บทที่ 3
เหตุเกิดเพราะ...หนาว
“สรุปมึงหาได้ยังว่าเฟซแอลชื่ออะไร” ผมเงยหน้าถามแบงค์ เผื่อมันรู้ผมจะได้อันเฟรนด์พี่เจตไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
“ยังเลยว่ะ” แบงค์ตบไหล่ผมก่อนจะเดินไปวิ่งไล่จับกับเพื่อนต่อ จ้า พ่อคนสนุกสนานตลอดเวลา เล่นกันเป็นเด็กๆ
“นายนี่ไม่รู้อะไรจริงๆ เลยนะ” เพื่อนที่นั่งตรงข้ามผมพูดขึ้น ผมไม่ได้สนิทกับชัยมากนัก แต่ก็เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมต้น เห็นหน้าค่าตากันมานาน รู้นิสัยกันดีพอว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนคิดร้ายอะไร
“อะไรอีกล่ะ” ผมกลอกตา
“พี่เจตไม่รับแอดใครนอกจากเพื่อนในห้องของตัวเอง จะว่าไปเพื่อนผู้หญิงในห้องก็ใช่ว่าจะเป็นเพื่อนในเฟซพี่เจตทุกคน” ผมคิดตามคำพูดเขา ก็จริงนะ ตอนผมหาเฟซแอลเห็นเพื่อนพี่เจตมีแค่ 57 คน น้อยมากจนผมสงสัยว่าเขาเป็นพวกไม่มีเพื่อนคบรึเปล่า
“แล้วนายลองคิดดูนะว่าถ้านายชอบคนคนหนึ่ง นายแอดไปกี่ครั้งเขาก็ไม่รับแต่รับแอดเพื่อนของนาย คิดสิว่านายจะรู้สึกยังไง”
เสียใจ“นั่นแหละที่เธอกำลังรู้สึก นายช่วยเข้าใจเธอหน่อยนะ” ผมมองหน้าชัยแล้วพยักหน้ารับ ถ้าแอลรับแบงค์เป็นเพื่อนแต่ไม่รับผมเป็นเพื่อนผมก็คงเสียใจเหมือนกัน
.
.
.
“พัก 10 นาทีค่ะ” เมื่อครูพูดจบเหล่านักเรียนหัวเกรียนก็รีบวิ่งออกจากห้องทันที ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเพราะกลั้นปัสสาวะต่อไปไม่ไหวแล้ว แม้อาจารย์จะอนุญาตให้ไปเข้าห้องน้ำขณะเรียนก็เถอะ แต่เพราะต้องเรียนโปรแกรมทีละขั้นตอน หลุดเหม่อไปแป๊บเดียวก็ไปต่อไม่ถูกแล้ว
จะถามเพื่อนที่อยู่ข้างกันเธอก็ทำหน้าบอกบุญไม่รับ ส่วนไอ้คนตรงข้ามอย่าหวังเลยครับ มันนั่นแหละที่คอยถามผมตลอดว่าไปยังไงต่อนะ กดคำสั่งอะไรนะ โอย สรุปอั้นต่อไปจนครบชั่วโมงครับ
โชคดีที่ผมมีเสื้อกันหนาวจึงไม่ต้องทนทรมานเหมือนแบงค์ ผมเห็นมันวิ่งพรวดออกไปทันทีที่อาจารย์พูดคำว่าค่ะ
เมื่อสบายตัวผมก็เดินไปซื้อน้ำที่ร้านค้า เห็นแอลเดินมากับเพื่อนตัวเล็กก็เกิดป๊อดรีบหลบหลังเสา แอบฟังแอลพูดกับเพื่อนอย่างน่ารัก
“เนี่ยคาบต่อไปต้องเรียนห้องคอมนะแอล แล้วนายไม่เอาเสื้อกันหนาวมาต้องหนาวตายแน่ๆ”
“จริงเหรอ แล้วเราจะทำยังไงล่ะ”
“ยืมเสื้อพี่เจตก่อนไหม” เพื่อนแอลลอบยิ้มแปลกๆ ผมกลัวว่าถ้าแอลยืมเสื้อพี่เจตมาได้จริงๆ พี่เจตอาจถูกเพื่อนแอลคนนี้ทำคุณไสยใส่
“ไม่เอาหรอก เจตเรียนอยู่ไม่อยากกวน เราทนได้ไม่เป็นไร” แอลบอกเพื่อนแล้วชวนกันขึ้นอาคารไป
ผมเริ่มคิดแผนในหัวอย่างช้าๆ หึหึ แบบนี้หนทางเนียนขอเฟซแอลจะไปยากอะไร
ผมกลับขึ้นห้องไปเรียนอย่างแจ่มใสเพราะไม่ต้องง้อไอ้พี่เจตแล้ว แต่ก็ยังไม่อยากอันเฟรนด์ตอนนี้เพราะถ้าชวดเฟซแอล ยังไงก็คงต้องอ้อนวอนขอพี่เจต ในเมื่อเขารู้แล้วว่าผมอยากได้อะไร
นอกจากนั้นผมก็เขียนจดหมายหาพี่รหัสตัวเองให้ช่วยเนียนขอเฟซแอลอีกทาง ไม่ได้ขอเฟซพี่แต่ขอเฟซน้องคงไม่ถูกปฏิเสธหรอก พี่ผมเป็นผู้หญิงน่ารักยังไงพี่เจตคงให้แต่โดยดี
พอหมดคาบ ผมรอให้เพื่อนๆ ทยอยออกจากห้องไปก่อนแล้วถอดเสื้อกันหนาวพาดเก้าอี้ไว้
หากถามว่ารู้ได้ไงว่าแอลจะนั่งโต๊ะเดียวกับผม ก็คงเพราะเด็กที่ย้ายมาจะมีรายชื่ออยู่คนสุดท้ายของห้องเพื่อให้ง่ายต่อการเช็คชื่อ ผมสอดบัตรนักเรียนไว้ในกระเป๋าเพื่อให้แอลรู้ว่าเสื้อเป็นของผมพร้อมทั้งแปะเบอร์โทรไว้ด้วย
เรียกแผนนี้ว่าได้ทั้งไลน์ได้ทั้งเบอร์.
.
.
“เลิกเรียนแล้วมึงจะไปไหนต่อ ดักคุยกับแอลเลยไหมง่ายดี” แบงค์ถามพลางเก็บของใส่กระเป๋า
“ก็กลับบ้าน กูมีแผนแล้วไม่ต้องห่วง”
“เออดีแล้ว อย่าเพิ่งผลีผลามทำอะไรตอนนี้ กูได้ข่าวจากเพื่อนมาว่าเมื่อตอนบ่ายมีคนไปสารภาพรักแอล โคตรไวไฟอะ มึงรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
“อะไรวะ” ผมถามด้วยความอยากรู้ ใครมันกล้าตัดหน้าผมวะ
“พี่เจตตามไปถึงห้องเลยครับ ถามไอ้หน้าจืดนั่นว่า ‘นายกล้าดียังไงมายุ่งกับน้องฉัน’ คือแบบ ทุกคนตกใจมากเพราะไม่มีใครรู้ว่าแอลเป็นน้องพี่เจต”
“แล้วไงต่อ”
“แหม หวานหมูสิครับมึง สาวๆ เข้าหาแอลอย่างไม่มีปิดบังเลยว่าต้องการอะไร เพื่อนกูไลน์มาโอดครวญกันใหญ่เลยว่าแววอกหักมาแต่ไกล มึงเองก็เหมือนกัน นั่นน้องพี่เจตเลยนะโว้ย เนื้อคู่กลายเป็นเนื้อร้ายแน่ถ้ามึงยังดึงดันจะจีบเขา” แบงค์เตือนผมด้วยความหวังดี
“เออ กูรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาเป็นพี่น้องกันอะ นึกว่าทุกคนรู้กันแล้วซะอีก”
“ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นแหละจนพี่แกมาประกาศศักดา หึ ท่าทางแอลจะรับศึกหนักว่ะ” แบงค์เพยิดหน้าไปทางทางเดินหน้าตึก แอลถูกล้อมรอบไปด้วยสาวๆ คนตัวเล็กมองหน้าคนโน้นคนนี้เลิ่กลั่ก แอลตัวเล็กอย่างกับเด็กม.ต้นจะไปสู้อะไรกับสาวๆ ม.ปลายได้ล่ะครับ เห็นแบบนั้นผมก็สงสารจนอดไม่ได้ต้องเข้าไปช่วยพาคนตัวเล็กออกมา
“ถอยหน่อยครับ” ผมเบียดตัวเข้าไปในวงล้อมแล้วถือวิสาสะโอบแอลเข้ามาในอ้อมแขนก่อนจะฝ่าพวกเธอออกมา
“เดี๋ยวสิ เรายังคุยกับแอลไม่รู้เรื่องเลยนะ นายมายุ่งอะไรด้วย” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นตามด้วยเสียงสนับสนุนของคนที่เหลือ ผมหันกลับไปมองพวกเธอด้วยรอยยิ้มกะล่อน
“เอาไว้คุยวันอื่นนะ วันนี้แอลมีนัดกับพี่เจต ถ้าแอลไปสายเพราะพวกเธอพี่เจตก็คงโกรธน่าดู” ผมด้นสด มองปฏิกิริยาของพวกเธอก็เห็นว่าต่างรีบแยกย้ายกันไปทันที
อะไรจะกลัวพี่เจตไม่ชอบขนาดนั้น แต่ก็อย่างว่า ใครๆ ก็อยากดูดีในสายตาของคนที่ชอบอยู่แล้ว ไม่เว้นแม้แต่ผม ไม่อย่างนั้นผมกราดไปแล้ว นี่คีพลุคแฟนหนุ่มที่ดีอยู่ครับเผื่อแอลจะฝากใจให้ดูแล
ผมก้มหน้ามองคนตัวเล็กที่ซุกอกผมอย่างตื่นกลัว แอลเงยหน้าขึ้นสบตาผมก่อนจะรีบผละออกด้วยใบหน้าขึ้นสี
“ขอบใจนะ...พู” แอลพูดเสียงเบาจนผมต้องยื่นหน้าเข้าไปฟังใกล้จนได้กลิ่นแป้งเด็กบนผิวกาย
“ไม่เป็นไรครับ แล้ว...แอลกลับยังไงอะ” ผมถาม เผื่อว่าจะได้มีโอกาสไปส่งถึงบ้าน
“กลับรถเมล์กับเจต โอ๊ะ” แอลทำหน้าตกใจแล้วก้มมองนาฬิกา “สายแล้ว! ไปก่อนนะพู” แอลส่งยิ้มน่ารักก่อนจะวิ่งจากไป ทิ้งให้ผมโบกมือบ้ายบายและยิ้มอยู่คนเดียว
“แหม มีความทำคะแนนนะมึง หุบยิ้มได้แล้วก่อนจะโดนรุมสกรัม”
“ทำไมวะ” ผมยังทำท่าเดิมอยู่แม้ว่าแอลจะหายไปจากสายตาแล้วก็ตาม
“สามนาฬิกา” ผมเบนสายตาไปตามทิศทางที่แบงค์พูด เห็นเพื่อนต่างห้องส่งสายตาอาฆาตมาให้อย่างไม่ปิดบัง ไม่ใช่คนเดียวแต่เป็นสิบเลยครับ
ผมฉีกยิ้มกว้างให้พวกมันอย่างไม่หวั่นใดๆ ผมสุขใจที่ได้โอบกอดแอลด้วยสองแขนของผม ก้มมองแขนตัวเองแล้วคิดในใจ
กูจะไม่อาบน้ำเลย“ทำหน้าอย่างนี้ซกมกแน่นอน กูบอกไว้ก่อนเลยนะว่าถ้าพรุ่งนี้มึงไม่อาบน้ำมาโรงเรียนไม่ต้องมานั่งข้างกู” แบงค์ชี้หน้าผมก่อนจะเดินไปอีกทางเพราะมีประชุมหัวหน้าห้องต่อ
ผมเดินยิ้มไปตลอดทาง ขึ้นรถเมล์ก็ยิ้มจนกระเป๋ารถเมล์ถามว่าผมไม่สบายหรือเปล่า ผมสบายดีครับ ดีจนไม่อยากหุบยิ้มเลย มองอะไรก็สวยงามไปหมด หมาตัวโตหน้าซอยที่ปกติผมจะกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ แต่วันนี้ผมส่งยิ้มให้มันอย่างเป็นมิตรแม้ว่ามันจะเห่ากรรโชกใส่ก็ตาม
“โฮ่ง!” ยิ้มอ่อน
“เป็นเด็กดีนะไอ้ดำ แล้วพรุ่งนี้กูจะคลุกข้าวมาแบ่งให้มึงกิน” ผมบอกมันแล้วเดินฮัมเพลงไปจนถึงบ้าน
“อารมณ์ดีอะไรมาล่ะตัวแสบ” แม่ผมถามเมื่อเห็นผมเข้ามา กลิ่นเครื่องแกงฉุนจมูกทำให้ผมจามติดกันหลายรอบ
“พ่อ! ผมบอกแล้วไงว่าให้ซื้อเครื่องดูดควันมาติดกลิ่นจะได้ไม่คลุ้งไปทั่วบ้าน” ผมบ่นนิดๆ แล้วหันไปจูงมือแม่ออกมาที่สนามหญ้าหน้าบ้าน
“บอกแม่ได้หรือยังว่าอารมณ์ดีอะไรมา” แม่ซักผมทันทีที่เรานั่งลงบนเก้าอี้ม้าหินอ่อน
“ก็...แม่จำที่พูบอกว่าเจอคนที่ชอบแล้วได้ปะ”
“ก็เห็นโม้ตลอด ไหนล่ะลูกสะใภ้แม่” แม่ทำทีมองซ้ายมองขวาหาคนที่ผมชอบ
“สักวันจะพามาเปิดตัว แต่วันนี้อะได้แตะตัวเขาด้วย” ผมยิ้มกว้างอย่างมีความสุข แม่มองผมแล้วส่ายหน้า
“ไม่ได้เรื่อง อย่าไปบอกใครนะว่าลูกเจ้สมศรี”
“แม่อะ”
“ชักช้าสมเป็นลูกพ่อแกเลย ถ้าเป็นลูกแม่ที่แท้จริงต้องบุกแล้วรู้ไหม นี่อะไร แตะตัว แกอยู่ในยุคไหนแล้วฮะ ลูกชายบ้านโน้นเขามีแฟนไปเป็นร้อยคนแล้วนะ”
“ลูกแม่รักเดียวใจเดียวไง ขืนหลายใจแบบลูกชายบ้านโน้นเกิดทำสาวท้องป่องหรือติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ขึ้นมาแล้วจะยุ่งนะ แม่อยากให้ผมเป็นแบบเขาเหรอ”
“ก็เปรียบเปรยไหมล่ะ แกน่ะมัวชักช้าจนถูกแย่งคนที่ชอบไปตั้งหลายรอบแล้วไม่ใช่เหรอ”
อุปส์ ความจริงหญิงเขาไม่เอาผมครับแม่ แต่ใครจะกล้าบอกความจริงว่าลูกแม่นกตลอดล่ะ
“รีบๆ ทำคะแนนเข้ารู้ไหม ผู้หญิงน่ะชอบผู้ชายเอาใจ เอาใจใส่เขามากๆ ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษอย่างพ่อแกก็ก็ดีพิชิตใจสาวได้นักต่อนักล่ะ”
“รวมถึงแม่ด้วยใช่ไหมล่ะ” ผมยิ้มแซว
“แม่หมายถึงบรรดาผู้หญิงที่มาชอบพ่อแก ส่วนแม่น่ะ เป็นผู้พิชิตใจพ่อแกต่างหาก กว่าจะได้มาก็เสียไปหลายอย่างเลย”
“อะไรบ้างอะแม่”
“เพื่อนดีๆ แกรู้ไหมว่าการชอบคนเดียวกับเพื่อนเป็นเรื่องที่ทำให้แม่เสียใจมาก” แววตาแม่เศร้าลง “แต่ถ้าแม่ยอมเสียพ่อแกไปแม่จะเสียใจยิ่งกว่า” แม่ส่งยิ้มให้ผมแล้วลูบหัวผมเบาๆ
“ชิงมาก่อนที่จะถูกแย่งไปนะลูก เพราะรักแท้คือการแย่งชิง รักไม่จริงคือการเสียสละ” ผมรู้สึกคุ้นกับประโยคหลังอย่างบอกไม่ถูก แม่เสริมต่อว่า “แม่จำมาจากละครเมื่อตอนบ่ายนี่เอง โอ้ย นางเอกแซ่บมาก แย่งพระเอกมาจากนางร้ายที่เคยเป็นเพื่อนตัวเอง ต้องปรบมือให้จริงๆ นี่แหละถึงจะเรียกว่าผู้พิชิตรักแท้”
“แม่...” ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“อะไรยะ”
“ไอ้ที่ดราม่าเรื่องพ่อนี่ก็เอาพล็อตมาจากละครเหรอ”
“ก็เออน่ะสิ อย่ามัวรอช้าเหมือนนางร้ายล่ะ พอโดนแย่งจะมาวีดว้ายไม่ได้นะ” แม่ยื่นหน้าเข้ามาจ้องตาให้ผมรีบๆ ตอบรับ
“ครับ”
“ดี” แม่หันไปหาพ่อที่เดินถือจานกับข้าวเข้ามา พ่อผมเป็นพ่อศรีเรือนครับ กลับจากบริษัทก็รีบมาทำอาหารให้คุณนายสมศรีรับประทานเพราะคุณนายท่านไม่ชอบกินอาหารนอกบ้าน ส่วนแม่ผมเป็นครูพละโรงเรียนอนุบาลครับ เห็นร่างบางๆ แบบนี้เคยเตะก้านคอผู้ชายมาแล้ว เพราะเรียนศิลปะการต่อสู้มาครบทุกแขนง
แต่ไม่รู้ทำไมผมไม่ได้เชื้อความเก่งกาจจากแม่มาเลย มีดีแค่ฝีมือทำอาหารที่ฝึกกับพ่อเป็นประจำ เนื่องจากพ่อต้องเดินทางไปติดต่องานต่างประเทศบ่อยๆ หน้าที่ทำอาหารจึงตกเป็นของลูกคนเล็กอย่างผม
“แล้วนี่ลันเตาติดต่อมาบ้างหรือเปล่าพู” พ่อถามถึงพี่ชายคนโตที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด นานๆ ทีจะกลับมาบ้าน และชอบมาไม่บอกกล่าวใครเลย
หลายเดือนก่อนพี่ลันเตากลับมาบ้านกลางดึกแล้วไม่ยอมไขกุญแจเข้ามาแบบชาวบ้าน พี่แกเล่นปีนขึ้นชั้นสอง ยามที่เดินตรวจตราก็คิดว่าเป็นโจรจึงเป่านกหวีดลั่น พ่อ แม่ และผมต้องตื่นกลางดึกเพราะเขาคนเดียว
พวกเราสรุปได้ว่าพี่ลันเตาเป็นคนติสท์ขั้นเทพ นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป พ่อกับแม่เป็นห่วงว่าพี่ผมจะโดนทำร้ายเพราะความไม่สนโลกของเขา ผมเองกลัวจริงๆ ว่าเขาจะไปเหยียบหางเสือแล้วจะเอาชีวิตไม่รอด
“ไม่เคยอ่านข้อความที่ผมส่งให้เลยพ่อ” ผมตักข้าวใส่จานให้พ่อกับแม่ก่อนจะตักของตัวเอง
“ยังดีที่เข้าเรียนทุกคาบนะพ่อ” ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับแม่ ถึงพี่ผมจะติสท์ไปนิดแต่ก็ไม่เคยขาดเรียน ผลการเรียนก็อยู่ในอันดับต้นๆ พ่อกับแม่จึงไม่กังวลมากนัก
“เพื่อนพ่อเพิ่งกลับมาต่างจังหวัด มันเห็นพี่ชายเราเดินอยู่กับนักเลงกลุ่มหนึ่งน่ะสิ พ่อก็กลัวว่าจะถูกอุ้มฆ่า” ผมโบกมือปัดๆ
“ไม่มีทาง พ่อก็รู้ว่าพี่ลันเตาศิษย์ใคร” ผมเหล่ไปทางแม่ที่ยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ เพราะพี่ชายผมเจริญรอยตามแม่ได้ดีจริงๆ ฝีมือแทบจะถอดแบบกันมาเลยก็ว่าได้ เผลอๆ เก่งกว่าแม่อีกเพราะเป็นผู้ชาย
“พี่แกไม่ได้เหยาะแหยะเหมือนแก ฝึกนิดฝึกหน่อยก็บ่น” ผมเบะปากก่อนจะตักข้าวเข้าปาก ขณะนั้นเสียงริงโทนโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น เบอร์ไม่คุ้นตาปรากฏขึ้นก่อนผมจะกดรับสาย
“สวัสดีครับ พูครับ”
(ฮัลโหล เราแอลน้า) เสียงหวานปลายสายทำให้ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าบ้านทันที ปล่อยให้พ่อกับแม่มองมาอย่างงงๆ
กรี๊ดดดดดดดดด แอลโทรมา ว่าที่แฟนโทรมาหา อร้ายยยยยยยยผมเดินพล่านไปทั่วห้องอย่างอยู่ไม่สุข ในใจก็คิดเพียง แอลโทรมา แอลโทรมา ก่อนจะหยุดกึกเมื่อแอลพูดประโยคถัดไป
(คือเราลืมคืนเสื้อกันหนาวให้พูอะ เมื่อเย็นตั้งใจจะเอาไปให้ที่ห้องแต่ว่า...) ผมนึกถึงเสื้อกันหนาวที่แอลใส่เมื่อเย็นก็เข้าใจว่าทำไมแอลถึงอยู่แถวหน้าตึกที่ผมเรียนให้สาวๆ รุมทึ้ง ทั้งที่คาบสุดท้ายแอลเรียนอีกตึกซึ่งอยู่ใกล้ประตูโรงเรียนมากกว่า
“ไม่เป็นไร” ผมตอบเสียงนิ่งทั้งที่ในใจเต้นโครมคราม ผมยกมือแตะหน้าอกตัวเองเพื่อควบคุมจังหวะหัวใจ
ใจเย็นๆ นะหัวใจ(เราโทรมาบอกพูก่อนว่าเสื้ออยู่ที่เรา เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาไปให้น้า...เลิกคุยได้แล้ว) เสียงเข้มขัดขึ้นก่อนสายจะถูกตัดไป แม้จำได้ดีว่านั่นเสียงใครแต่ผมไม่สนใจครับ รีบเมมเบอร์แอลแล้วเข้าไปดูเพื่อนใหม่ในไลน์
รูปอมยิ้มบอกได้อย่างดีว่าเป็นไลน์ของใคร ผมรีบพิมพ์ข้อความส่งไปหาแอลและหวังว่าคนตัวเล็กจะตอบกลับมา
Purin : สวัสดีครับ
Omyim: ใครอะ
Purin : พูไง แอลลืมแล้วเหรอ *ส่งรูปหมีบราวนั่งกอดเข่า
Omyim: ไม่ลืมๆ ใครจะลืมพูล่ะ
พอได้อ่านก็ใจชื้น อย่างน้อยแอลก็คงไม่บล็อกไลน์ผม ผมคิดหาเรื่องคุยต่อ กดพิมพ์ๆ ลบๆ อยู่นาน แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นประโยคเดิมๆ
Purin : เอ่อ แอลทำอะไรอยู่เหรอ
นั่งมองประโยคสิ้นคิดที่เพิ่งพิมพ์ถามแอลไป ขึ้นอ่านไม่นานคนตัวเล็กก็พิมพ์ตอบกลับมา
Omyim: ทำการบ้านเลขของอาจารย์สุพัสศรี
Purin : อ่อ ทำได้ไหม
ถ้าไม่ได้เราจะเป็นติวเตอร์ส่วนตัวให้นะ อร้ายยยยยย Omyim: ไม่ยากแล้ว เจตช่วยสอนให้น่ะ
เหอะ พี่เจตนี่ตามติดคนของผมจังเลยนะ
Purin : พี่เจตสอนรู้เรื่องเหรอ ให้เราสอนดีกว่าไหมเราเก่งเลขนะ
ผมจินตนาการถึงตอนที่แอลถามผมว่าข้อนี้ทำอย่างไร ผมโน้มตัวเข้าไปสวมกอดคนตัวเล็กจากด้านหลังแบบเนียนๆ แนบใบหน้าชิดแก้มนิ่มของแอลแล้วค่อยๆ อธิบายวิธีการทำโจทย์ พอแอลทำได้ก็ยืดตัวขึ้นหอมแก้มผมเป็นรางวัล
อ่า แค่คิดก็ฟินแล้วOmyim: เจตสอนเข้าใจน้า ได้ที่หนึ่งของห้องด้วย ให้พี่เจตสอนพูด้วยไหม เราบอกให้ได้นะ
Purin : ไม่เป็นไรแอล เกรงใจพี่เขา
Omyim: เจตบอกว่าสอนได้นะ
Purin : ไม่ดีกว่า เออ ว่าแต่...แอลมีเฟซปะ
ผมรีบถาม ถ้ามีจะได้เพิ่มเป็นเพื่อนโดยไม่ต้องผ่านนายหน้าอย่างไอ้พี่เจต
Omyim: เคยมีนะแต่ปิดเฟซนั้นไปแล้ว ยังไม่ได้สมัครเฟซใหม่เลย
Purin : อ่า ถ้าสมัครอย่าลืมบอกเราน้า
Omyim: โอเค! *รูปกระต่ายโคนี่ถือป้ายโอเค
ผมคุยไลน์กับแอลไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแม่เรียกให้ผมเก็บจานไปล้าง พอเช็ดจานเสร็จก็รีบขึ้นห้องคุยไลน์กับแอลต่อ ก่อนที่คนตัวเล็กจะขอตัวไปอาบน้ำและเข้านอนตามประสาคนน่ารัก
ฮ้า คืนนี้ผมคงหลับฝันดีกว่าที่เคย
ความรักของผมคืบหน้าไปอีกขั้นแล้วนะ...คุณว่าที่แฟน
Tbc.
⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀
น้องพูกำลังทำคะแนนอยู่จ้า แต่จะสมหวังหรือไม่นั้น โปรดติดตามตอนต่อไป 5555
คนเขียนเบลอมาก ขอไปนอนก่อนน้า ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ค่ะ 