ร้าย...จนรัก chapter 17
ช่างอิ่น part
หลังจากที่ผมจัดการธุระเสร็จ ก็กินเวลาจนเข้าสู่วันใหม่ ผมเลยตัดสินใจโทรไปถามอาการคนป่วยที่คงกำลังนอนซมอยู่ที่คอนโด
(ว่าไง)ไอ้วินรับโทรศัพท์เสียงดูเพลียๆอย่างบอกไม่ถูก
“อยู่ไหน”ไม่ใช่ว่ามันหิ้วหญิงไปกกแล้วไม่ไปดูน่านที่คอนโดหรอกนะ
(คอนโดเด็กมึงไง ไอ้สัส ง่วงฉิบหาย)มีไม่กี่คนหรอกครับที่จะมีใครกล้าพูดจากับผมแบบนี้ ถ้าไม่สนิทกันจริงๆ ผมคงสั่งคนไปซ้อมมันแล้ว
“ทำไมอยู่นาน”จากตั้งแต่ที่ผมโทรให้มันไปดูน่านที่คอนโด ก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว
(กูมาถึงก็ไม่มีใครมาเปิดประตู เลยเอากุญแจสำรองจากรีเซฟชั่นพอเข้ามาห้องนอนก็เห็นเด็กมึงนอนหลับอยู่ทำไงก็ไม่ยอมตื่น กูดันไปเห็นซองยานอนหลับที่หัวเตียงกูก็ตกใจ กลัวแม่งโอเวอร์โดส จะเอาไป รพ.ก็เห็นสภาพเด็กมึงมีแต่รอยกัดจมเขี้ยวทั้งตัวเอาไปพยาบาลได้นินทากูทั้งโรงพยาบาลแน่ จะจับล้างท้องอุปกรก็ไม่มี สุดท้ายก็ต้องโทรหาคลินิกที่จ่ายยา โชคดีที่หมอเจ้าของไข้เขาเข้าเวรอยู่ เลยรู้ว่าแดกทั้งซองที่เขาจ่ายยามาก็ไม่โอเวอร์โดสแน่นอน แต่กูก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่ากินมากแค่ไหน เลยต้องอยู่รอฟังจังหวะหัวใจ กับการหายใจเนี่ย)ไอ้วิน อธิบายยืดยาว ยอมรับว่าแรกๆที่ผมฟังมันอธิบาย ผมก็ตกใจเหมือนกัน แต่พอฟังจบก็เบาใจ แต่ก็แอบแปลกใจที่มันมียานอนหลับอยู่ด้วย
“อืม”
(อะไร อืม แค่เนี๊ย นี่กูลงทุนขับรถมาคอนโดมึงทั้งๆที่มีสาวรอให้กูฟันเป็น10 แล้วกูก็ยังลงทุนขับรถไปรับหมอที่เข้าจ่ายยามาที่นี่อีก มึงพูดแค่ อืม)ผมได้แต่กรอกตาไปมา เพราะเบื่อเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องของมัน
“นี่มึงพา หมอคนนั้นมาที่คอนโดกู?”ถ้าผมไม่อนุญาตเอง ก็ไม่อยากให้ใครเข้ามาวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัว เรื่องนี้ไอ้วินก็น่าจะรู้ แล้วระดับมัน จำเป็นต้องพึ่งหมอคนอื่นด้วย?
(พูดเรื่องนี้ก็ดี ตอนกูโทรไปถามเขาเรื่องยานอนหลับที่เขาจ่ายให้เด็กมึง เขาก็เทศกูยกใหญ่ เพราะคิดว่ากูเป็นคนกระทำชำเราคนไข้เขา ทำไงก็ไม่ยอมจนสุดท้ายกูเลยต้องรับมาให้ถามเด็กมึงเอง นี่ก็เดินตรวจอาการเด็กมึงทั้งคืน เพิ่งหลับเมื่อกี้)
“แล้วนอนที่ไหน คอนโดนั้นมีห้องเดียว อย่าบอกนะว่ามึงนอนพื้นแล้วให้หมอคนนั้นนอนโซฟา”เห็นแบบนี้แต่ต่อหน้าคนวงการเดียวกับมัน มันจะเป็นประหนึ่งสุภาพบุรุษลงมาจุติเลย ยอมเสียสละตัวเองทุกอย่าง เป็นการสร้างภาพที่โคตรลงทุน
(ไม่ใช่ กูให้เขานอนเตียงเดียวกันกับเด็กมึง)
“ห๊ะ!”ผมกำลังกินน้ำอยู่ก็แทบสำลักเมื่อได้ยิน
(5555555 ไอ้สัส เสียงโคตรตกใจ มึงไม่ต้องห่วงว่าหมอคนนี้จะปล้ำเด็กมึงหรอก มึงควรห่วงหมอดีกว่าว่าจะถูกปล้ำไหม)
“เด็กกูไม่มีทางลุกไปปล้ำไอ้หมอนั่นหรอก”ผมรีบพูดแก้ต่างให้
(เปล่า กูไม่ได้หมายความว่าเด็กมึงจะลุกไปปล้ำเขา แต่หมายถึงกูต่างหาก คนอะไรโคตรน่ารักเลย ตัวขาวแก้มแดงปากก็เล็กนิดเดียว ตอนกูไปรับถ้าไม่เห็นเสื้อกาวที่เขาใส่นี่กูนึกว่าเด็กม.ต้น หน้าอย่างเด็กไอ้สัส)เสียงแม่งโคตรหื่น
“แล้วสรุป อาการเป็นไง”ฟังมายืดยาว แต่ก็ไม่ค่อยเกี่ยวกับคนที่ผมให้ไปดูแลเท่าไหร่
(ก็ไม่มีอะไรแล้ว ปกติดี แค่นอนหลับและอาจจะตื่นช้ากว่าปกติ แต่ดูอาการมาหลายชั่วโมงแล้วก็ค่อนข้างจะปกติ ยกเว้นแผลตามตัว)มันเน้นประโยคสุดท้ายจงใจพูดกระทบผม
“มึงกลับเลยก็ได้ พาหมอคนนั้นกลับไปด้วยเลย เดี๋ยวกูจะไปดูต่อเอง”
(หมดประโยชน์ก็ไล่เลยนะไอ้สัส แล้วฉิงฉิง กับจงชิงล่ะ มึงจะมาได้? ให้กูเอาไปส่งให้ไหม มีคนช่วยแบกพอดี)ข้อเสนอนี้ค่อนข้างเข้าท่า
“ก็ดี มาเลย”พูดจบผมก็วางสายไป
ถึงขาดกินยานอนหลับ โกรธมากขนาดนั้นเลยหรือไง แบบนี้คงจะปล่อยให้อยู่ห่างหูห่างตาไม่ได้ ที่ผ่านมาผมคิดว่ามันค่อนข้างเข้มแข็ง เพราะไม่ว่าผมจะทำร้ายเท่าไหร่มันก็นิ่งและกลับไปใช้ชีวิตตามปกติของมันได้ แต่หลังๆมาเหมือนมีบรรยากาศบางอย่างรอบๆตัวของมัน ทำให้อะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่มัน แต่ตัวผมเองก็เริ่มไม่ปกติเหมือนกัน กับแค่โดนโกหกผมก็ไม่น่าจะโกรธขนาดนั้น เรื่องแค่นี้ผมน่าจะควรควบคุมตัวเองได้ แต่พอทุกเรื่องที่เกี่ยวกับมัน ผมเหมือนเสียความเยือกเย็น เสียความสุขุมจนไม่ต่างอะไรกับเด็กเล็กๆที่ไม่ชอบอะไรก็ลงมือทำลายโดยไม่สนเหตุผลอะไร
ไม่ชอบเลย ไม่ชอบที่ตัวเองกลายเป็นคนแบบนี้
ไม่นานหลังจากนั้น ไอ้วินก็พาน่านมาส่งให้ที่บ้านโดยมีหมอตัวเล็กแนบมาด้วย ก็หน้าเด็กจริงๆนั้นแหละ ผมเองยังอดแปลกใจไม่ได้
“คุณเป็นคนทำใช่ไหม”พอไอ้วินเข้าไปในบ้านหมอตัวเล็กก็ลงมายืนจ้องหน้าผมอย่างโกรธเคืองอย่างไม่เกรงกลัวบอดี้การ์ดข้างหลังตัวเองเลย
“............”ผมไม่ได้ตอบคำถาม แต่ยืนกอดอกเพ่งมองหมอคนนั้น ที่กำลังทำท่าขู่ฟ่อๆไม่ต่างอะไรกับลูกแมว
“ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร ใหญ่มาจากไหน แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณไม่มีสิทธิ์ทำกับเขาแบบนั้น คุณอาจจะไม่รู้ว่าคนที่ถูกกระทำจะรู้สึกยังไง เขาต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน คุณควรเลิกทำกับเขาแบบนั้น”ถึงจะดูโกรธมาก แต่น้ำเสียงที่พูดบอกกลับเยือกเย็นดูสมกับคนเป็นหมอ
“แล้วฉันควรทำไง”ผมถามกลับ ไม่ได้เดือดอะไรกับคำพูดเมื่อกี้
“คุณควรปล่อยเขาไป ถ้าคุณรู้สึกผิดจริงๆ”หมอคนนี้ดูห่วงใยน่านมากจนน่าแปลกใจ แต่ถึงแบบนั้นผมกลับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจากแววตาที่กำลังจ้องมองผม
“เรื่องนั้นคงไม่ได้”ผมตอบกลับไปแทบจะทันที
“ถ้าแบบนั้น คุณคงต้องใช้ทั้งชีวิตเพื่อรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด”แววตาของเขาเปลี่ยนไป มันดูเยือกเย็นและจริงจัง จนบรรยากาศที่เป็นเพียงการพูดคุย เริ่มเปลี่ยนไป และผมเข้าใจในสิ่งที่เขาสื่อ
“ข้อเสนอนี้น่าสนใจ”ผมตอบกลับ หมอคนนั้นมีสีหน้าคายความกังวลลงนิดหน่อย แค่ไม่กี่นาทีที่พูดคุยกันผมก็รู้เลยว่า คนๆนี้น่าสนใจ แต่ผมกลับไม่ค่อยชอบใจ ก็นะกับคนที่นิสัยคล้ายๆกันไม่ถูกกันคงไม่แปลก ตอนนี้ผมแค่อยากรู้ ว่ามีอะไรซ้อนอยู่ภายใต้ใบหน้าอ่อนเยาว์นี้กันแน่
“เฮ้ๆๆ อะไรกันครับ บรรยากาศมาคุสุดๆนี่ “ไอ้วินเดินกลับออกมา ทำให้ทั้งผมและเขาเลิกเล่นสงคามประสาทใส่กัน
“ไม่มีอะไร”หมอคนนั้นพูดแล้วรีบเดินกลับไปขึ้นรถ ปิดประตูอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจใคร
“...........”ผมได้แต่ยืนนิ่งๆไม่ได้ตอบอะไร
“อะไรกันว่ะ “
“ไม่มีอะไร มึงก็กลับไปได้แล้ว”ผมบอกปัดๆ
“ครับๆ ก็ไม่มีประโยชน์แล้วนี่ เดี๋ยวบิลค่าบริการจะส่งตามมานะครับ ไอ้คุณช่างอิ่น”มันบอกท่าทางกวนๆ
“เออ”อายุก็ปูนนี้ แต่มันทำท่าทางแบบนี้ใส่ มันน่าขนลุกจริงๆ
“กูจะไปส่งหมอคนสวยถึงเตียง กูไม่รับโทรศัพท์นะ”มันทิ้งท้ายด้วยการยักคิ้วสองที แล้วเดินไปขึ้นรถ แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
อย่าว่าแต่ส่งถึงเตียงเลย แค่บ้านเขามันก็คงไม่ได้เข้าหรอก แต่ผมรู้สึกว่าผมคงจะต้องเจอหมอคนนั้นบ่อยๆแน่นอน
Endช่างอิ่น
ปวดหัวจัง
ผมรู้สึกตัวอีกครั้งเพราะแสงสีส้มแสบตาลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา รู้สึกปวดหัวปวดตัวไปหมดมันเหมือนกับคุณนอนกลางวันแล้วนอนเยอะเกินไป แตกต่างก็แค่ ผมนอนมาตั้งแต่เมื่อคืน จนตอนนี้ที่ดูท่าคงจะเย็นแล้ว
“เฮ้ย!”พอจะพยุงตัวลุกขึ้นผมก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นเด็ก2คนนอนทับผมอยู่
“อืมมม”เสียงครางอือเล็ดลอดออกมจากเด็กคนไหนสักคน ผมได้แต่ตัวแข็งทื่อเพราะทำอะไรไม่ถูก มองสำรวจรอบๆก็เจอกับทุกอย่างที่ไม่คุ้นตาแค่เตียงก็คนละไซส์กันแล้ว
“เฮ้ย!”สะดุ้งอีกครั้ง กำลังคิดอะไรเพลินๆหันมาอีกทีก็เห็นเด็กผู้หญิงที่หน้าตาน่ารักสุดๆนั่งจ้องหน้าผมอยู่ สวยอย่างกับหลุดออกมาจากภาพวาด ดวงตากลมโตสีดำสนิท จมูกเล็กแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากเป็นกระจับเล็กๆนั้นอีก ไม่อยากคิดเลยว่าโตไปจะสวยขนาดไหน มีน้องแบบนี้ผมจะไม่ให้ออกนอกบ้านเลย
“จงชิง จงชิง”เสียงเล็กๆเอ่ยไม่ดังมากนัก พร้อมๆกับ เขย่าตัวอีกคนที่ยังคงนอนหลับสนิทเรียกอยู่หลายครั้งกว่าที่เด็กอีกคนจะยอมลืมตาตื่นขึ้นมา
“@##$%&*()_)(*&^%$#@”พอเด็กคนนั้นตื่นขึ้นมาเด็กผู้หญิงผมยาวก็พูดภาษาจีน(ผมคาดว่าแบบนั้น)ใส่ยาวเหยียด จนเด็กผมสั้นเริ่มแบะปากและเริ่มร้องไห้ออกมา ก่อนจะโผล่เข้ามาซอบอกผม
ในระหว่างที่ผมกำลังลนลานว่าจะทำยังไงกับทั้งเสียงต่อว่าของเด็กผมยาวกับเสียงร้องไห้ของเด็กผมสั้นที่ดังผสานกันลั่นห้องจนแสบแก้วหูอยู่นั้น คนที่ผมคิดว่าไม่อยากเจอหน้าตอนนี้ที่สุดก็เดินเข้ามาที่ห้องด้วยท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร
ไอ้แก่มองหน้าผม แต่ผมเซหลบ ตอนนี้ผมยังไม่อยากเห็นหน้ามันและก็ไม่อยากให้มันเห็นหน้าผมด้วย ผมเลยเปลี่ยนมาอุ้มเด็กผมสั้นที่ยังคงร้องไห้อย่างหนักขึ้นมากอด จริงๆผมก็ไม่ได้เป็นพวกรักเด็กอะไรหรอกนะครับ ผมมันลูกคนเดียวไม่เคยมีน้องหรือหลานอะไรพวกนั้นเลน แถมบ้านที่น่านก็ไม่มีเด็กสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่รุ่นๆเดียวกับผม ผมเลยไม่ค่อยชินกับการต้องมาใกล้ชิดกับเด็กเท่าไหร่ แต่สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ ผมก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกอดปลอบเด็กตรงหน้านี้
ผมไม่ได้มองว่าไอ้แกมันกำลังทำอะไร ได้ยินแต่เสียงภาษาจีนที่พ่นออกาจากปากมัน จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้ยินมันพูดภาษาจีน น้ำเสียงมันดูพิลึกอย่างบอกไม่ถูก
“แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!”ผมเงยหน้าแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงร้องไห้ดังลั่นของเล็กผู้หญิงผมยาวคนนั้น โดยมีไอ้แก่ยืนกอดอกมองแบบไม่ทุกข์ร้อนอะไร
“อุ๊ก!”ผมแทบจะหงายหลังเมื่อเด็กผู้หญิงคนนั้นวิ่งเข้าใส่ผมเต็มแรง แล้วที่นี้แหละของจริง เสียงร้องไห้ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งห้อง เด็กทั้งสองคนอยู่ในอ้อมกอดของผม อยากจะปลอบ แต่คิดว่าผมพูดไปเด็กสองคนก็คงไม่เข้าใจ เลยทำได้แค่ลูบหลังทั้งสองคนไปมา เพื่อหวังให้ทั้งคู่หยุดร้อง
จนเวลาผ่านไป5นาทีตอนนี้ไม่มีเสียงร้องแล้ว มีเพียงแค่เสียงสะอื้นเบาๆจากทั้งสองคนในอ้อมแขนของผม
“หิ้วน้ำ”เด็กผมสั้นพูดเป็นภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่ดีราวกับเจ้าของภาษามาพูดเอง บอกพร้อมกับมือเล็กที่ปาดน้ำตาบนหน้าตัวเอง ปากบางคว่ำลง บ่งบอกว่าอารมณ์ตอนนี้ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่
“เดี่ยวให้คนเอามาให้”ไอ้แก่พูดขึ้นก่อนจะเดินออกไปนอกห้องหลังจากยืนกอดอกมองเด็กทั้งสองคนร้องไห้อยู่นานสองนาน
“ฉิงฉิง”เด็กผมสั้นเรียกเด็กผมยาวด้วยน้ำเสียงเบาหวิว พร้อมกับยื่นมือไปจับแขนเล็กๆของเด็กผมยาวแต่ก็ถูกสะบัดออกแทบจะทันที ยิ่งทำให้บากบางๆนั้นคว่ำลงยิ่งกว่าเดิม
“ชู่~~~~~~ ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง”ผมพูดกับเด็กคนนั้นด้วยภาษาอังกฤษ ก็ถ้าพูดสำเนียงแป๊ะขนาดนั้นก็คงต้องฟังผมรู้เรื่องบ้างแหละ
ยังไม่ทันที่เด็กผมสั้นจะได้ร้องไห้อีกรอบ ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีดำผมกล้าขึ้นอย่างเรียบร้อย ถือถาดน้ำส้มเข้ามา
“ให้วางตรงไหนดีค่ะ”เธอถามอย่างลำบากใจ ตอนนี้ผมนั่งอยู่บนเตียงครึ่งตัวฝั่งซ้ายมีเด็กผู้หญิงที่วัยน่าจะไม่เกิน5ขวบกอดผมแทบทั้งตัว และอีกครึ่งก็มีเด็กผมสั้นวัยเดียวกันกำลังนอนซบอยู่
“ส่งมานี่เลยก็ได้ครับ”ผมยื่นมือไปรับแก้วน้ำส้มทรงสูง1แก้วมาที่เหลือแม่บ้านเขาก็เอามาวางที่โต๊ะข้างหัวเตียงให้
ผมเลยดันตัวเด็กผมสั้นขึ้นแล้วป้อนน้ำส้มให้ คือถ้าให้ถือเองคงหกแน่นอน กินไปเกือบครึ่งแก้วก็เหมือนจะอิ่ม ผมเลยหยุดป้อน หลังจากได้กินน้ำแล้วก็ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมาทันที ลุกออกจากตัวผมไปนอนกลิ้งเล่นไปมาอยู่บนเตียง
“กินน้ำมา”ผมบอกอีกคนที่ยังคงซบอกผม ดันตัวให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะป้อนน้ำส้มให้กินบ้าง ผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมดจนอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบจัดทรงให้
“อิ่ม”ผมต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อเด็กผมยาวพูดภาษาไทยออกมา ถึงจะไม่ค่อยชัดก็เถอะ นี่ก็เท่ากับว่าพูดได้3ภาษาเลยนะครับ ตัวเล็กแค่นี้เองเลี้ยงกันยังไง ถ้าผมมีลูกลูกผมจะเก่งแบบนี้บ้างไหมนะ
TBC.
ขอโทษหายไปนานเลย ตอนเเรกคิดว่าถ้าสอบเสร็จทุกอย่างคงโอเค
แต่ไม่เรียนสอบเสร็จแต่งานยังไม่เสร็จแก้เเล้วแก้อีก จนตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จ
อาจจะต้องรอกันไปอีก ถ้ามีเวลาก็จะรีบเอามาลงให้อ่าน
ส่วนคำผิดที่บอกว่าจะเเก้ตอนก่อนหน้าที่ลงก็แก้ได้เเค่2ตอนเอง แต่เดี๋ยวแก้ไปลงไปเเล้วกัน
ไม่มีเวลาเลย ยังไงก็ขอโทษอีกที แต่คงต้องรอไปอีกสักพักระบุวันไม่ได้ เพราะงานยังไม่เสร็จหลายอย่าง
แต่ถ้ามีเวลาจะรีบปั่นมาลงให้เลยขอบคุณทุกการติดตาม I'am so sory จริงๆ