เป็นหนี้ ครั้งที่ 9 “...ป..เปล...เปลว..”
“...”
“เปลว!”
รองประธานหนุ่มเพิ่มเสียงเรียกพร้อมแรงของมือที่จับอยู่บนหัวไหล่มนของเลขาให้แรงขึ้นเพื่อเขย่าเรียกสติของคนที่นั่งเหม่อตั้งแต่เริ่มประชุมให้กลับมามาอยู่กับตัวเอง สีหน้าอิดโรยของคนที่เพิ่งถูกเรียกให้จิตใจกลับมาอยู่กับตัวเบิกตาขึ้นเล็กน้อยเหมือนตกใจก่อนจะหันมองซ้ายทีมองขวาที เมื่อเห็นว่าภายในห้องประชุมขนาดกลางว่างเปล่าไร้คนประชุมเหมือนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าใบหน้าขาวก็ถูกฉาบไปด้วยความรู้สึกผิด
“เหม่ออะไรอยู่เปลว เขาเลิกประชุมกันแล้วนะ” ชายหนุ่มกอดอกเอ็ดเสียงใส่อย่างไม่คิดตำหนิจริงจัง หากแต่คนอย่างเปลวอรุณกลับยิ่งก้มหน้าต่ำลงหลักกว่าเดิมอย่างคิดจริงจัง
“ขอโทษครับ”
อัมรินทร์ถอนหายใจออกหนักให้กับน้ำเสียแผ่วเบาคล้ายสำนึกผิดโทษตัวเองของคนที่ตรงหน้าที่ไม่แม้จะคิดเงยหน้าขึ้นมามองเขาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะย่อกายลงให้ดวงตาของตนสามารถมองเห็นสีหน้าของเปลวอรุณที่ก้มต่ำจนคางเกือบชิดอกเพื่อจะได้มองหน้าอีกคนแทน
“ทะ ทำอะไรนะครับ” เปลวอรุณถามเสียงหลง เมื่ออยู่ๆคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าอย่างอัมรินทร์ที่นอกจากนะนั่งย่องลงตรงหน้าแล้วยังเอาคางมาเกยที่หัวเข่าของเขาอีก
“มองหน้าเปลวไง” เปลวอรุณหน้าแดงจัดกับคำตอบพาซื่อของอีกคนจนรีบดับใบหน้าคมออกแล้วลุกขึ้นยืนอย่างเขินอาย คนขี้แกล้งยกยิ้มชอบใจที่สามารถทำให้คนตรงหน้ากลับมาเป็นเมื่อเดิมอีกครั้งก่อนจะหยันกายลุกขึ้นยืนตาม
“เป็นอะไรไปหื้อ ปกติเปลวไม่เคยเหม่อแบบนี้ตอนประชุมเลยนี้น่า” ครั้งนี้เขาถามอย่างจริงจังพร้อมไล่สำรวจคนตรงหน้าใหม่อีกครั้ง
ใบหน้าที่ดูอิดโรยเหมือนคนพักผ่อนไม่เพียงพอจนรอยคล้ำใต้ตาปรากฏให้เห็นได้อย่างเด่นชัด ไหนจะผิวหน้าขาวๆที่ดูจะซีดลงกว่าทุกทีนี้อีก ไม่ว่าจะมองยังไงเปลวอรุณก็ดูเหมือนคนที่ไม่พร้อมสำหรับการทำงานเลยสักนิด
“ตาลบอกว่าเปลวไม่ค่อยได้นอนมัวทำอะไรอยู่” เขาไล่เกลี่ยปลายนิ้วลงที่ข้างแก้มด้วยความเป็นห่วงที่มากล้นเต็มอก
“คุณโทรเช็คผมจากลูกตาลหรอ” ดวงตาอ่อนล้าของเปลวอรุณเงยขึ้นสบกับนัยน์ตาคมของอัมรินทร์นิ่ง
“ก็ฉันเป็นห่วง” ชายหนุ่มตอบอย่างสัตย์จริง
ตั้งแต่วันนั้นก็ผ่านมาเกือบจะครบอาทิตย์หนึ่งแล้วที่ความช่วยเหลือของเขายังคงถูกเปลวอรุณมองข้าม ทั้งๆที่อีกคนควรรีบจะตบปากรับความช่วยเหลือจากเขาทันทีที่เสนอมาแต่เปลวอรุณกลับนิ่งเงียบแล้วหายไปไม่พูดถึงมันขึ้นมาอีกเลยจนกลายเป็นตัวของอัมรินทร์เองที่ร้อนใจ
“เวลามันเหลืออีกไม่มากแล้วนะเปลว” แม้จะรู้ว่าไม่ควรพูดมันออกมาตอนนี้แต่เขาต้องการย้ำเตือนให้เปลวอรุณตะหนักรู้ว่าตอนนี้อีกคนควรที่จะทำอะไร
เปลวอรุณดูอึ่งไปเล็กน้อยก่อนที่จะเลือกเบี่ยงหน้าหนีสัมผัสอุ่นที่แตะค้างอยู่ที่ข้างแก้มของจนคล้ายไม่อยากจะสบสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและอ้อนวอน อ้อนวอนให้เขารับความช่วยเหลือนั้น...
“ผมรู้” เปลวอรุณว่าเสียงสั่น
“แล้วทำไม..” คนตัวสูงกว่าย่นคิ้วหรี่ตามอง
“ก็ผมเกรงใจ” เงินมากมายขนาดนั้นอยู่ๆจะเอามาให้เขาเลยเพื่อใช้หนี้มันมากเกินไป เขาไม่กล้ารับไว้...
“เปลว!”
เจ้าของชื่อสะดุ้งเมื่ออัมรินทร์เผลอตะคอกใส่เสียงดังอย่างไม่ทันตั้งตัว
“แต่นั้นมันบ้านของผม ผมอยากพยายามทำมันด้วยตัวเอง” เปลวอรุณพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่นและพยายามข่มความหวาดหวั่นในใจแล้วค้านกลับอีกคนไปอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“แล้วมันได้ไหมเปลว มันครบไหม” ชายหนุ่มถามกลับเสียงต่ำข่มอารมณ์ไม่แพ้กัน หากแต่...
เปลวอรุณกลับเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้นซ้ำยังเบี่ยงหน้าหนีอย่างจนทางยอมจำนนต่อคำพูดนั้นของอัมรินทร์ที่ว่าตัวเขาไม่สามารถหาเงินจำนวนมากขนาดนั้นได้ทัน
“แค่ยอมรับความช่วยเหลือจากฉันมันยากขนาดนั้นเลยหรอเปลว” ไม่ว่าเปล่าครั้งนี้อัมรินทร์ก้าวเข้ามาประชิดตัวพร้อมจับต้นแขนทั้งสองข้างของเปลวอรุณไว้แน่นด้วยเสียงที่ดูเหมือนจะอ่อนลงแต่เต็มไปด้วยความหน่วงในใจ
อัมรินทร์เงียบมองคนตรงหน้าที่ไม่คิดแม้จะมองหน้าเขา รอยยิ้มที่ถูกแข้นออกมาปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อคมเมื่อบางสิ่งบางอย่างแล่นเข้ามาในความคิดของเขา
“หรือว่าเปลวกำลังรอความช่วยเหลือจากใครอยู่”
!!
คล้ายคำถามถามหยันเชิงลองคาดเดามกกว่าการถามไปตรงงๆหากแต่มันกลับไปสะกิดใจของเปลวอรุณให้นิ่งกึก อัมรินทร์หรี่ตามองนัยน์ตาใสหลังเลนส์แว่นที่เบิกขึ้นเล็กน้อยพร้อมความสั่นระริกเมื่อถูกต้อนจนมุม
ใคร...!!
ทั้งๆที่แค่จะลองถามแค่พอหยันเชิงดูแต่ใครจะไปรู้กันละว่าความจริงที่คนตรงหน้าปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขาอย่างหัวชนฝาจะเป็นเพราะมีมือของใครบางคนที่อยู่ในเงาพร้อมที่จะยืนเข้ามาช่วยเหลือ
“งั้นหรอ” อัมรินทร์ยกยิ้ม
ไม่ยอม..
เขาไม่ทางยอมง่ายๆแน่....
“แล้วมันอยู่ไหนละ” เขาถามเสียงเยาะ
เปลวอรุณไม่ตอบ
“มันอยู่ไหนละเปลว ไอ้คนที่เปลวรอว่ามันจะมาช่วยนะมันอยู่ไหน!” ยิ่งไร้เสียงตอบรับกลับมาอัมรินทร์ก็ยิ่งขึ้นเสียงถามตามอารมณ์ที่ไม่พอใจ
“ผม..”
“ไม่รู้ ?”
อัมรินทร์ปล่อยมือคู่ที่จับหัวไหล่มนนั้นออกพร้อมกับรอยยิ้มที่เผยออกมาอย่างไม่รู้ว่าต้องการส่งไปให้ให้เย้ยหยันตัวเองที่คิดข้ามเรื่องนี้หรือสมเพชเปลวอรุณที่ยังรอความช่วยเหลือแม้จะมองไม่เห็นแสงความหวังที่ปลายอุโมงค์ใหญ่แบบนี้
เปลวอรุณรอบมองรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดากับเสียงหัวเราะต่ำๆของอัมรินทร์ที่หมุนกายหนีหันหลับให้เขาอย่างนึกหวั่น เขาไม่เคยเห็นอีกคนมีท่าทางแบบนี้มาก่อนมันดูคล้ายกับ เสียสติ...
จริงอยู่ที่เปลวอรุณมีคนที่สามารถจะช่วยเหลือเขาในเรื่องการเงินได้แต่ตั้งแต่วันจนถึงวันนี้เขาก็ยังไม่สามารถติดต่อ
เขา ได้เลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายยังเป็นคนติดต่อมาหาเขาเองอยู่เลยด้วยซ้ำแต่พอเกินเรื่องขึ้นอีกฝ่ายก็หายไปราวกับว่าเบอร์โทรศัพท์หมายเลขนี้ไม่เคยมีใครใช้มาก่อน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะนั่งงอมืองอเท้าเสียอย่างเดียวที่ไหนกันเพราะแบ่งใจเผื่อความผิดหวังครั้งนี้ไว้แล้วเหมือนกันว่าจะไม่ได้ตามที่หวังเขาถึงได้รวบรวมเงินเก็บทุกจากบัญชีที่มีอยู่เอามารวมกันไว้เพื่อหวังว่ามันจะพอ
แต่ก็ไม่...
และความเครียดก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เขานอนไม่หลับ...
“เธอมันดื้อเปลว” อัมรินทร์เอ่ยขึ้นอย่างข่มอารมณ์
“...”
“แล้วเธอจะรอมันไปถึงเมื่อไร” ร่างสูงใหญ่หนุนกายหันกลับมามองที่เขาอีกครั้ง
เขาตอบไม่ได้...
“ฉันถามว่าเมื่อไร!” และยิ่งเปลวอรุณเงียบความดาดเดือดในใจของอัมรินทร์ก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ชายหนุ่มปรี่ตรงเข้ามากระชากต้นแขนของเปลวอรุณเอาไว้แน่นก่อนออกแรงเขย่า
“คุณอัมรินทร์ปล่อย ผมเจ็บ” คนตัวเล็กกว่าโอดขึ้นเมื่อแรงมือของอีกคนเพิ่มขึ้นจนรู้สึกร้าวไปหมด
“ตอบมาสิเปลว นายรอมันทั้งๆที่ไม่รู้ว่ามันจะมาช่วยเปลวหรือเปล่าแต่กลับปฏิเสธฉันเนี้ยนะ”
“ปล่อย ผมเจ็บ” เปลวอรุณพยายามดันมือขออัมรินทร์ออก
“ตอบฉันสิเปลว เพราะอะไร” อัมรินทร์ตะคอกใส่เสียงดัง
แรงเขย่าที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับคำถามที่ถามหาเหตุผลอย่างคนสติแตกของอัมรินทร์ที่หน้ามืดตามั่วจนไม่ทันสังเกตเห็นว่าเสียงพูดของเปลวอรุณเริ่มแผ่วลง
“พูดออกมาสิเปลว งะ เปลว!!”
แน่นอนว่าคนที่อดนอนมาหลายคืนพอมาเจอแรงเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอนแบบนี้ต่อให้แข็งแรงขนาดไหนก็ไม่แคล้วจะหน้ามืดเป็นลมลงได้เหมือนกัน
“เปลว เปลว”
คนอามรณ์ร้อนเมื่อครู่ร้องเสียงหลงกับสภาพคอพับคออ่อนของเปลวอรุณที่อยู่ๆก็ไร้เรี่ยวแรงจะทรงตัวทรุดลงไป อัมรินทร์เปลี่ยนมือที่จับต้นแขนทั้งสองข้างเป็นโอบรวบไหล่ของอีกคนเอาไว้แน่น
“เปลว ตื่นสิ เปลว”
อัมรินทร์พยายามตบเข้าที่แก้มซีดขาวอยู่หลายครั้งเพื่อเรียกสติแต่ก็เท่านั้น เพราะไม่ว่าจะทำยังไงเปลวอรุณก็ไร้ซึ่งการตอบสนองกลับ เขาจึงตัดสนใจปลดเนคไทสีอ่อนออกพร้อมปลดกระดุมเสื้อด้านในออกเพื่อลดความอึดอัดให้หายใจได้สะดวกขึ้นแล้วรีบช้อนแขนเข้าที่ข้อพับขาอุ้นอีกคนนที่ตัวเบากว่าที่เคยขึ้นอุ้มแล้วผลักประตูห้องประชุมออกอย่างแรง
“ว้าย!”
เสียงตกใจของกลุ่มพนักงานสาวสามคนที่ยืนแอบฟังกันอยู่หน้าประตูห้องร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ๆคนด้านในก็ผลักบานประตูออกมาอย่างแรงไม่ทันได้ตั้งตัว
“เกิดอะไรขึ้นคะ” หนึ่งในสามของกลุ่มที่ประคองสติตัวเองได้ดีที่สุดทักขึ้นทันทีเมื่อสายตาของหล่อนโฟกัสไปยังคนในอ้อมแขนของรองประธานหนุ่ม
“เปลวเป็นลม ใครมียาดมบ้าง” แม้อยากจะตำหนิพวกหล่อนที่คิดแอบฟังเรื่องส่วนตัวของเจ้านายมากแค่ไหนแต่ตอนนี้ความเป้นห่วงคนในอ้อมแขนของเขาสำคัญมากกว่าเรื่องไร้สาระที่ว่านั้นมาก
“ดิฉันมีค่ะ” ผู้หญิงที่อยู่ถัดออกไปพูดขึ้นพร้อมกระเป๋าถือใบเล็กที่ถูกเปิดออกก่อนที่ยาดมหลอดสีขาวจะถูกยื่นมาใกล้บริเวณจมูกของเปลวอรุณ
“หน้าคุณเปลวซีดมากเลยนะคะท่านรอง รีบพาคุณเขาไปโรงพยาบาลจะดีกว่าไหมคะ” เธอพูดอย่างเป็นกังวลหลังจากเข้ามามองใบหน้าของเลขาท่านรองใกล้ๆ อีกทั้งวันนี้คนดูแลห้องพยาบาลของบริษัทก็ลาคลอดด้วยคงไม่มีใครที่รู้เรื่องพวกนี้ดูแลได้อย่างถูกทาง
อัมรินทร์เห็นด้วยกับคำพูดนั้นของหญิงสาว ชายหนุ่มหันไปสั่งให้หนึ่งในผู้หญิงกลุ่มนั้นให้โทรเรียกรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ใกล้จากที่นี้ให้รีบมารับ เพราะถ้าจะให้เขาย้อนกลับเข้าไปที่ห้องทำงานเอากุญแจรถออกมาคงไม่ทันการแน่
เสียงส้นรองเท้าหนังขัดมันดังก้องไปตามทางที่สองขายาวของรองประธานหนุ่มก้าวผ่านอย่างรีบร้อนเรียกสายตาอยากรู้ระคมแปลกใจของพนักงานที่เดินผ่านไปมาคงต้องขอบคุณกลุ่มสาวๆทั้งสามที่ค่อยวิ่งตามขาลงมาจากข้างบนคอยเคลียร์ทางกันผู้คนให้ไม่ให้เข้ามาใกล้จนตอนนี้ที่ยิ่งใกล้ถึงประตูทางออกมากเท่าไรจากการจ้ำก้าวตั้งแต่ตอนแรกก็แทบจะเปลี่ยนเป็นวิ่งแทนเสียให้ได้ตามใจที่ร้อนรุ่มหากไม่ติดว่ามีใครคนหนึ่งอิงซบอยู่ที่อกจะกระทบกระเทือนมากไปกว่านี้
“ท่านรองค่ะ แอมบูแลนซ์มาถึงแล้วค่ะ”
เสียงของหนึ่งในพนักงานสาวกลลุ่มนั้นที่วิ่งล่วงหน้าออกมาก่อนตะโกนกลับเข้ามาพร้อมกับเสียงวอฉุกเฉินของรถตู้พยาบาลคันใหญ่สีขาวที่ขับเข้ามาจอกข้างที่ด้านหน้าของประตูอย่างรวดเร็ว
อย่าเป็นอะไรไปนะเปลว... “อาการของคนไข้ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงมากหรอกครับ แค่อาการของคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอที่อาจมาจากเรื่องของความเครียดสะสมทำให้ความดันในร่างกายลดต่ำลงตอนนี้หมอให้ยานอนหลับแบบอ่อนไปตื่นขึ้นมาเมื่อไรก็สามารถกลับไปพักผ่อนต่อที่บ้านได้แล้วละครับ แต่ว่าหมอขอแนะนำว่าช่วงนี้อย่าให้คนไข้เครียดอีกนะครับเดี๋ยวอาการจะทรุดแล้วล้มป่วยเอา”
น้ำเสียงใจดีของนายแพทย์วัยใกล้เกษียณร่างท้วมขาวบอกถึงผลตรวจที่ได้ก่อนจะขอตัวออกจากห้องไป อัมรินทร์ยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะล้วงมือลงหยิบของส่วนตัวสิ่งเดียวที่เขาพกติดตัวอยู่ในตอนนี้ออกกมากดโทรออกหาญาติสนิทเพียงคนเดียวของตนให้เข้าไปเอามาหาที่โรงพยาบาลแห่งนี้เพราะนอกจากโทรศัพท์มือถือส่วนตัวเครื่องนี้แล้วเขากับเปลวอรุณไม่มีอะไรติดตัวออกมาจากที่บริษัทเลยสักอย่าง ยิ่งเงินค่าห้องพักกับค่าตรวจด้วยแล้วลืมไปได้เลย....
อัมรินทร์ใช้เวลาพูดคุยกับอนิรุทธิ์ครู่หนึ่งก่อนเก็บเจ้าเครื่องมือสื่อสารของตัวเองลงกลับไปที่เดิมในกระเป๋าด้านในของเสื้อสูทตัวนอกแล้วทรุดกายลงที่เก้าอี้ข้างเตียงจ้องมองใบหน้าขาวที่เริ่มดูดีขึ้นหลังจากได้นอนหลับสนิทหากแต่ร่างกายที่ช่วงดูจะซูบลงไปบ้างแต่ก็ดูไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร
ว่าแต่...
เปลวอรุณอ่อนแอขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน...
คนที่ต่อให้ว่างขนาดไหนก็ที่จะไม่เคยลาพักร้อนหรือป่วยไข้จนต้องลาหยุดเลยสักครั้งแต่กลับเป็นลมล้มพับต่อหน้าต่อตาเขาถึงสองครั้งภายในเวลาไม่ถึงเดือนแบบนี้หรือมันจะเป็นเพราะเขาที่ทำให้อีกคนมานอนอยู่ที่นี้ แต่ถึงลึกๆจะน้อมรับความผิดที่ว่าอยู่แล้วก็เถอะแต่อัมรินทร์ก็เลือกที่จะสะบัดหน้าไล่ความคิดเรื่องนี้ให้ออกจากหัวของเขาไปก่อนจะกลับมาจ้องมองคนบนเตียงอีกครั้งพร้อมความคิดอีกอย่าง
และเรื่องที่ว่าก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ทำให้เขาเผลอใส่อารมณ์กับอีกคนไปนั้นแหละ...
ถ้าเขาเริ่มเอะใจสักนิดกับอาการพะวักพะวงอยู่แต่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือแทบจะตลอดเวลาของเปลวอรุณสักนิดไหนจะการลาเป็นว่าเล่นของเปลวอรุณในช่วงที่ผ่านมานี้อีก เพราะชะล่าใจคิดว่าอีกคนไม่มีใครเข้ามาสอดทุกอย่างมันถึงได้ตาลปัตรไปหมดแบบนี้ ไหนจะคำพูดซ้ำๆที่เขาได้รับจากลูกตาลยามที่เขาโทรไปถามไถ่สถานการณ์จากเด็กหนุ่ม ที่บอกเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องรามของคนบนเตียงนอนที่แม้ว่าไฟในจะดับลงเหลือแต่เพียงแสงสลั่วๆของโครมไฟเล็กๆสีส้มนวลในห้องแต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้เห็นเงาของคนในห้องผ่านร่องใต้ประตูที่วูบไหวไปมาได้อย่างชัดเจน
“แม่เปลวไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมนอน”
ซึ่งเรื่องที่ลูกตาลเล่ามาเขาก็พอที่จะเดาได้ว่าเปลวอรุณทำอะไร เจ้าตัวคงไม่อยากจะให้ลูกชายวัยรุ่นต้องเป็นห่วงถึงได้ทำแบบนั้น แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้เขานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างนี้แน่
“เหมือนว่าแม่เปลวกำลังพยายามโทรหาใครสักคนอยู่”
คำบอกเล่าสั้นๆนี้ต่างหากที่ไม่ว่าเขาจะโทรไปสักกี่ครั้งลูกตาลก็จะบอกให้เขาได้รู้ทุกครั้งเช่นกัน...
ม่านตาของอัมรินทร์หรี่ลงยามจ้องมองใบหน้านวล เพราะความหลงระเริงในสิ่งที่ที่อยู่ตรงหน้ามากจนเกินไปเลยทำให้มันมาบดบังสิ่งเล็กๆอย่างเรื่องนี้ไปได้
“ไม่ ผมเองก็ไม่รู้นะว่าแม่เปลวโทรหาใคร พอถามก็ไม่ตอบแค่ยิ้มแล้วเดินหนี”
ไม่มีใครรู้ว่าคนที่เปลวอรุณต้องการโทรหาเป็นใคร ขนาดว่าเขาให้ลูกตาลแอบดูรายการโทรเข้าออกของอีกคนแต่นอกจากจะไม่ขึ้นชื่อว่าเป็นใครแล้วหมายเลขดังกล่าวยังเป็นเบอร์ล็อคที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถติดต่อได้หากไม่ใช่เบอร์ที่ถูกเชื่อมเอาไว้
คนในความลับ...
ชื่อนี้น่าจะเหมาะแมวขโมยที่กำลังจะทำแผนเขาพังไม่เป็นท่า เมื่อไรก็ตามที่อีกฝ่ายรับสายของเปลวอรุณเมื่อนั้นก็เท่ากับว่าแผนทุกอย่างที่เขาวางเอาไว้จะไม่มีความหมายอีกต่อไป ซึ่งเขาไม่มีทางยอมให้มันเกิดขึ้นแน่ๆ
เขาต้องหาวิธีจัดการกับตัวปัญหานั้นให้ได้...
อัมรินทร์หมายหมั่นอยู่ในใจและไม่รอให้ความคิดที่ว่าหายไปโทรศัพท์เครื่องขาวต่างยี่ห้อกับเขาของเปลวอรุณที่วางอยู่บนตู้เล็กของเตียงก็ถูกมือของเขาคว้าเอามาครอง
เพราะไร้การป้อนรหัสป้องกันใดมันจึงเป็นเรื่องง่ายที่คนนอกอย่างเขาจะเข้ามาสอดส่อง
สังคมออนไลน์ของเปลวอรุณมีอยู่ไม่กี่ช่องทางนอกจากแอปพลิเคชั่นดังๆที่กำลังเป็นที่นิยมสี่ห้าอย่างแล้วก็แทบจะไม่มีอะไรในเครื่องเสียเท่าไร เบอร์โทรติดต่อก็เป็นคนรู้จักของเจ้าตัวเป็นส่วนใหญ่แต่เบอร์ที่อีกคนโทรหาบ่อยที่สุดในเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีแค่เบอร์เดียว
เบอร์ล็อคที่ลูกตาลเคยบอก...
จากบันทึกการโทรดูเหมือนว่าเปลวอรุณจะกดโทรออกมันแทบจะทุกครึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ
ความโกรธที่หาสาเหตุไม่ได้เดือดดันจนแน่นคับอดยามที่ปลายนิ้วของคนชั่งอยากรู้ปัดไล่ไปตามหน้าจอ ข้อความหรือบนสนทนาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเบอร์นี้จะถูกเข้ารหัสเอาไว้ทั้งหมดทำให้เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าเบื่อหลังด่านสกัดกั้นเปลวอรุณกับใครคนนั้นพูดคุยอะไรกัน
แค่คิดว่าใครอื่นที่ได้ใกล้ชิดเปลวอรุณมากกว่าเขา มันยอมไม่ได้...
เขาหมายตามองเปลวอรุณมานาน นานจนแน่ใจว่าเปลวอรุณไร้ใครข้างกายแล้วแท้ๆแล้วมันเป็นใคร!?
มันเป็นใคร...
ยังมีใครที่คิดจะลงแข่งแย่งเอาคนตรงหน้าไปจากเขาอีก...
ความเดือดดาดเลือกให้อัมรินทร์เลือกระบายความโทสะของตนออกมาโดยการบีบโทรศัพท์เจ้าปัญญาหานั้นแน่นจนข้อต่อขาวฝ่ามือสั่น
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะที่บานประตูดังเรียกสติของเขาให้กลับมาอีกครั้ง อัมรินทร์เหลือบมองคนบนเตียงให้แน่ใจว่ายังหลับอยู่แล้ววางโทรศัพท์ลงกลับที่เดิมของมันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ถือวิสาสะเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้ามาใหม่
“ไงมึง”
อนิรุทธิ์โผล่หน้าเข้ามาในห้องเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยทักพร้อมยกมือให้น้องชายที่นั่งหน้าขรึมอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยที่ปล่อยบรรยากาศไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรออกมา
“ไมทำหน้าเครียดอย่างนั้นวะ หมอบอกว่าคุณเลขามึงอาการหนักหรอ” อนิรุทธิ์ถามขึ้นเพลางก้าวเข้ามาใกล้เตียงผู้ป่วยชะโงกมองดูคนบนเตียงเล็กน้อย แต่พอไม่เห็นว่าเปลวอรุณจะมีอาการแย่อะไรอย่างที่ตนเข้าใจชายหนุ่มจึงหันกลับมามองหน้าคนเฝ้าที่นั่งหน้าบ่อบุญไม่รับอย่างสงสัย
“เปล่า มึงเบาๆหน่อยได้ไหมไม่เห็นหรือไงว่าเปลวกำลังหลับอยู่” อัมรินทร์ตอบอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรจนอนิรุทธิ์ต้องรีบยกมือขึ้นตะครุบปากตัวเอง
“กูไม่ได้เสียงดังนะ” ก่อนจะพูดออกมาเสียงเบา
อัมรินทร์ไม่ตอบอะไรนอกจากลุกขึ้นยืนกระชับผ้าห่มให้คนที่นอนก่อนจะเดินผ่านอนิรุทธิ์ไปทางประตูพร้อมกับสายตาประมาณว่าให้ตามตนออกมา แม้จะไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากแต่อนิรุทธิ์ก็ยอมที่จะเดินตามน้องชายของตนออกไปอย่างง่ายดายโดยไม่คิดถาม
อนิรุทธิ์เดินตามอีกคนจนมาหยุดอยู่ที่มุมพักผ่อนส่วนกลางสำหรับญาติผู้ป่วยที่มาเฝ้าหรือตัวผู้ป่วยเองที่อยากออกมาเปลี่ยนบรรยากาศพูดคุยหรือพบปะคนห้องใกล้ที่ตอนนี้ว่างเปล่าไร้สังคมของการพบปะมีแต่พวกเขาสองคนที่แยกกันนั่งลงบนโซฟาเล็กขนาดสองเบาะคนละตัว
“มึงพากูออกมานี้ทำไมวะ” อนิรุทธิ์เปิดปากถามขึ้น
“เพราะมึงเสียงดัง”
“ไม่จริง” เขาเถียง
อัมรินทร์ไม่คิดต่อล่อต่อเถียงอะไรเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์เครื่องเดิมของตนจนคนถูกเรียกมาได้แต่กรอกตาไปมาก่อนจะเปลี่ยนคำถามใหม่
“ทำไมอยู่ดีเลขามึงถึงได้ล้มหมอนนอนเสื่ออยู่อย่างนั้น” และได้ผล นิ้วมือของอัมรินทร์นิ่งค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะกดพิมพ์บางอย่างที่หน้าจอต่ออีกสักพังก่อนจะเก็บลงที่เดิมซึ่งถ้าให้อนิรุทธิ์เดาคนตรงหน้าคงกำลังสั่งงานกับใครสั่งคนในบริษัทอยู่แน่
ก็ไอ้นี้มันบ้างานเหมือนกันนิ...
“ก็เรื่องหนี้นั้นแหละ” อัมรินทร์ตอบเสียงเรียบ
ผู้อำนวยการหนุ่มทำหน้าประมาณว่า ว่าแล้ว ใส่หลังได้รับคำตอบจากน้องชาย
“เปลวไม่ยอมรับเงินที่กูจะให้เขา” เสียงราบนิ่งนั้นเจือเต็มไปด้วยความไม่พอใจกลายๆ
“อะไรนะ” แต่คำตอบง่ายๆนั้นกลับทำเอาอนิรุทธิ์อุทานตาโตอย่างไม่อยากเหลือเชื่อ
ยิ่งอัมรินทร์พยักหน้ารับแทนคำตอบด้วยแล้วเขาก็ยิ่งหมดคำใดจะพูดออกมาเพราะมันเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากในสมัยนี้ที่จะมีใครสักคนคิดลงมือพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยตัวเองแล้วปฏิเสธความช่วยเหลือแสนสบายแบบนี้ทิ้ง
“และมันไม่ใช่แค่นี้ใช่ไหม” เพราะถ้าแค่นี้คนอย่างอัมรินทร์ไม่มานั่งทำหน้าเครียดอาฆาตเหมือนจะฆ่าจะแกงใครแบบนี้แน่มันจะต้องมี อะไรที่มากกว่านั้นที่เขายังไม่รู้อีกแน่
อัมรินทร์ปลายตามองคนที่ยิงคำถามที่คล้ายจะยิ่งสุทให้กองไฟในอกลุกโชยเพิ่มขึ้นอย่างจนเผลอเอาปลายลิ้นดุนกระพุงแก้มด้านล่างไปมาอย่างเคยตัวยิ่งเสริมให้คำตอบที่อีกคนคิดเป็นจริง
“เฮ้ย! มันเกิดอะไรขึ้นวะ” อนิรุทธิ์โผงถามขึ้น
“ปัญหานิดหน่อย” เจ้าตัวว่าปัดเหมือนไม่อยากจะพูดถึงมันเท่าไรให้รำคาญใจ
“ไม่นิดแล้วมั่ง มึงเล่ามาช่วงที่กูยุ่งๆอยู่มันเกิดอะไรที่กูยังไม่รู้บ้าง” อนิรุทธิ์ถามเสียงเข้ม ตั้งแต่รู้ว่าอัมรินทร์ได้ลูกชายบุญธรรมของเปลวอรุณมาเป็นพวกด้วยเขาก็ไม่ได้ตามเรื่องของอีกฝ่ายเท่าไรเนื่องด้วยช่วงนี้โรงเรียนของเขากำลังอยู่ในช่วงประเมินการสอนของบรรดาครูเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเข้ารับการประเมินโรงเรียนในการแข่งขันระดับประเทศเขาจึงยุ่งแทบจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลยกลายเป็นว่าเขาพลาดเรื่องสำคัญอะไรไปเสียอย่างนั้น...
“เปลวพยายามติดต่อใครบางคนอยู่” อัมรินทร์ก็เปิดปากพูดขึ้น แม้จะดูไม่ค่อยจะเต็มใจที่จะเอ่ยมันออกมาก็เถอะ
“ใคร”
“กูไม่รู้ ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นใคร แต่เพราะมันนี้แหละที่จะทำให้ทุกอย่างที่กูทำมาทั้งหมดพัง!”
ความเกรี้ยวกราดของอัมรินทร์ไม่เพียงแต่ถูกแสดงออกมาจากทางสีหน้าแววตาและน้ำเสียงที่ดังกว่าปกติเท่านั้นแต่ยังรวมถึงฝ่ามือหนาที่ตบลงที่โต๊ะกระจกเล็กตรงหน้าเสียงดังก้องทั่วทางเดินโล่ง
“ใจเย็นก่อนดิวะ” อนิรุทธิ์ต้องรีบปรามน้องชายตัวเองที่ส่งเสียงดังจนอาจรบกวนการพักผ่อนของคนไข้ที่อยู่ห้องใกล้เคียงหรืออาจทำให้ใครมาได้ยินการสนทนานี้เข้า
“เย็นหรอ มึงยังจะให้กูเย็นได้อีกหรอวะ” คนที่มากด้วยความเดือดดาดกระชากเสียงห้วนใส่
ของที่อยากได้ หมายตามานาน ประคบประงมอย่างดีอยู่ๆกำลังจะถูกชุบมือเปิบไปแบบนี้มีใครที่ไหนเขาจะทนได้กัน...
“ถึงตอนนี้มันจะยังไม่รับสายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีรับสาย ยิ่งมันเป็นคนที่เปลวฝากความหวังเอาไว้ด้วยแบบนี้กูเชื่อว่ามันต้องสามารถหาเงินร้อยล้านมาให้เปลวได้ภายในหนึ่งวันแน่” เขาเชื่ออย่างที่ปากว่าจริง
แผ่นอกหนากระเพื่อมขึ้นลงมาแรงหอมหายใจหลังจากที่อัมรินทร์ระเบิดอารมณ์ออกมาเสียงดัง ตอนนี้ต่อให้พยาบาลที่นั่งอยู่ตรงเคาร์เตอร์ด้านหน้าเดินมาว่าเขาที่ทำเสียดังรบกวนคนไข้คนอื่นหรือโดยญาติคนไข้ออกมาด่าเขาก็ไม่สน
เขาไม่สนอะไรทั้งนั้น...
เปลวอรุณต้องเป็นของเขา...
คำนี้เขาท่องเอาไว้จนจำขึ้นใจมาตั้งแต่นาทีแรกที่เจอและไอ้หน้าไหนก็ห้ามยุ่งกับของของเขา...
อนิรุทธิ์มองท่าทีแสนเกรี้ยวกราดกว่าปกติของน้องชายอย่างจับผิด จะบอกว่ากลัวแผนตัวเองพักก็ไม่น่าจะโกรธเกรี้ยวได้มากขนาดนี้หรือจะบอกว่าเสียหน้ากันหรือก็ไม่น่าใช่
หรือว่า...
“ถ้าแผนมึงมันจะพังขึ้นมาจริง มึงก็แค่หาแผนใหม่ก็ได้ไม่ใช่หรือไง” อนิรุทธิ์ถามกลับ
“ไม่!” อัมรินทร์ตอบกลับเสียงดังทันควันเช่นกัน
“กูรอเปลวมาสามปีและกูจะไม่ทนรออะไรอีกแล้ว”
“แต่มึงไม่ได้เตรียมรับมือกับเรื่องนี้ไว้ไม่ใช่หรือไง” อีกคนแย้ง
“มันต้องมีทาง”อัมรินทร์เสยผมของตนอย่างแรง ถึงจะไม่ค่อยอยากจะยอมรับก็เถอะแต่เขาก็ยังไม่คิดเหมือนกันว่าจะทำยังไงเหมือนกัน แต่ไม่ทันที่จะมีใครได้เอ่ยอะไรที่พอจะเป็นแสงส่องทางในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามความต้องการนี้ เสียงหวานใสของคนคุ้นหน้าก็ดังขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นให้ลิลช่วยไหมละคะ”
!!
_________________________________________________________
กลับมาแล้วคร้าาาาาาาา
I'm back !
หนึ่งเดือนเต็มกับการหายไปอยากจะบอกทุกคนว่า สอบเสร็จ แล้วคร้า
(จริงๆสอบเสร็จตั้งแต่วันที่15แล้ว )
ขอสารภาพเลยว่าแอบอู้แบบสุดๆ พอสอบเสร็จก็ขี้เกียดตัวเป็นขนนอนโง่ๆอยู่แต่บนเตียง
แต่ตอนนี้
เราเอาพี่เปลวกับน้องอันอันมาส่งละเด้อ