18.เก่าไปใหม่มา
ช่วงนี้ออฟฟิศที่เคยมืดมนก็กลับมามีบรรยากาศสดใสเยี่ยงพระอาทิตย์ในหน้าร้อนอีกครั้งในรอบเกือบสองปี ส่วนสาเหตุส่วนใหญ่ก็น่าจะมาจากลูกพี่ลูกน้องที่ค่อยๆสนิทกันขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“จะกินอะไร”
หัวหน้าถามพาโชคพร้อมกับยื่นถุงในมือที่ประกอบด้วยข้าวปั้นญี่ปุ่นกับแซนวิชให้เลือก
“อยากกินหมูทอดเจียงฮาย”
คนเด็กกว่าบอกลูกพี่พร้อมกับทำหน้าตาไม่พอใจ
“งั้นก็ไม่ต้องกิน”
พี่ยูชักมือกลับพร้อมกับทำท่าจะเดินกลับโต๊ะ พัชผู้ไม่อยากชวดมื้อเช้ารีบคว้าถุงข้าวปั้นไว้ในมือก่อนจะขอบคุณลูกพี่ซึ่งการกระทำทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของพี่ๆทุกคนในห้อง เจนที่พอรู้เรื่องบ้างแล้วดูดกาแฟไปเขินไป ส่วนพี่เอกนั้นพยายามทำตัวให้เหมือนไม่มีตัวตนมากที่สุด
“เจนทำไมไม่แซวลูกพี่วะ”
พี่เดี่ยวผู้น่าจะไม่ได้สังเกตบรรยากาศสีชมพูถามเจนที่เงียบเชียบผิดปกติ
“แซวไม่ออกค่ะ”
เจนบอกพร้อมกับปัดมือไปมาเสมือนการแซวที่ผ่านมาเกือบสามปีไม่เคยเกิดขึ้นจริง มีเพียงพี่บอลที่เริ่มระแคะระคายบ้างแล้ว เขาแกล้งไม่สนใจหัวหน้าแต่ถามพาโชคแทน
“พัชดูอเวนเจอร์ล่าสุดยัง”
“ยังเลยพี่”
พาโชคตอบพร้อมกับเปิดคอมของตัวเอง
“เย็นนี้ไปดูกันไหม พี่เลี้ยงเอง”
ถ้านับพี่เจนกับหัวหน้าแล้วแม้จะสนิทใจกับพวกพี่ๆคนอื่นๆมากแค่ไหนพาโชคก็ไม่เคยไปไหนมาไหนกับพวกพี่เขา แต่การได้ดูหนังฟรีก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรปฏิเสธแต่อย่างใด
“เอาดิพี่ ดูที่ไหน”
พาโชคตอบโดยไม่ได้คิดอะไร แต่หัวหน้าผู้พึ่งเปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองบอกเสียงเรียบ
“งั้นวันนี้พัชจะกลับบ้านเองใช่ไหม”
เจนกับพี่เอกมองหน้ากันพร้อมกับกลั้นยิ้ม พี่บอลมองคนนั้นทีคนนี้ทีก่อนจะอุทานออกมา
“กูว่าละ"
พอบอกแบบนั้นเจนก็ยักคิ้วให้ พี่บอลผู้เกือบโดนลูกพี่กินหัวเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว เหลือก็แต่พี่เดี่ยวที่นั่งอ่านข่าวไปกินข้าวไปแบบไม่สนใจโลก
“งั้นค่อยไปวันหลังนะโชค”
พี่บอลบอกพร้อมกับได้แต่ปลงว่าหนังเรื่องนี้คงไม่ได้ดูกับพาโชคแน่นอน
“อ้าว วันหลังนี่เมื่อไหร่”
พาโชคบ่นอุบแต่ยังไม่มีใครได้พูดอะไร พี่เดี่ยวก็ถามขึ้นมาเสียก่อน
“พี่เอก IOS ใช้อะไรเขียนนะพี่”
พี่เอกเลิกคิ้วมองก่อนจะตอบ
“ใช้มือเขียน”
พาโชคที่กำลังเคี้ยวข้าวอยู่ขำพี่ๆที่เริ่มตบมุขไร้สาระกัน
“พี่เอกเล่นกูละ”
พี่เดี่ยวว่าก่อนจะบ่นต่อ
“พี่เป็น senior dev พี่จะมาเล่นอะไรไร้สาระอะไรแบบนี้ไม่ได้”
พี่เอกหัวเราะก่อนจะถามต่อ
“มึงจะเอาอะไร”
“ผมอ่านบทความเจอว่าภาษา C# กำลังจะตายเพราะคนเห็นแอปจะแห่ไปเขียน Swift หมด”
พี่เอกปวดสมองกับข่าวที่ไม่กรองของพี่เดี่ยวเหลือเกิน
“IOS ใช้ Objective C เขียนส่วนเรื่องตายคงไม่ใช่เร็วๆนี้หรอก Swift พึ่งมาได้ไม่ถึงสิบปียังไงพวกนักพัฒนาคงยังไม่ทิ้งแต่จะค่อยๆหายไปไหมอันนี้ต้องคอยดู”
ว่ากันว่าถ้าวัดความก้าวหน้าของเทคโนโลยีของโลกจากไอโฟนที่ออกได้ปีละสองรุ่น ความก้าวหน้าของฝั่ง Developer อยู่สูงกว่านั้นมาก ดูได้จากยานอวกาศของนาซ่าที่ส่งออกไปตั้งแต่เกือบยี่สิบปีที่แล้วแต่ได้ภาพคมชัดในแบบที่หลายๆคนไม่อยากจะเชื่อ
“แล้วไอ้ C, C# ,Java ,php นี่ต่างกันยังไงคะ เจนได้ยินคุยกันบ่อยๆแล้วงง”
พี่เอกถอนหายใจยาวก่อนจะบอก
“Google เถอะเจน”
“ก็มันไม่เข้าใจไง”
พัชขำ เพราะเอาจริงๆตอนที่เรียนใหม่ๆก็มีคำถามเดียวกับพี่เจนนี่แหละ
“เจนเคยเรียนเขียนโปรแกรมอะไรมาบ้าง”
พี่บอลที่พยายามจะช่วยพี่เอกอธิบายถาม
“Html ค่ะทำเว็บตอนม.สอง งงมากกกก”
ผู้หญิงคนเดียวในห้องที่จบสายดีไซน์มาโดยตรงลากเสียงให้รู้ว่างงจริงๆ
“Html นี่เป็น markup language ด้วยนะ ไม่ใช่ programming language แบบที่เจนถาม”
ยิ่งพี่บอลอธิบายยิ่งทำให้พี่เจนงงไปกันใหญ่
“คือไอ้ที่เจนเรียนมาเป็นภาษาแบบโครงสร้างไง อยากสร้าง header ก็เขียนแท็ก header ขึ้นมาเลย ส่วน programming language มันจะซับซ้อนกว่านั้น เหมือนเราเรียนเลขจะหาค่าของ y โดยมีค่า x = 2 ทีนี้เราจะต้องมีตัวแปร...”
อย่าว่าแต่เจนงงเลย พี่บอลอธิบายเองก็งงเองไปแล้ว
“Google เอานะเจนนะ”
พวกพี่ๆที่นั่งรอฟังอยู่ขำกันเมื่อสุดท้ายพี่บอลก็ยอมแพ้ เหลือพาโชคผู้น่าจะอธิบายได้เข้าใจที่สุด
“อันนี้อาจารย์ที่เรียนพิเศษสอนผมมานะ ว่าเรียนภาษาโปรแกรมมิงให้คิดว่าเหมือนเรียนภาษาต่างประเทศ คือแต่ละภาษาจะมีคำกับแกรมม่าของตัวเอง วิธีการเขียนต่างกัน ข้อดีข้อเสียต่างกันขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้ทำอะไร ข้อดีคือถ้าเก่งภาษานึงแล้วเรียนภาษาอื่นก็ง่าย”
เจนก็ยังไม่เข้าใจ
“มันนามธรรมไปว่ะโชค เจ้อยากได้แบบรูปธรรม”
พาโชคมองหน้าพี่ๆรอบห้องก่อนจะไหว้ขอโทษพี่เจน
“Google นะพี่เจน”
สรุปแล้วก็ไม่มีใครช่วยอะไรเจนได้เลย
ในระหว่างที่หัวหน้ากำลังขำพาโชคเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับน้องฝ่ายบุคคลที่เดินเอาเอกสารมาส่ง
“เด็กฝึกงานเหรอ?”
หัวหน้าเปิดเอกสารก่อนจะถามพี่ฝ่ายบุคคลที่ไม่ได้ถามกันก่อนว่าทีมนี้อยากได้เด็กฝึกงานไหม เพราะเด็กล็อตที่แล้วมาก็ไม่มีโอกาสได้สอนเพราะยุ่งกันหมด สงสารน้องที่ตั้งใจมาเรียนรู้งานก็สงสารแต่ก็สงสารตัวเองด้วยที่ต้องแบ่งเวลาที่ไม่ไมีอยู่แล้วไปทำอย่างอื่น สุดท้ายแล้วก็ประเมินน้องไปแบบมั่วๆ ยังจำได้ว่าพาโชคให้คะแนนน้องไปเต็มร้อยเกือบทุกคนแบบไร้เหตุผลใดๆ
“ค่ะพี่ยู หนูแจ้งคุณเนมแล้ว เห็นว่าทีมนี้ขาด Developer อยู่แล้วห้องก็ยังพอมีที่นั่งด้วย”
“ทำไมไม่ถามทางทีมก่อนครับ คุณเนมไม่ได้รู้ process งานในทีมนะ”
พี่เอกที่เมื่อครู่ยังอารมณ์ดีว่าเสียงแข็ง เพราะฝ่ายบุคคลที่นี่ไม่เคยเข้าใจทีม development เลยน่าจะเป็นปัญหากับหลายๆบริษัทเหมือนกันที่แม้แต่คนในองกรณ์เดียวกันยังไม่รู้เลยว่าเนื้องานของโปรแกรมเมอร์เองมีอะไรบ้าง แต่ก่อนทางทีมก็เคยให้ฝั่งบริหารบุคคลทำหน้าที่รับสมัครคนให้ แต่หลังๆมาก็ต้องมานั่งหากันเองเพราะไม่เคยได้ตามสเป็ค ไหนจะเรื่องทำงานข้ามตำแหน่งกันไปมาอีก แทนที่รับเด็กฝึกงานฝั่งเดฟต้องมาถามคนของเดฟดันไปถามคุณเนมที่อยู่ฝั่งบริหาร
“น้องมาวันนี้ว่ะพี่”
หัวหน้าที่ก้มอ่านโฟรไฟล์เด็กฝึกงานอยู่เงยหน้ามาบอกพี่เอก ก่อนจะบอกทุกคน
“มีน้องผู้ชายมาฝึก back-end สองคน IOS คนนึงเป็นผู้หญิง”
หัวหน้าพลิกกระดาษไปมาก่อนจะมองมาที่พี่เอกผู้ที่ดูหน้าก็รู้ว่าไม่อยากได้เด็กฝึกงานช่วงนี้
“เอาน่าพี่ น้องอาจจะช่วยงานได้”
พี่ยูว่าแต่จะช่วยได้แค่ไหนก็ไม่รู้ อย่างมากก็มาฝึกแค่สี่เดือนยังไม่ทันจะเป็นงานก็จบโปรแกรมแล้ว พี่เอกถอนหายใจก่อนจะโบกมือ ไปมาเป็นเชิงว่าพอเถอะก่อนจะเริ่มลงมือทำงานของตัวเอง
“หนูไปเรียกน้องเข้ามานะคะ”
น้องฝ่ายบุคคลที่น่าสงสารมากตอนนี้บอกเสียงอ่อย พาโชคอึดอัดแทนแต่ก็แอบตื่นเต้น เพราะชอบเวลาห้องนี้มีเด็กฝึกงาน อย่างครั้งที่แล้วมีกันห้าคนชายล้วนก็ตลกดี เหมือนได้เพื่อนเพิ่ม
ไม่นานนักน้องผู้ชายสองคนก็เดินเข้ามาก่อนเป็นเด็กไอทีจากสถาบันแห่งนึงที่พาโชคพอจะรู้จักแต่จุดที่น่าสนใจคืดเด็กผู้หญิงใส่ชุดนิสิตพอดีตัวพร้อมกับกระโปรงสอบสั้นหน้าตาจิ้มลิ้ม แบบที่พาโชคไม่เคยพบเจอสมัยเรียน เพราะส่วนมากผู้หญิงไอทีจะไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงเท่าไหร่ น้องสวยๆแบบนี้น่าจะเป็นหนึ่งในล้าน
“คนที่บ่นๆอยู่เมื่อกี้เงียบไปเลยค่ะ”
พาโชคขำพี่เจนผู้แซวพี่เอกที่ตอนนี้นั่งกระพริบตาพริบๆอยู่ตรงโน้น
“โต๊ะน้องฝึกงานนี่จะให้นั่งติดหน้าต่างเหมือนเดิมไหม หรือพี่เอกอยากให้น้องไปนั่งใกล้ๆ”
พี่เดี่ยวบอกพร้อมกับกลั้วหัวเราะ พี่คนอื่นๆนั่งกลั้นขำจนหน้าแดง พาโชคแอบเห็นพี่เอกหูแดงแล้วด้วย ยังไงเสียผู้ชายก็มักจะตื่นเต้นกับเด็กผู้หญิงน่ารักๆอยู่ดี
“ข้างๆพี่ก็ว่าง”
รวมไปถึงลูกพี่ของห้องที่พูดออกมาหน้าตาเฉย พี่เดี่ยวขำได้ใจแต่พี่เจนกลับมองหน้าพาโชคสลับกับหัวหน้า
“แหม ที่ผมกับไอ้พัชเคยขอไปนั่งตรงนั้นไม่เคยเห็นพี่ยูจะพูดอะไร เนอะพัช”
พี่เดี่ยวชงหวังให้เพื่อนๆในห้องตบมุขกันอย่างเคย แต่กลับเงียบกริบจนคนที่ยิ้มกว้างแบบพี่เดี่ยวต้องเงียบลงเสียเฉยๆ
“กูส่งผิดจังหวะเหรอวะ”
พี่เดี่ยวหันมาถามพี่บอลที่มองหน้าหัวหน้าแต่ก็ไม่พูดอะไร
***
ว่ากันว่าความฉลาดมีสองแบบคือความฉลาดแบบคนหัวดีกับความฉลาดทางอารมณ์ เจนว่าพี่ยูน่าจะฉลาดเฉพาะแบบแรกเพราะตั้งแต่เช้าที่เคลียร์โต๊ะข้างหน้าต่างวิวดีให้น้องได้นั่งแล้วตัวเองก็ทำงานต่อไปเฉยๆโดนไม่ได้รับรู้เลยว่าฝั่งคนเชียร์อึดอัดแค่ไหน
“กินไรโชค”
พี่เจนลุกขึ้นจากโต๊ะเมื่อเห็นว่าเที่ยงแล้ว
“อยากกินเตี๋ยวต้มตำ”
พัชตอบพร้อมกับลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เจนมองเสื้อโอเวอร์ไซส์กับกางเกงยีนส์สีซีดที่ช่วยกันเลือกกับพี่บอลอย่าภูมิอกภูมิใจ ตั้งแต่พาโชคแต่งตัวดีขึ้นก็ดูน่ารักขึ้นเยอะ เวลาไปกินข้าวพี่เจนก็เห็นว่าเด็กนักศึกษาแถวนี้ก็ชอบมองน้องชายตัวเอง จะมีก็แต่หัวหน้านี่แหละที่ยังไม่รู้อะไรเป็นอะไร
“จะไปกินเตี๋ยวต้มยำมีใครไปไหมคะ”
พี่เอกกับลูกพี่ปฏิเสธเพราะอยากอยู่เคลียร์งานต่อให้จบก่อนบ่าย ไว้สักบ่ายสามคงหาเรื่องลงไปกินข้าวกันเอง วันนี้พี่บอลก็หิ้วปิ่นโตมาจากบ้าน เพราะฉะนั้นเลยมีแค่พี่เดี่ยวกับน้องๆที่เดินตามกันมา
“ปกติพี่ยูไม่พลาดนิ สงสัยวันนี้งานแกยุ่ง”
พี่เดี่ยวว่าพร้อมกับเดินเข้าลิฟท์ พาโชคสบตากับสาวคนเก่าของหัวหน้าซึ่งเขาหลบตาแทนที่จะเอ่ยทักทายแบบที่เคยทำ
“แพม นี่ไงคนทีมพี่ยู ถามสิ”
พัชกับเจนมองหน้ากันเมื่อคนอีกกลุ่มในลิฟท์กำลังพูดถึงพวกเขา แต่เสียงก็เงียบไปเมื่อลิฟท์เปิดออกที่ชั้น 1 พอดี
“เมื่อกี้มีอะไรกันวะ”
พี่เดี่ยวถามซึ่งเจนกับพาโชคก็ได้แต่ส่ายหัวโดยไม่พูดอะไร ข้าวกลางวันวันนี้ไม่อร่อยอย่างที่คิดเพราะบรรยากาศของพี่ๆนั้นไม่เฮฮาเหมือนปกติ พาโชคที่กำลังคิดเรื่องพี่แพมกับเพื่อนในลิฟท์ปิดปากเงียบ พาลให้พี่เจนคิดไปว่าน้องคงไม่พอใจเรื่องที่หัวหน้าให้น้องนินนักศึกษาฝึกงานไปนั่งใกล้ๆ พี่เดี่ยวที่วันนี้ฟอร์มตกไม่มีคนคอยตบมุขก็ดูห่อเหี่ยวไม่ต่างกัน
ในระหว่างทางเดินกลับออฟฟิศพาโชคผู้ไม่เคยเฉียดเข้าไปใกล้สตาร์บัคถ้าไม่มีโปรโมชันมองเห็นพี่แพมกับเพื่อนที่ปลายแถวถึงได้เดินเข้าไปต่อคิวบ้าง ปล่อยให้พี่เจนกับคนอื่นเดินขึ้นออฟฟิศไปก่อนอย่างผิดวิสัย
“อ้าว สวัสดีครับ”
พาโชคแกล้งยิ้มทักทายเมื่อสาวสวยผมสั้นหันมาสบตาพอดี เธอยิ้มบางๆให้ก่อนจะรีบหันกลับไปทางเดิม แต่ในระหว่างนั้นเพื่อนคนที่พูดอะไรสักอย่างในลิฟท์ก็หันมาเจอมันพอดี
“นี่ไงแพม ถามเลย น้องเขาน่าจะสนิทกับพี่ยู”
พาโชคทำหน้าตางงๆทั้งพยายามสังเกตท่าทางของพี่แพมที่ตอนนี้ดูเหมือนอยากจะลากเพื่อนกลับออฟฟิศเต็มที
“น้องคะ พี่ขอถามหน่อยนะ พี่ยูมีแฟนยัง”
เพื่อนของพี่แพมถามพร้อมกับยิ้มน้อยๆอย่างทะเล้น ซึ่งน่าจะเป็นลักษณะนิสัยส่วนตัวอยู่แล้ว พาโชคแกล้งตกใจก่อนจะทำหน้าตาสงสัย
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน น่าจะยัง มีอะไรไหมครับ”
พัชยิ้มให้อีกคนอย่างเป็นมิตรทั้งพยายามทำให้ฝั่งนั้นพูดอะไรมากกว่านี้เสียหน่อย
“อ้าว ไหนแกบอกว่าเลิกคุยเพราะพี่เขามีแฟนแล้วไง”
ปลายประโยคพี่คนนั้นหันไปหาพี่แพม พาโชคยิ้มให้เขาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ พอถึงคิวก็สั่งเมนูปั่นแก้วใหญ่เติมน้ำตาลในหัว ถ้าเทียบการเสียตังค์ไป 185 บาทกับกาแฟแก้วนึงกับข้อมูลที่ได้มาถือว่าไม่คุ้มเสียเลย ในระหว่างที่พยายามดูดวิปครีมอย่างเอาเป็นเอาตายก็เดินสวนกับลูกพี่ผู้มีโจทก์ไปทั่ว
“ไม่ซื้อเผื่อเลย”
พี่ยูผู้พึ่งเดินลงมากินข้าวทักเด็กแว่นที่เดินดูดชาเขียวปั่นแก้วใหญ่อย่างไม่สนใจโลกและที่สำคัญคือไม่สนใจหัวหน้าอย่างเขาด้วย
“ไม่หันนะแว่น”
พี่ยูดึงไหล่อีกคนให้หันมาอีกทางแล้วลากออกไปกินข้าวด้วยเสียเลย ในระหว่างในเด็กแว่นที่วันนี้ไม่ได้สวมแว่นกำลังตั้งตัวไม่ทันก็ฉวยแก้วชาเขียวในมือมาดูดเสียเลย
“กินเอ็มเคกัน”
“ทำไมผมต้องกินข้าวซ้ำซ้อนเนี่ย”
พัชบ่นพร้อมกับหันหลังกลับแต่ทำยังไงก็สู้แรงควายของหัวหน้าไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็โดนลากเข้าร้านสุกี้มาเสียแล้ว
“หน้าบูด”
หัวหน้าว่า คนหน้าบูดมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาบ่ายโมงพอดี
“พี่ยูรับผิดชอบโบนัสผมไหวไหม ผมเลทแล้ว”
คนเป็นหัวหน้าขำพรืด ช่างกล้าพูดว่าเลท ปกติกว่าจะลากสังขารกันมาเข้างานก็สิบโมงกว่า
“รับผิดชอบทั้งชีวิตเลยครับ”
คนตัวโตว่าพลางยักคิ้วให้แบบที่ดูยังไงก็กวนตีน
***
“นี่พี่จำทางกลับบ้านได้ไหมเนี่ย”
พัชถามคนที่มาค้างบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาติแถมเมื่อคืนยังนั่งทำงานทั้งคืน
“ง่วง”
คนที่ถูกรบกวนบอกพร้อมกับขดตัวลงกับผ้าห่ม นอกจากมายึดเตียงคนอื่นแล้วยังแย่งผ้าห่มอีก
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่หยุดเนื่องจากเป็นวันอะไรสักอย่างที่พัชไม่รู้ รู้แค่ว่าให้หยุดก็พอใจแล้ว น้องมันตื่นมาในตอนเกือบสิบโมงเช้าเพราะมีคนแย่งผ้าห่ม พาโชคลุกขึ้นมาปิดแอร์เย็นฉ่ำพร้อมกับปลุกอีกคนแต่ก็ไม่เป็นผล เห็นว่าเมื่อคืนเห็นพี่ยูนั่งทำเอกสารสรุปงานของโปรเจคใหม่อยู่ที่โต๊ะทำงานข้างล่างไม่รู้ขึ้นมานอนตอนกี่โมง ตอนแรกพาโชคว่าจะบ่นเรื่องที่ไม่ยอมอาบน้ำก่อนขึ้นเตียงแต่เห็นว่าเปลี่ยนชุดแล้วเลยไม่ได้ว่าอะไร
“เมื่อคืนนอนกี่โมง”
พาโชคมองคนที่นอนหัวฟูหมดหล่อ
“ตีสี่”
คนเป็นพี่บอกโดยที่ไม่ลืมตาแม้แต่น้อย พอเห็นแบบนั้นเจ้าของบ้านจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะปลุกลูกพี่โดยการลงมาข้างล่างเพื่อหาอะไรกินแทน ช่วงนี้นอกจากพี่ยูจะเป็นหัวหน้าพาโชคแล้วยังเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลาด้วย
“ทำไมไม่เรียก”
“อ้าว”
พาโชคอุทานเมื่อเห็นว่าคนที่พึ่งได้นอนมายืนใส่แว่นหัวฟูอยู่ข้างตู้เย็น พี่ยูสวมเสื้อและบ็อกเซอร์ของเจ้าของบ้านที่คนละไซส์กับเขา ทั้งๆที่เมื่อคืนพยายามหาตัวที่ใหญ่ที่สุดในตู้แล้วก็ยังดูอึดอัดอยู่ดี
“เมื่อไหร่จะเลิกใส่เสื้อผมเนี่ย ยืดหมดแล้ว”
พัชบ่นพร้อมกับขำ
“พี่หาของพี่ไม่เจอ”
หัวหน้าพูดถึงชุดของตัวเองสองสามชุดที่เคยเอามาทิ้งไว้ที่บ้านหลังนี้
“ก็อยู่ในตู้นั่นแหละ”
พาโชคบอกพร้อมกับเสียบกาต้มน้ำ เห็นพี่ยูเงียบไปพอหันกลับมามองก็เห็นว่ากำลังยืนยิ้มอยู่
“มองอะไร”
โชคถามคนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบคนบ้าอยู่ข้างตู้เย็น
“เขินว่ะ”
พัชที่เฉยๆในตอนแรกหลุดขำเสียงดังใส่คนที่ยืนหน้านิ่งแต่หูแดง
“เขินอะไรวะ”
“พัชนี่ไม่รู้จักความอ่อนโยนเลย”
คนเป็นพี่ว่าพร้อมกับจิ๊ปาก ก่อนจะเปิดตู้เย็นหาน้ำดื่ม
“บ้า ผมออกจะน่ารัก”
พี่ยูที่กำลังกระดกน้ำเย็นเข้าปากถึงกับสำลัก
“น่ารักเหรอแว่น”
ลูกพี่เช็ดปากตัวเองไปพลางหันไปมองคนที่บอกว่าตัวเองน่ารัก
“อะไรแว่น”
พาโชคถามกลับเพราะคนที่เรียกมันแว่นสวมแว่นหนากว่ามันเสียอีก
“เดี๋ยวนี้กล้าเถียงนะเด็กแว่น”
คนที่เป็นพี่ว่าพร้อมกับย่างสามขุมเข้ามาหาเจ้าของบ้านโดยที่อีกคนป้องกันตัวโดยการหยิบช้อนส้อมแถวนั้นมาเป็นอาวุธ
“อันตราย ไม่กวนละ”
คนเป็นพี่ว่าพร้อมกับหมุนตัวออกจากครัวแล้วเดินไปเปิดทีวีดูข่าวในยามสายๆ พี่ยูนี่ไม่ได้กลับคอนโดมาหลายวันจนพี่ยามเริ่มจำหน้าไม่ได้แล้ว จะว่าติดแฟนก็คงไม่ใช่เพราะยังไงพาโชคก็ไม่ยอมรับว่าคบกันสักที
“กาแฟไหมครับ”
เสียงที่คุ้นหูดังออกมาจากในครัว เขาขานรับ ไม่ทันไรเจ้าของบ้านก็ถือแก้วกาแฟออกมาให้พร้อมกับนั่งลงข้างๆ พวกเขานั่งดูข่าวเงียบๆก่อนที่พาโชคจะถามขึ้น
“คืบหน้ายัง”
พัชถามถึงเรื่องแจ้งความ อันที่จริงว่าจะถามตั้งแต่วันก่อนแล้วแต่เห็นหัวหน้ายุ่งมากเลยยังไม่อยากกวน
“ยังเลย”
คนที่ไปยื่นเรื่องแจ้งความตั้งแต่สองอาทิตย์ที่แล้วตอบ
“แต่มันไม่น่ากลัวเหมือนที่คิดนะ”
พี่ยูว่า พาโชคเอียงคอมองคนที่จู่ๆก็พูดออกมา
“น่ากลัวยังไง”
“ไม่รู้ดิ แต่ก่อนพี่กลัว”
พัชเลิกคิ้วมองหัวหน้าที่ใต้ตาดำเหมือนหมีแพนด้า
“เหมือนกลัวที่จะยอมรับความผิดมั้ง กลัวที่จะเริ่ม กลัวคดีความ กลัวไปหมดแต่เอาจริงๆไม่เห็นมีอะไร งานก็ยังยุ่งเหมือนเดิม”
พาโชคขำก่อนจะถาม
“งานยุ่งจนลืมเครียดเหรอ”
“อือ ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนเลย นั่งทำงานหัวฟูเหมือนเดิม”
พี่ยูตอบพร้อมกับถอดแว่นออกแล้วหลับตาลง
“คดีมันหลายปีแล้ว แถมตอนนั้นพี่ก็เป็นผู้เยาว์ด้วย อย่างมากสุดฝั่งนั้นคงฟ้องศาลแล้วพี่ต้องจ่ายเงิน”
“แต่เขาก็ผิดนี่”
พัชบอก
“อือ ต้องลองไกล่เกลี่ยก่อน ถ้าเขายอมเราก็ปล่อยให้มันจบไป”
เจ้าของบ้านนึกอยู่หน่อยก่อนจะถามอีก
“แล้วเรื่องกล้องล่ะ ผมว่ามันแปลกๆ”
“ยังไงครับ”
หัวหน้าถามพร้อมกับมองหน้าคนพูด
“ผมว่าดีไม่ดีพี่แพมอาจจะเป็นคนกุเรื่องกล้อง เรื่องเมล์ภายในบริษัทที่ส่งมาเหมือนกัน”
“พัชคิดว่าฝั่งนู้นเขาไม่จบใช่ไหม”
พาโชคที่สันนิษฐานไปเรื่อยพยักหน้ารับ
“พี่ยังไม่ได้บอกเรื่องอีเมลกับทางทนายเลย”
“บอกให้หมดเถอะ ผมว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกัน”
พัชบอกในเรื่องที่ตัวเองคิดมาสักพักแล้ว เพราะดูยังไงอีเมลก็เป็นอีเมลภายในที่คนอื่นไม่น่าจะแทรกแซงได้ พี่ยูที่ฟังน้องมันพูดเป็นต่อยหอยใช้มือข้างที่ถนัดขยี้ผมของคุณเจ้าของบ้านอย่างหมั่นเขี้ยว
“เก่งจริงโคพัช”
หัวหน้าว่า
“คล้ายๆโคนันเหรอ”
พาโชคถาม
“เปล่า โคที่แปลว่าวัว”
เด็กแว่นหน้าบูด ต่างจากพี่ยูที่เอาแต่ขำ ไม่ทันไรจากคนที่หัวเราะมีความสุขก็กลับมาหน้าบึ้งอีกรอบเมื่อเห็นเด็กแว่นกำลังแชทคุยกับใครสักคน
“คุยกับใคร”
ลูกพี่ที่ถอดแว่นออกแล้วเหมือนคนตาบอดยื่นหน้าเข้ามามองจอมือถือของพาโชค
“พี่ธาม”
พัชตอบหน้านิ่ง ส่วนอีกคนเริ่มชักสีหน้าไม่พอใจ
“คุยอะไร”
“หือ”
พาโชคที่กำลังตั้งใจตอบแชทไม่ได้สนใจจะตอบคนที่นั่งอยู่ข้างๆแม้แต่น้อย
“พัช”
จนพี่ยูเรียกนั่นแหละถึงได้เงยหน้ามองตาของอีกคนที่ยังไงก็ดูไม่ชอบใจ
“คุยเรื่องงานครับ”
“วันนี้วันหยุด”
พัชอยากจะแหมไปถึงดาวอังคารเพราะคนที่ชอบสั่งงานวันหยุดเป็นเรื่องปกติก็หัวหน้ามันนี่แหละ
“งั้นงานพี่ยูผมก็ไม่ทำนะ”
คนที่เป็นลูกพี่ถึงกับปวดสมอง หลายๆที่เขาถึงมีกฏไงว่าห้ามพนักงานคบกัน ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นแบบนี้ คอนโทรลอะไรก็ยากลำบาก
“ทำงานของพี่ได้แต่ห้ามทำงานไอ้ธาม”
พาโชคกระพริบตาปริบๆเหมือนกำลังประมวลผลในหัว
“มันงานเดียวกัน แค่ส่วนของพี่ธามเป็นรีพอร์ท ส่วนของพี่คือแก้บัค”
พาโชคบอกพร้อมกับหรี่ตามองคนที่ตั้งใจหาเรื่องอยู่ข้างๆกัน หัวหน้าที่เถียงไม่ออกแกล้งตายโดยการไถตัวลงบนโซฟาแล้วนอนตักคนอื่นเสียเฉยๆ
“เห็นพัชเป็นแบบนี้แล้วต่อไปพี่จะไม่ใช้งานวันหยุดแล้ว”
พาโชคมองคนที่นอนหลับตาอยู่ที่หน้าขาของตัวเองอย่างไม่เชื่อหู
“งั้นก็เริ่มตั้งแต่งานนี้เลยสิ”
“ไม่ได้ อันนี้รีบ”
“นั่นไง”
เด็กแว่นถอนหายใจเบื่อหน่ายแต่ยังไงก็ชินแล้ว
“ถ้าพี่ไม่สั่งงานแล้วไอ้ธามก็จะได้ไม่ตามงาน”
“ถึงไม่ตามก็คุยเรื่องอื่นกันอยู่ดี”
“หาเรื่องแล้วโชค”
พาโชคที่พอรู้ว่าเพื่อนสองคนนี้เขาคุยอะไรกันลับหลังตัวมันบ้างเลิกคุยเรื่องของตัวเองแต่มองหน้าคนเป็นพี่แทน
“อะไร มองหน้าหาเรื่อง”
ลูกพี่มองหน้าคุณเจ้าของบ้านแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่รู้กันว่ากำลังหาเรื่อง ถ้าไม่ได้สนิทกันคงไม่รู้หรอกว่าผู้ชายที่อายุเยอะกว่ามันเกือบสิบปีจะนิสัยเด็กขนาดนี้
“ว่าแต่ผม ทีพี่ยูยังคุยกับคนอื่นเลย”
คนเป็นพี่ขมวดคิ้วก่อนจะถามคนกล่าวหา
“พี่คุยกับใคร”
“ผมเห็นนะว่าคุยกับน้องฝึกงาน”
พี่ยูทำตาโตก่อนจะยักคิ้วให้อีกคน แต่เมื่อเห็นว่าคุณพาโชคเริ่มนิ่งแล้วหัวหน้าเลยเลิกแกล้ง
“น้องทักมาขอชื่อนามสกุลเฉยๆ เห็นว่าจะเอาไปใส่รายงาน”
คนเป็นพี่บอกพร้อมกับแกล้งซุกหน้าเข้าพุงแบนๆของอีกคนแล้วค่อยๆพูด
“เกิดมาสามสิบสามปีก็พึ่งรู้ว่าพาโชคงอนกับเขาก็เป็น”
พี่ยูแกล้งแซว เพราะเอาจริงๆเขาคุยกับน้องฝึกงานตั้งแต่สามวันที่แล้ว กว่าเด็กแว่นจะงอนก็ผ่านมาจนลืมไปแล้ว ไหนจะเรื่องที่ย้ายโต๊ะอีก ตอนแรกที่เรียกน้องผู้หญิงมานั่งเพราะหัวหน้ากะจะสละโต๊ะตรงนั้นให้น้องทั้งสามคนอยู่แล้ว แต่วันนั้นมันขยับได้แค่ที่เดียวเลยให้น้องผู้หญิงมานั่งก่อน พอตอนบ่ายถึงย้ายตัวเองมานั่งแถวโต๊ะปิงปองเพราะอยากเปลี่ยนมุมบ้าง ซึ่งวิวที่นั่งใหม่ก็ดีไม่แพ้หน้าต่างของตึกสูงเพราะมองเห็นเด็กแว่นเต็มตา คือถ้าพาโชคแอบเล่นเกมส์นี่โดนลูกพี่เล่นแน่นอน
“ผมไม่ได้งอน”
เสียงนี่นิ่งมาเลย… หัวหน้าขำก่อนจะบอก
“งอนเถอะ เดี๋ยวจะง้อเพราะยังไงก็ต้องแก้บัคให้พี่”
ตอนนี้พาโชคไม่รู้จะดีใจเสียใจหรือรู้สึกแบบไหนกับพี่มัน เลยทำได้แค่หัวเราะแบบกล้ำกลืนฝืนทนแล้วถอนหายใจอย่างเซ็งชีวิตความซวย บัคนี่ก็ชอบมาวันหยุดจริงๆ