Chapter 4“เป็นไงบ้างครับ” นภธรณ์พูดผ่านไมค์ถามคนที่นั่งดูอยู่อีกฝั่งกระจกของห้องอัด วันนี้เขามาถึงก่อนเวลานัดพอสมควรเพื่อทำความเข้าใจกับเนื้อหาเพลง และซักซ้อมคนเดียวอยู่หลายครั้งก่อนเริ่มอัดจริง
“เหมือนจะดี” ดุริยะกอดอกครุ่นคิด เขายังดูดุเหมือนวันก่อนแต่อารมณ์ดีขึ้นมากทีเดียว “จริงอยู่ว่าเธอร้องได้เจ็บปวด อ้อนวอนแต่ฉันคิดว่ามันยังขาดอะไรไป รู้สึกว่ามันยังไม่สุด เธอน่าจะทำได้ดีกว่านี้นะ ลองกลับไปทบทวนเนื้อเพลง ไม่สิ! เธอต้องตีความหมายเพลงให้เป็น ‘บาป’ ของตัวเองแล้วลองร้องดู”
“บาปของผมเหรอครับ”
“ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ เลเวลความรักของเธอยังเป็นแค่ ‘ความต้องการ’ นั่นหมายความว่ามันจะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่สิ่งที่ฉันอยากได้คือ ‘ความปรารถนา’”
“ความปรารถนา” นภธรณ์ทวนคำ
“ใช่ อยากได้มาครอบครองมากถึงแม้ว่านั่นจะไม่ใช่ของของตัว ต่อให้ต้องทำบาปโดยการไปขโมยหรือแย่งชิงจากคนอื่นมาก็จะทำ” ดุริยะพยายามอธิบาย
แต่เด็กหนุ่มซึ่งเติบโตมาโดยการเลี้ยงดูอย่างดีจนเรื่องที่ขาดแม่ยังไม่เป็นปมด้อยในชีวิตก็ยังคงไม่เข้าใจ
“เธอไม่เคยมีแฟนหรือมีความรักบ้างเลยเหรอ”
เด็กหนุ่มหน้าแดงขึ้นมาทันที “มะ... ไม่เคยเลยครับ”
ดุริยะย่นคิ้ว “ล้อเล่นหรือเปล่า ตอนอายุเท่าเธอนี่ฉันมีแฟนมาอย่างน้อยก็สามหรือสี่คนแล้วนะ ถามจริง นี่เธอขนขึ้นหรือยังเนี่ย”
“พี่ยะ!”
“หน้าแดงขนาดนี้แสดงว่ายังเวอร์จิ้นชัวร์ นี่อย่าบอกว่าแม้แต่ช่วยตัวเองยังไม่เคยน่ะ”
“พี่ยะพูดอะไรก็ไม่รู้ เรื่องแบบนั้นผมรู้หรอกน่า”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ดุริยะหัวเราะลงคอ “รู้แล้วทำเป็นหรือเปล่า”
“เป็นสิ!”
“จริงเหรอ” นัยน์ตาพราวระยับขึ้นทันที ดุริยะเลื่อนมือไปโอบรอบเอวสอบดึงเข้ามาใกล้พร้อมกับกระซิบที่ข้างหู “งั้นมาพิสูจน์หน่อยสิ”
นภธรณ์หันไปตีมือคนอายุมากกว่าดังเพี๊ยะพร้อมกับขืนตัวออกห่าง “อย่ามาหลอกผมซะให้ยาก ผมไม่ติดกับพี่ยะง่ายๆ หรอก”
“แหม เสียดายจัง ฉันก็หลงดีใจนึกว่าจะมีได้เสีย” ดุริยะอมยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะปล่อยมือก็ยังไม่วายตบมือลงบนสะโพกเบาๆ ครั้งหนึ่งเป็นการเอาคืน “วันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาดูกันใหม่ว่าเธอตีความ ‘บาป’ ของเธอไปในทางทิศไหน ฉันคาดหวังในตัวเธอนะ”
“ขอบคุณครับ”
เมื่อดุริยะเดินแยกตัวไป ตฤณก็รีบปราดเข้ามากระซิบถาม “เกิดอะไรขึ้น ทำไมนายถึงไปสนิทกับเขาง่ายจัง”
นภธรณ์เหลือบมองแผ่นหลังของคนที่เดินพ้นมุมไปแล้ว “เขาก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไรนะครับ แค่มือไวไปหน่อยกับชอบหยอดไปเรื่อย ถ้ารู้แบบนี้ผมก็คิดว่ารับมือเขาได้นะ”
“นายอย่าเพิ่งไว้ใจไป ฉายาเสือผู้หญิงไม่ใช่ว่าได้สาวแค่คนสองคนซะเมื่อไหร่” ตฤณเตือนด้วยความเป็นห่วง
“ผมอาจจะเป็นผู้ชายคนแรกของพี่เขาไง เขาเลยยังไม่ค่อยคล่อง” นภธรณ์พูดขำๆ
“ไม่ตลกนะนอฟ ฉันจะฟ้องคุณโป้”
ได้ยินชื่อพ่อ นภธรณ์ก็ค่อยสลดลงเล็กน้อย “เอาเป็นว่าผมจะระวังครับ”
“แล้ววันนี้กลับยังไง คุณโป้มารับเหรอ”
นภธรณ์ส่ายหน้า “ป๊าไม่ยอมคุยกับผมตั้งแต่เมื่อวาน”
“โห นี่แสดงว่าโกรธจริงจังนะเนี่ย นายเองก็ยอมๆ ขอโทษคุณโป้ไปเถอะ เขาก็แค่ดุเพราะเป็นห่วงนายมากไปหน่อย”
“ผมรู้ แต่ผมก็ไม่ผิดนี่นา”
“เป็นงั้นไป” ตฤณบ่นอย่างจนใจกับพ่อลูกคู่นี้ “อ้าว พูดถึงก็มาพอดีเลย สวัสดีครับคุณโป้ ทำไมวันนี้ว่างมารับลูกชายได้ครับ”
“วันนี้ไม่มีเคสน่ะ” ปรเมษฐ์พูดเรียบๆ ก่อนจะพยักหน้าเรียกให้ลูกชายเดินตามออกไปด้วยกัน
“งั้นผมกลับก่อนนะครับพี่ตฤณ พรุ่งนี้เจอกัน”
รถเคลื่อนออกตัวออกไปได้สักพักปรเมษฐ์ก็เอ่ยขึ้น “เห็นตฤณโทรมาเล่าให้ฟังว่าแกคุยกับหมอนั่นถูกคอเหรอ”
เมื่อถูกถามเรื่องงานขึ้นมา นภธรณ์ก็รู้สึกดีใจที่ป๊ายังสนใจเขาอยู่บ้างจึงรีบพูดทุกอย่างที่อยากจะเล่าให้ฟังตั้งแต่เมื่อคืน “พี่ยะออกจะใจดี เรื่องที่เขาลือกันถึงจะเป็นความจริง แต่ผมคงไม่ใช่สเปคเขาหรอกมั้ง เขาอาจจะแค่สนใจอยากทำงานกับผมจริงๆ ก็ได้” ตบท้ายเสริมไปหวังจะให้อีกฝ่ายสบายใจ
แต่ดูเหมือนปรเมษฐ์จะไม่คิดเช่นนั้น เมื่อหน้าคมนั่นยิ่งบูดบึ้งหนักกว่าเดิม “เหรอ”
“ป๊า” นภธณ์เรียกเสียงอ่อย ยังไม่รู้ตัวว่าทำอะไรให้ไม่ถูกใจ
“อยากทำอะไรก็เชิญ แต่ฉันขอเตือนแกไว้อย่างนะว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ได้มาฟรีๆ หรอก” ปรเมษฐ์ว่าก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง และครั้งนี้มันก็ยาวนานมาก บรรยากาศภายในรถเงียบเชียบจนรู้สึกอัดอัดอย่างเห็นได้ชัด
“ป๊า ผมขอถามอะไรหน่อยสิ” นภธรณ์ชวนคุยพยายามจะทำลายความเงียบนั้น “ผมหน้าเหมือนแม่หรือเปล่า”
นี่เป็นคำถามที่วนเวียนอยู่ในใจเขามาตลอดนับตั้งแต่วันที่ไปกินข้าวกับดุริยะ เขาสงสัยว่าตกลงป๊ารักเขาจริงๆ ใช่ไหม หรือแค่เลี้ยงไว้เพราะว่าเป็นลูกของแม่... เพราะเป็นตัวแทนของคนที่ป๊ารักอย่างนั้นเหรอ
แท้จริงแล้วความรักที่ให้มานั่นเป็นของเขาหรือของผู้หญิงคนนั้น
ผู้เป็นพ่อเลิกคิ้ว เป็นครั้งแรกที่ลูกชายเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามถึงเรื่องแม่ขึ้นมาก่อน “ถามทำไม”
“แค่อยากรู้”
“จะว่ายังไงดี... แกหน้าเหมือนวาอย่างกับแกะ ทั้งแววตาน้ำเสียง จะเรียกว่าเป็นวาในเวอร์ชั่นผู้ชายก็ได้ แกอยากดูรูปแม่ไหมล่ะ ฉันจะเอาให้ดู” ปรเมษฐ์ล้วงมือลงกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาโยนส่งให้
นภธรณ์นิ่งงันไปทันที ไม่คิดว่าในบ้านที่ปราศจากรูปถ่ายจะมีรูปใบหนึ่งอยู่ใกล้ตัวมาตลอด
เขาจ้องมองดูภาพถ่ายสีซีดใบเก่าของหญิงสาวคนหนึ่ง มันเป็นภาพที่เธอกำลังยืนร้องเพลงคู่กับเปียโนตัวหนึ่งอยู่บนเวทียกพื้นต่ำในร้านอาหาร ใบหน้าหวานแย้มยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกายกล้าสดใส ถึงภาพถ่ายจะไม่สามารถบันทึกเสียงได้แต่ก็เขาก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงที่กำลังร้องเพลงอย่างมีความสุข
และที่สำคัญคือ... เธอคนนั้นช่างเหมือนเขาไม่มีผิด แม้แต่วิธีการจับไมค์ที่ปลายนิ้วก้อยจะกระดกขึ้นเล็กน้อย ไม่สิ! ต้องบอกว่าเขาต่างหากที่เหมือนเธอคนนั้น
“แล้ว... แม่เกิดเดือนพฤศจิกาเหรอครับ”
“ใช่”
“เหรอครับ” เขารีบปิดกระเป๋าและส่งคืน รู้สึกว่าทนมองผู้หญิงคนนี้นานไปมากกว่านี้แม้สักหนึ่งนาทีก็ไม่ไหวแล้ว ในอกมันอึดอัดไปหมดเมื่อรู้ว่าป๊ายังพกรูปผู้หญิงคนนั้นติดตัวเสมอ โดยที่ไม่เคยคิดจะพกรูปของเขาบ้างเลย “ป๊ารักแม่มากสินะ”
ตาคมหันมามอง “ของมันแน่อยู่แล้ว ก็วาเป็นแม่ของแกนี่ ทำไมเหรอ”
“เปล่าครับ แค่พูดเฉยๆ” นภธรณ์บอกเรียบๆ ก่อนจะเสหันมองออกไปนอกรถเพื่อซ่อนความรู้สึกปวดหนึบในใจจนแทบระเบิดนี้ พยายามพูดถามไปเรื่อยๆ ไม่ให้บรรยากาศในเงียบอีกครั้ง ทั้งที่ตอนนี้ปากเริ่มสั่นนิดๆ “ถ้าป๊าได้เจอแม่อีกครั้งจะดีใจไหม”
“นั่นเป็นสิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุดในชีวิตเลยล่ะ”
ริมฝีปากบางเม้มสนิทเขาฝืนพูดต่อไปไม่ได้แล้ว ขอบตาร้อนผ่าว เด็กหนุ่มล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงเพื่อซ่อนมือที่กำเป็นหมัดแน่น ไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งโกรธและน้อยใจมากมายขนาดนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะรู้สึกอิจฉาจากการที่ได้รู้ว่าป๊ายังรักแม่มากอย่างนั้นเหรอ
แล้วทำไมป๊าถึงต้องไปคิดถึงคนที่ทิ้งไปแบบนั้นด้วยล่ะ ในวันที่ป๊าร้องไห้แทบเป็นแทบตาย ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยรับรู้และเหลียวแลอะไรเลย มีแค่เขาคนเดียวไม่ใช่เหรอที่อยู่กับป๊ามาตลอดสิบเจ็ดปี ทำไมป๊าถึงไม่สนใจเขา... คนที่อยู่กับป๊าตรงนี้ล่ะ
...แล้วทำไมเขาถึงต้องรู้สึกอิจฉาผู้หญิงคนนั้นถึงขนาดนี้ด้วยล่ะ... ทำไม...
############################
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ดุริยะตะโกน ถึงจะไม่ได้ใช้ไมค์แต่เสียงก็ดังก้องไปทั่วจนทำให้ทุกคนขวัญหนีดีฟ่อ เขากระชากเฮดโฟนที่ครอบหูออกและจ้องเขม็งไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนตัวลีบอยู่ในห้องอัด “เกิดอะไรขึ้นทำไมยิ่งร้องยิ่งห่วยแบบนี้ล่ะ!”
“ผมขอโทษครับ” นภธรณ์กล่าวเสียงอ่อยอย่างไร้คำจะโต้แย้งเพราะเขารู้ตัวดีว่าทำได้แย่ตามที่โดนดุจริงๆ วันนี้เขาไม่มีสมาธิเลย ไม่รู้ทำไมทั้งที่พยายามตั้งใจแท้ๆ แต่แค่ท่อนง่ายๆ ยังร้องให้ผิดคีย์ได้
“เสียเวลาจริงๆ จะไปไหนก็ไปเลยไป!”
“ไปไหนครับ” เด็กฝึกงานคนหนึ่งซึ่งกำลังวิ่งเอาน้ำเย็นเข้ามาเสิร์ฟถามซื่อๆ
“จะไปไหนก็เรื่องของพวกมึง! กูไม่มีอารมณ์จะทำอะไรแล้วเว้ย!” ดุริยะตวาดลั่นพร้อมกับเขวี้ยงเนื้อเพลงในมือใส่กระจกห้องอัด ทำเอาทีมงานทุกคนกระจายตัวออกห่างราวกับผึ้งแตกรัง
เด็กหนุ่มเดินคอตกออกมาจากห้องอัด มือกำเป็นหมัดแน่นพยายามฝืนไม่ให้เอื้อมลงไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาคนที่ตอนนี้อยากได้ยินเสียงมากที่สุด
เขามองไปรอบๆ หาที่เงียบๆ เพื่อจะได้อยู่กับตัวเองโดยไม่มีใครรบกวนสักพัก จะได้ตัดเรื่องที่วนเวียนอยู่ในสมองนี้ทิ้งไป... ไม่ว่ายังไงเขาก็หยุดคิดถึงคำพูดของป๊าเมื่อวานนี้ไม่ได้เลย คำที่ป๊าบอกว่ารักผู้หญิงคนนั้น... ทำไม?! ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นแม่ของเขาแท้ๆ ทำไมต้องไปอิจฉาจนต้องเก็บเอามาคิดมากแบบนี้ด้วย
ประตูตรงโถงทางเดินเปิดออกพร้อมกับที่ชายร่างสูงใหญ่ในชุดสูทก้าวพรวดพราดเข้ามา
พลันหัวใจที่เจ็บปวดของนภธรณ์ก็เต้นรัวแรงขึ้นเมื่อเห็นชัดว่าชายคนนั้นเป็นใคร แต่ก็ยังไม่กล้าเรียกออกไป เพราะตอนนี้ในใจมันสับสนไปหมด
ถามว่าอยากเจอ อยากได้กอดแน่นๆ เป็นกำลังใจไหม? คำตอบคืออยากมากที่สุด แต่ใจนึงก็กลัว... กลัวว่าทั้งหมดที่ทำให้เพราะเห็นเขาเป็นเงาของคนอื่น
เขายังคงแอบเฝ้ามองอยู่ตรงมุมห้องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นปรเมษฐ์เหลียวมองซ้ายขวาเหมือนกับกำลังหาใครสักคนอย่างร้อนรน ซ้ำแล้ว... ซ้ำเล่า...
หัวใจเต้นเร็วขึ้นอีก ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ ที่แห่งนี้คนที่ป๊าจะมาหาได้น่าจะมีแค่เขา
“ป๊า” เรียกออกไปด้วยเสียงแหบแห้งอย่างที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน
แต่มันก็ดังไปถึงและดึงให้ปรเมษฐ์หันมาสบตา เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะพยักเพยิดให้ลูกชายเดินตามออกไปด้วยกัน
ทั้งสองเดินมาขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านหลังตึก นภธรณ์นั่งอยู่ตรงเบาะข้างคนขับและยังคงไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรจึงเป็นฝ่ายปรเมษฐ์ที่เปิดประเด็นในการมาหาขึ้นมาก่อน
“ตฤณโทรมาเล่าให้ฟังว่าแกร้องเพลงไม่ได้สักทีจนโดนหมอนั่นดุอีกแล้วเหรอ”
เด็กหนุ่มย่นปาก สงสัยจริงๆ ว่าตกลงตฤณเป็นผู้จัดการของเขาหรือเป็นคนที่ป๊าส่งมาเฝ้ากันแน่ ถึงได้รายงานทุกเรื่องแบบทันเหตุการณ์ขนาดนี้ “ป๊าสนใจด้วยเหรอครับ”
“ทำไมแกพูดแบบนั้น” ปรเมษฐ์ถามเสียงดัง
นภธรณ์ไม่ตอบและหันหน้าหนีเพราะกลัวว่าถ้าพูดไปจะยิ่งทำให้ป๊าโกรธ
“นอฟ อย่าหนีสิ มีอะไร หันมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
“...”
มือใหญ่เอื้อมมาคว้าหัวไหล่ดึงให้หันมาสบตา “นอฟ! มีอะไร ไหนเล่าให้ฉันฟังสิ เราสองคนไม่เคยมีความลับกันไม่ใช่เหรอ”
นภธรณ์ยังคงปิดปากแน่นอย่างดื้อดึง
“นอฟ!”
เมื่อถูกคาดคั้นเอามากๆ นภธรณ์ก็ทนไม่ไหวหลุดปากพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปจนได้ “ป๊าทนเลี้ยงผมมาเพราะผมหน้าเหมือนแม่ใช่ไหมล่ะ! เพราะป๊ารักแม่ใช่ไหม ไม่ได้รักผม”
นัยน์ตาคมเบิกโตด้วยความประหลาดใจ “แกกำลังพูดเรื่องอะไรกัน”
“ก็เห็นๆ กันอยู่นี่ ผมเกิดเดือนตุลาแท้ๆ ป๊ายังไปตั้งชื่อว่านอฟที่มาจาก November ได้ แบบนี้แล้วจะให้ผมคิดยังไงล่ะ” เขาตัดพ้อ น้ำใสเริ่มรื้นเต็มสองตา
คิ้วเข้มมุ่นเข้าหากันอยู่อึดใจแล้วก็นึกถึงบทสนทนาเมื่อวันก่อนขึ้นมาได้ “นอฟ ฉันไม่รู้นะว่าแกไปฟังใครพูดอะไรมา แต่ถ้าแกซีเรียสกับเรื่องนั้นมากนัก แกก็อย่าลืมสิว่าฉันก็เกิดเดือนพฤศจิกาเหมือนกัน” ปรเมษฐ์พูดเสียงดัง “ไม่ใช่เพื่อระลึกถึงวา แต่เพราะฉันอยากให้ทุกคน... โดยเฉพาะแก รู้ว่าแกเป็นลูกของฉัน”
“วันเกิดป๊าเหรอ” นภธรณ์ทวนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง... ต้องงี่เง่าแค่ไหนกันถึงจะลืมวันสำคัญขนาดนั้นไปได้
“อยู่กันมาตั้งสิบเจ็ดจนจะสิบแปดปีนี่แกยังไม่รู้อีกเหรอว่าฉันรักแกมากแค่ไหน” ปรเมษฐ์ถามกลับ “ถ้าฉันคิดแค่จะเลี้ยงแกให้ดีเพียงเพราะแกเป็นลูกวา ฉันไม่เสียเวลาเลี้ยงเองหรอก ฉันยกให้ปู่ให้ย่าเลี้ยงไปตั้งนานแล้ว”
“แล้วทำไมหมู่นี้ป๊าไม่สนใจผมเลยล่ะ วันก่อนก็พาคนแปลกหน้ามาติวหนังสือที่ห้อง ไปเข้าเวรจะไม่กลับบ้านก็ไม่โทรบอก รู้ไหมว่าผมรอป๊าทั้งคืนเลยนะ”
“ก็ดัดนิสัยเด็กปากดีที่บอกว่าดูแลตัวเองได้ไง... เป็นไง ชอบไหมล่ะแบบนี้”
นภธรณ์เม้มปากแน่นพร้อมกับส่ายหน้า
“แสดงว่าที่ร้องเพลงไม่ได้สักทีนี่เพราะมัวแต่คิดอะไรไร้สาระแบบนี้อยู่สินะ” ปรเมษฐ์ว่าพร้อมยื่นมือไปจับปลายจมูกเชิดรั้นนั้นบิดไปมา “เลิกนอยด์เรื่องไม่เป็นเรื่องได้แล้ว ฉันรักแกจะตาย มาใส่ร้ายกันแบบนี้คนที่น่าน้อยใจน่ะมันควรจะเป็นฉันมากกว่านะ เด็กโง่เอ๊ย!”
“ขอโทษนะที่ไม่ฉลาดเหมือนป๊าน่ะ” นภธรณ์สะบัดจมูกที่กำลังถูกเล่นงานหนี และอึดใจต่อมาเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่เง่ามากขึ้นไปอีกเมื่อปรเมษฐ์เอื้อมมือไปหลังเบาะแล้วหยิบถุงกระดาษใบใหญ่ส่งให้
“เอ้า! นี่”
“อะไรครับ...” เด็กหนุ่มตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นสัญลักษณ์ของแบรนด์อุปกรณ์กีฬาบนถุง เขารีบดึงเอากล่องของข้างในออกมาแกะออกดูทันที “เฮ้ย! อย่าบอกนะว่า... ลายเสือด้วย! ป๊าไปเอามาจากไหน!?”
“ให้เพื่อนที่อยู่อเมริกาสั่งทำแล้วส่งแอร์เมลมาให้”
เด็กหนุ่มกอดของขวัญที่เพิ่งได้รับมาแน่น “ป๊ารู้ได้ไงว่าผมอยากได้”
“ก็อาทิตย์ก่อนแกเพิ่งมาขอเงินฉันไปซื้อไม่ใช่เหรอ แล้วก็ไม่เห็นเอามาใส่อวดสักทีก็แสดงว่าของหมดสั่งไม่ทันแน่ๆ” ปรเมษฐ์หัวเราะในลำคอพลางยกมือขึ้นขยี้ผมลูกชายเล่น “มีเรื่องอะไรของแกบ้างที่ฉันจะคลาดสายตาฉันไปได้ หืมมม”
“ขอบคุณนะป๊า” นภธรณ์กอดกล่องรองเท้าในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีก ใจจริงอยากกระโดดกอดคนให้มากกว่า แต่ถ้าทำตอนนี้ต้องโดนดีดตกรถแน่ๆ เพราะป๊าไม่ชอบให้เขาทำอะไรประเจิดประเจ้อ
“สบายใจแล้วก็ไปทำงานได้แล้วไป อย่าปล่อยให้คนอื่นรอ”
“ครับ” นภธรณ์รับคำเสียงใสแล้วรีบถอดรองเท้าคู่เก่าออกโยนไปข้างหลังก่อนจะดึงคู่ใหม่ออกจากกล่องมาสวมอย่างกระตือรือร้น
“ชักช้าจริง” ปรเมษฐ์บ่นกับท่าทางผูกเชือกรองเท้าเก้ๆ กังๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าท่อนขาขึ้นมาวางพาดบนหน้าขาของตนแล้วจัดแจงผูกให้เสียเอง
เด็กหนุ่มมองมือใหญ่ค่อยๆ ตวัดเชือกมาพันกัน ภาพเหตุการณ์เมื่อนานมาแล้วก็หลั่งไหลกลับเข้ามาในหัว
ชายหนุ่มในชุดกาวน์สั้นจูงเด็กชายตัวเล็กจ้อยมาส่งที่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาล เด็กน้อยเบะปากและกำชายเสื้อกาวน์แน่น มือเล็กสั่นเทา ขาสั้นๆ ก้าวสะดุดเหยียบเชือกรองเท้าหลุดเป็นเหตุให้หยุดเดินและรั้งมือผู้เป็นพ่อไว้
“ผะ... ผม... วันนี้ผมไม่อยากไปโรงเรียน”
คนเป็นพ่อย่อตัวลงนั่งตรงหน้าและจัดการผูกให้ “ทำไมนอฟถึงไม่อยากไปละครับ"
“ผม... ผม... ผมกลัว” เด็กชายพูดไปสะอื้นไป “ก็... ก็ป๊าจะทิ้งผมไว้คนเดียวนี่นา...”
ชายหนุ่มสะดุดกับคำพูดนั้นและเหลือบตาขึ้นมอง “ทำไมนอฟถึงคิดว่าป๊าจะทิ้งละครับ”
“มะ... เมื่อคืนป๊าร้องไห้อีกแล้ว... ป๊าคิดถึงแม่ใช่ไหม... ป๊าจะทิ้งผมไว้ที่โรงเรียนแล้วไปตามหาแม่หรือเปล่า”
ชายหนุ่มสบสายตาที่แดงก่ำ ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่ามันออกช้ำนิดๆ และนั่นไม่ได้เกิดจากการที่สะอื้นอยู่ตอนนี้ เป็นหลักฐานว่าลูกชายคงคิดมากและแอบนอนร้องไห้มาตั้งแต่เมื่อคืน เขาคว้ามือเล็กๆ ที่สั่นเทาขึ้นมากุมไว้ทั้งสองข้างพร้อมกับสบตา “นอฟครับ ฟังป๊านะครับ... ใช่ครับ ป๊าคิดถึงแม่ของนอฟ แต่ป๊าเลือกที่จะอยู่กับนอฟนะครับ”
“ป๊าจะไม่ทิ้งผมไปอีกคนใช่ไหม”
“ไม่ครับ ป๊าจะอยู่กับนอฟ” ชายหนุ่มยืนยันและละมือข้างหนึ่งขึ้นประกบข้างแก้มแล้วใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้ “เลิกร้องไห้ได้แล้วนะครับคนเก่ง ถ้านอฟอยากจะร้อง เปลี่ยนเป็นร้องเพลงให้ป๊าฟังแทนได้ไหมครับ เหมือนที่นอฟร้องให้ป๊าฟังเมื่อคืนไง”
เพราะยังเด็กมากเลยไม่รู้จักวิธีการหรือคำพูดปลอบใจ รู้แค่ป๊าเคยบอกว่าแม่ร้องเพลงเก่งและป๊าก็ชอบฟัง เขาจึงทำได้แค่นั่งจับชายเสื้อป๊าไว้แน่นและร้องเพลงไปเรื่อยๆ
“ถ้าผมร้อง ป๊าจะเลิกร้องไห้ไหม”
“ไม่ร้องแล้วครับ”
เด็กชายเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นแล้วยกนิ้วก้อยเล็กๆ ขึ้นตรงหน้า “สัญญานะ”
ตาคมจับจ้องอยู่ที่ปลายนิ้วอึดใจ ชายหนุ่มไม่ได้ยกมือขึ้นเกี่ยวก้อยตอบ แต่ใช้วิธีแตะริมฝีปากลงบนปลายนิ้วนั้นเบาๆ “ฉันจะรออยู่ข้างนอกนะ เสร็จแล้วเราค่อยไปกินข้าวกัน” ผู้ชายคนเดิมที่ตอนนี้กลายเป็นหนุ่มใหญ่กระซิบพร้อมกับดึงโบรองเท้าให้แน่น
เวลานี้ที่แน่นไม่ใช่แค่เชือก แต่เป็นสายสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง
ในวันนั้นทั้งที่ปากบอกว่าจะรีบไป แต่ก็เกาะขอบรั้วชะเง้อคอดูจนกระทั่งประตูโรงเรียนปิด นักเรียนเคารพธงชาติเสร็จเดินเข้าห้องหมดก็ยังเดินวนด้อมๆ มองๆ ด้วยความเป็นห่วงจนยามต้องมาไล่ให้ไป วันนี้ก็เหมือนกัน ทั้งที่ทะเลาะกันบ้านแทบแตก และงานก็ล้นมือแต่ป๊าก็รีบมาหาเพียงแค่พี่ตฤณโทรไปบอกว่าเขาร้องเพลงไม่ได้
ทำไมเขาถึงไปฟังคำพูดคนอื่นในเมื่อตัวเองรู้ดีอยู่เต็มอกว่าป๊ารักเขามากแค่ไหน รักที่เขาเป็นเขาโดยไม่ต้องเอาไปเปรียบเทียบกับใครๆ
เขาจะมาน้อยใจทำไมกับการที่ป๊าไปสอนหนังสือคนอื่นแค่ไม่กี่ชั่วโมงในเมื่อป๊าคอยจ้ำจี้จำไชเขามาทั้งชีวิต ทำไมเขาจะต้องไปอิจฉาผู้หญิงที่ตอนนี้หายไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ในเมื่อป๊าเลือกที่จะอยู่กับเขา
“ฉันรอฟังเพลงใหม่ของแกอยู่นะ”
ทันทีที่ริมฝีปากลากรอยยิ้มขึ้นไปจนถึงนัยน์ตาของคนตรงหน้า หัวใจก็ได้คำตอบที่เฝ้าถามกับตัวเองอยู่หลายวันอย่างชัดเจน
นภธรณ์ชะโงกหน้าไปหอมแก้มที่เอียงรออยู่แล้วครั้งหนึ่งก่อนจะกระโดดลงจากรถและวิ่งกลับเข้าไปในอาคาร
################
“ขอโทษที่ให้รอนะครับ ตอนนี้ผมพร้อมแล้ว”
ดุริยะที่ตอนนี้สูบบุหรี่แก้เครียดหมดไปแล้วสองมวนในเวลาไม่ถึงสิบนาทีกวาดตามองเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้ามุ่งมั่น เขาขยี้ก้นกรองที่เหลือทิ้งและเดินเข้าไปในห้องอัดแล้วคว้าเฮดโฟนมาสวม
“เริ่มได้”
เมื่อทำนองเพลงเริ่มบรรเลง ริมฝีปากก็ค่อยขยับปลดปล่อยเสียงร้องซึ่งเป็นดังความรู้สึกที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ และเป็น ‘บาป’ ของความต้องการยื้อแย่งคนที่ตนรักมาจากใครอีกคน
เขาไม่ได้ชอบร้องเพลงเพราะตัวเองร้องเพลงเพราะ แต่เขาร้องเพราะว่าป๊าชอบฟัง และจะร้องต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นนักร้องแล้วก็ตาม
ส่วนเหตุผลที่มาเป็นนักร้องเพื่อตามหาแม่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องโกหกซะทีเดียว เขาอยากจะตามหาผู้หญิงคนนั้นให้เจอเร็วๆ และจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะเจอ
ถ้าวันนั้นมาถึง ทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า เขาจะมอบรอยยิ้มที่สวยงามที่สุดให้เธอ และบอกเธอว่าอย่ากลับมาในชีวิตของเขากับป๊าอีก สิบเจ็ดปีที่ไม่มีคุณเราสบายดี และเขานี่แหละจะเป็นคนทำให้ป๊ามีความสุขเอง มีความสุขยิ่งกว่าตอนที่ได้อยู่กับคุณ และเป็นคนที่มีความสุขมากกว่าใครๆ คุณต่างหากที่ควรจะต้องเป็นฝ่ายอิจฉาผม และเสียใจที่วันนั้นเลือกจะเดินจากเราไป
เด็กหนุ่มเหลือบตามองผ่านกระจก ไปยังใครคนหนึ่งที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก แล้วริมฝีปากก็คลี่ยิ้มกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ
“มีอะไรหรือครับ” ตฤณถามเมื่อสังเกตเห็นคนที่นั่งหน้ามุ่ยมาทั้งวันเคาะนิ้วเบาๆ ไปบนโต๊ะตามจังหวะเพลงเป็นสัญญาณที่ดีว่าเขากำลังพึงพอใจเป็นอย่างมาก
“ดูเหมือนเด็กคนนี้จะค้นพบแล้วน่ะสิ ว่าอะไรคือบาปของตัวเอง”
โปรดิวเซอร์ผู้คร่ำหวอดในวงการมายายกมือขึ้นจับคาง ริมฝีปากกระตุกมุมขึ้นเล็กน้อย นึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ไม่ใช่แค่ภูมิใจที่เป็นอีกครั้งที่มองคนไม่พลาด แต่เขากำลังมั่นใจว่ามองเห็น ‘บาป’ ที่ไม่มีใครมองเห็นแม้แต่เจ้าตัว
ความลับในใจที่พยายามปกปิดไว้โดยไม่ให้ใครรู้ แต่ก็แสดงออกชัดเจนเสียเหลือเกิน เหมือนดั่งเสียงหลบในเพลง ที่แม้จะได้ชื่อว่าเป็นเสียงที่หลบซ่อน แต่เมื่อได้มาอยู่ในท่วงทำนองแล้วกลับทำให้เพลงนั้นมีความเด่นชัดในอารมณ์มากขึ้นไปอีก
“เป็นไงบ้างครับ” นภธรณ์ถามหวั่นๆ ถึงจะค่อนข้างมั่นใจว่ารอบนี้ตนเองทำได้ดีมาก
ใบหน้าของโปรดิวเซอร์ดังเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด จนกระทั่งมือใหญ่คว้าไมค์ขึ้นมาและเอ่ยเสียงเครียด “ก็ยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่หรอกนะ แต่ก็... ผ่าน”
“Yes!” นภธรณ์ชูหมัดขึ้นในอากาศพร้อมกับกระโดดตัวลอย ทั้งตฤณและทีมงานคนอื่นๆ พากันเข้ามากอดและจับมือแสดงความยินดีกับเขา
ทว่า สิ่งที่ทำให้หัวใจเต็มตื้นมากที่สุดกลับกลายเป็นรอยยิ้มกว้างที่ฉาบอยู่บนริมฝีปากของคนที่ยืนดูอยู่ด้านนอกพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ครั้งหนึ่ง
ถึงแม้ตอนนี้จะรู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองปรารถนามากที่สุด แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่เข้าใจสักนิดถึงความหมายของเสียงหัวใจเต้นรัวที่ราวกับกำลังพยายามจะส่งสัญญาณเตือนอะไรบางอย่าง
*******************TBC**************************
เราจะอัพนิยายทุกวัน ศุกร์ เสาร์ หรืออาอาทิตย์นะคะ ถ้าสัปดาห์ไหนไม่ทันจริงๆ จะมาแจ้งล่วงหน้าค่ะ
ฝากผลงานเรื่องเก่าด้วยค่ะ ^^
ER นาทีหัวใจ Text Book