My wife is bigboss by Katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My wife is bigboss by Katesnk  (อ่าน 252416 ครั้ง)

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
งานนี้เคนไม่รอดจากเคลวินแน่ๆ  :laugh: ดักได้ทุกทางเลย  o13

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ minchy

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +173/-0
บทที่ 57

-------------------------


“ขอโทษครับ”

ผมท่องคำพูดของเคน ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบด้วยความปลื้มใจ มือก็กอดตัวเองโดยสมมุติว่าผมกำลังอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นของสามีสุดที่รัก

ตอนที่ผมลุกออกจากโต๊ะ ผมน้อยใจสุดๆ ที่เคนทำท่าเหมือนไม่สนใจความรู้สึกของผม จริงอยู่การที่เขาห่วงกลัวว่าคนจะนินทาว่าร้ายผม

มันเป็นความห่วงใยของเขาที่มีให้ แต่ในเมื่อผมบอกว่าผมไม่แคร์คำพูดของคนที่ไม่หวังดี แล้วเขาจะมานั่งห่วงอยู่ทำไม

ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ใครจะทำร้ายผม แต่มันอยู่ที่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องทำร้ายกันหรือเปล่ามากกว่า

คำนินทาว่าร้าย มีอยู่ในทุกๆวงการ และมันมีทุกเรื่อง ไม่จำเพาะเจาะจงว่าจะเป็นการชอบกันฉันท์คนรัก ถ้าคนเรามีอคติกับคนอื่น ก็หาข้อมาวิพากษ์วิจารณ์ด่าทอกันได้สนุกปาก

ตั้งแต่เรื่องหน้าตา ความรู้ความสามารถ นิสัยใจคอ ความรวยจน ความชอบ หรือไม่ชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ล้วนแล้วแต่เอามาเป็นประเด็นโจมตีได้หมด

ที่ผมไม่ใส่ใจ ไม่ใช่ว่าผมไม่ห่วงตัวเอง หรือไม่ห่วงคนรอบข้าง ที่จริงผมรักตัวเองมากพอที่จะไม่ใส่ใจคำพูดไร้สาระของคนอื่นต่างหาก และผมไม่ยอมให้คำพูดของใครมาหยุดยั้งสิ่งที่ผมอยากจะทำ

ผมเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อว่าผมไม่ได้ทำเรื่องเลวร้าย เรื่องของความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่มีใครรู้ดีกว่าพวกเรา ว่ามีความทุกข์หรือสุขมากมายเพียงไร

ผมค่อนข้างเชื่อว่าคนที่รักผมจริง ย่อมเข้าใจในตัวผม และคงไม่ขัดขวางความรักของผมกับเคนอย่างแน่นอน ส่วนใครที่ไม่เข้าใจ ก็ปล่อยเขาไป ผมคงไปห้ามความคิดของเขาไม่ได้

ตอนที่เคนมากอดผม และเอ่ยคำว่าขอโทษ ผมรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก อ้อมกอดของเขาอบอุ่นยิ่งนัก แม้ว่าตอนที่กอดกันเราจะไม่ได้พูดอะไรกันเลยก็ตาม

แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าเคนแคร์ความรู้สึกของผมเช่นกัน

หลังจากกอดกันสักพัก เราสองคนก็เริ่มคุยกันดีๆ เคนบอกกับผมว่า เขาไม่ได้รังเกียจผมเลย เขาแค่รู้สึกตกใจที่ผมบอกเรื่องระหว่างเราให้คนอื่นรู้หมด เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร เพราะเขาเป็นแค่ลูกจ้าง

แต่ตอนนี้กลับมีความสัมพันธ์กับเจ้านาย คนในครอบครัวของผม จะรู้สึกอย่างไร จะดุว่าผมไหมที่มายุ่งเกี่ยวกับผู้ชายที่เป็นลูกน้องของตัวเอง ญาติพี่น้องของผมอาจจะไม่ชอบเขา

และคิดว่าเขากำลังหาทางลัดเพื่อไต่เต้าไปสู่ความสำเร็จโดยใช้ผมเป็นเครื่องมือก็ได้ เขาไม่กลัวว่าใครจะนินทาเขา แต่เขากลัวผมเสียหาย

ผมเข้าใจความรู้สึกของเคนดี เขาไม่ได้รักผมตั้งแต่แรก แล้วการที่เขามีอะไรกับผม ก็มาจากความเจ้าเล่ห์มารยาของผม ทำให้เขาต้องตกกระไดพลอยโจน มีสัมพันธ์กับผมเรื่อยมา

เขายังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง ว่าคิดกับผมอย่างไร และเขาก็ยังรับไม่ได้เรื่องที่จะมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่ในขณะที่ผมเปิดเผยหมดทุกอย่าง รวมถึงบอกครอบครัวของตัวเองด้วย

เคนก็คงเหมือนถูกมัดมือชก โดนผมผูกมัดทางอ้อม ทำให้เขาดิ้นหนีไปไหนไม่ได้ การที่คนในครอบครัวผมรู้ ก็ยิ่งทำให้เขาปฏิเสธผมได้ลำบาก

ตอนนี้เขาอาจจะเริ่มมีใจให้ผมบ้างแล้ว จากการที่เขาแคร์ความรู้สึกของผม และพร้อมจะเคียงข้างผมเพื่อเผชิญหน้ากับปัญหา

สำหรับเคนอาจจะต้องใช้เวลาสำหรับการเรียนรู้หัวใจตัวเอง ดังนั้นหากผูกมัดเขาเร็วเกินไป เขาอาจจะตกใจ และต่อต้านก็ได้

ที่จริงผมก็ไม่ได้มีเจตนาจะผูกมัดเขา หากเคน ไม่ได้รักผมจริงๆ ผมก็คงต้องคืนอิสรภาพให้เคน การที่ผมบอกให้คนใกล้ชิดผมได้รู้ เป็นเพราะผมภูมิใจในตัวเขา จนอดไม่ได้ที่จะอวดใครต่อใคร ว่าผมมีคนที่ผมรักและหวังจะแต่งงานด้วย

และคนๆนั้น ก็ดีเพียงพอที่ผมจะพามาให้ครอบครัวรู้จัก ผมอยากให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนของเคน ได้รับรู้ว่าเขามีดีที่ตรงไหน

ทำไมผมถึงต้องการเลือกเขาเป็นคู่ชีวิต และทำไมผมไม่ลังเลที่จะเปิดเผยเรื่องระหว่างเรา ผมภูมิใจในตัวเขา จนอยากจะให้ทุกคนได้มาร่วมชื่นชมในตัวเขาด้วย

สิ่งที่ทำให้ผมปลื้มใจเกี่ยวกับตัวเขาอีกอย่างคือ การที่เขาห่วงผม เขากลัวว่าผมจะเสื่อมเสียชื่อเสียง กลัวว่าคนจะดูถูกเกลียดชังผม กลัวว่าผมจะถูกคนนินทา

เขาห่วงผมมากกว่าห่วงตัวเอง ที่เขาตกอกตกใจส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เขากลัวว่าคนที่ล่วงรู้จะเอาไปพูดกันปากต่อปากแล้วทำให้ผมได้รับความเสียหาย

การที่เขาคิดถึงผมก่อนตัวเขาเองเป็นสิ่งที่ผมประทับใจมาก ทำให้ผมยิ่งรักและอยากใช้ชีวิตอยู่กับเขามากยิ่งขึ้น

เราใช้เวลาปรับความเข้าใจกันหลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมกล่าวขอโทษเขาที่ถือวิสาสะเล่าเรื่องของเราให้ใครต่อใครฟัง โดยไม่ปรึกษาเขาสักนิด พร้อมอธิบายถึงเหตุผลให้เขาฟัง และสัญญาว่าจะไม่พูดกับใครอีก

เพราะผมเองก็ไม่อยากให้เขาเดือดร้อนเช่นกัน ผมบอกกับเขาเรื่องแม่และพี่ที่อาจจะมาที่บริษัทในวันใดวันหนึ่งเพื่อดูหน้าเขา

ขอให้เขาอย่าตื่นตระหนกและวิตกกังวล แม่กับพี่ผมไม่ได้เป็นคนน่ากลัวอะไร พวกเขามีเหตุและผล และพวกเขารักผมมาก และผมเชื่อว่า แม่กับพี่ๆของผม คงจะรักและเอ็นดูเคน เหมือนที่ผมรักเช่นกัน

พูดคุยเรื่องครอบครัวของผมให้เขาฟังจบ ผมก็พูดกับเขาเรื่องงาน ฝ่ายบุคคลรับรู้เรื่องการที่เขาบาดเจ็บจากการถูกซ้อมและกำลังเร่งสืบหาตัวคนผิดมาลงโทษ

ขณะที่ผมเล่า ผมก็เฝ้าสังเกตอาการของเคนไปด้วย เห็นเขาฟังอย่างสนอกสนใจ ผมก็เดาเอาว่า เขาต้องรู้อย่างแน่นอนว่าใครเป็นคนทำร้ายเขา เพียงแต่เคนไม่ยอมพูดออกมา

และการที่เขาไม่พูด นั่นอาจจะแปลได้ว่า คนผิดอยู่ที่บริษัทผมนั่นเอง เพราะหากเป็นคนนอก หรือเป็นคนท้องถิ่น เคนต้องเล่าให้ผมฟังจนหมดแล้ว

แต่นี่นิ่งเงียบ ไม่พูดถึงตั้งแต่กลับมาจากไปเที่ยว ก็แสดงว่าเขาต้องมีบางอย่างปกปิดผมเอาไว้ และต้องการแก้ปัญหาเอาเอง

“ถ้าผมจับได้ว่าใครทำกับเคน ผมไม่เอาไว้แน่นอน”

บอกถึงความตั้งใจของผมให้เคนได้ทราบ เขาทำหน้าเจื่อนเล็กน้อย ยิ่งมีพิรุธเข้าไปใหญ่ ผมต้องสืบรู้ให้ได้ว่าใครทำร้ายเคน อยากรู้นักว่าเพราะอะไร

เคนถึงไม่ยอมกล่าวโทษพวกนั้น และอะไรบางอย่างน่าจะสำคัญเพียงพอจนเคนยอมเจ็บตัวฟรีๆ ผมต้องทำให้มันกระจ่างให้ได้

กลับลงไปข้างล่างเพื่อทำงานต่อ ผมก็พบว่า นนนี่มารอผมอยู่ก่อนแล้วพร้อมกับชาตรี สองคนทำงานได้ไวมาก หลังจากผมมอบหมายให้ช่วยติดตามหาตัวคนมาทำผิดให้ผม แค่สองวัน พวกเขาก็ได้เบาะแสแล้ว

งานนี้มอดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ในฐานะพยานรู้เห็น ซึ่งมันก็ต้องแลกกับการเปิดโปงเรื่องระหว่างเขากับนายชาตรี

ผมนับถือน้ำใจของผู้จัดการของผมมาก ที่เขารักผมมากพอที่จะกล้าพูดเรื่องของตัวเอง อันนำไปสู่การคลี่คลายคดี เพราะที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องเปิดเผยเรื่องของตัวเองเพื่อช่วยผมกับเคนก็ได้

มอดเล่าว่าในวันเกิดเหตุ เขากับนายชาตรี ชวนกันไปเล่นน้ำทะเลกันตอนกลางคืน อาศัยช่วงที่พนักงานกำลังสนุกสนานในงานเลี้ยง ก็แวบกันออกมา

เพราะที่ริมทะเล มันมีที่ลับตาคนได้มากกว่าที่จะไปพูดคุยกันสองต่อสองคนในบ้านพัก โดยที่มอดจะเป็นฝ่ายไปรอนายชาตรีก่อน แล้วนายชาตรีจะหาจังหวะเหมาะๆ เล็ดลอดออกจากงานในภายหลัง

ตอนที่มอดออกมาจากงาน มอดสวนกับคนสามสี่คน ซึ่งนั่งพูดคุยกันที่ตรงสวนหย่อม ระหว่างทาง ระหว่างบ้านพัก กับ ห้องจัดเลี้ยง คนกลุ่มนั้นท่าทางเมาๆ พูดกันเสียงดังพอควร

มอดได้ยินแว่ว ว่าจะหาทางจัดการกับใครบางคนที่ทำให้พวกเขาชวดรางวัล และบ่นเรื่องการตัดสินที่ไม่ยุติธรรม พวกเขาแสดงบนเวทีอย่างเต็มที่ แต่ไม่ถูกโหวต เพียงเพราะมีคนไปเป่าหูประธาน ทำให้คะแนนเปลี่ยนไป

มอดไม่ได้สนใจคนพวกนั้น เดินผ่านไปเพื่อมุ่งหน้าลงไปที่ชายทะเล เพื่อไปเจอกับนายชาตรีตามที่ได้นัดแนะกันไว้ พอนายชาตรีมาพวกเขาก็ลงเล่นน้ำกัน

สักพัก อารมณ์มันพาไป นายชาตรีก็ให้มอดดอดมาที่บ้านพักของตัวเอง เพื่อหยิบถุงยางอนามัยที่เตรียมเอาไว้ ตอนเดินขึ้นมา มอดเห็นเคนเดินออกมาจากบ้านพักของผมพอดี และเดินมุ่งตรงไปยังห้องจัดเลี้ยง

แต่มอดไม่ได้เข้าไปทัก เพราะกลัวจะมีคนรู้เรื่องของเขากับนายชาตรี จึงแอบไม่ให้เคนเห็น พอหยิบของที่ต้องการเสร็จ ก็วิ่งลงไปทางหาดทราย

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ฝนก็ตกหนัก สองคนเสร็จกิจกรรมกันแล้วก็รีบวิ่งขึ้นมาบนเนิน เพื่อจะกลับที่พัก แต่ก็มาเจอร่างเคนที่ถูกทำร้ายแล้วลากมาทิ้งที่ชายหาด ก็เลยพามาหาผม

มอดได้บอกรูปพรรณสัณฐานของกลุ่มคนที่นั่งคุยกันตรงสวนหย่อมให้ฟัง ซึ่งมันตรงกับนักเลงอันธพาลในคราบพนักงานของผมทุกประการ

แม้ว่ามอดจะไม่ได้บอกว่าเขาเห็นพวกนั้นรุมทำร้ายเคนด้วยสายตาของตัวเอง แต่สิ่งที่ได้ยินจากปากของพนักงานรักษาความปลอดภัยของผม มันทำให้ผมเชื่อว่าต้องเป็นคนกลุ่มนั้นอย่างแน่นอน

“ขอบคุณทุกๆคนมากครับ ขอบคุณคุณชาตรีกับมอดด้วย สำหรับการที่ยอมบอกเรื่องราวให้ผมฟัง โดยไม่กลัวว่าตัวเองจะเสียหาย

ผมรับปากว่าเรื่องของคุณสองคนต้องเป็นความลับตลอดไป จะไม่มีการแพร่งพรายเรื่องนี้ออกมาอย่างเด็ดขาด”

เมื่ออยู่กันเพียงแค่สามคน คือผม คุณชาตรี และมอด ผมก็ให้คำมั่นกับคนทั้งสองที่มีน้ำใจให้ผม พวกเราต่างมีสภาพเดียวกัน คือมีรักที่ซ่อนเร้น บอกใครไม่ได้

นายชาตรีมีความจำเป็นเรื่องครอบครัว ส่วนมอดก็ไม่แตกต่างจากเคนสักเท่าไหร่ เพราะดันไปรักกับเจ้านายของตัวเอง

สถานภาพของสองคนดูแตกต่างกันมากๆ หากใครรู้เข้า เขาก็คงอยู่ที่นี่ลำบาก ผมอยากให้เขาอยู่กันอย่างสบายใจ ไม่ทิ้งกันไปไหน

แม้นายชาตรีจะมีข้อบกพร่องอยู่มาก เกี่ยวกับการวางตัวและนิสัยใจคอบางอย่าง แต่เขาก็เป็นคนที่มีความจงรักภักดีให้กับบริษัท เขาทำประโยชน์ให้บริษัทมานานตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อ จนถึงรุ่นผม

หากเปลี่ยนนิสัยใจคอเขาได้ เขาก็น่าจะเติบโตรุ่งเรืองมากกว่านี้ ผมคิดว่าอาจจะถึงเวลาที่ผมจะเปลี่ยนนิสัยใจคอของเขา เพื่อตอบแทนสิ่งที่เขาทำเพื่อผมกับเคน และบริษัทตลอดมา

รู้สึกไม่ดี ที่เมื่อก่อนคิดระแวงสงสัยเขา ตอนที่เคนเล่าให้ฟังว่าเจอเขาที่แถวบริษัทในวันหยุด ตอนนั้นผมเป็นวัวสันหลังหวะ

กลัวว่าเขาจะมาสอดแนมเรื่องผมกับเคน แต่ที่ไหนได้ ผมเข้าใจผิดถนัด นายชาตรีคงมาหามอด เพราะเขาเฝ้ายามให้ผมที่นี่ และคงนัดแนะกันไปเที่ยวมากกว่า

เขาเองก็คงตกใจที่เห็นเคนอยู่แถวๆนั้น เลยพูดจาดูถูกดูแคลน เคนจะได้รีบกลับบ้านไป เขาคงไม่คิดว่าเคนจะอยู่กับผมในวันนั้นเช่นกัน

คิดแล้วก็สงสารผู้จัดการของผมไม่น้อย เขาต้องคอยหลบๆซ่อนๆ ลักลอบคบกันกับมอด เนื่องจากสถานภาพของเขาไม่ใช่คนโสด สมรสแล้ว มีครอบครัวที่อบอุ่น

การที่เขามีรสนิยมเบี่ยงเบนทางเพศ แถมซ้ำมารักกับยามบริษัทซึ่งคนทั่วไปมองว่าต่ำต้อย จึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง

เทียบกับเรื่องระหว่างผมกับเคน ปัญหาที่เราสองคนเผชิญเทียบไม่ได้เลยกับปัญหาของเขา ทว่านายชาตรีก็ยังกล้าที่จะเอาเรื่องของเขามาเสี่ยงเพื่อช่วยผม ที่จริงผมก็คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นคนกลุ่มนี้ เพราะจากการวิเคราะห์หลายแง่มุม

ผมไม่คิดว่าคนที่ทำร้ายเคนจะเป็นพวกโจรท้องถิ่น เนื่องจากรีสอร์ทแห่งนั้นเป็นสถานที่ส่วนบุคคล มีเวรยามคอยดูแล พนักงานของเขาก็คงไม่มีใครคิดสั้นฆ่าตัวตายด้วยการทำร้ายแขกที่มาพัก ทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องมีราวกัน จะมีก็แต่กลุ่มคนที่ไม่พอใจเคนกลุ่มนั้นกลุ่มเดียว

การควานหาตัวคนทำผิดมันเลยแคบลงไป ยิ่งมอดมาให้การเป็นพยานแบบนี้ เรื่องมันก็ง่ายเข้า เหลือแต่การหาหลักฐานจับให้มั่นคั้นให้ตายเท่านั้น

ในระหว่างนี้ ผมก็คงต้องกำชับทุกคนไม่ให้กระโตกกระตากไป เดี๋ยวคนร้ายตัวจริงจะไหวตัวเสียก่อน อีกทั้งเพื่อไม่ให้เรื่องมันสาวไปถึงผู้จัดการชาตรีและมอดด้วย ไม่งั้นพวกเขาจะอยู่ที่อย่างลำบาก ความลับอาจจะถูกเปิดเผย ความเสื่อมเสียชื่อเสียงจะตามมา และอาจจะส่งผลกระทบถึงครอบครัวเขาด้วย

หลังจากได้ข้อมูลจากพนักงานที่ผมไว้วางใจทั้งสามคนแล้ว ผมก็ให้นนนี่ติดตามสอบถามไปทางรีสอร์ทที่พัก ผมคิดว่าคืนนั้น น่าจะมีใครสังเกตเห็นความผิดปกติบ้าง

ถ้ามันจำเป็นต้องสัมภาษณ์คนทั้งรีสอร์ท หรือสืบค้นพนักงานบริษัทของผมที่น่าจะมีส่วนรู้เห็น ก็ต้องทำ และผมยินดีรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมขอให้นนนี่ ช่วยดำเนินงานอย่างเงียบเชียบอย่าแพร่งพรายให้คนรู้อย่างเด็ดขาดว่าผมกำลังตามหาความจริงเรื่องนี้อยู่ และขอให้ดำเนินการอย่างรวดเร็ว อย่าล่าช้าเป็นอันขาด ภายใน 1 อาทิตย์น่าจะหาหลักฐานมาให้ผมได้แล้ว

เมื่อมอบหมายงานทุกอย่างให้คนที่ผมไว้ใจดำเนินการแล้ว ผมก็มั่นใจว่าในไม่ช้าไม่นาน ผมคงสามารถเอาตัวคนผิดมาลงโทษได้ ที่ผมต้องลงมาดำเนินการเอง

ไม่ใช่เพราะผมโกรธแทนเคนสามีของผม แต่ที่ผมโกรธจัดก็คือ พวกนั้นคือพนักงานบริษัท พวกเขาควรจะตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ไม่ใช่มาอิจฉาริษยา อาฆาตมาดร้ายกัน และไม่ควรจะทำร้ายกันด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ

ผมไม่ได้เชื้อเชิญนักเลงอันธพาลให้มาร่วมงานในบริษัทของผม หากพวกเขาชอบเรื่องชกต่อย ชอบการหาเรื่อง พวกเขาก็ควรจะออกไปหางานอื่นที่เหมาะสม และหากผมนิ่งเฉย ปล่อยให้เกิดศาลเตี้ยขึ้นในบริษัท

ใครไม่พอใจใครก็ลากมาชกต่อย มาทำร้ายกัน โดยที่ผมไม่จัดการอะไรสักอย่าง ก็ถือว่าผมบกพร่องในฐานะผู้บริหาร ผมปกป้องพนักงานที่ทำตัวดีๆ ขยันทำงานไม่ได้ ผมก็ไม่สมควรจะคุมบังเหียนบริษัทนี้ต่อไป

เพื่อไม่ให้เคนล่วงรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ผมเลยวางตัวเป็นปกติ ยังคงตื่นแต่เช้า ไปทำงาน ไปประชุมหรือไปพบปะลูกค้าเหมือนเดิม

กลับมาบ้านก็ทำตัวเป็นภรรยาที่น่ารักของสามี ปรนนิบัติพัดวี เฝ้าดูแลรักษาพยาบาลไม่ห่าง สลับกับป้าหมี่ ที่มาช่วยเหลือดูแลเคนในตอนกลางวัน โดยที่ผมไม่ปริปากพูดเรื่องที่เคนโดนทำร้ายเคนอีก

และน่าแปลกที่เขาก็ไม่พูดเรื่องนี้เช่นกัน เหมือนเคนจะพยายามลืมๆมันไปเสีย ผมคิดว่าเขาต้องมีแผนการอะไรในใจสักอย่าง เขาคงต้องการจัดการด้วยตัวเอง ที่ไม่บอกให้ผมรู้ เพราะไม่ต้องการให้ผมยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้

ซึ่งผมไม่ยอมวางใจ ปล่อยให้เขาแก้ปัญหาคนเดียว คิดจะจัดการให้เรียบร้อยตัดหน้าเขา ผมเชื่อในตัวเคน แต่ไม่เชื่อในคนพวกนั้น หากผมไม่ยื่นมือมาช่วย เคนอาจจะเพลี่ยงพล้ำโดนทำร้ายอีกก็ได้

สามวันผ่านไปนับตั้งแต่เคนโดนทำร้ายจนต้องหยุดพักรักษาบาดแผลให้หาย อาการของเคนดีขึ้นเรื่อยๆ รอยแผลบนใบหน้าเริ่มจางลงบ้างแล้ว

อาการช้ำใน หรือบาดเจ็บที่ร่างกายก็ไม่มีให้ต้องกังวล สามีของผมเริ่มบ่นเรื่องการไปทำงาน เขาไม่อยากนอนนานๆ กลัวว่าจะทำงานไม่ทัน


ออฟไลน์ minchy

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +173/-0
หนก่อนจะไปเที่ยวก็ป่วยเสียหลายวัน หนนี้ก็ยังหยุดงานอีก เขาไม่อยากเอาเปรียบคนอื่น

ทว่าผมไม่อยากให้เคนไปทำงาน ในขณะที่ผมกำลังสืบเรื่องอยู่ ผมกลัวว่าความใจดีของเคนจะทำให้เสียเรื่อง บางทีหากเขารู้ว่าผมสงสัยใครอยู่

เขาอาจจะขอร้องให้ผมวางมือหรือจัดการเรื่องเองตัดหน้าผม ซึ่งจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม แต่นั่นอาจจะทำให้คนเลวลอยนวลอยู่ในบริษัทผม และไม่ได้รับการลงโทษ ซึ่งผมยอมไม่ได้

ถึงเคนจะใจดี ยอมอภัย แต่คนเหล่านั้นเป็นพนักงานบริษัทของผม เขาจะมาทำตัวอันธพาลข่มขู่หรือทำร้ายคนอื่นไม่ได้อย่างเด็ดขาด คนผิดต้องได้รับการลงโทษ ผมจะให้ความยุติธรรมกับพนักงานของผมทุกคน ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใคร

เพื่อปกปิดเรื่องที่ผมกำลังดำเนินการอยู่ ผมจึงไม่อนุญาตให้เคนไปทำงาน ไม่ว่าเขาจะขอร้องอย่างไรก็ตาม ผมใช้อำนาจความเป็นประธานบีบบังคับเขาให้ทำตามสั่ง

และเพื่อให้เขาไม่รู้สึกผิด ผมก็หอบงานที่เคนจะต้องรับผิดชอบ ติดมือไปให้เขาด้วย เพื่อให้เขาทำตอนที่พักรักษาตัวอยู่บนเพนท์เฮ้าส์ของผม ซึ่งก็ทำให้เคนรู้สึกพอใจได้บ้าง

ล่วงเข้าวันพฤหัสบดี หลักฐานสำคัญที่ผมต้องการก็มาถึง ทางนนนี่แจ้งให้ทราบว่า หลังจากที่ผู้จัดการรีสอร์ทได้เรียกพนักงานทุกคนมาสัมภาษณ์อย่างละเอียด ก็มีพนักงานคนหนึ่งยอมเปิดปาก

พนักงานคนนี้ทำงานอยู่กะบ่ายและเลิกตอนสามทุ่ม ทำงานเสร็จก็มาช่วยเพื่อนๆที่อยู่ห้องจัดเลี้ยงสักพัก เห็นฝนทำท่าจะตก ก็เลยรีบกลับไปที่พัก ตอนเดินไปได้ครึ่งทาง ฝนเทลงมาหนักมาก

พนักงานคนนั้นเลยไปหลบฝนที่ศาลาตรงสวนหย่อม และได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังหิ้วปีกใครบางคนไปชายหาด สักพักก็กลับขึ้นมา แต่จำนวนคนไม่เท่าเดิม

ที่เขาพูดแบบนั้น เพราะตอนขากลับ คนกลุ่มนั้นวิ่งผ่านศาลาที่พนักงานคนนั้นหลบฝนอยู่ และวิ่งไปทางตึกพี่พักที่จัดไว้ให้พนักงานบริษัทที่มาปิกนิค

ตอนแรกพนักงานคนนั้นคิดว่าเพราะฝนตกหนักเลยทำให้ตาฝาด ก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร และไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครทราบ

จนกระทั่งมีเพื่อนๆในกลุ่มเหล่าให้ฟังว่าแขกที่มาพักถูกทำร้าย และนำไปทิ้งที่ชายหาด เขาก็นึกขึ้นได้ แต่ก็ยังปิดปากเงียบอยู่

เพราะไม่อยากถูกกันตัวเป็นพยาน จนกระทั่งมีการเรียกสอบปากคำพนักงานทุกคนที่เข้ากะคืนวันนั้น เขาก็เลยเล่าให้หัวหน้าของเขาฟังในสิ่งที่เห็น

ที่สำคัญ เขาพอจะจำรูปพรรณสัณฐานของคนในกลุ่มนั้นได้บางคน แม้จะเห็นหน้าเพียงแวบๆ จากแสงจากโคมไฟข้างทาง

ทว่ารูปร่าง และชุดที่สวมใส่เขาจำได้แม่น เพราะเขาเห็นคนกลุ่มนี้ขึ้นไปประกวดในงานด้วย
นนนี่ทำงานได้ดีมาก

เธอเอารูปภาพจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัท ที่ถ่ายภาพงานคืนนั้นไปให้ดูด้วย โดยเลือกกลุ่มนักแสดงทุกกลุ่มสแกนผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์และส่งอีเมล์ไปให้พนักงานคนนั้นชี้ตัว

ซึ่งรออยู่ 1 วันเต็มๆ ก็มีอีเมล์ส่งกลับมา แต่พนักงานคนนั้นไม่ได้ชี้ตัวเจาะจงว่าเป็นใคร เพียงแต่เลือกกลุ่มนักแสดงที่เขาเห็นในค่ำคืนนั้นส่งกลับมาให้ด้วย

ผมมองภาพในมือนนนี่ที่เอามาให้ดู พอเห็นหน้าคนในภาพผมก็กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว

วันนี้วันศุกร์แล้วสินะ ห้าคืนกับสี่วัน ที่ผมต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านของเคลวิน โดยไม่ได้ทำอะไร นั่งๆนอนๆ กินข้าว กินยา เดินไปเดินมา เหมือนคนไร้ประโยชน์

เคลวินพาผมมาอยู่ที่เพนท์เฮ้าส์ ไม่ให้ผมกลับบ้านโดยอ้างว่าจะได้ดูแลผมได้ง่ายๆ ซึ่งผมก็ยอมตามใจโดยไม่ขัดขืน

เพราะผมเห็นถึงความรักความห่วงใยที่เคลวินมอบให้ ซึ่งเขาก็คอยปรนนิบัติพัดวีผม เอาอกเอาใจไม่ยอมห่าง จนผมซาบซึ้งในความรักที่เขามีต่อผม

ทว่าเคลวินห่วงใยผมมากเกินไป เขาไม่ให้ผมหยิบจับทำอะไรเลย แถมซ้ำยังส่งคนมาดูแลผมราวกับเป็นเจ้านายอีกคนของบ้าน

เขาไม่อนุญาตให้ผมลงไปทำงาน อ้างว่าผมยังไม่หายดี พอเห็นผมมีทีท่าว่าเบื่อ ก็หอบงานมาให้ผมทำ ซึ่งมันก็ช่วยให้ผมหายเบื่อได้บ้าง แต่มันก็ไม่เหมือนการทำงานที่บริษัท เพราะถึงอย่างไร ผมก็ต้องถูกป้าหมี่คอยควบคุมดูแลราวกับคนป่วยหนัก

เจ้านายลูกน้องนิสัยเหมือนกันไม่มีผิด พอเห็นว่าผมไม่เชื่อตามที่บอก ก็ดุผมทั้งสองคน แล้วก็ประคบประหงมดูแลจนผมรู้สึกอึดอัด บางครั้งก็เริ่มสับสนว่าตัวเองบาดเจ็บเพราะถูกซ้อมแค่นั้นจริงๆ หรือว่าผมมีอาการช้ำใน ปางตาย หรือเจ็บป่วยระยะสุดท้าย ด้วยโรคที่ผมไม่เคยรู้ เขาถึงได้โอ๋เอาใจผมกันนัก

ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว ทันทีที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้า และเห็นเคลวินกำลังแต่งตัวจะออกไปทำงาน ผมก็ตื่นขึ้นมาบ้าง นั่งดูเคลวินทำกิจวัตรประจำวัน และกำหนดแผนการในใจ

“วันนี้อยู่บ้านอีกหนึ่งวันนะครับที่รัก วันจันทร์ผมอนุญาตให้คุณไปทำงานได้อย่างแน่นอน อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ”
เขาสั่ง พร้อมกับก้มลงจูบที่แก้มผม ก่อนจะออกไปทำงานที่ออฟฟิศส่วนตัวของเขาที่อยู่ข้างล่างเพนท์เฮ้าส์ที่เราอาศัยอยู่อีก 1 ชั้น ทันทีที่เขาลับตาไป ผมก็ลุกขึ้นอาบน้ำ แต่งเนื้อแต่งตัวไปทำงานบ้าง โชคดีที่มีเสื้อผ้าชุดทำงานของผมอยู่ที่นี่ด้วยสองสามชุด เคลวินเอามาซักให้ และไม่ได้เอากลับ เพราะผมดันมาเจ็บตัวนอนซมเสียก่อน ผมจึงไม่ต้องกลับไปบ้านอีก

ก่อนจะออกจากห้องผมสำรวจหน้าตาของตัวเองว่ามีร่องรอยบาดแผลหลงเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า ก็พบว่ามันเป็นแค่รอยจางๆ เท่านั้น หมอเต้มาทำแผลและให้ยามาทานจนค่อยยังชั่วขึ้น เมื่อใบหน้าของผมไม่ได้ดูน่าเกลียดนัก ผมก็เลยใจชื้นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็คงไม่มีใครสังเกตและมาถามให้วุ่นวายใจอีก อาจจะมีถามบ้างว่าผมหายไปไหนมา ผมก็คงจะบอกเขาว่าไม่สบาย ก็น่าจะหมดปัญหา

ผมไม่ลืมที่จะแปะโน้ตถึงป้าหมี่ด้วย เพราะคาดว่าวันนี้แกคงมาเฝ้าดูแลรับใช้ผมเช่นเคย ผมบอกให้แกกลับบ้านได้ เพราะผมสามารถมาทำงานได้แล้ว และขอบคุณแกที่ช่วยดูแลผมมาตลอด ป้าหมี่ก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ของผมคนหนึ่ง ผมมาอยู่กรุงเทพตัวคนเดียว ญาติที่มี ก็แยกย้ายกันอยู่ ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน ก็มีแกเท่านั้นที่ช่วยดูแลผม แม้ว่าจะทำตามที่ได้รับมอบหมายคำสั่งมาจากเคลวินก็ตาม แต่แกก็ดูแลผมดีมาก จนผมรับรู้ได้ว่าป้าหมี่รักและเอ็นดูผมไม่ใช่น้อย

“อ้าว มาทำงานได้แล้วเหรอ”

พอผมโผล่เข้าห้องทำงานมา พี่นนนี่ก็ทักผมอย่างแปลกใจ ในห้องนอกจากพี่สาวคนสวยกับผมแล้ว ก็ยังไม่มีใครมาทำงาน เนื่องจากยังเป็นเวลาเช้ามาก พี่นนนี่ติดนิสัยเจ้านาย คือเคลวินมาทำงานแต่เช้า เลยทำให้เลขาอย่างเธอต้องมาแต่เช้าตามไปด้วย มาก่อนเวลางานเข้าตั้งชั่วโมง เพื่อที่จะเตรียมตัวรับคำสั่งต่างๆ ตามที่เคลวินจะมอบหมาย

ส่วนใหญ่ผมจะมาทำงานหลังจากพี่นนนี่ทุกครั้ง เนื่องจากบ้านไกล ต้องนั่งรถเมล์มา แม้ว่าเคลวินจะสั่งให้ผมมาทำงานแต่เช้า แต่ผมก็มาได้เร็วเต็มที่ไม่เกินครึ่งชั่วโมง บางครั้งก็เฉียดฉิวเส้นยาแดงผ่าแปด หากวันไหนออกสายและรถติดมากๆ

ถึงแม้วันนี้ผมสามารถที่จะมาแต่เช้าได้ เนื่องจากผมนอนอยู่บนเพนท์เฮ้าส์ แค่กดลิฟต์มาชั้นทำงานก็ได้แล้ว แต่ด้วยความที่ผมกลัวใครจะล่วงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเคลวิน ทำให้ผมต้องใช้ลิฟต์ส่วนตัวของเขา กดลงไปชั้นล่างสุด แล้วก็เดินออกไปลานจอดรถ เพื่อที่จะทะลุไปยังถนนใหญ่ แล้วเดินตามทางเท้า ผ่านป้ายรถเมล์ ก่อนที่จะเข้าบริษัท เพื่อให้ใครๆเห็นว่าผมมาทำงานด้วยช่องทางปกติ

เสียเวลาทั้งหมดไปประมาณเกือบ 20 นาที กว่าจะโผล่ขึ้นมายังชั้นบนที่เป็นส่วนงานสำนักประธานกรรมการบริษัท แต่ยังไงผมก็ยังมาเช้ากว่าคนอื่นอยู่ดี ถ้าไม่นับพี่นนนี่ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกภูมิใจที่วันนี้มาก่อนคนอื่นๆได้ แต่ก็นั่นแหละ มีผมคนเดียวที่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมถึงได้มาเช้า

“ไม่อยากนอนอยู่บ้านเฉยๆครับ พี่นนนี่ แล้วก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วด้วย เลยอยากมาทำงานครับ”

ตอบพี่นนนี่ไปตรงๆ พี่สาวคนสวยยิ้มอย่างพึงพอใจ ทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่ผม

“จ้า พ่อคนขยัน เจ้านายได้ยินคงปลื้มตายแน่ๆ”

“เคล..เอ้อ ท่านประธานมาแล้วหรือครับ”

แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วถามถึงเคลวิน พี่นนนี่มองผมแล้วยิ้มเหมือนรู้ทัน แต่เธอก็ไม่พูดแซวอะไรออกมา

“มาตั้งแต่เช้าแล้ว เป็นผู้ช่วยเลขาประสาอะไร ถึงถามแบบนี้ ก็น่าจะรู้ดีนี่ ว่าเจ้านายเธอมาทำงานเช้าขนาดไหน”

พี่นนนี่แสร้งทำเป็นดุผม แต่ตายิ้มพราว ถ้าเป็นช่วงที่ผมหายดีเป็นปกติ เธอจะดุทั้งหน้าและแววตา แต่นี่คงเห็นว่าผมเพิ่งเจ็บตัวมา เลยไม่กล้าว่าให้เสียใจ

“ผมไปทำงานก่อนนะครับ ไม่ได้มาหลายวัน งานคงกองสุมกันเยอะน่าดู”

บอกพร้อมกับเดินไปที่โต๊ะของตัวเอง ที่จริงมีงานบางส่วน ผมทำไว้บ้างแล้ว แต่อยู่บนห้องเคลวิน ไม่ได้นำลงมาด้วย เพราะเดี๋ยวจะมีคนสงสัย ว่าผมไม่ได้มาทำงานหลายวัน แล้วหอบแฟ้มงานมาได้อย่างไร

บนโต๊ะทำงานของผม มีแฟ้มงานอยู่สองสามแฟ้ม ที่ผมจะต้องจัดการให้เรียบร้อย แต่เป็นงานที่ไม่เร่งด่วนนัก เนื่องจากงานสำคัญ เคลวินเอาใส่แฟ้มขึ้นไปให้ผมหมดแล้ว และผมก็จัดการทำและส่งให้เคลวินเรียบร้อย จึงไม่เหลืองานที่ต้องเร่งทำให้กับเขา แต่กระนั้น ผมก็ลงมือทำให้เคลวินโดยไม่พูดไม่คุยกับใคร ตั้งใจกับกองงานตรงหน้า และลงมือทำอย่างรวดเร็ว

ภายในไม่ถึงชั่วโมง แฟ้มงานที่จะนำเสนอก็ถูกผมนั่งอ่านและนั่งสรุปสั้นๆเรียบร้อย พร้อมที่จะส่งให้เคลวินพิจารณาได้ ผมเงยหน้าขึ้นมาและบิดเนื้อตัวไล่ความเมื่อยขบ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์บนโต๊ะของผมดังขึ้น พี่นนนี่โทรมาหาผม และแจ้งว่าประธานเคลวินเรียกตัวเข้าพบ ผมลุกไปตามคำสั่งทันที ทั้งที่ใจนึกอิดออดไม่อยากไป แต่ไม่กล้าแสดงออกให้พี่นนนี่เห็น

เคลวินคงรู้แล้ว ว่าผมมาทำงาน ถ้าไม่เขาเป็นฝ่ายโทรไปหาผมที่เพนท์เฮ้าส์ ก็ต้องเป็นป้าหมี่ซึ่งมาเจอโน้ตของผมแต่ไม่เจอตัว ก็เลยโทรมาแจ้งเคลวิน แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การถูกเรียกไปอย่างนี้ ก็คงไม่พ้นการถูกตำหนิจากท่านประธานจอมเฮี๊ยบแน่ๆ

สิ่งที่ผมเดาไว้ถูกต้องทุกอย่าง จนผมน่าจะซื้อหวย จะได้ร่ำรวยกับเขาบ้าง

ทันทีที่ผมเปิดประตูห้องประธานบริษัทเข้าไป ก็พบเคลวินนั่งหน้าบึ้งตึงอยู่หลังเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ เขาไม่พูดอะไร จนกระทั่งผมเดินมานั่งตรงหน้าเขา เรามองหน้ากันสักพัก เคลวินก็เปิดฉากโวยวายใส่ผมขึ้นมา

“ผมสั่งไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าไม่ต้องมาทำงาน ทำไมต้องขัดคำสั่งผมด้วย”

----------------------------

TBC

February

  • บุคคลทั่วไป
+1 ให้คนขยัน


 :o8: น่ารักอย่างนี้ รักตายเลย.... :-[

ออฟไลน์ pdolphin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-2
คนโพสต์น่ารักมั่ก ๆ ๆ

 :man1:

ออฟไลน์ saseum

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 413
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
อยากอ่านต่อเลย

อยากรู้ว่าท่านประธานจะทำยังไง  :call: :call:

ออฟไลน์ nbee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 849
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-1
อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวลนะ
 :angry2:

จัดการเลย เคลวิน

TonG_x_Zhi

  • บุคคลทั่วไป
เคนดื้อ  แอบมาทำงาน ยังงี้ต้องให้เคลวินลงโทษ :z1: :z1: :z1:

 :haun4:

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
ซักรอบเลยเคลวินจะได้เชื่องๆ
กร๊ากกกกกก :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
แอร๊ยยยยส์ แผนเคลวินจะพังมั้ย ไล่เคนกลับไปนอนเลยจะได้จัดการคนพวกนั้นได้สะดวก  :serius2:

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
แหม เป็นภรรยา ไหง มาขึ้นเสียง ถามสามีอย่างนี้เนี่ย
เคน บอกไปเลยว่า คืนนี้ จะกลับห้องตัวเองอ่ะ

..
..
เอิ๊กกกก
กว่าจะเข้า มาอ่านได้ แทบขาดใจตาย

สู้ๆ สู้กันต่อไป

February

  • บุคคลทั่วไป
 :m17: แล้ววันนี้..จะมีซักรอบ..สองรอบ ไหมหนอ....

ออฟไลน์ minchy

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +173/-0
บทที่  58

-------------------------

ขอโทษนะครับท่านประธานที่ผมขัดคำสั่ง ผมอยากมาทำงานเพราะทิ้งไปหลายวัน แล้วผมก็หายดีแล้วด้วย น่าจะแบ่งเบาภาระท่านประธานได้บ้าง ผมไม่อยากเอาเปรียบพนักงานคนอื่นๆครับ ท่านประธาน”

ถึงจะโกรธก็ไม่ว่า แต่ผมขอพูดตามความรู้สึกของตัวเองสักหน่อย ผมไม่อยากมีอภิสิทธิ์เหนือใคร ในเมื่อผมหายจากบาดเจ็บแล้ว ผมก็น่าจะกลับเข้ามาทำงาน ไม่ใช่นอนอยู่กับบ้าน โดยอ้างคำสั่งของประธานบริษัทมาหาประโยชน์ใส่ตัวเอง

“แน่ใจแล้วนะ ว่าหายดี แข็งแรงพอที่จะรับงานหนักได้”

เขาถามเสียงขุ่น ผมพยักหน้า แต่ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าแข็งแรงพอที่จะทำงาน อย่างที่ทำให้เห็นในบ้าน เพราะตอนนี้บทบาทของผมไม่ใช่สามีของเขา แต่เป็นแค่ลูกจ้าง จะมาทำล้อเล่นกับเจ้าของบริษัทไม่ได้

“ก็ดี ถ้าคิดว่าตัวเองแกร่งพอจนกล้าขัดคำสั่งผมได้ ก็เอานี่ไปทำอีก”

เขาดันกองแฟ้มหนาปึก สี่ห้าแฟ้มมาให้ผมตรงหน้า แบ่งเป็นแฟ้มรายงานการประชุม แฟ้มคำสั่งและประกาศต่างๆ และเอกสารบทความภาษาอังกฤษ ซึ่งเกี่ยวข้องกับสินค้าของบริษัททั้งทางตรงและทางอ้อม โดยที่ผมต้องมีหน้าที่แปลบทความเหล่านั้น ลงวารสารของบริษัทเพื่อแจกให้กับลูกค้า เขาโยนมาให้ผมทำทั้งหมด เพื่อประชดประชันที่ผมทำเป็นเข้มแข็ง และส่วนหนึ่งก็คงเพื่อพิสูจน์ความสามารถของผม

“ท่านประธานต้องการเมื่อไหร่ครับ”

ถามเขาด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ร้อนรนหวาดวิตกว่าจะทำงานให้ไม่ทัน ผมรู้ว่าเคลวินต้องการแกล้งผมเท่านั้น เพราะผมดื้อไม่เชื่อเขา เคลวินหน้าบึ้งๆ แล้วก็พูดเสียงห้วน ตอบว่าต้องการวันนี้ พอได้ยินเดดไลน์ของเขา ผมก็อมยิ้ม

ความพาลของเคลวิน ตามปกติ เขาเป็นคนดุเอาจริงเอาจัง เวลาที่เขาสั่งให้ใครทำอะไร เขาจะเผื่อเวลาให้คนที่รับคำสั่งสามารถทำงานตามที่เขาต้องการได้อย่างสบาย ยกเว้นงานที่เร่งด่วนจริงๆ ก็จะให้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงในการทำให้เสร็จ แต่แฟ้มงานสี่ห้าแฟ้มที่เขาเอามาให้ผมทำนี่สิ มันไม่น่าจะทำวันเดียวเสร็จได้เลย จึงน่าจะเป็นการแกล้งเพื่อให้ผมยอมรับว่าตัวเองผิดมากกว่า ซึ่งไม่มีวัน ผมก็อยากแกล้งเคลวินกลับเหมือนกัน ผมเลยพยักหน้ารับคำสั่ง แล้วลุกจากโต๊ะ จะกลับลงไปทำงาน ตั้งใจว่า จะทำให้มันเสร็จให้หมด แม้ว่าจะต้องกลับบ้านดึกก็ตาม

ยังไม่ทันเดินไปถึงประตู เคลวินก็เรียกผมไว้ และลุกจากโต๊ะก้าวเร็วๆ มาหา เมื่อเราสองคนยืนเผชิญหน้ากัน เคลวินก็จ้องมองผมตาดุ สักพักเขาก็ยกมือขึ้น กางมือออก ผมหลับตาปี๋ นึกว่าจะโดนท่านประธานบริษัทตบหน้า ที่บังอาจทำจองหองแล้ว แต่กลายเป็นว่าเคลวินไม่ได้ตบผม มือนั้นเลื่อนลงมาลูบแก้มผมอย่างแผ่วเบาเท่านั้น

“ทำไมถึงไม่เชื่อกันบ้างเลย”

น้ำเสียงตัดพ้อต่อว่าของเคลวิน ทำให้ผมลืมตาขึ้นมอง ก็เห็นเขาทำหน้าน้อยอกน้อยใจ ตอนนี้เขาคงตกอยู่ในภวังค์ของผู้เป็นภรรยา ไม่ใช่เคลวินอีกต่อไป

“เชื่อสิครับ ถ้าไม่เชื่อเคลวิน ผมก็มาทำงานตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะ แต่นี่ผมก็นอนอยู่ในห้องตั้ง 4 วันแล้วนะ ตอนนี้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงแล้ว ผมก็อยากมาทำงานบ้าง เกรงใจเคลวิน จะทำงานสบายๆ ถึงเวลารับเงินเดือนได้ไง ต้องทำงานให้คุ้มค่าจ้างสิ แล้วจะได้ไม่มีใครเอาเยี่ยงย่างด้วย เคลวินก็ไม่ต้องคิดมากหรอกนะครับ ผมเชื่อเคลวินเสมอนะ”

อธิบายให้เขาฟังด้วยเสียงอ่อนโยน สีหน้าของเคลวินดีขึ้น ริมฝีปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม

“จริงหรือครับ เชื่อผมทุกอย่างจริงๆเหรอ”

ดวงตาของเคลวินเป็นประกายระยิบระยับขณะพูด

“จริงสิ สั่งอะไรมา หากผมทำได้ ผมก็พร้อมจะทำตามคำสั่งท่านประธานเคลวินนะครับ”

พูดเพื่อให้เขาสบายใจ เคลวินทำท่าเป็นนึก สักพักก็ยิ้มเจ้าเล่ห์

“งั้น....ผมขอสั่งให้เคนต้องทำการบ้านกับผมให้ครบ 9 ครั้งนะครับ”

ว่าแล้ว เห็นทำหน้ากรุ้มกริ่ม ที่แท้ก็คิดเรื่องหื่นๆนี่เอง ผมหัวเราะหึๆ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ นึกในใจว่าไม่น่าทำเป็นแข็งแรงเลย ลืมไปสนิทว่าเคลวินรอเรื่องนี้อยู่ รู้งี้แกล้งทำเป็นบาดเจ็บอย่างเดิมดีกว่า อุตส่าห์รอดเงื้อมือเคลวินมาได้ถึง 4 วัน สงสัยวันนี้คงเหนื่อยอีกแล้ว

“ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้นนะ...”

เขาเน้นย้ำ เหมือนกลัวผมจะเบี้ยว

“เคลวินอ่ะ ผมหมายถึงเรื่องงานต่างหาก ไม่ว่าคุณจะสั่งอะไรมา ผมยินดีทำตามที่คุณต้องการเสมอ”

“การนอนกับภรรยาก็เป็นงานในหน้าที่อย่างหนึ่งเหมือนกันนะ หน้าที่ของสามียังไงล่ะ เคนอย่าทำให้มันขาดตกบกพร่องสิ”

เอากับเขาสิ ไอ้เรื่องที่จะพูดให้ตัวเองได้ประโยชน์นี่ ไม่มีใครกินเคลวินได้ลงแน่ สมแล้วกับตำแหน่งนักบริหารมือทอง เขาสามารถเจรจาต่อรองได้ทุกเรื่องจริงๆ

“ผมรักเคนนะครับ”

เคลวินกางมือออก แล้วโอบกอดผมไว้ ผมได้แต่ยืนนิ่งขึง รู้สึกตกใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยถูกเขากอด แต่นั่นมันที่บ้าน ในที่ลับตาคน ไม่ใช่ที่ทำงาน ตามปกติ เคลวินจะพยายามระวังรักษาภาพพจน์ อยู่ที่บริษัทก็เป็นคนหนึ่ง อยู่ที่บ้านก็เป็นอีกคน ต่างบุคลิกกัน ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะหลุดอีกบทบาทได้มากขนาดนี้ ดูเหมือนบทบาทที่เคยเป็นคู่ขนานกัน มันเคลื่อนใกล้กันเข้ามาทุกที และทับซ้อนกันจนสับสนปนเปไปหมด จนผมรู้สึกกลัวว่าวันหนึ่ง เคลวินจะแสดงบทบาทภรรยาออกมาให้เห็นในที่ทำงานบ่อยๆ เมื่อนั้น เราสองคนคงไม่พ้นคำนินทาเป็นแน่

“ตั้งใจทำงานนะครับ”

พอผละออกแล้ว เคลวินก็พูดกับผมด้วยเสียงนุ่มนวล เขาบอกว่าจะเป็นกำลังใจให้ผม ขอให้ผมตั้งใจทำงาน ทุกอย่างมันดีกับตัวผมทั้งนั้น ผมนึกว่าเขาจะเอางานกลับคืนบ้าง แต่เขาก็ไม่พูดถึงมัน ปล่อยให้ผมหอบแฟ้มเอกสารสี่ห้าแฟ้มกลับลงไปทำข้างล่าง คนอะไร ใจร้ายชะมัด

พี่นนนี่เงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นผมหอบเอกสารเดินผ่านโต๊ะเธอ พี่นนนี่ยิ้มขำ เมื่อเห็นผมวางแฟ้มลงบนโต๊ะและทำหน้าเหนื่อยๆ เธอลุกเดินมาหาผม แล้วก็จ้องแฟ้มกับหน้าผมสลับกันไป

“โดนดีมาล่ะสิ”

เธอแซว ยังขำผมไม่เลิก ผมพยักหน้า และก็บอกว่าเคลวินให้ผมทำงานทั้งหมดนี้ให้เสร็จภายในวันนี้ พอได้ยินผมตอบ พี่นนนี่ก็หัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ พลางเลื่อนแฟ้มออกมาบางแฟ้ม และชี้ที่สันข้างให้ดู ผมมองตาม แล้วก็หัวเราะก๊าก แฟ้มทั้งหมด มันเป็นของปีที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการสรุปไปเรียบร้อยแล้ว เคลวินคงแกล้งให้ผมถือมาหนักๆเล่นเท่านั้นเอง คงไม่ได้ต้องการให้ผมทำอย่างจริงจัง นึกถึงหน้าบึ้งๆ ของเขาแล้วก็อดขำไม่ได้ ประธานสองหน้าทำเป็นเก๊ก ดุดัน คงกะให้ผมสำนึกผิด พอผมทำมึน จะทำงานทั้งหมด เขาก็เลยหลุดมาดเสียเอง

ที่จริงเคลวินนี่ก็น่ารักดีเหมือนกัน เขาไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำอย่างที่ผมเคยคิด เขามีความเมตตาปราณี และรักลูกน้อง ที่เขาดุด่าว่ากล่าว ให้พนักงานทำงานหนักๆ เพราะเขาอยากให้พวกเราได้ดี การเติบโตของบริษัทต้องอาศัยการร่วมไม้ร่วมมือจากพนักงานทุกคน ถ้าทุกคนทุ่มเท บริษัทก็อยู่รอด และเมื่อบริษัทอยู่รอด พนักงานทุกคนก็จะได้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน โบนัส สวัสดิการและผลตอบแทนต่างๆ ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ โดยไม่ต้องเสียอะไรไป อยากก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ก็ต้องทุ่มเทเอาใจใส่ ทำงานให้เต็มที่ แต่ถ้าเวลาพนักงานเหนื่อยล้า ไม่สบาย เขาก็พร้อมจะดูแลให้หายป่วยไข้ ในกรณีของผม เขาก็ดูแลในฐานะพนักงานของบริษัทคนหนึ่ง ให้ลาป่วยได้ เมื่อทำงานไม่ไหว เพียงแต่ว่า การให้ผมพักนานๆมันดูเหมือนเป็นการลำเอียงนิดหน่อย เพราะผมไม่ได้ป่วยหนักจนลุกมาทำงานไม่ไหว แค่หน้าตามีรอยฟกช้ำ และมีแผลแตกเท่านั้น แต่รักษาตัวอยู่หลายวันมันก็หาย ผมเลยมาทำงานจะได้ไม่มีใครแอบนินทาว่าร้าย นึกว่าเขาจะโกรธให้งานมากมาย ที่ไหนได้ กลับหลอกให้ผมหอบแฟ้มมาเฉยๆอย่างนั้น สุดท้าย ผมก็ไม่มีงานจะทำอยู่ดี นอกจากที่กองอยู่บนโต๊ะก่อนหน้าที่ผมจะขึ้นไปหาเคลวิน

“เอาแฟ้มพวกนี้ไปเก็บใส่ตู้เลยเคน ช่วงนี้ไม่มีงานรีบด่วนอะไร ทำไปสบายๆ ถ้าเหนื่อย หรือเพลียก็พักบ้างแล้วกัน อย่าโหมมากนัก เดี๋ยวจะยิ่งป่วยหนัก”

พี่นนนี่สั่งขำๆ สุดท้ายก็ห้ามให้ผมทำงานหนักตามเคลวินและป้าหมี่ไปอีกคน สงสัยว่าคนพวกนี้จะเห็นว่าผมไร้สมรรถภาพกระมัง จึงกลัวว่าผมทำงานหนักแล้วจะเหนื่อยไม่สบาย สงสัยต้องแสดงให้รู้ว่าผมแข็งแรงกว่าที่เขาคิด เขาจะได้เลิกห่วงผมเสียที

หลังจากเอาแฟ้มงานของปีที่แล้วไปใส่ในตู้เก็บเอกสารแล้ว ผมก็ลงมือสะสางงานที่คั่งค้างอยู่บนโต๊ะ นั่งทำเพลินๆไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลาอาหาร ด้วยความที่ผมทำงานติดพัน ผมก็เลยไม่ได้ลงไปทานข้าว กว่าจะเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร ก็ปาเข้าไปเที่ยงกว่า

เสียงกริ่งโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาบนโต๊ะผม ทำให้สะดุ้ง พยายามเดาว่าใครโทรมา คงไม่ใช่เคลวินหรอกมั๊ง ป่านนี้เขาคงไปทานข้าวแล้วกระมัง

เป็นเคลวินจริงๆด้วย เขาโทรมาถามว่าผมทำงานไปถึงไหน ผมหัวเราะหึหึแล้วพูดแหย่ไปประมาณว่า ฝากไว้ก่อนเถอะ แกล้งผมดีนัก พูดไปแล้วก็ชะงักทั้งผมและเขา ผมเองก็ลืมตัวไปชั่วขณะที่เผลอแซวประธานเคลวินตอนอยู่ที่บริษัท เขาเองก็คงตกใจ เพราะตอนที่โทรมา น้ำเสียงของเคลวินเป็นงานเป็นการมาก ไม่ได้ยั่วเย้ากระเซ้าแหย่ แบบที่ชอบทำเวลาเป็นภรรยา แต่พักเดียว เขาก็ส่งเสียงดุแต่ฟังแล้วหวานมาตามสาย บอกให้ผมเลิกทำงาน ไปทานข้าวได้แล้ว เพราะผมต้องกินยาตามเวลา เดี๋ยวจะไม่หาย ผมได้แต่รับคำ ครับ ครับผม คร้าบตลอด ไม่มีโอกาสโต้แย้ง เขายังขู่อีกว่า ถ้าผมไม่ลงไปทานข้าว เขาจะให้คนเชิญผมขึ้นไปกินข้างบนเป็นเพื่อนกับเขา ซึ่งแน่นอนว่า ผมลงไปทานข้างล่างน่าจะดีกว่า

ตอนนี้ต้องพยายามอยู่ห่างๆท่านประธานให้มากที่สุด หลังจากเกิดเรื่องวันที่ไปปิกนิกแล้ว ผมก็ต้องระมัดระวังไม่ให้เคลวินถูกนินทาว่าร้ายให้เสียหาย ผมไม่รู้ว่าหลังจากวันนั้น จะมีใครพูดเรื่องของผมกับเคลวินหรือไม่ การลงไปทานข้าวข้างล่างก็เป็นการสำรวจเรตติ้งอย่างหนึ่ง หากมีใครพูดหรือถาม ก็จะได้เตรียมตัวรับมือได้ทัน

ร้านอาหารแถวบริษัทในช่วงพักกลางวัน ตั้งแต่สิบเอ็ดโมง จนถึงบ่ายหนึ่ง คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ทยอยลงมาทานข้าว ร้านไหนที่ฝีมือดี ราคาไม่แพง ก็จะมีคนไปอุดหนุนกันเต็มร้านแน่นขนัด ร้านไหนฝีมือปานกลาง หรือร้านที่มีราคาสูงหน่อย คนก็จะบางตากว่า ทว่าในบางวันที่ร้านอาหารยอดนิยมคนเต็ม ร้านเหล่านี้ก็จะพลอยได้อนิสงส็ไปด้วย

ผมเดินดูร้านอาหารที่อยากทาน ตาก็กวาดไปยังตู้ที่โชว์กับข้าว บางร้านก็ดูสีสันน่าทาน บางร้านก็มีกลิ่นหอมลอยออกมายวนยั่ว ให้อยากลิ้มชิมรส ผมเดินดูไปเรื่อยๆ ยังไม่ได้ปลงใจกับร้านไหน ที่จริงร้านที่มีคนเยอะๆ ก็ดึงดูดให้ผมอยากเข้าไปนั่งทาน เพราะคิดว่ามันต้องอร่อย ไม่อย่างนั้นคนคงไม่เต็มร้าน แต่เมื่อมองไปเห็นจำนวนคนที่ต้องนั่งรออาหาร ผมก็ยกธงขาวยอมแพ้ เพราะไม่มีเวลามากมายที่จะมานั่งรอ อยากรีบทาน แล้วรีบขึ้นไปทำงานมากกว่า

ในที่สุด ผมก็มาสะดุดอยู่ตรงร้านด้านในสุด ดูจากอาหารที่อยู่ในถาด หน้าตาก็น่ากินพอประมาณ ที่สำคัญ ร้านก็ไม่แน่นมาก มีคนอยู่ประมาณ 10 กว่าคนเห็นจะได้ นั่งรวมกลุ่มกัน แบ่งเป็น 2 โต๊ะ 6 คน กับสี่คน ดูจากเสื้อผ้ายูนิฟอร์มที่สวมใส่ ก็รู้ว่าเป็นคนจากบริษัทผมนั่นเอง

ตัดสินใจเดินเข้าไปนั่ง เพราะเห็นว่าคนน้อย ซึ่งน่าจะเป็นเพราะเป็นร้านเปิดใหม่ และอยู่ด้านในสุด คนยังไม่รู้จัก ก็เลยเดินเข้ามาไม่ถึง ส่วนใหญ่ไปหยุดอยู่ที่ร้านต้นซอยกันซะส่วนใหญ่ ผมเลือกสั่งข้าวราดกับสองอย่าง และน้ำเปล่า จากนั้นก็ไปนั่งรอที่โต๊ะ สักพักเด็กร้าน ก็เอาอาหารที่ผมสั่งมาให้
นั่งทานอย่างไม่สนอกสนใจใครได้สักพัก หูผมก็แว่วได้ยินเสียงนินทา ตอนแรกก็ฟังผ่านๆ เพราะไม่ใช่เรื่องอะไรของตัวเอง ผมไม่ชอบเรื่องเกี่ยวกับการนินทาว่าร้ายอยู่แล้ว ใครที่ตั้งวงนินทาอยู่ ผมก็จะไม่เข้าไปร่วมด้วย ครั้งนี้ก็เช่นกัน เห็นเขาพูดคุยกันได้ยินลอยมาเข้าหูผม ผมก็ไม่สนใจ จนกระทั่งได้ยินเขาเอ่ยชื่อ ผมกับเคลวิน ผมก็เลยเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะเธอ ว่าคนเราจะหาความก้าวหน้าให้กับตัวเองด้วยการใช้ทางลัดแบบนี้”
หนึ่งในกลุ่ม 4 คน ซึ่งนั่งใกล้ผมที่สุดพูดขึ้นมา
“เคยได้ยินแต่ผู้หญิงใช้เต้าไต่ เพื่อไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต แต่กับผู้ชายไม่เคยได้ยินอ่ะ อย่างนี้เขาจะเรียกว่าอะไรล่ะ”
“คงเรียกว่า มนต์รักถั่วดำละม๊าง ฮ่าฮ่าฮ่า”
พอคนหนึ่งหัวเราะ คนในกลุ่มก็หัวเราะตาม จากนั้นก็พูดคุยนินทากันต่ออย่างสนุกปาก ผมนั่งนิ่ง ถึงไม่หันไปมอง ก็รู้ว่าคนที่อยู่ในหัวข้อสนทนาก็คือผมกับเคลวินนั่นเอง ที่ผมรู้ เพราะได้ยินตั้งแต่ครั้งแรกๆ ถึงแม้ตอนหลังๆ เขาจะไม่เอ่ยชื่อ แต่จากการนินทาว่าร้าย ก็ทำให้ผมเดาได้ว่าเขาต้องการโจมตีผมกับเคลวินนั่นเอง
อยากจะหันไปโต้ตอบใจจะขาด แต่มันติดที่ทั้งกลุ่มเป็นผู้หญิง หากผมทำอะไรไป ก็จะกลายเป็นว่าผมรังแกเพศที่อ่อนแอกว่า อีกทั้งหากมีเรื่องมีราวกัน มันจะไม่ใช่แค่จบลงตรงที่ร้านอาหาร แต่น่าจะลุกลามไปทั่ว และข่าวเสียๆหายๆก็จะถูกกระพือไปทั่วบริษัท ทำให้เคลวินตกเป็นขี้ปากพนักงานอีก ผมจึงทำได้แค่นิ่งเฉย นั่งทานข้าวต่อไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพัก แม่สาวกลุ่มนั้นก็จ่ายค่าอาหาร และเดินผ่านหน้าผมไป ผมเงยหน้าขึ้นมองพวกเธอ ก็เห็นสาวกลุ่มนั้น ส่งสายตามาที่ผมอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ ราวกับผมเป็นสัตว์ประหลาดอะไรสักอย่าง ผมหน้าชาเหมือนถูกตบ ได้แต่ทำหน้านิ่งๆ แล้วมองผ่านคนกลุ่มนั้นไป ทำเหมือนกับว่าพวกเธอไม่มีตัวตนเช่นกัน
“คุณเคนใช่ไหมคะ”
พอพวกนั้นเดินออกจากร้านไปหมด สาวนางหนึ่ง ในกลุ่ม 6 คนที่ยังนั่งทานข้าวกันอยู่ ก็เดินมานั่งที่เก้าอี้ ตรงข้ามผม และเอ่ยปากทักทาย ผมพยักหน้าแทนคำว่าใช่ แล้วก็มองเธอซึ่งยิ้มซื่อๆให้กับผม
“วันนั้นคุณเคนร้องเพลงเพราะจังเลยค่ะ”
เธอกล่าวชมผมออกมา ผมกล่าวขอบคุณเธอ และนั่งฟังว่าเธอจะพูดอะไรต่อ
“คุณเคนเป็นนักร้องได้สบายๆเลยค่ะ”
คำชมต่อมาเล่นเอาผมเขิน เพราะผมเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเก่งถึงขนาดนั้น แต่เมื่อมีคนชม ผมก็น้อมรับ และกล่าวขอบคุณเธอ รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที หลังจากที่เจอเรื่องที่ทำให้หัวเสีย อย่างน้อยๆ โลกก็ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไป มีคนเกลียดผม ก็มีคนชอบผมบ้างเหมือนกัน
“พวกเราได้ยินมาว่า คุณถูกคนทำร้าย ในวันปิกนิค จริงหรือเปล่าคะ”
คุยกันสักพัก เธอก็ถามประโยคนี้ขึ้นมา เล่นเอาผมอึ้ง มองหน้าคนถามอย่างสงสัยว่าเธอจะมาไม้ไหน และเธอเป็นใครกันแน่ ต้องการสืบข่าว หรือแค่แสดงความเห็นใจ

“เอ้อ ขอโทษค่ะ ที่ถามแบบนั้น พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรนะคะ เผอิญว่า พวกเรานั่งรถคันเดียวกับคุณตอนขามา แล้ววันกลับคุณก็ไม่ได้กลับด้วย มีคนเล่าว่าได้ยินว่ามีพนักงานบริษัทถูกคนลอบทำร้ายบาดเจ็บ และไม่ได้กลับมาพร้อมกัน พอดีพวกเราไม่เห็นคุณก็เลยคิดว่าต้องเป็นคุณเคนแน่ๆ แล้วคุณก็ไม่ได้มาทำงานหลายวันด้วย”
เธอเฉลยให้ผมฟัง พลางหันไปยังกลุ่มเพื่อนที่พยักหน้าสนับสนุนคำพูดของเธอ ผมหันไปมองตาม ก่อนจะกลับมามองที่เธออีกครั้ง ดูเธอเป็นคนซื่อๆ ไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไร
“มันเป็นอุบัติเหตุนิดหน่อยครับ”
ผมไม่ปฏิเสธเรื่องการได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ตอบเรื่องการถูกทำร้าย พูดให้ฟังแค่เพียงว่ามันเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น สำหรับเรื่องนี้ ผมคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเล่าให้ใครฟัง เนื่องจากเห็นว่ามันไม่สมควร ผมมีเรื่องกับพนักงานบริษัทกลุ่มหนึ่ง และถูกพวกเขารุมทำร้าย มันเป็นปัญหาระหว่างผมกับพวกเขา ไม่อยากให้รู้กันมาก ไม่อยากให้เกิดความแตกตื่น คนกลุ่มนั้นอาจจะมีเพื่อนฝูง มีคนรู้จักสนิทสนมในบริษัทแห่งนี้ คงไม่เป็นการดี ที่จะพูดเรื่องของเขาจนทำให้ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง
“อือ หรือคะ แต่เราได้ยินคนเขาพูดกันว่าคุณถูกพวกพนักงานทำร้าย เราก็เลยอยากรู้ว่าจริงหรือเปล่า”
ท่าทางคนพูดเหมือนไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยิน คงรับข้อมูลมาหลายด้าน
“ใครเขาไปพูดกันแบบนั้นหรือครับ”

ออฟไลน์ minchy

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +173/-0
ถามอย่างสงสัย ใจกระหวัดนึกไปถึงอันธพาลในคราบพนักงานกลุ่มนั้น
“พวกพนักงานธุรการค่ะ เขาบอกว่าเขาสนิทกับพวกแผนกช่าง และคนพวกนี้เขาคุยกันว่า เขาไปมีเรื่องกับพนักงานคนหนึ่งค่ะ”
สิ่งที่เธอเล่า เล่นเอาผมถึงกับมึน คิดไว้แล้วว่าพวกนั้นต้องเล่นไม่เลิก แต่ไม่คิดว่าจะกล้าพูดเรื่องการทำร้ายพนักงานด้วยกันให้คนอื่นฟังอย่างไม่รู้สึกรู้สา ต้องการอวดเบ่ง ว่าตัวเองเก่ง โดยไม่แคร์ว่าใครจะเอาไปเล่าจนตัวเองโดนตักเตือนหรืออย่างไร
“งั้นหรือครับ เขาเล่าว่าไงบ้าง”
“ก็พูดแค่ว่า พวกเขาไปเล่นงานพนักงานคนหนึ่ง เพราะหมั่นไส้ พนักงานคนนี้ที่ทำให้เขาพลาดรางวัลการแสดงค่ะ แล้วก็พูดประมาณว่าพนักงานคนนี้ไม่มีฝีมือ แต่ชอบเล่นเส้นสายจนได้ดิบได้ดี แถมผู้บริหารยังลำเอียงเข้าข้างด้วยค่ะ”
ข้อมูลที่หญิงสาวคนนี้ได้มา เป็นข้อมูลหลอกลวงชัดๆ ทำแบบนี้เหมือนไม่ได้รู้จักเคลวินดีพอ หากผมจะเล่นเส้นสายเนื่องจากเป็นคนสนิทของเคลวินเพื่อไต่เต้าไปให้ถึงดวงดาว ผมคงไม่ต้องมานั่งทำงานอย่างหนักเพียงเพื่อให้คนยอมรับหรอก
“อืม แล้วคุณเชื่อพวกเขาหรือเปล่า”
อยากรู้เหมือนกันว่าคนที่ได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้ จะมีความเชื่อข่าวลือ ข่าวมั่วมากน้อยแค่ไหน
“เชื่อบางเรื่องค่ะ บางเรื่องก็พูดเกินไปค่ะ”
เธอตอบกลับมาอย่างตรงไปตรงมา
“ขอบคุณนะครับที่นำข่าวมาบอกกัน ว่าแต่ทำไมคุณถึงมาบอกกับผมล่ะ”
คราวนี้ผมเป็นฝ่ายตั้งคำถามกลับบ้าง เพราะสงสัยว่าทำไมเธอถึงเลือกมาบอกผม ทั้งที่เราก็ไม่รู้จักกัน ไม่จำเป็นที่เธอจะต้องยื่นมือยุ่งเกี่ยวด้วยเรื่องนี้ แล้วการที่เธอมาคุยกับผมนี่ก็เสี่ยงมาก หากว่าผมเป็นพวกคิดมากหวาดระแวง ผมอาจจะปฏิเสธความหวังดีของเธอกับเพื่อน โดยไม่ฟังสิ่งที่เธอเล่าก็ได้

“คือ พวกเราคิดว่าคุณเป็นคนดีค่ะ ที่จริงก็ได้ยินได้ฟังเรื่องของคุณมาบ้าง ที่เล่าต่อๆกันมา จนได้เจอตัวจริงที่คุณแนะนำตัวเองบนรถ ท่าทางคุณก็สุภาพดี ไม่กร่างอย่างที่ใครต่อใครพูด ตอนเล่นกีฬา คุณก็ตั้งอกตั้งใจเล่น ไม่ได้จะทำให้แพ้เสียหน่อย แต่คนพวกนั้นเขาพาลเพราะเขาเสียผลประโยชน์ก็เลยหาเรื่องค่ะ”
จบคำอธิบายยืดยาว เธอก็ยิ้มให้ผมอย่างจริงใจ ผมกล่าวขอบคุณเขา และเพื่อนๆ ที่เข้าใจและเชื่อใจในตัวผม รู้สึกมีกำลังใจขึ้นเป็นกอง อย่างน้อยๆสิ่งที่ผมเพียรทำมาตลอด ก็เริ่มมีคนมองเห็นบ้างแล้ว
“สู้สู้นะคะ เอาใจช่วย อยากให้พวกนั้นเจอเล่นงานบ้าง ไม่ชอบเหมือนกันค่ะ”
ในที่สุดเธอก็แง้มสิ่งที่อยู่ในใจของเธอออกมา ผมไม่ถามอะไรต่อ เพราะคิดว่าเราไม่ได้สนิทกันพอที่เธอจะมาเล่าอะไรต่อมิอะไรให้ฟัง แล้วผมก็ไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็นด้วย แค่มองดูสีหน้าและแววตาของเธอขณะพูดถึงคนกลุ่มนั้น ก็รับรู้ได้ว่าเธอไม่ชอบคนกลุ่มนั้นมากแค่ไหน
เธอนั่งคุยกับผมสักพัก แล้วก็กลับไปสมทบกับเพื่อนๆของเธอ โดยก่อนจะไปก็แนะนำตัวเสร็จสรรพ เธอชื่อแคท ทำงานอยู่ฝ่ายบัญชี ซึ่งชั้นที่เธอนั่งทำงานอยู่ จะรวมกลุ่มอยู่กับพวกธุรการ และฝ่ายช่าง จึงเป็นไปได้ที่เธอจะเห็นพฤติกรรมต่างๆ ของคนพวกนั้นและเกิดความไม่ชอบใจขึ้นมา พอได้ยินเรื่องของผม และมีจังหวะที่ได้เจอกัน เลยมาเล่าบางอย่างให้ฟัง
ทานข้าวเสร็จ ผมก็กลับขึ้นไปทำงานอีกครั้ง ด้วยหัวใจที่พองโตกว่าเดิม มิตรภาพที่เพิ่งได้รับจากพนักงานบริษัทเดียวกัน ทำให้ผมรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ ข้าวที่กินเข้าไปจนเต็มท้อง ยังทำให้ผมรู้สึกอิ่มเอมได้ไม่เท่า ด้วยความที่ผมถูกปล่อยให้อยู่โดดเดี่ยวมานาน ไม่มีใครอยากคบหา พอมีคนหยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้ ผมก็รู้สึกยินดี แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่คนกลุ่มเล็กๆก็ตาม แต่แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว
เพื่อนใหม่ที่มีโอกาสได้พบ ทำให้ผมรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจอย่างบอกไม่ถูก เดินยิ้มอารมณ์ดีเข้าไปในลิฟต์ซึ่งมีผมเพียงแค่คนเดียว เนื่องจากยังไม่ค่อยมีใครกลับขึ้นมาจนกว่าจะบ่ายแก่ๆโน่น แถวที่ทำงานของผมมีตลาดนัดทุกวัน พวกสาวๆ ชอบไปช้อปปิ้ง ซื้อของติดไม้ติดมือกลับบ้าน แม้แต่พนักงานหนุ่มๆ ก็ยังไปเดินเลือกข้าวของ เพราะมีของหลากหลาย ตั้งแต่เสื้อผ้าผู้หญิง เสื้อผ้าผู้ชาย ของใช้ในบ้าน อาหารการกิน หนังสือ และวีซีดี ทานข้าวแล้วก็เดินย่อยด้วยการเดินดูข้าวของได้สบายๆ จนกว่าจะได้เวลาเข้างาน ซึ่งบางทีก็มีการเข้าช้าบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติ ซึ่งก็ต้องแล้วแต่วิจารณญาณส่วนบุคคลด้วย ว่าจะเบียดบังเวลาทำงานมากน้อยแค่ไหน
ลิฟต์เลื่อนขึ้นไปเรื่อยๆ และมาจอดที่ชั้นลอย ซึ่งเปิดไปสู่ลานจอดรถ และเป็นสถานที่พักสำหรับสิงห์อมควันทั้งหลาย ทางอาคารออกกฎไม่ให้สูบบุหรี่ในอาคาร หรือในห้องน้ำ เพื่อป้องกันเพลิงไหม้ แต่ก็จัดสถานที่ให้กับคนสูบบุหรี่ ให้มีที่ระบายความเครียดอยู่ที่ชั้นลอย ซึ่งแทบจะเป็นที่พบปะพูดคุยกันของนักดูดทั้งหลาย
การที่มีนโยบายแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยๆ ก็ช่วยทำให้ความอยากจะสูบบุหรี่น้อยลง เพราะกฎข้อห้าม ต้องการจะสูบบุหรี่สักตัว ก็ต้องกดลิฟต์ลงมาข้างล่าง หายอยากกันพอดี แต่ก็มีบ้างที่อาศัยกฎเกณฑ์นี้เป็นข้ออ้าง ในการอู้งาน มาสูบบุหรี่ และหายลงมาทีเป็นเวลานานๆ ซึ่งหัวหน้าก็ต้องจัดการกันไป
ขณะที่ผมกำลังยืนยิ้มเพลินๆ ประตูลิฟต์ก็เปิดออก มีคนกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามา ผมต้องยืนหลบไปอยู่ด้านหลังสุด เพราะทำงานอยู่ชั้นสูงกว่าคนอื่น กลุ่มคนที่เข้ามาใหม่ คงไปสูบบุหรี่กัน เพราะได้กลิ่นบุหรี่ที่ติดตามเสื้อผ้าและเนื้อตัวของพวกเขา ทั้งหมดคุยกันเสียงดัง สักพักเสียงก็เงียบ ผมเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมา และมีคู่หนึ่งที่คุ้นตาเป็นพิเศษ เพราะมันคือดวงตาของนักเลงอันธพาลในคราบพนักงานที่มีเรื่องกับผม โชคชะตาช่างเล่นตลกเสียจริงที่ทำให้ผมได้เจอกับพวกเขาอีก ความโกรธที่หายไปเมื่อครู่หลังจากได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ เริ่มกลับคืนมา

“ว่าไงไอ้อ่อน แผลหายแล้วสิท่า”
หัวโจกที่มีเรื่องกับผมหมุนตัวมาเผชิญหน้า พลางเอ่ยปากถามอย่างเยาะหยัน มือเลื่อนมาจะจับคางผม แต่ผมยกมือขึ้นปัดกันไว้ก่อน
“กรุณาอย่ายุ่งกับผม”
ตอบพร้อมกับจ้องนักเลงโตคนนั้นเขม็ง ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวแม้แต่น้อย แม้ว่าเราจะเคยชกต่อยกันมาแล้ว และผมเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ แต่ผมก็พร้อมจะสู้อีก เผื่อปกป้องตัวเอง และคนที่ดีกับผมเสมอมาอย่างเคลวิน
“ใครอยากยุ่งกับมึงวะไอ้อ่อน แค่ตรวจดูบาดแผลที่พวกกูฝากรอยเอาไว้เท่านั้นเอง หายเร็วนี่หว่า สงสัยได้พยาบาลดี ท่านประธานเขาดูแลไปกี่ยกกี่ดอกกันล่ะ”
สำรอกคำพูดเน่าๆของตัวเองออกมาแล้วก็หัวเราะลั่น กรามของผมบดกันเป็นสันนูน มือกำแน่น รู้สึกโกรธที่พวกนั้นปากเสียละลาบละล้วงล่วงเกินเคลวินซึ่งเป็นประธานบริษัทของตัวเองด้วยถ้อยคำก้าวร้าวหยาบคาย ไม่เกรงกลัวว่าเรื่องจะรู้ไปถึงหูของเจ้าของบริษัท แล้วตัวเองจะเดือดร้อน แสดงว่าคนพวกนี้ต้องมีพฤติกรรมแย่ๆอย่างที่สาวๆกลุ่มนั้นพูดถึงจริงๆ ทำไมถึงได้ทำตัวน่ารังเกียจเยี่ยงนี้ อยู่บริษัทเขา ทำงานให้เขา กินเงินเดือนของเขา ยังพูดจาถึงเจ้าของไม่ดีอีก ไม่ละอายกันบ้างหรือไง
“กรุณาอย่าพาดพิงถึงคุณเคลวิน เขาไม่ได้มาเกี่ยวอะไรด้วย”
กระชากเสียงใส่อย่างไม่พอใจ ผมไม่ชอบให้เขามาพูดจาหยาบคายกับคนที่เป็นเจ้านายของตัวเองแบบนี้ มันแสดงถึงความไม่เคารพคนที่ให้โอกาสตัวเองได้ทำมาหากิน คนที่ไม่รู้บุญคุณคนอื่นแบบนี้ ก็ไม่ควรได้รับการปฏิบัติดีๆตอบเช่นกัน
“แน่ใจเหรอว่าไม่ได้เกี่ยว จำได้ว่าวันนั้นกูบอกมึงแล้วไม่ใช่เหรอ ว่ากูได้ยินอะไรแถวห้องน้ำ มึงกับประธานเคลวินมีอะไรกัน มึงถึงได้เลื่อนตำแหน่งข้ามหัวคนอื่นกลายเป็นคนสนิท คงจะใกล้ชิดกันทั้งตัวและหัวใจสิท่า”
พูดจบ คนน่ารังเกียจก็หัวเราะอีก น่าแปลกที่ลูกคู่ของเขา กลับไม่ร่วมวงด้วย ต่างพากันยืนเฉยๆ และหันหน้ามองไปทางอื่น ไม่มองผมกับเขาแม้สักนิด เหมือนไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วย
“กรุณาอย่าก้าวร้าว คนที่เขามีบุญคุณต่อตัวเอง คุณกำลังทำงานอยู่ในบริษัทของคนที่คุณด่าอยู่นะ”
ผมพยายามเตือนสติ ทว่าไม่เป็นผลเขากลับทำหน้าตาถมึงทึง คงโกรธที่ถูกผมสั่งสอน
“ใครมีบุญคุณ กูไม่ได้ทำงานบริษัทนี้ฟรีๆ นะ ใช้แรงงานเข้าแลก ต่างตอบแทน ไม่จำเป็นต้องไปสำนึกบุญคุณใคร เงินเดือนแค่นี้ซื้อใจกูไม่ได้หรอกโว้ย”
เขายังสำรากต่อเนื่อง ผมมองเขาด้วยสายตาดูหมิ่น เป็นครั้งแรกที่ผมมองใครด้วยสายตาแบบนี้ แต่สำหรับพนักงานคนนี้ ผมไม่จำเป็นต้องทำดีกับเขาอีกต่อไป
“งั้นทำไมไม่ลาออกไปเสียล่ะ จะอยู่เปลืองเงินบริษัทไปทำไม”



--------------------
TBC

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ลานจอดรถ มันมีกล้องวงจรปิดนะ งานนี้มีเสียว  :laugh: ลุ้นๆ

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ saseum

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 413
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เคนสู้ๆ เอาพวกนี้ออกไปเลย


ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ตามราวีไม่เลิกราแฮะ  สงสัยคราวนี้ต้องมีพยานรู้เห็นแบบจะๆๆ แน่ๆๆ

เคน สู้ๆๆ  :sad4:

ออฟไลน์ nbee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 849
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-1
ประโยคสุดท้ายนี่เด็ดจริงๆ
 o13
โดนอย่างแรง

อยากพูดได้อย่างนี้บ้างจัง


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ottomechan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 701
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ลาออกไปเลยยยยย



ไอหมาบ้า :angry2: :angry2:



เนรคุณ!!!!!!!! :m16:

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
หึๆๆๆ คราวนี้มีเสียวววววววว

กร๊ากกกกก

ไฉไล

  • บุคคลทั่วไป
กรี๊ด... ตามอ่านหลายหน้า หลายตอนด้วย แหะๆ


ดูท่าว่า งานนี้ จะได้หลักฐานมัดตัว คนทำร้าย หนุ่มเคนซะล่ะมั๊งโฮ่ะๆ

พนักงานแบบนี้ อย่าเอาไว้รกบริษัท เป็นดีที่สุด

ออฟไลน์ pdolphin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-2
อ่านเรื่องนี้แล้วมีความสุขค่ะ  ละเมียดดี

February

  • บุคคลทั่วไป
อ้างถึง
“งั้นทำไมไม่ลาออกไปเสียล่ะ จะอยู่เปลืองเงินบริษัทไปทำไม”

 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
คงใกล้ได้เวลาชำระความแล้ว

รีบมาต่อด่วนเลยนะหนูมิ้น ได้ยินว่าคุณเคทแต่เอาไว้แล้วอะ  ( ขี้ตู่ ) :z1:

+1ให้เป็นกำลังใจ ครับ

ออฟไลน์ minchy

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +173/-0
บทที่ 59

--------------------------

ไม่ได้ต้องการจะอัปเปหิเขาออกจากบริษัท เพราะผมไม่มีอำนาจสิทธิ์ขาดใดๆ ที่จะไปพูดอย่างนั้น แต่ผมก็ต้องการแสดงความคิดเห็นในฐานะพนักงานคนหนึ่ง เมื่อเขาไม่มีใจ จะอยู่ที่บริษัทนี้เพื่อผลาญงบบริษัทเล่นเพื่ออะไร
“ไล่กูเหรอไอ้อ่อน มึงคิดว่ามึงเป็นใคร ใหญ่มาจากไหน ถึงมาไล่กู หรือคิดว่ามีความสัมพันธ์กับประธานแล้ว มึงจะกร่างยังไงก็ได้ คิดว่าตัวเองเป็นนายน้อยของที่นี่อีกคนสิ”
น้ำเสียงนั้นกระโชกโฮกฮาก ดังลั่นจนแก้วหูสั่นระริก พวกเพื่อนเขาที่ทำเป็นนิ่งเฉย ต่างพากันหันมามอง เหมือนรอดูสถานการณ์
“ไม่เกี่ยวกับท่านประธาน ผมพูดในฐานะพนักงานคนหนึ่ง ซึ่งมองว่าการกระทำของคุณมันไม่ถูกต้อง ก็ในเมื่อคุณมองว่าบริษัทนี้ไม่ดี ประธานบริษัทก็ดูแย่ แล้วจะมาอยู่ทำไมล่ะครับ”
ย้อนถามนักเลงโต ที่ทำหน้าบูดบึ้งด้วยความโกรธจัด
“ไม่ถูกต้องตรงไหน ที่กูต่อยมึง กระทืบมึง จนหมอบคาตีน หรือว่าที่กูเปิดโปงความสัมพันธ์ของมึงกับเจ้านาย คนที่นี่ควรจะขอบคุณกูด้วยซ้ำที่กูช่วยกระชากหน้ากากพวกมึงออกมา สิ่งที่กูทำอยู่มีประโยชน์ต่อพนักงานหลายคน เพราะกูกำลังทวงถามหาความยุติธรรมให้กับพวกเขา คนที่เขาทำงานเหนื่อย แต่ไม่เคยได้เลื่อนขั้น ในขณะที่มึงมาจากไหนไม่รู้ กลับได้ทำงานในตำแหน่งใหญ่โต มึงต่างหากที่สมควรออกไปไม่ใช่พวกกู”
ใบหน้าของอันธพาลในคราบพนักงานแดงก่ำ เขาแผดเสียงใส่ผมจนหูชา ทว่าผมกลับยืนจ้องหน้าอย่างไม่หวั่น ในใจก็คิดว่าเมื่อไหร่จะถึงชั้นทำงานของคนพวกนี้สักที ผมเบื่อที่จะทะเลาะกับคนพวกนี้เต็มแก่ คนที่ใจคับแคบ ต่อให้พูดอะไรไป ก็คงไม่ฟัง เพราะใจเต็มไปด้วยอคติ และมักจะมองคนอื่นในแง่ลบอยู่แล้ว คงไม่มีวันเข้าใจคนอื่น เพราะตาและหัวใจของพวกเขามันบอดสนิท
“แต่อย่างว่าแหละ ประธานเขาคงไม่เอามึงออกหรอก เพราะถึงมึงจะทำงานห่วยแตกอย่างไร แต่ถ้าลีลาบนเตียงดีเลิศ มันก็คงมีภาษีดีกว่าคนอื่น เสียดายกูไม่ชอบกินถั่วดำซะด้วย ไม่งั้นจะสนองเจ้านายซะหน่อย อยากรู้ว่า กูจะมีสิทธิ์ได้ตำแหน่งใหญ่โตบ้างไหม”
ชิ้ง.....ผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่างขาดผึง ไม่ใช่เสียงสายพิณ หรือกีตาร์ แต่มันมาจากในหัวของผมนั่นเอง ตอนนี้สติของผมขาดผึงลงไปแล้ว มือกำแน่น กรามบดเป็นสันนูน ตาจ้องนักเลงโตที่กำลังลอยหน้าลอยตาพ่นคำหยาบคายใส่ผมและพาดพิงไปถึงเคลวินคนดีของผมด้วย
พอเห็นผมจ้องหน้าเขาอย่างไม่ลดละ ก็เหมือนไปเพิ่มความโกรธให้อันธพาลคนนั้น เขาจ้องผมตอบด้วยสายตาเกลียดชัง
“ไอ้ตุ๊ดเอ๊ย มึงมันตุ๊ด ประธานก็ตุ๊ด บริษัทนี้กำลังจะถูกครอบครองด้วยตุ๊ดแล้วโว้ย มิน่าคนปกติถึงไม่ได้ดิบได้ดี เพราะไม่มีตูดให้ดันนี่เอง”
ถ้อยคำหยาบคายนั่น เกินกว่าที่ผมจะทนฟังไหว มือที่กำยกขึ้น และฟาดเปรี้ยงไปที่ใบหน้าครึ่งปากครึ่งจมูกของนักเลงโตนั่น มันไม่ได้แรงมากมาย แต่ก็ทำให้เขาเซได้เหมือนกัน
“ไอ้อ่อน มึงกล้าทำกูเหรอ”
ทันทีที่ตั้งหลักได้ เขาก็โถมเข้ามาหาผม แต่ผมรออยู่แล้ว พอเขาพุ่งตัวมา ผมก็หลบไปอีกทางด้านหนึ่ง ตอนแรกก็กลัวว่าจะเกิดกรณีหมาหมู่ขึ้น แต่แปลกที่เพื่อนๆของเขาไม่ช่วย แถมซ้ำยังร้องห้ามปรามอีก
“อย่ามีเรื่องเลยว่ะ ปล่อยมันไปเถอะ”
“นั่นสิ มึงอยากเจอดีอีกหรือไง ถูกเตือนมาแล้วครั้งหนึ่งนะ”

“มึงมีเรื่องอีก เดี๋ยวโดนไล่ออกแน่ เขาคาดโทษไว้แล้วนะโว้ย มึงอย่าลืม”
“ไปยุ่งกับคนของท่านประธาน เดี๋ยวก็ชะตาขาดหรอกมึง”
เพื่อนๆของเขาพากันยื้อยุดฉุดกระชากไม่ให้นักเลงโต เอาเรื่องกับผม และพากันพูดเพื่อเตือนสติ ซึ่งผมฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ เหมือนว่านายคนนี้จะเคยเจออะไรบางอย่าง แต่ผมไม่มีเวลาจะพิจารณาถ้วนถี่ เพราะต้องคอยระวังตัว ไม่ให้ถูกทำร้าย
วันนี้เหมือนลิฟต์มันจะช้าๆเอื่อยๆอย่างไรไม่รู้ กว่าจะถึงชั้น 17 ที่ผมทำงานอยู่ก็นานพอสมควร ราวกับถูกล็อคลิฟต์ ถ้าจะต้องสู้กัน ผมก็อยากจะได้พื้นที่กว้างๆกว่านี้ ในที่จำกัดอย่างในลิฟต์ และต้องสู้แบบ 1 ต่อ 5 ผมคงถูกอัดจนน่วมเหมือนเดิม
“กูไม่กลัว ออกเป็นออก หมั่นไส้แม่งมานานแล้ว เอามันไว้ทำไม ไอ้ตัวซวยแบบนี้ นอกจากจะข้ามหัวคนอื่นๆไปได้ตำแหน่งดีๆแล้ว ยังทำให้กูพลาดรางวัลแม่งหมดทุกอย่าง ตัวมารอย่างมัน ต้องถูกขจัด ถ้ากูจะถูกไล่ออก ก็ขอกระทืบแม่งให้น่วมอีกทีแล้วกัน”
เขาขยับเท้าก้าวเข้ามาหา ในขณะที่เพื่อนก็รั้งตัวเอาไว้ แต่ดูเหมือนเพื่อน 4 คน จะสู้แรงอาฆาตที่มีอยู่ในตัวคนๆเดียวไม่ได้ ในที่สุดเขาก็ดิ้นหลุด และโถมตัวเข้ามาหาผม ซึ่งยืนอยู่ตรงประตูลิฟต์ จังหวะที่เขาชกเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้าผม ลมเย็นๆก็ปะทะวูบที่ด้านหลัง ทำให้ผมถึงกับยิ้มออก เมื่อโชคช่วย
ประตูลิฟต์ถูกเปิดออกจากด้านนอกคงเพราะมีคนกดเรียก ผมหมุนตัวกระโดดออกมานอกลิฟต์ ไม่ได้หนี แต่ออกมาตั้งหลัก นักเลงคนนั้นไม่ทันตั้งตัว เพราะมัวแต่คิดจะทำร้ายผม พอลิฟต์เปิดกว้างในจังหวะที่เขาโถมตัวเข้าหาผมพอดี เขาก็เลยเสียหลักล้มคว่ำลงไปกับเพื่อน มีเสียงร้องหวีดจากหญิงสาวที่ยืนรออยู่ด้านนอก เธอยกมือขึ้นปิดปาก แฟ้มเอกสารที่ถือมาหล่นกระจาย
“ไอ้เห้.........มึงตาย....”
คนที่เสียท่าคำรามลั่น พอลุกขึ้นได้ เขาก็ทะยานออกจากลิฟต์ แล้วไล่ต่อยผม ซึ่งผมก็พยายามต่อสู้และปัดป้อง โดยมีเพื่อนๆของเขาคอยตามยื้อยุดไม่ให้เกิดเรื่อง ซึ่งผิดวิสัยเอามากๆ เพราะครั้งหนึ่งคนกลุ่มนี้ ที่ช่วยนักเลงโตรุมกระทืบผมที่รีสอร์ท จนอ่วม น่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น จนทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจไม่ร่วมรุมยำผม
“มึงไม่มีทางสู้กูได้หรอกไอ้อ่อน คราวที่แล้วกูยั้งมือไว้ คราวนี้กูเอามึงตายแน่ ออกเป็นออกโว้ย”
เมื่อไม่สามารถทำอะไรผมได้มาก เพราะผมหลบหลีกและโต้ตอบเขาบ้าง ประสบการณ์ที่โดนรุมคราวนั้น ทำให้ผมเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น เวลาเขาต่อยมา ผมก็หลบหลีก แล้วก็ส่งหมัดโต้ตอบกลับ โดนบ้างไม่โดนบ้าง เพราะผมไม่ใช่นักมวยมืออาชีพ แต่อย่างน้อยก็ทำให้นักเลงโตหงุดหงิดหัวเสียได้
“อย่าคิดว่าทุกอย่างมันจะง่ายเหมือนเดิม คนที่เขาไม่เกรงกลัวพวกนายก็มี”
ผมตอบกลับ และสวนหมัดตูมเข้าไปที่ปลายคางนักเลงโตอีกครั้ง เมื่อเขาเพลี่ยงพล้ำ หลังจากสวนหมัดเข้ามาหาผมหมายที่ใบหน้าแต่ผมเบี่ยงตัวหลบ หมัดของผมไม่แรงเพราะตัวผมเล็กกว่าเขา หมัดก็ไม่หนัก แต่พอได้จังหวะเหมาะ และถูกที่ปลายคางถนัดถนี่เขาก็หน้าหงายไปเหมือนกัน และนั่นเหมือนจะยิ่งเพิ่มความแค้นให้กับเขา เพราะนักเลงโตถลันเข้ามาใหม่ด้วยความคลั่งแค้นกว่าเดิม คราวนี้เพื่อนก็ห้ามไม่ได้แล้ว เขาก้าวเร็วๆเข้ามาหาผม ตาจับจ้องมองหาเป้าหมายบนใบหน้า ด้วยความที่ผมมัวแต่ระวังหน้าตาตัวเอง เลยเปิดช่องว่างที่ลำตัวให้เขา กว่าจะรู้ตัวก็เจ็บจุกเข้าที่ชายโครง เนื่องจากถูกต่อยเข้าเต็มแรงจนตัวงอ ต้องฝืนอย่างมากให้ยืนอยู่ไม่ล้มลงไปก่อน

“เป็นไงไอ้อ่อน มึงมันอ่อนจริงๆอย่างที่กูเดาไว้ไม่ผิด คราวนี้มึงจะได้รู้เสียทีว่าคนที่กล้าหยามกูมันจะได้ผลอย่างไร”
เขาตามมาซ้ำผมด้วยการต่อยอัดเข้าที่ลำตัว พอผมลดแขนลงมาปิดป้อง ก็เปิดช่องว่างบนหน้าให้เขาอีก เลยถูกต่อยเต็มแรง ถึงผมจะเบี่ยงตัวหลบ แต่ก็โดนเข้าที่กกหูอยู่ดี ถึงกับหน้าหัน เซถลา ร่วงลงพื้นดุจนกปีกหัก นักเลงโตเดินตามมายกขาจะกระทืบซ้ำ แต่กลับถูกรวบตัวไว้ได้ก่อนจากรปภ.ร่างใหญ่ ซึ่งโผล่มาตอนไหนไม่รู้
ผมหันไปมองคนที่ช่วยเหลือผม ก็พบว่าด้านหลังเขาคือพนักงานสาวคนที่ยืนอยู่หน้าลิฟต์ ตอนสู้กันผมไม่ทันสังเกตเห็นเธอ คาดว่าน่าจะไปเรียกรปภ.มาจัดการแยกพวกเราออกจากกัน ถัดจากพนักงานหญิงคนนั้น ก็เป็นพวกพนักงานที่ทำตัวเป็นไทยมุง อยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนเพื่อนของนักเลงโต เผ่นแน่บไปหมดแล้ว ปล่อยให้เขาดิ้นรน โวยวายด่าทอ รปภ.และผม รวมไปถึงเคลวินด้วย เสียงดังลั่น

ไม่กี่นาทีต่อมา ทั้งผมและนักเลงอันธพาลคนนั้นก็มานั่งอยู่ด้วยกันในห้องประชุม ซึ่งถูกจัดเป็นห้องสืบสวนชั่วคราว เราสองคนนั่งข้างๆ กัน ถัดจากผมเป็น พนักงานสาวคนที่เห็นเหตุการณ์และไปตามรปภ. ส่วนที่นั่งถัดไปจากพนักงานคนที่มีเรื่องกับผม คือกลุ่มเพื่อนๆของเขา ที่นั่งก้มหน้านิ่ง ท่าทางกลัวหงอ
เบื้องหน้าของเราคือพนักงานระดับบริหาร 4- 5 คน หนึ่งในนั้นคือคุณชาตรี ซึ่งดูแลฝ่ายธุรการ และ ฝ่ายผลิต ซึ่งรวมทั้งแผนกช่างด้วย เมื่อพนักงานในฝ่ายของเขามีเรื่อง เขาก็ต้องมาร่วมรับรู้ รับผิดชอบ ผมเห็นสีหน้าเขาไม่สู้ดี ดูเหมือนจะโกรธมาก สังเกตได้จากตอนที่เขานั่งคุยอยู่กับผู้จัดการฝ่ายบุคคล ดูท่าทางเหมือนเขาไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่ คงรู้สึกอับอายขายหน้าที่คนใต้การปกครองของตัวเองทำเรื่องเลวร้าย ให้เขาต้องกลุ้มใจ ถัดจากคุณชาตรี เป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่ต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะดูแลพนักงานทั้งบริษัท ข้างๆเขาคือหัวหน้าแผนกช่าง ที่เป็นต้นสังกัดโดยตรงของนักเลงที่มีเรื่องกับผม ทั้งสามคนคือผู้ที่จะสอบสวนเรื่องความขัดแย้งระหว่างผมกับพนักงานคนนี้
“ไหนบอกมาสิ ว่าเกิดบ้าอะไรกัน พวกเธอถึงได้มาต่อยตีเหมือนกับกุ๊ยข้างถนน ไม่อายตัวเอง ก็น่าจะอายคนอื่นบ้าง”
“ก็ไอ้เด็กนี่มันต่อยผมก่อนนี่ครับ ผมก็ต้องป้องกันตัวสิ”
เมื่อสิ้นคำถามของผู้จัดการชาตรี นักเลงโตพนักงานแผนกช่างก็กล่าวหาผมทันที
“เคน เธอคิดจะเป็นนักเลงหรือไง ถึงได้ไปต่อยตีคนอื่น หน้าตารูปร่างก็ไม่ให้เลย คิดจะเอาดีทางนี้หรือไง”
นายชาตรีหันมาถามผมเสียงเข้ม ทว่าแววตาที่มองมานั้นแฝงไว้ด้วยความเห็นอกเห็นใจ
“ผมมีความจำเป็นที่ต้องทำแบบนี้ครับ”
ตอบได้เพียงเท่านั้น เพราะไม่อยากพูดถึงสาเหตุที่ทำให้ผมต้องทะเลาะเบาะแว้งกับพนักงานด้วยกัน
“ความจำเป็นอะไรของเธอ เขาแย่งแฟนเธอ ด่าพ่อล่อแม่ หรือว่ากลั่นแกล้งเธอให้ช้ำใจ”
ท่านผู้จัดการยังถามอีก ผมคิดว่าเขาคงทำไปตามหน้าที่ ต้องซักฟอกหาเหตุผลที่ทำให้คนสองคนทะเลาะกันให้ได้ เพื่อตัดสินคดี
“บอกมาสิไอ้อ่อน เอ้อ คุณเคน ผมไปทำอะไรให้คุณ คุณถึงมาต่อยผม”
นักเลงโตหันมาถามผม พลางตีหน้าเศร้า ราวกับเป็นผู้ที่ถูกกระทำเลยต้องป้องกันตัว
“บอกไม่ได้ เพราะว่าผมไม่ได้ทำร้ายคุณก่อน แต่คุณทำผมก่อนใช่ไหม”

พอรู้ว่าผมพูดไม่ได้ เพราะพูดไปแล้ว เรื่องก็ต้องพัวพันไปถึงเคลวิน เขาก็เลยได้ที รุกไล่ผมใหญ่ ผมนั่งนิ่ง เม้มปากกลัวว่าจะหลุดคำพูดออกมา รู้สึกอึดอัดอย่างเหลือเกิน อยากบอกให้ใครๆรู้ว่า นักเลงโตคนนี้ ทำเรื่องไม่ดีไว้อย่างไร แต่หากผมพูดออกไปว่าผมทนไม่ได้เรื่องที่เขาลบหลู่ประธานบริษัทด้วยเรื่องคาวๆ ระหว่างเขากับผม เคลวินก็จะถูกลากลงมาเกี่ยวข้องทำให้ชื่อเสียงมัวหมองไปด้วย แม้ผมจะเจ็บใจแค่ไหน แต่ก็ต้องทนนิ่งไม่พูดออกไป ปล่อยให้คนใจทรามพูดจาเย้ยหยันผม
“เห็นไหมครับท่านผู้จัดการ เขาตอบไม่ได้ เพราะผมไม่ได้ทำอะไรเขา แต่เขาทำร้ายผมก่อน ถ้างั้นผมขอร้องเรียนบ้าง ท่านผู้จัดการต้องให้ความเป็นธรรมกับผมนะครับ ผมถูกทำร้าย ทั้งที่ผมเป็นผู้บริสุทธิ์ ผมขอให้เขารับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นครับ”
เขาทำเสียงเย้ยหยัน คงจะรู้ว่าตัวเองเป็นต่อ เนื่องจากผมไม่กล้าพูดกล่าวหาเขา งานนี้นอกจากผมจะเจ็บตัวฟรีคราวก่อนแล้ว คราวนี้ผมก็ยังเอาคืนไม่ได้ แถมซ้ำเกือบจะทำให้เคลวินมัวหมองอีกด้วย
“แน่ใจนะ ว่าเขาทำร้ายคุณก่อน โดยที่คุณไม่ได้ไปพูดจายั่วยุเขา ตัวคุณเองก็อยู่ในระหว่างการภาคฑัณฑ์ไม่ใช่เหรอ คุณก็น่าจะรู้นี่ ว่าทำผิดอีกหน จะเกิดอะไรขึ้น”
คุณชาตรีหรี่ตามองพนักงานในสังกัดตัวเองอย่างคลางแคลงใจ ดูท่าทางเขาไม่เชื่อคำพูดของลูกน้องตัวเองเท่าไหร่ คำพูดของเขาทำให้ผมคิดตามไปด้วย
รู้สึกว่า นายคนนี้จะถูกลงโทษจากบริษัทด้วยเรื่องอะไรบางอย่าง และกำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงพฤติกรรม หากเขาทำผิดก็จะถูกลงโทษขั้นร้ายแรง หวังว่าเรื่องที่เขาโดนลงโทษครั้งก่อน คงไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับการที่เขาซ้อมผมที่รีสอร์ทหรอกนะ
“ครั้งก่อน ผมอาจจะก่อเรื่องไปด้วยความเมา แต่ครั้งนี้ ผมไม่ได้ทำแน่ๆ ถ้าผมทำร้าย เขาก็ต้องพูดออกมาแล้ว นี่เขาก็นิ่งยอมรับความจริงแล้วนี่ครับ ทำไมไม่เชื่อกันบ้าง หรือผมเคยทำผิดแล้วครั้งหนึ่ง ก็ต้องคิดว่าผมจะก่อคดีซ้ำสองอีก”
สีหน้าของเขาขณะพูดดูกวนๆ ท่าทางเหมือนจะไม่ค่อยเกรงอกเกรงใจผู้จัดการฝ่ายของตัวเองเท่าไหร่ ซึ่งตามปกติแล้ว ผู้จัดการชาตรีเป็นคนดุ ไม่มีใครที่จะมากล้าต่อปากต่อคำกับแก ดังนั้นการที่นักเลงโตพูดจายอกย้อนก็ย่อมไปกระตุกต่อมความโกรธของผู้จัดการอย่างจัง
“มันเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น เพราะคนที่เคยทำผิดมาแล้ว มักมีแนวโน้มที่จะทำผิดต่อไป เพราะไม่มีความเกรงกลัวหรือละอายในสิ่งที่ตัวเองทำ สำหรับคุณ ถ้ายืนยันว่าไม่ได้ทำผิด ก็ไม่ต้องมาร้อนตัว เดี๋ยวดูหลักฐานจากในเทปวิดิโอก็รู้ ว่าใครเป็นคนลงมือก่อน”
พูดจบ นายชาตรีก็สั่งให้หัวหน้าแผนกช่าง ซึ่งเป็นลูกน้องของเขาและเป็นหัวหน้าของนักเลงโต ไปกดปุ่มเครื่องเล่นซีดีซึ่งบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิด ที่ทางฝ่ายอาคารได้ถ่ายลงแผ่นซีดีมาให้ โดยตัดต่อตั้งแต่ช่วงเวลาที่เกิดเรื่อง
ภาพที่เห็นบนจอทีวีซึ่งมีแต่ภาพ ไม่มีเสียง เริ่มตั้งแต่ผมก้าวเข้ามาในลิฟต์และยืนยิ้มอยู่ สักพักก็มีกลุ่มคนก้าวเข้ามา ยืนคุยกัน จากนั้นก็มีคนหันมาคุยกับผมด้วยท่าทางข่มขู่ ซึ่งก็คือนักเลงโตคนที่นั่งข้างผมนั่นเอง
เราต่างมองภาพภายในจอด้วยความรู้สึกที่ต่างกันไป นักเลงโตนั่งกอดอกมองภาพที่อยู่บนจอ ท่าทางลุ้นๆ เหมือนจะให้มันผ่านๆไป พอดูไปถึงช่วงที่ผมต่อยเขาก่อน เขาก็ร้องลั่น ชี้ไม้ชี้มือให้ทุกคนดู
“นั่นไง หลักฐานชัดเจน เห็นกันชัดใช่ไหมครับ เขาต่อยผมก่อน เขาทำร้ายผม เห็นกันหรือยัง”
“อือ เห็นแล้ว ผมไม่ได้ตาบอด เห็นชัดเจนว่าเคนต่อยคุณก่อน และก็เห็นด้วยว่าคุณทำท่าคุกคามเขา”

นายชาตรีเบือนหน้าจากจอภาพ มาที่หน้าของนักเลงโต ก่อนจะกล่าวกับเขาอย่างรู้ทัน ถึงแม้ว่ามันจะมีภาพไม่มีเสียง และจากที่เห็นผมเป็นฝ่ายผิดเต็มๆ เพราะไปซัดปากเขาก่อน การที่ไม่ได้ยินเสียงทำให้ไม่รู้ว่าเราโต้ตอบอะไรกัน แต่นายชาตรีก็ทำท่าเหมือนจะเข้าข้างผม ไม่เชื่อลูกน้องตัวเอง ทั้งที่หลักฐานมีอยู่ให้เห็นทนโท่
งานนี้ผู้จัดการชาตรี ออกโรงเต็มที่ ทั้งที่ควรจะเป็นหน้าที่ของผู้จัดการฝ่ายบุคคล ที่จะต้องสอบถามพวกเราเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แต่กลายเป็นว่าผู้จัดการฝ่ายธุรการดำเนินการสอบถามซะเอง คงเพราะขายหน้าส่วนหนึ่ง เนื่องจากคนที่มีเรื่องราวเป็นลูกน้องในฝ่าย เขาจึงต้องทำอะไรบ้าง เพื่อไม่ให้คนมองว่าเขาไม่จัดการอะไรเลย ปล่อยให้ลูกน้องลอยนวล ทำผิดอยู่เรื่อยๆ
“คุกคาม ?...ผมนี่นะ จะไปคุกคามเขาเรื่องอะไร”
นักเลงโตขึ้นเสียงสูง ทำท่าไม่พอใจที่ถูกซักถามราวกับเขาเป็นต้นเหตุ ไอ้หมอนี่แสดงละครเก่งชะมัด ทำตัวเหมือนผู้บริสุทธิ์ที่กำลังถูกกล่าวหา
“ก็ ใครจะไปรู้ บางทีคุณสองคนอาจจะมีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อนก็ได้ อย่างเช่น ความไม่พอใจที่ถูกตัดสินไม่ให้ได้รับรางวัลในการประกวด จนเก็บมาผูกใจเจ็บ”
การเปิดประเด็นของผู้จัดการชาตรี ทำให้ผมถึงกับสะดุ้ง และตั้งใจฟังการโต้ตอบของคนทั้งสอง ภาวนาว่าอย่าให้สิ่งที่ผมคิดเป็นจริงเลย
ผมไม่ได้มาทำงานหลายวัน ระหว่างนั้นผมก็ไม่รู้ว่าเคลวินจัดการเรื่องของผมไปอย่างไรบ้าง เขาไม่พูดถึงเลยสักครั้ง มีแต่ปลอบโยนให้กำลังใจ และดูแลผม ในขณะที่ผมเองก็ไม่ได้ซักถามเพราะกลัวว่าเขาจะอยากรู้ว่าใครทำผม การที่เราสองคนไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้ผมไม่รู้ความคืบหน้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง การมาได้ยินว่านักเลงโตคนนี้ถูกภาคทัณฑ์ในความผิดที่เขาก่อ ทำให้ผมรู้สึกสังหรณ์ใจ
สมมติว่าเคลวินได้จัดการเรื่องนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ผลที่ได้ก็จะเป็นสองอย่าง คือการลงโทษทำให้คนทำผิดเข็ดหลาบ หรือไม่ก็ผูกใจเจ็บแค้น แต่ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในวันนี้ น่าจะเป็นกรณีหลังมากกว่า ผมกลัวเหลือเกินว่า เขาจะไม่แค้นผมคนเดียว แต่อาจจะต้องการทำลายเคลวินด้วย
“อะไรกัน ท่านผู้จัดการอย่ามากล่าวหาผมแบบนี้สิ ผมจะไปโกรธเขาทำไมกัน เขาไม่ได้เป็นคนให้คะแนนผมนี่ แล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่ไปบอกท่านประธานให้เปลี่ยนผลการตัดสินไม่ใช่เหรอ ...”
เขาปฏิเสธข้อกล่าวหาพัลวัน ตาก็เหลือบแลมาทางผม
“ถ้าคุณเคนเขาทำอย่างนั้นก็โง่มากๆ เพราะคงไม่ใช่แค่ผมไม่พอใจ พนักงานคนอื่นๆ ก็ต้องสงสัยว่าเพราะอะไรคุณเคนเขาถึงได้มีอิทธิพลอยู่เหนือท่านประธานที่จะสั่งอะไรประธานก็เชี่อ ใช่ไหมเคน”
ประโยคท้ายเขาหันมาถามผม ทำเหมือนกับไม่เชื่อว่าผมจะทำตัวอย่างนั้น แต่สีหน้าแววตาของเขาไม่ได้คิดดีแบบคำพูด ตาของเขาจ้องผมอย่างแค้นเคือง เหมือนเขากล่าวหาผม และที่พูดมาทั้งหมด เขากำลังหมายถึงสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม เขาโทษว่าผมเป็นคนทำให้ท่านประธานเปลี่ยนใจไม่มอบรางวัลการแสดงให้เขา แม้ว่าผมจะอธิบายอย่างไร เขาก็ไม่ฟัง และในที่สุดก็จบลงด้วยการที่ผมถูกเขาทำร้าย เพราะเข้าใจผิด
“ผมไม่ทำอะไรโง่ๆ หรอกน่า เคนเขาเป็นคนโปรดของคุณเคลวิน ผมจะไปกล้ามีเรื่องกับคุณเคน เลขาท่านประธานได้อย่างไรล่ะครับ มีหวังโดนเล่นงานน่ะสิ อาจจะโดนตัดเงินเดือนหรือโดนไล่ออกก็ได้”
เขายังโยกโย้ต่อไป และไม่วายแขวะมาถึงเคลวินด้วย
ไม่จำเป็นต้องเป็นคนโปรดของคุณเคลวินหรอก ทุกๆคนที่กระทำความผิด ไม่ว่าจะทุจริตในหน้าที่การงาน หรือเป็นอันธพาล ระรานพนักงานที่ดีๆไปทั่ว เราก็ไม่เอาไว้หรอก”
คราวนี้ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง เพราะเขาเป็นผู้รักษากฎระเบียบ ดูแลพนักงานทุกคนให้ปฏิบัติตามข้อบังคับ การปล่อยให้พนักงานทะเลาะกัน ก็เหมือนเขาบกพร่องในหน้าที่ เพราะสอดส่องดูแลไม่ทั่วถึง
“โอ๊ย สาธุ ถ้าความยุติธรรมมันมีจริงก็ดีสิ พนักงานจะได้อยู่บริษัทนี้นานๆ แต่นี่มีแต่ความลำเอียง เลือกที่รักมักที่ชัง จนพนักงานไม่อยากอยู่กันแล้ว”
นักเลงโตยกมือท่วมหัว ราวกับจะกราบไหว้ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้ศรัทธาอะไรอย่างจริงจัง เพราะในท้ายสุด เขาก็พูดจาแดกดันอยู่ดี
“และคุณอยากจะออกไปจากบริษัทนี้ไหมล่ะ ถ้าไม่อยากอยู่จะไปก็ได้นะ”
ดูเหมือนคำพูดของเขาจะทำให้นายชาตรีหมดความอดทน จึงโพล่งขึ้นมาอย่างไม่ไว้หน้า เล่นเอานักเลงโตในคราบพนักงานหน้าถอดสี สักพักก็โวยวายเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัว
“นี่ไล่ผมอีกคนแล้วเหรอ โห วันนี้ดวงซวยจริงๆ โดนไล่สองหนติดกัน ทั้งเคน ทั้งคุณชาตรี ผมคงหาความยุติธรรมจากคนในห้องนี้ จากประธาน จากบริษัทนี้ไม่ได้แน่ๆ”
“ความยุติธรรมมีให้เสมอ กับพนักงานที่ทำตัวดีๆ แม้แต่พนักงานที่เป็นกาฝาก เป็นแกะดำ ทำตัวมีปัญหา เราก็หยิบยื่นให้ได้เช่นกัน ก็ในเมื่อคุณมองว่าบริษัทนี้ไม่ดี และคุณไม่อยากอยู่ เราก็ให้โอกาสคุณในการไปอยู่ที่อื่นยังไงล่ะ ไม่ดีหรอกเหรอ เราไม่ได้รั้งคุณไว้ อยากไปก็ไป”
ท่านผู้จัดการตอบด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น มาดเข้มของเขาทำให้ผมแอบทึ่ง ตามปกติ จะเห็นเขาปากร้ายด่าใครต่อใครไปทั่ว แต่คราวนี้นอกจากจะไม่ด่า แต่กลับเชือดเฉือนได้ถึงอารมณ์
“ผมผิดข้อหาอะไรไม่ทราบ ถึงไล่กันนักหนา”
พอเห็นว่าผู้บริหารทั้งหมดไม่มีใครเข้าข้างเขา แถมยังไม่ใส่ใจกับคำพูดเขาอีก นายนักเลงโตก็เลยโกรธมากยิ่งขึ้น ตั้งคำถามกับทุกคนด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“เฮ้ย พวกมึงดูสิวะ คนผิดไม่ไล่ แต่มาไล่คนไม่ผิด”
หันไปหาพรรคพวกซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ แต่ไม่มีใครตอบเขา ทุกคนต่างพากันนั่งก้มหน้านิ่งไม่กล้าสบตาใคร คางแทบจะจรดอก รักตัวกลัวสูญเสียงานกันทั้งนั้น เห็นแล้วก็ได้แต่ปลง ครั้งหนึ่งคนพวกนี้ เห็นดีเห็นงามร่วมด้วยช่วยเขากระทืบผม แต่ครั้นพอมีเรื่องมีราวขึ้นมา ต่างคนก็ต่างเอาตัวรอด ปล่อยให้นักเลงโตโดดเดี่ยว เพราะห่วงใยหน้าที่การงานของตัว ไม่อยากเอาตัวพัวพันกับปัญหา มันน่าสังเวชตรงที่ว่า ในท้ายที่สุดเขาก็ไม่มีมิตรแท้ที่ยืนเคียงข้างเขา
“ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ หรือจะต้องให้พูด ตั้งแต่คุณมาทำงานที่บริษัทนี้ คุณก่อเหตุทะเลาะวิวาทมาสามครั้งแล้ว ครั้งแรกก็มีเรื่องกับพนักงานธุรการ ไปตบหน้าผู้หญิง แต่ตอนนั้นเห็นว่ามันเป็นเรื่องของคู่รักที่ไม่เข้าใจกัน ทางบริษัทก็ไม่อยากเอาเรื่องคุณ ครั้งที่สองคุณก็ไปก่อเหตุที่รีสอร์ทอีก และครั้งนี้ก็เป็นต้นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาทอีก คุณพูดมาสิ ว่าคุณไม่ผิด”
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลทำเสียงเข้มขึ้น ท่าทางเขาก็คงจะโกรธไม่น้อยเช่นกัน ที่นายนักเลงโตพูดจาดูหมิ่น เหมือนว่าทุกคนรุมรังแกเขาคนเดียว ก็เลยอ้างถึงประวัติการทำผิดของเขาที่ผ่านมา พลอยทำให้ผมรู้ไปด้วยว่า ไอ้หมอนี่ก็เกเรไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน ทำร้ายผู้หญิงด้วย หวังว่าพนักงานธุรการที่โดนตบ คงจะไม่ใช่แคทนะ

ออฟไลน์ minchy

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +173/-0
“อะไรกัน ขุดคุ้ยเรื่องเก่ามาพูดทำไมอีก สองครั้งนั่นผมก็ยอมรับผิด แล้วโดนลงโทษไปแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่ผิด ทุกคนก็เห็นอยู่ ภาพจากกล้องวงจรปิด ก็เป็นพยานหลักฐานได้ดี แล้วทำไมต้องปรักปรำผม พวกคุณต้องเอาเคนไปลงโทษสิ”
พอถูกฉีกหน้าด้วยคดีเก่าๆที่เขาทำเอาไว้ นายนักเลงโตก็หน้าบึ้งตึง เถียงผู้จัดการฝ่ายบุคคลปากคอสั่น
“ผมต้องลงโทษคุณสองคนแน่นอน และครั้งนี้ ผมก็เชื่อว่าคุณเองก็ผิดเช่นกัน แม้ว่าคู่กรณีของคุณจะไม่ยอมปริปากบอกว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่คุณก็มีส่วนร่วมในการทะเลาะวิวาทครั้งนี้ เพราะฉะนั้น ผมจะลงโทษคุณสองคน...”
เมื่อโดนท้าทาย ผู้จัดการฝ่ายบุคคลซึ่งต้องทำหน้าที่เปาบุ้นจิ้นพิพากษาคดี ก็เลยตัดสินออกมา ซึ่งผมก็คิดว่ามันยุติธรรมดี คนที่ทำผิดต้องถูกลงโทษ เพื่อไม่ให้คนอื่นๆเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้พูดต่อ นักเลงโตก็ชิงพูดขึ้นมากลางปล้อง
“อะไรกัน เห็นแค่นี้แล้วตัดสินเลยหรือไง ทำไมไม่ถามเพื่อนๆผมล่ะ ว่าเขาเห็นอะไรบ้าง พวกเขาเป็นพยานให้ผมได้ ว่าไม่ได้เริ่มก่อน ”
เขาหันไปทางเพื่อนๆที่นั่งก้มหน้างุดๆ ผู้จัดการชาตรี เลยตั้งคำถามเอากับคนพวกนั้น
“ว่าไงพวกคุณ ไหนลองตอบผมมาสิ ว่างานนี้ใครผิดใครถูก ใครเริ่มก่อน ใครยั่วยุ”
พอถูกตั้งคำถาม แต่ละคนก็เงยหน้าขั้นมามองกันเลิ่กลั่ก จากนั้นก็หันมาสบตานักเลงโต ซึ่งตีหน้ายักษ์ใส่
“พูดมาตามตรงนะ ห้ามโกหก เพราะถ้าโกหก และตอนหลังผมจับได้ ผมจะไล่พวกคุณออกทันที”
คำขู่นั้น ได้ผลพอสมควร อย่างน้อยๆ ก็ทำให้เพื่อนของนักเลงโต ไม่กล้าที่จะพูดปด แม้จะไม่ได้พูดความจริงทั้งหมดก็ตาม
“เอ่อ เคนเริ่มก่อนครับ เคนต่อยเพื่อนผมก่อน”
พยานคนแรกตอบก่อน เขาเลือกพูดเฉพาะความจริงที่ผมเป็นฝ่ายลงมือ นักเลงโตยิ้มอย่างสะใจที่เพื่อนเข้าข้าง
“แล้วเขาพูดอะไรกันในลิฟต์ จากที่เห็นเหมือนเพื่อนคุณไปพูดอะไรบางอย่าง ทำให้เคนเขาไม่พอใจ จนเกิดการชกต่อยขึ้น”
นายชาตรีซักต่อ คนที่พูดคนแรกอึกอัก ไม่กล้าตอบ นายชาตรีจึงหันไปถามคนที่สอง เขาก็อึกอักอีก แต่พอถูกขู่ด้วยประโยคเดิม เขาก็คายออกมา ถึงข้อความที่เป็นต้นเหตุให้ผมทนไม่ไหว และลงมือทำร้ายนักเลงโตก่อน
“คุณพูดจาดูถูกเขา และยังลากโยงไปถึงประธานด้วยนี่ คุณเคนเขาก็คงทนไม่ไหวมั๊ง ถ้าเป็นอย่างที่เพื่อนคุณเล่า คุณก็มีความผิดนะ”
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลสรุป ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับนักเลงโตไม่ใช่น้อย เขาอ้าปากจะโต้เถียง แต่ท่านผู้จัดการชาตรียกมือขึ้นเป็นการห้ามไม่ให้พูด แล้วก็พยักเพยิดให้ผู้จัดการฝ่ายบุคคลตัดสินความต่อไป
ท่านเปาบุ้นจิ้นหันมาทางผม ซึ่งผมก็เตรียมตัวพร้อมแล้วสำหรับรับการลงโทษ เพราะผมเองก็ผิดงที่ไม่ระงับอารมณ์ ชกต่อยเขาก่อน มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ ในเมื่อสิ่งที่นักเลงโตคนนั้นพูดถึงเคลวินมันน่ารังเกียจสิ้นดี ใครจะทนฟังไว้ ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะปกป้องเกียรติของเคลวิน ดังนั้นจึงยอมให้ใครว่าร้ายเขาไม่ได้ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับผมก็ตาม
“เคน ผมขอพักงานคุณ 1 อาทิตย์ สำหรับการลงมือชกต่อยเพื่อนร่วมงาน ระหว่างนี้คุณก็กลับไปทบทวนถึงสิ่งที่ทำลงไป ว่ามันเหมาะมันควรหรือไม่ คุณถูกคัดเลือกให้มาเป็นพนักงาน ไม่ใช่ให้มาเป็นนักเลง จะไปท้าตีท้าต่อยกันทำไม ให้คนนินทา แทนที่จะรักสามัคคีกัน ร่วมไม้ร่วมมือกันทำงาน กลับมาบาดหมางทะเลาะวิวาทกันอีก หวังว่าการลงโทษด้วยการพักงานครั้งนี้ จะทำให้คุณสำนึกได้บ้าง”

เขากล่าวตำหนิผม และบอกบทลงโทษ ซึ่งผมก็พยักหน้ายอมรับโดยดุษฎี ไม่มีโต้เถียง ผมคิดว่ามันสมควรแล้วกับสิ่งที่ผมทำลงไป แม้ว่าผมจะมีเหตุผลในการทำผิดก็ตาม แต่กฎก็คือกฎ จะยกเว้นให้ใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้
พูดกับผมเสร็จก็หันไปทางนักเลงโต ซึ่งนั่งเอนตัวพิงพนัก มือกอดอก เอียงคอ ทำหน้าไม่พอใจ แม้แต่การนั่งก็ยังไม่ให้เกียรติผู้บริหาร แถมซ้ำเป็นเจ้านายตัวเองถึงสองคน นั่นก็แสดงว่า นิสัยของหมอนี่มันแย่เกินจะรับไหวแล้ว
“ส่วนคุณเนื่องจากเป็นการทำผิดในระหว่างการภาคทัณฑ์ ดังนั้นคุณต้องถูกลงโทษสถานหนัก เนื่องจากทำความผิดซ้ำซาก ไม่สำนึกตัว ดังนั้นบริษัทจะลงโทษด้วยการงดโบนัส และตัดเงินเดือนคุณ 10 % จะได้จดจำ และไม่ทำพฤติกรรมอย่างนี้อีก”
ปัง...
ทันทีที่ผู้จัดการบุคคลพูดจบ ก็มีเสียงตบโต๊ะดังปัง นักเลงโตผลุดลุกขึ้นยืน และเอามือชี้หน้าท่านผู้จัดการ ท่าทางโกรธจัดจนคุมสติไม่อยู่ ผมคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว ถึงกล้าทำตัวก้าวร้าวต่อหน้าผู้บังคับบัญชา แทนที่จะทำตัวให้ดีๆ เจ้านายจะได้เห็นใจ ลดโทษให้บ้าง แต่ปล่อยให้โมหะเข้าครอบงำ จนทำตัวราวกับกุ๊ยข้างถนน
“เกินไปแล้วนะ ไม่มีความยุติธรรมเลย ผมไม่ได้เป็นคนเริ่ม ไอ้นี่มันทำผมก่อน ทำไมมันถูกลงโทษแค่พักงานอาทิตย์เดียว ส่วนผม ไม่ได้ทั้งโบนัส และถูกตัดเงินเดือนอีก มันเกินไปไหม”
นักเลงโตโวยวายเสียงลั่น โดยไม่ได้เกรงอกเกรงใจผู้เป็นเจ้านาย ผมเห็นผู้จัดการชาตรี กัดฟันกรอด หน้าแดงก่ำ ท่าทางโกรธเต็มที่ นี่คงเป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าดีมาลองของกับผู้จัดการจอมโหดอย่างเขา
“นี่ยุติธรรมแล้ว เพราะเว้นโทษการไล่ออก คุณทำผิดมาหลายหน โทษย่อมมากกว่าเคน ซึ่งมีความผิดครั้งแรก คุณควรจะยอมรับ และกลับไปทบทวนตัวเองว่าเพราะอะไรที่ทำให้ต้องถูกลงโทษอย่างนี้”
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลตอบอย่างใจเย็น ผมเห็นเขาเอามือแตะนายชาตรีไว้เป็นเชิงปราม เพราะเห็นว่าเพื่อนผู้บริหารกำลังอารมณ์เสีย ในฐานะที่เขาเป็นฝ่ายที่ต้องดูแลพนักงาน เขาควรยื่นมือไปจัดการเอง
“ผมไม่ทบทวนอะไรทั้งนั้น มันเปล่าประโยชน์ ถึงอย่างไร ผมก็คงไม่ได้รับความยุติธรรม เพราะงานนี้มันขึ้นอยู่กับคนของใคร ใช่สิ ผมไม่ได้ถูกดันตูดนี่ จะเป็นเด็กโปรดได้ไง ใครจะไปสู้เคนเล่า ท่านประธานรักหลงอย่างกับอะไรดี ใครแตะต้องมีอันเป็นไปทุกราย”
ในที่สุดก็มาลงที่ผมกับเคลวินจนได้ นายนักเลงโตคงจะเป็นพวกแพ้ไม่เป็น ในเมื่อตัวเองไม่เห็นด้วยกับบทลงโทษที่ได้รับ ก็เริ่มพาล และหาเรื่องแขวะคนอื่นให้ได้รับความเสียหาย
“พูดอะไรน่ะ ระวังปากหน่อยนะ คุณกำลังล่วงเกินผู้บังคับบัญชาอยู่นะ”
คุณชาตรีทำเสียงเขียวใส่ ใบหน้าบึ้งตึง ท่าทางไม่พอใจอย่างมาก
“ผมพูดความจริง รับไม่ได้หรือไง”
อันธพาลในคราบพนักงานตอบกลับอย่างยียวน ท่าทางพร้อมจะมีเรื่องได้ตลอดเวลา
“ความจริงอะไร”
เจ้านายโดยตรงของเขาย้อนถาม ซึ่งเท่ากับเปิดทางให้นักเลงโตพูดแฉออกมา
“ก็ความจริงที่ว่า เคนเป็นเด็กของท่านประธานไง คนที่ทำงานหนักต้องอยู่กับเครื่องจักรตลอด กับคนที่ทำงานอยู่บนเตียง ศักดิ์ศรีมันจะเสมอกันได้ไง”
“ถอนคำพูดดูหมิ่นนั้นเดี๋ยวนี้นะ”

คำพูดนั้นสร้างความโมโหให้กับผมเป็นอันมาก ทว่ากลับมีคนที่แสดงความไม่พอใจให้เห็นจนออกนอกหน้า ท่านผู้จัดการชาตรี โดดเข้าปกป้องเคลวินเต็มที่
“ไม่ถอน เป็นไงเป็นกัน ถ้าพูดความจริง แล้วใครมันจะแสลงใจก็ช่วยไม่ได้ จะได้รู้กันไปซักที ว่าบริษัทนี้ คนดีๆไม่ควรอยู่ นอกจากพวกตุ๊ด...คนทำงานก็ตุ๊ด คนคุมบริษัทก็ตุ๊ด ใช้ตูดดันกันจนได้ดี อย่างไอ้เด็กเคนนี่เป็นต้น”
ลอยหน้าท้าทายอย่างอวดดี สงสัยไอ้หมอนี่คงไม่รู้ชะตาตัวเอง เขาแกว่งปากหาเท้าโดยแท้
ผลั๊วะ
ผมเห็นตัวเองผลุดลุกขึ้น และชกเปรี้ยงเข้าครึ่งปากครึ่งจมูกของนักเลงโตอีกครา ได้ยินเสียงดังลั่น เมื่อหมัดกระทบกับหน้าของเขา เลือดกำเดาไหลพรูเป็นสาย
โอ๊ะ....
เสียงร้องอุทานอย่างตกใจ ของคนที่ถูกต่อยโดยไม่ทันตั้งตัว เขาหล่นโครมลงจากโต๊ะ ผมตามไปกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมา แล้วต่อยซ้ำไปอีกที่ใบหน้า ความโมโห ทำให้ผมหน้ามืดขึ้นมา ลืมสิ้นทุกสิ่งทั้งความรู้สึกผิดชอบชั่วดี รู้เพียงอย่างเดียวว่า ไอ้หมอนี่มันว่าเคลวินเสียๆหาย ๆ และมันสมควรจะถูกตอบโต้อย่างรุนแรง เพื่อจะได้หยุดปากชั่วๆของเขาได้
“นั่นไง เห็นไหม มันต่อยผม มันจะฆ่าผม จับมันสิ เอาตัวไปลงโทษ”
ส่งเสียงฟ้องใครต่อใคร น่าแปลกที่เขาไม่สู้ผม ทำตัวเหมือนเสือสิ้นลาย ความที่ผมมัวแต่ตกอยู่ในอารมณ์โกรธ ก็เลยไม่ทันได้ระวังตัว ก้าวพลาดตกหลุมพรางของไอ้หมอนี่จนได้
“ฉันอยากเอาเลือดชั่วๆ ออกจากปากแก แกจะได้พูดจาก้าวร้าวใครไม่ได้อีกต่อไป”
เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความหมั่นไส้ มือกำและชกเปรี้ยงที่หน้าของอีก
พลั๊วะ
“อย่า เคน อย่าทำ เดี๋ยวจะยุ่งไปกันใหญ่ ปล่อยเขาได้แล้ว”
เสียงร้องห้ามดังมาก่อนจากปากผู้จัดการชาตรี ซึ่งเผ่นพรวด มายื้อยุดฉุดผมไว้ ไม่ให้ทำร้ายลูกน้องของเขา ผมรู้ว่านายชาตรีไม่ได้กำลังปกป้องคนของตัว แต่คงกลัวผมจะมีเรื่องมากกว่า
“อย่าห้าม ผมทนไม่ไหวแล้ว”
ผมพยายามดิ้นหนีการเกาะกุม ต้องการทำร้ายคนที่ดูถูกเคลวินให้สาแก่ใจ ไอ้หมอนั่นก็ยังตีหน้าเศร้า ทำตัวน่าสงสารไม่เลิก โอดครวญเสียงดังว่าผมทำร้ายเขา ฟ้องคนทั้งห้องประชุมไปทั่ว เห็นแล้วหมั่นไส้
“พอได้แล้วเคน เธอจะทำเขาถึงตายหรือไง แค่นี้ เขาก็ได้รับบทเรียนสาสมแล้ว ถ้าเธอทำอะไรมากกว่านี้ เธอนั่นแหละจะถูกลงโทษสถานหนัก”
ผู้จัดการชาตรีกระซิบบอก
“อยากให้คุณเคลวินเสียใจหรือไง”
เพราะคำพูดประโยคนั้นของเขาทีเดียว ที่ทำให้อารมณ์ของผมค่อยๆสงบลง เริ่มคิดได้ นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่ ผมบอกตัวเองว่าผมกำลังปกป้องชื่อเสียงของเขา แต่สิ่งที่ผมทำ น่าจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของเขาให้มัวหมองมากกว่า เมื่อคิดได้ ผมก็กล่าวขอบคุณคุณชาตรี แล้วเดินไปนั่งที่ ไอ้หมอนั่นตะกายลุกขึ้นจากพื้นทันที แล้วฟ้องทุกคนที่อยู่ในที่นั้น
“เห็นหรือเปล่า ผมถูกทำร้าย ลงโทษมันสิ มันต่อยผมทุกคนก็เห็น”

เขาร้องเรียนที่ถูกผมต่อย ผู้จัดการฝ่ายบุคคล เรียกให้เขานั่ง และกล่าวตักเตือนผมต่อหน้าเขา ซึ่งผมก็นั่งฟังโดยดี ผมถูกพักงานเพิ่มเป็นสองอาทิตย์ ซึ่งก็นับว่านานพอสมควร ทว่าโทษที่ผมได้รับ กลับไม่เป็นที่พอใจของนักเลงโตคนนั้น เหมือนเลือดเข้าตาเขาแล้ว เขาก็เลยพยายามต่อสู้ถึงที่สุดในการที่จะลากผมลงไปนรกด้วยกัน
“ผมตัดสินไปแล้ว ทำไมคุณยังไม่พอใจอีก”
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลตอบอย่างเครียดขึ้ง เขาพยายามระงับอารมณ์ วางท่าทีนิ่งเฉยมาตลอด ทว่าไอ้หมอนี่ก็เก่งพอที่จะทำให้เขาโกรธขึ้นมาได้
“มันต่อยผม ทำไมโทษมันถึงได้น้อยจัง ทำร้ายพนักงานด้วยกัน ทำไมถึงไม่ไล่ออก”
นักเลงโตตั้งคำถาม แสดงท่าทางเย้ยหยันเต็มที่
“คุณเองก็ทำร้ายเขา เราก็ไม่ไล่คุณออกเหมือนกัน เราก็ยังให้โอกาสคุณลอยนวล จนทำผิดซ้ำอีก คราวนี้ถึงคุณจะไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มชกต่อย แต่การพูดจายั่วยุ โดยเฉพาะการล่วงเกินดูหมิ่นเขา มันก็เกินกว่าที่จะทนได้แล้ว”
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลพูดเข้าข้างผม มันทำให้ผมรู้สึกดีมาก ที่มีคนเข้าใจว่าที่ผมชกต่อยเขาไม่ได้เกิดจากความแค้นส่วนตัว แต่เกิดจากการบันดาลโทสะเพราะถูกหมิ่นเกียรตินั่นเอง
มีบางอย่างในคำพูดของเขาที่ดูสะดุดหู ผู้จัดการพูดถึงกรณีที่นายนักเลงโตทำร้ายผม มันหมายความว่าอย่างไร คดีนี้ถูกตัดสินไปแล้วหรือ ใครเป็นคนจัดการกัน เคลวินมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเปล่า
“ที่จริงผมต้องแจ้งข้อหาคุณอีกเรื่องด้วย คือการลบหลู่ดูหมิ่นผู้บังคับบัญชา โทษถึงขนาดนี้ต้องสมควรไล่ออกสถานเดียว แต่คุณยังลอยนวลอยู่ได้ ก็เพราะเราไม่อยากทำให้คุณเสียอนาคตไปมากกว่านี้”
นับว่านโยบายของบริษัทที่มีต่อพนักงานก็มีความเป็นธรรมพอสมควร ไม่ได้ตัดสินลงโทษอย่างรุนแรง ให้โอกาสพนักงานได้แก้ไขในสิ่งผิด ทว่าคนบางคนก็มืดบอดเกินกว่าจะเข้าใจ
“ก็ไล่ออกสิ กล้าไหมล่ะ ถ้าจะไล่ผมออก ต้องไล่ไอ้อ่อนนี่ออกไปด้วย จะได้เสมอภาคกัน”
นักเลงโตท้าทาย พอเห็นผู้จัดการฝ่ายทั้งสอง และหัวหน้าแผนกของตัวเงียบงัน ก็พูดจายั่วยุต่อ
“ไม่กล้าใช่ไหม แน่ละสิ ใครจะกล้าแตะผัวของประธานบริษัทล่ะ ต้องเอาใจไว้ก่อน อีกหน่อยได้เป็นเจ้าของบริษัทจะได้เมตตากันบ้าง แบ่งเศษเงินให้เลื่อนตำแหน่ง พินอบพิเทากันไปสิ เทิดทูนไอ้เด็กบ้านนอกกันเข้าไป ผัวข้าใครอย่าแตะ ถ้าแตะมึงตาย โอ๊ย...”
สุดจะทนให้ไอ้หมอนี่พล่ามต่อไป ผมเหวี่ยงหมัดเข้าที่ปลายคางคนพูดเต็มเหนี่ยว จนหงายหลังตกเก้าอี้ไปอีกครั้ง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเคน”
เสียงหนึ่งดังขึ้นทางเบื้องหลัง จากสำเนียงที่ได้ยินบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของเสียงอยู่ในอารมณ์ที่โกรธจัด ไม่ต้องหันไปมอง ผมก็รู้ว่าใครคือเจ้าของเสียง
ใครไปตามเคลวินมากันนะ ไม่รู้ว่ามานานแล้วหรือยัง แต่จากน้ำเสียงดุดันของเขา แสดงว่าเคลวินคงเห็นผมชกต่อยนักเลงโตลงไปกองกับพื้น และคงไม่พอใจมาก
“ทำไมทำตัวแบบนี้”
เขาเดินมาเผชิญหน้ากับผม และถามเสียงกร้าว นายชาตรีเห็นท่าไม่สู้ดี เลยพยายามจะอธิบายช่วยผม
“เคนเขาบันดาลโทสะนิดหน่อยครับท่านประธาน”
“บันดาลโทสะ เลยชกต่อยกับคนอื่นอย่างนั้นเหรอ แบบนี้มันไม่ใช่พนักงานแล้ว มันอันธพาล ผมจำได้ว่าไม่ได้รับกุ๊ยมาทำงานนะ หรือว่าผมมองผิด”

-----------------------

TBC


ยาวไปมั้ย  ถ้าไม่  มิ้นจามาลงต่อให้อีก  เอาป่ะๆๆ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
แอร๊ยยยยส์ ค้างงงงงงงงง  :serius2: ขออีกตอนได้มั้ย


เคลวินจะไล่เคนออกไปอยู่บ้านเฉยๆชิมิ  :jul3:

ออฟไลน์ Ottomechan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 701
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด