เมื่อก่อนตอนที่เปิดประตูเข้าไปเจออัมรินทร์กำลังเริงรักอยู่กับผู้หญิงบนที่นอนในโรงแรมเขาถึงไม่รู้สึกอะไรแบบนี้

เพราะอะไร..

ทำไมแค่คำว่าโกรธถึงดูจะไม่ถูกต้องกับความรู้สึกของเขา แน่ละที่เขาไม่พอใจที่เห็นคนเป็นเจ้านายแต่กลับทำตัวไม่ถูกกาลเทศะไร้ยางอายแบบนั้น และแน่นอนว่าคนที่หัวโบราณเรื่องการวางตัวระหว่างชายหญิงเช่นเขาจะไม่ชอบผู้หญิงที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวเกินจำเป็นแบบนี้

เขาไม่เข้าใจว่าความรู้สึกแบบนี้คืออะไร ผิดหวัง อย่างนั้นหรอ....

แล้วคนอย่างเปลวอรุณจะต้องมาผิดหวังเรื่องอะไร ?

 

“เปลว”

ใบหน้าสวยหันมองคนที่เอ่ยเรียกเขาเสียงเบาที่เจือไปด้วยความรู้สึกผิด อัมรินทร์ยืนตัวตรงอยู่ตรงข้างโต๊ะทำงานของเขาข้างๆเป็นลูกตาลที่สะพายกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน

“เลิกงานแล้วกลับบ้านกัน ฉันไปส่ง” น้ำเสียงที่คล้ายจะเป็นการเอ่ยปากขอร้องเสียมากกว่าการเสนอน้ำใจที่เจ้านายมีต่อลูกน้องแสดงออกอย่างชัดเจนแม้น้ำเสียงที่ว่าจะไม่ดังมาก

เปลวอรุณไม่ตอบทั้งยังเมินเฉยต่อคำพูดของอัมรินทร์เก็บข้าวของใส่ประเป๋าทำงานใบเล็กแล้วลุกขึ้นเดินแทรกผ่านอีกคนไปที่ลิฟต์ อัมรินทร์หันมามองหน้าลูกตาลคล้ายขอความช่วยเหลือ เด็กหนุ่มทำเพียงหยักไหล่ดันแผ่นหลังกว้างของเขาให้เดินตามอีกคนไปเงียบๆ

โชคดีที่เปลวอรุณยอมที่จะทำตามคำกึ่งขอร้อง อัมรินทร์เดินตามหลังอีกคนเงียบๆไม่พูดไม่จาไปยังรถยนต์ของตนที่จอดอยู่ในที่จอดรถของผู้บริหาร  มือหนายกรีโมทคอนโทขึ้นมาปลดล็อกแล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังตัวรถก่อนเพื่อบริการเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับให้เปลวอรุณอย่างเอาใจ  ม่านตาสวยหรี่อย่างไม่พอใจกับการประจบของคนเปิดประตูและเลือกที่จะเมินเฉยต่อรอยยิ้มของอัมรินทร์ที่พยายามจะเอาใจด้วยการจะเอื้อมมือไปเปิดประตูด้านหลังหากแต่ลูกตาลกลับไวกว่า เด็กหนุ่มส่งยิ้มให้แม่บุญธรรมของตัวเอาก่อนจะเปิดประตูออกแล้วสอดตัวเข้าไปนั่งอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะกดล็อกประตูด้านหลังทั้งสองข้างแล้วนั่งลอยหน้าลอยตาไม่สนใจสายตาไม่พอใจของเปลวอรุณที่ยืนมองผ่านกระจกเข้ามาอย่างไม่เข้าใจบ่นไม่พอใจ สุดท้ายคนที่ยังหาคำตอบสำหรับความรู้สึกในตอนนี้ของตนเองไม่ได้ได้แต่จำใจแทรกตัวเข้าไปนั่งในรถข้างคนตามที่อัมรินทร์ต้องการแต่ก็ไม่วายที่จะส่งสายตาไม่พอใจใส่คนตัวโตที่ยืนอยู่เขียวปั๊ด  แต่มีหรอที่คนอย่างอัมรินทร์จะสนใจนอกจากยิ้มรับแล้วหันไปยักคิ้วหลิวตาให้เด็กหนุ่มที่ด้านในรถด้านหลังเป็นอันรู้กันก่อนจะเดินกลับไปประจำตำแหน่งของตน

 

อึดอัด...

ไม่สิ โคตรอึดอัดเลยต่างหาก

“เปลวจะซื้ออะไรก่อนไหม”

“...”

ยิ่งเปลวอรุณนิ่งเงียบไม่โต้ตอบอะไรในสิ่งที่เขาถามไม่มีการขานรับว่าเข้าใจไม่มีการมองหน้าเพื่อให้เห็นว่าอยู่ในสายตาเพียงหันมาแล้วมองผ่านเมินเฉยต่อการมีตัวตนอยู่ของเขามาเท่าไรมือคู่ที่จับพวกมาลัยเพื่อบังคับการเคลื่อนที่ของรถยนต์ก็ยิ่งบีบแน่นขึ้นแววตาอ่อนโยนที่เขามักใช้มองอีกคนเริ่มแข็งกร้าวอย่างไม่พอใจทันทีที่เขาหันกลับไปมองทางตรงหน้า

เขาไม่พอใจ...

ตั้งแต่ลิลดากลับไปการแสดงออกของเปลวอรุณที่มีต่อเขาคือความเงียบและเย็นชาเหมือนคนไม่รู้จักกัน อัมรินทร์ไม่ชอบถูกมองข้ามหรือเมินใส่ เขาคือคนพิเศษที่ไม่ว่าใครๆต่างก็ให้ความสำคัญกับเขามาเป็นอันดับแรกมันทำให้เขารู้สึก เสียหน้า

เปลวอรุณเหมือนของแปลกใหม่สำหรับเขาในหลายๆเรื่อง เขาเข้าหาอีกคนเพราะความสนใจในความแตกต่างยิ่งไม่เหมือนใครยิ่งโดดเด่น ยิ่งได้มายากเขายิ่งอยากครอบครองอยากเป็นเจ้าของ แค่ต้องการหักหนามแหลมเพื่อดอมดมกุหลาบหอมแสนเยือกเย็นเพียงเท่านั้นมันไม่มีความจำเป็นเลยที่เขาจะต้องมาสนใจหรือใส่ใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายเลยด้วยซ้ำแต่เขาก็ยังพยายาม พยายามที่จะไม่ให้เปลวอรุณเข้าใจเขาผิด

แล้วทำไมเขาต้องกลัวว่าอีกคนเข้าใจเขาผิดด้วย ?

อัมรินทร์ขมวดคิ้วแน่นเป็นปมกับความคิดที่เข้ามาในหัว เพราะอะไร ทำไม หรือเพราะตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมาเขาให้ความสำคัญกับเรื่องเปลวอรุณมากเกินไปเลยทำให้เขายอมไม่ได้ที่จะให้อีกผ่านเข้าใจเขาผิดอย่างนั้นหรอ ?

ถึงยังไงมันก็คือเรื่องเข้าใจผิดและเรื่องเข้าใจผิดก็ไม่ใช่เรื่องจริงอย่างที่คนที่ผ่านมาเจอมาเห็นแล้วตีความเอาเองตามใจนึก มันไม่มีความจำเป็นใดเลยที่เขาต้องมาตามตื้อเพื่ออธิบายเรื่องทำหมดทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยจะต้องมาตามแก้ไขความเข้าใจผิดของเปลวอรุณเลยด้วยซ้ำทั้งอีกฝ่ายก็ดูจะไม่หยี่หระต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยแล้วทำไม ทำไมวันนี้ถึงได้แสดงอาการแบบนี้ออกมาถ้าไม่ใช่เพราะ...

!!

คามรู้สึกไม่พอใจหายวับไปกับตาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ปรากฏขึ้นที่มุมปาก อัมรินทร์เหลือบตามองเปลวอรุณที่เอาแต่หันมองออกไปนอนกระจกรถเล็กน้อยด้วยหางตา

สีหน้าหงุดหงิดของคนที่กำลังกระวนกระวายใจของเปลวอรุณเป็นหลักฐานชั้นดีว่าสิ่งที่เขาทำมาตลอดสามปีไม่ใช่เป็นการหยดน้ำลงบ่อทรายที่ต่อให้เทลงทั้งมหาสมุทรก็คงไม่เกิดประโยชน์

เปลวอรุณกำลังหึงเขา

ความไม่พอใจที่แสดงออกมาทั้งสีหน้าท่าทางการกระทำทุกอย่างสามารถตอบเขาได้เพียงข้อเดียวเท่านั้นว่ามันคืออะไร ความโกรธที่มันหาสาเหตุไม่ได้กับความรู้สึกที่มันเป็นมากกว่าความไม่พอใจ มันเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจาก

หึงหวง....

 

 

ทันทีรถยนต์สีดำหักเลี้ยวเข้าซอยไปตามเส้นทางที่คุ้นเคยจนสามารถมองเห็นหลังคาบ้านสีแดงหม่นที่ผ่านแดผ่านฝนมาหลายสิบปี เปลวอรุณไม่เคยลิงโลดใจกับการกลับบ้านมากเท่าครั้งนี้มาก่อนเลยในชีวิต คนตัวขาวหมายมั่นหนักแน่นในใจว่าพอรถจอดเมื่อไรเขาจะรีบลงจากรถแล้วเข้าบ้านให้ไวหลบหนีความน่าอึดอัดใจที่ต้องอยู่ใกล้กับเจ้านายที่เป็นต้นเหตุของความโกรธที่เขาหาสาเหตุนี้ไม่ได้

แต่ความลิงโลดเมื่อครู่ก็อยู่กับเขาได้เพียงไม่นานยิ่งใกล้ถึงเท่าไรเรียวคิ้วสวยก็ยิ่งขมวดติดกันแน่น ไม่ใช่แค่เปลวอรุณเท่านั้นที่แสดงอาการเช่นนั้นอัมรินทร์เองก็ตีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกันลูกตาลที่นั่งอยู่ด้านหลังรีบถกตัวจากด้านข้างติดประตูมาอยู่ตรงกลางแล้วยืนหน้าออกไปด้านหน้าเพื่อมองภาพตรงหน้าให้แน่ใจว่าสิ่งที่เขาเห็นเป็นสิ่งเดียวกับทีสองคนข้างหน้าได้เห็น

              รถยนต์สีดำคันใหญ่ที่จอดอยู่หน้าประตูบ้าน ชายฉกรรจ์แปลกหน้าสองคนสองคนที่พยายามฉุดกระชากร่างเพรียวบางของผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารู้จักดีให้ออกมาจากตัวบ้าน

              เปลวอรุณปลดเบลที่คาดอยู่ออกมือบางเปิดประตูรถออกไปยืนโดยที่สายตายังไม่ละไปจากภาพตรงหน้า เสียงโหวกแหวกโวยวายของพิมพาที่พยายามยื้อจับประตูรั่วไว้เป็นที่มั่นไม่ให้ชายแปลกหน้าลากเธอออกไปจากบ้านพร้อมเพียงร้องสั่งให้ปล่อยดังได้ยินชัดขึ้น เพื่อนบ้านในละแวกต่างมุ่งดูเหตุการณ์กันอยู่ในตัวบ้านไม่มีใครกล้าที่จะออกมาห้ามปรามการกระทำอันอุกอาจที่เกิดขึ้น

              “พวกนายทำอะไรกัน!”

              คล้ายเสียงสวรรค์มาโปรดพิมพารีบเงยหน้าขึ้นมามองลูกเลี้ยงอย่างดีใจ หล่อนสะบัดแขนออกจากมือของชายร่างสูงใหญ่ที่จับอยู่ออกแล้ววิ่งไปหลบที่หลังคนที่มาใหม่อย่างหาที่พึ่ง

“ช่วยฉันด้วยเปลว” หล่อนว่าเสียงสั่น

              เปลวอรุณปรายตามมองพิมพาที่ผมเพร่ายุ่งเหยิงแม้จะไม่มีร่องรอยการทำร้ายร่างกายแต่แขนข้างที่ถูกจับเมื่อครู่ก็ขึ้นรอยแดงจากการบีบ อัมรินทร์กับลูกตาลรีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาใกล้มองสำรวจพิมพาอย่างนึกห่วงพร้อมถามไถ่หล่อนกอดตัวเองแน่นพยายามเบี่ยงหลบอยู่ตรงกลางระหว่างอัมรินทร์กับลูกตาลให้ตัวเล็กที่สุด

              “นี้มันเรื่องอะไรกัน” เปลวอรุณถามเสียงตึง นัยน์ตานิ่งมองสำรวจคนแปลกหน้าอย่างระมัดระวัง ถึงผู้ชายสองคนนั้นไม่ได้มีท่าทีคุกคามเขาเหมือนที่ทำกับพิมพาแต่เขาก็ยังวางใจไม่ได้

              “คุณคงจะเป็นลูกของคุณผู้หญิงคนนี้สินะ” คำสุภาพที่ผู้ชายตรงหน้าเลือกใช้ไม่ได้ฟังดูลื่นหูเท่าไร โดยเฉพาะคำว่า ลูก

              “ถึงจะดูเสียมารยาทไปสักหน่อยแต่พวกเราได้รับคำสั่งให้มาเชิญพวกคุณออกจากบ้านหลังนี้ครับ” คนแปลกหน้าตอบ

              “อะไรนะ !”   เปลวอรุณร้องเสียงหลงใจดวงน้อยของเขาเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะเช่นเดียวกับความกลัวที่เริ่มเกาะกุม

              “ตามที่พูดครับ รบกวนเก็บข้าวของแล้วย้ายออกไปด้วยครับ”

              “พวกแกมีสิทธิอะไรมาไล่เจ้าของบ้านออกจากบ้านของตัวเองกัน” ความกลัวที่ว่าหายไปก่อนจะแทนที่ด้วยความโกรธ แม้จะยังคุมสติของตัวเองได้แต่อารมณ์ที่ไม่คงที่มาตั้งแต่ช่วงบ่ายทำให้คนสุขุมอย่างเปลวอรุณเผลอตวาดใส่คนตรงหน้าเสียงดังจนอัมรินทร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังต้องดึงแขนเขาเอาไว้ไม่ให้เขาเผลอตัวพุ่งเข้าใส่

              “นี้ครับ” ชายอีกคนที่หายไปจากการรับรู้ของเขาตั้งแต่ตอนแรกเดินเข้ามาใกล้พอซองเอกสารซองหนึ่ง ม่านตาหรี่มองอย่างไม่ไว้ใจแต่ก็ยื่นมือออกไปรับซองสีน้ำตาลที่ว่ามาเปิดออก

!!

หนังสือสัญญาการกู้ยืมเงินจำนวนหนึ่งแสนบาทปรากฏขึ้นเป็นอย่างแรกด้านล่างมีลงลายมือชื่อของพิมพากำกับไว้ แต่มันไม่ใช่แค่นั้น เอกสารชุดต่อมาคือเอกสารการเรียกเก็บเงินจากธนาคารเจ้าของบัตรเคดิตรายหนึ่งที่ชื่อที่ระบุวันเวลาที่ใช้จำนวนครั้งและชื่อผู้ทำธุรกรรมทางการเงินว่าเป็นพิมพา ยิ่งไล่สายตาไปตามรายจ่ายที่ปรากฏอยู่ๆเขาก็รู้สึกแข่งขาอ่อนแรงจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่แต่ที่น่าตกใจจริงๆคือจำนวนเงินรวม

สิบล้านห้าแสนบาท...

            จำนวนเงินสูงลิบฉุดเอาเรี่ยวแรงของเขาจนทรงตัวไม่อยู่ อัมรินทร์ที่อยู่ใกล้รีบเขามาประคองร่างของเปลวอรุณเอาไว้ก่อนจะล้มลงไปส่วนเอกสารเจ้าปัญหาที่ว่าถูกลูกตาลแย่งไปถือไว้

              “นี้มัน!”

              เด็กหนุ่มร้องขึ้นเมื่อพลิกไปยังเอกสายชุดสุดท้ายที่อยู่ด้านหลัง เปลวอรุณหันมองตามเสียงลูกตาลทำหน้าหนักใจมองใบหน้าขาวที่เริ่มจะซีดของผู้มีพระคุณอย่างคิดหนัก

              “มีอะไรตาล ในนั้นคืออะไร” อัมรินทร์ถามเสียงเครียด ยิ่งเด็กหนุ่มอั้มๆอึ้งๆลังเลไม่ยอมตอบยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลให้คนที่รอมากขึ้น

“โฉนดที่ดิน”

 ลูกตาลว่าเสียงเบาแต่หากมันแจ่มชัดมากในโสตประสาทของเปลวอรุณ  ร่างโปร่งดีดตัวออกจากอ้อมแขนที่ประคอนตนอยู่ฉวยคว้าเอกสารในมือของลูกตาลมือดูให้แน่ใจ

“เป็นไปไม่ได้”

มือสองข้างสั่นเทาด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ โฉนดที่ดินฉบับจริงที่ควรจะอยู่ในแฟ้มเอกสารในห้องของเขากลับปรากฏอยู่ตรงหน้ายิ่งไล่อ่านหาข้อเท็จจริงเพื่อมาลบล้างสิ่งที่เห็นว่ามันไม่ใช่บ้านของเขา แต่ชื่อผู้รับโอนโฉนดที่ชื่อของเขาที่ได้รับมันมาจากแม่ก็ยิ่งตรอกย้ำให้เขายอมรับว่าทรัพย์สินที่ถูกนำมาเป็นหลักประกันชำระหนี้ในครั้งนี้คือ บ้าน ของเขา

“นี้มันหมายความว่ายังไง”

            เปลวอรุณครางออกมาเหมือนไม่ยอมรับ แววตาสั่นๆที่มองดูของสำคัญชิ้นสุดท้ายที่ถูกปล้นไปจากอกเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวอย่างน่ากลัวเมื่อมันตวัดหันไปมองคนที่เป็นสาเหตุที่จะตอบข้อสงสัยของเขาได้

              “นี้มันหมายความว่ายังไง”

              เสียงที่ดังลอดตามไรฟันบ่งบอกสภาพอารมณ์ที่คนพูดพยายามอดกลั้นออกมาอย่างชัดเจน พิมพาไม่ตอบอะไรทำเพียงเบื้องหน้าหลบไม่กล้าสบตา และคนที่ให้คำตอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ก็คือชายสองคนที่ถูกส่งมาตามหนี้

              “คุณพิมพามาเล่นการพนันที่บ่อนของเราและได้ใช้เงินจากบัตรเครดิตของทางเราในการใช้จ่ายระหว่างที่อยู่บนเรืองสำราญ”

              “แต่เจ้านายแกบอกว่าให้ฉันใช้ได้เต็มที่ไม่ใช่หรอ” พิมพาแทรกขึ้น ใบหน้าสวยบึ้งตึงด้วยความโกรธอย่างเห็นได้ชัดเท้าเปลือยเท้าสาวเดินขึ้นมาประจันหน้านักทวงหนี้ทั้งสอง

              “ก็จริงที่คุณหย่งฟางให้คุณใช้เงินได้เต็มที่แต่ในเอกสารที่คุณเซ็นรับทรามมันระบุอย่างชัดเจนไว้แล้วนะครับว่าคุณต้องใช้เงินจำนวนดังกล่าวคืนด้วย” ไม่ว่าเปล่า เอกสารหน้าที่ระบุข้อสัญญาดังกว่าก็ถูกชูขึ้นมาให้พวกเขาได้เห็น

              พิมพาหน้าแดงก่ำหล่อนกระชากเอกสารนั้นมาอ่านอีกครั้ง  นี้มันไม่เหมือนที่คุยกันไว้เลยสักนิด...

“นอกจากนี้เงินกู้ที่คุณเคยกู้ยืมมาจากคุณอนิรุทธิ์ทางเราได้นำมาด้วย”

อนิรุทธิ์...?

“ก่อนหน้าที่คุณพิมพาจะมาเล่นที่บ่อนของเราเธอได้กู้ยืมเงินมาจำนวนหนึ่งซึ่งถึงตอนนี้ก็เลยกำหนดเวลาชำระเงินมานานแล้วด้วย”คนทวงหนี้คนหนึ่งเฉยความสงสัยของเปลวอรุณที่มองมาอย่างมึนงงผิดกับคนที่คอยประคองร่างขาวซีดที่กระตุกยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์อย่างพอใจ

“หนี้จากทางนั้นบวกกับดอกเบี้ยที่คุณต้องจ่ายคืนรวมกับหนี้ของทางเราแล้วก็เป็นจำนวน..”

“..”

“หนึ่งร้อยล้านพอดีครับ”

!!

“จะบ้าหรือไง”

พิมพาแว๊ดเสียงแทรกขึ้นทางกลางความตกใจของคนด้านหลังที่ยืนฟังอยู่ เงินไม่กี่หมื่นที่หล่อนเคยกู้จากคนของอนิรุทธิ์ทบต้นทบดอกตามเวลาแล้วไม่มีทางเป็นไปได้เลยว่าจะถึงตามจำนวนที่พวกมันว่า

“ถ้าคุณไม่เชื่อ เชิญดูนี้”

กระดาษแผ่นหนึ่งถูกส่งมาให้ พิมพารับมันไว้แล้วกำกระดาษแผ่นนั้นแน่นจนยับยู่เมื่อจำนวนเงินที่ปรากฏในส่วนของการกู้ยืมมีจำนวนมากกว่าความเป็นจริง

“แกจะบ้าหรือไง ฉันไม่ได้กู้เงินพวกนี้มาสักหน่อย” กระดาษยับยู่ถูกใช้ระบายความโกรธของพิมพาโดยการปามันกลับไปใส่หน้าคนทวงหนี้

“คุณกู้เงินจากทางนั้นอยู่หลายครั้งและแต่ละครั้งถึงจะไม่มากแต่มันก็ไม่ใช่น้อยๆดังนั้นพอเอามาคิดรวมกับดอกเบี้ยแล้วมารวมกับหนี้ที่คุณติดกับทางเราก็เป็นตามที่ว่ามาครับ” คนทวงหนี้ว่าเสียงนิ่งไม่สะทบสะท้านใดๆกับอามรณ์ของลูกหนี้ตรงหน้าทั้งยังเลือกที่จะเลี่ยงที่จะพูดถึงจำนวนเงินดงกล่าวที่พิมพาแย้งมา

จริงอยู่ที่หล่อนกู้ยืมจากทางนั้นมาหลายครั้งแต่หล่อนไม่มีทางลืมแน่ว่าจำนวนแต่ละครั้งมันเท่าไรมันไม่มีทางที่จำนวนเงินจะขึ้นสูงถึงเก้าสิบล้านแน่นอนอย่างมากก็แค่สิบล้านเท่านั้น จำนวนตัวเลขที่เห็นเป็นหลักฐานชั้นดี ดีพอที่จะทำให้หน่อยยิ้มเยาะเย้ยตัวเองออกมาได้

หล่อนโดนโกง..

            “แล้วเมื่อคุณไม่มีจ่ายทางเราจำเป็นที่จะยึดทรัพย์ที่คุณเอามาเป็นหลักค้ำประกันซึ่งก็คือบ้านหลังนี้”  คราวนี้เป็นเปลวอรุณที่ตีหน้าตื่นทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของคนทวงหนี้

              “ไม่ได้นะ”

              เปลวอรุณรีบวิ่งไปขว้างที่หน้าประตูบ้านอย่างรวดเร็วกางแขนขาสุดตัวไม่ยอมให้คนทวงหนี้เขาไปด้านใน นี้บ้านของเขา...

              “กรุณาถอยออกไปด้วยครับ” ชายตรงหน้าว่าเสียงเข้มหมายข่มขวัญ

              “ไม่”  เขาค้านสุดใจ เขาต้องปกป้องบ้านหลังนี้เขาจะไม่ยอมให้มันเข้าไปด้านในแน่

              “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องจ่ายเงินมา”

 เปลวอรุณชะงัก

“ถ้าคุณไม่มีจ่าย คุณก็ออกจากบ้านนี้ไปสะ” มันว่าเสียงขาด จ้องมองใบหน้าซีดเซียวแสนสิ้นหวังอย่างไม่สะท้าน

“ขอเวลา ฉันขอเวลาได้ไหม” ขอยื้อเอาไว้ให้ได้สักนิดก็ยังดี

“สองอาทิตย์”

“...”

“เราจะให้เวลาสองอาทิตย์เท่านั้น ถ้าคุณไม่สามารถหาเงินมาจ่ายให้กับทางเราได้คุณต้องย้ายออก”

พวกมันยอมรับคำต่อรองของเปลวอรุณก่อนจะว่าทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นแล้วพากันเดินกลับไปที่รถยนต์ของตนอีกครั้งแล้วขับออกไป ทิ้งให้คนที่ยังอยู่ยืนนิ่งกันอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน

ลูกตาลรีบรุดเข้าไปยืนข้างๆพยายามจับและเรียกชื่อคนที่เอาแต่ยืนก้มหน้านิ่งไม่ไหวติง อัมรินทร์ลอบยิ้มพอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเงียบๆก่อนจะเดินเข้าไปสมทบกับลูกตาลและเปลวอรุณ

เสียงเรียกของลูกตาลกับแรงสัมผัสจากอัมรินทร์ไม่ได้ทำให้เปลวอรุณได้สติใดๆทั้งสิ้น หูมันอื้อไปหมดสมองก็เหมือนจะไม่สั่งการให้เขาขยับหรือตอบสนองใดๆกับสิ่งรอบข้าง

เขากำลังจะเสียมันไป...

บ้านของเขา...

บ้าน..

เพราะมัน...

มือขาวกำแน่นจนข้อนิ้วซีดไร้สีเลือดลมหายใจเริ่มที่จะแรงขึ้นจนทรวงอกโหมกระเพื่อมร่างทั้งร่างสั่นเบาๆด้วยไฟโทสะที่ประทุจนถึงขีดสุด  ลูกตาลกับอัมรินทร์มองหน้ากันเลิ่กลั่กยิ่งคนที่ไม่คิดจะเขยื้อนตัวไปไหนสาวเท้าว่องไวไปยังตัวต้นเหตุพร้อมกับฝ่ามือเรียวที่ง้างขึ้นสูง

 

เพี๊ยะ!!

:hao7:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
:hao7:



            ถึงเปลวอรุณจะไม่ได้รูปร่างสูงใหญ่แต่เขาก็เป็นผู้ชายและการที่ผู้ชายอย่างเขาง้างมือตบหน้าผู้หญิงอย่างเต็มแรงแบบนี้จึงไม่แปลกเลยที่พอฝ่ามือของเขากระทบเขากับใบหน้าของพิมพาเข้าอย่างจังจะทำให้หล่อนถึงกับหน้าหันแล้วล้มลงไปกองกับพื้น

             แน่นอนว่าแรงตบนั้นทำเอาสมองหล่อนมึนเบลอไปเล็กน้อยรสขมของเลือดที่มุมปากบอกให้หล่อนรูปว่าปากอวบอิ่มของตนแตก พิมพายกมือขึ้นกุมหน้าแล้วหันไปตวาดเปลวอรุณเสียงดัง

              “นี้แก”

            แต่คนที่เส้นความอดทนขาดผึงไปหมดแล้วอย่างเปลวอรุณไม่สนใจเสียงที่ว่าไม่ว่าเพื่อนบ้านที่แอบมองอยู่จะมีใครเอาไปพูดลับหลังเขาหรือเปล่าว่าเขาทำร้ายผู้หญิง เขาไม่สนใจ

              “แกกล้าดียังไงถึงมาตบหน้าฉันแบบนี้”  ริมฝีปากบางยิ้มเหยียด

              “แล้วแกกล้าดียังไงเอาบ้านของฉันไปค้ำหนี้ของเธอ” เขาย้อน

              พิมพากระพริบตาถี่แล้วมองต่ำอย่างจนด้วยคำพูดและมันก็ยิ่งทำให้คนมองอย่างเปลวอรุณละแก่โทสะยกมือขึ้นเตรียมที่จะตบหน้าของหล่อนอีกรอบ พิมพาเบิกตากว้างตกใจยกแขนขึ้นตั้งการ์ดขึ้นป้องกันระดับหน้าแต่โชคดีที่ลูกตาลกับอัมรินทร์ถลาเข้ามารั้งตัวเปลวอรุณไว้ได้ทัน

              “ปล่อย!”  เปลวอรุณสะบัดบิดตัวออกจากคนทั้งคู่แต่กลับไม่มีใครเลยที่ยอมทำตาม

              “แม่เปลวใจเย็นก่อน” ลูกตาลว่า ถึงจะไม่ชอบปากพร่อยๆของพิมพาแต่เขาเองก็ไม่อยากให้คนที่แสนดีของตนทำร้ายใคร

              อัมรินทร์ไม่พูดอะไรนอกจากลูบต้นแขนผอมเรียวเพื่อให้อีกคนสงบจิตสงบใจลง

            เปลวอรุณมองคนขัดใจทั้งสองก่อนจะส่งเสียงฮึกฮักไม่พอใจออกมาแล้วลดแขนที่ตั้งง้างสูงลง พอเห็นเขาเริ่มที่จะนิ่งการจับกุมก็เริ่มคลายลงคนตัวขาวสะบัดบิดตัวอีกครั้งแล้วให้หลุดออก

              ครั้งนี้อัมรินทร์กับลูกตาลยอมที่ปล่อยเปลวอรุณอย่างว่าง่ายแต่พวกเขาก็ยังไม่วางใจอารมณ์ที่แผดเผาอยู่ในอกของอีกคน แต่พอหลุดจากการจับรั้งเปลวอรุณกลับเลือกที่จะสะบัดหน้าหนีกระแทรกเท้าเดินเข้าบ้านเสียเฉยๆ พวกเขามองหน้ากันรวมทั้งพิมพาด้วยที่มองมา

              พวกเขาได้แต่มองหน้ากันเหมือนหาคำตอบแต่ไม่มีใครเลยสักคนที่ขยับไปไหนจนกระทั้งเสียงหนักๆของอะไรสักอย่างตกลงพื้นอย่างแรง  ทั้งสามจึงรีบวิ่งไปยังบริเวณด้านหลังบ้านทันทีก่อนจะพบเข้ากับกองเสื้อผ้าราคาแพงมากมายที่ถูกเหวี่ยงออกมาทางหน้าต่างที่เปิดอ้าอยู่ที่ชั้นสองของบ้านส่วนของหลังที่ได้ยินก่อนหน้าอัมรินทร์กับลูกตาลลงความเห็นตรงกันในใจว่าน่าจะเป็นเจ้ากระเป๋าเดินทางใบยักษ์ที่เปิดอ้าอยู่กับพื้นด้านล่างสุด และผู้กระทำเองก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยนอกจากเปลวอรุณ

              “กรี๊ดดดดดดดดด!!”

            พิมพากรี๊ดออกมาสุดเสียงกับภาพของเสื้อผ้าที่ถูกโยนออกมาอย่างไม่ใยดี ไหนจะรองเท้าเครื่องสำอางราคาแพงที่แตกละเอียดไม่มีชิ้นดีอย่างน่าเจ็บใจยิ่งบางอันเป็นของลิมิเต็ดที่กว่าจะได้มันมาไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยแล้วหล่อนยิ่งแทนอยากจะกระโจนขึ้นไปกระชากคนที่ยื่นมองเขาอยู่ด้านบนแล้วโยนลงมาเหมือนกับที่ทำกับของของเขา

              “เก็บของของเธอออกไปให้หมดแล้วออกจากบ้านของฉันไปสะ” เปลวอรุณว่าเสียงเด็ดขาด

              พอกันที..

              “แกไม่มีสิทธิมาไล่ฉันแบบนี้นะ” พิมพาตะโกนกลับอย่างเดือดดาดสองมือพยายามกอบกวาดเสื้อผ้าของตัวเองขึ้นจากพื้น

              “ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่านี้มันบ้านของฉันจะให้อยู่หรือจะให้ไปมันก็เป็นสิทธิขาดที่ฉันพึ่งมี”

              “แกคิดจะเนรคุณฉันหรือไง แกคิดว่าการที่แกยังมีชีวิตอยู่ได้มาจนถึงตอนนี้มันเพราะใคร ไม่ใช่ฉันคนนี้หรือไงที่อุตส่าห์เสี่ยงชีวิตลงไปช่วยแกไม่ให้เป็นผีเฝ้าสระน่ะห๊ะ!”

            พิมพาหยิบยกเรื่องเก่าๆสมัยที่เด็กของอีกคนขึ้นมาอ้าง ไพ่ไม้เด็ดของหล่อนที่ไม่ว่าจะหยิบยกเรื่องนี้มาพูดกี่ครั้งคนดื้อรั้นก็ไม่เคยที่จะขัดหรือไล่หล่อนออกจากบ้านนี้ได้และครั้งนี้มันก็ต้องได้ผลเหมือนกัน...

              ยิ่งเปลวอรุณชักสีหน้าขัดใจสะบัดหน้าหนีหายออกไปจากตรงหน้าหน้าต่างพิมพาก็ยิ่งได้ใจยกยิ้มกริมอย่างสะใจยกคอลอยหน้าก่อนจะหันไปจิกหัวสั่งให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อเช้ามาเก็บข้าวของของเธอไปเก็บ

              “เอ๊ะ นี้ฟังที่ฉันพูดไม่เข้าใจหรือไงได้เด็กเหลือขอนี้ฉันบอกว่าให้มาเก็บของของฉันขึ้นไปเก็บที่ห้องไงยืนเซ่ออยู่ทำไม” หล่อนกระชากเสียงใส่เด็กหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ

              “อย่ามามองฉันอย่างนี้นะ” กองผ้าในมือถูกโยนใส่เข้าเต็มหน้าของลูกตาลอย่างแรง แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มเองกลับยังไม่ยอมทำตามซ้ำยังมองคนตรงหน้าตาเขียวหนักกว่าเดิน

              “หน่อยแก”

              พิมพายกมือขึ้นง้างเตรียมที่จะปรี่เข้ามาตบสั่งสอบเด็กที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงไม่ยอมทำตามคำสั่งให้รู้จักสำนึกหากแต่อัมรินทร์ที่ทนมองมานานเริ่มที่จะทนไม่ไหวเข้ามาขว้างเอาไว้ก่อนคว้ากำเข้าที่ข้อมือเล็กของผู้หญิงที่นอกจะหาความดีในตัวไม่ได้แล้ววาจายังไร้ซึ่งสามัญสำนึกไว้แน่นจนพิมพาเบ้หน้าด้วยความเจ็บก่อนที่ชายหนุ่มจะเหวี่ยงร่างผอมเพรียวของหล่อนไปอีกทาง

              “คุณควรที่จะรู้สถานะของตัวเองได้แล้วนะ” อัมรินทร์ว่าเสียงขรึม ไม่บ่อยเท่าไรที่เขาจะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่นที่ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรกับชีวิตเขาเท่าไร แต่เขาทนมองผู้หญิงไร้ยางอายคนนี้ต่อไม่ไหวแล้วเหมือนกัน

              “เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับนาย” พิมพาตวาด

              “ทำไมจะไม่เกี่ยว” นัยน์ตาคมหรี่มองพิมพาอย่างเอาเรื่องจนคนถูกมองถึงกับผวาสั่น

              “ลูกตาลเข้ามาอยู่ในบ้านนี้ในฐานะลูกของเปลว ก็ต้องถือว่าเป็นลูกของฉันด้วยเพราะเปลวเป็นคนรักของฉัน”

              “อะไรนะ”

              ไม่ใช่แค่พิมพาหรอกที่ชะงักสงสัยเจ้าตัวที่อยู่ๆก็ต้องตกกะไดพลอยโจรได้พ่อเพิ่มมาอีกคนอย่างลูกตาลเองก็หันมามองหน้าคนพูด พิมพาตวัดสายตามมองอัมรินทร์แล้วส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่าย

              “ออกไปจากบ้านฉันสะ”

              ไม่ว่าเปล่าพวงกุญแจรถยนต์ส่วนตัวก็ถูกปาใส่หลังของผู้เป็นเจ้าของเข้าอย่างจัง พิมพาที่ยังฉงนค้านกับคำพูดของอัมรินทร์ก็ต้องหันกลับมามองลูกไก่ที่กำลังจิกตีมือของเธอ

              “อะไรนะ”

              “ออกไปสะ” เปลวอรุณย้ำ

              ไพ่สุดท้ายที่หล่อนคิดว่าคือไพ่ที่เหนือที่สุดในการใช้เพื่อให้เปลวอรุณยอมสยบดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผล เพราะนอกจากจะไม่หลบหน้าหลาบตาเพื่อซ้อนใบหน้าเจ็บแค้นใจที่ไม่สามารถไล่หล่อนออกไปได้อย่างทุกครั้งแล้วใบหน้าสวยยังนิ่งกว่าเดินจนน่าหวั่นเกรง

              “ฉันจะไม่พูดซ้ำอีกครั้งหรอกนะ รีบออกไปก่อนที่ฉันจะลากเธออกไปประจานออกบ้าน”

              “แกกล้าไรฉันหรอ ไอ้เนรคุณ!” ไม่มีทางยอมง่ายๆแน่

              “แกคิดจะเนรคุณคนที่ช่วยชีวิตแกอย่างนั้นหรอ” พิมพาแสร้งทำเป็นขึ้นเสียงใส่เพื่อหวังกลบเกลื่อนอาการเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูกของตน

              “เรื่องที่เธอช่วยชีวิตฉันเมื่อตอนนั้นฉันซาบซึ้งที่สุดอยู่แล้วไม่อย่างนั้นฉันจะทนให้เธออยู่ในบ้านต่อมาจนถึงตอนนี้หรอไหนจะเงินที่ฉันต้องหามาให้เธอใช้อีกละ มันยังไม่พออีกหรือ” เปลวอรุณว่า

              “ถ้าซาบซึ้งจริงอย่างที่ปากว่าแล้วแกมาไล่ให้ฉันออกไปทำไม” พิมพาท้วง

              ไม่ออก ถ้าไล่ออกไปแล้วแล้วหล่อนจะไปอยู่ที่ไหน...

              “เพราะเธอทำให้บ้านของแม่ฉันแปดเปื้อน เธอกล้าดียังไงถึงได้เข้ามาขโมยของในห้องของฉันขโมยบ้านที่ทำให้ตัวเธอเองมีที่ซุกหัวนอกไปให้คนอื่นเพียงเพราะเธอต้องการเงิน นังหน้าเงิน” เปลวอรุณตราหน้าประณามอย่างหยามเหยียด

               “ฉันไม่ไป”

                พิมพากระแทรกเสียงดังใส่ ซ้ำยังจะตีมึนเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้งทางประตูด้านหลังหากแต่เปลวอรุณกลับไว้กว่า มือบางขาวซีดเอื้อมคว้ากระชากที่เส้นผมยาวของพิมพาจนเสียหลังเซถอยมาด้านกลัง

               “ปล่อยนะ!” หล่อนหวีดเสียง พยายามแยกนิ้วที่จิกทึ้งเส้นผมของเธอออก

                “ตาล เก็บข้าวของพวกนี้มาให้หมดแล้วเอาไปโยนไว้นอกบ้านให้หมด”

                 “ครับแม่” ลูกตาลยิ้มรับให้กับคำสั่งที่ถูกใจก่อนจะกวาดเอาเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเดินทางใบโตลวกๆทางกลางเสียงตื่นตะหนกของพิมพาที่ทั้งส่งเสียงด่าและต่อว่าเด็กหนุ่มเพื่อให้หยุดการกระทำ

                  ลูกตาลทำหูทวนลมไม่รับรู้เสียงนกเสียงกาที่พยายามกรีดร้องแทบอัมรินทร์เองที่เห็นว่าเขาคงจะไม่สามารถยัดของพวกนี้ใส่กระเป๋าไปได้หมดถึงช่วยหยิบเอาถุงดำที่เตรียมเอาไว้สำหรับใส่เศษใบไม้มาเป็นตัวช่วยในการยัดของที่เหลือลงไป

                   พอเห็นว่าสองหนุ่มต่างวัยจัดการกวาดโกยข้าวของของพิมพาออกจากพื้นสนามหญ้าหลังบ้านของเขาจนหมดสิ้น เปลวอรุณจึงออกแรกกระชากศีรษะของพิมพาอย่างแรงให้หล่อนเดินตามเขาออกมาที่หน้าประตูรั้วก่อนจะเหวี่ยงตัวเสนียดแสนอัปรีย์ในชีวิตเขาออกไปด้านนอกอย่างไร้ความปราณี

                    “โอ๊ย!”

              ร่างของพิมพากระแทรกลงกับพื้นคอนกรีตอย่างแรงจนตัวถลอกก่อนจะตามด้วยกระเป๋าเสื้อผ้าและถุงดำที่ของของหล่อนอีกส่วนอยู่ในนั้น

              “อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าเธออีก” เปลวอรุณสั่ง

              หล่อนไม่ตอบหากแต่จับจ้องไปที่เปลวอรุณอย่างมาดร้าย

              “ส่วนเรื่องหนี้ฉันจะจัดการให้ถือสะว่าหนี้บุญคุณที่เธออวดอ้างนักอวดอ้างหนาระหว่างเรามันจะได้จบ เห็นไหมว่าฉันจะกตัญญูกับแม่เลี้ยวแมงดาอย่างเธอขนาดไหน”

              “นี้แก”

              พิมพาหน้าแดงก่ำยันตัวลุกขึ้นแต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรหางตาก็เหลือบไปเห็นเหล่าเพื่อนบ้านในละแวกเดียวกันต่างพากันออกมายืนมองพวกเขาอยู่ตรงถนนหน้าบ้าน บางหันซุบซิบ บางยกมือถือขึ้นถ่าย แน่นอนว่าคนที่เป็นหัวข้อที่ว่าคงหนีไม่พ้นเธอพวกเพื่อนบ้านแถวนี้เองก็ไม่ได้มีใครญาติดีกับหล่อนเลยสักคนเดียวหากเผลอทำอะไรลงไปไม่แคล้วได้เกินเรื่องตามมาอีกแน่ อย่างน้อยตอนนี้เปลวอรุณก็ยอมรับที่จะหาเงินมาใช้หนี้แทนแล้วก็ถือว่าเป็นผลดีกับหล่อนมากพอแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น..

              “จำเอาไว้ วันไหนที่แกล้มลาฉันนี้แหละจะเป็นคนขยี้แกให้จมดินเลยคอยดู”

              หล่อนว่าอย่างอาฆาตก่อนจะคว้าเอากระเป๋าและถุงดำขึ้นจากพื้นกดปลดล็อกแล้วยัดของทั้งหมดใส่เข้าไปด้านใน พิมพากวาดมองคนทั้งสามที่ยืนอยู่ด้วยความแค้นฝั่งใจจดจำให้แม่นยำแล้วสอดตัวเข้าไปด้านใน บีบแตรไล่เหล่าไทยมุงที่ต่างมาออกับอยู่ให้หลบทางแล้วเหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว

              เปลวอรุณมองท่าทีของพิมพาอย่างเหนื่อยหน่ายบ่นละอาความเจ้าคิดเจ้าแค้นของพิมพาก็เหมือนงูพิษที่ถูกตีแต่ไม่ตายและรอวันที่จะย้อนกลับมาทำร้ายเขาอีกครั้ง  ถึงเพื่อนบ้านที่มองดูเหตุการณ์มาตลอดจะเข้าใจและพยายามเข้ามาพูดให้กำลังใจเขาก่อนที่จะพากันแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเท่าไร

              วันนี้มันวันบ้าบออะไรกัน...

              “เข้าบ้านเถอะ” อัมรินทร์เอ่ยขึ้นเมื่อเปลวอรุณไม่มีทีท่าว่าจะหันกลับมา

              นัยน์ตาใส่กระจ่างมองคนตัวสูงใหญ่ที่อยู่ใกล้ก่อนจะเบี่ยงไปมองเด็กหนุ่มที่ยืมมองมาที่เขาด้วยแววตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างจริงจัง ใบหน้าสวยพยักรับก่อนจะก้าวขาเดินเพื่อกลับเข้าไป แต่อยู่ๆภาพตรงหน้าของเขาก็เริ่มพร้ามั่วจนเซไปมาอาการร้อนผ่าวที่หน้าผากทำให้เขารู้สึกหนักจนร่างกายรับไม่ไหวแล้วทุกอย่างก็พลันมืดไปหมด

              “เปลว / แม่เปลว”



_______________________________________________________________________________

สวัสดีวันปีใหม่ไทย

สุขสันต์วันสงกรานต์นะคะ



เพื่อนๆคนไหนไปเล่นน้ำก็ขอให้เล่นกันให้สนุกเดินทางปลอดภัยกันนะคะส่วนใครที่ไม่ได้ไปไหนนั่งๆนอนๆอยู่แต่ห้อง(เหมือนอินี้)ก็มาอ่านนิยายกันดีกว่า

หลังจาดยืดเยื่อไปมาอยู่นานในที่สุดเราก็จะได้กลับเข้ามาเรื่องหลักของเราสักที

ออฟไลน์ tistaek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เปลวเป็นลม

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
ความคิดของตัวเอก ดูไม่สมเหตุสมผลมากๆๆๆๆๆๆๆๆ ไหนบอกไม่ไล่เพราะมีเหตุผล แต่ไปๆมาๆ ไล่แล้วยอมใช้หนี้ร้อยล้านให้ เหอๆ 
เหมือนจะฉลาด แต่รอให้ปัญหาเกิดก่อนแล้วค่อยแก้ เพราะฉะนั้นโทษอิแม่เลี้ยงไม่ได้หรอก ต้องโทษเปลวที่โง่ให้นางอยู่มานานจนป่านนี้ กตัญญูอย่างนี้ น่ามอบโล่เหลือเกิน(ประชด)

ส่วนอัม แลดูเป็นผู้ชายที่ทำอะไรเองไม่เป็น คิดอะไรเองไม่เป็นเลยอ่ะ แค่ไล่หญิงออกจากห้องทำงาน ก็อ้ำอึ้ง ปากไม่มี? มือด้วน? แผนจีบก็ต้องให้คนอื่นคิดให้ ถ้าผช. อย่างนี้ เราก็ไม่เอาเหมือนกันนะ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
แผนของอัมรินทร์!?

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :a5:


ร้ายนักนีะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เป็นหนี้ ครั้งที่ 8



           “เดี๋ยวผมจะลงไปทำข้าวเย็นให้ ลุงก็อยู่เป็นเพื่อนแม่เปลวไปก่อนแล้วกัน”

            อัมรินทร์เหลือบตามองเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตนเล็กน้อยแล้วหันพยักหน้ารับให้เด็กหนุ่มที่ถือกะละมังใบน้อยในมือก่อนจะหันกลับมามองหน้าคนที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงนอนจะตื่น

              หลังจากเหตุการณ์ไทยมุมที่พากันมาล้อมวงดูเปลวอรุณทำการอัปเปหิโยนข้าวโยนของของพิมพาออกไปจากบ้านเป็นที่เรียบร้อยท่ามกลางสีหน้าสะใจของเพื่อนบ้านในละแวกเป็นที่พออกพอใจกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จู่ๆคนที่กล่าววาจาเด็ดขาดเมื่อครู่ก็ดันมาเป็นลมล้มพับอยู่หน้าบ้านทำเอาทั้งเขาและลูกตาลต่างทำอะไรไม่ถูกรีบอุ้มอีกคนเข้ามาในบ้านกันจ้าละหวั่น ยิ่งไร้วี่แววว่าคนที่นอนปากซีดหน้าเซียวจะยอมตื่นขึ้นมาทั้งๆที่พวกเขาสองพ่อลูก(?) หายาดมยาหอมมาให้ดมทั้งเอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาเพื่อหวังจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นก็แล้ว ยิ่งทำให้พวกเขามองหน้ากันอย่างอกสั่นขวัญแขวน จนอัมรินทร์เกือบจะโทรเรียกรถพยาบาลมาให้รู้แล้วรู้รอดถ้าไม่เพราะลูกตาลเรียกเอาไว้ก่อนว่าเปลวอรุณรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมามองพวกเขาแล้วก่อนจะพลิกตัวนอนหลับไปเสียเฉยๆราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น  พอเห็นว่าเปลวอรุณไม่เป็นอะไรมากแล้วลูกตาลถึงได้ปลีกตัวลงไปทำอาหารเย็นให้พวกเขาข้างล่าง

              บางทีอาจเพราะพึ่งเจอเรื่องหนักๆด้วยหรือเปล่าถึงทำให้หลับได้สนิทอย่างนี้...

              อัมรินทร์คิดในใจ ตั้งแต่บ่ายแล้วที่เขาได้ยินจากลูกตาลว่าเปลวอรุณดูจะฟุ้งซ่านเรื่องของเขากับลิลดาจนแทบจะเหวี่ยงใส่ทุกคนที่เข้าใกล้ ไหนจะเรื่องเมื่อช่วงเย็นอีกเขาสังเกตเห็นว่าคนตัวขาวเองทำท่าเหมือนจะเป็นลมลงไปอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังฝืนตัวเองทำเก่งจนจบเรื่องมาได้

               เขานั่งพิจารณามองใบหน้ายามหลับของเปลวอรุณที่แทบจะไม่เคยได้เห็นอย่างสนใจ การ์ดต่างๆที่เจ้าตัวตั้งเอาไว้ถูกลดลงมาจนหมดยามที่เจ้าตัวหลับสนิทและยิ่งหลับลึกแบบนี้ด้วยแล้วเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะไล่หลังมือเกลี่ยเบาๆที่ข้างแก้มขาวที่ดูดีขึ้นกว่าตอนแรกเล็กน้อยอย่างพอใจก่อนจะเปลี่ยนที่นั่งจากเก้าอี้หัวโล้นที่ยกมาวางข้างเตียงมาเป็นการทิ้งน้ำหนักตัวเอนหนังพิงกับหัวเตียงนั่งมองใบหน้ายามหลับของเปลวอรุณด้วยรอยยิ้ม แน่ละ ในเมื่อแผนของเขามันเป็นรูปเป็นร่างจวนจะถึงเวลาที่เขาจะได้เชยชมเหยื่อตัวน้อยของเขาสักทีใครบ้างที่จะไม่ดีใจ

          ถึงเขาจะไม่คอยชอบวิธีบีบบังคับสักเท่าไรแต่มันก็อดไม่ได้จริงๆที่จะยอมรับว่าวิธีนี้ทำให้อะไรหลายๆอย่างมันรวดเร็วขึ้นถึงมันจะต้องแลกกับการที่จะโดนเปลวอรุณเกลียดขี้หน้าตอนที่ความจริงถูกเปิดเผยก็เถอะ

          แต่ใครจะสน.... เพราะถึงเวลานั้นเปลวอรุณก็หมกหนทางไร้ที่จะหนีไปจากเขาได้แล้ว             

 

          “นี้คืออะไร”

ืืืืืืืืืืื          อัมรินทร์ถามขึ้นขณะไล่สายตามองจำนวนเงินที่ถูกกู้ยืมออกไปอย่างสงสัย หัวคิ้วของเขาขมวดแน่นเมื่อไม่ว่าเขาจะมองยังไงเจ้าของชื่อ พิมพา ไหนจะรูปภาพของหญิงวัยสี่สิบกลางที่ยังดูสาวยังสวยที่ถึงจะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นแต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูจะไม่ใช่คนที่เขารู้จักเลยสักนิดแล้วมันจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับการที่จะทำให้เปลวอรุณเป็นของเขาด้วย

           เขาไม่เข้าใจ...

          “ผู้หญิงคนนี้ชื่อ พิมพา เป็นนักเสี่ยงโชคดวงตกที่เข้ามาใช้บริการเงินด่วนของกูบ่อยๆ” อนิรุทธิ์เฉย

          เขามองท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไรของพี่ชายแล้วส่ายหน้าออกมา ก็ใครมันจะคิดกันละว่าผู้อำนวยการโรงเรียนเอกชนชื่อดังติดอันดับของประเทศจะมีอาชีพเสริมเป็นเจ้าพ่อเงินกู้นอกระบบที่มีสาขาอยู่ตามบ่อนการพนันระดับโลคาร์สงจนไปถึงระดับไฮคาร์สแบบนี้ จำได้ว่าเมื่อกลางปีที่แล้วเขายังไปฟังมันพูดถึงเรื่องการพนันให้เด็กนักเรียนมันฟังว่าไม่ดีอย่างนู้นไม่ดีอย่างนี้ แต่ตัวมันนั้นแหละที่นอกจากไม่ห้ามแล้วยังเป็นผู้สนับสนุนหลังอย่างเป็นทางการให้พวกผีพนันหยิบยืมเงินไปต่อยอดอีกต่างหาก เรียกง่ายๆเลยว่าไอ้หมอนี้แหละคือพวกมือถือสากปากถือศีลขนาดแท้

           “คุณเธอมายืมเงินจากลูกน้องกูหลายครั้ง บางทีก็จ่ายคืนบ้างถ้าถอนทุนคืนได้ บางทีก็ไม่จ่ายหรือไม่ก็จ่ายไม่ครบ”

             เขาเงียบฟัง ก่อนจะไปสะดุดเข้ากับกระดาษที่แนบมาด้านหลัง

            “และแน่นอนว่าการกู้ยืมมันก็ต้องมีการค้ำประกันถูกไหม” คราวนี้ใบหน้าหล่อดิบเริ่มปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นเมื่อเห็นว่าคู่สนทนาของตนเจอเข้าบางสิ่ง

             “บังเอิญว่าของที่หล่อนเอามาค้ำเนี้ยมันเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก” อนิรุทธิ์พยายามดัดเสียงเข้มๆของตนให้ดูน่าตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นเมื่อเริ่มเข้าสู่จุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง

            “มึงจงสำนึกในบุญคุณของวิตามินเอที่อยู่ในผักสดและผลไม้ที่พ่อมึงหรือลุงกูจับกรอกปากมึงมาตั้งแต่เล็กให้เห็นว่าอะไรอยู่บนโฉนดที่ดิน”

             “ชื่อของเปลว” เขาว่าเสียงเบา

             “ถูกต้อง”  อนิรุทธิ์ยิ้มให้กับคำตอบ ก่อนจะเริ่มพูดต่อ

            “มึงตามติดสถานการณ์ของเลขามึงมานานมึงก็คงจะรู้ใช่ไหมว่าคนสวยของมึงมีแม่เลี้ยง”

            เขาพยักหน้ารับ แต่ก็ไม่เคยเห็นหน้าตรงๆชัดๆสักครั้งเหมือนกันแต่รู้สึกว่าเปลวอรุณกับแม่เลี้ยงจะไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไร

            “ผู้หญิงคนนี้และคือแม่เลี้ยงของเปลวอรุณ”

            “ถ้าอย่างนั้น โฉนดใบนี้”

            “ก็คือบ้านของเปลวอรุณ”

            อัมรินทร์นิ่งเงียบมองแผ่นกระดาษดังกล่าวในมือหน้าเครียด จากเท่าที่เขามองเปลวอรุณรักบ้านหลังนี้มากยิ่งเป็นบ้านของแม่ที่ให้ไว้ด้วยแล้วเป็นไปไม่ได้เลยว่าเจ้าตัวจะยอมเอาของสำคัญขนาดนี้มาใช้ค้ำประกันหนี้ให้แม่เลี้ยงที่ไม่คอยถูกกัน เว้นแต่ว่าอีกฝ่ายจะขโมยมันมาจากเปลวอรุณ

              “คือกูก็ไม่อยากจะไปยุ่งกับเรื่องของมึงเท่าไรหรอกนะ แต่ถ้ามึงไม่ทำอะไรสักอย่างเอาแต่เทียวไล้เทียวขื่อแบบนี้ต่อไปไม่ทำอะไรให้มันชัดเจนไปเลยตรงๆกูว่าอีกไม่นานมึงจะได้แดกแห้วแทนวะ”

            “แต่กูไม่อยากบังคับเปลว”

            “กูก็ไม่ได้บังคับมึง กูแค่เสนอทาง”

            เขาเริ่มที่จะนั่งเงียบ จริงอย่างที่อนิรุทธิ์ว่าเขาอยากได้เปลวอรุณมาเป็นของตัวเองแต่นอกจากเทาะเล็มตอดเล็กตอดน้อยไปวันๆกับแอบตามอีกฝ่ายมาสามปีเขาไม่เคยทำอะไรที่ดูว่าอยากจะได้อีกคนมาเลยอย่างจริงจังว่าอยากได้เปลวอรุณมาเป็นของตัวเองเลยสักครั้ง ท่าทีแบบหมาหยอกไก่ไปวันๆแบบนี้ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมาหมาตัวอื่นมาคาบไก่ฟ้าของเขาไปกินแน่

            ใครมันจะยอมกัน ไม่มีทาง.....

              “แต่ถ้ากูจะทำ กูจะทำให้มันใหญ่กว่านี้”



       
              เงินแค่ล้านต้นๆเขาเชื่อว่าคนอย่างเปลวอรุณสามารถหามาใช้หนี้เพื่อไถ่บ้านไปได้แน่ เผลอๆบางทีอาจใช้เวลาไม่ถึงอาทิตย์ด้วยซ้ำไปแต่ถ้าอยากจะเปลี่ยนไก่ฟ้าป่าให้กลายมาเป็นลูกไก่ตัวน้อยในกำมือของเขาละก็จำนวนเงินมันต้องมากกว่านี้เยอะกว่านี้

              แน่นอนว่าเงินที่พิมพากู้ไปจากอนิรุทธิ์พอหักลบกลบหนี้ที่จ่ายบางไม่จ่ายบางแล้วจำนวนจริงๆที่เหลืออยู่มันก็แค่สามล้านแปดหมื่นเท่านั้น แต่อย่างที่บอกเงินมันต้องมากกว่านี้ถึงจะจับเปลวอรุณให้ดิ้นไม่หลุด

              จำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นมาคือฝีมือของเขาเอง....

              เขาเป็นคนแก้ไขจำนวนเงินที่พิมพากู้ยืมไปแต่ละครั้งให้มีจำนวนที่มากขึ้นกว่าความเป็นจริงอยู่เกือบเท่าตัว ถึงมันจะเสี่ยงไปสักหน่อยถ้าหากพิมพาหรือเปลวอรุณไหวตัวทันเอาเรื่องนี้ไปแจ้งความแล้วสาวความจริงขึ้นมาได้ว่าเอกสารฉบับนี้ถูกแก้ไข แต่เพราะมันคือการกู้หนี้นอกระบบที่ตำรวจไม่เข้ามายุ่งเกี่ยววุ่นวายด้วย อัมรินทร์ถึงวางใจได้ในระดับหนึ่งว่าคนอย่างพิมพาจะไม่ทำแบบนั้นเพราะมันเท่ากับเป็นการฆ่าตัวเองตายอย่างหนึ่งเหมือนกัน แถมตอนนั้นเขาว่าเปลวอรุณเองก็คงโกรธจัดจนควันออกหูไม่สนใจฟังคำพูดของพิมพาหรอกว่าหนี้ที่เห็นเป็นจำนวนหนี้จริงหรือหนี้ปลอม

              และเพื่อเพิ่มความน่าตื่นเต้นเข้าไปอีก ลี หย่งฟาง จึงกลายมาเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดกับพวกเขา.....
 
             จริงๆเขากับหย่งฟางไม่ได้รู้จักมัดจี่อะไรกันเท่าไรแต่เพราะหย่งฟางเป็นเพื่อนสนิทของอนิรุทธิ์เลยตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยทำให้พวกเขาสองคนรู้จักกันในระดับหนึ่งแต่ก็ไม่ถึงกับสนิทสนมอะไรมาก ยิ่งเขาไม่ได้จับธุรกิจเกี่ยวกับการเสี่ยงโชคหรือหมุนเงินแบบนี้ด้วยเลยทำให้เขาไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร แต่เขาจำได้ว่าอนิรุทธิ์เคยบอกเขาว่าหย่งฟางย้ายมาช่วยคนรักดูแลคาสิโนแห่งใหม่ที่เปิดในไทยเขาจึงเห็นช่องทางมากขึ้น จึงส่งอนิรุทธิ์เป็นทัพหน้าไปเปรยๆเรื่องของเขาให้อีกฝ่ายฟังแล้วกลับมาบอกเขาว่าหนุ่มผมยาวมีท่าทีเป็นเช่นไร

              แน่นอนว่าคนที่อยู่ไม่สุขอย่างหย่งฟางย่อมต้องสนใจกับกิจกรรมยามว่างใหม่ที่ส่งไปเสนออย่างแน่นอน และเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าอีกคนจะยอมร่วมมือเขาจึงเข้าไปหาเจ้าตัวถึงบ่อน ยิ่งพอรู้ว่าหย่งฟางรู้ว่าคนรักของตัวเองถูกเรียกตัวกลับไปดูบริษัทที่อิตาลีทำให้เจ้าตัวมีอำนาจเด็ดขาดในการจัดการทุกอย่างในคลับแทบจะไม่ต้องคิดอะไรรีบตอบรับคำขอของเขาทันที

               พวกเขาวางแผนกับไว้ว่าจะให้หย่งฟางเข้าไปพูดคุยกับพิมพาเพื่อหว่านล้อมให้เจ้าหล่อนยอมที่จะตกลงเซ็นสัญญาทางการเงินอีกฉบับขึ้นมา โดยใช้ประโยชน์จากการที่พิมพาเป็นผู้หญิงหัวสูงแน่นอนว่าหล่อนจะต้องไม่มาทางผ่านโอกาสที่จะได้ไปเช็คอินอัพเดตสถานะบนเรือสำราญหรูเป็นเวลาสองอาทิตย์อยู่แล้วและยิ่งหล่อนไม่คิดที่จะสนใจตรวจสอบรายละเอียดของสัญญาก่อนรับบัตรเครดิตแล้วจะจรดปลายปากกาลงไปทำให้เขาอ้างประโยชน์ดังกล่าวในตรงนี้ตลบหลังอีกฝ่ายให้ยอมจ่ายเงินไปได้

                   แน่นอนว่าเงินจำนวนนั้นถูกหักไปจากบัญชีของเขาไปหมดเรียบร้อยแล้ว.....




                     “อื้ม...”

                      เสียงครางต่ำในลำคอของคนที่นอนอยู่เรียกสายตาของอัมรินทร์ให้กลับมาโฟกัสที่ใบหน้าขาวอีกครั้ง ชายหนุ่มขยับท่านั่งของตนใหม่อีกครั้งเมื่อเปลือกตาสีอ่อนเปิดปรือขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหลับลงไปต่ออีกครู่หนึ่งแล้วลืมขึ้นมาใหม่เพื่อปรับสภาพการมองเห็น

               “รู้สึกเป็นไงบ้าง ปวดหัวไหม” อัมรินทร์ถามพลางประคองอีกคนให้ลุกขึ้นนั่ง

                คนเพิ่งตื่นส่ายหน้าน้อยๆแทนคำตอบขณะยืนมือออกไปรับแก้มน้ำขึ้นมาดื่ม

                “เดี๋ยวไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื้นนะแล้วเดี๋ยวเราลงไปกินข้าวกัน ป่านนี้ตาลคงทำกับข้าวเสร็จแล้วละ” เขาว่า

                “คุณลงกินไปเถอะ ผมไม่หิว” เปลวอรุณปฏิเสธเสียงเบาเหมือนคนจะหมดแรง

                “ไม่เอาน่าเปลว ไม่กินเดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก”

                “แต่ผมไม่อยากกินอะไรจริงๆครับ” เปลวอรุณปิดเปลือกตาตัวเองลงอีกครั้ง ถึงจะรู้ว่าอีกคนหวังดีแต่ว่าตอนนี้เขาไม่มีความอยากหรือหิวใดๆทั้งสิ้น

                 มันหน่วงไปหมด...

                ลับสายตาของเปลวอรุณอัมรินทร์ตีหน้าตึงเล็กน้อยที่ความหวังดีของตนถูกปฏิเสธ แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็พอที่จะเข้าใจว่าสถานการณ์ตอนนี้คงจะทำให้เปลวอรุณรู้สึกกินอะไรไม่ลงเพราะถ้าเป็นเขาเองก็คงไม่อยากทำอะไรเหมือนกัน

               ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วกลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กที่เปียกหมาดๆยื่นให้อีกคนรับไปเช็ดหน้าอีกรอบหลังจากตื่นนอนแล้วก็เดินดุ่มๆออกจากห้องไปไม่พูดไม่จาอะไร

                เปลวอรุณมองตามแผ่นหลังกว้างของอัมรินทร์จนหายลับไปกับบานประตูห้องนอนที่ปิดลง ก้อนความหนักอึ้งในอกถูกระบายออกมาทางลมหายใจอย่างแรง

                  อัมรินทร์ไม่พอใจ...

                  ใช่เขารู้... แต่จะโทษใครได้ในเมื่อเขาเองที่เป็นคนพูดออกไปแบบนั้น

              สัมผัสเย็นชื้นจากผ้าขนหนูที่อยู่ในมือไม่ได้ช่วยคลายความรู้ของเขาที่มีอยู่ในตอนนี้ได้มากเท่าไร แต่อย่างน้อยมันก็มากพอที่จะทำให้มุมปากบางยกยิ้มขำขึ้นมาได้ได้ตอนที่นึกถึงใบหน้าหล่อของคนอายุใกล้เลขสามหงิกหงอเป็นเด็กเวลาถูกขัดใจ

              แต่รอยยิ้มนั้นมันก็อยู่กับเขาได้เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นเมื่อหางตาของเหลือบไปเห็นใบของใครคนหนึ่งที่เหมือนกับเขาในกรอบรูป


              หลายครั้งที่เขาเองก็อยากที่จะผลักเรื่องทั้งหมดโยนความผิดพวกนี้ให้กับความเป็นคนดีของแม่ที่คอยบอกคอยย้ำกับเขาเสมอตั้งแต่วันนั้นว่าพิมพาคือคนที่มีพระคุณกับเขาถ้าไม่ได้หล่อนช่วยเอาไว้คงไม่มีคนที่ชื่อเปลวอรุณมาจนถึงตอนนี้ พอโดนพิมพายกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคำพูดของแม่ก็มักจะลอยขึ้นมาในหัวของเขาดื้อๆเหมือนระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกตั้งค่าเอาไว้

              “น้าพิมพ์เป็นคนช่วยชีวิตเปลวไว้นะ เปลวต้องตอบแทนน้าพิมพ์เขานะลูกถึงมันอาจไม่ถูกใจแต่แม่ไม่อยากให้ใครมาว่าลูกของแม่ว่าเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณคนเพราะแม่คงทนไม่ได้ และอีกอย่างนะเปลวแม่ขอล่ะอย่าไล่เขาออกจากบ้านเลยนะ ถือสะว่าแม่ขอนะเปลว”


              ถึงตอนนั้นเขาจะไม่เข้าใจก็เถอะว่าทำไมแม่ถึงขออะไรแบบนั้นกับเขา แต่พอโตขึ้นได้รับรู้อะไรเพิ่มมากขึ้นเขาถึงเข้าใจความหมายนั้นมากขึ้น ส่วนหนึ่งก็คือ

              แม่เคยถูกไล่ออกจากบ้าน...

            เขามั่นใจว่าพิมพาต้องไปพูดอะไรสักกับแม่เอาไว้ไม่อย่างนั้นแม่คงไม่พูดเรื่องนี้กับเขาแน่ คนมารยาสารพัดพิษอย่างนั้นคงตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จอะไรสักอย่างเพื่อหลอกใช้ความขี้ใจอ่อนไม่ทันของแม่เขาเป็นเครื่องมือเพราะนอกจากแม่แล้วเขาไม่เชื่อฟังใคร และมันก็เป็นอย่างที่ทางนั้นต้องการเขายอมพิมพาทุกครั้งตามที่แม่ขอเอาไว้ แต่จะโทษคนอื่นอย่างเดียวมันก็ไม่ถูกเท่าไรนักมันก็ต้องโทษที่ตัวเขาเองด้วยที่ไม่ยอมทำตัวให้เด็ดขาดเองเลยทำให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจนได้...

            “เธอจะทำอะไรมันก็เรื่องของเธอ แต่ถ้ามายุ่งกับบ้านของฉันไม่อย่างนั้นฉันไม่เอาเธอไว้แน่”

            ข้อตกลงเด็ดขาดสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมชายคาบ้านเดียวกันระหว่างเขากับพิมพาดังออกมาจากปากของเขาเองในวันที่พ่อจอมเห็นแก่ตัวทิ้งตัวภาระไร้ประโยชน์ไว้ให้เขาดูแลต่อแล้วจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ทุกเดือนเขาจะต้องให้เงินพิมพาไว้ใช้จ่ายหลังจากนั้นหล่อนจะเอาไปถลุงที่ไหนก็เชิญเขาจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยเพราะเขาถือว่าคำสั่งเสียของพ่อที่สั่งมาไว้มีแค่นี้เขาก็ทำแค่นี้ถ้าจะมาขอเพิ่มเขาก็แค่ทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจแล้วเดินหนีก็เท่านั้นแม้สุดท้ายจะจบลงที่การมีปากเสียงกันก็เถอะ ตราบใดที่ยังไม่ละเมิดข้อตกลงที่เขาวางเอาไว้เขาก็จะพยายามอดทนกับนิสัยเหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อขอผีพนันที่ทำอะไรไม่เป็นนอกจากแบมือขอตังไปวันๆของพิมพาต่อแม้บางครั้งจะทนไม่ไหวออกปากไล่ไปหลายครั้งก็เถอะ

              แต่ทั้งๆที่รู้อย่างนั้น แต่ก็ยังทำ...

             
:m16:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
 
:m16:


 บางทีหล่อนคงคิดแค่ว่าเขาจะไม่มีทางไล่หล่อนออกไปจริงๆเลยกล้าที่จะละเมิดข้อตกลงระหว่างพวกเขา มันเลยเป็นเหมือนการที่ตัวมันเองกล้าท้าทายตัดฟางเส้นสุดท้ายของความอดทนที่เขาจะยอมให้คนอย่างพิมพา

              อีกเหตุผลหนึ่งที่แม่ขอไม่ให้เขาไล่พิมพาออกจากบ้านก็เพราะนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นอาฆาตใครเขาไปทั่วเหมือนงูพิษที่แว้งกัดได้แม้แต่ชาวนาที่เก็บมันมาดูแล ถึงจะไม่พูดออกมาตรงๆแต่เขาก็พอที่จะเข้าใจความหมายของคำจำกัดความบางอย่างที่แม่เคยพูดเกี่ยวกับพิมพาให้เขาฟัง

              “เก็บพิษที่ร้ายที่สุดไว้ให้ใกล้ตัว ก็เหมือนคนที่เลี้ยงงูมีพิษถึงสักวันมันอาจแว้งกัดเราได้แต่ตราบใดที่เรายังมีประโยชน์มันก็จะไม่ทำร้ายเรา ถ้าจะรอดเราต้องตีให้ตายเพราะถ้ามันเจ็บเราคนเลี้ยงนี้แหละจะกลายเป็นเหยื่อของความพยาบาทของมัน”



พิมพาก็คืองูพิษ...

ครอบครัวเขาคือคนเลี้ยงงู...

และเขาคือคนตีงูให้หลังหัก...

เขารู้ดีว่าถ้าวันหนึ่งเขาเกิดไล่พิมพาออกจากบ้านงูพิษตัวนั้นมันหันมาแว้งกัดใส่เขาในสักวันหนึ่งซึ่งเรื่องนี้เขาเองก็เตรียมใจรอรับเอาไว้แล้วเหมือนกัน แต่มันก็ยังไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องมาเป็นกังวลอะไรในตอนนี้เพราะมันคงไม่ใช่เหตุการณ์อันใกล้จะเกิดขึ้นกับเขาแน่ๆ

              เรื่องที่สำคัญกว่าคือเรื่องหนี้ที่เขาพลั้งปากพูดออกไปต่างหาก...

             เปลวอรุณถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างจนทาง ไอ้ที่พูดว่าจะใช้หนี้แทนก็เพื่อจะเอามาใช้หักเรื่องหนี้บุญคุณกับอีกคนก็เท่านั้นและเขาเชื่ออีกด้วยว่าถึงเขาไม่พูดออกไปคนอย่างพิมพาก็ไม่มีทางหาเงินพวกนั้นจ่ายได้โดยที่ไม่เดือดร้อนเขาแน่ๆ ดังนั้นเขาเลยยอมจ่ายเองเพื่อแลกกับการให้ผีพนันอย่างพิมพาออกไปจากชีวิตของเขา แต่หนี้จำนวนร้อยล้านกับเวลาแค่สองสัปดาห์มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เขาเองก็เป็นแค่พนักงานกินเงินเดือนไม่ใช่เจ้าของธุรกิจใหญ่โตอะไรเงินเก็บที่พอมีมันก็คงไม่พอที่จะจ่าย แต่ถ้าไม่มีจ่ายเขาก็จะต้องเสียบ้านหลังนี้ไปซึ่งคนอย่างเปลวอรุณไม่มีทางยอมแน่

              ยิ่งหนี้นอกระบบแบบนี้ด้วยแล้วตำรวจคงไม่เข้ามายุ่งแน่แถมดูจากลักษณะของคนที่มาทวงหนี้เมื่อเย็น เดาได้เลยว่าเจ้าหนี้ของพิมพาจะต้องเป็นคนมีอิทธิพลพอตัวเหมือนกันตำรวจชั้นผู้น้อยมีหรือจะกล้าทำอะไร เผลอๆเรื่องจะเงียบหายแล้วเป็นฝ่ายเขาเองนี้อหละที่เดือดร้อนกว่าเดิมแต่จะให้ไปกู้ยืมเงินเพิ่มเพื่อมาจ่ายหนี้ตรงหนี้เขาก็ไม่เอาด้วยหรอก วงจรกู้ยืมมันก็วนเป็นงูกินหางแบบนี้ต่อไปไม่มีวันจบจ่ายตรงนี้เสร็จต้องจ่ายตรงหนี้ต่อ แถมเงินขนาดนี้แน่นอนว่าดอกเบี้ยก็ต้องสูงขึ้นตามจำนวนด้วย

              ถึงจะไม่อยากขอความช่วยเหลือจาก เขา แต่ตอนนี้ตัวเขาเองก็ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ...

              ผ้าขนหนูที่เริ่มแห้งแล้วถูกบีบแล้วคลายอยู่หลายครั้งจากเจ้าของมือที่กำลังย้ำคิดย้ำทำกับสิ่งที่อยู่ในหัว ก่อนจะปล่อยผ้าในมือลงที่ตักแล้วเอื้อมออกไปเพื่อหยิบเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางอยู่ตรงหัวนอน

            ยังไม่ทันที่นิ้วของเขาจะเลื่อนเพื่อกดโทรออกไปยังหมายเลขโทรศัพท์ตรงหน้าประตูห้องของเขาก็ถูกเปิดเข้ามาพอดีพร้อมกับร่างของผู้ชายสองคนที่ยังอยู่ในบ้านของเขา

              “แม่เปลวเป็นยังไงบ้างฮะ”  เปลวอรุณรีบกดปิดล็อคหน้าจอโทรศัพท์แล้วว่างมันลงไว้ที่ข้างตัวแล้วรีบหันไปยิ้มรับให้เด็กหนุ่ม

            “ดีขึ้นแล้ว” เขาว่า

            ลูกตาลส่งสายตาสำรวจมองคนตรงหน้าให้แน่ใจก่อนจะคุกเข่าลงบนพื้นข้างเตียง เอื้อมจับมือข้างที่เปลวอรุณยื่นออกมาลูบหัวตนเองเอาไว้แน่น

              “ผมเป็นห่วงแม่นะ” เด็กหนุ่มว่าเสียงสั่นน้ำคาคลอ

              “ไม่เป็นอะไรแล้ว” เขาปลอบ

              อัมรินทร์มองภาพสองแม่ลูกแล้วอดที่จะเบ้ปากใส่ไม่ได้ เมื่อต้องมามองเปรียบเทียบท่าทางของเจ้าเด็กจิ้งจกที่ทำตัวเปลี่ยนสีได้ไว้ยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ

              ทีตอนอยู่กับเขาข้างล่างยังกระแนะกระแหนจิกกัดเขาตั้งแต่ยังไม่ทันเห็นมองหน้า ต่อพออยู่ต่อหน้าเปลวอรุณนอกจากจะเรียบร้อยพูดจาน่าฟังแล้วยังทำหน้าเหมือนลูกหมาใส่อีก

              เห็นแล้วมันน่าจับโยนใส่กรงให้ไปนอนเล่นกับคุณมณีนิลสักคืนให้รู้แล้วรู้รอด...

              “จริงสิ แม่เปลวคงหิวแล้วผมทำข้าวต้มหมูมาให้ ทานเลยดีไหมครับ”

              ลูกตาลโผล่ขึ้นก่อนจะหันไปหาคนที่แทบจะถูกลืมเลือนไปกับอากาศของห้องอย่างอัมรินทร์ที่ถูกใช้ให้เป็นคนถือถาดชามข้าวต้มทั้งสามขึ้นมา

              เด็กหนุ่มจัดการยกโต๊ะญี่ปุ่นขนาดเล็กที่วางอยู่ไม่ไกลมากางลงบนเตียงตรงหน้าเปลวอรุณแล้วยกชาวข้าวต้นร้อนที่ส่งกลิ่นหอมของเนื้อหมูและกะเทียมเจียวลงบนโต๊ะให้คนที่นั่งทำหน้าตากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกอยู่บนเตียงเสร็จสรรพ

              “ลุงอันบอกว่าแม่เปลวไม่อยากกินข้าว ผมเลยตักส่วนของผมกับลุงขึ้นมากินด้วยกันบนห้องแม่เปลวจะได้ไม่เหงาไง”  ลูกตาลยิ้มร่าหูหางกระดิก

               “แต่แม่ไม่หิวเท่าไร ตาลกับคุณอัมรินทร์กินกันก่อนเลยนะ” เปลวอรุณยิ้มขื่น

              “ได้ไงละเปลว ฉันอุตสาห์ยกขึ้นมาให้แล้วนายยังจะปฏิเสธไม่กินอีกหรอ” น้ำเสียงทุมเจือจะไม่พอใจอยู่ระดับหนึ่งที่พอจำทำให้คนที่ได้ฟังจับกระแสนั้นได้

                 เปลวอรุณหน้าม่อยลงเล็กน้อยอย่างรู้สึกผิดกับคนทั้งสอง

              “กินหน่อยนะฮะ” ลูกตาลมองใบหน้าสวยอย่างมีความหวัง

              “ถ้านายไม่กินฉันป้อนเอง” ไม่ว่าเปล่าอัมรินทร์วางชามข้าวของตัวเองลงตรงหัวเตียงแล้วหันมาจับช้อนในชามของเปลวอรุณตักข้าวต้มขึ้นจ่อที่ริมฝีปากซีด

              เปลวอรุณดูจะหนักใจอยู่ไม่น้อยตอนที่มองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังของเด็กหนุ่มที่จ้องเขาตาปริบสลับกับใบหน้าทะมึนทึนของชายหนุ่มที่มองเขาอยู่เช่นเดียวกัน

              เขาเม้มปากเข้าหน้ากันแน่นก่อนจะยอมเอื้อมมือออกไปจับช้อนที่จ่ออยู่ที่ปากมาถือเอาไว้แล้วเอาเข้าปากกินเองแล้วกลืนลงอย่างฝืดเคือง

               แต่แค่นั้นมันก็เพียงพอให้คนที่มองอยู่ยิ้มออกมาได้แล้วเริ่มที่จะหยิบจับช้อนของตัวเองกินตามบ้าง

               ลูกตาลไม่ใช่คนที่ชอบพูดอะไรเยอะออกจะเป็นคนที่พูดไม่เก่งเสียด้วยซ้ำแต่วันนี้เด็กหนุ่มกลับสรรหาเรื่องนู้นเรื่องนี้ออกมาเล่าให้เปลวอรุณฟังไม่ขาด แม้เปลวอรุณจะกินไปเพียงไม่กี่คำแล้ววางช้อนลูกตาลก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังเทส่วนที่เหลือในชามนั้นใส่ชามของอัมรินทร์หน้าตาเฉยโดยที่ปากยังคงพูดเพื่อไม่ให้คนบนเตียงที่มองเขาอย่างตกใจมาสนใจกับการกระทำของตัวเขาเอง

               อัมรินทร์ใช้ลิ้นดุนกระพุงแก้มมองลูกตาลอย่างไม่พอใจที่ถูกเด็กรุ่นลูกแกล้งเอาแต่นอกจากจะไม่พูดอะไรออกไปแล้วยังนั่งกินข้าวต้มในชามที่เพิ่มขึ้นจนหมด

              เปลวอรุณปั้นหน้าไม่ถูกที่ต้องให้อัมรินทร์มากินข้าวเหลือต่อจากตนทำได้เพียงลอบมองอีกฝ่ายเป็นระยะ พอจะอ้าปากห้ามไม่ให้คนตัวใหญ่กินเด็กหนุ่มก็เหมือนจะมีญาณทิพย์แทรกพูดขึ้นมาถามเขาได้ถูกเวลาตลอดจนอดไม่ได้ที่จะแอบคิดใจในว่าเขาโดนลูกตาลเอาคืนเรื่องที่กินข้าวไม่หมดหรือเปล่า

              ความอึดอัดใจของเปลวอรุณจบลงเมื่อข้าวต้มคำสุดท้ายเข้าสู่ปากและลงสู่กระเพาะของเด็กหนุ่มที่ตีหน้ามึนตั้งแต่ต้นยันจบ แน่นอนว่าเมื่ออัมรินทร์เป็นคนยกถาดข้าวขึ้นมาให้คนที่ต้องลงเอาไปเก็บก็คือเด็กหน้ามึนที่นั่งฟังเปลวอรุณฝากฝั่งให้จัดการล้างถ้วยล้างชามให้เสร็จแล้วไปล็อกรั้วให้เรียบร้อย



              อัมรินทร์นั่งเงียบๆรอจนกระทั้งในห้องกลับมาเหลือเพียงเขากับเปลวอรุณที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาไม่ยอมเงยขึ้นมามองเขาเหมือนยังรู้สึกผิดเรื่องที่เขาต้องกินข้าวเหลือจากอีกคน

              จริงๆเขาก็ไม่ได้คิดว่าอะไร แต่แค่ไม่พอใจเฉยๆที่อยู่ดีๆลูกตาลก็เทมันลงมาแบบไม่บอกไม่กล่าวจนเกือบหกแถมยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ใส่ซึ่งมันโคตรกวนประสาทเขาเลย

              “หลังจากนี้เปลวจะเอายังไงต่อ” และเพื่อไม่ใช่บรรยากาศมันเงียบจนน่าอึดอัดใจชายหนุ่มจึงเลือกที่จะเปิดปากขึ้นมาก่อน แต่ดูเหมือนบทสนทนาที่เขาเลือกจะทำให้บรรยากาศรอบตัวเปลวอรุณดูเครียดกว่าเดิม

              “ก็..ยังไม่รู้เหมือนกันเลยครับ” ใบหน้าขาวดูหม่นหม่องลงแทบจะในทันทีเมื่อพูดเรื่องที่ว่าออกมา

            ถึงจะรู้สึกผิดอยู่สักหน่อยก็เถอะที่เป็นตัวการหลักที่ทำให้อีกคนเป็นลมเป็นแร้งลงไปกับพื้นแต่ถ้าเขาไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้เมื่อไรเหมือนกันที่เขาจะได้เปลวอรุณมาครอบครอง

              ก็น่าสงสารอยู่นะ...

              “ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกนะ” ฝ่ามือใหญ่เอื้อมออกไปวางทับมือขาวที่เล็กกว่าแล้วออกแรงบีบเล็กน้อยอย่างหวังดีตามคำพูด

              “ผมไม่อยากรบกวน เงินจำนวนนั้นมันมากเกินไป”

              “อย่าคิดอย่างนั้นสิเปลว เราคนกันเองแค่เปลวเอ่ยปากฉันพร้อมจะช่วยเปลวเต็มที่นะ” อัมรินทร์ส่งยิ้มให้พร้อมรั้งคนตรงหน้าเข้ามาซบที่อก ลูบฝ่ามือใหญ่ของตนไปตามแผ่นหลังช้าๆเหมือนกำลังปลอบประโลงให้กำลังใจ

              “ฉันช่วยเปลวได้ ขอแค่เปลวพูด” แค่พูดเท่านั้นเปลว....

              “ผม..จะลองเอาไปคิดนะครับ”

              หมาป่าตัวร้ายแสนเจ้าเล่ห์ในคราบพ่อพระแสนใจดีแย้มยิ้มพอใจ ถึงเหยื่อตัวน้อยของเขาจะยังไม่ตอบตกลงในตอนนี้แต่เขามั่นใจเต็มร้อยว่าตัวเลือกสุดท้ายที่ดีที่สุดเช่นเขาจะเป็นตัวเลือกที่เปลวอรุณเอ่ยปากเลือกออกมา

              สีหน้าของเปลวอรุณดูลำบากใจไม่ค่อยจะแน่ใจเสียเท่าไรว่าการขอความช่วยเหลือจากอัมรินทร์จะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเขา แต่อย่างน้อยเขาก็ขอเก็บมันเอาไว้ก่อนเป็นตัวเลือกสุดท้ายก็ยังดี

               หมาป่าตัวร้ายนั่งอยู่เฝ้าอยู่อย่างนั้นจนไก่ฟ้าตัวน้อยของมันหลับไปอีกครั้ง ขอบผ้าห่มผืนหนาถูกดึงขึ้นให้ขึ้นมาปิดถึงระดับอกดวงตาสีดำขลับพราวระยับยามมองเหยื่อตัวนอนของเขาหลับใหล

                ใบหน้าคมคายเคลื่อนลงมาใกล้ก่อนจะหยุดลงเมื่อปลายจมูกของพวกเขาชนกัน คราแรกเขาหมายจะฉกชิมกลีบปากบางที่เฝ้ามองมันมาตั้งแต่วันแรกว่ามันจะนุ่มเหมือนอย่างที่ตาเห็นหรือไม่

                แต่เขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อน...

                อีกไม่นานไม่ใช่แค่ปากแต่ทั้งตัวก็จะเป็นของเขา รอมาได้ตั้งสามปีรอมันต่อไปอีกสักนิดจะเป็นไร

                อัมรินทร์ยิ้มอย่างใจเย็นก่อนจะเลือกฝากสัมผัสตีตราลงที่หลังมือขาวเรียวแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปโดยไม่ลืมที่จะกดปิดสวิตซ์ไฟในห้องให้อีกคนด้วย

 

               เสียงฮึมฮัมในลำคอเป็นทำนองเพลงดังลอยๆลงมาและดังชัดมากขึ้นเมื่อร่างสูงใหญ่ของชายวัยใกล้เลขสามยืนปรากฏตัวอยู่ที่หน้าบันได เรียกสายตาจากคนที่กำลังนั่งดูรายการทีวีอยู่ให้หันไปมองอย่างนึกหมั่นไส้

              “อารมณ์ดีเชียวนะลุง” ลูกตาลอดไม่ได้จริงๆที่จะไม่แขวะออกไป

              “แน่นอนอยู่แล้ว”  อัมรินทร์ยิ้มรับอย่างไม่รู้ร้อนแล้วถือวิสาสะหย่อนตัวลงนั่งตรงโซฟาข้างๆ เด็กหนุ่มเหลือบตามมองเล็กน้อยก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับรายการเกมส์โชว์ตรงหน้า

              “ว่าแต่ เตรียมตัวเก็บข้าวของย้ายไปอยู่บ้านพ่อได้แล้วนะจ๊ะไอ้ลูกชาย” ฝ่ามือใหญ่สมชายของอัมรินทร์วางแปะเข้าที่กลางกระหม่อมของเด็กหนุ่มแล้วออกแรงยีจนผมยุ่ง

              “ใครลูกลุง” ลูกตาลปัดมืออีกฝ่ายออกแทบจะทันทีอย่างไม่จริงจังเท่าไร

              “เอ้า ก็แม่เปลวของลูกตาลกำลังจะมาเป็นเมียฉัน ฉันก็ต้องเป็นพ่ออันของลูกตาลไง”  คนโมเมยิ้มตาหยี่

              “ไหนๆๆ เรียก พ่อ สิลูก”

              “รอให้ถึงวันนั้นก่อนเถอะ” เด็กหนุ่มว่าเบี่ยงอย่างนึกรำคาญ

              แต่อัมรินทร์ก็ไม่สนใจไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระอะไรกับคำพูดที่ว่าของเด็กชายเท่าไรก่อนจะหันไปสนใจรายการเกมส์โชว์ตรงหน้าที่ถูกเปิดค้างเอาไว้ก่อนอย่างอารมณ์ดี  ในขณะที่ลูกตาลเอาแต่เหลือบตามองคนข้างๆเล็กน้อยเป็นระยะเหมือนกำลังใช้ความคิด 


____________________________________________________________

มาละเด้อ!!

ยังไม่ไหลไปกับแผ่นดินไหวหรือลงท่อไปกับน้ำวันสงกรานต์นะ
สารภาพบาปเลยว่านอกจากนอนโง่ๆตากพัดลมอ่านนิยายแล้วก็ไม่ทำอะไรเลยนอกจากนอน
คือมันร้อนมาก ร้อนจนไม่อยากทำอะไรเลย

ตอนนี้ timeline ของเรื่องก็กำลังจะกลับเข้าสู่ช่วงเวลาปัจจุบันแล้ว
เรื่องหนี้คงเคลียร์กันละเนอะ



Note...

เปลวอรุณเองเป็นจำพวกแบบสัญญาไปแล้วก็ต้องทำให้ได้ถึงจะไม่ชอบก็จะทำแต่ก็จะหาเหตุผลรองรับให้ตัวเองเมื่อทำต่อไม่ได้ มันเลยเป็นเหมือนว่าเปลวอรุณทำตัวเองด้วย ซึ่งมันก็จริง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-04-2017 12:20:35 โดย wavery »

ออฟไลน์ AkaneSama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อัมรินทร์บ้า  :z6: สงสารเปลว  :sad4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
อื้อหืออออออ พ่อพระเอกเรา อย่างเลว
คินดูตอนพลาดนะ จะหัวเราะเยาะให้ซะใจ :ling2:

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
รอความจริงปรากฏเถอะ!

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
อัมนี่ออกแนวพระเอกง่าวๆของแท้ ไม่มีผู้ล่าคนไหนจ้องเหยื่อมานานขนาดนั้นหรอกนอกจากมันจะ รัก เหยื่อของมันเองน่ะ !! คอยดูนะจิสมน้ำหน้าให้ -*-  :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ระวังเถอะถ้าเปลวรู้ความจริงเข้าจะเป็นเรื่อง

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :hao3:


ร้ายจริงๆ

ออฟไลน์ alien.aiiwz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ไม่อยากจะนึกถึงตอนความแตก...
จะมีฉากนั้นไหมนะ
 :hao6:

ออฟไลน์ rmlab

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1679
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-2
พี่เปลวแย่แล้ว

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

เป็นหนี้ ครั้งที่ 9



       “...ป..เปล...เปลว..”

   “...”

   “เปลว!”

   รองประธานหนุ่มเพิ่มเสียงเรียกพร้อมแรงของมือที่จับอยู่บนหัวไหล่มนของเลขาให้แรงขึ้นเพื่อเขย่าเรียกสติของคนที่นั่งเหม่อตั้งแต่เริ่มประชุมให้กลับมามาอยู่กับตัวเอง สีหน้าอิดโรยของคนที่เพิ่งถูกเรียกให้จิตใจกลับมาอยู่กับตัวเบิกตาขึ้นเล็กน้อยเหมือนตกใจก่อนจะหันมองซ้ายทีมองขวาที  เมื่อเห็นว่าภายในห้องประชุมขนาดกลางว่างเปล่าไร้คนประชุมเหมือนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าใบหน้าขาวก็ถูกฉาบไปด้วยความรู้สึกผิด

   “เหม่ออะไรอยู่เปลว เขาเลิกประชุมกันแล้วนะ” ชายหนุ่มกอดอกเอ็ดเสียงใส่อย่างไม่คิดตำหนิจริงจัง หากแต่คนอย่างเปลวอรุณกลับยิ่งก้มหน้าต่ำลงหลักกว่าเดิมอย่างคิดจริงจัง

   “ขอโทษครับ”

   อัมรินทร์ถอนหายใจออกหนักให้กับน้ำเสียแผ่วเบาคล้ายสำนึกผิดโทษตัวเองของคนที่ตรงหน้าที่ไม่แม้จะคิดเงยหน้าขึ้นมามองเขาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะย่อกายลงให้ดวงตาของตนสามารถมองเห็นสีหน้าของเปลวอรุณที่ก้มต่ำจนคางเกือบชิดอกเพื่อจะได้มองหน้าอีกคนแทน

   “ทะ ทำอะไรนะครับ” เปลวอรุณถามเสียงหลง เมื่ออยู่ๆคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าอย่างอัมรินทร์ที่นอกจากนะนั่งย่องลงตรงหน้าแล้วยังเอาคางมาเกยที่หัวเข่าของเขาอีก

   “มองหน้าเปลวไง” เปลวอรุณหน้าแดงจัดกับคำตอบพาซื่อของอีกคนจนรีบดับใบหน้าคมออกแล้วลุกขึ้นยืนอย่างเขินอาย คนขี้แกล้งยกยิ้มชอบใจที่สามารถทำให้คนตรงหน้ากลับมาเป็นเมื่อเดิมอีกครั้งก่อนจะหยันกายลุกขึ้นยืนตาม

   “เป็นอะไรไปหื้อ ปกติเปลวไม่เคยเหม่อแบบนี้ตอนประชุมเลยนี้น่า” ครั้งนี้เขาถามอย่างจริงจังพร้อมไล่สำรวจคนตรงหน้าใหม่อีกครั้ง

   ใบหน้าที่ดูอิดโรยเหมือนคนพักผ่อนไม่เพียงพอจนรอยคล้ำใต้ตาปรากฏให้เห็นได้อย่างเด่นชัด ไหนจะผิวหน้าขาวๆที่ดูจะซีดลงกว่าทุกทีนี้อีก ไม่ว่าจะมองยังไงเปลวอรุณก็ดูเหมือนคนที่ไม่พร้อมสำหรับการทำงานเลยสักนิด

   “ตาลบอกว่าเปลวไม่ค่อยได้นอนมัวทำอะไรอยู่” เขาไล่เกลี่ยปลายนิ้วลงที่ข้างแก้มด้วยความเป็นห่วงที่มากล้นเต็มอก

   “คุณโทรเช็คผมจากลูกตาลหรอ” ดวงตาอ่อนล้าของเปลวอรุณเงยขึ้นสบกับนัยน์ตาคมของอัมรินทร์นิ่ง

   “ก็ฉันเป็นห่วง” ชายหนุ่มตอบอย่างสัตย์จริง

   ตั้งแต่วันนั้นก็ผ่านมาเกือบจะครบอาทิตย์หนึ่งแล้วที่ความช่วยเหลือของเขายังคงถูกเปลวอรุณมองข้าม ทั้งๆที่อีกคนควรรีบจะตบปากรับความช่วยเหลือจากเขาทันทีที่เสนอมาแต่เปลวอรุณกลับนิ่งเงียบแล้วหายไปไม่พูดถึงมันขึ้นมาอีกเลยจนกลายเป็นตัวของอัมรินทร์เองที่ร้อนใจ

   “เวลามันเหลืออีกไม่มากแล้วนะเปลว” แม้จะรู้ว่าไม่ควรพูดมันออกมาตอนนี้แต่เขาต้องการย้ำเตือนให้เปลวอรุณตะหนักรู้ว่าตอนนี้อีกคนควรที่จะทำอะไร 

   เปลวอรุณดูอึ่งไปเล็กน้อยก่อนที่จะเลือกเบี่ยงหน้าหนีสัมผัสอุ่นที่แตะค้างอยู่ที่ข้างแก้มของจนคล้ายไม่อยากจะสบสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและอ้อนวอน อ้อนวอนให้เขารับความช่วยเหลือนั้น...

   “ผมรู้”  เปลวอรุณว่าเสียงสั่น

   “แล้วทำไม..” คนตัวสูงกว่าย่นคิ้วหรี่ตามอง

   “ก็ผมเกรงใจ” เงินมากมายขนาดนั้นอยู่ๆจะเอามาให้เขาเลยเพื่อใช้หนี้มันมากเกินไป เขาไม่กล้ารับไว้...

   “เปลว!”

        เจ้าของชื่อสะดุ้งเมื่ออัมรินทร์เผลอตะคอกใส่เสียงดังอย่างไม่ทันตั้งตัว

   “แต่นั้นมันบ้านของผม ผมอยากพยายามทำมันด้วยตัวเอง” เปลวอรุณพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่นและพยายามข่มความหวาดหวั่นในใจแล้วค้านกลับอีกคนไปอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน 

   “แล้วมันได้ไหมเปลว มันครบไหม” ชายหนุ่มถามกลับเสียงต่ำข่มอารมณ์ไม่แพ้กัน หากแต่...

    เปลวอรุณกลับเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้นซ้ำยังเบี่ยงหน้าหนีอย่างจนทางยอมจำนนต่อคำพูดนั้นของอัมรินทร์ที่ว่าตัวเขาไม่สามารถหาเงินจำนวนมากขนาดนั้นได้ทัน

   “แค่ยอมรับความช่วยเหลือจากฉันมันยากขนาดนั้นเลยหรอเปลว” ไม่ว่าเปล่าครั้งนี้อัมรินทร์ก้าวเข้ามาประชิดตัวพร้อมจับต้นแขนทั้งสองข้างของเปลวอรุณไว้แน่นด้วยเสียงที่ดูเหมือนจะอ่อนลงแต่เต็มไปด้วยความหน่วงในใจ

   อัมรินทร์เงียบมองคนตรงหน้าที่ไม่คิดแม้จะมองหน้าเขา รอยยิ้มที่ถูกแข้นออกมาปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อคมเมื่อบางสิ่งบางอย่างแล่นเข้ามาในความคิดของเขา

   “หรือว่าเปลวกำลังรอความช่วยเหลือจากใครอยู่”

   !!

   คล้ายคำถามถามหยันเชิงลองคาดเดามกกว่าการถามไปตรงงๆหากแต่มันกลับไปสะกิดใจของเปลวอรุณให้นิ่งกึก อัมรินทร์หรี่ตามองนัยน์ตาใสหลังเลนส์แว่นที่เบิกขึ้นเล็กน้อยพร้อมความสั่นระริกเมื่อถูกต้อนจนมุม

   ใคร...!!

   ทั้งๆที่แค่จะลองถามแค่พอหยันเชิงดูแต่ใครจะไปรู้กันละว่าความจริงที่คนตรงหน้าปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขาอย่างหัวชนฝาจะเป็นเพราะมีมือของใครบางคนที่อยู่ในเงาพร้อมที่จะยืนเข้ามาช่วยเหลือ

   “งั้นหรอ” อัมรินทร์ยกยิ้ม

        ไม่ยอม..

   เขาไม่ทางยอมง่ายๆแน่....

   “แล้วมันอยู่ไหนละ” เขาถามเสียงเยาะ

   เปลวอรุณไม่ตอบ

   “มันอยู่ไหนละเปลว ไอ้คนที่เปลวรอว่ามันจะมาช่วยนะมันอยู่ไหน!” ยิ่งไร้เสียงตอบรับกลับมาอัมรินทร์ก็ยิ่งขึ้นเสียงถามตามอารมณ์ที่ไม่พอใจ

   “ผม..”

   “ไม่รู้ ?”    

   อัมรินทร์ปล่อยมือคู่ที่จับหัวไหล่มนนั้นออกพร้อมกับรอยยิ้มที่เผยออกมาอย่างไม่รู้ว่าต้องการส่งไปให้ให้เย้ยหยันตัวเองที่คิดข้ามเรื่องนี้หรือสมเพชเปลวอรุณที่ยังรอความช่วยเหลือแม้จะมองไม่เห็นแสงความหวังที่ปลายอุโมงค์ใหญ่แบบนี้

   เปลวอรุณรอบมองรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดากับเสียงหัวเราะต่ำๆของอัมรินทร์ที่หมุนกายหนีหันหลับให้เขาอย่างนึกหวั่น เขาไม่เคยเห็นอีกคนมีท่าทางแบบนี้มาก่อนมันดูคล้ายกับ เสียสติ...

   จริงอยู่ที่เปลวอรุณมีคนที่สามารถจะช่วยเหลือเขาในเรื่องการเงินได้แต่ตั้งแต่วันจนถึงวันนี้เขาก็ยังไม่สามารถติดต่อ เขา ได้เลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายยังเป็นคนติดต่อมาหาเขาเองอยู่เลยด้วยซ้ำแต่พอเกินเรื่องขึ้นอีกฝ่ายก็หายไปราวกับว่าเบอร์โทรศัพท์หมายเลขนี้ไม่เคยมีใครใช้มาก่อน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะนั่งงอมืองอเท้าเสียอย่างเดียวที่ไหนกันเพราะแบ่งใจเผื่อความผิดหวังครั้งนี้ไว้แล้วเหมือนกันว่าจะไม่ได้ตามที่หวังเขาถึงได้รวบรวมเงินเก็บทุกจากบัญชีที่มีอยู่เอามารวมกันไว้เพื่อหวังว่ามันจะพอ

   แต่ก็ไม่...

   และความเครียดก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เขานอนไม่หลับ...

   “เธอมันดื้อเปลว” อัมรินทร์เอ่ยขึ้นอย่างข่มอารมณ์

   “...”

   “แล้วเธอจะรอมันไปถึงเมื่อไร” ร่างสูงใหญ่หนุนกายหันกลับมามองที่เขาอีกครั้ง

   เขาตอบไม่ได้...

   “ฉันถามว่าเมื่อไร!” และยิ่งเปลวอรุณเงียบความดาดเดือดในใจของอัมรินทร์ก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น  ชายหนุ่มปรี่ตรงเข้ามากระชากต้นแขนของเปลวอรุณเอาไว้แน่นก่อนออกแรงเขย่า

   “คุณอัมรินทร์ปล่อย ผมเจ็บ” คนตัวเล็กกว่าโอดขึ้นเมื่อแรงมือของอีกคนเพิ่มขึ้นจนรู้สึกร้าวไปหมด

   “ตอบมาสิเปลว นายรอมันทั้งๆที่ไม่รู้ว่ามันจะมาช่วยเปลวหรือเปล่าแต่กลับปฏิเสธฉันเนี้ยนะ”

   “ปล่อย ผมเจ็บ” เปลวอรุณพยายามดันมือขออัมรินทร์ออก

   “ตอบฉันสิเปลว เพราะอะไร”   อัมรินทร์ตะคอกใส่เสียงดัง

   แรงเขย่าที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับคำถามที่ถามหาเหตุผลอย่างคนสติแตกของอัมรินทร์ที่หน้ามืดตามั่วจนไม่ทันสังเกตเห็นว่าเสียงพูดของเปลวอรุณเริ่มแผ่วลง

   “พูดออกมาสิเปลว งะ เปลว!!”

   แน่นอนว่าคนที่อดนอนมาหลายคืนพอมาเจอแรงเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอนแบบนี้ต่อให้แข็งแรงขนาดไหนก็ไม่แคล้วจะหน้ามืดเป็นลมลงได้เหมือนกัน

   “เปลว เปลว”

   คนอามรณ์ร้อนเมื่อครู่ร้องเสียงหลงกับสภาพคอพับคออ่อนของเปลวอรุณที่อยู่ๆก็ไร้เรี่ยวแรงจะทรงตัวทรุดลงไป อัมรินทร์เปลี่ยนมือที่จับต้นแขนทั้งสองข้างเป็นโอบรวบไหล่ของอีกคนเอาไว้แน่น

   “เปลว ตื่นสิ เปลว”

   อัมรินทร์พยายามตบเข้าที่แก้มซีดขาวอยู่หลายครั้งเพื่อเรียกสติแต่ก็เท่านั้น เพราะไม่ว่าจะทำยังไงเปลวอรุณก็ไร้ซึ่งการตอบสนองกลับ เขาจึงตัดสนใจปลดเนคไทสีอ่อนออกพร้อมปลดกระดุมเสื้อด้านในออกเพื่อลดความอึดอัดให้หายใจได้สะดวกขึ้นแล้วรีบช้อนแขนเข้าที่ข้อพับขาอุ้นอีกคนนที่ตัวเบากว่าที่เคยขึ้นอุ้มแล้วผลักประตูห้องประชุมออกอย่างแรง

   “ว้าย!”

   เสียงตกใจของกลุ่มพนักงานสาวสามคนที่ยืนแอบฟังกันอยู่หน้าประตูห้องร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ๆคนด้านในก็ผลักบานประตูออกมาอย่างแรงไม่ทันได้ตั้งตัว

   “เกิดอะไรขึ้นคะ” หนึ่งในสามของกลุ่มที่ประคองสติตัวเองได้ดีที่สุดทักขึ้นทันทีเมื่อสายตาของหล่อนโฟกัสไปยังคนในอ้อมแขนของรองประธานหนุ่ม

   “เปลวเป็นลม ใครมียาดมบ้าง” แม้อยากจะตำหนิพวกหล่อนที่คิดแอบฟังเรื่องส่วนตัวของเจ้านายมากแค่ไหนแต่ตอนนี้ความเป้นห่วงคนในอ้อมแขนของเขาสำคัญมากกว่าเรื่องไร้สาระที่ว่านั้นมาก

   “ดิฉันมีค่ะ” ผู้หญิงที่อยู่ถัดออกไปพูดขึ้นพร้อมกระเป๋าถือใบเล็กที่ถูกเปิดออกก่อนที่ยาดมหลอดสีขาวจะถูกยื่นมาใกล้บริเวณจมูกของเปลวอรุณ

   “หน้าคุณเปลวซีดมากเลยนะคะท่านรอง รีบพาคุณเขาไปโรงพยาบาลจะดีกว่าไหมคะ” เธอพูดอย่างเป็นกังวลหลังจากเข้ามามองใบหน้าของเลขาท่านรองใกล้ๆ อีกทั้งวันนี้คนดูแลห้องพยาบาลของบริษัทก็ลาคลอดด้วยคงไม่มีใครที่รู้เรื่องพวกนี้ดูแลได้อย่างถูกทาง

   อัมรินทร์เห็นด้วยกับคำพูดนั้นของหญิงสาว ชายหนุ่มหันไปสั่งให้หนึ่งในผู้หญิงกลุ่มนั้นให้โทรเรียกรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ใกล้จากที่นี้ให้รีบมารับ เพราะถ้าจะให้เขาย้อนกลับเข้าไปที่ห้องทำงานเอากุญแจรถออกมาคงไม่ทันการแน่
   เสียงส้นรองเท้าหนังขัดมันดังก้องไปตามทางที่สองขายาวของรองประธานหนุ่มก้าวผ่านอย่างรีบร้อนเรียกสายตาอยากรู้ระคมแปลกใจของพนักงานที่เดินผ่านไปมาคงต้องขอบคุณกลุ่มสาวๆทั้งสามที่ค่อยวิ่งตามขาลงมาจากข้างบนคอยเคลียร์ทางกันผู้คนให้ไม่ให้เข้ามาใกล้จนตอนนี้ที่ยิ่งใกล้ถึงประตูทางออกมากเท่าไรจากการจ้ำก้าวตั้งแต่ตอนแรกก็แทบจะเปลี่ยนเป็นวิ่งแทนเสียให้ได้ตามใจที่ร้อนรุ่มหากไม่ติดว่ามีใครคนหนึ่งอิงซบอยู่ที่อกจะกระทบกระเทือนมากไปกว่านี้

   “ท่านรองค่ะ แอมบูแลนซ์มาถึงแล้วค่ะ”

   เสียงของหนึ่งในพนักงานสาวกลลุ่มนั้นที่วิ่งล่วงหน้าออกมาก่อนตะโกนกลับเข้ามาพร้อมกับเสียงวอฉุกเฉินของรถตู้พยาบาลคันใหญ่สีขาวที่ขับเข้ามาจอกข้างที่ด้านหน้าของประตูอย่างรวดเร็ว

   อย่าเป็นอะไรไปนะเปลว...




   “อาการของคนไข้ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงมากหรอกครับ แค่อาการของคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอที่อาจมาจากเรื่องของความเครียดสะสมทำให้ความดันในร่างกายลดต่ำลงตอนนี้หมอให้ยานอนหลับแบบอ่อนไปตื่นขึ้นมาเมื่อไรก็สามารถกลับไปพักผ่อนต่อที่บ้านได้แล้วละครับ แต่ว่าหมอขอแนะนำว่าช่วงนี้อย่าให้คนไข้เครียดอีกนะครับเดี๋ยวอาการจะทรุดแล้วล้มป่วยเอา”

   น้ำเสียงใจดีของนายแพทย์วัยใกล้เกษียณร่างท้วมขาวบอกถึงผลตรวจที่ได้ก่อนจะขอตัวออกจากห้องไป อัมรินทร์ยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะล้วงมือลงหยิบของส่วนตัวสิ่งเดียวที่เขาพกติดตัวอยู่ในตอนนี้ออกกมากดโทรออกหาญาติสนิทเพียงคนเดียวของตนให้เข้าไปเอามาหาที่โรงพยาบาลแห่งนี้เพราะนอกจากโทรศัพท์มือถือส่วนตัวเครื่องนี้แล้วเขากับเปลวอรุณไม่มีอะไรติดตัวออกมาจากที่บริษัทเลยสักอย่าง ยิ่งเงินค่าห้องพักกับค่าตรวจด้วยแล้วลืมไปได้เลย....

   อัมรินทร์ใช้เวลาพูดคุยกับอนิรุทธิ์ครู่หนึ่งก่อนเก็บเจ้าเครื่องมือสื่อสารของตัวเองลงกลับไปที่เดิมในกระเป๋าด้านในของเสื้อสูทตัวนอกแล้วทรุดกายลงที่เก้าอี้ข้างเตียงจ้องมองใบหน้าขาวที่เริ่มดูดีขึ้นหลังจากได้นอนหลับสนิทหากแต่ร่างกายที่ช่วงดูจะซูบลงไปบ้างแต่ก็ดูไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร

   ว่าแต่...

   เปลวอรุณอ่อนแอขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน...

   คนที่ต่อให้ว่างขนาดไหนก็ที่จะไม่เคยลาพักร้อนหรือป่วยไข้จนต้องลาหยุดเลยสักครั้งแต่กลับเป็นลมล้มพับต่อหน้าต่อตาเขาถึงสองครั้งภายในเวลาไม่ถึงเดือนแบบนี้หรือมันจะเป็นเพราะเขาที่ทำให้อีกคนมานอนอยู่ที่นี้ แต่ถึงลึกๆจะน้อมรับความผิดที่ว่าอยู่แล้วก็เถอะแต่อัมรินทร์ก็เลือกที่จะสะบัดหน้าไล่ความคิดเรื่องนี้ให้ออกจากหัวของเขาไปก่อนจะกลับมาจ้องมองคนบนเตียงอีกครั้งพร้อมความคิดอีกอย่าง

   และเรื่องที่ว่าก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ทำให้เขาเผลอใส่อารมณ์กับอีกคนไปนั้นแหละ...

   ถ้าเขาเริ่มเอะใจสักนิดกับอาการพะวักพะวงอยู่แต่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือแทบจะตลอดเวลาของเปลวอรุณสักนิดไหนจะการลาเป็นว่าเล่นของเปลวอรุณในช่วงที่ผ่านมานี้อีก  เพราะชะล่าใจคิดว่าอีกคนไม่มีใครเข้ามาสอดทุกอย่างมันถึงได้ตาลปัตรไปหมดแบบนี้ ไหนจะคำพูดซ้ำๆที่เขาได้รับจากลูกตาลยามที่เขาโทรไปถามไถ่สถานการณ์จากเด็กหนุ่ม ที่บอกเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องรามของคนบนเตียงนอนที่แม้ว่าไฟในจะดับลงเหลือแต่เพียงแสงสลั่วๆของโครมไฟเล็กๆสีส้มนวลในห้องแต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้เห็นเงาของคนในห้องผ่านร่องใต้ประตูที่วูบไหวไปมาได้อย่างชัดเจน

   “แม่เปลวไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมนอน”

   ซึ่งเรื่องที่ลูกตาลเล่ามาเขาก็พอที่จะเดาได้ว่าเปลวอรุณทำอะไร เจ้าตัวคงไม่อยากจะให้ลูกชายวัยรุ่นต้องเป็นห่วงถึงได้ทำแบบนั้น แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้เขานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างนี้แน่

   “เหมือนว่าแม่เปลวกำลังพยายามโทรหาใครสักคนอยู่”

   คำบอกเล่าสั้นๆนี้ต่างหากที่ไม่ว่าเขาจะโทรไปสักกี่ครั้งลูกตาลก็จะบอกให้เขาได้รู้ทุกครั้งเช่นกัน...

   ม่านตาของอัมรินทร์หรี่ลงยามจ้องมองใบหน้านวล เพราะความหลงระเริงในสิ่งที่ที่อยู่ตรงหน้ามากจนเกินไปเลยทำให้มันมาบดบังสิ่งเล็กๆอย่างเรื่องนี้ไปได้

   “ไม่ ผมเองก็ไม่รู้นะว่าแม่เปลวโทรหาใคร พอถามก็ไม่ตอบแค่ยิ้มแล้วเดินหนี”

          ไม่มีใครรู้ว่าคนที่เปลวอรุณต้องการโทรหาเป็นใคร ขนาดว่าเขาให้ลูกตาลแอบดูรายการโทรเข้าออกของอีกคนแต่นอกจากจะไม่ขึ้นชื่อว่าเป็นใครแล้วหมายเลขดังกล่าวยังเป็นเบอร์ล็อคที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถติดต่อได้หากไม่ใช่เบอร์ที่ถูกเชื่อมเอาไว้

           คนในความลับ...

           ชื่อนี้น่าจะเหมาะแมวขโมยที่กำลังจะทำแผนเขาพังไม่เป็นท่า เมื่อไรก็ตามที่อีกฝ่ายรับสายของเปลวอรุณเมื่อนั้นก็เท่ากับว่าแผนทุกอย่างที่เขาวางเอาไว้จะไม่มีความหมายอีกต่อไป ซึ่งเขาไม่มีทางยอมให้มันเกิดขึ้นแน่ๆ
เขาต้องหาวิธีจัดการกับตัวปัญหานั้นให้ได้...

            อัมรินทร์หมายหมั่นอยู่ในใจและไม่รอให้ความคิดที่ว่าหายไปโทรศัพท์เครื่องขาวต่างยี่ห้อกับเขาของเปลวอรุณที่วางอยู่บนตู้เล็กของเตียงก็ถูกมือของเขาคว้าเอามาครอง

            เพราะไร้การป้อนรหัสป้องกันใดมันจึงเป็นเรื่องง่ายที่คนนอกอย่างเขาจะเข้ามาสอดส่อง

           สังคมออนไลน์ของเปลวอรุณมีอยู่ไม่กี่ช่องทางนอกจากแอปพลิเคชั่นดังๆที่กำลังเป็นที่นิยมสี่ห้าอย่างแล้วก็แทบจะไม่มีอะไรในเครื่องเสียเท่าไร เบอร์โทรติดต่อก็เป็นคนรู้จักของเจ้าตัวเป็นส่วนใหญ่แต่เบอร์ที่อีกคนโทรหาบ่อยที่สุดในเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีแค่เบอร์เดียว

           เบอร์ล็อคที่ลูกตาลเคยบอก...

           จากบันทึกการโทรดูเหมือนว่าเปลวอรุณจะกดโทรออกมันแทบจะทุกครึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ
ความโกรธที่หาสาเหตุไม่ได้เดือดดันจนแน่นคับอดยามที่ปลายนิ้วของคนชั่งอยากรู้ปัดไล่ไปตามหน้าจอ ข้อความหรือบนสนทนาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเบอร์นี้จะถูกเข้ารหัสเอาไว้ทั้งหมดทำให้เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าเบื่อหลังด่านสกัดกั้นเปลวอรุณกับใครคนนั้นพูดคุยอะไรกัน

          แค่คิดว่าใครอื่นที่ได้ใกล้ชิดเปลวอรุณมากกว่าเขา มันยอมไม่ได้...

          เขาหมายตามองเปลวอรุณมานาน นานจนแน่ใจว่าเปลวอรุณไร้ใครข้างกายแล้วแท้ๆแล้วมันเป็นใคร!?
มันเป็นใคร...

   ยังมีใครที่คิดจะลงแข่งแย่งเอาคนตรงหน้าไปจากเขาอีก...

   ความเดือดดาดเลือกให้อัมรินทร์เลือกระบายความโทสะของตนออกมาโดยการบีบโทรศัพท์เจ้าปัญญาหานั้นแน่นจนข้อต่อขาวฝ่ามือสั่น

ก๊อก ก๊อก

   เสียงเคาะที่บานประตูดังเรียกสติของเขาให้กลับมาอีกครั้ง อัมรินทร์เหลือบมองคนบนเตียงให้แน่ใจว่ายังหลับอยู่แล้ววางโทรศัพท์ลงกลับที่เดิมของมันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ถือวิสาสะเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้ามาใหม่

   “ไงมึง”

   อนิรุทธิ์โผล่หน้าเข้ามาในห้องเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยทักพร้อมยกมือให้น้องชายที่นั่งหน้าขรึมอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยที่ปล่อยบรรยากาศไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรออกมา

   “ไมทำหน้าเครียดอย่างนั้นวะ หมอบอกว่าคุณเลขามึงอาการหนักหรอ” อนิรุทธิ์ถามขึ้นเพลางก้าวเข้ามาใกล้เตียงผู้ป่วยชะโงกมองดูคนบนเตียงเล็กน้อย แต่พอไม่เห็นว่าเปลวอรุณจะมีอาการแย่อะไรอย่างที่ตนเข้าใจชายหนุ่มจึงหันกลับมามองหน้าคนเฝ้าที่นั่งหน้าบ่อบุญไม่รับอย่างสงสัย

   “เปล่า มึงเบาๆหน่อยได้ไหมไม่เห็นหรือไงว่าเปลวกำลังหลับอยู่” อัมรินทร์ตอบอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรจนอนิรุทธิ์ต้องรีบยกมือขึ้นตะครุบปากตัวเอง

   “กูไม่ได้เสียงดังนะ” ก่อนจะพูดออกมาเสียงเบา

   อัมรินทร์ไม่ตอบอะไรนอกจากลุกขึ้นยืนกระชับผ้าห่มให้คนที่นอนก่อนจะเดินผ่านอนิรุทธิ์ไปทางประตูพร้อมกับสายตาประมาณว่าให้ตามตนออกมา แม้จะไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากแต่อนิรุทธิ์ก็ยอมที่จะเดินตามน้องชายของตนออกไปอย่างง่ายดายโดยไม่คิดถาม

    อนิรุทธิ์เดินตามอีกคนจนมาหยุดอยู่ที่มุมพักผ่อนส่วนกลางสำหรับญาติผู้ป่วยที่มาเฝ้าหรือตัวผู้ป่วยเองที่อยากออกมาเปลี่ยนบรรยากาศพูดคุยหรือพบปะคนห้องใกล้ที่ตอนนี้ว่างเปล่าไร้สังคมของการพบปะมีแต่พวกเขาสองคนที่แยกกันนั่งลงบนโซฟาเล็กขนาดสองเบาะคนละตัว

   “มึงพากูออกมานี้ทำไมวะ” อนิรุทธิ์เปิดปากถามขึ้น

   “เพราะมึงเสียงดัง”

   “ไม่จริง” เขาเถียง

   อัมรินทร์ไม่คิดต่อล่อต่อเถียงอะไรเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์เครื่องเดิมของตนจนคนถูกเรียกมาได้แต่กรอกตาไปมาก่อนจะเปลี่ยนคำถามใหม่

   “ทำไมอยู่ดีเลขามึงถึงได้ล้มหมอนนอนเสื่ออยู่อย่างนั้น” และได้ผล นิ้วมือของอัมรินทร์นิ่งค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะกดพิมพ์บางอย่างที่หน้าจอต่ออีกสักพังก่อนจะเก็บลงที่เดิมซึ่งถ้าให้อนิรุทธิ์เดาคนตรงหน้าคงกำลังสั่งงานกับใครสั่งคนในบริษัทอยู่แน่

   ก็ไอ้นี้มันบ้างานเหมือนกันนิ...

    “ก็เรื่องหนี้นั้นแหละ” อัมรินทร์ตอบเสียงเรียบ

   ผู้อำนวยการหนุ่มทำหน้าประมาณว่า ว่าแล้ว ใส่หลังได้รับคำตอบจากน้องชาย

   “เปลวไม่ยอมรับเงินที่กูจะให้เขา” เสียงราบนิ่งนั้นเจือเต็มไปด้วยความไม่พอใจกลายๆ

   “อะไรนะ” แต่คำตอบง่ายๆนั้นกลับทำเอาอนิรุทธิ์อุทานตาโตอย่างไม่อยากเหลือเชื่อ

         ยิ่งอัมรินทร์พยักหน้ารับแทนคำตอบด้วยแล้วเขาก็ยิ่งหมดคำใดจะพูดออกมาเพราะมันเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากในสมัยนี้ที่จะมีใครสักคนคิดลงมือพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยตัวเองแล้วปฏิเสธความช่วยเหลือแสนสบายแบบนี้ทิ้ง

   “และมันไม่ใช่แค่นี้ใช่ไหม” เพราะถ้าแค่นี้คนอย่างอัมรินทร์ไม่มานั่งทำหน้าเครียดอาฆาตเหมือนจะฆ่าจะแกงใครแบบนี้แน่มันจะต้องมี อะไรที่มากกว่านั้นที่เขายังไม่รู้อีกแน่

   อัมรินทร์ปลายตามองคนที่ยิงคำถามที่คล้ายจะยิ่งสุทให้กองไฟในอกลุกโชยเพิ่มขึ้นอย่างจนเผลอเอาปลายลิ้นดุนกระพุงแก้มด้านล่างไปมาอย่างเคยตัวยิ่งเสริมให้คำตอบที่อีกคนคิดเป็นจริง

   “เฮ้ย! มันเกิดอะไรขึ้นวะ” อนิรุทธิ์โผงถามขึ้น

   “ปัญหานิดหน่อย” เจ้าตัวว่าปัดเหมือนไม่อยากจะพูดถึงมันเท่าไรให้รำคาญใจ

   “ไม่นิดแล้วมั่ง มึงเล่ามาช่วงที่กูยุ่งๆอยู่มันเกิดอะไรที่กูยังไม่รู้บ้าง” อนิรุทธิ์ถามเสียงเข้ม ตั้งแต่รู้ว่าอัมรินทร์ได้ลูกชายบุญธรรมของเปลวอรุณมาเป็นพวกด้วยเขาก็ไม่ได้ตามเรื่องของอีกฝ่ายเท่าไรเนื่องด้วยช่วงนี้โรงเรียนของเขากำลังอยู่ในช่วงประเมินการสอนของบรรดาครูเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเข้ารับการประเมินโรงเรียนในการแข่งขันระดับประเทศเขาจึงยุ่งแทบจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลยกลายเป็นว่าเขาพลาดเรื่องสำคัญอะไรไปเสียอย่างนั้น...

   “เปลวพยายามติดต่อใครบางคนอยู่”  อัมรินทร์ก็เปิดปากพูดขึ้น แม้จะดูไม่ค่อยจะเต็มใจที่จะเอ่ยมันออกมาก็เถอะ

   “ใคร”

   “กูไม่รู้ ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นใคร แต่เพราะมันนี้แหละที่จะทำให้ทุกอย่างที่กูทำมาทั้งหมดพัง!”

         ความเกรี้ยวกราดของอัมรินทร์ไม่เพียงแต่ถูกแสดงออกมาจากทางสีหน้าแววตาและน้ำเสียงที่ดังกว่าปกติเท่านั้นแต่ยังรวมถึงฝ่ามือหนาที่ตบลงที่โต๊ะกระจกเล็กตรงหน้าเสียงดังก้องทั่วทางเดินโล่ง

    “ใจเย็นก่อนดิวะ” อนิรุทธิ์ต้องรีบปรามน้องชายตัวเองที่ส่งเสียงดังจนอาจรบกวนการพักผ่อนของคนไข้ที่อยู่ห้องใกล้เคียงหรืออาจทำให้ใครมาได้ยินการสนทนานี้เข้า

         “เย็นหรอ มึงยังจะให้กูเย็นได้อีกหรอวะ”  คนที่มากด้วยความเดือดดาดกระชากเสียงห้วนใส่

   ของที่อยากได้ หมายตามานาน ประคบประงมอย่างดีอยู่ๆกำลังจะถูกชุบมือเปิบไปแบบนี้มีใครที่ไหนเขาจะทนได้กัน...

   “ถึงตอนนี้มันจะยังไม่รับสายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีรับสาย ยิ่งมันเป็นคนที่เปลวฝากความหวังเอาไว้ด้วยแบบนี้กูเชื่อว่ามันต้องสามารถหาเงินร้อยล้านมาให้เปลวได้ภายในหนึ่งวันแน่”  เขาเชื่ออย่างที่ปากว่าจริง

   แผ่นอกหนากระเพื่อมขึ้นลงมาแรงหอมหายใจหลังจากที่อัมรินทร์ระเบิดอารมณ์ออกมาเสียงดัง ตอนนี้ต่อให้พยาบาลที่นั่งอยู่ตรงเคาร์เตอร์ด้านหน้าเดินมาว่าเขาที่ทำเสียดังรบกวนคนไข้คนอื่นหรือโดยญาติคนไข้ออกมาด่าเขาก็ไม่สน

   เขาไม่สนอะไรทั้งนั้น...

     เปลวอรุณต้องเป็นของเขา...

         คำนี้เขาท่องเอาไว้จนจำขึ้นใจมาตั้งแต่นาทีแรกที่เจอและไอ้หน้าไหนก็ห้ามยุ่งกับของของเขา...

         อนิรุทธิ์มองท่าทีแสนเกรี้ยวกราดกว่าปกติของน้องชายอย่างจับผิด จะบอกว่ากลัวแผนตัวเองพักก็ไม่น่าจะโกรธเกรี้ยวได้มากขนาดนี้หรือจะบอกว่าเสียหน้ากันหรือก็ไม่น่าใช่

           หรือว่า...

           “ถ้าแผนมึงมันจะพังขึ้นมาจริง มึงก็แค่หาแผนใหม่ก็ได้ไม่ใช่หรือไง” อนิรุทธิ์ถามกลับ

           “ไม่!” อัมรินทร์ตอบกลับเสียงดังทันควันเช่นกัน

           “กูรอเปลวมาสามปีและกูจะไม่ทนรออะไรอีกแล้ว”

           “แต่มึงไม่ได้เตรียมรับมือกับเรื่องนี้ไว้ไม่ใช่หรือไง” อีกคนแย้ง

            “มันต้องมีทาง”อัมรินทร์เสยผมของตนอย่างแรง ถึงจะไม่ค่อยอยากจะยอมรับก็เถอะแต่เขาก็ยังไม่คิดเหมือนกันว่าจะทำยังไงเหมือนกัน แต่ไม่ทันที่จะมีใครได้เอ่ยอะไรที่พอจะเป็นแสงส่องทางในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามความต้องการนี้ เสียงหวานใสของคนคุ้นหน้าก็ดังขึ้น

           “ถ้าอย่างนั้นให้ลิลช่วยไหมละคะ”

            !!

_________________________________________________________

กลับมาแล้วคร้าาาาาาาา

I'm back !


หนึ่งเดือนเต็มกับการหายไปอยากจะบอกทุกคนว่า สอบเสร็จ แล้วคร้า

(จริงๆสอบเสร็จตั้งแต่วันที่15แล้ว :hao7:)

ขอสารภาพเลยว่าแอบอู้แบบสุดๆ พอสอบเสร็จก็ขี้เกียดตัวเป็นขนนอนโง่ๆอยู่แต่บนเตียง

แต่ตอนนี้

เราเอาพี่เปลวกับน้องอันอันมาส่งละเด้อ


ออฟไลน์ rmlab

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1679
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-2
 ฮือ ทุกคนรุมเปลว สู้ๆ นะเปลว

ออฟไลน์ rmlab

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1679
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-2
สู้ๆ นะเปลว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
    พล็อตเรื่องน่าอ่าน ชอบความสัมพันธ์ของเปลวกับอันมากค่ะ    แต่อ่านแล้วงงๆ หลายจุด  เหตุผลที่เปลวไม่ไล่พิมพาไป และในเมื่อพิมพาไม่ใช่เจ้าของบ้านตัวจริงนี่คะ เจ้าหนี้ยึดไม่ได้นะคะ จบก.ม.มาเลยอินไปหน่อย  (หลักกฎหมาย : การจะนำโฉนดที่ดินไปจดทะเบียนจำนองได้  เจ้าของต้องยินยอมคือลงลายมือชื่อในเอกสารให้ความยินยอม  ไม่ทราบข้อเท็จจริงว่า พิมพาได้นำโฉนดที่ดินไปให้เฉยๆหรือเปล่า อันนี้ยิ่งไม่ถือว่าเป็นการจำนอง เพราะอสังหาริมทรัพย์อย่างบ้านและที่ดินต้องจดทะเบียนจำนอง เพราะฉะนั้นยิ่งยึดไม่ได้)  น่าจะแก้เป็นพ่อของเปลวเป็นเจ้าของบ้านก่อนตายแอบเอาโฉนดไปจำนองเป็นหลักค้ำประกันเงินกู้ให้พิมพาน่าจะสมเหตุสมผลมากกว่านะคะ 


สู้ๆนะคะ  เข้าใจว่าเป็นมือใหม่หัดแต่ง ความพยายามความตั้งใต สำนวนดีและคำผิดไม่ค่อยเห็นเลย  ชื่นชมและติดตามนะคะ

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ทุกคนใจร้ายมากอะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :hao5:


แอบสงสารเปลว

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เป็นหนี้ ครั้งที่ 10



            เสียงหวานใสที่เต็มไปด้วยความรู้สึกนึกสนุกดังขึ้นพร้อมกับร่างเพรียวระหงส์ของนักออกแบบเครื่องประดับสาวสวยจะปรากฏให้เห็นที่ขอบมุมกำแพง

                      ลิลดา...

            อัมรินรทร์ชะงักเมื่อเจ้าของเสียงแสนคุ้นหูนั้นหาใช่คนอื่นไกลห่างตัวเขาเลยแม้แต่น้อย และเพราะคุ้นเคยกันมานานเลยทำให้เขาถึงกับทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกับอนิรุทธิ์ที่ยังคงตกใจที่มีใครอื่นมาได้ยินการพูดคุยของพวกเขาโดยไม่ทันตั้งตัวจนนึกกลบด่าในใจถึงความสะเพร่าของตนที่เผลอเลอปล่อยให้คนนอกรู้เรื่อง

              “ว่าไงคะ พอจะมีอะไรให้ลิลช่วยหรือเปล่า” รอยยิ้มหวานกับแววตาพราวระยับอย่างเจ้าเล่ห์ที่ฉายชัดอยู่ในนัยน์ตาคู่สวยนั้นทำเอาสองหนุ่มคิดหนักกับคำถามที่ถูกถามย้ำออกมาจากริมฝีปากสีสด

              “ทำไมลิลถึงมาอยู่ที่นี้” อัมรินทร์ไม่ตอบแต่กลับตั้งคำถามขึ้นมาใหม่แทน

              “นี้มึงรู้จักเธอด้วยหรอไอ้อัน” อนิรุทธิ์ยกมือขึ้นชี้ไปมาระหว่างคงสองคนพร้อมมองหน้าสลับไปมาอย่างสงสัย

              “ใช่” อัมรินทร์ตอบอนิรุทธิ์ก่อนที่จะหันมาถามหญิงสาวตรงหน้าต่อ

              “แล้วลิลมาทำอะไรที่นี้ ไหนว่ามีธุระด่วนไม่ใช่หรอ”

              “ก็นี้ไงค่ะ ธุระด่วนที่ลิลว่า” เจ้าหล่อนตอบพลางชี้ไปทางประตูห้องพักผู้ป่วยที่อยู่ห่างออกไปสองสามห้องจากจุดที่พวกตนยืนกันอยู่ให้สองหนุ่มได้รับรู้

              “คือเพื่อนของลิลถูกรถชนนะคะ พอดีว่าเธอเพิ่งมาจากต่างประเทศเลยไม่รู้จักใครเลยนอกจากลิล สายด่วนที่โทรเข้ามาตอนประชุมยังไงละ” ลิลดาบอก

              อัมรินทร์พยักหน้ารับ เพราะสายด่วนที่เธอว่าคือเรื่องจริงเมื่อเช้าพวกเขามีประชุมกันเรื่องธีมงานของคอลเลคชั่นของซีซั่นนี้รวมถึงจำนวนที่จะนำออกแสดง ราคา นางแบบ แต่ทุกอย่างก็ต้องถูกพับลงเมื่อเบอร์โทรฉุกเฉินจากทางโรงพยาบาลต่อสายตรงเข้ามาหาดีไซเนอร์สาวจนต้องขอตัวออกไปก่อนกลางคัน

              “แล้ว ลิลมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร” อัมรินทร์ปรับสีหน้าให้เครียดขึ้นเมื่อเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอดีตคู่ขาสาวตรงหน้ารู้เรื่องที่พวกคุยกันมากน้อยขนาดไหน

              “ก็ตั้งแต่ที่อันบอกว่า ไม่รู้ว่ามันเป็น แล้วก็ เพราะมันที่จะทำให้แผนของอันพัง นี้แหละ” ลิลดายกนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ปลายคางเหลือบตาขึ้นสูงเหมือนกำลังพยายามใช้ความคิดขณะที่พูดมันออกมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูเจ้าเล่ห์ในคำถามตอนท้าย

              “ว่าแต่ แผนของอันนี้คืออะไรกันงั้นหรอ”

            ชายหนุ่มสองพี่น้องมองหน้ากันเครียด สิ่งที่ลิลดารับรู้คือทั้งหมดที่พวกเขาพูดกันและการถามกลับมาแบบนี้ก็เหมือนเป็นการผลักพวกเขาให้ตกลงหลุมที่ขุดเอาไว้ไล่ให้พวกเขาจนในคำตอบที่มันถูกคลายออกมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

              “ว่าไงเอ๋ย? ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับคุณเปลวที่เป็นเลขาของอันด้วยนิ ถ้าลิลไปถามเจ้าตัวเองเลยจะเป็นอะไรไหมน่า” หญิงสาวทำเสียงหยอกเย้าเพื่อหวังยั่วยุอารมณ์พลางเดินเข้ามาใกล้ ในขณะที่อัมรินทร์เลือกที่จะนิ่งเงียบเพื่อประเมินถึงสถานการณ์ตรงหน้า

              ไม่บ่อยนักหรอกที่จะมีใครสามารถไล่ต้อนหมาป่าเจ้าเล่ห์อย่างอัมรินทร์ให้จนมุมได้แบบหลังชนฝาขนาดนี้ ไม่สิ ต้องบอกว่ามันไม่เคยมีเลยต่างหาก ไหนๆพระเจ้าก็เข้าข้างเธอขนาดนี้แล้วก็ขอแกล้งให้หนำใจหน่อยแล้วกัน

              แต่ดูเหมือนว่าเธอจะคิดผิด....

              “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ” เมื่อเห็นว่าอัมรินทร์ไม่คิดที่จะพูดอะไรออกมาอนิรุทธิ์จึงโผ่งขึ้นมาดื้อๆ ขัดไม่ให้ผู้หญิงแปลกหน้าในสายตาของตนไล่ต้อนน้องชายเขาไปมากกว่านี้

              เสียงลงส้นของรองเท้าส้นสูงสีดำที่ก้าวเข้ามาเพื่อใกล้อัมรินทร์หยุดนิ่งลง ใบหน้าสวยหวานของลิลดาผละออกห่างจากอัมรินท์ไปหันมองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มแปลกหน้าที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันมาแทน  นัยน์ตาสีเปลือกไม้เข้มกวาดมองพิจารณาบุคคลที่สามอย่างสำรวจไล่มาตั้งแต่ผมทรงอันเดอร์คัตที่ถูกจัดเซ็ตมาเป็นอย่างดีไรหนวดสีเข้มตามกรอบหน้าคมได้รูปถูกตัดแต่งให้ไม่ดูรกแต่ยิ่งเพิ่มเสน่ห์น่าค้นหา

               ถูกใจ...

           ริมฝีปากสีลูกพีชอ่อนคลี่ยิ้มหวานพร้อมยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นสูงอย่างที่ชอบทำเวลาเจอ ใคร หรือ อะไรที่ถูกใจ และผู้ชายคนนี้ก็ถูกใจเธอใช่ย่อย

           “แล้วถ้าฉันอยากจะเกี่ยวด้วยจะได้ไหมละคะ” ลิลดาเอ่ยถามพลางไล่ปลายนิ้วเรียวบรรจงกรีดเบาๆลงกลางแผ่นอกกว้างผ่านสาบเสื้อเนื้อดี แววตาพราวเสน่ห์จ้องจดอยู่ที่ใบหน้าของอนิรุทธิ์แทบไม่วางตา

           คนที่อยู่ๆก็ตกเป็นเป้าของนักล่าสาวอย่างไม่ทันตั้งตัวเริ่มจะทำอะไรไม่ถูกยิ่งสายตาที่มองมาทำเอารู้สึกร้อนๆหนาวๆไปหมดจนเหมือนจะเป็นไข้ไม่สบายเลยทำได้เพียงแค่ดันมือเรียวนุ่มนั้นออกไปด้านข้างอย่างรักษามารยาทแทน

           “ฉะ ฉันไม่ใช่คนที่จะตัดสินเรื่องนี้สักหน่อย” อนิรุทธิ์พูดกระท่อนกระแท่น ผิวหน้าสีเข้มขึ้นสีเล็กน้อยพอให้รู้ว่าเจ้าตัวรู้สึกกระด้างอายกับการสัมผัสถึงเนื้อถึงตัวเช่นนั้นของหญิงสาว

           ลิลดาหรี่ตามองอากัปกิริยาที่ดูขัดเขินเกินตัวของชายหนุ่มแล้วอดฉุดใจคิดบางอย่างไม่ได้จนต้องหันไปหาอัมรินทร์เพื่อของคำเฉย และเหมือนรู้กันอัมรินทร์ที่เปลี่ยนตัวมาเป็นคนดูอยู่ข้างสนามยกมือขึ้นปิดปากกั้นไม่ให้ใครได้เห็นรอยยิ้มร้ายก่อนจะยักคิ้วแทนคำตอบนั้นกลับไปให้หญิงสาวทำตาโตอย่างเหลือเชื่อกับเรื่องตรงหน้า

           เรื่องที่หลายคนไม่เคยรู้เกี่ยวกับความเป็นจริงภายใต้ภาพลักษณ์ดิบเถื่อนแต่ดูดีน่าค้นหาแบบเพลย์บอยหนุ่มของอนิรุทธิ์นั้นจริงแท้จริงแล้วใครเล่าจะรู้ว่าชายหนุ่มนั้นแสนอ่อนต่อโลกโลกีย์นี้ขนาดไหน

            บอกไปใครมันจะเชื่อ....
 
           “อะแฮ่ม” เหมือนรู้ว่าตัวเองกำลังถูกนินทาทางสายตาชายหนุ่มจึงแกล้มกะแอ้มไอขึ้นมาเพื่อเรียกให้คนทั้งคู่หันกลับมาสนใจเรื่องตรงหน้า

           “ผมไม่รู้ว่าคุณได้ยินอะไรไปบ้าง แต่ผมขอบอกเลยว่าเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับคุณลืมๆมันไปสะ” อนิรุทธิ์ปรับเสียงดึงหน้าให้ตึงเพื่อหวังขู่อีกฝ่ายให้กลัว

           “แต่ฉันว่าให้ลิลมาช่วยอีกแรงก็น่าจะดีเหมือนกันนะ” แต่ดูเหมือนว่าอัมรินทร์จะไม่ได้เห็นด้วยกับพี่ชายตัวเองเสียเท่าไร

           “ไอ้อัน”

            “ทำไมวะ ตอนนี้กูกำลังเจอทางตันนะเว้ยมึงเองก็ช่วยกูไม่ได้กูก็ต้องหาใครสักคนที่จะมาช่วยคิดแผนสำรองให้กูสิ” อัมรินทร์ยกเรื่องที่พูดคุยกันก่อนหน้าขึ้นมาอ้าง แม้จริงๆแล้วตนจะไม่ได้หวังจะเอาลิลดามาเป็นคนช่วยคิดแผนจริงอย่างปากว่าก็ตาม

            ก็แค่เอามาทำอย่างอื่นเฉยๆ....

            “แต่คนมันชักจะเยอะเกินไปแล้วนะเว้ย” อนิรุทธิ์ดูจะไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่อยู่ๆอัมรินทร์ก็ดึงคนนอกเข้ามาร่วมวงเพิ่มแบบนี้

            ยิ่งคนรู้มากมันก็ยิ่งเสี่ยงไม่ใช่หรือไง....

           “หรือมึงจะเสี่ยงให้ลิลเอาเรื่องที่เราคุยกันไปบอกให้เปลวรู้ละ” อัมรินทร์ว่าดักขึ้น

            “นั้นสิ ถ้าลิลเอาเรื่องที่คุณกับอันไปบอกคุณเปลวขึ้นมาเรื่องมันจะเป็นยังไงกันนะ” เจ้าหล่อนแทรงสร้างข้อสมมุติขึ้นตามน้ำของอัมรินทร์

              “นั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ” อัมรินทร์แสร้งทำหน้าหนักใจพลางมองพี่ชายของตัวเอง

              “และเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นลิลก็ของมีส่วนร่วมด้วยคงไม่เสียหายอะไรใช่ไหมคะ” หล่อนว่าเสียงหวานให้อนิรุทธิ์

              “ถ้าเปลวรู้เรื่องตอนนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะงั้นนะเว้ยไปรุทธ์เราควรที่จะให้ลิลเข้ามาช่วยเราไง” อัมรินทร์ยกแขนขึ้นก่อนคอพี่ชายของตนคล้ายจะเป็นการเสนอแต่ดูยังไงมันก็เป็นการมัดมือชกกันชัดๆในความคิดของอนิรุทธิ์

              “แล้วแต่มึงเถอะ เรื่องของมึงอยู่แล้วนิ” อนิรุทธิ์ยกแขนของอีกคนออก

              “งั้นตอนนี้เราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วสินะคะ ลิลดาค่ะ” หญิงสาวแนะนำตัวพร้อมยื่นมือไปตรงหน้าอนิรุทธิ์

              “อนิรุทธิ์” เจ้าตัวตอบเสียงห้วนแต่ก็ยอมที่จะยื่นมือออกไปจับมือเรียวเล็กนุ่มนั้นตอบ

              ดูท่าว่าของตอบแทนที่อนิรุทธิ์ทวงบ่นกับเขาอยู่ทุกวันเขาจะไม่ต้องไปหาจากไหนให้เสียเวลาแล้วละ แถมยังจะได้จบปัญหาที่จะกวนใจเปลวอรุณได้อีกด้วย

              ดูท่าว่าการยิงปืนนัดนี้ได้นกหลายตัวเลยทีเดียว....

 

 

 

            หลังจากกล่อมอนิรุทธิ์ได้สำเร็จลิลดาก็ต้องเซอร์ไพรส์กับสิ่งที่ได้รู้หลังจากที่พวกเขามานั่งจับเข่าคุยกันดีๆและแน่นอนว่าเรื่องที่ทำเอาสาวเจ้าปัญญาอย่างลิลดาอึ่งตาค้างได้คงไม่ใช่เรื่องที่อนิรุทธิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของอัมรินทร์แน่เพราะมันดูเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบระยะเวลาสามปีที่อนิรุทธิ์เล่าให้ฟังถึงวีรกรรมของอัมรินทร์ที่พยายามจะพิชิตกุหลาบน้ำแข็งแสนสวยอย่างเปลวอรุณว่าเป็นเช่นไร

              คนที่ไม่ชอบรออะไรนานๆ กลับรู้จักที่รอถึงสามปี....

              คนที่ไม่เคยคิดเปลี่ยนอะไรให้ใคร กลับเลิกเที่ยวเลิกควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าเพียงเพราะใครบางคนไม่ชอบ...

              คนที่ไม่คิดที่จะพยายามเพื่อใคร กลับกำลังพยายามทุกทางให้ได้มาครอบครอง....

              นี้ไม่ใช่ อัมรินทร์ ที่เธอรู้จัก...

              ตอนแรกเธอคิดแค่ว่าอัมรินทร์แค่อยากรู้อยากลองตามประสาผู้ชายที่ชอบความท้าทายที่ยิ่งยากก็อยากเอาชนะ แต่หลังจากที่ได้ฟังที่อนิรุทธิ์เล่าและจากสิ่งที่เธอได้เห็นวันนั้นทำให้เธอเชื่อแล้วว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้คือเรื่องจริง

              เรื่องจริงที่คนเจนโลกอย่างอัมรินทร์กำลังตกม้าตาย...

              ใครมันจะคิดกันละว่าเวลาไม่กี่ปีที่เธอกันอัมรินทร์ไม่ได้เจอกันอะไรๆมันจะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้และที่แน่ๆคือคนอย่างลิลดาไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างอัมรินทร์กำลังมีความรัก ซึ่งยังเป็น ความรัก ที่เจ้าตัวยังไม่รู้ตัวด้วยแบบนี้

              ปากบอกอยากได้ แต่รู้หรือเปล่าเพราะอะไร...

              เด็กน้อยจริงๆอัมรินทร์...

              ลิลดาเดินตามหลังสองหนุ่มไปเงียบๆจมอยู่กับเรื่องราวต่างๆที่เพิ่งได้รับเข้ามาในหัวจนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่งที่อยู่อีกฝั่งของห้องพักของเพื่อนสาวจากต่างแดนของเธอที่อัมรินทร์บอกว่าเป็นห้องที่เปลวอรุณนอนพักอยู่  ลิลดายืนอยู่ข้างอนิรุทธิ์รอให้อัมรินทร์ยกมือเคาะประตูสองสามครั้งตามมารยาทเพื่อบอกเจ้าของห้องให้ได้รู้ตัวก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไป แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเข้าไปด้านในเธอก็ได้ยินเสียงเหมือนของหนักอะไรสักอย่างถูกขว้างใส่กำแพงอย่างแรง

ปึก!

            อัมรินทร์ชะงักกึกอยู่กับทีทันทีเมื่อวัตถุบางอย่างถูกขว้างผ่านหน้าของเขาไปกระแทรกเข้ากับผนังห้องอย่างแรงจนแตกเป็นเสียง นัยน์ตาที่ฉายแววตกใจมองตามสิ่งที่ว่านั้นไปก่อนจะพบว่ามันเป็นโทรศัพท์ของคนไข้เจ้าของห้องด้วยแล้วเขายิ่งตกใจหันกลับไปมองคนบนเตียงที่เป็นคนลงมือทำลายมันเอง

              “เปลว” เขาเรียกอีกคนก่อนจะตรงเขาไปหาเปลวอรุณที่หอบตัวโยงน้ำตาไหลอาบแก้ม

              “เปลวเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น” อัมรินทร์ถามขึ้นพลางรั้งคนที่ตัวสั่นไปหมดเขามากอดแล้วหันไปหาเด็กลูกตาลที่มาถึงที่ห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้อย่างหาคำตอบ แต่เด็กหนุ่มเองกลับส่ายหน้าแทน

              คล้ายเป็นความรู้สึกอย่างที่ทำให้อยู่ดีๆอนิรุทธิ์ก็นึกอยากหันไปมองหน้าสวยของลิลดาขึ้นมาถนัด ซึ่งพอหันไปก็พบว่าเจ้าหล่อนเองก็หันมาทางตนอยู่ก่อนแล้ว

              คิดเหมือนกันสินะ...

              อนิรุทธิ์คิด ชายหนุ่มก้าวออกจากจุดที่ตนยืนอยู่ตอนแรกเข้าไปก้มหยิบซากความเสียหายเมื่อครู่ที่ถูกขว้างทิ้งอย่างไม่ใยดี

              หน้าจอแบบสัมผัสแตกละเอียดจนเปิดไม่ติด เศษกระจกบงส่วนหลุดล่วงลงพื้น

              “มีเรื่องอะไรกันหรือคะ”  เป็นลิลดาที่เอ่ยขึ้นหลังจากปิดประตูห้องลงเนื่องจากว่าเป็นคนที่เข้ามาในห้องเป็นคนสุดท้าย

              แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของเธอจะไปสะกิดแผลบางอย่างในใจของเปลวอรุณเข้าอย่างจังเพราะทันทีที่สิ้นเสียงคนบนเตียงก็ดูจะร้องไห้หนักขึ้นมากกว่าเดิมจนอัมรินทร์รีบกระชับอ้อมกอดจนแทบจะจมอก

              “อย่าพึ่งถามอะไรตอนนี้น่าลิล” อัมรินทร์หันมาเอ็ดเธอเสียงดุ จนเธอหน้าม่ายต้องหลบไปยืนข้างหลังอนิรุทธิ์แทนอย่างเสียไม่ได้

              เกือบครึ่งชั่วโมงได้กว่าที่เปลวอรุณจะยอมสงบลงแล้วหลับไปอีกครั้งเพราะความเพลีย ลูกตาลจัดแจงท่านอนและผ้าห่มให้เปลวอรุณให้เรียบร้อยก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรวมกลุ่มกับผู้ใหญ่ทั้งสามที่นั่งรอเขาอยู่ก่อนหน้า

              “คราวนี้บอกได้ยังตาลว่าเกิดอะไรขึ้น” อัมรินทร์ไม่รอช้ารีบเปิดประเด็นถามขึ้นมาแทบจะทันทีโดยไม่รอให้เด็กหนุ่มนั่งลงให้เรียบร้อยก่อน ลูกตาลกวาดตามมองคนแปลกหน้ากับคนเคยเห็นหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะเปิดปากเล่า

              “ผมก็ไม่ค่อยรู้เท่าไรนะ ตอนที่ผมมาถึงแม่เปลวตื่นแล้วเรานั่งคุยกับแปบหนึ่งโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ดูแม่เปลวจะดีใจมากและถ้าให้เดาผมว่าน่าจะเป็นเบอร์นั้น”

              เบอร์นั้น...

              อัมรินทร์เผลอกำมือตัวเองแน่น

              “แล้วไงต่อ” อนิรุทธิ์ถามด้วยน้ำเสียงที่ใครก็เดาได้ว่าไม่พอใจมากขนาดไหน

              “ก็ ยังไม่ทันทีแม่เปลวจะพูดอะไรดูเหมือนทางนั้นจะพูดอะไรสักอย่างนี้แหละแม่เปลวดูตื่นๆแล้วก็อย่างที่เห็น” ลูกตาลพูดออกมาตามความที่ตนเห็น

            “แม่เปลวพยายามพูดอะไรนี้แหละแต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่เปิดโอกาสให้พูด และคงจะพูดแรงน่าดู”

              ยอมรับเลยว่าตอนที่เห็นแม่บุญธรรมของตัวเองโกรธจนสั่นไปทั้งตัวแถมร้องไห้ออกมาอีกบอกเลยว่าเขาเผลอร้อง เฮ้ย ออกมาเบาๆอย่างตกใจเลย ยิ่งตอนที่อีกคนปาโทรศัพท์ใส่กำแพงนั้นอีกบอกเลยวามันเหมือนความคาดหมายของเขาเป็นอย่างมาก เพราะตลอดเวลาที่รู้จักกันมาแม่เปลวของเขาเป็นคนที่เก็บอารมณ์ได้ดีมาก มากถึงมากที่สุดเลยแหละ...

              “แสดงว่าทางนั้นปฏิเสธที่จะช่วยเหลือสินะ” ลิลดาสรุปการคาดเดาของเธออกมา

              “นี้เจ๊แกก็รู้เรื่องด้วยหรอ” ลูกตาลหันหน้าไปทางอัมรินทร์พร้อมชี้ไปทางหญิงสาวคนเดียวในวงสนทนา

              “ก็เพิ่งรู้เมื่อกี้” อัมรินทร์ตอบ

               “ส่วนนี้อนิรุทธิ์พี่ชายฉัน” ก่อนจะแนะนำให้เด็กหนุ่มได้รู้จักอีกคน

                "อนิรุทธิ์ ?” ลูกตาลทวนชื่อเหมือนรู้สึกคุ้นๆกับชื่อที่ว่านั้น

                “เจ้าหนี้ของพิมพาไง” อนิรุทธิ์เฉย

                ลูกตาลร้องอ๋อในใจ ดูเหมือนว่าตัวละครหน้าฉากทั้งหมดจะโผล่ออกมาให้เขาเห็นเกือบหมดแล้ว

                “และถ้าเรื่องมันเป็นอย่างที่เธอพูดจริง ก็แสดงว่าตัวก่อกวนของเราก็หมดไปแล้วละสิ” ถึงจะไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไรแต่น้ำเสียงของอัมรินทร์เมื่อครู่กับก่อนหน้านี้ต่างกันลิบลับเลยก็ว่าได้

                เมื่อกี้ยังทำหน้าเหมือนจะไปฆ่าไปแกงใครที่ไหนแต่ไม่ถึงสิบนาทีกลับอมยิ้มจนแก้มตึงเต่ง...

                  “ก็ดีเหมือนกัน ขอให้มันเป็นอย่างที่ลิลว่าฉันจะดีใจมาก”  และเมื่อไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องคิดมากให้หนักสมองหนักใจอีกต่อไปอัมรินทร์จึงลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้มแสนปลอดโปล่ง โล่งใจ

                      “แล้วนั้นมึงจะไปไหน” แน่ละอยู่ๆก็ลุกขึ้นมาจัดเสื้อสูทสะดูดีแบบนี้เป็นใครใครก็ต้องถาม

                     แต่คำถามของอนิรุทธิ์ดูจะไร้คำตอบออกจากปากของอัมรินทร์แต่หากมองตามท่าทียียวนของอีกฝ่ายเขาก็พอจะตอบตัวเองได้แล้วว่าไอ้เจ้าน้องชายเจ้าเล่ห์ของเขามันจะไปไหนถ้าไม่ใช่เดินไปนั่งเฝ้าประคบประงมเลขาของมันที่ข้างเตียง

                     การแสดงออกที่ดูจะเกินหน้าเดินตาไปแบบสุดกู้ของอัมรินทร์ทำเอาคนที่แอบลอบมองอยู่ไม่ไกลแอบเบะปากน้อยๆก่อนจะหันมามองหน้ากันเหมือนหาพวก

                   “ลินไม่เคยเห็นอันเป็นแบบนี้มาก่อน” ลิลดาเป็นหัวข้อสนทนาขึ้นใหม่ขณะเท้าแขนมองคนที่เดินออกจากวงไป

                   “คิดว่านี้เคยเห็นหรือไง” อนิรุทธิ์เสริม

                   “ แล้วปกติรายนั้นเขาเป็นยังไงหรอฮะ” ลูกตาลถามขึ้นอย่างอยากรู้

                  “เอาเรื่องไหนละ” ลิลดาและอนิรุทธิ์พูดขึ้นพร้อมกัน

.................................................................

 

                ยังไม่มีใครรู้ว่าระหว่างเปลวอรุณกับคนปลายสายมีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องอะไรที่ร้ายแรงจนขนาดที่คนใจเย็นสุดกลั้นจนถึงกับต้องขว้างปาสิ่งของเพื่อระบายอารมณ์เช่นนี้

              ไม่มีใครรู้และเจ้าตัวเองก็ไม่แม้จะเอ่ยปากพูดจาใดๆออกมาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น...

              เหมือนกับว่าเปลวอรุณไม่ต้องการที่จะพูดถึงสิ่งที่ได้สนทนาแม้ในความเป็นจริงจะเป็นฝ่ายนั้นที่พูดออกมาอยู่ฝ่ายเดียวก็เถอะนะ และเมื่อเจ้าของเรื่องไม่ต้องการพูดถึงซ้ำร้ายยังไม่คิดจะเปิดใจรับรู้อะไรในตอนนี้ก็ป่วนการที่ใครจะเข้าหาได้อย่างปกติเพราะตั้งแต่เปลวอรุณฟื้นขึ้นมาอีกครั้งจนถึงตอนนี้ที่ถูกพาตัวกลับมาส่งบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้วยังไม่มีใครเลยสักคนที่ได้ยินเสียงพูดออกมาจากปากของเจ้าตัวเลยแม้แต่คำเดียว แถมเจ้าเศษซากของอดีตเครื่องมือสื่อสารส่วนตัวที่น่าสงสารนั้นยังถูกมองข้ามไร้ความสำคัญในสายตาของเจ้าของของมันผิดกับเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิงที่แถมจะไม่ยอมให้ห่างจากกายเลยสักเสี้ยววินาทีเดียว

                อะไรๆที่ดูเหมือนจะง่ายเลยกลายเป็นยากที่จะเข้าใจ...

                หลังจากที่จัดการเอ่ยปากไล่แกมบังคับพี่ชายอันเป็นที่รักของตนให้เสียสละเจ้าฟอร์จูนเนอร์สีมุขสะอาดตาลูกรักของอีกฝ่ายเอาไว้ให้กับเขาเพื่อใช้ขับกลับบ้านในวันพรุ่งนี้แล้วระเห็จเจ้าของที่แท้จริงให้ไปพึ่งใบบุญของหญิงสาวอย่างลิลดาให้พากลับไปส่งบ้านแล้ว ตัวลูกตาลเองที่ต้องรีบไปเข้างานพาร์ทไทม์กะรอบเย็นก็รีบปลีกตัวออกไปทำงานตั้งแต่กลับมาถึงบ้านและกว่าจะเลิกงานก็คงเป็นช่วงเช้าเลย ทำให้ตอนนี้ทั้งบ้านหลังน้อยจึงเหลือเพียงแค่เปลวอรุณกับอัมรินทร์เพียงแค่สองคนเท่านั้น

                 อัมรินทร์ไม่อยากทิ้งเปลวอรุณเอาไว้คนเดียว...

                ถึงจะไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่ตอนนี้เขาเองก็กำลังเดินตรวจดูความเรียบร้อยภายในบ้านตรวจเช็คให้มั่นใจว่าตัวเองจัดการลงกรประตูหน้าตาชั้นล่างเรียบร้อยแล้วแน่หรือไม่ก่อนจะกดปิดสวิตช์ไฟดวงสุดท้ายแล้วเดินขึ้นบันไดไป

                 ท่อนขายาวก้าวไปตามขั้นบันไดก้าวเดินต่อไปตามทางเดินผลักบานประตูที่เปิดแง้มเอาไว้เข้าไปด้านในห้องเพียงห้องเดียวในบ้านที่มีแสงของหลอดไฟนีออนสีสว่างเปิดอยู่

                 “เปลว” เขาส่งเสียงเรียกคนที่นั่งนิ่งเซื่องซึมอยู่บนเตียง

                  แววตาเหม่อลอยคล้ายตัดพ้อหลายๆสิ่งรอบตัวปลายมามองทางเขาเล็กน้อยเหมือนแค่พอให้รู้ว่าใครกันที่เป็นคนเรียกแล้วหันกลับไปมองที่ความมืดที่นอกหน้าต่างเช่นเดิม

                  เขาไม่รู้ว่าสายตาที่เขาใช้มองคนหมดอาลัยตายอยากตรงหน้ามันเป็นแบบไหนกันหรือแม้แต่แสดงสีหน้าอะไรออกไปกันแน่แต่ที่เขารู้สึกได้แวบแรกที่สบตากับคือ เขาเจ็บ

                เจ็บอะไร หรือ เจ็บเพราะอะไร ตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันมาจากไหนแต่เขาไม่ชอบเอาสะเลยจริงๆที่ต้องมามองคนอย่างเปลวอรุณตกอยู่ในสภาพแบบนี้

            แอบรู้สึกผิดอยู่ลึกๆที่เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เปลวอรุณอับเฉาหม่นหม่องได้ขนาดนี้ แต่จะให้กลับลำตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วทุกอย่างมันกำลังจะเป็นไปตามที่เขาต้องการ

               ทุกอย่างกำลังจะจบ...

                อัมรินทร์สูดหายใจเข้าปอดให้ลึกขึ้นเพื่อเรียกแรงใจให้กับตัวเองก่อนจะเพิ่มระดับเสียงของตนเองให้ดังมาขึ้นอีกพร้อมก้าวขายาวขึ้นไปนั่งลงบนเตียงข้างคนตัวขาวที่ไม่คิดรับรู้การมีอยู่ของเขาเลยแม้แต่น้อย

               “เปลว”

                “...”

               “อย่าเงียบแบบนี้สิเปลว ฉันไม่ชอบ” มันไม่ใช่คำพูดที่ใส่อารมณ์ที่สื่อถึงความไม่พอใจอย่างที่มันควรเป็น แต่มันกลับฟังดูเหมือนว่าตัวเขาเองกำลังเจ็บปวดตามการกระทำของอีกคนไปเสียอย่างนั้น

               “...”

               “เปลว!”

                อัมรินทร์ไม่ใช่คนใจเย็นขนาดนั้นเขารู้ข้อสียของตัวเองดีและยิ่งอีกคนเงียบใส่แบบนี้เขาก็ยิ่งหมกความอดทน ฝ่ามือหนาคว้ากระชากที่หัวไหล่ของอีกคนอย่างแรงจนร่างผอมกว่าหันมาอย่างที่เขาต้องการตามแรง

                 “มีอะไรก็พูดออกมาสิ เอาแต่เงียบแบบนี้เมื่อไรจะรู้เรื่องกัน” และเป็นอัมรินทร์อีกนั้นแหละที่คุ้มตัวเองไม่อยู่เผลอตวาดใส่อีกคนอีกครั้งเสียงดัง

                    “ฮึก”

                      แต่ดูท่าเปลวอรุณเองจะไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่สุขุมพอที่จะรับมือกับอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆของเจ้านายตัวเองได้เหมือนทุกครั้ง พอถูกตวาดใส่เสียงดังอย่างไม่ทันตั้งตัวอะไรๆที่มันสุมอยู่ท้วมอกมากนานก็ระเบิดออกมากับน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างเขื่อนแตกเลยกลายเป็นว่าตอนนี้กลับเป็นตัวของอัมรินทร์เองที่ทำอะไรไม่ถูกที่อยู่กลายเป็นเขาเองที่ทำให้เปลวอรุณร้องไห้โฮออกมาอย่างหนัก

หมับ

              “ไม่ร้องเปลว ไม่ร้อง ฉันขอโทษ”   

              ถึงจะตกใจที่อยู่ๆร่างกายของเขาเองเคลื่อนไหวออกไปรั้งอีกคนเข้ามากอดปลอบเองแต่เมื่ออีกคนไม่คิดปฏิเสธขื่นดันตัวออกจากอ้อมแขนหนาของเขาแบบนี้เขาก็ยิ่งกระชับมันแน่นให้เหมือนเป็นกรงกักตัวของเปลวอรุณเอาไว้ให้อยู่กับเขาคนเดียว

              “ผมไม่เหลืออะไรแล้ว ฮึก” เสียงพึมพำของเปลวอรุณดังออกมาปนกับเสียงสะอื้นไห้อย่างหนักเมื่อความเข้มแข็งที่อดทนสร้างมาทั้งหมดตลอดหลายวันมันถูกพังลงไม่เหลือชิ้นดี

                 “มันพังหมดแล้ว ผมไม่เหลืออะไรแล้ว”

                  เปลวอรุณสะอื้นหนักอย่างไม่คิดอายอาจเพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเผยด้านที่อ่อนแอให้อัมรินทร์ได้เห็นเขาจึงไม่จำเป็นที่ต้องเก็บซ้อนใดๆอีกต่อไปแล้วในเมื่อตอนนี้ทั้งความหวัง ความไว้ใจ ทุกๆอย่างที่ตัวเขาเองมีให้กับ เขา มันพังหมดแล้ว

                  ทั้งๆที่คิดว่าสามารถเชื่อใจได้แต่สุดท้ายก็ไม่ต่างจากคนพวกนั้นที่ ทิ้งขว้าง กันได้อย่างไม่ใยดี....

                  “ไม่จริงเปลว เปลวยังเหลือฉันไง” ถึงจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ตอนนี้ถือเป็นโอกาสและเขาต้องคว้ามันเอาไว้ให้อยู่หมัด

                    “ฮึก”

                     “ฉันพร้อมช่วยเปลวเสมอ ขอแค่เปลวพูดมันออกมา” แค่คำเดียวเปลว แค่นั้นจริงๆที่เขาต้องการ

                     “ช่วยผมด้วย”



_______________________________________________________________________________

ปิดตัวคู่รองอย่างเป็นทางการ!!
สิให้มีแต่ชาวเราหมดเลยก็คงไหว โลกนี้ชะนีน้อยน่ารักก็ยังมีความจำเป็นเนอะ

เรื่องทั้งหมดกำลังจะเข้าสู่บทกลางละเด้อพี่น้องทั้งหลาย
ส่วนใครที่รอลุ้นคนในความลับของเปลวจะเป็นใครจะมาให้เราได้เชยชมหรือไม่ก็ไม่ต้องห่วงนะ เขา จะอยู่กับเรายาวยันจบเรื่องแน่นอน

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
ติดตามมมม

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 292
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :mew3:รอตอนต่อไปอยุ่นะคะ

ออฟไลน์ goldentime

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
รอ :ling1: รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด