#Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]  (อ่าน 80254 ครั้ง)

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
«ตอบ #120 เมื่อ15-04-2017 23:53:31 »

นอฟหาที่ปรึกษาด่วนลูก อย่าเพิ่งตัดใจเอง อย่าเพิ่งคิดมากกกกกก

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
«ตอบ #121 เมื่อ16-04-2017 00:42:50 »

ถามหมอโมดีไหมว่าควรทำยังไง

ออฟไลน์ Carina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
«ตอบ #122 เมื่อ16-04-2017 06:32:29 »

ต่างคนต่างก็รักอีกฝ่ายมากทั้งคู่ ถ้านอฟยังคิดจะทำอย่างนั้นจะไม่มีใครที่มีความสุขเลยนะ ฮือออ หมอโมมาให้คำปรึกษาน้องหน่อย

ขอบคุณสำหรับตอนใหม่ค่ะ จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ NUTSANAN

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1031
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
«ตอบ #123 เมื่อ16-04-2017 14:54:36 »

นอฟฟรู้ตัวละ ว่ารักป๊าเดินกว่าคำว่าพ่ออ บาปนี้จะหอมหวานแค่ไหนกันนะ

ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
«ตอบ #124 เมื่อ16-04-2017 16:43:41 »

น้ำตาไหลพราก  :hao5:

ออฟไลน์ scottoppa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
«ตอบ #125 เมื่อ25-04-2017 12:39:08 »

น้องนอฟฟฟฟฟฟฟฟ สงสารความรู้สึกน้องมากๆ
ต้องสู้นะ บาปนี้ต้องมีเงื่อนงำ ฮืออออ
เอ็นดูพี่ตฤนระดับสิบเลยค่า มีแฟนแล้วก็ไม่บอกนะ อิอิ

ออฟไลน์ joyey6217

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
«ตอบ #126 เมื่อ26-04-2017 21:40:22 »

นอฟลูกกกกกกกกกกกกกก  น้องจะจบความรู้สึกนี้ได้ยังไง  ในเมื่อมันมากมายล้นหลามท่วมหัวใจขนาดนี้
คิดถึงทฤษฎีหนังยางของหมอโมเลย ตอนแรกป๊าปล่อยมือก่อน นอฟก็เจ็บ ป๊าก็เจ็บ คราวนี้นอฟตั้งใจว่าจะไม่ถลำลึกอีกเพราะกระจ่างแก่ใจแล้วว่า นี่คือรัก เป็นความรักที่เป็นบาป คราวนี้เจ็บเจียนตายทั้งคู่ของจริง เฮ้ออออออออออ  เอาใจช่วยทั้งคู่ให้จงหนักนะจ๊ะ

ขอปรึกษาหมอโม อีกสักที คิดถึงหมอโมจริงๆ

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
«ตอบ #127 เมื่อ28-04-2017 02:29:43 »

Chapter 9

“เป็นอะไร”

คำถามที่ดังขึ้นทำเอานักร้องหนุ่มสะดุ้งเฮือก แต่เป็นโชคดีที่คนถามเป็นดุริยะ

“ปะ... เปล่าครับ” นภธรณ์ตอบพลางเหลือบตามองคนที่เดินใกล้เข้ามาทุกที พยายามคิดว่าสิ่งที่คิดมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิด เขาอาจจะนอนน้อย อาจจะตื่นเต้นก็เลยสับสนคิดฟุ้งซ่าน แต่ยิ่งปรเมษฐ์เดินเข้ามาใกล้มากขึ้นภาพที่จูบให้สัญญาก่อนร้องเพลงก็ปรากฏชัดขึ้นในหัวอีกครั้ง สองแก้มร้อนวาบพร้อมๆ กับที่หัวใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำ เขาก็มั่นใจว่าเข้าใจไม่ผิดและเขาต้องการเวลาเพื่อตั้งรับกับความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามานี้ “พี่ตฤณ ผมอยากเข้าห้องน้ำขอตัวแป๊บนึงนะครับ”

“โอ๊ย จะมาอะไรกันตอนนี้ มีเวลาพักโฆษณาห้านาทีก่อนเริ่มสัมภาษณ์เบรกหน้า รีบไปรีบมานะ”

“ขอบคุณครับ” นภธรณ์บอกแล้วรีบวิ่งออกไป

“เกิดอะไรขึ้นครับ” ปรเมษฐ์ที่คลาดกับลูกชายไปนิดเดียวถาม

ตฤณกำลังจะอ้าปากตอบดุริยะก็แทรกขึ้นด้วยท่าทียียวน “นั่นสิ เกิดอะไรขึ้นนะถึงได้ร้องไห้ตาแดงแบบนั้น โดนใครทำร้ายจิตใจมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฉันว่าฉันตามไปดูหน่อยดีกว่า”

“คุณดุริยะพูดอะไรแบบนั้นครับ” ตฤณกุมขมับแน่น คิดในใจ ทำไมแต่ละคนถึงได้ทำอะไรน่าปวดหัวแบบนี้

ดุริยะแสยะยิ้มให้ปรเมษฐ์ เขาหัวเราะเบาๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะหันหลังให้แล้วก้าวเร็วๆ ตามเด็กหนุ่มไป

เขาเดินตามไปจนเจอคนอายุน้อยกว่าที่ห้องน้ำกำลังพยายามใช้กระดาษทิชชูซับน้ำตาโดยไม่ให้รองพื้นเละ เขาจึงใช้หลังมือเคาะประตูเบาๆ ครั้งหนึ่งเพื่อเป็นการส่งสัญญาณบอกก่อนจะเดินเข้าไปใกล้

“เป็นอะไร” ดุริยะถามนภธรณ์

เด็กหนุ่มสะดุ้งและหันมามองก่อนจะตอบตะกุกตะกัก “ไม่มีอะไรครับพี่ยะ เอ่อ... แค่... เอ่อ... รู้สึกโล่งน่ะครับ ที่ร้องจบแล้ว”

“คนอย่างเธอไม่น่าเครียดจนถึงขั้นร้องไห้นะ มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” โปรดิวเซอร์ของนักร้องหนุ่มยังคงสงสัย

“ไม่... ไม่มีครับ” นภธรณ์ตอบโดยไม่ยอมสบตา

“แน่ใจนะ” ดุริยะถามย้ำ “ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าเธอน่ะเวลาที่คิดอะไรอยู่มันจะออกมาตอนที่ร้องเพลงหมด”

นักร้องหนุ่มนิ่งไปอึดใจ เขาสบตาตัวเองในกระจกก่อนจะหันไปสบตาโปรดิวเซอร์หนุ่ม “ถึงมันจะมี ผมก็คิดว่าเป็นเรื่องที่พี่ยะไม่จำเป็นต้องกังวลครับ”

ดุริยะหรี่ตาลงอย่างเจ้าเล่ห์แล้วสืบเท้าเข้าใกล้จนประชิดตัวเด็กหนุ่ม “เป็นคำพูดที่ตัดรอนกันจังเลยนะ ทั้งที่เมื่อคืนเธอยังนอนร้องไห้อยู่กับฉันแท้ๆ”

“ผม...”

โปรดิวเซอร์ใหญ่ก้มหน้าลงต่ำจนริมฝีปากคลอเคลียอยู่ข้างหู “ถ้าจะไม่ให้กังวล อย่างน้อยๆ ก็ขอค่าปลอบใจให้พี่หน่อยสิ เอ๊ะ! หรือจะเรียกว่าค่าปิดปากดี”

นภธรณ์พยายามตั้งสติ ดุริยะไม่ได้บอกว่าค่าปิดปากเรื่องอะไรก็มีความเป็นไปได้ว่าไม่รู้จริงเขาอาจจะแกล้งพูดไปแบบนั้น และถึงจะรู้มันก็แค่คำกล่าวหาที่ไร้ซึ่งหลักฐาน

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเงียบไปโปรดิวเซอร์ใหญ่ยิ่งได้ใจรุกต่อ เขาเชยคางนภธรณ์ขึ้นพร้อมกับใช้ปลายนิ้วไล้เบาๆ ไปบนกลีบปากก่อนจะเน้นหนักขึ้นเป็นการบอกใบ้ในสิ่งที่เขารู้เห็น “ว่ายังไงเจ้าหนู”

“ผม...”

“กรุณาถอยห่างออกมาจากลูกชายของผมด้วยครับคุณดุริยะ”

“ป๊า”

ดุริยะหัวเราะหึแล้วยืดตัวขึ้นเต็มความสูงก่อนจะหันไปสบตาปรเมษฐ์ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยแต่มือทั้งสองนั้นกำเป็นหมัดแน่น

“แหม มาขัดจังหวะเวลาคนเขากำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มตลอดเลยนะ” ดุริยะหันไปพูดกับคนที่เพิ่งเดินเข้ามาขัดจังหวะ

ปรเมษฐ์เดินเบียดตัวเข้ามาแทรกตรงกลางพร้อมทั้งหันไปเผชิญหน้า “ผมเคยเตือนคุณแล้วใช่ไหมครับว่าอย่าทำอะไรเกินไปกว่า ‘พี่ชายที่ร่วมงานด้วย’”

“แล้วถ้าผมไม่อยากเป็นแค่พี่ชายล่ะ” ดุริยะถามกวน

คำพูดสองแง่สามง่ามที่ส่งมาพร้อมกับนัยน์ตาพราวระยับของเสือที่ล็อกเป้าหมายพร้อมจะพุ่งขย้ำคอเหยื่อทำให้ปรเมษฐ์มองตาขวาง “คุณคงต้องข้ามศพผมไปก่อน”

“ไม่ล่ะ” ดุริยะว่า “เพราะผมจะเหยียบทั้งๆ ที่คุณยังมีลมหายใจนี่แหละ”

เขาทิ้งท้ายไว้เท่านั้นแล้วกลับหลังหันเดินออกประตูไป

ปรเมษฐ์ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืดแล้วหันมาหาลูกชายที่ยืนมองเขาตาปริบๆ “ร้องไห้ทำไม โดนใครแกล้งอะไรหรือเปล่า” ผู้เป็นพ่อถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่รู้สึกโล่งน่ะที่ร้องเพลงจบ.... มันเป็นรายการสดน่ะผมเลยเครียดนิดหน่อย” นภธรณ์โกหกก่อนจะยกกระดาษขึ้นสั่งน้ำมูกทิ้งอีกครั้ง

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ปรเมษฐ์บอก “ฉันก็กังวลแทบแย่”

“ขอโทษครับ เอ่อ...จวนได้เวลาแล้วผมไปก่อนนะเดี๋ยวพี่ตฤณเป็นห่วง”

เด็กหนุ่มกำลังจะรีบไปแต่คนเป็นพ่อก็คว้าต้นแขนไว้ “เดี๋ยวก่อน”

“ครับ”

“อะไรติดจมูกน่ะ ขอฉันดูหน่อย เหมือนจะเป็นขี้มูกเลย” ปรเมษฐ์พยายามพูดติดตลกให้อีกฝ่ายยิ้มเพราะมันเป็นแค่เศษกระดาษทิชชูเท่านั้น “หน้าตามอมแมมไปหมดแบบนี้จะเข้ากล้องได้ยังไง มานี่มาฉันเช็ดให้” แล้วดึงตัวเข้ามาใกล้ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเขี่ยเศษกระดาษออกอย่างเบามือ เกลี่ยเช็ดน้ำตาจนแห้งและช่วยจัดผมเผ้าให้เข้าที่

เด็กหนุ่มย่นปากทำเป็นงอน “ใช่สิ ผมมันไม่หล่อเหมือนป๊านี่”

“ถึงจะไม่เหมือนฉัน แต่ยังไงแกก็เป็นลูกฉันนะ”

คำพูดเรียบๆ หากเหมือนมีมนตร์สะกดให้นภธรณ์ไม่อาจละสายตาไปจากคนตรงหน้าได้

“ฉันเองก็ไม่ชอบใจเหมือนกันเวลาที่ต้องบอกใครต่อใครว่าแกหน้าเหมือนแม่” ปรเมษฐ์พูดต่อเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเงียบไป “แต่ถ้าไม่พูดแบบนั้นก็กลัวแกจะมีปมด้อย โดนเพื่อนล้อทั้งที่แกก็ดูดีในแบบของแกน่ะแหละ ฉันไม่เคยแคร์เรื่องที่แกเรียนไม่เก่งเหมือนฉันเพราะแกไม่ใช่ฉัน ขนาดตัวฉันเองยังแหกเหล่ามาเรียนหมอทั้งที่คนทั้งบ้านเป็นนักธุรกิจเลย แล้วฉันก็ไม่เคยเอาแกไปเปรียบเทียบกับวาหรือใครๆ ในสายตาฉันแกเป็นเด็กกินจุ ใช้เงินเก่ง ดื้อแถมยังชอบเถียง และฉันรักที่แกเป็นแบบนั้น ที่ฉันให้สัญญาว่าจะไม่ทิ้งแกไปไหน ไม่ใช่เพราะแกบอกว่าจะร้องเพลงให้ฉันฟัง ต่อให้แกร้องเพลงไม่ได้หรือเสียงห่วยแตกแค่ไหนฉันก็ไม่ทิ้งแกไปไหนหรอก ฉันให้สัญญาเพื่อจะได้แน่ใจว่าแกจะไม่ผิดคำสัญญานั้นต่างหาก”

“ทำไมวันนี้ป๊าพูดเยอะจัง” นภธรณ์พูดเขินๆ รู้สึกดีใจที่ได้รู้ว่าป๊ามองเขาเป็นคนๆ หนึ่งจริงๆ ไม่ใช่ภาพซ้อนหรือตัวแทนของแม่ และถึงจะตอกย้ำสถานะความเป็นพ่อลูก แต่มันทำให้เขาตัดสินใจได้ทันทีว่าจะทำยังไงกับความรู้สึกในใจนี้

บาปก็บาป... เขาจะไม่ตัดใจแต่ก็จะไม่ฝืน จะปล่อยให้ความรู้สึกมันเป็นไปในแบบของมัน ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง จะเปลี่ยนไปหรือมั่นคงอยู่อย่างนี้จนไม่อาจถอนตัวได้ก็ไม่เป็นไร เขาจะยืดอกยอมรับมัน ต่อให้ต้องตกนรกหมกไหม้โดนไฟเผาทั้งเป็น แต่ถ้าที่นั่นมีผู้ชายคนนี้อยู่ด้วยเขาก็ยินดีจะมอดไหม้ไปพร้อมกับไฟนี้

“เวลามีน้อยนี่นา เมื่อกี้ก็พูดไม่ทันและอีกเดี๋ยวฉันก็ต้องรีบกลับไปทำงานแล้ว” ปรเมษฐ์ว่า “ป่านนี้โดนคุณพยาบาลประจำห้องบ่นแล้วเนี่ย”

“ไหนๆ ก็สายแล้วงั้นป๊าฟังผมสัมภาษณ์ให้จบก่อนนะ ไม่เกินสิบนาทีหรอก”

“แล้วก็จะให้ฉันแวะไปส่งที่โรงเรียนก่อนค่อยไปโรงพยาบาลด้วยใช่ไหม” ปรเมษฐ์พูดต่ออย่างรู้ทัน

“แล้วได้หรือเปล่าล่ะ”

“มาถึงขั้นนี้แล้วฉันมีสิทธิ์ปฏิเสธด้วยเหรอ”

นภธรณ์ยิ้มแก้มแทบปริ “ขอบคุณนะครับ” พูดจบก็เขย่งตัวขึ้นขโมยหอมแก้มไปฟอดใหญ่ก่อนจะออกวิ่งกลับไปห้องส่ง

ปรเมษฐ์หันไปมองเงาตัวเองในกระจก เห็นรอยลิปมันจางๆ ติดอยู่ข้างแก้มจึงใช้มือลูบออกแล้วแตะลงบนริมฝีปากที่ยกยิ้มขึ้นนิดๆ

เขาเดินออกมาหน้าห้องน้ำและหันไปพูดกับคนที่ยังไม่ยอมไปไหนแต่แอบยืนสูบบุหรี่อยู่หลังกระถางไม้ประดับ “คุณคิดจะทำอะไรกันแน่ครับ ถึงได้เสนอตัวมาทำเพลงให้ลูกชายผมแล้วมาทำสนิทสนมแบบนี้”

“ก่อนจะถามเรื่องนั้นไม่คิดจะถามถึงเรื่องเมื่อคืนเหรอครับ” ดุริยะเดินออกจากที่ซ่อนมาเผชิญหน้า

“ถามคุณไปก็คงจะได้แต่คำโกหกน่าเบื่อ เอาไว้ผมไปถามจากนอฟเองน่าจะดีกว่า”

“เชื่อใจกันจังเลยนะ แล้วรู้ได้ยังไงว่าเด็กคนนั้นจะยอมพูดความจริง” ดุริยะว่า

“ก็ยังดีกว่าเชื่อลมปากคนนอกอย่างคุณ” ปรเมษฐ์ตอกกลับ

“ตรงดี ผมชอบ” ดุริยะเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก

“จะตอบคำถามได้หรือยังครับ ว่าทำไมโปรดิวเซอร์ชื่อดังที่มีแต่คนต่อคิวมาขอร้องให้ทำเพลงอย่างคุณถึงคิดจะมาทำเพลงให้ลูกชายผม” ปรเมษฐ์ถามย้ำอีกครั้ง

“ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ” ดุริยะตอบ “แค่เด็กมันน่าเอ็นดูผมก็เลยอยากดูแล”

“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นเพราะนอฟมีพ่อซึ่งก็คือผมดูแลเป็นอย่างดีอยู่แล้ว”

“คุณพูดว่า ‘พ่อ’ งั้นเหรอ” ดุริยะเน้นทีละคำช้าๆ ชัดๆ

“มีปัญหาอะไรเหรอครับ” ปรเมษฐ์ถาม

“กล้าพูดนะว่าตัวเองเป็นพ่อ”

“คุณอยากจะพูดอะไรก็พูดมาเลยดีกว่าอย่ามาทำเล่นลิ้นแบบนี้” ปรเมษฐ์เริ่มีความหงุดหงิดปนมาในน้ำเสียง

ดุริยะเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเอื้อมมือมาวางลงบนบ่า “ก็บอกให้เรียกพี่ไงครับ แล้วจะเล่าให้ฟัง”

“ไม่เรียกครับ แล้วก็ไม่อยากฟัง... แล้วก็กรุณาอย่าเข้ามาใกล้ผมมากครับ ผมไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ ลูกชายผมก็เหมือนกัน” ปรเมษฐ์บอกพร้อมกับปัดมืออีกฝ่ายออก

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ชอบ” ดุริยะยังไม่ละความพยายามที่จะต่อล้อต่อเถียง “ตอบผมมาสิครับ ว่าคุณรู้ได้ยังไง”

“ก็เพราะผมเป็นพ่อของเขาและเป็นคนเลี้ยงเขามาน่ะสิ” ปรเมษฐ์ตอบหนักแน่น

“คุณตอบไม่ตรงคำถาม” ดุริยะว่า “แค่เรื่องไม่ชอบบุหรี่ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อก็รู้ได้ครับ ที่ผมอยากรู้น่ะ คือมันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเหรอ คุณถึงได้รู้”

“แล้วมันเรื่องอะไรที่ผมต้องเล่าให้คุณฟัง” ปรเมษฐ์ตอบเสียงห้วนเป็นการตัดบทแล้วเดินจากไป

ดุริยะหัวเราะขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ก่อนจะเอนหลังพิงกำแพงแล้วสูบอัดควันบุหรี่เข้าเต็มปอดจนปลายมวนเป็นประกายลุกวาบ ก่อนจะขยี้มันทิ้งลงในที่เขี่ยบุหรี่แล้วจึงเดินกลับไปยังห้องส่ง

หลังจากดุริยะคล้อยหลังไป ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงมุมตึก

ผู้ชายคนนี้คือ ‘กรรณ’ นักข่าวเจ้าของคอลัมน์ซุบซิบกระจิบข่าวของหนังสือพิมพ์บันเทิงที่ขึ้นชื่อเรื่องเล่นข่าวฉาวของดารานักร้อง ภาพหลุดที่นภธรณ์เดินออกมาจากคอนโดของดุริยะเมื่อคราวก่อนก็เป็นฝีมือเขานี่แหละ

“ไม่คิดเลยว่าจะได้อะไรเด็ดๆ” นักข่าวกระซิบกับตัวเองก่อนจะกำชับสายกล้องที่คล้องคออยู่แล้วเดินจากไป
 
(ต่อด้านล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
«ตอบ #128 เมื่อ28-04-2017 02:33:57 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

หลังกลับจากโรงเรียนอาบน้ำใส่ชุดนอนเรียบร้อยเด็กหนุ่มก็ปักหลักนอนรอบนโซฟาจนกระทั่งเวลาเกือบสี่ทุ่มประตูห้องก็เปิดออก

“ป๊า~”

ปรเมษฐ์เพียงเหลือบตามองแล้วถอดรองเท้าเก็บใส่ชั้น ทำเป็นไม่สนใจคนที่ลุกพรวดขึ้นจากโซฟาแล้ววิ่งตรงเข้ามาหา “เรียกเสียงหวานแบบนี้จะอ้อนเอาอะไรล่ะ”

นภธรณ์แบสองมือออกตรงหน้า “รางวัล”

คนเป็นพ่อหัวเราะหึ ถ้าซื้อหวยแล้วถูกแบบนี้ป่านนี้เขาคงเป็นอภิมหาเศรษฐีไปแล้ว

หลังจากถ่ายรายการเสร็จเมื่อเช้าตอนนั่งรถไปส่งที่โรงเรียนเด็กหนุ่มก็มาขอท้าพนันว่ายอดวิว MV ใหม่จะพุ่งเกินแสนวิวภายในวันเดียวไหม ผลปรากฏว่ายอดวิวไหลไปอย่างอย่างรวดเร็วและแตะเลขจำนวนนั้นก่อนเที่ยงวันเสียอีก

“อยากได้อะไร” ปรเมษฐ์ถาม

“สัญญาก่อนว่าจะให้ แล้วผมจะบอก” นภธรณ์ตอบพ่อ

“มีงี้ด้วย” ปรเมษฐ์ย่นคิ้ว แต่ถึงจะขออะไรเขาก็คงตามใจอยู่ดีจึงรับปาก “ก็ได้ ว่ามาสิ”

“ผมขอกลับไปนอนกับป๊านะ” นภธรณ์เอ่ยคำขอของตนออกมา

“แต่เรื่องนั้นเราคุย...”  ปรเมษฐ์ไม่ทันได้พูดจบประโยค ลูกชายตัวดีของเขาก็เอ่ยตัดบท

“ไม่รู้ล่ะ ป๊าสัญญาแล้ว”

“นอฟ!” ปรเมษฐ์เรียกเสียงดังแต่ก็ไม่ทันเจ้าลูกลิงที่หอบเอาหมอนกับผ้าห่มวิ่งฉิวเข้าห้องนอนใหญ่ไปเรียบร้อย

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินตามเข้าไป ตั้งใจว่าจะซ้อนแผนด้วยการเป็นฝ่ายหนีไปนอนอีกห้องเสียเอง ทว่า ลูกชายตัวดีกลับไม่ได้อยู่บนเตียง

ตาคมกวาดมองไปรอบห้อง แล้วปรเมษฐ์ก็เห็นก้อนอะไรกลมๆ ขดอยู่บนพื้นข้างเตียง

“นอฟ”

เด็กหนุ่มเปิดผ้าห่มออกมายิ้มเผล่ให้ “ถ้านอนแยกเตียงก็คงไม่กวนป๊าเนอะ ท่านประธานเพิ่งให้โบนัสมาเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปซื้อเตียงเล็กมาตั้งตรงนี้นะ แต่วันนี้ไม่ทันแล้วก็นอนแบบนี้ไปก่อนละกัน”

“งั้นวันนี้ก็ไปนอนห้องนู้นก่อนสิ ได้เตียงใหม่มาแล้วค่อยมานอนด้วยกัน” ที่ปรเมษฐ์พูดแบบนั้นเพราะไม่อยากให้ลูกชายต้องนอนที่พื้น

“ของขวัญของผม” นภธรณ์พูดเสียงอ่อย “ป๊าสัญญาแล้วว่าจะให้” แล้วมุดหนีเข้าโปงผ้าไป

“นอฟ”

“ฝันดีนะครับ” นภธรณ์ส่งเสียงออกมาจากโปงผ้า

“นอฟ” ปรเมษฐ์พยายามเรียกจนอ่อนใจแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ จึงคว้าผ้าขนหนูและไปอาบน้ำ

ทันทีที่เสียงฝักบัวดัง เด็กหนุ่มก็ลดชายผ้าห่มลงมาถึงแค่ตาเพื่อดูให้แน่ใจว่าป๊าหายไปไหนก่อนจะดึงผ้าขึ้นคลุมศีรษะอีกครั้ง ดีใจที่แผนตื๊อครั้งนี้สำเร็จโดยไม่โดนหิ้วคอออกไปโยนไว้ห้องโน้น แต่อีกใจก็อดน้อยใจลึกๆ ไม่ได้ว่าป๊าไม่สนใจเขาเลย

เสียงประตูเปิดออกอีกครั้ง นภธรณ์จึงนอนนิ่งแกล้งทำเป็นหลับไปแล้ว

“ยังไม่ลุกอีกเหรอ ดื้อจริงๆ เลยนะเรา” ปรเมษฐ์พูดกับกองผ้าที่พื้น

“...”

“นอฟ”

“...”

“นอฟ”

ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ทนไม่ไหวจึงตะโกนตอบออกไปจากในผ้าห่ม “ป๊าไม่ต้องเรียกแล้วยังไงผมก็ไม่ลุกหรอก”

“ก็ตามใจนะ ถ้าเห็นพื้นเย็นๆ นั่นดีกว่าเตียงอุ่นๆ...” ปรเมษฐ์เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“ก็เรื่องของผม” นภธรณ์สวนกลับโดยยังไม่ทันฟังให้จบ

“ข้างๆ ฉัน”

คำพูดสุดท้ายของป๊าเรียกให้เด็กหนุ่มเปิดผ้าห่มออกแล้วหันไปมองได้ในที่สุด

ปรเมษฐ์นอนตะแคงหันหลังให้อยู่บนเตียง มือข้างหนึ่งจับชายผ้าห่มยกสูงขึ้น และนั่นเป็นคำเชิญชวนที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้
เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นจากพื้นและพุ่งเข้าใส่ผ้าห่มโดยไม่สนใจจะคว้าหมอนไปด้วยเพราะตัดสินใจแล้วว่าจะไปหาเอาดาบหน้า

หมอนแข็งๆ แต่แสนอุ่นของเขา

ปรเมษฐ์หัวเราะลงคอด้วยความเอ็นดูเจ้าลูกชายตัวดีที่มุดเข้าโปงผ้ามานอนเกาะแขน ไม่อยากจะบอกว่าตัวเขาเองใจอ่อนตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ยิ่งวันนี้เห็นมาทำหงอยนอนขดอยู่บนพื้นยิ่งอยากจับอุ้มโยนขึ้นเตียงถ้าไม่ติดว่ากลัวลูกชายจะได้ใจไปกันใหญ่

“อยากได้อะไรอีกไหม”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองตาเป็นประกายทันทีพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะวาดแขนข้ามตัวป๊าดึงให้นอนหงายเต็มที่แล้วเขยิบตัวขึ้นเอาศีรษะหนุนบนหน้าอก

“ได้ทีล่ะเอาใหญ่เชียวนะ” ปรเมษฐ์บ่นคนที่ทำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความหมั่นไส้ พลางยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีน้ำตาลแดงนุ่มมือที่คลอเคลียอยู่บนหน้าอก “ตฤณเล่าให้ฟังว่าหมู่นี้แกไปทำงานเหมือนคนไม่ได้นอน... แล้วกลางคืนมัวทำอะไรอยู่ เล่นเกม?”

“ถ้าป๊าอยากรู้ก็มานอนด้วยกันสิ”

“ตกลงเล่นเกมจริงๆ ใช่ไหม”

นภธรณ์ส่ายหน้า “ใครว่าล่ะ ผมนอนไม่หลับต่างหาก... เพราะว่าป๊าไม่อยู่ด้วย”

“ไม่แปลกใจ” ปรเมษฐ์ว่า “แกก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มีครั้งหนึ่งที่แกไม่สบาย มีไข้สูง หนาวสั่นเอาแต่เพ้อเรียกฉันทั้งคืน ถ้าฉันไม่อุ้มมากอดไว้แนบอกแบบนี้ก็จะนอนไม่หลับ และถึงหลับไปแล้วก็ยังจับเสื้อไว้แน่นไม่ยอมปล่อย พอแกะมือออกก็ร้องไห้จ้าต้องมาปลอบกันอีก”

“ผมไม่เห็นจำได้เลย” นภธรณ์บอก

“ถ้างั้นก็ช่างมันเถอะ”

นภธรณ์หลับตาลง รู้สึกถึงหน้าอกของป๊าที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ เขาเงียบไปหลายนาทีก่อนจะบอกเล่าความทรงจำในส่วนที่อีกฝ่ายไม่ยอมพูดถึง “ตอนนั้นผมสามขวบ ป๊าเรียนหมอปีสุดท้าย แล้วก็เป็นวันสอบปลายภาคพอดี ป๊ายอมขาดสอบแล้วไปสอบซ่อมตามหลังก็เลยพลาดเกียรตินิยมไปอย่างน่าเสียดาย”

ปรเมษฐ์ขมวดคิ้ว “โมเล่าให้ฟังเหรอ”

นภธรณ์ส่ายหน้า “ขอโทษนะป๊า ไม่งั้นป่านนี้ป๊าคงได้เป็นอาจารย์แพทย์ไปแล้ว”

“ขอโทษทำไม ฉันไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย” ปรเมษฐ์บอก “แล้วแกก็เป็นลูกฉัน ฉันจะปล่อยให้พี่เลี้ยงของปู่แกหรือคนอื่นมากอดมาปลอบแกแทนได้ยังไงล่ะ”

“เพราะงั้น ทั้งหมดนี่ก็เป็นความผิดป๊าน่ะแหละที่เลี้ยงผมมาจนเคยตัวแบบนี้”

ปรเมษฐ์หัวเราะในลำคอ โดนย้อนด้วยคำนี้เขาจะเถียงอะไรได้ล่ะ “รู้แล้วครับ คุณลูกชายบังเกิดเกล้า แต่นอนแบบนี้ฉันหายใจไม่ออกน่ะสิ แกไม่ได้ตัวเล็กๆ หนักแค่ไม่กี่กิโลฯ เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ”

นภธรณ์ผงกศีรษะขึ้นเล็กน้อย กำลังคิดว่าจะขยับยังไงดีวงแขนแกร่งก็โอบรัดรอบแผ่นหลังแล้วจับพลิกรวดเร็วลงมานอนอยู่บนเตียงทั้งที่ยังกอดไว้แนบอก ตอนนี้เขาจึงเปลี่ยนมาหนุนท่อนแขนไว้แทนและถูกห่อจนมิดด้วยตัวของอีกฝ่าย

“แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย” ปรเมษฐ์พึมพำพร้อมกับวางใบหน้าซ้อนลงมาบนศีรษะของเขา
ปลายจมูกที่คลอเคลียอยู่ตรงหน้าทำให้เขารู้สึกเหมือนใช้ลมหายใจเดียวกับป๊า และเพียงแค่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเขาก็จะขโมยไอร้อนจากริมฝีปากหยักลึกนั้นได้แล้ว

แต่ทั้งหมดนั่นก็ไม่เท่ากับการที่ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนโดนเอาหัวใจไปผูกติดกับหัวใจอีกดวงที่เต้นตุบๆ อยู่หลังอกกว้างแล้วชักนำให้เต้นไปตามจังหวะที่ผู้ชายคนนี้ต้องการ

“เมื่อคืน...”

นภธรณ์เหลือบตาขึ้นมองเจ้าของประโยคที่ไม่ยอมพูดให้จบ “ครับ?”

“ที่ไปนอนบ้านหมอนั่น ไม่โดนทำอะไรแปลกๆ ใช่ไหม”

“อะไรล่ะครับที่แปลก กอด? จูบ? หรือว่า...”

“อย่ายั่วให้โมโหน่า ฉันรู้ว่าแกเข้าใจ”

เด็กหนุ่มอมยิ้ม “เปล่าครับ แค่นอนด้วยกันเฉยๆ ตื่นเช้ามาพี่ยะก็พามาส่งที่บริษัทเลยไม่ทันได้อาบน้ำด้วยซ้ำ เพราะพี่ตฤณจัดชุดสำหรับออกรายการกับนัดช่างแต่งหน้าทำผมมารอแล้ว”

“นอนเฉยๆ แน่นะ”

“แค่นี้จริงๆ ครับ” ด้วยความอยากรู้ว่าป๊าจะมีปฏิกิริยายังไง เขาจึงแกล้งพูดต่อท้าย “แต่ครั้งหน้าก็ไม่แน่ครับ”

นภธรณ์ได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ คล้ายคำว่า “มันจะไม่มีครั้งที่สอง” พยายามจะหันไปถามซ้ำแต่ก็โดนตัดบทเสียก่อน

“นอนเถอะ ฉันง่วงแล้ว”

“แต่ผมยังไม่ง่วงนี่นา”

“อย่าดื้อสิ”

“ไม่ดื้อแล้วก็ได้” นภธรณ์แกล้งทำเป็นขยับศีรษะจนในที่สุดก็ไปชนกับริมฝีปากนั้นที่กลางหน้าผาก เขายิ้มเขินกับตัวเองที่หาเศษหาเลยกับอะไรเล็กน้อยแบบนี้ทั้งที่มากกว่านี้ก็เคยทำมาแล้วแท้ๆ

ใบหน้าของเด็กหนุ่มร้อนผ่าว เขาซุกหน้าแน่นกับแผ่นอกกว้าง และทั้งที่คิดว่านี่คงเป็นอีกคืนที่หลับไม่ลง แต่เขากลับหลับสนิทในช่วงเวลาอันสั้น

วันนี้เขาได้รู้อีกอย่าง ว่าเสียงหัวใจที่เต้นอยู่หลังอกกว้างนี้ไพเราะยิ่งกว่าเสียงจากเครื่องดนตรีใด และท่ามกลางท่วงทำนองที่สม่ำเสมอนั้นก็มีเสียงหนึ่งซ่อนอยู่ เป็นเสียงที่เขาต้องเก็บซ่อนไว้ในใจชั่วชีวิต
เสียงที่กำลังร้องบอกว่า ‘รัก’
.
.
.
.
.
ครืด... ครืด...

เสียงสั่นของโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงทำให้ปรเมษฐ์รีบยื่นมือออกไปกดรับ “ว่าไงโม มีอะไรถึงโทรมาป่านนี้”

“นายพนันยอดวิวกับนอฟไว้ที่เท่าไหร่นะ นี่ฉันช่วยเปิดยูทูบปั่นยอดวิวจนจะละเมอว่าตัวเองเป็นนักร้องเองแล้วนะ”

ปรเมษฐ์เหลือบตาลงมองเด็กหนุ่มให้แน่ใจว่าหลับอยู่จึงตอบไป “ล้านนึง”

“ไอ้บ้า! พนันอะไรเยอะแยะวะ แล้วแบบนี้พวกแกสองคนจะได้คืนดีกันไหมเนี่ย”

เขาลูบมือใหญ่ไปบนเรือนผมที่นอนอยู่แขนอย่างเอ็นดูเรื่อยลงไปจนถึงแผ่นหลัง “อย่าบ่นน่าโม ไหนว่าลูกฉันก็เหมือนลูกนายไง”

“ไอ้โป้! ไอ้เพื่อนบ้า” เอกรงค์ส่งเสียงโวยวายออกมาจากโทรศัพท์

“ขอบคุณนะครับคุณพ่อน้องนอฟ ถึงล้านวิวเมื่อไหร่กระผมจะสมนาคุณให้อย่างงามเลย” ปรเมษฐ์รีบกดตัดสายแล้วโยนโทรศัพท์วางไว้ที่เดิม เด็กหนุ่มในอ้อมแขนขยับตัวเล็กน้อยพร้อมกับย่นคิ้วคล้ายกับรู้ตัวว่ากำลังโดนนินทา

เขารีบกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นพร้อมกดริมฝีปากลงกลางระหว่างคิ้วคลายปมที่ยับย่น ก่อนจะตรวจดูให้แน่ใจว่าผ้าห่มมิดชิดดีจึงหลับตานอนต่อ

พนันบาทเอาร้อยเลยว่าถึงล้านวิวเมื่อไหร่เจ้าตัวดีต้องมาแบมือขอของรางวัลอีกแน่ๆ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่เขาต้องคิดนี่นาว่าจะให้อะไร เพราะไม่ว่าลูกชายจะขออะไรเขาก็พร้อมจะตามใจอยู่แล้ว... เพราะเด็กคนนี้ เป็นลูกชายคนเดียวที่เขารักมากที่สุด และมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป

*************************************TBC****************************************************

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2628
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 9 P.5 [28/04/60]
«ตอบ #129 เมื่อ28-04-2017 05:10:41 »

55555 คุณพ่อทำแบบนี้นี่เอง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 9 P.5 [28/04/60]
« ตอบ #129 เมื่อ: 28-04-2017 05:10:41 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NUTSANAN

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1031
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 9 P.5 [28/04/60]
«ตอบ #130 เมื่อ28-04-2017 06:47:07 »

ชอบนอฟมากกก ที่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง ส่วนอิพี่ยะ แกมีเงื่อนงำช่ายม๊ายย

ออฟไลน์ joyey6217

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 9 P.5 [28/04/60]
«ตอบ #131 เมื่อ28-04-2017 08:05:03 »

คิดถึงเวลาตัวเองปั่นยอดวิวให้วงที่ติ่ง ปั่นทั้งวันทั้งคืนจนได้ยินเสียงก็หลอน 5555. คุณหมอโมเราเข้าใจกัน
 จูงมือสองพ่อลูกโดดลงสู่อเวจีชมพูกันเถอะ
กลิ่นบาปหอมหวนขึ้นทุกทีๆ นอฟรู้ตัวล่ะ และยินดีที่จะรักต่อแม้จะบาป แล้วหมอโป้ล่ะ (รักก่อนอีกรักแรกพบด้วย)

 เย้ ดีกันแล้ว ไม่งอนกันอีกแล้วนะ พอกันทั้งพ่อทั้งลูก คืออยากคืนดีกันใจแทบขาด ขาดจากกันกันไม่ได้ร้อก ทั้งรักทั้งผูกพันธ์กันขนาดนี้ ล่ะดูเหมือนดุริยะจะรู้อะไรดีๆ ย้ำล่ะเกินว่า แน่ใจหรอว่า หมอโป้คือพ่อจริงรึเปล่า? อีพี่ยะ รู้เหมือนที่พวกเรารู้ใช่ไหมว่า สองพ่อลูกนี้มีความรู้สึกที่มากกว่านั้น

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 9 P.5 [28/04/60]
«ตอบ #132 เมื่อ28-04-2017 08:35:27 »

อยากจะลุ้นว่า "ความจริงแล้ว นอฟเป็นลูกดุริยะที่มีคนรู้ความลับนี้แค่แม่นอฟกับดุริยะเท่านั้น" ฮอลลลลลล ดันๆๆๆๆๆๆๆ คุณพ่อกับนอฟเคมีคู่แรงมากกกก อยากให้เป็นบาปแต่ที่สุดแล้วมันจะไม่เป็นบาป อีกต่อไป ฟิลาเลลลลลลล่

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 9 P.5 [28/04/60]
«ตอบ #133 เมื่อ22-05-2017 02:55:44 »

Chapter 10

“แหวะ! เหม็นจัง” เด็กชายในชุดนอนลายการ์ตูนย่นปากพร้อมกับยกสองมือเล็กปัดไปมาตรงหน้าเพื่อไล่กลิ่นชวนคลื่นไส้นั้น “ป๊าไปบ้วนปากแปรงฟันเดี๋ยวนี้เลยนะ”

คนโดนบ่นเดินหายเข้าไปในห้องน้ำสักพักร่างสูงใหญ่ก็เดินกลับมาออกมาพลางใช้มือปิดปากเป่าทดสอบลมหายใจหอมสดชื่นอีกครั้งก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างเด็กชายที่กอดอกหน้าตูมอยู่ “เลิกทำหน้าบูดได้แล้วครับคนเก่ง ป๊าแปรงฟันตั้งสามรอบเลยนะ”

“ไหน มาพิสูจน์ก่อน”

“โอเคหรือยังครับ” ชายหนุ่มถามคนที่วางมาดราวกับเป็นกรรมการตรวจสอบคุณภาพกลิ่นปากของเขา หลังจากที่เอาจมูกมาดุนๆ ข้างแก้มแล้วแตะริมฝีปากจุ๊บไปเบาๆ เพิ่งจะเข้าประถมแท้ๆ แต่เรื่องลีลาท่าทางนี่ช่างก๋ากั่นเกินวัยจริงๆ สงสัยเขาคงปล่อยให้ดูทีวีมากเกินไป

“อือ” เด็กชายส่งเสียงงึมงัม “ป๊าเลิกบุหรี่ได้แล้วนะ คุณครูบอกว่าสูบบุหรี่ทำให้ตายไว ป๊าไม่อยากอยู่กับผมนานๆ เหรอ”

“ก็อยากครับ แต่ป๊าสูบมานานแล้วนะครับจะให้เลิกในวันสองวันคงทำไม่ได้หรอก นี่ก็ลดไปตั้งเยอะแล้ว ขอเวลาป๊านิดหนึ่งนะครับคนเก่ง”

เด็กชายทำหน้ายู่ “ก็ผมไม่ชอบนี่นา ป๊าไม่รักผมแล้วเหรอ” พูดจบก็มุดตัวหนีเข้าโปงผ้าไป ทิ้งให้คนฟังยังจมอยู่ถ้อยคำตัดพ้อเบาๆ ทว่ามีอนุภาพร้ายแรงต่อหัวใจ

ปรเมษฐ์หันไปมองซองบุหรี่ที่โผล่พ้นกระเป๋าเสื้อเชิ้ตซึ่งแขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้าแล้วหันกลับมามองโปงผ้าข้างกายอีกครั้งก่อนจะลุกออกจากเตียงไปหยิบซองบุหรี่ออกมาโยนทิ้งลงถังขยะแล้วกลับมาขึ้นเตียง และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่มือของเขาได้สัมผัสแท่งนิโคติน


แสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่ที่ทอลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาสะกิดให้เด็กหนุ่มค่อยเผยอเปลือกตาขึ้นช้าๆ ทว่าท่อนแขนแกร่งที่โอบหลวมๆ อยู่รอบเอวกับอกกว้างที่อิงแอบอยู่นั้นอุ่นจนทำให้ไม่อยากลุกไปไหน นัยน์ตากลมเหลือบขึ้นมองเจ้าของอ้อมแขนซึ่งยังคงหลับสนิท เมื่อคืนเขาฝันถึงเรื่องในตอนเด็ก เป็นอีกหนึ่งความทรงจำดีๆ ที่ไม่รู้ไปหลงลืมไว้ตอนไหนจนเผลอคิดน้อยใจป๊าไปเสียได้ว่าเลิกบุหรี่เพราะแม่ ในเมื่อเราก็มีกันอยู่แค่สองคนแท้ๆ

เด็กหนุ่มจ้องมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ ก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิดแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นจิ้มเบาๆ ที่ข้างแก้ม “ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์ทำเพื่อผม”

“บ่นอะไรอยู่คนเดียว หืม”

เปลือกตาที่เปิดพรึ่บขึ้นสบตาโดยไม่ส่งสัญญาณเตือนมาก่อนทำเอานภธรณ์ตกใจลุกขึ้นนั่ง พอตั้งสติได้จึงหาเรื่องกลบเกลื่อน “บ่นป๊าน่ะแหละ ไหนว่ามีผมอยู่ด้วยแล้วนอนไม่หลับไง ก็เห็นหลับสนิทดีนี่นา แบบนี้ผมไม่ต้องไปซื้อเตียงใหม่แล้วก็ได้มั้ง”

“อืม”

“ล้อเล่นน่า ผมบอกว่าซื้อก็ซื้อสิ ป๊าลุกเร็วไปห้างกันเถอะ”

“จะรีบไปไหนกัน เพิ่งจะแปดโมง ห้างเปิดตั้งสิบโมงไม่ใช่เหรอ นอนต่ออีกหน่อยสิ” ปรเมษฐ์บอกพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหน้าเตรียมจะนอนต่อ

หัวใจเจ้ากรรมเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยกับอาการเกียจคร้านเหมือนเด็กๆ ของป๊าที่นานทีจะได้เห็น เขากระโดดขึ้นคร่อมแล้วเขย่าปลุก “ป๊า! ตื่นได้แล้ว ป๊า~”

“นอฟ ไม่เอา ไม่เล่นน่า ฉันหนักนะ”

“ป๊าก็ตื่นดิ”

“เออ รู้แล้วๆ จะไปรีบไปไหนเนี่ย” ปรเมษฐ์บ่นเสียงดังพร้อมกับลุกพรวดขึ้นทำให้คนที่นั่งคร่อมอยู่เสียหลักหงายหลังจนต้องรีบคว้าคออีกฝ่ายไว้แน่น

“ก็... ก็...” นภธรณ์หายใจขัดด้วยสภาพตอนนี้คือร่วงลงมานั่งคร่อมอยู่บนตัก สองแขนคล้องรอบคอทำให้อกชิดอกและใบหน้าก็ห่างกันแค่คืบ

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเด็กหนุ่มคงไม่คิดอะไร แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ที่ใจมันคิดอกุศลจนเลยเถิดไปไกล เพียงแค่ดวงตาปรือที่ยังไม่ตื่นดีมองสบมาก็ทำเอาใจสั่นรีบกลั้นหายใจเอาไว้แทบไม่ทันด้วยกลัวว่าจังหวะการหายใจที่เปลี่ยนไปจะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ก็... ก็... ก็จะรีบไปซื้อเตียงให้เสร็จๆ... แล้วก็จะได้ให้เขาเอามาส่ง... แล้วผมจะได้ขนของจากห้องโน้นกลับมานอนกับป๊าเร็วๆ ไง”

“เหรอ” ปรเมษฐ์ตอบ “แต่ว่าก่อนอื่น...”

“อะไรครับ” นภธรณ์กลืนก้อนน้ำลายเหนียวลงคอเมื่อริมฝีปากอุ่นขยับเข้าใกล้ อยากจะทำมอร์นิ่งคิสก็อยาก แต่หน้ายังไม่ได้ล้าง ฟันก็ยังไม่ได้แปรง แต่ถ้าปฏิเสธตอนนี้ต้องโดนสงสัยแน่ๆ แล้วที่สำคัญคือ... อดน่ะสิ! เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน

เด็กหนุ่มหลับตาแน่นเตรียมรับสัมผัส แต่แล้วความอบอุ่นอ่อนโยนที่คาดหวังกลับถูกแทนที่ด้วยอะไรที่หนักหน่วงกว่านั้น

โครม!

“ลงไปจากตัวฉันสักทีเจ้าลูกควาย ขาฉันเป็นตะคริวหมดแล้วเนี่ย!”

เด็กหนุ่มโดนดีดลงมานอนเอ้งเม้งอยู่ข้างเตียง อึดใจต่อมาเขาก็เห็นท่อนขาแข็งแรงก้าวลงบนพื้นและเดินไปทางห้องน้ำ

“ตกลงจะให้ผมเป็นลิงหรือควาย แต่ที่แน่ๆ ถ้าผมเป็นลูกควาย ป๊าก็เป็นพ่อควายเหมือนกันน่ะแหละ” นภธรณ์ตะโกนไล่หลัง

“ไม่เป็น! วันนี้ฉันขอลาพักร้อนจากการเป็นพ่อแกหนึ่งวัน ไอ้เด็กดื้อ!”

“ป๊าอะ!” นภธรณ์ตะโกนแก้เขินก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้าที่แดงเป็นลูกตำลึงสุกแล้วกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น

...ลาพักรงพักร้อนอะไรเล่า ลาออกไปเลยก็ได้นะ ผมอนุญาต... แต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้พลาดไปได้ไง ชิ! คอยดูนะคืนนี้ถ้าไม่ได้กู๊ดไนท์คิสเขาจะไม่ยอมเข้านอนเด็ดขาด!

เด็กหนุ่มตั้งปณิธานแน่วแน่พร้อมกับทุบกำปั้นลงบนพื้นก่อนจะเหลือบมองไปยังเป้าหมายซึ่งอยู่หลังประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท พลันนัยน์ตากลมเป็นประกายวาววับเจ้าเล่ห์ขึ้นทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าป๊าปกติไม่ล็อกประตูห้องน้ำ

นภธรณ์ลุกพรวดขึ้นจากพื้นคว้าผ้าขนหนูแล้วออกวิ่งสี่คูณร้อยไปยังประตูห้องน้ำพร้อมกับถอดเสื้อผ้าไปด้วย “ป๊า~ ผมขออาบน้ำด้วยคนน้า~”

oooooo

สองพ่อลูกเดินคู่กันไปในโซนเครื่องนอนของศูนย์การค้าใหญ่แถวสยามซึ่งมีเตียงหลายแบบตั้งแต่แบบเดี่ยวธรรมดาสำหรับคนโสดไปจนเตียงฮันนีมูนมีหลังคาระบายลูกไม้สุดโรแมนติกให้เลือกตามความต้องการใช้สอย แต่หลังจากเดินวนอยู่หลายรอบนภธรณ์ก็ยังไม่ได้เตียงหลังที่ถูกใจ

อันที่จริงเด็กหนุ่มไม่ได้เรื่องมากอะไรหรอกเพียงแต่อยากยืดเวลาเรียบง่ายที่จะได้อยู่ด้วยกันเท่านั้น จะมีสักกี่ครั้งกันเชียวที่เขาจะได้เดินเกาะแขนป๊ามาช็อปปิ้งสบายๆ แบบนี้

“ป๊า มาช่วยเลือกหน่อยสิ แบบนี้จะใหญ่ไปไหม อ้าว...” นภธรณ์หันไปแล้วก็พบว่าคนที่มาด้วยกันหายไปเสียแล้ว เขาเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นป๊ากำลังถูกรุมล้อมด้วยพนักงานสาวๆ ของห้างสามคน

เด็กหนุ่มกอดอกด้วยความหงุดหงิด เมื่อเช้าพลาดทั้งจูบแถมยังโดนป๊าเตะโด่งออกมาจากห้องน้ำ แล้วนี่เขายังต้องมาทนเห็นภาพบาดตาบาดใจที่ป๊าโดนสาวๆ จีบอีกเหรอ

“นี่คุณพ่อของน้องที่เป็นนักร้องใช่ไหมคะ”

“ใน MV ว่าหล่อแล้วตัวจริงหล่อกว่าอีกขอลายเซ็นได้ไหมคะ”

“ขอโทษนะครับ ผมเซ็นไม่เป็น”

“ขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ”

“เห็นทีจะไม่สะดวกน่ะครับ”

“งั้นจับมือก็ได้ค่ะ นะคะ นะ นะ นิดเดียวเอง”

นภธรณ์หน้ามุ่ย เขาเป็นนักร้องแท้ๆ นี่เดินทำหน้าหล่อตั้งแต่ชั้นใต้ดินจนจะถึงดาดฟ้ายังไม่มีแมวมาทักสักตัว ได้ข่าวว่าป๊าเป็นพ่อแล้วไหงถึงมีแต่สาวๆ มารุมล้อมได้ละเนี่ย อ้อ! ลืมไปตอนนี้เป็นพระเอก MV ด้วย

“ป๊า” เขาส่งเสียงเรียกออกไปอีกครั้ง

“ขอโทษนะครับ ผมขอตัวก่อน” ปรเมษฐ์ค้อมศีรษะให้พวกเธอที่ในที่สุดยอมปล่อยตัวมาอย่างแสนเสียดาย

“ชิ!” นภธรณ์ย่นปากพร้อมกับเป่าลมเข้าแก้ม

“เป็นอะไร”

“เป็นลูกที่ถูกป๊าที่ดังแล้วทอดทิ้งไง” เขาใส่ทำนองร้องเป็นเพลง

“งอนหรือไง”

“บู้!” นภธรณ์แลบลิ้นใส่ก่อนจะทำเป็นกอดอกหันหน้าหนีไปอีกทาง

ในตอนนั้นเองที่รู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังจับจ้อง เขาเหลียวมองกลุ่มหญิงสาวอีกครั้ง นอกจากพวกเธอจะไม่กรี๊ดกร๊าดเขาซึ่งเป็นนักร้องแล้วยังไม่ยอมสบตาตรงๆ

...เอ๊ะ! หรือว่าจะเขิน แต่ก็ปกติก็เห็นแห่กันเข้ามาแบบไม่เกรงอกเกรงใจนี่นา…

ระหว่างที่เขาคิดในใจนั้นพวกเธอก็ค่อยกระจายตัวออกจากกัน ทำเป็นจัดข้าวของในชั้นหรือไม่ก็หยิบใบปลิวโฆษณาขึ้นมาอ่านทั้งที่มันเป็นภาษาจีนแถมยังอ่านกลับหัวอีกต่างหาก

เด็กหนุ่มย่นคิ้วกับความมีพิรุธนั่น เขาหันมองไปรอบๆ ตัว รู้สึกสังหรณ์แปลกๆ คล้ายกับมีอะไรไม่ชอบมาพากล เขายังคงครุ่นคิดหาคำตอบไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอะไรบางอย่างถูกยื่นมาตรงหน้า เขาหลุบตาลงมองชูปาจุ๊บรสสตรอว์เบอร์รี่สีชมพูสวยก่อนจะตวัดสายตาขึ้นมองคนที่เอามันมาง้อขอคืนดี

“เลิกงอนได้แล้วน่า”

“ไม่!” เด็กหนุ่มทำเป็นเชิดหน้าหนีใส่ของหวานสุดโปรด
   
“ไม่กินก็ตามใจ งั้นฉันกินเองนะ”
   
“ป๊าอะ!” นภธรณ์ร้องเสียงหลง “อะไรกัน ง้อแค่เนี้ย”

ปรเมษฐ์เหลือบมองด้วยหางตา “แค่นี้แหละ ตกลงจะกินไหม”

“กินครับ”
   
“เอ้า! อ้ำ”

เด็กหนุ่มอ้าปากรอ แต่ในเสี้ยววินาทีที่ขนมกำลังจะเข้าปากปรเมษฐ์กลับดึงคืนไปเสียเฉยๆ แกล้งให้เขาคอยเก้อ

ผู้เป็นพ่อหัวเราะในลำคอใส่ลูกชายที่ทำหน้ามุ่ยก่อนจะยื่นมาให้ใหม่

นภธรณ์ยื่นหน้าเข้าไปหาอีกครั้งแต่ก็อมมาได้แค่ลม อมยิ้มสีสวยยังคงลอยนวลอยู่ในมือปรเมษฐ์ที่ตอนนี้กลั้นหัวเราะจนตัวสั่น

“ป๊า!”
   
“ฮ่า ฮ่า ล้อเล่นน่าๆ อะ อ้าม~”

นภธรณ์ทำหน้าบูด เขาเหลือบตามองอย่างไม่ไว้ใจและไม่ยอมตกหลุมพรางง่ายๆ อีกเป็นครั้งที่ 3

“กินหน่อยน่า ฉันไม่แกล้งแล้ว” ปรเมษฐ์ใช้อมยิ้มเขี่ยเบาๆ ที่มุมปากอยู่สองสามครั้งคนงอนจึงหันมางับอมยิ้มเข้าปากเอามาดูดแจ๊บๆ

“หายงอนหรือยัง”

“นิดนึง” รสของขนมว่าหวานแล้ว แต่เทียบกันไม่ได้เลยกับรอยยิ้มของคนอายุมากกว่าที่กำลังมองมา แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาใจอ่อนได้ยังไง

“หายงอนนิดนึงนี่เป็นยังไง”

“ก็แค่นี้ไง” นภธรณ์ตอบพร้อมกับเอานิ้วโป้งไขว้กับนิ้วชี้เป็นสัญลักษณ์มินิฮาร์ทให้ปรเมษฐ์ที่ทำหน้านิ่งใส่ก่อนจะแกล้งดึงก้านอมยิ้มออกจากปากให้ลูกชายตามมางับคืนไปอีกครั้ง

ในขณะที่สองพ่อลูกกำลังงอนง้อเล่นกันอยู่นั้นเอง พนักงานสาวกลุ่มเดิมก็ค่อยๆ ย่องกลับมารวมตัวกันอีกครั้งพร้อมทั้งป้องปากกระซิบกระซาบ

“ควงกันมาสองคนกะหนุงกะหนิง หรือข่าวมันจะจริงวะแก เฮ้ย! พวกแกดูสิ มีเพลย์อมยิ้มด้วย เล่นอะไรกันก็ไม่รู้กลางวันแสกๆ” พนักงานสาวคนแรกพูด

“ไอ้ทะลึ่ง! ทีแรกฉันก็ไม่คิดอะไร พอแกพูดเท่านั้นล่ะ ฉันก็คิดดีกับอมยิ้มไม่ได้เลยว่ะ” พนักงานสาวคนทีสองจีบปากจีบคอว่า “ทีแรกก็คิดว่าโปรโมทตามคอนเซปต์เพลง เห็นกับตาแบบนี้ไม่น่าพลาดว่ะ ได้ข่าวว่าโปรดิวเซอร์เป็นคุณยะด้วยหรือเขาจะไปรู้เห็นอะไรมาจนได้เพลงใหม่นะ”

“นั่นสิ แกเห็นสายตาเมื่อกี้ป่ะ มีค้อนใส่ฉันด้วยนะเว้ย” พนักงานสาวคนที่สามรีบสาดสีตีไข่ใส่

“ว้าย ตายแล้ว” อีกสองคนหันมายกมือทาบอกพร้อมกัน

“พ่อกับลูกเหรอ”

“มันจะเกินไปไหม มันจะจริงเหรอแก”

“อยากรู้ว่าจริงไหมแกก็ถามสิยะ”

“เรื่องอะไรยะ! ถามไปได้โดนเขาหาว่าสอดรู้น่ะสิ ถ่ายรูปดีกว่า นี่ๆ เอากล้องหลังสิบสามล้านพิกเซลของแกขึ้นมาถ่ายสิ”

“จะถ่ายทำไมภาพนิ่ง มือสั่นเดี๋ยวภาพเบลอ คลิปสิ ถ่ายคลิปน่ะรู้จักไหม” เธอบอกพร้อมกับจิ้มนิ้วลงบนหน้าสัมผัสของโทรศัพท์ในมือเพื่อนเพื่อเปลี่ยนโหมดเป็นวิดีโอแล้วซูมเข้าไป ก่อนที่ทั้งสามสาวจะสุมหัวกันเข้ามุงเพื่อดูรูปให้ชัดๆ

นภธรณ์ยังคงเดินดูเครื่องนอนกับปรเมษฐ์อย่างสบายใจไปอีกหลายนาทีโดยไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบ้างในโลกออนไลน์ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์จากบริษัทดังขึ้น

“ครับ ท่านประธาน”

“นอฟ! ตอนนี้อยู่ที่ไหน” เสียงของแดเนียลดังมาตามสายอย่างร้อนรน จนเด็กหนุ่มตกใจไปด้วย

“พารากอนครับ มาซื้อของกับป๊า”

“เข้ามาบริษัทเดี๋ยวนี้เลยเรามีเรื่องต้องคุยกัน คุณโป้ด้วย” แดเนียลบอกเสียงเฉียบขาดก่อนจะกดวางสาย

“มีอะไรเหรอ” ปรเมษฐ์ถาม

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ฟังจากเสียงท่านประธานแล้วไม่ค่อยดีเลย” นภธรณ์กำโทรศัพท์ในมือแน่นพร้อมกับเหลียวมองไปรอบตัว และในขณะที่รีบกลับไปขึ้นรถนั้นเขาก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาแปลกๆ ที่สาดใส่มาจากทั่วสารทิศ

ในห้องทำงานของบริษัท D&T media แดเนียล คิมนั่งหน้าเครียดประสานมือไว้ตรงหน้า นี่ไม่ใช่เรื่องปกติเลยสำหรับคนที่อารมณ์ดีอยู่เสมอ ในขณะที่ผู้จัดการส่วนตัวของเขายืนกอดแฟ้มเอกสารทำตาแดงอยู่ข้างๆ อาการตื่นตระหนกของตฤณทำให้นภธรณ์รู้ว่าเขาคงโดนท่านประธานต่อว่าไปชุดใหญ่ที่ปล่อยปละละเลยให้เรื่องแบบนี้มันออกมาได้

“นี่มันเรื่องอะไรกันครับ” แดเนียลถามเสียงเข้มพร้อมกับชี้มือไปยังเอกสารบนโต๊ะ ดูเหมือนเขาจะตั้งใจพูดกับปรเมษฐ์มากกว่าจะพูดเด็กหนุ่ม

นภธรณ์เดินเข้าไปใกล้เพื่อดูให้ชัดๆ ก่อนจะกลั้นหายใจ ภาพที่เขาจูบกับป๊าในห้องแต่งตัวเมื่อวันก่อนถูกพาดหราบนข่าวหน้าบันเทิง

ช๊อก! นักร้องหนุ่มขวัญใจวัยรุ่นแอ๊บใสร้องเพลงตามหาแม่ ที่แท้มีเสี่ยเลี้ยง อึ้งหนัก! เสี่ยคนนั้นคือคนที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อ

เนื้อหาต่อมานั้นตีแผ่ข้อสงสัยอย่างละเอียดยิบไล่เรียงตั้งแต่วันเกิดของนักร้องหนุ่มในขณะที่พ่อยังเป็นนักศึกษาแพทย์ รูปร่างหน้าตาที่ไม่มีความคล้าย กรุ๊ปเลือดที่ต่างกัน ไปจนถึงภาพแอบถ่ายในมุมต่างๆที่แสดงออกถึงความสนิทสนมที่มากเกินกว่าคำว่าพ่อ-ลูก ไม่ว่าจะเป็นกอด หอมแก้มไปจนถึงจูบ

“โกหกว่าเป็นพ่อลูก ที่แท้เป็นเด็กที่เสี่ยซื้อมาเลี้ยง” แดเนียลอ่านข้อความหนึ่งบนหน้าหนังสือพิมพ์ให้ได้ยินกันชัดๆ “เช้านี้ผมรับโทรศัพท์เป็นร้อยสายเพื่อแก้ข่าวให้ แต่พวกคุณกลับไป...”

เขาคว้าแท็บเล็ตขึ้นมาแล้วเปิดภาพคลิปวิดิโออันหนึ่งซึ่งเพิ่งถูกถ่ายขึ้นเมื่อช่วงเช้า

“ของใช้มีเป็นร้อยเป็นพันอย่างไม่ซื้อ นี่ไปซื้ออะไร? เตียง! คนเขาจินตนาการว่าพวกคุณทำอะไรกันไปถึงไหนต่อแล้วเนี่ย!”

คำคอมเมนต์ที่ปรากฏใต้คลิปมีทั้งคัดค้านและเห็นด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็จะคล้อยตามกันไปเป็นอุปาทานหมู่ปั้นเรื่องเล่ากันออกมาได้เป็นฉากๆ ราวกับมาแอบอยู่ใต้เตียงหรือเกาะเพดานเฝ้าดูพฤติกรรมของพวกเขาว่าวันๆ ทำอะไรกันบ้าง

เด็กหนุ่มมือสั่นเล็กน้อยในขณะที่หยิบภาพบนโต๊ะขึ้นมาดูใกล้ๆ เขาไม่แปลกใจเลยถ้าคนนอกจะคิด ในเมื่อสายตาของเขาที่มองป๊ามันฟ้องอะไรบางอย่างขนาดที่เขาดูเองยังเขินเอง นี่น่ะเองสาเหตุของสายตาแปลกๆ ที่มองมา แล้วที่ดุริยะพูดตอนนั้นล่ะ... เพลงที่เขาร้องออกไปวันนั้นมันถูกใครจับได้หรือเปล่า หรือว่าความรู้สึกมันจะสื่อไปถึงคนที่เขาตั้งใจร้องให้ไหมนะ

เขาเหลือบตามองป๊าที่ยืนมองรูปถ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะตวัดกลับมามองรูปถ่ายในมืออีกครั้ง และนึกย้อนกลับไปตอนที่จูบกัน

ริมฝีปากที่ประทับลงมาให้ความรู้สึกอุ่นและนุ่มกว่าทุกครั้ง แก้มที่แดงระเรื่อและกลิ่นหวานของลมหายใจที่ยังติดอยู่ตรงปลายจมูก ทั้งที่แค่แตะแล้วก็ปล่อยแต่กลับลึกซึ้งจนถอนตัวไม่ขึ้น ความรู้สึกที่จูบกันตอนยังไม่คิดอะไรกับตอนที่คิดไปแล้วนี่มันช่างแตกต่างกันจริงๆ... แล้วเขาจะมีโอกาศได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้นอีกสักครั้งไหมนะ

เสียงกระแอมไอเบาๆ ของปรเมษฐ์ทำให้นภธรณ์สะดุ้งตื่นจากภวังค์มาเผชิญกับสถานการณ์ตรงหน้า

“ผมกับลูกก็ทักทายกันแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว ผมนึกว่าพวกคุณจะชินกับเรื่องนี้แล้วซะอีก” ปรเมษฐ์กล่าวเสียงเรียบ

“แต่คนอื่นเขาไม่ได้ชินเหมือนพวกผมน่ะสิ” แดเนียลพูดเสียงดัง “นอฟ! ตอนนี้เธอเป็นนักร้องนะลืมไปแล้วหรือเปล่า ฉันไม่สนหรอกว่าเมื่อก่อนเธอเป็นยังไง แต่ตอนนี้เธอเป็นคนของประชาชนนะ สื่อให้ความสนใจ ทุกคนให้ความสนใจ คราวที่แล้วก็มีข่าวกับคุณดุริยะ แล้วตอนนี้ก็มีข่าวกับพ่อตัวเองเนี่ยนะ ไปทำอีท่าไหนให้ไอ้กรรณมาขุดคุ้ยได้ละเนี่ย มันเป็นพวกกัดแล้วไม่ปล่อยด้วย”

“ผม...” นภธรณ์เกือบจะหลุดปากตอบไปว่า ‘ท่ามาตรฐานตามในรูปน่ะแหละครับ’ แต่ก็ปิดปากได้ทัน

“คุณว่าผมได้ แต่กรุณาอย่าว่าลูกชายผมครับเพราะผมเป็นฝ่ายจูบเขาเอง ผมต้องขอโทษด้วยที่ทำให้พวกคุณลำบาก” ปรเมษฐ์แทรกขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะเล็กน้อย “วันนั้นเราทะเลาะกันนิดหน่อย คุณก็น่าสังเกตเห็นว่านอฟอารมณ์ไม่ค่อยดี พอปรับความเข้าใจกันได้ผมก็จูบอวยพรให้ลูกโชคดีในการร้องเพลง เรื่องมันก็มีแค่นั้นและเราก็จูบกันในห้องด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่านักข่าวคนนี้ไปแอบถ่ายหรือได้ภาพนี้มาได้ยังไง”

คำขอโทษและการอธิบายอย่างตรงไปตรงมาทำให้แดเนียลใจเย็นลง แต่เขาก็ยังวางใจอะไรไม่ได้เพราะเรื่องนี้มันส่งผลทางลบต่อตัวศิลปินและค่าย ยิ่งไปกว่านั้นอาจกระทบต่อยอดขาย “แล้วเราจะแก้ปัญหานี้ยังไง ผมคิดว่าเราควรจะตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชนนะครับ”

“แทนที่จะทำแบบนั้น ผมคิดว่าเราไม่ต้องทำอะไรดีกว่าครับ พอนักข่าวไม่มีอะไรจะเล่น คนก็จะคิดได้เองว่ามันไร้สาระแล้วก็จะลืมกันไปเอง คนไทยลืมง่ายอยู่แล้วครับ” ปรเมษฐ์บอก “ธุระมีแค่นี้ใช่ไหมครับ ถ้าเช่นนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ พอดีตอนบ่ายนัดคนไข้ไว้”

นภธรณ์มองท่านประธาน รู้ว่าเขาค่อยไม่เห็นด้วยกับความคิดของป๊าสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อาจเถียงอะไรได้เพราะสิ่งที่ป๊าพูดก็ไม่ผิด ส่วนพี่ตฤณก็เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตา เขาจึงยกมือไหว้และขอตัวกลับไปพร้อมกับป๊า

“ขอโทษนะครับที่ทำให้ป๊าต้องมาลำบากกับเรื่องอะไรแบบนี้” นภธรณ์พูดเสียงอ่อย

“ขอโทษทำไม ไม่ใช่ความผิดแกสักหน่อย ถ้าจะโทษก็ต้องไปโทษไอ้พวกนักข่าวที่ไม่มีอะไรจะทำนั่นต่างหาก” ปรเมษฐ์ว่า

“ละ... แล้วแบบนี้เรื่องเตียงจะเอาไงดีครับ ถ้ากลับไปที่ห้างตอนนี้คงโดนมองด้วยสายตาแปลกๆ อีกแน่เลย”

“ก็ไม่ต้องซื้อแล้ว”

“แบบนั้นไม่ได้นะครับ แล้วคืนนี้ผมจะนอนที่ไหนล่ะ”

“ก็นอนกับฉันไง”

“เอ๋~”

“เมื่อเช้าฉันก็บอกแล้วไง แกไม่รู้จักฟังเอง ทำไม ทำหน้าแบบนั้นมีปัญหาหรือไง ไม่ชอบใจงั้นก็ลงไปนอนพื้น”

เด็กหนุ่มย่นปากพร้อมทั้งเข้ามาเกาะแขน “พื้นมันแข็งนี่นา ถ้าไม่ให้ผมนอนเตียง ผมนอนบนตัวป๊าได้ไหม”

“เรื่องยังไม่ทันซาก็ยังจะทำเป็นเล่นอีกนะ”

เสียงที่เข้มขึ้นกับตาคมของปรเมษฐ์ซึ่งตวัดลงมองมือที่จับต้นแขนแกร่งทำให้นภธรณ์คิดว่ากำลังโดนดุ เขาค่อยคลายมือออกเมื่อมือใหญ่เอื้อมมาคว้าที่ข้างแก้มแล้วดึงให้หันไปสบตา

“แล้วนี่แกไม่กลัวเรตติ้งตก แฟนคลับทิ้ง ผู้หญิงหนีเหรอ”

“กลัวสิครับ” นภธรณ์ว่า “แค่มีภาพไปบ้านพี่ยะคราวที่แล้วผมยังหนีนักข่าวแทบตาย ครั้งนี้ต้องหนักกว่าเดิมแน่ๆ เพราะฉะนั้นป๊าต้องให้กำลังใจผมเยอะๆ นะจะได้มีแรงสู้ไง”

“ช่วงนี้แกต้องคุมน้ำหนัก ไนกี้ก็ยังไม่ออกรุ่นใหม่” ปรเมษฐ์รำพึง “ไหนบอกมาสิว่าจะเอาอะไร เกม?”

“ป๊าเห็นผมเป็นคนเห็นแก่ของไปได้”

“หรือไม่จริง บอกมาสิที่ทำปากหวานมาอ้อนแบบนี้จะเอาอะไรจากฉัน”

“ก็บอกแล้วไงครับว่าไม่อยากได้อะไร แค่อยากให้ป๊าเอาใจ” เด็กหนุ่มลอยหน้าลอยตาตอบ

ปรเมษฐ์ส่ายหน้าเบาๆ อย่างจนใจจะต่อล้อต่อเถียง “เอาใจมากกว่านี้ก็ไม่ใช่พ่อแกแล้วล่ะ”

คนเป็นพ่อเดินนำไปไกลแล้วในขณะที่เด็กหนุ่มยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ใบหน้าร้อนวาบแทบไหม้ สติกระเจิงกับประโยคง่ายๆ ที่เขาดันคิดลึกโดยไม่ได้ตั้งใจ

...มากกว่าพ่อแล้วเป็นอะไรอะป๊า... แฟนเหรอ?...

นภธรณ์เอาหัวโขกกำแพงแก้เขินสองทีก่อนจะหันมองซ้ายขวาเห็นว่าปลอดคนจึงดึงภาพข่าวออกจากกระเป๋ามาดูอีกครั้ง สาบานได้ว่าไม่ได้ตั้งใจขโมยเพียงแต่เมื่อกี้ดูแล้วลืมวางคืนเท่านั้น

“แฟน”

เขากระซิบเบาๆ กับตัวเองแล้วก็ยกภาพขึ้นปิดหน้าบิดไปบิดมาด้วยกระดากอายตัวเองที่ทำอะไรเลี่ยนๆ ก่อนจะม้วนภาพเก็บให้เรียบร้อยแล้วตบแก้มแรงๆ สามสี่ครั้งเพื่อตั้งสติปั้นหน้านิ่งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและออกวิ่งสุดฝีเท้าเพื่อตามป๊าให้ทัน

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 9 P.5 [28/04/60]
«ตอบ #134 เมื่อ22-05-2017 03:04:17 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)
ถึงนภธรณ์จะไม่สนใจข่าวพวกนั้นและคิดว่ามันจะเงียบไปเองอย่างที่ป๊าว่า แต่ก็ดูเหมือนนักข่าวสำนักอื่นและคนทั่วไปจะไม่คิดแบบนั้นเลย และเรื่องมันก็บานปลายไปกันใหญ่จนกระทั่งผู้อำนวยการโรงเรียนต้องเรียกเขาเข้าไปคุยเป็นการส่วนตัวในตอนเย็นวันต่อมา

“เธอคงรู้แล้วว่าทำไมครูถึงเรียกมาพบ”

“ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้า “เรื่องข่าวใช่ไหมครับ”

“จริงๆ ทางโรงเรียนเราก็ไม่มีปัญหาอะไรกับการที่เธอเป็นนักร้องหรอกนะเพราะโรงเรียนของเราก็มีทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันหลายคนที่อยู่ในวงการบันเทิง การที่มีนักข่าวมาดักรอเต็มรั้วโรงเรียนและข่าวซุบซิบดาราเราก็เจอมาเยอะ แต่ในกรณีของเธอนี่ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมมากเพราะเป็นเรื่องชู้สาวซึ่งผิดกฏของโรงเรียนและมีโทษร้ายแรงถึงขั้นให้ไล่ออก”

“แต่ข่าวนั่นมันไม่เป็นความจริงนะครับ” นภธรณ์รีบแย้ง

“ทางโรงเรียนก็ไม่คิดแบบนั้นอยู่แล้ว แต่จะปล่อยไว้เฉยๆ แบบนี้คงไม่ได้ คณะกรรมการครูและฝ่ายปกครองจึงคิดว่าอาจจะต้องมีการเรียกผู้ปกครองของเธอมาพูดคุยเพื่อหารือ และถ้ายังหาข้อสรุปอะไรไม่ได้ในระหว่างนี้คงจะเป็นการดีถ้าจะให้เธอหยุดอยู่กับบ้านเพื่อลดความวุ่นวายและความตึงเครียด”

“หมายความว่าผมโดนพักการเรียนหรือครับ” นภธรณ์ถาม

“ฉันบอกว่าหยุดอยู่กับบ้านเพื่อลดความวุ่นวายและความตึงเครียดต่างหาก มันต่างกันนะ” ผอ.โรงเรียนรีบพูดเพราะผู้ปกครองของเด็กหนุ่นนั้นเป็นผู้มีอุปการะคุณของทางโรงเรียนที่บริจาคเงินให้ปีละหลายแสนบาททีเดียว “เพื่อตัวเธอเองที่จะได้ไม่ต้องมาเจอกับนักข่าว และคนอื่นๆ ที่จะคอยตั้งถามกับเธอไง”

“ครับ” นภธรณ์รับคำเสียงอ่อย

“นี่จดหมายเชิญผู้ปกครอง ครูฝากไปให้คุณปรเมษฐ์ด้วย”

เด็กหนุ่มเดินกลับออกมาห้อง เขาถอนหายใจพร้อมกับจ้องมองจดหมายในมือก่อนจะเก็บใส่กระเป๋า เขาเดินลัดเลาะรั้วไปทางประตูหลังเพื่อหนีนักข่าวจากประตูใหญ่ไปขึ้นรถตรงที่นัดกับพี่ตฤณไว้เหมือนเมื่อครั้งที่แล้ว

แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะไม่ง่ายแบบนั้น เมื่อนักข่าวจำนวนหนึ่งจับไต๋เขาทันและมาดักรอกันอยู่แล้ว ทันทีเขาเยี่ยมหน้าออกไป นักข่าวที่แอบอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ก็กรูกันเข้ามาหาเขาทันที

เด็กหนุ่มตกใจและรีบออกวิ่งเพื่อไปขึ้นรถตฤณให้ทัน

“พี่ตฤณสตาร์ทรถเลยครับ ผมกำลังจะไป” นภธรณ์ร้องบอกไปในโทรศัพท์

“จะรีบไปไหนละครับ”

ชายหนุ่มคนหนึ่งกระโดดเข้ามาขวางหน้าพร้อมกับกล้องตัวใหญ่ในมือ ผ้าคาดปากลายหัวกะโหลกกับหมวกแก๊ปสีดำที่ใสพรางตัวอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้เขารู้ทันทีว่านี่คือกรรณ เจ้าของคอลัมน์ที่เขียนข่าวจนเป็นเรื่องใหญ่โต

“ตกลงเธอเป็นเด็กที่เขาขอมาเลี้ยงบังหน้าจริงๆ หรือเปล่า” กรรณถาม “เขาจ่ายค่าเลี้ยงดูให้เธอแลกกับอะไรเหรอแค่จูบเหรอ หรือว่ามีเซ็กซ์ด้วย”

อารามตกใจที่โดนสาดแฟลชใส่จนตาพร่า นภธรณ์กลับหลังหันวิ่งข้ามถนนใหญ่เพื่อหนีไปอีกฝั่ง ตัดหน้ารถที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูง

เอี๊ยดดดด...

เด็กหนุ่มล้มลงกับพื้นเคราะห์ยังดีที่คนจับเบรคได้ทันทำให้เขาได้แค่รอยถลอกนิดหน่อย

“เฮ้ย! ข้ามถนนมองรถบ้างสิวะ จะรีบไปไหนพ่อมึงจะตายหรือไงวะไอ้เด็กเปรตนี่” เจ้าของสปอร์ตสีดานสีเงินลดกระจกลงมาด่า

เด็กหนุ่มหายใจหอบ นึกเสียวสันหลังกับความตายที่เฉียดไปหวุดหวิด แล้วหัวใจที่เกือบจะหยุดเต้นก็เต้นแรงขึ้นทันทีเมื่อได้เห็นคนที่อยู่หลังพวงมาลัย “พี่ยะ!”

“เจ้าหนู?” เจ้าของชื่อตกใจไม่แพ้กัน ผู้อยู่ในวงการมานานกว่ากวาดตามองครั้งเดียวก็เข้าใจสถานการณ์ทันทีและหันไปบอกกับสาวสวยในชุดเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนที่นั่งมาด้วยกัน “เธอลงไปก่อน”

“นี่มันเรื่องอะไรกันคะ! จู่ๆ พี่ยะจะมาไล่หนูแบบนี้ไม่ได้นะคะ” สาวสวยเริ่มวีนทันทีที่โดนไล่ เธอเคยเป็นนักร้องดังที่ผันตัวไปเป็นนางเอกละคร และกำลังจะกลับมามีผลงานเพลงเร็วๆ นี้

“ฉันบอกว่าได้ก็ได้สิ ลงไป”

“หนูไม่ลงค่ะ ถ้าพี่ยะอยากจะช่วยเจ้าเด็กนี่นักก็...”

“ฉันบอกให้ลงก็ลงไปสิวะ อย่ามัวแต่พล่าม! เสียเวลา!” ดุริยะตวาดเสียงดังพร้อมกับเอื้อมมือไปดึงประตูเปิดออก ปลดเข็มขัดนิรภัย หยิบกระเป๋าถือใบจิ๋วยัดใส่มือหญิงสาวพร้อมกับผลักเธอออกจากรถ “ไปสิ!”

“พี่ยะ!”

“เจ้าหนูขึ้นมา” ดุริยะไม่สนใจสาวสวยที่กำลังกรีดร้องและจ้องมองด้วยดวงตาวาวโรจน์เต็มไปด้วยความโกรธที่โดนหักหน้า

“คอยดูนะ ฉันจะเอาคืน!”

“เชิญ” โปรดิวเซอร์ใหญ่ตอบแบบไม่แคร์อะไรใดๆ และย้ำกับเด็กหนุ่ม “ขึ้นมาเร็ว อยากโดนนักข่าวลากไปทึ้งหรือไง”

นภธรณ์เหลียวมองซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าทางหนีเดียวคือรถคันนี้จึงไม่รีรอที่จะกระโดดขึ้นนั่ง “เหยียบให้มิดเลยครับ”

“ก่อนจะมาสั่งฉัน คาดเข็มขัดให้เรียบร้อยเสียก่อนเถอะ” โปรดิวเซอร์ใหญ่ว่าพร้อมกดล็อกประตู เขาเหลือบมองไปในกระจกมองหลังเห็นกรรณวิ่งไปจับมอเตอร์ไซค์แล้วจึงเข้าเกียร์ก่อนที่รถคันสวยจะทะยานออกไปราวกับติดปีกทิ้งนักข่าวที่วิ่งตามมาไว้เบื้องหลัง

“สนุกไหม” ดุริยะหันมาถามมีความขบขันอยู่ในน้ำเสียงกับท่าทีขวัญเสียของเด็กหนุ่มที่ยึดเข็มขัดนิรภัยไว้แน่น เรื่องหนีนักข่าวเขาอาจจะไม่ใช่มือหนึ่งของวงการแต่เรื่องซิ่งนี่ไม่ยอมน้อยหน้าใครแน่ ถ้าเปรียบเทียบระหว่างจำนวนใบสั่งขับรถเร็วกับเพลงที่แต่งมาทั้งชีวิต เผลอๆ ใบสั่งจะเยอะกว่าด้วยซ้ำ

“ผมนึกว่าจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่สี่แยกเมื่อกี้ซะแล้ว” นภธรณ์ตอบหวาดๆ พร้อมกับเหลียวหลังไปดู ใครจะไปคิดว่าดุริยะจะฝ่าไฟแดงกลางสี่แยกราชประสงค์อย่างไม่กลัวตายแบบนั้น แต่เพราะเหตุนั้นทำให้เขาหลุดจากการตามของกรรณมาได้

“โดนนักข่าวรุมทึ้งก็คงตายไม่ต่างกันละมั้ง เรียกว่าการตายทางสังคมน่ะ” ดุริยะว่า “ฉันก็เคยเจอบ่อยๆ คิดซะว่าเป็นพระเอกซีรีส์หนีซอมบี้อะไรพวกนี้ก็สนุกดีไปอีกแบบนะ ไว้อีกสักพักถ้าเธอเก็บเลเวลได้สูงๆ คราวนี้แทนที่จะหนีเธอจะเปลี่ยนเป็นยิ้มรับเลยล่ะ”

“ถ้ามันเป็นเรื่องดีผมก็คงไม่หนีหรอกครับ” นภธรณ์บอก 

“อ้อ” ดุริยะนึกถึงข่าวที่ดังเพียงแค่ชั่วข้ามคืนแล้วก็เปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจังขึ้นเล็กน้อย “มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ไหม”

เด็กหนุ่มเม้มปากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าปรึกษาหมอโมเรื่องจะถึงหูป๊าในทันที แต่ถ้าปรึกษาพี่ยะนอกจากป๊าจะไม่รู้แล้ว อาจจะได้คำตอบที่ต่างออกไป “ผมโดนผอ.เรียกไปพบ... เขาจะให้ผมหยุดเรียนจนกว่าเรื่องจะซา แล้วก็ให้ป๊าไปคุยที่โรงเรียน”

“โทรหาพ่อเธอเดี๋ยวนี้!” ดุริยะพูดเสียงดังและมีท่าทีเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันทีจนนภธรณ์ตกใจ “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เธอจะมาทำเป็นอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่บอกพ่อเธอไม่ได้นะ”

“ตะ... แต่วันนี้ป๊ามีผ่าตัด พรุ่งนี้ก็ด้วย”นภธรณ์บอก “ผมไม่อยากกวน เดี๋ยวรอ...”

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้มันรอไม่ได้แล้ว!”

“ไม่ใช่รอแบบนั้นครับ คือข้างหน้าเขาจอดรอไฟแดงกันอยู่ ผมยังไม่อยากตายนะครับ!!”

ดุริยะหันไปมองถนนเต็มตา แต่แทนที่จะเหยียบเบรกเขากลับหักเลี้ยวรถเข้าซอยเล็กๆ ที่อยู่ข้างหน้าทันที รถเหวี่ยงอย่างแรงทำให้เด็กหนุ่มต้องกลั้นหายใจเกร็งนิ้วเกาะเบาะไว้แน่น จนกระทั่งโปรดิวเซอร์ใหญ่หาที่ว่างและชะลอรถจอดลงได้จึงผ่อนหายใจอย่างโล่งอก

“เธอจะโทรไหม ถ้าเธอไม่โทรฉันจะโทรเอง เอาโทรศัพท์มาเดี๋ยวนี้” ดุริยะยื่นคำขาดพร้อมกับพยายามยื้อแย่งโทรศัพท์ไปจากมือเด็กหนุ่ม

“เดี๋ยวครับพี่ยะ!”

ดุริยะแย่งโทรศัพท์มาได้ในที่สุด และกดโทรออกทันที “ถ้าเขาเป็นพ่อของเธอจริง เขาต้องจัดการเรื่องนี้ได้ หรือต่อให้จัดการไม่ได้เขาก็ต้องมาหาเธอ มาอยู่กับเธอ ไม่ใช่ให้เธอเผชิญหน้ากับปัญหาอยู่คนเดียว”

“แล้วนั่นพี่ยะรู้วิธีปลดล็อกโทรศัพท์ผมได้ไงครับ”

“เธอเล่นมือถือตอนอยู่กับฉันตลอด คิดว่าฉันจะไม่สังเกตบ้างเลยหรือไง” ดุริยะบอก “โทรติดล่ะ เงียบๆ หน่อยสิ”

“ว่าไงเด็กดื้อ” ปลายสายตอบกลับมาหลังจากปล่อยให้รอแค่อึดใจ

คนโทรเบะปากเล็กน้อยกับสรรพนามที่ได้ฟัง “ผมดุริยะเองครับ ไม่ใช่เด็กดื้อของคุณ”

“คุณ... ทำไมคุณถึงใช้โทรศัพท์ลูกชายผมได้” เสียงคนที่อยู่ปลายสายห้วนขึ้นทันที

“พี่ยะ ผมบอกว่าอย่าไง” นภธรณ์ไม่ละความพยายามที่จะแย่งโทรศัพท์คืน แต่ก็โดนคนอายุมากกว่าจับล็อกคอไว้ด้วยแขนเพียงข้างเดียว

“ลูกชายคุณกำลังจะถูกพักการเรียนเพราะข่าวนั่น” ดุริยะพูดรัวเร็ว

“คุณว่าไงนะ”

นภธรณ์รีบตะโกนแทรก “ป๊า! ผมไม่เป็นไร พี่ยะพูดเวอร์ไป ป๊าทำงานเถอะ”

“นั่นอยู่ที่ไหน บ้านคุณเหรอ เดี๋ยวผมไปหา”

“ป๊า! ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับ”

“เปล่า พวกเราอยู่บนถนนน่ะ แต่ไปบ้านผมตอนนี้คงไม่ได้เพราะนักข่าวคงมารอกันเต็มแล้วล่ะ” ดุริยะว่า “เอางี้ เดี๋ยวผมไปหาคุณที่โรงพยาบาลดีกว่า แล้วเจอกันนะครับ”

“ได้ครับ” ปรเมษฐ์ตอบ

“ป๊า!” นภธรณ์ส่งเสียงขึ้น

ดุริยะกดวางสายและส่งโทรศัพท์คืน “ก็แค่นี้เอง... ฉันเห็นมาหลายครั้งแล้วนะ เหมือนเธอสนิทกับพ่อมาก แต่พอมีปัญหาอะไรเธอกลับเลือกที่จะเก็บไว้กับตัว ถ้าเขาดูแลเธอไม่ได้แล้วเธอจะมีพ่อไว้ทำไม เป็นฉันนะคงไม่นิ่งนอนใจจนให้เรื่องมันบานปลายไปแบบนี้ คงต้องออกมาโวยวายแล้ว นี่อะไรโลกสวยเกินไปหรือเปล่า”

“ป๊าไม่ได้โลกสวย” นภธรณ์พึมพำ สายตาจับจ้องอยู่หน้าจอโทรศัพท์ซึ่งเป็นรูปที่เขาถ่ายเซลฟี่คู่กับป๊า นึกถึงตอนที่ป๊าต้องก้มหัวเอ่ยขอโทษกับท่านประธานทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ใช่ความผิดป๊าเลยสักนิด  ถ้าเขาไม่ได้เป็นนักร้อง เป็นแค่เด็กม.ปลายธรรมดาเรื่องก็คงไม่วุ่นวายแบบนี้

“ไม่ได้โลกสวยแล้วอะไร ม้าโพนี่สีรุ้งวิ่งเต็มทุ่งลาเวนเดอร์ขนาดนี้” โปรดิวเซอร์กลอกตามองบน

“พี่ยะ!” นภธรณ์เงยหน้าขึ้นพร้อมกับเรียกเสียงดัง “พี่ยะอย่ามาว่าป๊าแบบนี้นะครับ พี่ยะไม่รู้หรอกว่าป๊าต้องเจออะไรมาบ้าง ที่ป๊าไม่สะทกสะท้านกับข่าวนี้น่ะเพราะเราเจอมาเยอะ ตั้งแต่ผมเป็นเด็ก ไปไหนก็มีแต่คนถามเราแบบนี้ ถามว่าแม่ไปไหน เป็นพ่อลูกกันจริงๆ เหรอ ทำไมหน้าไม่เหมือนกัน การโวยวายยิ่งทำให้คนเอาไปนินทา ป๊าโต้ตอบทุกคำถามด้วยการตั้งใจเลี้ยงผมมาอย่างดี ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ป๊าก็แค่จัดการในแบบของป๊าเท่านั้นเอง”

“แต่เราก็เห็นแล้วนี่ว่าวิธีนี้มันไม่เวิร์ค นี่ ใจเย็น ฟังก่อน ฉันไม่ได้บอกสักคำว่าพ่อเธอไม่ได้เรื่อง” ดุริยะรีบพูดเมื่อเห็นเด็กหนุ่มโกรธจนหน้าแดงและมีหยดน้ำเล็กๆ รื้นตรงหางตา “การที่เขาเลี้ยงเธอคนเดียวจนโตมาได้ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆ เขารักเธอมากแค่ไหนฉันไม่สงสัยในเรื่องนั้นหรอก ฉันแค่บ่นถึงวิธีการแก้ปัญหา และที่ฉันอยากจะบอกคือ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เด็กอย่างเธอต้องมาแบกรับตามลำพัง ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากทำให้เขาลำบากใจ แต่ฉันคิดว่าคนเป็นพ่อคงดีใจมากกว่าถ้าลูกจะมาขอความช่วยเหลือตรงๆ”

“พี่ยะพูดจริงเหรอครับ” นภธรณ์ถาม “ผม... ไม่ทำให้ป๊าลำบากใจแน่นะ”

“ถ้าฉันเป็นพ่อคน ฉันจะคิดแบบนั้น ไม่ว่าพ่อที่ไหนก็อยากเป็นฮีโร่ของลูกทั้งนั้นแหละ” เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเริ่มใจเย็นลง ดุริยะจึงเอื้อมมือไปโอบไหล่และดึงตัวมาใกล้ๆ เพื่อเช็ดน้ำตาให้

“พี่ยะไม่มีลูกสักหน่อย”

“ก็บอกแล้วไงว่า ถ้าเป็น... สมมติน่ะรู้จักไหม แต่เอาเข้าจริงคนอย่างฉันจะเลี้ยงใครได้ ถ้าสักแต่ทำให้เกิดมาคงพอไหว”

เพราะปลายเสียงนั้นฟังดูเศร้ามากกว่าจะเป็นเรื่องตลก นภธรณ์จึงพูดออกไป “พี่ยะยังไม่เคยลอง รู้ได้ไงว่าจะทำไม่ได้ ปู่เองก็พูดคำนี้กับป๊ามาตลอดสิบเจ็ดปี แต่ป๊าก็เลี้ยงผมมาได้นะ”

“แล้วถ้าคนอย่างฉันจะเป็นพ่อคน ฉันควรจะเริ่มที่ตรงไหนล่ะ”

เด็กหนุ่มนิ่งคิดอยู่อึดใจ “รักไงครับ”

“แต่ความรักไม่กินไม่ได้นะ มันต้องมีเงินด้วยถึงจะเลี้ยงได้”

“เงินไว้ใช้เลี้ยงตัวครับ ส่วนความรักไว้เลี้ยงหัวใจ”

“แน่ะ ทำเป็นเปรียบเปรย เก่งเหมือนกันนะเรา”

“หมอโมบอกมาครับ” นภธรณ์บอก “แล้วพี่ยะเห็นด้วยไหมครับ”

“นั่นสินะ”

แล้วต่างคนก็เงียบไป นัยน์ตาสองคู่จับจ้องกันนิ่ง ในความเงียบนั้นเหมือนมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น มันลอยวนอยู่ในอากาศรอบๆ ตัว มันไม่ใช่ความรู้สึกอึดอัดแต่เขาก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร มือใหญ่ของคนอายุมากกว่าค่อยเคลื่อนขึ้นสัมผัสศีรษะกำลังจะลูบเบาๆ ลงบนเรือนผม แต่แล้วเขากลับหยุดมือไว้แค่นั้นและผลักตัวเด็กหนุ่มออกไปจับพวงมาลัยแทน

“รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวพ่อเธอจะรอ”

“ครับ” นภธรณ์ขยับตัวนั่งตรงและทอดสายตามองออกไปบนถนนที่รถวิ่งสวนกันขวักไขว่ ในขณะที่หัวใจยังจดจ่ออยู่กับคนซึ่งนั่งข้างๆ ก่อนเสียงข้อความเข้าจากป๊าว่าให้ไปรอที่ห้องพักแพทย์จะทำให้เขาลืมความรู้สึกนั้นไปเสียสนิท

oooooo

“ดูเธอคุ้นเคยกับโรงพยาบาลนี้เหมือนเป็นบ้านเกิดเลยนะ” ดุริยะแซวเด็กหนุ่มที่พาเขาเดินไปในตึกใหญ่ของโรงพยาบาลรัฐย่านใจกลางเมืองหลวงได้อย่างคล่องแคล่วทั้งที่มีตรอกซอกซอยและห้องตรวจมากมายที่ดูจากมุมมองของเขาแล้วมันก็หน้าตาเหมือนๆ กันไปหมดจนเหมือนเขาวงกต การตัดสินใจนัดกันที่นี่นับว่าเป็นความคิดที่ใช้ได้เพราะนอกจากจะไม่มีนักข่าวมาตามแล้ว คนที่มาโรงพยาบาลก็ไม่ได้มีความสนใจอะไรในตัวพวกเขา

“จะว่างั้นก็ได้ครับเพราะผมเกิดที่นี่” นภธรณ์บอก

ทั้งสองเดินผ่านมาจนถึงตึกสูติ-นรีเวช  และกดลิฟต์มาหยุดลงที่ชั้นสาม

“สวัสดีครับ พี่เพ็ญ” เด็กหนุ่มกล่าวกับพยาบาลสาวรุ่นใหญ่ที่หน้าประตูห้องคลอด อันที่จริงอายุอานามของเธอเรียกได้ว่าเป็นรุ่นป้า แต่ป๊าสอนมาว่าคำนั้นมันร้ายกาจเกินไปสำหรับผู้หญิง และสำหรับคุณพยาบาลไม่ว่าจะรุ่นไหนต้องเรียกพี่เท่านั้น

“ว่าไงลูก” เธอตอบกลับทั้งรอยยิ้ม เด็กหนุ่มคนนี้เธอเห็นมาแต่อ้อนแต่ออกเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง “พี่โหลดเพลงใหม่มาฟังแล้วนะ เพราะมากเลย”

“ขอบคุณครับ”

“แล้วนี่มากับใครจ๊ะ ทำไมพี่ไม่เคยเห็นหน้า” เธอมองผ่านไปยังชายแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างกัน

“นี่พี่ยะครับ เป็นพี่ที่ทำเพลงด้วย” นภธรณ์รีบแนะนำ

“สวัสดีครับ”

พยาบาลสาวรุ่นใหญ่พยักหน้ารับไหว้

“ผมมาหาป๊าน่ะครับ”

“หมอโป้เพิ่งทำคลอดเสร็จน่ะ ตอนนี้กำลังสอนนักเรียนดูแลแม่หลังคลอดอยู่ คงใกล้เสร็จแล้วล่ะ”

ในขณะที่กำลังคุยกันนั้นเอง นักเรียนแพทย์คนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นผ่านมา

“ว่าไง เมื่อกี้ได้ลูกสาวหรือลูกชายจ๊ะ” พี่เพ็ญร้องถามไปตามประสาคนคุ้นเคยกัน

“ลูกสาวครับ” นักเรียนแพทย์หันมาตอบอย่างลิงโลด

“เยี่ยมเลย พี่ดีใจด้วยนะ”

“ขอบคุณครับพี่ ผมขอไปดูเด็กก่อนนะครับ” นักเรียนแพทย์ตอบก่อนจะรีบวิ่งไปต่อ

“หมายความว่าไงครับที่ว่าได้ลูกสาวหรือลูกชาย ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดน้องเขาเป็นนักเรียนไม่ใช่หรือครับ” ดุริยะถามด้วยความสงสัย

“เป็นคำที่เราใช้เรียกเด็กที่เราทำคลอดด้วยความเอ็นดูน่ะค่ะ”

“แล้วทำไมพอเป็นลูกสาวถึงต้องดีใจขนาดนั้นด้วยล่ะครับ ทำอย่างกับเป็นพ่อเด็กเสียเองน่ะ”

พยาบาลสาวรุ่นใหญ่อมยิ้มตอบ “มันเป็นเรื่องเล่าของห้องคลอดน่ะค่ะ ถ้าใครทำคลอดครั้งแรกได้ทารกเพศเดียวกับตัวเองจะขึ้นคาน แต่ถ้าต่างเพศจะเจอเนื้อคู่และได้แต่งงานใช้ชีวิตร่วมกันค่ะ”

“แล้วมันจริงไหมครับ” นภธรณ์ถาม เขาเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน

พี่เพ็ญนึกอยู่อึดใจ “เท่าที่พี่ทำงานมาเกือบยี่สิบปีก็เห็นว่าจริงหมดนะคะ มีแค่คนเดียวละมั้งที่ไม่จริงแต่ก็ไม่รู้ว่าแบบนั้นจะนับหรือเปล่านะ”

“แบบนั้นมันคือแบบไหนครับ” ดุริยะถาม

“ก็แบบที่หมอที่ทำคลอดเป็นพ่อของเด็กเสียเองน่ะค่ะ”

“อ้อ”

“พี่เพ็ญมาช่วยทางนี้หน่อยค่ะ มีคุณแม่จะคลอดอีกคนแล้ว” เสียงใสๆ ของพยาบาลรุ่นน้องเรียกมาจากด้านใน

“ได้จ้า” พี่เพ็ญร้องตอบออกไป “แหม ท่าทางวันนี้จะฤกษ์ดีนะเนี่ยมีคนมาคลอดห้องแทบไม่ว่างเลย เดี๋ยวพี่ไปก่อนนะ นอฟไปรอหมอโป้ที่ห้องทำงานก่อนนะเดี๋ยวพี่จะบอกหมอโป้ให้ว่าเรามาถึงแล้ว”

“ขอบคุณครับพี่”

นภธรณ์ยกมือไหว้อีกครั้ง ก่อนจะแยกกัน

ไม่กี่นาทีต่อมาปรเมษฐ์เปิดประตูเข้ามาในห้องพัก เขายังสวมชุดผ่าตัดทับด้วยเสื้อกาวน์ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ผุดพราวขึ้นตามไรผมทั้งที่อากาศเย็นทำให้รู้ว่าเขารีบร้อนวิ่งมาแค่ไหน “นอฟ”

“ป๊า”

ปรเมษฐ์ดึงตัวนภธรณ์ให้เดินออกห่างจากโปรดิวเซอร์ใหญ่ก่อนจะถาม “เล่ามาสิว่าเรื่องมันเป็นยังไง”

“ผอ.เรียกผมไปคุยแล้วก็ให้นี่มาครับ” นภธรณ์ส่งซองจดหมายให้

ปรเมษฐ์รับไปเปิดออกอ่านรวดเร็ว สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ

ดุริยะที่เดินตามมาแทรกขึ้น “คุณจะปล่อยให้เรื่องมันเป็นไปแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ”

ปรเมษฐ์ที่กำลังตกใจกับข้อความในจดหมายหันไปถาม “คุณพูดว่าอะไรนะครับ”

“คืองี้นะ” ดุริยะเริ่มพูดใหม่อีกครั้ง “นักข่าวคนนี้น่ะผมรู้จักดี จะเรียกว่าสนิทกันเลยก็ว่าได้ แต่ในทางที่ไม่ดีน่ะนะ วันๆ ไม่ทำอะไรเอาแต่คุ้ยข่าวฉาวของดารานักร้องมาแฉ และที่สำคัญคืออะไรรู้ไหม... ข้อมูลที่ได้มากว่า 90% ฟันธงได้ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะงั้นเรื่องของพวกคุณมันถึงได้ดังเป็นพลุแตกแบบนี้ไง ในวงการนี้การเงียบไม่ใช่การแก้ปัญหาแต่มันคือการยอมเป็นเป้านิ่งให้เขาขุดคุ้ย ถ้าคุณอยากสยบข่าวลือคือคุณต้องงัดข้อมูลของตัวเองมาสู้ และกระพือให้มันดังกว่าเดิม”

“ข้อมูลอย่างนั้นเหรอ” ปรเมษฐ์พูดกับตัวเอง

“ทะเบียนสมรส ผลตรวจ DNA หรืออะไรก็ได้ที่บอกว่าพวกคุณเป็นพ่อลูกกัน อะไรที่พิสูจน์ได้ว่าการกระทำของคุณมันบริสุทธิ์” ดุริยะว่า “เอามันออกมาโชว์สิครับ ถ้ามันคือความจริง คุณจะกลัวอะไรคุณโป้”

“ผมไม่ได้กลัว ผมแค่...”

“เจ้าหนูนี่เล่าให้ผมฟังแล้วถึงวิธีการแก้ปัญหาที่ผ่านๆ มาของคุณ แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกันครับ แค่การกระทำมันไม่พอเพราะเรื่องนี้มันก็เกิดจากการกระทำเหมือนกัน”

ปรเมษฐ์หันไปสบตานภธรณ์รู้สึกหงุดหงิดนิดๆ ที่ดูเหมือนลูกชายจะไว้วางใจผู้ชายที่เพิ่งพบกันไม่นานนี้ได้ง่ายดายเหลือเกิน “ถ้าพวกคุณคิดว่าการแถลงข่าวเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ก็ตกลงตามนั้นครับ”

“งั้นเราจัดแถลงข่าวพรุ่งนี้เลยเป็นไง ผมจะช่วยโทรนัดนักข่าวให้” ดุริยะเสนอ

“วันนี้เลยก็ได้ครับ” ปรเมษฐ์บอก

“ไวขนาดนั้นเชียว ไม่คิดว่าจะต้องเตรียมตัวหรืออะไรเลยเหรอครับ” ดุริยะออกแปลกใจไม่น้อย

“ผมไม่อยากให้ลูกขาดเรียนวันพรุ่งนี้” ปรเมษฐ์สรุปสั้นๆ

ooooooo

เพราะเป็นข่าวที่คนให้ความสนใจ กับเส้นสายในแวดวงบันเทิงที่มีอยู่มากมายของดุริยะทำให้งานแถลงข่าวถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็วที่บริษัท D&T media

ท่านประธานแดเนียลนั่งอยู่บนโต๊ะขนาบข้างนักร้องในสังกัดโดยอีกข้างเป็นปรเมษฐ์ เขาลอบมองสองพ่อลูกด้วยใจตุ๊บๆ ต่อมๆ ถ้าหากทุกอย่างเป็นตามที่วางไว้โดยไม่ติดขัดก็คงจะดี

“ที่ผมไม่ออกมาพูดตั้งแต่แรก เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระที่จะมาจับผิดอะไรกันแบบนี้” ปรเมษฐ์กล่าว ด้วยบุคลิกเคร่งขรึมน่าเชื่อถือประกอบกับสูทสีดำที่ช่วยขับหน้าคมให้ดูน่าเกรงขาม ตอนนี้เขาจึงดูเหมือนอาจารย์แพทย์ที่กำลังเลคเชอร์โดยมีนักข่าวเป็นนักเรียนในชั้นที่กำลังตั้งใจฟังอย่างเงียบเชียบจะมีก็เพียงเสียงชัตเตอร์ที่ดังรัวอย่างต่อเนื่องเท่านั้น “อย่างเรื่องกรุ๊ปเลือดที่คุณอ้างมา ใช่ครับ ผมกรุ๊ปโอ แต่ถ้าแม่ของนอฟมีเลือดกรุ๊ปบี ตามกฏการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของเมนเดลนั่นก็แสดงว่านอฟมีสิทธิ์เป็นบีร้อยเปอร์เซ็นต์ถ้าแม่ของเขาเป็นบีแท้ และมีโอกาสห้าสิบเปอร์เซ็นต์ถ้าแม่ของเขาเป็นบีผสม” ไม่พูดเปล่าแต่ยังมีภาพแผนผังกฏของเมนเดลมาให้ดูกันแบบชัดๆ

“นั่นก็ยังช่วยยืนยันเรื่องที่พวกคุณเป็นพ่อลูกกันไม่ได้อยู่ดี” นักข่าวเจ้าของบทความถามแทรกขึ้น

ปรเมษฐ์หยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมาแล้วดึงเอกสารข้างในออกมา มันคือใบรับรองบุตรอย่างถูกต้องตามกฏหมายที่มีลายเซ็นของวาริณีต่อหน้าเจ้าพนักงานอย่างชัดเจนว่าเขาเป็นพ่อเด็ก “เนื่องด้วยวุฒิภาวะในตอนนั้นของผมและวาริณีทำให้เราไม่ได้แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกต้องตามกฏหมาย เพื่อที่นอฟจะได้เป็นลูกของผมอย่างถูกต้องวาริณีกับผมจึงไปจดทะเบียนรับรองบุตรฉบับนี้ และหลังจากนั้นสามวันเธอก็หายตัวไป ใจจริงผมเองก็อยากให้เธอมาช่วยยืนยันให้ทุกคนสบายใจเหมือนกัน แต่ถ้าผมทำแบบนั้นได้ ลูกชายผมคงไม่ต้องลำบากมาตามหาแม่ตั้งแต่ต้นหรอกครับ”

ดุริยะที่ยืนฟังอยู่มุมหนึ่งกระตุกมุกปากขึ้นยิ้มกับคำตอบที่ดูเหมือนจะเรียกคะแนนความสงสารของคนได้อีกครั้ง นึกชื่นชมอีกฝ่ายว่าเป็นคนพูดน้อย แต่ฉลาดใช้คำพูดได้ดีจริงๆ

“ถ้าพวกคุณไม่คำถามแล้วขอผมเป็นถามบ้างได้ไหมครับ” ปรเมษฐ์พูดต่อ “ผมจูบกับลูกผมซึ่งผมก็ทำกับเขาแบบนั้นมาตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นเราก็ยังทำกันจนเป็นนิสัย แต่เราก็ไม่ได้ทำแบบนี้กันในที่สาธารณะเพราะผมถือว่ามันวัฒนธรรมในครอบครัวของผม การที่มีคนมาแอบถ่ายภาพแล้วเอาไปวิพากษ์วิจารณ์กันในทางเสื่อมเสียแบบนี้มีความผิดตามพรบ.คอมพิวเตอร์ทั้งทางแพ่งและอาญา ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าทนายของผมคงให้ความสนใจจะดำเนินการให้ถึงที่สุด”

“นั่นไม่ใช่คำถามนะป๊า” นภธรณ์หันไปป้องปากกระซิบ

ปรเมษฐ์หันไปสบตาลูกชาย “ใช่สิ เพราะฉันกำลังจะถามว่าในกรณีนี้นอกจากต้องโทษติดคุกแล้ว ฉันควรจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายซึ่งรวมไปถึงค่าทำขวัญและค่าเสียเวลาเท่าไหร่ดี หนึ่งแสน สองแสน หรือว่าสักล้านนึงถึงจะเหมาะสม...” เขาหันไปหาสื่อมวลชนตรงหน้า “มีนักข่าวท่านใดพอจะช่วยให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ไหมครับ” คำถามจบลงพร้อมกับรอยยิ้มนิ่งๆ ที่ทำให้ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ

ดุริยะฟังแล้วยิ้มกว้าง หมัดสุดท้ายที่ปล่อยไปนั่นหนักใช้ได้เลยทีเดียว คราวนี้ต่อให้กรรณคิดจะเล่นข่าวต่อก็คงต้องระมัดระวังมากขึ้น

“ถ้าไม่มีใครมีคำถามแล้ว งั้นเราก็คงจบเรื่องกันแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกคนที่มาวันนี้นะครับ” แดเนียลกล่าวสรุปเป็นการตัดบท เพราะปรเมษฐ์ไม่ได้ล้อเล่น เขาเตรียมทนายไว้แล้วจริงๆ และจัดให้ไปนั่งฟังปะปนกับนักข่าวคนอื่นๆ เพื่อเฝ้าดูพฤติกรรมคู่กรณีอย่างใกล้ชิด ถ้าหากเรื่องไม่จบคงได้ไปคุยกันต่อในชั้นศาลจริงๆ


(มีต่อข้างล่างอีกนิดค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 9 P.5 [28/04/60]
«ตอบ #135 เมื่อ22-05-2017 03:17:31 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

งานแถลงข่าวจบลงอย่างเรียบร้อย ท่านประธานแดเนียล ตฤณและนภธรณ์พากันออกไปส่งสื่อมวลชนที่หน้าบริษัท ตอนนี้ในห้องประชุมจึงเหลือแค่ปรเมษฐ์กับดุริยะสองคน

“ขอบคุณนะครับ” ปรเมษฐ์กล่าวกับโปรดิวเซอร์ใหญ่พร้อมกับยกมือไหว้

“ไม่เป็นไรครับเรื่องเล็กน้อย” ดุริยะบอก “แต่ผมว่าคุณอย่าเพิ่งวางใจไป นักข่าวคนอื่นคงไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้กรรณคงไม่จบง่ายๆ มันไม่เคยคิดถึงจรรยาบรรณและความถูกผิดขอแค่ให้ได้ข่าวมาเขียน เจ้าหนูคงยังไม่ได้เล่าให้คุณฟังสินะว่าโดนไล่ตามหนีลงไปในถนนจนเกือบโดนรถชน แต่บังเอิญรถนั่นผมเป็นคนขับเอง ดีนะที่ผมเบรกทันคิดแล้วยังใจหายอยู่เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมขับมาเร็วกว่านี้”

“เรื่องนักข่าวคนนั้นผมคิดว่าบางทีเขาอาจจะมีคนบงการอยู่เบื้องหลัง มันออกจะแปลกไปหน่อยที่จู่ๆ จะมาจ้องจับผิดกันแบบนี้” ปรเมษฐ์บอก

“พวกค่ายเพลงคู่แข่งเหรอ” ดุริยะตั้งสมมติฐาน

“เป็นไปได้ครับ และผมก็นึกถึงปัญหาทางธุรกิจของครอบครัวด้วย เพราะดูแล้วจงใจเล่นข่าวทั้งลูกและผม เดี๋ยวผมจะลองไปสอบถามกับคนที่บ้านดูเผื่อจะได้ความอะไรบ้าง” ปรเมษฐ์ตอบ

“คุณไม่ได้โดนไล่ออกจากบ้านมาแล้วหรอกหรือครับ เห็นเจ้าหนูเล่าให้ฟังแบบนั้น”

“แค่ผมครับ” ปรเมษฐ์บอก “แต่นอฟไม่ใช่ ปู่เอ็นดูเขามาก คุณไม่มีลูกหรือหลานก็คงจะจินตนาการถึงพลังความน่าเอ็นดูของเด็กไม่ออกหรอกยิ่งเป็นครอบครัวที่เห่อลูกชายด้วยแล้ว”

“แหม พูดแบบนี้ทำเอาคนโสดพูดไม่ออกเลยนะครับ” ดุริยะว่า

“ขอโทษครับ ผมแค่ยกตัวอย่าง” พูดจบปรเมษฐ์ก็เงียบไปอึดใจหนึ่งเพื่อพิจารณาคนอายุมากกว่าที่มีท่าทีเคร่งเครียดราวกับเป็นเรื่องของตัวเองและเอ่ยขึ้น “ขอโทษนะครับคุณดุริยะ ผมขอถามตรงๆ อีกครั้งว่าตกลงคุณคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงทำเป็นเข้ามาวุ่ยวายกับพวกเรา แต่ถึงคราวมีปัญหาก็เสนอตัวเข้ามาช่วยเต็มที่ทั้งที่คุณก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียเลยแท้ๆ”

“ผมบอกแล้วไงครับว่าแค่อยากดูแล”

“ดูแล?” ปรเมษฐ์ทวนคำ

“ใช่ครับ ผมก็แค่อยากดูแลลูกชายของคนที่ผมรักก็เท่านั้นเอง” ดุริยะบอกยิ้มๆ พร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ “ได้ไหมครับคุณโป้”

“ป๊า... พี่ยะ... ทำอะไรกันอยู่ครับ”นภธรณ์ที่เปิดประตูเข้ามาเพื่อตามป๊ากลับบ้านอึ้งไปทันที เขาได้ยินประโยคที่สองคนคุยกันชัดเจนและจากมุมที่เขายืนอยู่นี้ก็เห็นชัดๆ ว่าดุริยะกำลังจะหอมแก้มป๊า
 
“สารภาพรัก” ดุริยะขยิบตาให้ปรเมษฐ์ครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปหาเด็กหนุ่มและเปลี่ยนเรื่องด้วยการส่งกล่องขนมเค้กที่ถือมาให้ “อะ เจ้าหนูฉันซื้อมาฝาก เห็นบอกว่าชอบ ถือเป็นการฉลองที่เรื่องผ่านไปได้ด้วยดี”

“ว้าว น่ากินจัง ขอบคุณนะครับ” เห็นเค้กครีมสดน่ากินเด็กหนุ่มก็ตาโตจนเผลอลืมเรื่องตรงหน้าไปชั่วครู่ “เดี๋ยว! ไม่ใช่สิ เมื่อกี้พี่ยะพูดอะไรกับป๊านะครับ”

“ก็ตามที่บอกน่ะแหละ” ดุริยะพูดยิ้มๆ “ฉันกลับก่อนนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้ที่ห้องซ้อม” เขาหันมาขยิบตาให้ปรเมษฐ์อีกครั้งก่อนจะเดินออกไป

“ป๊า... เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น พี่ยะจะทำอะไรป๊า...”

“กลับกันเถอะ นอฟ” ปรเมษฐ์ตัดบท

นภธรณ์หน้ามุ่ย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรีบวิ่งตามหลังพ่อของตนออกไป

oooooo

กลับมาถึงบ้านได้สักพักเสียงออดก็ดังขึ้น นภธรณ์มองนาฬิกางงๆ ว่าใครกันที่มาเอาป่านนี้และยิ่งงงหนักกว่าเดิมเมื่อเปิดประตูออกไปเห็นคนเอาของมาส่ง

“ฉันสั่งเอง รับให้หน่อย” ปรเมษฐ์ตะโกนบอกออกมาจากในครัว

เด็กหนุ่มรับกล่องใบใหญ่มาวางบนโต๊ะกลางหน้าทีวี ฉลากบนฝากล่องบอกให้รู้ว่ามันมาจากร้านเบเกอร์รี่ชื่อดัง และเมื่อเปิดออกดูก็พบว่าเป็นเค้กคละแบบจำนวนหนึ่งโหล ทุกชิ้นประดับด้วยสตวอร์เบอร์รี่ลูกโตของโปรดของเขา นัยน์ตากลมเป็นประกายวิบวับขึ้นมาทันที “ป๊าซื้อเค้กมาทำไมเยอะแยะน่ะ”

“ให้แกกินน่ะแหละ” ปรเมษฐ์เดินออกมาจากครัว ในมือถือแก้วใส่นมสดสำหรับให้ลูกชายไว้กินกับเค้ก

“ของผมหมดนี่เลยเหรอ” เด็กหนุ่มถามเสียงใส

ปรเมษฐ์นั่งลงข้างๆ พร้อมกับส่งแก้วนมให้ “แค่นี้พอไหม ถ้าไม่พอเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันสั่งมาให้ใหม่ พอดีวันนี้ร้านปิดแล้วเลยซื้อได้แค่นี้ นี่ไปบีบคอขอซื้ออันที่จะวางขายตอนเช้าแล้วให้เขาเอามาส่ง”

นภธรณ์ยิ้มแก้มแทบปริ “ขอบคุณนะครับ แล้วทำไมจู่ๆ ป๊าถึงซื้อให้ล่ะ”

“ก็แกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากให้ฉันเอาใจเยอะๆ”

“งั้นเดี๋ยวผมกินของพี่ยะก่อนนะแล้วค่อยกินของป๊า” นภธรณ์บอกพลางเลื่อนจานใส่เค้กครีมสดของโปรดิวเซอร์ใหญ่มาตรงหน้า

ปรเมษฐ์มองตาขวางก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ของหมอนั่นไม่ต้องกินก็ได้”

“ถ้าไม่กินแล้วจะให้ผมทำยังไงกับมันล่ะ”

“ก็ทิ้งไปสิ” ปรเมษฐ์ตอบเย็นชา

“ได้ไงอะ เสียดายของ ป๊าดูมันทำหน้าตอนที่ป๊าบอกให้เอาไปทิ้งสิ น่าสงสารคุณเค้กจะตาย”

ปรเมษฐ์มองลูกชายทำตาละห้อย แล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ “งั้นฉันกินเอง” พูดจบก็แย่งเค้กมางับเข้าไปทีเดียวครึ่งชิ้นก่อนที่คนไม่ชอบของหวานจะทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับรสชาติที่แสนเลี่ยนของครีม “แหวะ! โคตรหวานเลย ทำไมแกถึงชอบกินอะไรแบบนี้นะ”

“ป๊าห้ามคายทิ้งนะ”

“หึย” ปรเมษฐ์ย่นปาก จะคายทิ้งก็กลัวโดนลูกชายโกรธแถมยังเสียฟอร์มเรื่องที่บอกว่าจะกินเอง แต่จะให้กินต่อก็หวานจนแสบคอ

“ดูทำหน้าเข้า เอามานี่เลย ผมกินเอง” นภธรณ์ชะโงกหน้าเข้าไปกัดชิ้นขนมที่เหลือในมือ

“เอาไปถือเองสิ” ปรเมษฐ์ว่า “มากินอะไรในมือฉัน”

“ผมไม่อยากมือเปื้อนนี่นา ไหนๆ มือป๊าก็เปื้อนแล้วด้วย” นภธรณ์ไม่ได้เสียดายขนมเค้ก แต่รสสากของผิวเนื้อที่ริมฝีปากบังเอิญแตะไปโดนทำให้รู้สึกอยากกินไม่ให้เหลือ เขาตวัดสายตาขึ้นลอบดูปฏิกิริยาเจ้าของมือใหญ่ เห็นไม่ว่าอะไรจึงได้ใจใช้ลิ้นละเลียดเลียครีมที่เลอะไปติดอยู่ตรงปลายนิ้ว

ปรเมษฐ์หัวเราะคิกคักด้วยความจั๊กจี้ “เป็นลูกหมาหรือไงเนี่ย”

“เป็นลูกป๊าต่างหาก” นภธรณ์ตอบ

“จริงเหรอ” เสียงของผู้เป็นพ่อแข็งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไรแต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่อารมณ์โกรธ

“จริงสิครับ ก็ป๊าเพิ่งจะยืนยันไปเองนี่นา”

“ยังไม่หมดเลย เหลือตรงนี้อีก” ปรเมษฐ์พูดเสียงเบา

“ตรงไหนครับ”

“นี่ไง” ปรเมษฐ์เหลือบตาลงมองครีมที่เลอะอยู่บนริมฝีปากตน “ชอบดีนักก็กินให้หมดเลยนะ”

เด็กหนุ่มกระเถิบเข้าไปใกล้พร้อมกับเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อยอย่างเตรียมพร้อม แต่ในเสี้ยวนาทีที่ริมฝีปากกำลังจะแตะกันนั้นเองที่ปรเมษฐ์ใช้นิ้วปาดครีมออกแล้วป้ายลงบนริมฝีปากเขาแทน

“เป็นไงอร่อยไหม”

“อร่อยครับ” นภธรณ์งึมงำตอบพลางดึงตัวกลับมานั่งตามเดิมในขณะที่เฝ้าดูป๊าหยิบทิชชูออกมาเช็ดคราบครีมที่เหลือบนมือจนสะอาด ทั้งที่ริมฝีปากไม่ได้สัมผัสกันโดยตรงแท้ๆ แต่น่าแปลกที่จูบทางอ้อมแบบนี้กลับทำให้หัวใจเขาเต้นแรงมากกว่าปกติเสียอีก “ตอนทำคลอดครั้งแรกป๊าได้ลูกสาวหรือลูกชาย” เขาชวนคุยเรื่อยๆ แก้อาการเขินของตัวเอง

“ถามทำไมเหรอ”

“พี่เพ็ญเล่าให้ฟังน่ะครับ ผมเลยอยากรู้ว่าป๊าจะขึ้นคานหรือได้เจอเนื้อคู่”

“อย่างนี้นี่เอง”

“ตกลงลูกสาวหรือลูกชายครับ” นภธรณ์ถามซ้ำ

“ลูกชาย”

“แบบนี้เรื่องเล่านั่นก็แม่นน่ะสิ” นภธรณ์หมายถึงเรื่องที่สุดท้ายป๊าก็โดนแม่ทิ้งไป

คิ้วเข้มย่นเข้าหากันอยู่อึดใจก่อนจะคลายออกพร้อมกับที่มุมปากยกขึ้นยิ้มบางหากกระจายไปจนถึงนัยน์ตา “ก็ไม่ถือว่าแม่นเท่าไหร่นะ เพราะถึงฉันจะขึ้นคาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่ได้เจอเนื้อคู่นี่นา”

เด็กหนุ่มหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นป๊าก็ยังรักแม่สินะ “เหรอครับ”

“เลิกถามซอกแซกแล้วไปอาบน้ำได้แล้วไป”

“อาบด้วยกันไหมครับ” นภธรณ์ลองอ้อนดูเมื่อเห็นว่าแผนการบุกตรงๆ แบบครั้งก่อนไม่ประสบผลสำเร็จ “แล้วผมจะขัดหลังให้ป๊าเป็นการตอบแทน ดีไหม”

“ก็ได้”

“จริงนะครับ” เด็กหนุ่มตาโตไม่คิดว่าแค่ขอจะสำเร็จง่ายๆ

นภธรณ์กำลังจะลุกขึ้นยืน แต่แล้วอะไรบางอย่างที่กำลังลุกขึ้นเหมือนกันอยู่ในกางเกงทำให้เขาต้องทรุดตัวลงนั่งตามเดิมพร้อมกับดึงหมอนอิงมากอดไว้แน่น

“เป็นอะไร”

“ปะ... เปล่าครับ” เขาพยายามทำเสียงไม่ให้มีพิรุธ ไม่คิดว่าการจูบทางอ้อมแบบนั้นจะทำให้เขาเกิดอารมณ์ได้มากขนาดนี้แล้วนี่จะไปอาบน้ำด้วยกัน เขาก็เผลอจินตนาการไปถึงไหนต่อไหนแล้ว “ขอโทษครับ ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมว่าจะกินเค้กอีกสักสองสามชิ้นก่อน ป๊าไปอาบก่อนเลย” เด็กหนุ่มพูดรัวเร็ว

“เก็บไว้กินพรุ่งนี้บ้างก็ได้ เดี๋ยวน้ำหนักก็ขึ้นหรอก” ปรเมษฐ์บอกก่อนจะลุกขึ้นยืน

“ป๊าขี้เกียจพาผมไปฟิตเนสล่ะสิ”

“นั่นไม่ใช่ปัญหา ฉันจะขุนแกอีกสักกี่กิโลฯ ก็ได้ แก้มยุ้ยๆ น่าจับเล่นจะตายและพุงย้วยๆ ก็กอดนุ่มมือดี ฉันแค่เบื่อฟังพี่ตฤณของแกบ่นน่ะว่าต้องลดน้ำหนักได้แล้ว”

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ปรเมษฐ์ทิ้งท้ายไว้ให้ใจสั่น นภธรณ์ล้มตัวลงนอนคว่ำซุกหน้ากับโซฟาเพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงไปถึงไหนต่อไหน นับตั้งแต่ที่จูบสัญญากันวันนั้นเขาก็ไม่ได้จูบกับป๊าอีกเลย เขาเม้มริมฝีปากซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างโหยหา แต่เขาจะทำมันได้ง่ายๆ เหมือนปกติโดยไม่ให้ป๊ารู้ได้ยังไงว่าเขากำลังคิดไม่ซื่อ เขาไม่ได้อยากให้ป๊ารู้ มันเป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้ เขาแค่อยากจะรัก อยากอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่... เขาจะทนปิดความรู้สึกมากมายที่มันอัดอั้นในใจนี้ไปได้นานแค่ไหนกันนะ

ปรเมษฐ์เดินเข้าไปในห้องน้ำและเปิดฝักบัวอย่างแรงเพื่อให้เสียงน้ำกลบความสับสนจากสิ่งรอบตัว ดูภายนอกเขาอาจไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ภายในใจนั้นกำลังเจ็บปวดเมื่อคำพูดหนึ่งของดุริยะที่กระซิบบอกตอนอยู่ในห้องขุดเอาความทรงจำเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนขึ้นมาอีกครั้ง

วันที่หญิงสาวซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ของลูกกำลังจะหันหลังจากไป

“วา... นี่เธอคิดดีแล้วจริงๆ เหรอที่จะทำแบบนี้” เขาถามออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเป็นครั้งสุดท้าย หมดเหตุผลและถ้อยคำจะยื้อคนไม่มีใจที่ต้องการจะไป “แล้วเด็กคนนี้ล่ะวา เธอจะทำยังไง จะทิ้งเขาไปแบบนี้จริงๆ เหรอ เขาเป็นลูกของเธอนะ”

“ฉันขอโทษ”

นั่นคือคำตอบเดียวจากปากของผู้หญิงที่รักมากที่สุด ไม่ยอมรับ ไม่ปฏิเสธ และไม่มีคำอธิบายใดๆ ในสิ่งที่เธอกำลังจะทำ 

สมองของเขามืดหมดทั้งแปดด้าน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ตอนนั้นเองที่ทารกในอ้อมแขนซึ่งยังไม่รู้ประสีประสาส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ ทำให้เขาก้มลงไปมอง มันไม่ใช่เสียงหัวเราะ แน่นอนว่าเด็กตัวแค่นี้ยังพูดไม่ได้ แต่เสียงนั้นฟังเหมือนกับคำว่า ‘ป๊า’ และมันมาพร้อมกับรอยยิ้มหวาน ซึ่งเป็นรอยยิ้มเดียวกันกับรอยยิ้มที่ทำให้ตกหลุมรักตั้งแต่เห็นหน้า และสิ่งนี้เองที่ทำให้เขาตัดสินใจได้เด็ดขาด

เด็กคนนี้อาจจะเกิดมาเพราะความผิดพลาดของผู้ใหญ่ แต่จะต้องโตมาด้วยความรัก ถึงสุดท้ายแล้วตัวเขาจะไม่เหลือใครก็ไม่เป็นไร แต่เด็กคนนี้จะยังมีเขาที่คอยอยู่เคียงข้าง

“เธอไปทำสิ่งที่เธอต้องการเถอะวา ฉันจะไม่รั้งเธออีกต่อไปแล้ว แต่เด็กคนนี้ฉันเป็นคนทำให้เขาเกิดมา เพราะฉะนั้นฉันจะเป็นคนเลี้ยงเขาเอง... เขาเป็นลูกของฉัน”

วาริณีหันมาสบตาเขาเต็มตาเพื่อพิจารณาชายหนุ่มที่ยังอ่อนวัย “นายเลี้ยงเขาไม่ได้หรอก”

“ได้สิ ฉันทำได้”

“อย่าลืมคำพูดของนายนะโป้... ว่าเขาเป็นลูกของนาย”


นึกมาถึงตรงนี้ปรเมษฐ์ก็เอื้อมมือไปหมุนก็อกน้ำให้แรงขึ้นอีก เพื่อซ่อนเสียงของดุริยะที่ยังคงดังก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว


“วาฝากผมมาดูว่าคุณเลี้ยงลูกได้ดีจริงอย่างที่ให้สัญญากันไว้หรือเปล่า”


“นอฟเป็นลูกของฉัน” มันเป็นใช่แค่การรำพึง แต่เขากำลังพูดย้ำซ้ำๆ เพื่อเตือนตัวเองว่าอย่าลืมความจริงข้อนั้นไป

ก่อนที่หัวใจจะดำดิ่งลงไปในอดีตมากกว่านี้ หูก็แว่วได้ยินเสียงเพลง มันเป็นเพลงวัยรุ่นที่หาฟังได้ทั่วไปแต่เสียงหวานนั้นต่างหากที่ทำให้มันพิเศษ

มือใหญ่เอื้อมไปปิดน้ำ คว้าผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอวแล้วเดินตามเสียงนั้นออกไปแล้วเขาก็พบต้นตอของเสียง เด็กหนุ่มนอนคว่ำหน้าเล่นเกมอยู่บนโซฟา ในขณะที่ปากก็ฮึมฮัมโน้ตเสียงสูงๆ ต่ำๆ ไปด้วย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่เสียงนี้เยียวยาหัวใจเขาได้เสมอ

ปรเมษฐ์กอดอกยืนพิงกรอบประตูห้องนั่งเล่นเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่งคนถูกมองก็รู้ตัวและหันมาส่งยิ้มหวานให้ทั้งที่ยังร้องเพลงอยู่
เขายิ้มตอบ “กินเค้กอิ่มแล้วก็รีบไปอาบน้ำแปรงฟันซะสิ”

นภธรณ์ส่ายหน้า และทำเป็นลอยหน้าลอยตาร้องเพลงต่อไปเรื่อยๆ กลบอาการสะท้านอายของตัวเองที่ใจสั่นกับหยดน้ำซึ่งเกาะพราวอยู่บนหน้าคม และยิ่งแทบละลายตามหยดน้ำที่ไหลลงมาตามลำคอไปจนถึงอกกว้างที่เปลือยเปล่า

“อยากร้องก็ไปร้องต่อที่เตียง ฉันจะได้ฟังด้วย”

โน้ตที่กำลังไต่ขึ้นสูงหลุดคีย์ทันที  “ถ้าขึ้นเตียงก็ไม่ร้องแล้ว ผมจะนอน”

“ยังไม่ให้นอน” ปรเมษฐ์ว่า “ร้องอีกเพลงสิ ฉันอยากฟัง ไหนว่าจะร้องให้ฉันฟังไง”

เด็กหนุ่มไม่ตอบ แต่วางโทรศัพท์ลงแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนพลางคิดว่าต่อไปจะร้องเพลงอะไรดี

*****************************************TBC*************************************************

Talk

ขอโทษที่หายไปนานค่ะ (ด้วยความยาวของตอนนี้คงตอบคำถามได้ว่าทำไม) เราไม่อยากให้ขาดตอน และมันมีปม(อีกล่ะ) ที่วางต้องวางและปล่อยออกมาเลยแก้ลบๆ อยู่หลายรอบเพื่อให้สอดคล้องกับตอนต่อๆ ไป

เรื่องนี้ถือว่ายากมากและเป็นประสบการณ์ใหม่ของเรากับแนว incest ที่ต้องค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครให้มันไม่มากไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป

ถ้าหากใครอ่านแล้วรู้สึกขัดใจหรือมีข้อแนะนำใดๆ เชิญได้ที่เม้นต์ล่างหรือหลังไมค์เลยค่ะ

ปล.มึใครคนหนึ่งอ่านตอนนี้จบแล้วหันมาบอกว่า #โป้ยะ ก็โอเคนะ เราคงตอบได้แต่ยิ้ม ไว้อ่านต่อเองละกันเนอะ

ออฟไลน์ NUTSANAN

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1031
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
«ตอบ #136 เมื่อ22-05-2017 06:51:55 »

ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่ายะรู้อะไรมากกว่าที่คิด

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2628
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
«ตอบ #137 เมื่อ22-05-2017 07:19:03 »

น้องนอฟฟ น่าสงสาร โดน นักข่าวรังควาญขนาดนี้

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
«ตอบ #138 เมื่อ22-05-2017 08:02:33 »

คิดอะไรมากมายในหัว แต่จะดื่มนมใส่น้ำผึ้งพิษนี้ต่อไป
อดใจรอเฉลย

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
«ตอบ #139 เมื่อ22-05-2017 08:23:40 »

การพัฒนาในแต่ละตอน ค่อยๆมาอย่างละมุนละม่อม เข้าใจคุณ leGGyDan เลย ว่าต้องใช้เวลาในการแต่ง มันคงจะสื่อออกมาตรงๆไม่ได้ เราคนอ่านที่แรกๆอ่านไปยังมีความตะหงิดๆในใจ ตอนนี้มันค่อยๆลดลงเหลือแต่ความน่ารักและเข้าใจหัวอกทั้งนอฟและป๊ะ  สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ   :katai2-1:  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
« ตอบ #139 เมื่อ: 22-05-2017 08:23:40 »





ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
«ตอบ #140 เมื่อ22-05-2017 19:19:36 »

ยิ่งอ่านยิ่งลุ้นตลอดว่าจะเฉลยปมออกมาอย่างที่คิดไว้มั้ย
หวังว่าตอนจบจะไม่ซดมาม่านะคะ :katai2-1:

ออฟไลน์ joyey6217

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
«ตอบ #141 เมื่อ07-06-2017 19:39:45 »

คิดถึงน้องนอฟแล้ววว ถึงกะย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่ต้น
พี่ยะ นี่ตัวเร่งปฏิกิริยาชัดๆ ตอนแรกก็น่ากลัวว่าจะมาแทรกกลางของสองพ่อลูก แต่ยิ่งนานวันไปพี่ยะก็ยิ่งเหมือนตัวช่วยพิเศษ
เป็นคัย์แมนเลยนะ  ผู้กุมความลับ แกรู้ทุกอย่างเลยนะ แต่แกอมพะนำเอาไว้ ยังไงก็วาง 5 บาทตรงนี้ (กลัวเงิบไหม? กลัว)
พี่ยะต้องเป็นพ่อน้องนอฟแน่ๆ กลับไปอ่านซ้ำสองรอบ เพื่อหาคำใบ้เลยนะ พี่ยะแกก็ใบ้เยอะนะ ว่าแกนี่ล่ะ พ่อนอฟ
แต่คนที่จะบอกว่าใครคือพ่อนอฟก็มีแต่แม่ที่หายไปของนอฟเนอะ จริงๆ ใครจะเป็นพ่อไม่ว่ากันล่ะ
 อ่านแล้วแล้วชอบตรงมันมันขัดแย้ง ระหว่างสถานะ (พ่อลูก)เส้นเเบ่งศีลธรรม กับความรู้สึกในใจมันก็เรียกร้องกันทั้งคู่มากกว่า 
ความขัดแย้ง ที่ หมอโป้จะรอให้ นอฟบรรลุนิติภาวะก่อน อีก 3 ปี เลี้ยงต้อยต่อไปค่ะหมอ

ออฟไลน์ YADA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
«ตอบ #142 เมื่อ29-06-2017 17:21:12 »

เราว่าจริงๆแล้ว ยะเป็นพ่อของนอฟ และโป้ก็รู้ด้วยว่าไม่ใช่ลูกตัวเอง ที่บอกว่าทำให้เกิดมานี่คือเป็นคนทำคลอดใช่ไหม แบบที่เพ็ญบอก ว่าเป็นลูกสาวลูกชาย แต่วาทิ้งไปนี่เพราะอะไรคิดไมออกจริงๆ

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
«ตอบ #143 เมื่อ02-07-2017 22:37:21 »

บทที่ 11

“วันนี้มาแปลก นั่งทำการบ้านแต่หัววันเชียว” ปรเมษฐ์ถามลูกชายนี่นั่งหน้าเครียดอยู่กับกองตำราเรียนตรงโต๊ะกลางหน้าโซฟา

ทันทีที่เห็นปรเมษฐ์เดินเข้ามาในบ้าน นภธรณ์ก็รีบลุกขึ้นวิ่งเข้าไปในครัวและกลับออกมาพร้อมกับแก้วใส่น้ำฝรั่งเย็นเจี๊ยบที่เขายืนเลือกอยู่นานสองนานและตัดสินใจเชื่อคำรีวิวว่าควรกินของโครงการในพระราชดำริ

“น้ำฝรั่งแท้ร้อยเปอร์เซ็น มีวิตามินซีสูงช่วยทำให้ผิวขาวหน้าใส สมองปลอดโปร่งแถมยังไม่ใส่น้ำตาลรับรองกินแล้วไม่อ้วนครับ” บอกพร้อมกับโพสท่าประหนึ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์เสียเอง ใจจริงอยากถามว่า “จะกินน้ำฝรั่งหรือจะกินผมก่อน” แต่มีหวังได้โดนถีบกระเด็นแน่ๆ เลยเก็บไว้ในใจไว้ใช้วันหลัง

“เป็นบ้าอะไรเนี่ย”

“ผมไม่ได้บ้านะครับขนาดศรีธัญญายังเรียกผมว่าคนไข้เลย”

“ติงต๊อง” ปรเมษฐ์หัวเราะในลำคอ จะคว้าแก้วน้ำฝรั่งมาดื่ม มือก็หิ้วของพะรุงพะรังและในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นเด็กหนุ่มก็รีบฉวยของไปถือเสียเอง รอยยิ้มประจบประแจงถูกส่งมาอย่างไม่ปิดบังจนกระเป๋าสตางค์หนาวๆ ร้อนๆ ยังไงพิกล “แล้วเมื่อกี้อ่านอะไรอยู่”

“ภาษาอังกฤษครับ พอดีจะสอบอาทิตย์หน้าน่ะเลยต้องขยันหน่อย ป๊ามาพอดีเลยผมถามหน่อยสิ ถ้าลูกชายแปลว่า Son แล้วคนสำคัญแปลว่าอะไร”
“important ไง”

“ผิด!”

“แล้วอะไร”

“ถ้าลูกชายแปลว่า Son คนสำคัญ แปลว่า ป๊าต่างหาก”

 ปรเมษฐ์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับมุกสองบาทห้าสิบของลูกชาย “ตกลงมีอะไรก็พูดมาเลย ไม่ต้องมาเกริ่นให้เสียเวลาหรอก”

“ผมได้รับเชิญไปร้องเพลงในคอนเสิร์ตฉลองครบรอบ 50 ปีช่องสอง นี่คุณสมยศโทรมาเองเลยนะป๊า เขาชอบเพลงที่ผมไปร้องในรายการครั้งก่อนน่ะ มีแต่คนดังๆ มา ทั้งดาราแล้วก็นักร้อง แล้วผมก็เป็นหนึ่งในนั้น เจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะ ก็เลยจะชวนป๊าไปดู” นภธรณ์บอกพร้อมทั้งหยิบบัตรสตาฟที่เขียนว่า VIP All area ออกมาวางบนโต๊ะ “บัตรพิเศษสำหรับคนพิเศษ เขาแจกให้แค่คนละใบน่ะ ป๊าไปดูผมร้องเพลงนะครับ นะ นะ น้า~”

“ต้องดูก่อนว่าวันนั้นอยู่เวรหรือเปล่า ถ้าไปไม่ได้จะให้โมไปแทนเหมือนทุกทีนะ”

“ทำไมหมอโมไปได้แต่ป๊าไปไม่ได้ล่ะ” เขาเผลอหลุดปากออกไปด้วยความน้อยใจ

“ก็...”

“ขอโทษครับ” นภธรณ์รีบบอก “ผมแค่อยากให้ป๊าไปดู แต่ถ้าป๊าไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ บัตรนี้ผมลงชื่อป๊าไปแล้วให้คนอื่นไปแทนไม่ได้”

ที่เขาจริงจังมากไปหน่อยเพราะคอนเสิร์ตนี้เตรียมการแสดงพิเศษไว้เพื่อป๊าโดยเฉพาะ

หลังจากท่านประธานแจ้งข่าวนี้ให้ผู้เกี่ยวข้องทุกคนทราบ ดุริยะที่เป็นคนโปรดิวซ์เพลงก็เกิดนึกสนุกอยากร่วมวงด้วยจึงเสนอตัวมาเล่นสดให้นั่นจึงทำให้เขาสบโอกาสขอร้องอะไรบางอย่าง

“เธออยากจะร้องออกมาในความหมายใหม่เหรอ” ดุริยะถามหลังจากได้ฟัง “น่าสนใจนี่ เป็นบาปอีกรูปแบบหนึ่งเหรอ หรือยังไง”

“ก็ไม่ถือว่าใหม่หรอกครับ จำที่พี่ยะเคยบอกว่าผมร้องแล้วรู้สึกน่าสงสาร น่าเห็นใจจนอยากจะเชียร์ได้ไหมครับ หลังจากที่ร้องไปหลายๆ ครั้ง ผมก็คิดว่าตอนนี้เข้าใจความหมายของมันมากขึ้นอีก” เขาพยายามเลือกใช้คำอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้คนช่างสังเกตจับพิรุธได้ “สำหรับผมเพลงนี้มันไม่ใช่เพลงเศร้า มันก็แค่การแอบรักคนๆ หนึ่งที่ไม่สมควรจะรัก ผมจะไม่ดันทุรังแย่งเขามาแบบเพลงของคนอื่น แต่จะคอยอ้อน คอยหยอดวันละนิด รอวันเขาหันมามอง… พูดง่ายๆ คือผมอยากให้มันเป็นบาปสีชมพูน่ะครับ”

“ก็น่าสนใจนะนี่เป็นงานครบรอบด้วยดูเข้ากับธีมงานดี คงต้องมีการปรับเมโลดี้อะไรนิดหน่อยเดี๋ยวฉันจะดูให้” เพราะฟังดูน่าสนุก โปรดิวเซอร์ใหญ่จึงรับคำทันที

“มีอีกเรื่องครับ” นภธรณ์รีบพูดต่อ “ผมรู้อยู่แล้วว่ามันต้องปรับ และไหนๆ ก็ต้องปรับแล้วผมเลยอยากรีเควสเครื่องดนตรีน่ะครับ”

“อะไรเหรอ”

“ผมอยากร้องคู่กับเปียโนน่ะครับ”

ดุริยะเหลือบตามองเครื่องดนตรีที่ถูกคลุมผ้าอยู่ด้านในสุดของห้อง “ทำไมถึงต้องเป็นเปียโนล่ะ”

“เสียงมันหวานดีครับ คิดว่าคงเหมาะกับเพลงรัก”

“แน่ใจเหรอว่ามีแค่นั้น”

นภธรณ์เม้มปากสนิทครั้งหนึ่งพลางนึกถึงภาพถ่ายของแม่ที่ป๊าเคยเอาให้ดูก่อนจะเอ่ยออกไป “แม่เคยร้องเพลงกับเปียโนครับ ผมก็เลยอยากจะลองทำดูบ้าง”


รักที่บอกใครไม่ได้ สารภาพตรงๆ กับเจ้าตัวก็ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ขอบอกอ้อมๆ ซ่อนผ่านไปในเสียงเพลงให้ทุกคนได้ฟังละกัน และถึงจะมีใครเอะใจขึ้นมา เขาก็ยังอ้างได้ว่ามันเป็นแค่อารมณ์ของเพลง

ปรเมษฐ์มองลูกชายที่หน้าหงอยหูตูบหางตกก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อทั้งที่ไม่กี่นาทีก่อนยังทำหน้าทะเล้นเข้ามาเกาะแข้งเกาะขา ตาคมเหลือบลงบัตร เขาแทบไม่เคยไปฟังนภธรณ์ร้องเพลงตามงานเลย เหตุผลไม่ใช่ไม่ว่างถ้าจะไปจริงๆ เขาทำได้อยู่แล้ว เขาแค่ไม่อยากไปเพราะเขารู้สึกว่าเพลงนั่นไม่ได้ตั้งใจร้องให้เขาฟังแต่ร้องให้คนอื่น แต่ในเมื่อเจ้าตัวบอกแล้วว่าที่เป็นนักร้องเพราะอยากให้เขาได้ยินไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แล้วก็อุตส่าห์ลงทุนไปขอบัตรมาให้เป็นพิเศษขนาดนี้…

“ฉันจะไป”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง “จริงเหรอครับ”

เห็นดวงตาที่เป็นประกายวิบวับขึ้นมาแล้วปรเมษฐ์แล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ “มีข้อแม้ว่าแกต้องสอบภาษาอังกฤษให้ได้คะแนนมากกว่า 80 คะแนนนะ”

“80 คะแนน!” นภธรณ์ร้องเสียงดัง “ผมจะไปทำได้ยังไงป๊า คราวที่แล้วผมได้แค่ 50 คะแนนเอง แค่สอบผ่านนี่ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้แต้มบุญเก่าเท่าไหร่ถึงจะพอแล้วนะครับ”

“ตกลงแกทำข้อสอบหรือเล่นเกมวัดดวง”

“เล่นเกมให้ชนะยังง่ายกว่าเยอะเลยครับ”

“พูดแบบนี้ ไม่ตกลงก็ไม่เป็นไรนะ ฉันก็แค่ไม่ไป สบายดีซะอีกไม่ต้องไม่วุ่นวายหาคนแลกเวร” ปรเมษฐ์ว่าพร้อมกับดันบัตรออกไปไกลๆ

“ได้ครับ ผมรับคำท้า” นภธรณ์ชูหมัดขึ้นในอากาศด้วยท่าทางขึงขัง “ป๊าเตรียมตัวให้ว่างไว้ได้เลย”

นภธรณ์ทุ่มสุดตัวกับเดิมพันนี้ อย่างแรกคือเขาอยากให้ป๊าไปดูเขาร้องเพลง และอย่างที่สองคือเขาอยากพิสูจน์ให้ป๊าเห็นว่าเขาทำได้ เมื่อมีเวลาจากการซ้อมร้องเพลงเขาก็จะหยิบเอาสมุดจดศัพท์ขึ้นมาท่องตลอด จนทีมงานที่แสดงคอนเสิร์ตรู้กันทั่วว่าเขากำลังจะสอบ บางคนก็ใจดีแวะเวียนมาช่วยติวให้ ซึ่งดุริยะก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่เขาจะขอข้ามไปเพราะพี่ยะไปอยู่อเมริกามาหนึ่งปีใช้วิธีการเรียนรู้แบบครูพักลักจำ แกรมม่ามันก็จะเพี้ยนนิดๆ และศัพท์ก็จะวัยรุ่นหน่อยๆ ซึ่งไม่เหมาะกับการสอบภาษาอังกฤษตามตำราของเมืองไทย คนที่ดูจะสอนได้เรื่องได้ราวมากที่สุดเห็นทีจะเป็นรมิดาที่นอกจากจะสอนเก่งแล้วยังมีน้ำอดน้ำทนในการอธิบายให้เขาฟังซ้ำๆ อีก

ล่วงมาจนถึงวันสอบเด็กหนุ่มนั่งหน้าเครียดอยู่กับสมุดเก็งข้อสอบที่รมิดาทำรวบรวมมาให้อยู่ที่โต๊ะกินข้าว พยายามยัดทุกอย่างที่มีใส่ในหัวให้หมด แต่ตอนนี้สมองเขาเหมือนตู้ลิ้นชักเก่าๆ ที่ยัดอะไรเข้าไปบ้างก็ไม่รู้ จะว่าจำได้ก็ได้ จะไม่ได้ก็ไม่ได้ มันแบบ… อยู่ตรงหน้านั้นอะ บรรทัดที่สามจากข้างล่างทำไฮไลท์สีส้มแถมยังกาดอกจันไว้ด้วย... แต่เขาดันจำไม่ได้น่ะสิว่ามันเขียนว่าอะไร

“นอฟกินข้าวก่อน” ปรเมษฐ์เอ่ยขึ้นหลังจากที่เขากินข้าวพร่องไปครึ่งจานแล้ว แต่ลูกชายยังไม่ได้แตะสักคำ

“ครับ” เด็กหนุ่มรับคำแต่มือก็ยังคงพลิกหน้าสมุดต่อไป

“ได้ยินที่ฉันพูดไหมเนี่ย”

“ขออีกนิดเดียวครับ”

“นอฟ” ปรเมษฐ์เรียกอย่างอ่อนใจ เขารู้มานานแล้วว่าลูกชายตัวเองเป็นคนหัวดื้อมากแค่ไหน และมันก็เป็นหน้าที่ของเขาสินะที่ต้องตามใจ

ปรเมษฐ์เลื่อนจานข้าวของเด็กหนุ่มมาตรงหน้า เขาตักข้าวขึ้นมาหนึ่งคำและยื่นไปจ่อที่ริมฝีปาก “เอ้า! กินซะ”

เด็กหนุ่มหันมาหาข้าวตามสัญชาติญาณดิบแบบที่ปรเมษฐ์ชอบแซวบ่อยๆ ว่าเขามีลีลาบนโต๊ะเยี่ยงสัตว์ป่า ตอนที่ปากจะแตะปลายช้อน จู่ๆ ป๊าก็ลดมือลงทำให้เขาต้องก้มหน้าต่ำลงไปอีกจึงงับข้าวเข้าปากได้ และในจังหวะนั้นเองที่ริมฝีปากอุ่นประทับลงมาที่กึ่งกลางหน้าผากพอดิบพอดี

นภธรณ์เงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า กว่าจะรู้ตัวว่านั่นเป็นแผนเบี่ยงเบนความสนใจ เขาก็ถูกปรเมษฐ์ฉกหนังสือจากมือไปเก็บเรียบร้อยแล้ว แก้มขาวอุ่นซ่านกับแผนที่ป๊าช่างคิดขึ้นมาได้ พยายามจะพูดอะไรแก้เขินอีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

“กินเลอะกินเทอะเป็นเด็กๆ ไปได้” ปรเมษฐ์บ่นพร้อมกับที่มือใหญ่แตะลงข้างแก้ม หยิบเอาเม็ดข้าวสวยที่ติดอยู่ตรงมุมปากเขาแล้วไปใส่ปากตัวเองเคี้ยวหน้าตาเฉย อย่าว่าแต่เขาขี้อ้อนเป็นเด็กๆ เลย บางทีป๊าก็ชอบลืมว่าลูกชายคนนี้โตเกินกว่าจะเอามุกตั้งแต่สมัยเขาอยู่อนุบาลมาใช้แล้ว

นภธรณ์รีบแย่งช้อนกับจานข้าวคืนมา “ผมโตแล้วนะ กินเองได้น่า”

“งั้นก็รีบกินให้หมด ออกสายเดี๋ยวรถก็ติดหรอก”

“รู้แล้วน่า”

เด็กหนุ่มทำเป็นก้มหน้ากินข้าวหากเหลือบตามองคนตรงหน้า สายตาจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากหยักลึกที่ยังขยับบ่นขมุบขมิบ แล้วก็เกิดอาการเหงาปากขึ้นมาแปลกๆ จนต้องรีบตักข้าวยัดใส่ปากให้เต็ม… รู้สึกว่าตอนนี้ไม่ได้อยากกินข้าวเลยสักนิด แต่อยากกินอย่างอื่นมากกว่า

วันรุ่งขึ้นจากวันสอบเป็นวันประกาศผล และในขณะเดียวกันก็เป็นวันขึ้นคอนเสิร์ตเช่นกัน นภธรณ์เปิดอินเตอร์เน็ตเข้าเว็บของโรงเรียนเพื่อดูผลคะแนนโดยมีรมิดานั่งลุ้นอยู่ข้างๆ

“79 คะแนน” รมิดาร้องออกมาทันทีที่เห็นตัวเลข “นายพนันไว้ที่เท่าไหร่นะ 70 ใช่ไหม”

“80 คะแนนต่างหาก” นภธรณ์ตอบเสียงอ่อย

“ว้า~ น่าเสียดายจัง พลาดไปคะแนนเดียวเอง เอาน่าไว้วันหลังค่อยพยายามใหม่เนอะ” รมิดาตบบ่าปลอบใจ เธอไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาพนันอะไรไว้เพียงแต่บอกว่าป๊าจะให้รางวัลเท่านั้น “ฉันไปเตรียมตัวก่อนนะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว เดี๋ยวเจอกัน”

“อืม”

เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ยาวนึกโกรธตัวเองที่ทำไม่ได้ ป่านนี้ป๊าคงเปิดดูผลคะแนนแล้วเหมือนกัน และก็คงจะไม่มาดูเขาร้องเพลงแล้ว ช่วยไม่ได้นี่นะ กติกาต้องเป็นกติกา… แต่… ก็คนมันเสียใจนี่นาอุตส่าห์พยายามมาตั้งขนาดนี้ ขอเขางอแงสักนิดนึงก็คงไม่ผิดอะไรละมั้ง

นภธรณ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออก “ป๊า…” เขาเสียงเรียกเสียงอ่อย “เห็นผลสอบหรือยังครับ… ผมได้ 79 คะแนนแหละ รู้หรอกน่าว่ามันไม่ถึงตามที่เราตกลงกันไว้ แค่อยากโทรมาบอกน่ะ อย่างน้อยผมก็ได้มากกว่าคราวที่แล้วตั้ง 29 คะแนนเลยนะ เก่งใช่ไหมล่ะ… ป๊าทำไรอยู่ ผมอยากให้ป๊ามาดูด้วยจังแต่ไว้รอดูเทปด้วยกันก็ได้เนอะ… ป๊าครับ… อย่าเอาแต่เงียบสิพูดอะไรหน่อย”

ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...

“รอแป๊บนะป๊า สงสัยพี่ตฤณจะมาตาม” นภธรณ์เอียงคอหนีบโทรศัพท์ไว้แล้วหันไปเปิดประตูอีกครั้ง ก่อนจะร้องเสียงดังจนเผลอทำโทรศัพท์ร่วงเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ เขารีบก้มลงเก็บก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วใช้สองมือแตะไปทั่วทั้งใบหน้า คอ ไหล่ อก มากเท่าที่แขนจะเอื้อมถึงให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป “ป๊า! นี่ป๊าตัวเป็นๆ จริงๆ ด้วย ไหนว่ามาไม่ได้ไง”

ปรเมษฐ์หัวเราะกับความโก๊ะของลูกชาย เขาก้าวเข้ามายืนในห้องแล้วหันไปปิดล็อกประตูให้เรียบร้อย “ก็แกทำคะแนนไม่ได้ตามที่ตกลง ป๊าแกก็ไม่มาน่ะสิ”

“อ้าว งั้นนี่ใครมาล่ะครับ”

ตาคมเหลือบลงมองบัตรที่ห้อยอยู่ตรงหน้าอก “บัตรนี่เป็นชื่อใครก็คนนั้นแหละ”

“ตกลงนี่ไม่ใช่ป๊าผมเหรอ”

“ไม่ใช่มั้ง”

เด็กหนุ่มย่นคิ้วเข้าหากัน “แล้วเป็นใครครับ”

“แฟน”

“ห๊ะ~” เหมือนโดนขวานสีชมพูจามเข้ากลางแสกหน้า นภธรณ์ยืนนิ่งไปสามวินาทีก่อนที่คนจามมันลงมาจะดึงคืนไปและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ทำหน้าตกใจอะไรขนาดนั้น ฉันหมายถึงแฟนแม่แกไง” ปรเมษฐ์หัวเราะใส่คนที่ทำหน้าบูดก่อนจะยกช่อดอกทานตะวันที่ห่อด้วยถุงกระสอบขึ้นมา “พยายามเข้านะ”

ดอกทานตะวันว่าบานแล้วแต่ตอนนี้หน้าของเด็กหนุ่มบานยิ่งกว่าที่ป๊าซื้อดอกไม้ที่ชอบที่สุดมาให้แต่ก็ทำเป็นปากแข็ง “ป๊านี่จริงๆ เลยงานแบบนี้ใครเขาซื้อทานตะวันมาให้กัน มันต้องกุหลาบสิครับ”

“ก็ใครคนที่รู้ว่าแกชอบดอกอะไรมากที่สุดไง”

“ทำเป็นรู้ดีนะครับ” นภธรณ์รับมาหมุนไปมาพลางคิดว่าดอกใหญ่ขนาดนี้เขาต้องใช่หนังสืออะไรทับถึงจะทำดอกไม้แห้งได้… ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยกลับไปหา ในตู้หนังสือป๊ามีตำราแพทย์เล่มขนาดตกมาทับหนูตายได้ตั้งหลายเล่ม แอบเอามาใช้สอยผิดวิธีสักสองสามเล่มก็ไม่รู้หรอก

“จริงๆ อยากพับแบงค์พันทำเป็นดอกไม้ให้สักร้อยดอกแกน่าจะดีใจมากกว่า” ปรเมษฐ์ว่า

“แล้วทำไมไม่ทำละครับ ไม่ต้องถึงร้อยดอกก็ได้ขอแค่ดอกโตๆ สักดอกก็ยังดี”

“กลัวแกซุ่มซ่ามแกะแบงค์ขาดน่ะสิ จะเอาบัตรเครดิตใบใหม่ให้ เดี๋ยวแกก็จะบ่นว่าไม่มีพร๊อบอีกถ่ายรูปอีก ก็เอาแบบนี้แหละ ดูบ้านๆ ดี”

“จริงๆ แค่ป๊ามาผมก็ดีใจแล้วครับ” นภธรณ์ก้มหน้าลงแกล้งทำเป็นสูดกลิ่นหอมจนใบหน้าครึ่งหนึ่งจมหายลงไปในกลีบสีเหลืองของทานตะวันเพื่อซ่อนพวงแก้มที่ร้อนวาบขึ้น นอกจากของขวัญที่เตรียมมาอย่างดีแล้ววันนี้ป๊ายังแต่งตัวหล่อกว่าปกติ ด้วยชุดสูทของ Armani รุ่นใหม่ที่เขาเพิ่งเห็นในหน้านิตยสารเมื่อวันก่อน

“ตื่นเต้นไหม” ปรเมษฐ์ถามลูกชาย

“ไม่เลยครับ”

“แล้วทำไมต้องทำเสียงสูง” ปรเมษฐ์แซว

“ไม่ได้ทำสักหน่อย” นภธรณ์รีบปฏิเสธ

“แล้วทำไมมือสั่น”

“อากาศมันเย็นต่างหาก”

ปรเมษฐ์หัวเราะลงคอในความปากแข็งของลูกชาย “เอางี้ เพื่อเป็นการปลอบใจคนตั้งใจทำข้อสอบ ถ้าวันนี้ทำได้ดีเดี๋ยวกลับถึงบ้านฉันจะมีรางวัลให้ตกลงไหม”

“แน่จริงก็ให้มาเลยดีกว่าครับ”

“ฝันไปเถอะ คะแนนสอบก็ไม่ถึงยังจะต่อรองอีกนะ”

“ชิ!” เด็กหนุ่มทำเป็นเชิดใส่ ไม่รู้ไม่ชี้ แต่สักพัก เพียงแค่พักเดียวจริงๆ เขาก็พ่ายแพ้ให้กับเส้นประสาทที่เครียดเขม็งจึงทิ้งศีรษะพิงลงบนบ่ากว้าง ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอดังแว่วมาก่อนที่มือใหญ่จะวางลงบนศีรษะแล้วลูบเบาๆ โดยที่ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ความกังวลก็ค่อยๆ คลายออกช้าๆ

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนที่พิงไว้ ริมฝีปากที่อยู่ห่างไม่ถึงคืบช่างน่าเย้ายวน แต่เขาก็ไม่อยากเสี่ยงให้มีข่าวอะไรหลุดไปอีกจึงได้แต่กลืนความอยากลงคอไปพร้อมกับน้ำลายแล้วเปลี่ยนเป็นถูไถศีรษะเบาๆ กับแผ่นอกเพื่อกระตุ้นให้มือใหญ่ลูบลงมาอีกเยอะๆ

“เอาอีก” เขากระซิบงึมงำกับอกกว้าง

“พอได้แล้วมั้ง” ปรเมษฐ์หัวเราะคิกคักกับกลุ่มผมที่คลอเคลียอยู่ตรงปลายคางทำให้รู้สึกจั๊กจี้พิลึก
“ยังไม่พออะ แบตเพิ่งชาร์จได้ครึ่งก้อนเอง” เด็กหนุ่มรำพึงแล้วหมุนศีรษะปักไว้กลางหน้าอกก่อนจะขยับเคาะเป็นจังหวะราวกับจะเร่งให้พลังใจถูกดูดซึมเข้ามาเร็วๆ

“พอได้แล้ว” ปรเมษฐ์ว่าพร้อมกับคว้าบ่าลูกชายแล้วดันออกห่าง “ฉันจะไปนั่งที่ล่ะ เจอกันหลังจบงานนะ”
“ครับ”

ไฟในทุกดวงดับพรึ่บลง ก่อนจะมีหนึ่งดวงสว่างขึ้นพร้อมกับสาดส่องไปยังเปียโนหลังใหญ่ที่กลางเวที

นภธรณ์เหลือบตามองไปยังที่นั่ง V.I.P แถวหน้าเห็นคนที่มองหาริมฝีปากก็แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับที่เปล่งเสียงร้องออกไป

สำหรับเขาเพลงนี้มันไม่ได้เจ็บปวดอีกแล้ว... รักมาก... ต้องการ... และจะแย่งมาเป็นของตัวเองให้ได้ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาของเขา สักวันเขาจะครอบครองหัวใจดวงนั้นให้ได้... อย่าเผลอละกัน... นี่ฉันพูดถึงเขานะ ไม่ใช่เธอ ระวังคนของเธอจะตกหลุมรักฉันโดยไม่รู้ตัว... ทำไมน่ะเหรอ... เพราะเขาเป็นของฉันมาตั้งแต่แรกแล้วยังไงล่ะ

บทเพลงจบลงนภธรณ์หันไปโค้งให้ทุกคน มีแฟนคลับโยนของขวัญขึ้นมาให้ทั้งดอกไม้และตุ๊กตา มีตัวหนึ่งตกลงมากระทบหน้าอกพอดีเขาจึงคว้าไว้ได้ทัน มันเป็นตุ๊กตาแมวหน้าเหวี่ยงแยกเขี้ยวเห็นฟันขาว เขาเหลือบตามองคนที่นั่งติดอยู่หน้าเวทีแวบหนึ่งก่อนจะก้มลงจูบแก้มตุ๊กตาแล้วโยนคืนลงไปด้านล่าง มันตกลงบนหน้าตักเป้าหมายอย่างพอดิบพอดี

แฟนคลับสาวๆ พากันกรีดร้องและชะเง้อคอมองหาว่าใครกันที่เป็นผู้โชคดีได้ไป แต่ก็ไม่มีการแสดงตัวใดๆ จากผู้ที่นั่งอยู่แถวหน้า

ทันทีที่นภธรณ์เดินผ่านม่านเข้าไปหลังเวที เขาก็รีบออกวิ่งเต็มฝีเท้าเพื่อไปยังห้องเปลี่ยนชุด ที่นั่นเขาพบกับใครคนหนึ่งที่ในมือกอดกอดตุ๊กตาแมวหน้าเหวี่ยงตัวที่เขาโยนลงไปไว้

ความเหนื่อยล้าจากการฝึกซ้อมตลอดมาหายเป็นปลิดทิ้ง เพียงแค่เห็นรอยยิ้มกว้างบนริมฝีปาก “ป๊า”

“เอาคืนไป” ปรเมษฐ์ว่าพร้อมกับยัดตุ๊กตาใส่มือ “โยนลงมาทำไมแฟนคลับอุตส่าห์ให้”

นภธรณ์รับมากอดไว้…แฟนคลับคนที่ว่ามันก็ป๊าไม่ใช่หรือไง แล้วเขาก็แอบเห็นนะ ถึงมันจะค่อนข้างมืดก็เถอะ แต่เขามั่นใจว่าตอนที่ตุ๊กตาตกลงไปบนตักป๊าหยิบมันขึ้นมาจุ๊บครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืนและนั่นเป็นสาเหตุที่เขาวิ่งเต็มฝีเท้ามาหานี่ยังไงล่ะ

“มาอยู่นี่เอง” ตฤณที่เดินตามหลังมาว่า “คอนเสิร์ตจบแล้ว เธอจะไปเปลี่ยนชุดก่อนไหม หรือจะใส่ชุดนี้งานไปเลี้ยงขอบคุณเลย”

“ผมไม่ไปนะครับ เดี๋ยวจะกลับกับป๊าเลย”

“เธอจะมาเบี้ยวกันแบบนี้ไม่ได้นะ เราตกลงกันแล้ว” ตฤณตั้งต้นโวยวาย

“ก็ผมเป็นห่วงป๊านี่นา ไม่อยากให้ป๊ารอนาน”

ได้ยินดังนั้นปรเมษฐ์จึงรีบพูดแทรก “จะไม่ไปก็ไม่ไปด้วยเหตุผลของตัวแกเอง อย่าเอาฉันไปเป็นข้ออ้างในการอู้งาน”

“งั้นแสดงว่าถ้าผมจะกลับเลยก็ได้ใช่ไหมครับ”

 “ก็ตามใจ แต่แกก็อย่าลืมว่าแกกำลังทำงานอยู่ ถ้าหนีกลับก่อนมันจะเป็นการไม่ให้เกียรติสปอนเซอร์ แล้วผลที่ตามมาจะเป็นยังไง เขาจะยังเอ็นดูแกจ้างแกมาร้องเพลงอีกไหม? ถ้าแกรับผลนั้นได้โดยที่ไม่เสียใจทีหลังฉันก็โอเคทั้งนั้นแหละ”

นภธรณ์พยักหน้ารับแต่โดยดี “งั้นป๊ากลับคนเดียวนะ งานคงเลิกดึกเดี๋ยวผมให้พี่ตฤณไปส่ง”

“บัตร V.I.P นั่นใช้เข้างานเลี้ยงขอบคุณได้ด้วย ถ้าคุณโป้โอเคจะมาด้วยก็ได้นะครับ” ตฤณรีบบอก

“จะดีเหรอครับ ผมใส่ชุดลำลองมาเกรงว่าจะไม่สุภาพ ผมรอข้างนอกก็ได้ครับไม่มีปัญหาอะไร”

“แค่นี้ก็สุภาพสุดๆ แล้วครับ” ตฤณบอกพลางลอบมองตั้งแต่หัวจรดเท้า นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นคุณพ่อของนักร้องในสังกัดเขาคงคิดว่าเป็นพระเอกหนังคนใหม่แน่ๆ

“แต่ผม…” ปรเมษฐ์กำลังจะปฏิเสธให้เด็ดขาด แต่พอเหลือบไปเห็นใครบางคนที่ส่งสายตาละห้อยมาให้แล้วก็เปลี่ยนใจ
“ป๊าจะอยู่ใช่ไหม”

“ขอรบกวนด้วยนะครับ” ปรเมษฐ์ตอบออกไป

“นอฟเสร็จหรือยังเนี่ย เขาไปกันหมดแล้วนะ” รมิดาเยี่ยมหน้าเข้ามา “อ้าว คุณโป้สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ” ปรเมษฐ์ยิ้มรับไหว้ “วันนี้แต่งตัวสวยจังเลยครับ การแสดงเมื่อสักครู่ก็สุดยอดมากเลย”

“แหม คุณโป้ก็พูดซะตรงเลย ดาด้าเขินนะคะ” รมิดาทำเป็นปิดหน้าบิดไปมา “แล้วนี่คุณโป้จะไปงานด้วยกันไหมคะ ยังไงดีล่ะดาด้าเองก็ยังว่างๆ อยู่ ไม่มีคนควงไปงานเลย”

ตฤนซึ่งเป็นแฟนพันธ์แท้ของดาราสาวตาลุกวาวทันที “เอ่อ… งั้นน้องดาด้า ปะ… ไป… ไปกับผม…”

“คุณแดนเนียลตามหานายอยู่แน่ะตฤณ” ดุริยะที่เปิดประตูเข้ามาเอ่ยขึ้น “เห็นว่าเลือกสีเนกไทค์ไม่ได้ อยากให้นายไปช่วยเลือกหน่อย”

“โธ่! คุณแดน ผมก็วางเส้นใหม่สำหรับคืนนี้ไว้ให้แล้วนะ” ตฤณบ่นพึมพำแล้วรีบก้าวยาวๆ ออกไป

เมื่อตัวขวางทางออกไปหนึ่ง รมิดาจึงรีบหันไปกระเซ้าเป้าหมาย “งั้นคุณโป้…”

“ถ้าอยากไปกับฉันก็ไม่ต้องมาทำเป็นลีลา พูดออกมาตรงๆ เลยก็ได้นะ” นภธรณ์พูดรัวเร็วพร้อมทั้งคว้ามือหญิงสาวมาเกาะแขนตนแล้วหนีบไว้แน่นเพื่อไม่ให้ไปเฉียดใกล้ป๊าได้อีก

หญิงสาวถลึงตาใส่ “ใครเขาอยากไปกับนายยะ”

“ไม่ต้องเขินน่า” นภธรณ์ยิ้มกว้าง “หลงเสน่ห์ฉันตอนร้องเพลงก็พูดมาเลย แล้วคืนนี้ฉันก็หล่อมากด้วย ไม่แปลกหรอกถ้าเธอจะทนไม่ไหว”

“เปล่าสักหน่อย”

“ผู้หญิงถ้าปากบอกว่าไม่ แสดงว่าใจบอกว่าใช่ เราไปกันเถอะดาด้า”

“ไม่! นอฟ ดาด้าจะไป…”

“เลิกเขินแล้วเดินตามมาดีๆ น่า” นภธรณ์รีบลากรมิดาไปที่ประตูเพื่อไม่ให้หนีได้ “ไปกันเถอะครับป๊า”

ปรเมษฐ์กำลังจะเดินตามไปดุริยะก็ยื่นมือเข้ามาคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน “มีอะไรครับ”

“งานแบบนี้ไปคนเดียวจะเหงานะครับ คนอื่นเขาก็มีคู่กันหมด ถ้ายังไงคุณโป้ไปกับผมได้ไหมครับ”

ปรเมษฐ์เหลือบมองทางหางตา “ก็ได้ครับ”

(ต่อข้างล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-07-2017 12:24:11 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
«ตอบ #144 เมื่อ02-07-2017 22:39:38 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)



“มีเรื่องอะไรจะคุยกับผมครับ” ปรเมษฐ์ถามคนที่เดินมาด้วยหลังจากหามุมสงบได้ หากก็ไม่ไกลเกินกว่าสายตาจะตามติดลูกชายที่กำลังเดินวนอยู่รอบโต๊ะอาหารนานาชาติซึ่งถูกจัดวางไว้ให้ตักบริการตัวเอง

“ยอมคุยกับผมแล้วเหรอ” ดุริยะถามกลับพลางหันไปหยิบแก้วแชมเปญจากบริกรที่เดินผ่านมาสองแก้วและส่งให้ปรเมษฐ์แก้วหนึ่งซึ่งอีกฝ่ายก็รับไปถือไว้ตามมารยาท

“ถ้าคุณไม่รีบเข้าเรื่องผมก็ไม่คุยละนะ”

“อย่าเพิ่งน้อยใจไปสิครับ เดี๋ยวก็หัวล้านหรอก” ดุริยะว่าพลางกระดกเหล้าเข้าปาก

“วาฝากอะไรมาเหรอครับ” ปรเมษฐ์รีบดึงเข้าเรื่อง

“ไม่คิดจะถามเลยเหรอครับว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน สบายดีหรือเปล่า”

“เรื่องนั้นก็อยากรู้ครับแต่คิดว่าไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่คุณอยากพูดเพราะงั้นผมจะข้ามไปก่อน” ปรเมษฐ์พูดเรียบๆ “ที่คุณเคยบอกว่า เธอฝากมาดูว่าเลี้ยงลูกดีไหม นั่นมีความหมายอะไรครับ”

“ก็เด็กนั่นพูดตลอดว่าอยากเจอแม่ใช่ไหมล่ะ เธอก็เลยกำลังคิดว่าจะกลับมาเจอหน้าสักครั้งดีหรือเปล่า”

ปรเมษฐ์หันไปจ้องตาดุริยะ มีประกายของความยินดีอยู่ในนั้น “เธอจะกลับมาจริงๆ เหรอครับ”

“กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจน่ะนะ แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ”

“มันเป็นสิทธิ์ของเธอ” ปรเมษฐ์ตอบสั้นๆ

“มีอีกเรื่องหนึ่ง” ดุริยะว่า “เธอไม่ได้พูดออกมาหรอก แต่ผมคิดว่าถ้าเธอจะกลับมา เธอคงจะกลับมาเพื่อคืนดีกับคุณ… เพื่อเริ่มต้นใหม่ คุณคิดว่ายังไง”

“ผมยินดี”

oooooo

“เธอนี่หน้าเหมือนผู้หญิงคนนั้นจริงๆ นะ”

เสียงหวานที่เอ่ยขึ้นดึงให้นภธรณ์หันไปมอง หญิงสาวตรงหน้า เธอชื่อแพรวชมพูเป็นดาราดังและเป็นดาวเด่นอันดับต้นๆ ของงานในวันนี้

“คุณพูดเรื่องอะไรครับ” ถามออกไปอย่างระแวดระวังเพราะเขาไม่รู้จักเธอเป็นการส่วนตัว ถ้าเป็นรมิดาที่รู้จักคนเยอะก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้เธอก็ถูกผู้จัดการลากตัวไปเดินสายขอบคุณและแนะนำตัวกับบรรดาสปอนเซอร์ที่มาร่วมงาน

“วาริณี… คุณแม่ของเธอไง” แพรวชมพูตอบ

เด็กหนุ่มตาโตทันที “คุณรู้จักแม่ผมด้วยเหรอครับ”

“เป็นเพื่อนสนิทเลยล่ะ” แพรวชมพูว่าพร้อมกับส่งแก้วเครื่องดื่มที่ถือมาให้เด็กหนุ่มแล้วเริ่มต้นเล่า “เราเข้าวงการมาพร้อมกัน เธอก็น่าจะพอรู้ใช่ไหมว่าฉันเริ่มต้นด้วยการร้องเพลงก่อนจะมาเป็นดารา”

“ครับ” นภธรณ์พยักหน้าตาม เขาไม่ได้อยากให้ป๊ากลับไปเจอผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้อยากเอ่ยถึง แต่ความรู้สึกมันเหมือนกับแฟนเก่าของแฟนคนปัจจุบัน แค่อยากรู้ว่าคนที่เรารักเคยรักคนแบบไหนก็เท่านั้น

“ฉันโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มเป็นที่รู้จัก วาเองก็เหมือนกัน แต่เธอก็ทำมันพังด้วยการท้องไปเสียก่อน มันไม่ใช่ข่าวดังอะไรสำหรับนักร้องหน้าใหม่ แต่มันก็ทำให้ไม่มีใครชื่นชมเธออีกต่อไป ใครเป็นพ่อเด็กก็ไม่บอกพอท้องโตขึ้นเรื่อยๆ ก็หายไปเฉยๆ ขาดการติดต่อไปเลย ฉันยังแอบคิดว่าวาตายไปแล้วด้วยซ้ำจนกระทั่งได้เห็นเธอปรากฏตัวขึ้นมานี่แหละ”

เด็กหนุ่มเงียบไป ทั้งที่ควรจะชินแต่ทุกครั้งที่ได้ยินว่าตัวเองนั้นเกิดจากความผิดพลาดก็อดที่จะเจ็บในใจลึกๆ ไม่ได้ รู้สึกสมองตื้อคิดอะไรไม่ออกและซวนเซนิดๆ เขายกแก้วขึ้นซดน้ำจนหมดเพื่อเรียกคืนความสดชื่น แต่ก็ดูเหมือนไม่ดีขึ้นเท่าไหร่

“อย่าคิดมากเลยนะ ถึงวาจะทำพลาดไป แต่วาก็ยังเก็บเธอไว้ไม่ได้คิดจะทำแท้งนะ อ้าว น้ำหมดแล้วนี่เอาอีกแก้วนะ”
“ขอบคุณครับ”

“ตรงนี้เริ่มจะเสียงดังเกินไปล่ะ เราไปหาที่คุยที่อื่นกันเถอะจะได้คุยสะดวกกว่านี้”

นภธรณ์เหลือบตามองป๊าที่กำลังคุยอยู่กับดุริยะแล้วจึงหันไปตอบ “ก็ได้ครับ”

หญิงสาวเดินนำเขาออกไปจากงานไปยังหน้าประตูห้องหนึ่งที่อยู่ตรงสุดทางเดิน

นภธรณ์ชะงักไปเล็กน้อยพลางเหลียวมองรอบตัวที่ไม่มีใคร

“ผู้จัดเขาเหมาทั้งชั้นไว้แล้วน่ะ เผื่อมีคนดื่มหนักแล้วกลับบ้านไม่ไหว”

นภธรณ์เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล “ขอบคุณนะครับที่เล่าให้ฟัง ผมขอตัวก่อนนะครับ”

“เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหนล่ะจ๊ะ”

“แต่ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณแล้ว”

“ก็ไม่ได้จะให้คุยนี่นา” ริมฝีปากแยกยิ้มชั่วร้ายที่ไม่อาจแอบซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากนางเอกได้อีกต่อไป แพรวชมพูเปิดประตูออกและผลักเด็กหนุ่มเข้าไป

นภธรณ์เซไปข้างหน้า รู้สึกแปลกๆ ที่ควบคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเครื่องดื่มที่ถูกส่งผ่านมาให้แก้วแล้วแก้วเล่านั้นน่าจะเป็นค็อกเทลไม่ใช่ม็อกเทลที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์อย่างที่เขาเข้าใจ เพราะอายุยังไม่ถึงป๊าจึงไม่เคยให้เขากินเหล้าเพิ่งรู้วันนี้แหละว่าอาการเมามันเป็นยังไง

“คุณจะทำอะไรผม!”

“โทษฐานที่ทำให้ฉันเสียหน้าเมื่อวันก่อน” หญิงสาวแสยะยิ้มก่อนจะปิดประตูพร้อมกับทิ้งท้าย “ขอให้สนุกนะจ๊ะ”
เด็กหนุ่มหมุนลูกบิดแต่มันก็โดนล็อกเสียแล้ว

“ว่าไงหนุ่มน้อย แหม ไม่คิดเลยนะว่าเธอจะเป็นฝ่ายเสนอตัวให้ฉันเอง”

เสียงแปร่งปร่าดังขึ้นมาจากด้านในของห้องแล้วอึดใจต่อมา ชายวัยกลางคนร่างท้วมที่คลุมกายด้วยเสื้อคลุมอาบน้ำเพียงตัวเดียวก็เดินออกมายืนตรงหน้า

นภธรณ์จำชื่อเขาไม่ได้ แต่จำได้แม่นยำว่าเป็นหนึ่งในคนที่ท่านประธานเตือนว่าอย่าเข้าใกล้เป็นอันขาด เพราะงานเลี้ยงขอบคุณมันก็มีความหมายแฝงของการซื้อขายตัวกับผู้กำกับหรือสปอนเซอร์รายใหญ่อยู่ด้วย

“ผม… เปล่า…”

“แหมๆ ทำมาเป็นเล่นตัว แต่แบบนี้สิดีฉันชอบ”

นภธรณ์ทั้งเขย่าและทุบประตู แต่มันก็ไม่มีท่าทีจะเปิดหรือพังได้ง่ายๆ ทันใดนั้นมือที่แข็งเหมือนคีมก็ตะปบหมับลวมาบนหัวไหล่แล้วเหวี่ยงเขาไปล้มลงบนเตียงใหญ่ที่กลางห้อง

“มาสนุกกันเถอะ”

“ไม่นะครับ อย่า”  นภธรณ์ถดตัวหนี ถ้าเป็นปกติเขาคิดว่าสู้แรงได้สบายๆ อยู่แล้ว แต่นี่สมองมึนชาและร่างกายก็หนักอึ้งไปหมด ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เหล้าที่ทำให้เมาแต่ยัยจิ้งจอกนั่นคงใส่อะไรสักอย่างมาในแก้วน้ำด้วยแน่ๆ

“เอ้า! ร้องสิ ร้องดังๆ เลย ที่นี่เป็นโรงแรมของฉัน แถมนี่ยังเป็นห้องเก็บเสียงต่อให้เธอร้องให้ตายยังไงก็ไม่มีใครมาช่วยหรอก”

นภธรณ์รับรู้ถึงแรงสั่นของโทรศัพท์ในกระเป๋า เขารีบหยิบออกเพื่อกดรับแต่ก็ถูกปัดหลุดจากมือกระเด็นตกไปอยู่ข้างเตียง

“อยากคุยก็ไว้หลังจากที่ฉันจัดการเธอเรียบร้อยแล้วละกันนะ” พร้อมกับที่รวบข้อมือทั้งสองของเด็กหนุ่มไว้

นภธรณ์ดิ้นรนอย่างอับจนหนทาง ทั้งกัดทั้งถีบแต่ก็ไม่อาจสู้แรงได้ ในที่สุดเขาก็โดนกดติดเตียง มือทั้งสองถูกตรึงไว้เหนือหัวในขณะที่คนที่ขึ้นคร่อมปลดเปลื้องเสื้อคลุมออกเผยให้เห็นเรือนร่างเปลือยที่น่ารังเกียจแล้วก้าวขึ้นคร่อมเขาเอาไว้

“อย่า!”

ร้องจนเสียงแหบแห้ง สายตายังคงจับจ้องไปยังโทรศัพ์บนพื้นที่หน้าจอแสดงชื่อของใครคนหนึ่งที่ยังโทรเข้ามาไม่ขาดสาย

…ป๊า… ช่วยผมด้วย…

oooooo

“นอฟ ดาด้ามาแล้ว อ้าว...” รมิดาเหลียวมองซ้ายขวา ครั้งล่าสุดที่เห็นนภธรณ์คือกำลังคุยกับแพรวชมพู แต่ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นกลับไปคุยกับกลุ่มของเธอแล้ว เธอกวาดตามองรวดเร็วอีกครั้ง ประสบการณ์ในวงการตั้งแต่จำความได้ทำให้เธอรู้ว่าใครไว้ใจได้หรือไม่ได้ และใครเป็นคนจำพวกไหน แพรวชมพูเป็นคนประเภทที่ไต่เต้าขึ้นมาโด่งดังได้โดยใช้เต้าไต่ และดึกป่านนี้แล้วถ้าเธอยังไม่หายออกไปกับสปอนเซอร์หรือผู้กำกับคนไหนนั่นย่อมไม่ใช่เรื่องปกติ

“เจ้าหนูนั่นไปไหนแล้วล่ะดาด้า พ่อเขาตามหาอยู่เนี่ย โทรหาก็ไม่รับ” ดุริยะเดินเข้ามาหาพร้อมกับปรเมษฐ์ที่ในมือกดโทรศัพท์ไม่หยุด

“คุณโป้มาพอดีเลยคือว่าดาด้าก็หานอฟไม่เจอ ล่าสุดเห็นคุยอยู่กับคุณแพรวแล้วตอนนี้ก็หายไปแล้ว” รมิดาพูดรัวเร็ว

“เดี๋ยวฉันไปดูเอง” ดุริยะบอกเสียงเครียดทันทีที่ฟังจบ เพราะหลายอาทิตย์ก่อนเขาไล่แพรวชมพูลงจากรถไปเพื่อให้เด็กหนุ่มที่กำลังหนีนักข่าวขึ้นมาแทน และดูเธอจะแค้นมากเสียด้วยแต่ทำอะไรเขาไม่ได้เพราะยังต้องหวังให้เขาทำเพลงให้

“มีอะไร” ปรเมษฐ์ถาม

“จะบอกว่าไม่มีก็คงไม่ได้ แต่ถ้าเป็น ‘เขา’ งานนี้คุณก็คงทำอะไรไม่ได้”

“หมายความว่าไง”

“ผมกำลังพูดถึงคุณชาญณรงค์ สปอนเซอร์รายใหญ่ของงานวันนี้และเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้น่ะสิ” ดุริยะบอก คิดว่าอีกฝ่ายฉลาดพอจะเข้าใจความนัยที่สื่อไป

ปรเมษฐ์เงียบไปอึดใจก่อนจะเอ่ยเสียงเครียด“ผมโทรหาพ่อได้”

“กว่าจะโทรติดคงไม่ทันแล้วล่ะ เอาเป็นว่าคุณรออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวผมจัดการเอง”

“คุณจะทำอะไร” ปรเมษฐ์คว้าแขนอีกฝ่ายที่กำลังจะเดินไปไว้

ดุริยะเหลือบตาลงมองมือนั้นก่อนจะตวัดสายตาขึ้นสบ “ผมรู้ตัวว่าไม่ใช่คนดี แต่เชื่อใจผมหน่อยเถอะ ว่าผมไม่เคยคิดจะทำให้เด็กนั่นได้รับอันตรายแม้แต่แผลเล็บแมวข่วน” แล้วค่อยแกะมือของปรเมษฐ์ออก “งานสกปรกแบบนี้มันไม่เหมาะกับพระเอกอย่างคุณหรอก ไว้เป็นหน้าที่ของผู้ร้ายอย่างผมดีกว่า”

oooooo

“ขออนุญาตครับ”

“ใครแม่งมาขัดจังหวะวะ” ชายร่างท้วมกล่าวอย่างหัวเสียก่อนจะคว้าเสื้อคลุมมาสวมทับแล้วเดินไปเปิดประตู พลันใบหน้าที่ยับยุ่งด้วยความหงุดหงิดและตัณหาก็คลายออกเล็กน้อย “อ้าว นึกว่าใคร มาทำอะไรที่นี่จ๊ะ ยาย่า หรือว่าเธออยากจะมาร่วมวงกับพวกเราด้วย”

“พี่ยะ…”

ดุริยะมองข้ามไหล่คนตรงหน้าไปยังเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงในสภาพที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว และขอบตาแดงก่ำรื้นน้ำตา “มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะครับ เด็กคนนั้นเขาไม่ได้เต็มใจจะทำแบบนี้”

“อ้าว… ไม่รู้ล่ะฉันจ่ายไปตั้งหลายล้าน มาถึงขั้นนี้แล้วฉันไม่ยอมขาดทุนหรอกนะ”

“งั้นเปลี่ยนกันไหมครับ”

“หืม~ ไหนเธอเคยบอกว่าระหว่างเราจะไม่มีครั้งที่สองไง”

“ตกลงคุณอยากจะมีไหมล่ะครับ ครั้งที่สองน่ะ”

เจ้าของเงินหนากอดอกคิดสะระตะอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปหาเด็กหนุ่ม “ถือว่าเป็นโชคดีของเธอนะ จะไปไหนก็เลยไป”

“พี่ยะ” นภธรณ์เรียก เสียงของเขาแหบไปเล็กน้อยจากการตะโกนติดๆ กัน

โปรดิวเซอร์ใหญ่เก็บโทรศัพท์ของเด็กหนุ่มที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาส่งให้แล้วนั่งลงบนเตียง “คุณโป้รออยู่ข้างนอก” ดุริยะบอกในระหว่างที่ช่วยติดกระดุมเสื้อและใช้มือสางผมเผ้าให้เข้าที่

“แต่ว่า…” เด็กหนุ่มอยากออกไปใจจะขาดแต่นภธรณ์ก็ไม่ได้อยากทิ้งดุริยะไว้กับเจ้าคนบ้ากามนี่

“ชักช้านี่อยากจะเล่น 3p หรือไงจ๊ะ” เจ้าคนบ้ากามหันมาเร่ง

“รีบใส่เสื้อผ้าแล้วก็ออกไปได้แล้ว” ดุริยะกำชับพร้อมทั้งรุนหลังเขาไปที่ประตู

ประตูเปิดออกและถูกดึงปิดตามหลังรวดเร็ว เพราะคนข้างในไม่ต้องการให้ใครเข้าไปรบกวนอีก นภธรณ์จ้องมองบานประตูที่ปิดสนิทด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ

มือข้างหนึ่งเอื้อมมาวางลงบนบ่า ทันทีที่หันไปเห็นว่าเป็นมือของใครเด็กหนุ่มก็พุ่งเข้ากอดแน่น “ป๊า”

ปรเมษฐ์ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ลูบศีรษะปลอบขวัญก่อนจะจูงมือพาไปขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน

“ผมขอโทษ” เขากระซิบคำนี้ซ้ำๆ ไปตลอดทาง แต่ยิ่งอีกฝ่ายเงียบ ไม่พูด ไม่มีแม้คำต่อว่าต่อขานนั่นยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกผิด

จนกระทั่งกลับถึงบ้าน ปรเมษฐ์เดินตรงหายเข้าไปในห้องนอน ทีแรกเขาจะเดินตามไป แต่เมื่อเดินผ่านกระจกที่ติดอยู่ตรงห้องนั่งเล่นเขาก็ได้เห็นสภาพตัวเองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดินออกจากห้องนั้นมา

ถึงดุริยะจะช่วยจัดผมให้แล้วแต่มันก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าดูดี ตาแดง เสื้อผ้ายับเยิน และที่เด่นสะดุดตาที่สุดคือรอยสีแดงที่อยู่ตรงข้างซอกคอ

เขายกมือขึ้นถูอย่างแรงแต่รอยนั่นกลับยิ่งแดงเป็นปื้นชัดขึ้นราวกับจะประจานความสกปรกของเขาให้โลกรู้

เด็กหนุ่มรีบวิ่งเข้าห้องน้ำของห้องนอนเล็ก เขาถอดเสื้อผ้าออกจนหมด เงาที่สะท้อนให้เห็นตั้งแต่หัวจรดเท้านั้นยิ่งทำให้แทบคลั่ง รอยแดงนั่นไม่ได้มีแค่ที่คอ แต่ยังมีบนหน้าอกอีกสองสามจุด เขาเปิดฝักบัวจนสุด ให้น้ำเย็นเฉียบสาดลงมาโดนตัวแล้วกวาดเอาเครื่องอาบน้ำทุกอย่างที่มีทั้งสบู่ ครีมอาบน้ำ ยาสระผมมาเทใส่บนตัวใช้ทั้งฟองน้ำและมือขัดถูทั่วทุกซอกทุกมุม… ซ้ำแล้ว… ซ้ำอีก… แต่ร่องรอยนั่นก็ไม่จางลงเลยแม้แต่นิดเดียว

“หายไปสิ! ทำไมถึงไม่หายไปล่ะ… พราะแบบนี้สินะป๊าถึงไม่ยอมพูดด้วย… เพราะเรามันสกปรกสินะ”

oooooo

เวลาผ่านไปนานจากนาทีเป็นครึ่งชั่วโมงจนเกือบครบชั่วโมงปรเมษฐ์ก็เริ่มเอะใจว่าลูกชายอาบน้ำนานเกินไปจึงไปเคาะประตูเรียก

“นอฟ เป็นอะไรหรือเปล่า”

คำตอบที่ได้มีเพียงเสียงน้ำที่ยังไหลไม่หยุด

“นอฟ!”

ยังไม่มีคำตอบจากคนที่อยู่ข้างใน แต่เงาที่เห็นลางๆ บนกระจกแบบฝ้าทำให้ปรเมษฐ์พอมองเห็นได้ว่าอย่างน้อยลูกชายยังยืนอยู่ใต้ฝักบัว

เขาไม่อดทนเรียกจนครั้งที่สามและเปิดประตูเข้าไป

“นอฟ! เป็นอะไรทำไมเรียกไม่ตอบ”

เด็กหนุ่มเบือนหน้ามาช้าๆ เปียกตั้งหัวจรดเท้า นัยน์ตาแดงก่ำ น้ำตาผสมกับน้ำจากฝักบัวจนแยกไม่ออก ผิวขาวแดงเป็นจ้ำจากการขัดถูอย่างแรง

“นี่แกทำบ้าอะไรเนี่ย!” ปรเมษฐ์เอื้อมมือไปปิดฝักบัวก่อนจะหันไปคว้าผ้าขนหนูมาตวัดลงรอบตัวเด็กหนุ่ม ผิวเนื้อนั้นเย็นเฉียบจนเขาเองยังสะดุ้ง เขารั้งตัวลูกชายมากอดแนบอกพร้อมกับลูบมือไปตามแนวไหล่จนถึงต้นแขนเพื่อให้เกิดความอบอุ่น

นภธรณ์ขืนตัวออกห่าง “ป๊าอย่าเพิ่งกอดผม… ผมมันสกปรก” เสียงของเขาติดสะอื้นนิดๆ “ผมมันโง่เองที่โดนเขาหลอก… แล้วยัง… พี่ยะ…”

ปรเมษฐ์แทบใจสลาย เขากระชับอ้อมแขนกอดเด็กหนุ่มแน่นขึ้นอีก “ต่อให้แกสกปรกมากกว่านี้ฉันก็รัก”

“แต่ป๊า…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว” ปรเมษฐ์บอกเสียงเข้มพร้อมกับปิดริมฝีปากที่สั่นนั้นด้วยปากของตัวเอง

นภธรณ์ยกมือขึ้นกอดตอบ “ป๊า”

“ไหน โดนมันทำอะไรบ้างบอกฉันสิ” ปรเมษฐ์ถาม “กอด?”

“ไม่รู้จะเรียกว่ากอดไหม แต่ก็จับไปทั่วๆ น่ะครับ”

“แล้วจูบล่ะ?”

เด็กหนุ่มพยักหน้า

“ตรงไหน ปาก?”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า “ไม่โดนปากครับ มันพลาดไปโดนแก้ม… แล้วก็ตรงคอ… กับหน้าอก”

ตาคมตวัดลงมองรอยแดงเป็นจุดๆ เป็นตัวลูกชาย “แค่นี้เหรอ”

“ครับ”

ปรเมษฐ์ก้มหน้าลงต่ำก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนรอยแดงที่ข้างซอกคอซึ่งเป็นจุดที่ใหญ่และเห็นชัดที่สุดแล้วขบฟันกัดลงไปครั้งหนึ่ง

“โอ๊ย!” นภธรณ์ร้องเสียงหลง “ป๊าทำอะไรน่ะ”

“เผื่อพรุ่งนี้มีใครเห็นแล้วถามว่าไปได้รอยนี่มายังไง แกก็ตอบไปว่าทะเลาะกับฉันแล้วกัน” ปรเมษฐ์ตอบ

“ทะเลาะยังไงครับถึงได้มีรอยที่คอ”

“ถ้าเขาอยากรู้มากนัก ก็ให้มาถามฉันละกัน” ปรเมษฐ์ตัดบท “แล้วโดนอะไรอีกไหม”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า “แค่นี้ครับ พี่ยะเข้ามาช่วยไว้ได้ทันพอดี… ป๊าครับ แล้วพี่ยะจะเป็นอะไรไหม”

“ฉันคิดว่าเขาคงจัดการเรื่องนี้ได้ถึงได้อาสาไปแบบนั้น แล้วพรุ่งนี้ก็ไปขอบคุณเขาด้วยนะแต่ตอนนี้แกรีบแต่งตัวแล้วก็ไปนอนพักเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบาย”

“ครับ” นภธรณ์รับคำพร้อมกำชับผ้าเช็ดตัวแน่นขึ้น เพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า เนื้อตัวเปียกปอนอยู่ในอ้อมแขนของป๊า ร่างกายตั้งแต่อกไปจนถึงต้นขาแนบชิดกันจนแทบไม่เหลือช่องว่าง และทั้งที่อีกฝ่ายยังใส่เสื้อผ้าครบทุกชิ้นแต่อุณหภูมิกายกลับถูกส่งผ่านมาถึงจนทำให้ผิวกายของเขาร้อนผ่าว

“เป็นอะไร หนาวเหรอ” ปรเมษฐ์ถามพลางกอดลูกชายให้แน่นขึ้นอีก

“ปะ… เปล่าครับ” เด็กหนุ่มก้มหน้าจนคางชิดอกเพื่อซ่อนใบหน้าที่ต้องแดงขึ้นแน่ๆ แล้วรีบผละออกไปหาเสื้อผ้าใส่

นภธรณ์เดินกลับมายืนเตียงอย่างเก้ๆ กังๆ ยังรู้สึกติดใจว่าป๊าจะรังเกียจหรือโกรธเขาไหมจึงไม่กล้าขึ้นเตียงในทันทีและตั้งใจจะรอให้ป๊าออกมาจากห้องน้ำก่อนจึงจะเข้านอน พลันสายตาเหลือบไปเห็นเจ้าตุ๊กตาแมวหน้าเหวี่ยงที่วางอยู่บนหมอนทำให้ย้อนคิดถึงคำพูดของป๊าว่าต่อให้เขาสกปรกแค่ไหนก็รัก กับริมฝีปากอุ่นที่ประทับลงมา

แล้วความร้อนก็แผ่ซ่านจากจุดที่ประทับไปจนถึงปลายนิ้ว เหมือนมันนานมากแล้วนับตั้งแต่เขาจูบกับป๊าในวันที่รู้หัวใจตัวเองนั่น และวันนี้ถึงสถานการณ์จะไม่ดีเอาเสียเลย แต่เขายอมรับว่ามันแตกต่างไปจากที่เคย ทั้งที่แค่ริมฝีปากแตะกันเบาๆ เหมือนทุกครั้ง หากหัวใจมันประกาศชัดเจนว่าเขาไม่ต้องการแค่จูบปลอบขวัญหรืออ้อมกอดของคนเป็นพ่อ แต่เป็นคนรักและต้องเป็นผู้ชายคนนี้เท่านั้น

เขาคว้าตุ๊กแมวขึ้นมากอดแนบอกและจูบมันตรงที่ป๊าเคยจูบ แก้มขาวแดงไปจนถึงใบหู เขาทนอาการเขินของตัวเองไม่ไหวรีบมุดขึ้นเตียงก่อนที่ป๊าจะออกมาจากห้องน้ำ

ไม่กี่นาทีต่อมาเสียงน้ำก็เงียบ ไฟในห้องถูกปิดมืด สักพักก็รู้สึกว่าเตียงข้างๆ ตัวยวบลง นภธรณ์ปิดตา มือกอดตุ๊กตาแน่นแกล้งทำเป็นหลับไปแล้ว

“หลับแล้วเหรอ”

“ครับ”
“หลับแล้วตอบได้ยังไง”

นภธรณ์เม้มปากสนิท เขารู้สึกว่าเสียงของป๊านั้นอยู่ใกล้มาก ราวกับว่ามันกระซิบอยู่ข้างหู แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกเขาคงคิดไปเองเพราะปกติป๊าจะนอนหันหลังให้เขา

ในขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่านพร้อมๆ กับพยายามข่มตาให้หลับนั้นเองเด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่มากระทบแผ่นหลังพร้อมๆ กับที่อะไรถูกสอดแทรกเข้ามาระหว่างที่นอนตรงช่วงเอว กว่าจะนึกออกว่ามันคืออะไรตอนนี้ตัวเขาก็โดนปรเมษฐ์กอดเอาไว้และความรู้สึกที่ว่าเสียงทุ้มนั้นอยู่ข้างหูก็ไม่ใช่การคิดไปเอง

“ป๊า” นภธรณ์เรียกเสียงพร่า “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“กอดลูกชายผิดด้วยเหรอ” เสียงทุ้มกระซิบขึ้น

“ผมนึกว่าป๊าจะเกลียดผมแล้ว”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่เกลียด”

“ก็ตอนแรกป๊าไม่ยอมพูดอะไรเลยนี่นา”

“ฉันกำลังโกรธตัวเองน่ะที่ปล่อยให้แกไปเจออะไรแบบนั้นโดยที่ตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย” ปรเมษฐ์บอกพลางวางศีรษะแนบลงตรงช่องว่างระหว่างแก้มกับซอกคอ

“ไม่ใช่ความผิดป๊าสักหน่อย ผมต่างหากที่ไม่ระวัง” นภธรณ์บอก “คุณแพรวชมพูเล่าเรื่องแม่ให้ฟังน่ะผมเลยตามเขาไป”

“อืม”

แล้วปรเมษฐ์ก็เงียบไป นภธรณ์รู้สึกว่าป๊าขยับตัวไปมาคล้ายกับจะอึดอัดจึงพยายามนอนให้นิ่งมากที่สุดเพราะกลัวว่าป๊าจะปล่อยมือ

“เอาเจ้าแมวนี่ออกไปก่อนได้ไหมฉันกอดไม่ถนัด” จู่ๆ ปรเมษฐ์ก็พูดขึ้นพร้อมกับดึงเจ้าตุ๊กแมวตัวปัญหาออกไปโยนไว้อีกฟากของเตียงแล้วซุกมือลงตรงเนื้อพุงนิ่มๆ ที่ตอนนี้ไม่มีอะไรมาขวางกั้นอีกต่อไป “ค่อยยังชั่วหน่อย”

“ป๊า… กะ… กอด… นะ… แน่นไปหรือเปล่าครับ” นภธรณ์ถามด้วยเสียงที่สั่นไปตามจังหวะการเต้นของหัวใจ

“แน่นๆ สิดี จะได้ล้างกลิ่นสาบคนอื่นให้หมดไง”

ปรเมษฐ์ตอบแค่นั้นแล้วก็อิงใบหน้าแนบลงมา นภธรณ์วางมือของตนทับลงไปบนมือใหญ่ก่อนจะปล่อยให้เสียงลมหายใจกับเสียงหัวใจอีกดวงที่เต้นอยู่หลังอกกว้างช่วยปลอบประโลมฝันร้ายในค่ำคืนนี้และกล่อมให้เขาหลับไปในที่สุด

**************************************************TBC*******************************************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-07-2017 20:32:56 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2628
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
«ตอบ #145 เมื่อ03-07-2017 06:53:38 »

น้องนอฟน่าสงสารรรรร

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
«ตอบ #146 เมื่อ03-07-2017 07:23:21 »

ไม่คิดว่าพี่ยะ จะกลายเป็นยาย่า ไปได้เลยยยยย แต่เพื่อช่วยนอฟ   :hao5: คนดีเกินไปแล้วววว


ออฟไลน์ joyey6217

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
«ตอบ #147 เมื่อ04-07-2017 23:20:21 »

พี่ยะ เป็นคนดีอะไรเยี่ยงนี้ เอาตัวเข้าแลกแทนเพื่อปกป้องนอฟขนาดนี้ พี่ยะ เราขอโทษที่เคยด่าพี่นะ ว่าแต่พี่ยะนี่ แกเป็นโบ๊ทหรอคะ ข้องใจมาก

นอฟลูก  หนูยังเด็กยังเล็กนัก ทำไมหนูอ่อยเบอร์แรกขนาดนี้คะลูก  ยีหัวหัวเองด้วยความเขินสองพ่อลูกคู่นี้ สัมผัสแต่ละอย่างมันไม่ใช่พ่อลูกกันแล้ว

ส่วนหมอโป้ จะยินดีกลับไปคืนดีกับผู้หญิงคนนั้นทำไมอะ งอลลลล

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
«ตอบ #148 เมื่อ04-08-2017 02:23:06 »

คุณโป้ไม่ได้คิดอะไรกับน้องเลยใช่ไหมคะ ทำไมดูยังรักแม่น้องมากกกก

แล้วนี่เป็นเราคนเดียวหรือเปล่าที่อยากให้เขาเป็นพ่อลูกกันแบบนี้ตลอดไป เป็นความบาปกึ่งนึง กลางๆไม่บาป 100% เราว่าอยู่กันแบบนี้มันก๊าวใจกว่าเป็นคนรักกันอีกกกก  :mew1:

ออฟไลน์ continued

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
«ตอบ #149 เมื่อ04-08-2017 04:08:17 »

เห็นมันเด้งขึ้นมา คิดว่าอัพตอนใหม่ อ้าว เราดูเดือนผิด
อาจจะไม่ค่อยได้คอมเมนต์ แต่ติดตามทุกตอนนะคะ
เริ่มอยากให้นอฟรุกหนักๆบ้าง อยากเห็นคนแก่ไปไม่เป็น

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด