ก็ไม่รู้ว่าจะหวานฉ่ำกันหรือป่าวนะคะ
ขอบคุณ สำหรับทุก +

บทที่ 53
----------------------------
“เป็นไงบ้างเคน ทำงานกับคุณเคลวินสนุกไหม”
ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินสาวเปรี้ยว ถามผมระหว่างที่ทานข้าว ฟังจากน้ำเสียงแล้ว เธอคงตั้งใจถามไถ่ธรรมดา มากกว่าจะเหน็บแนม
และคงไม่มีเหตุผลใดที่เธอจะทำเช่นนั้น เพราะเราก็รู้จักกัน ผมเจอเธอบ่อยๆ เวลามีประชุมระดับผู้บริหาร แต่ส่วนใหญ่ก็จะพูดคุยเป็นทางการ เกี่ยวกับเรื่องรายงานการประชุมที่ผมทำ
และข้อสรุปแต่ละครั้ง มีคราวนี้ที่เธอพูดกับผมด้วยท่าทางสนิทสนม ไม่เหมือนเจ้านายพูดกับลูกน้อง
“สนุกดีครับ”
“ท่านประธานดุหรือเปล่า ใครๆเขาก็บอกว่าดุกัน”
ดูเหมือนเธอจงใจจะพูดแหย่ท่านประธาน ท่าทางไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด คงเป็นเพราะทำงานร่วมกันมานาน ต่างรู้ฝีมือซึ่งกันและกัน
และเคลวินก็ทำงานแบบฝรั่ง คือเอาจริงเอาจังเวลางาน แต่พอนอกงานแล้วก็เป็นเพื่อนกับทุกคนได้ ที่สำคัญท่านผู้อำนวยการฝ่ายการเงินก็อายุมากกว่าเคลวิน และเอ็นดูเคลวินเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง
ถึงแม้เคลวินจะเป็นหัวหน้าของเธออีกที แต่เคลวินก็ให้ความเคารพเธอตามอาวุโส ซึ่งเป็นมารยาทอันดีงามของคนไทยซึ่งฝรั่งต่างชาติอย่างเคลวินทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง
ผมเห็นเคลวินยิ้มรับ และหันมามองหน้าผม เพื่อฟังคำตอบ ผมไม่กล้าพูดเล่นกับเคลวินต่อหน้าใครอยู่แล้ว เลยตอบไปตามตรงว่าเคลวินดุอย่างที่คนอื่นเขาว่าจริงๆ
แต่เคลวินก็หวังดีกับผม ช่วยสอนงานให้หลายอย่าง ถ้าเคลวินไม่ดุ ไม่เข้มงวด ป่านนี้ผมก็อาจจะยังไม่คล่องงานเหมือนทุกวันนี้ ซึ่งคำตอบของผมคงจะทำให้เคลวินและคนถามพอใจได้ไม่น้อย
พวกเราทานข้าวกันไป คุยกันไป เรื่องงานบ้าง เรื่องส่วนตัวบ้าง บางครั้งก็พูดคุยเกี่ยวกับการแสดงบนเวที ทุกคนพูดคุยกันอย่างสบายๆไม่มีมาด ทำให้บรรยากาศในโต๊ะวีไอพี ที่ผมมีโอกาสนั่งร่วมโต๊ะเต็มไปด้วยความสนุกสนาน
การนั่งกับผู้ใหญ่ของบริษัท ไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียว ผมได้รับรู้แนวคิด และคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์เหล่านั้นมากมาย และตั้งใจว่าจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์
หลังที่งองุ้ม ด้วยความเกร็งและเกรงกลัว เปลี่ยนเป็นยืดตรงตามปกติ ผมเริ่มพูดคุยตอบโต้กับทุกคนอย่างเป็นกันเอง ไม่ต้องระวังตัวว่าจะพูดไม่ถูกหูใคร เหมือนจะเป็นวันปล่อยผีสักวันหนึ่ง
ทุกคนทำตัวสนุกเต็มที่ เวลาที่เขาปล่อยให้ออกไปเต้น แล้วมีพนักงานมาโค้งบรรดาผู้บริหารให้ออกไปเต้นด้วย
ทุกคนก็ร่วมมือเป็นอย่างดีไม่มีเกี่ยงงอน การไม่ถือเนื้อถือตัวของผู้บริหาร ได้ใจพนักงานไปเป็นกอง ทำให้พนักงานเพิ่มความนิยมชมชอบหัวหน้าของตัวเองมากยิ่งขึ้น
เคลวินเองก็ถูกเชิญให้ออกไปเต้นหลายครั้ง กับพวกสาวน้อยสาวใหญ่บ้าง ท่าทางจะสนุกไม่ใช่น้อย ทั้งคนเชิญและคนถูกเชิญ ส่วนผมผูกขาดการนั่งดูอยู่กับโต๊ะ เพราะเต้นไม่เป็น และไม่อยากทำตัวเด่นด้วย
การแสดงบนเวทีสลับสับเปลี่ยนกันไป หลังจากการแสดงโชว์คาร์บาเร่ต์เป็นการเปิดงานแล้ว นักร้องก็ขึ้นมาขับกล่อมด้วยเพลงจังหวะสนุกสนาน ให้พนักงานได้มีโอกาสออกมายืดเส้นยืดสายกัน
หลังจากนั้นก็เป็นการแสดงของแต่ละฝ่าย สลับกับการเล่นดนตรี การประกวดขวัญใจพนักงาน และการแต่งกายยอดเยี่ยม
ตลอดระยะเวลาเหล่านั้น ผมได้แต่นั่งลุ้นเพื่อนๆอยู่ที่โต๊ะ เพราะตัวเองไม่ได้มีส่วนร่วมในการแสดง ส่วนเคลวินและผู้บริหารคนอื่นๆ ก็เดินขึ้นเดินลงเพื่อมอบรางวัลเป็นว่าเล่น
ผมก็เลยกลายเป็นคนเฝ้าโต๊ะเฝ้าของให้กับพวกเขาไปโดยปริยาย แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร ยอมรับในชะตากรรมของตัวเอง ยังคงมีคนที่ไม่เข้าใจผมอีกมากมาย คงต้องใช้เวลานานมากในการพิสูจน์ตัวเอง
“เคนเหงาแย่เลย”
ท่านผู้อำนวยการฝ่ายการเงินพูดกับผมอย่างเห็นใจ
“ไม่ได้ร่วมแสดงอะไรกับเขาบ้างเลยเหรอ”
คำถามต่อมาเกิดเพราะความไม่รู้ ผมส่ายหน้า ยิ้มแหยๆให้เธอ อย่างไม่รู้จะตอบอะไรดี มืออุ่นๆของเคลวินเลื่อนมาบีบที่ต้นเข่าของผมใต้โต๊ะเหมือนจะปลอบใจไม่ให้ผมคิดมาก โชคดีที่เขาแหวกมือสอดเข้ามาตรงรอยแยกของผ้าคลุมโต๊ะที่ยาวถึงพื้น เลยไม่มีใครสังเกตเห็น
“แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ หน้าที่ดูแลคุณเคลวินสำคัญกว่าอยู่แล้วใช่ไหม”
พอเห็นผมทำหน้าจ๋อยๆ ท่านผู้อำนวยการสาวเปรี้ยวก็เหมือนจะรู้ว่าเป็นเรื่องที่ผมไม่สบายใจอยู่ เลยเลี่ยงมาลงที่เคลวินแทน เหมือนจะให้เขารับลูกไป
เคลวินก็น่ารักมาก พยักหน้ารับคำเห็นด้วย ทั้งสองคนช่วยให้เหตุผลที่ผมไม่ต้องขึ้นเวทีกันยกใหญ่ ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ที่มีคนเข้าใจผมเพิ่ม
“อ๊ะ ถึงไม่ได้แสดงแต่ก็ร่วมสนุกได้นี่”
อยู่ดีๆ เธอก็มีไอเดียที่จะให้ผมมีส่วนร่วมในงานไม่ต้องนั่งเหงาขึ้นมา และโดยไม่บอกว่าเธอมีความคิดอะไร
เธอก็เรียกสต๊าฟจัดงานที่ยืนอยู่แถวนั้นเข้ามาหา และกระซิบกระซาบอะไรสักอย่าง สต๊าฟคนนั้นรับคำ แล้วก็เดินไปพูดกับผู้กำกับรายการแสดงที่ยืนอยู่ข้างเวที และผมเห็นเขาเดินไปบอกกับพิธีกรอีกที
ผมไม่กล้าถามเธอว่าจะทำอะไร ได้แต่นั่งมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่เธอกลับนั่งอมยิ้ม ผมหันไปมองเคลวิน ก็เห็นเขาทำหน้าเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไร ผมเลยได้แต่รอว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผม
การแสดงชุดสุดท้ายผ่านไปแล้ว พิธีกรขึ้นไปประกาศบนเวที เพื่อเรียกร้องให้พนักงานช่วยกันร่วมโหวต ว่าการแสดงชุดใดของพนักงานประทับใจที่สุด
โดยจะเอาคะแนนโหวตสูงสุดที่ได้รับ ไปบวกกับคะแนนของคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ ซึ่งก็คือท่านผู้อำนวยการฝ่าย และผู้จัดการบางท่านที่ได้รับมอบหมายให้เป็นคณะกรรมการในครั้งนี้
เคลวินไม่ต้องร่วมให้คะแนนกับเขาด้วย เพราะอยู่ในฐานะเป็นกลาง เป็นเพียงแค่ผู้มอบรางวัลเท่านั้น
และเมื่อรวมคะแนนแล้ว ทีมใดได้คะแนนสูงสุด ก็จะได้เงินรางวัล 1 หมื่นบาท และได้บัตรกำนัลเป็นที่พักฟรีที่รีสอร์ทแห่งนี้ทั้งทีม
หลังจากประกาศกติกา และชวนให้ทุกคนร่วมโหวตโดยจะมีกระดาษลงคะแนนแจกให้ พิธีกรก็แจ้งรายการต่อไป นั่นคือการให้พนักงานได้ร่วมสนุกบนเวที ด้วยการร้องเพลง
ใครสนใจอยากร้องเพลงไหน ก็มาลงชื่อไว้ และเพื่อเป็นการประเดิมเวทีให้ได้ร้องเพลงร่วมสนุกกัน ก็จะขอเชิญนักร้องรับเชิญขึ้นมาร้องบนเวที
พิธีกรคลี่กระดาษในมือเพื่ออ่านรายชื่อนักร้องที่คนเสนอมา ซึ่งเป็นพนักงานบริษัท มีอยู่ประมาณสี่ห้าคน เสียงประกาศชื่อดังให้ได้ยิน ผมตกใจเมื่อได้ยินชื่อของตัวเองเป็นลำดับสุดท้าย
แม้จะเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะได้ทำอะไรแปลกๆ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นการถูกเชิญให้ขึ้นไปร้องเพลงบนเวที ผมไม่ถนัดในเรื่องการร้องเพลงต่อหน้าผู้คนจำนวนมากเท่าไหร่
เคยร้องเล่นๆ เวลาอยู่คนเดียว ตอนอาบน้ำบ้าง ตอนทำงานบ้านบ้าง และไม่ได้ร้องนานมากแล้วตั้งแต่เคลวินย้ายมาอยู่กับผม เพราะอายเสียงตัวเอง
ท่านผู้อำนวยการฝ่ายการเงินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ในขณะที่ผมยิ้มไม่ออก
การที่ต้องร้องเพลงต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ที่ไม่ค่อยได้สนิทกัน ทำให้ผมรู้สึกเป็นกังวลและกลัวทำงานล่ม ความเครียดก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางกาย จนผมปวดท้องอยากไปเข้าห้องน้ำ
ผมเลยขออนุญาตลุกไปทำธุระก่อนที่มันจะเรี่ยราดประจานความตื่นเต้นของตัวเอง
ตอนผมเดินออกไปจากโต๊ะได้ยินเสียงหัวเราะขำของท่านประธานสองหน้ากับผู้อำนวยการสาวเปรี้ยวที่หางานให้ผม
หัวเราะกันเข้าไป ทำให้คนกังวลใจได้นี่มันน่าสนุกนักเหรอ เดี๋ยวก็เบี้ยว หมกตัวอยู่ในห้องน้ำ ไม่ยอมขึ้นซะเลยนี่
ทว่า ผมไม่จำเป็นต้องแกล้งเบี้ยวไม่ขึ้นเวทีไปร้องเพลง เพราะมีคนที่หมั่นไส้ ไม่ชอบขี้หน้าผมจัดการให้เสร็จสรรพ
ขณะที่ผมเดินเข้าห้องน้ำและทำธุระเสร็จเรียบร้อย กำลังจะเดินออกมา ผมก็ถูกปิดล้อมด้วยคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งแต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าอลังการที่ใช้ในการแสดงโชว์บนเวที
ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าพวกเขาได้แสดงเป็นชุดสุดท้าย แต่การแต่งหน้าตาที่หนาเตอะ และการทำผมทำเผ้าที่แปลกไป ทำให้ผมไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นใครจนกระทั่งตัวหัวหน้าพูดขึ้นมา
“กลัวจนฉี่ราดเลยหรือไงไอ้อ่อน”
ไอ้คนอันธพาลเมื่อตอนกลางวันและตอนหัวค่ำนั่นเอง ตามมาราวีผมถึงในห้องน้ำเลยเชียวนะ
“ขอโทษทีครับ หลีกทางผมหน่อย ผมจะกลับเข้าไปในงาน เดี๋ยวไม่ทัน”
ผมไม่ตอบคำถามนั้น แต่ขอร้องเขาอย่างสุภาพ ตอนนี้อยากเข้าไปในงานเต็มแก่แล้ว
ต่อให้ต้องขึ้นไปร้องเพลงแล้วล่มกลางครันเพราะประหม่า ก็ยังดีกว่าจะหายไปนานเพราะมีเรื่องมีราวกับคนกลุ่มนี้ ผมไม่อยากให้เคลวินไม่สบายใจที่ลูกน้องตัวเองมาทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“กลัวไม่ได้ขึ้นเวที พรีเซนต์เฟซเหรอวะ อยากได้หน้าไปถึงไหนกัน ที่ผ่านมา มึงยังได้หน้าไม่พอหรือไง อยากให้ผู้ใหญ่ปลื้มมึงจนยกก้นลอยฟ้าไปถึงไหน”
คำพูดแต่ละคำบ่งบอกถึงความต่ำทรามของจิตใจคนพูดได้ดี
“กูยังไม่ให้มึงไปไหนทั้งนั้น จนกว่ามึงจะขอโทษกูก่อน ไอ้อ่อน”
“ผมขอโทษครับ”
เอ่ยปากขอโทษพวกเขาอีกครั้ง ไม่ได้กลัวพวกมากกว่า เพราะอย่างดีก็สู้แค่ตาย หากพวกเขาจะหาเรื่องจริงๆ แต่ผมอยากให้มันจบๆไป เพราะตอนนี้คงใกล้จะถึงเวลาที่เป็นคิวการแสดงของผมแล้ว ไม่อยากให้ใครเป็นกังวล
“ไม่ได้ ต้องกราบตีนกูก่อน”
อะไรเนี่ย มันจะมากไปแล้วนะ ผมไม่ได้ทำอะไรผิด เหยียบตีนพวกเขาก็ไม่ได้ทำ เรื่องการแข่งขันที่แพ้ มันก็แค่เป็นเหตุสุดวิสัย ผมอุตส่าห์ขอโทษให้เรื่องมันจบ ทำไมต้องให้ผมทำถึงขนาดกราบตีนด้วย ขอมากไปแบบนี้ ใครจะไปยอม
“เร็วๆสิ กราบตีนพี่เขาก่อน มึงจะได้ออกไปเสนอหน้าร้องเพลงบนเวทีไง”
พวกเพื่อนๆของนักเลงโตที่มาด้วย ร้องบอกให้ผมทำตาม แต่ผมยืนนิ่งไม่ปฏิบัติตามคำขู่ที่มันมากจนเกินงาม
“อยากโดนดีหรือไง บอกให้กราบตีนกูเป็นการขอโทษ ก็กราบสิ”
หัวโจกที่มีเรื่องกับผม ขู่กรรโชกโฮกฮาก ทำตัวเหมือนนักเลงอันธพาล ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีคนนิสัยแบบนี้อยู่ในบริษัทของเคลวินด้วย
ผมมองใบหน้าถมึงทึง และดวงตาแดงก่ำของคนพูด มีกลิ่นเหล้าโชยฉุยมาจากปากของเขาเวลาพูด ฤทธิ์เหล้าผสมกับนิสัยอันธพาลส่วนตัวเลยทำให้เขาสำแดงความหยาบกระด้างออกมาให้เห็นอย่างน่ารังเกียจ
“ไม่”
ผมยืนกรานเสียงแข็ง แม้ผมจะคนเดียวต้องต่อสู้กับพวกหมาหมู่ผมก็ไม่หวั่น คนเราก็ต้องมีศักดิ์ศรี ด่าผมแบบจิกหัว ผมก็สู้ทน ไม่อยากมีเรื่องให้เคลวินไม่สบายใจ แต่ถ้าถึงขนาดต้องก้มกราบกรานคนเลวๆพวกนี้ เห็นทีจะทำไม่ได้ มีเรื่องก็คงต้องยอม
“อยากลองดีเหรอมึง นึกว่ามีพวกผู้ใหญ่คุ้มหัว แล้วมึงจะกร่างกับใครก็ได้งั้นเหรอ สงสัยต้องสั่งสอนให้รู้จักสำนึกเสียบ้าง”
คนพูดทำหน้าตาเหี้ยมเกรียม เขาย่างสามขุมเข้ามาหา ในขณะที่ผมกำหมัดขึ้น เตรียมต่อสู้ เดชะบุญที่ผมกับนักเลงโตไม่ต้องวางมวยกันให้ขายหน้า เพราะขณะที่เขาเต้นฟุตเวิร์คเข้ามาหา เตรียมต่อยผมให้ล้มคว่ำแบบนักมวยที่ไล่อัดคู่ต่อสู้ ระฆังก็ตีบอกหมดเวลาเสียก่อน
“ทำอะไรกัน ใครกร่าง ใครมีคนคุ้มกะลาหัว”
น้ำเสียงห้วนและวางอำนาจ ดังขึ้นทางเบื้องหลังของนักเลงโตกลุ่มนั้น ทั้งหมดรวมทั้งผมด้วย หันไปมองทางต้นเสียง
เคลวินยืนอยู่ตรงช่องประตู เขามองมาด้วยใบหน้าถมึงทึง ท่าทางโกรธจัด ไอ้นักเลงโตที่วางก้ามข่มขู่ผมเมื่อครู่หน้าถอดสี เขาถลึงตาใส่ผมเป็นเชิงให้หุบปากเงียบ ก่อนที่จะค่อยๆหันไปทำท่าพินอบพิเทาประธานบริษัท
“ไม่มีอะไรครับท่าน เรากำลังซ้อมละครกันอยู่ ใช่ไหมหือเคน”
ไอ้หมอนั่นทำท่าประจบประแจง และเรียกชื่อผมอย่างสนิทสนม เคลวินหรี่ตามองพวกนั้น ท่าทางไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่พวกนั้นพูดสักเท่าไหร่
“แล้วพวกคุณซ้อมเสร็จหรือยัง ถ้าซ้อมเสร็จแล้ว ก็กรุณาหลีกทางหน่อย ผมจะเข้าไปใช้ห้องน้ำบ้าง”
เขาพูดเสียงเข้ม พวกนั้นคงพิจารณาแล้วว่าการต่อกรกับฝรั่งที่ตัวโตกว่าตัวเองมาก แถมซ้ำเป็นถึงประธานบริษัทที่มีอำนาจเด็ดขาดในการชี้เป็นชี้ตายชีวิตการทำงานของพวกเขาได้ เป็นเรื่องที่โง่อย่างยิ่ง สู้สงบปากสงบคำล่าถอยดีกว่า
จึงพากันหลบออกจากห้องน้ำไป ผมรู้ดีว่าพวกเขาแค่ไม่จบเรื่องนี้ง่ายๆ จนกว่าจะจัดการผมได้ เพียงแต่ไม่ต้องการมีเรื่องกับผมต่อหน้าท่านประธานเท่านั้น มันเป็นการท้าทายเกินไป จากนี้ผมคงต้องระวังตัวเพิ่มขึ้น เพราะอาจจะถูกพวกนั้นลอบกัดเอาเมื่อไหร่ก็ได้ จนกว่าจะเห็นผมพ่ายแพ้ยอมสิโรราบให้กับพวกเขา
ทันทีที่พวกนั้นลับตาไป เคลวินก็ปราดเข้ามาถามไถ่ผมด้วยความห่วงใย มือไม้ก็จับต้องเนื้อตัว ตาสำรวจไปทั่วว่าผมมีบาดแผลอะไรหรือเปล่า เห็นอากัปกริยาของเขาแล้ว ผมก็เต็มตื้นไปทั้งหัวอก ตระหนักได้ถึงความรักที่เขามีต่อผม มันมากมายจนผมเองก็พ่ายแพ้ในความจริงใจของเขา
“เป็นอย่างไรบ้างครับ พวกนั้นทำร้ายเคนบ้างไหม”
น้ำเสียงของเขาร้อนรน ความกังวลใจฉายชัดให้เห็นในใบหน้า เคลวินผู้เย็นชาและเคร่งขรึมกลายเป็นคนสติแตกขึ้นมาทันตาเห็น
ผมคาดเดาเอาว่าเขาคงมาได้ยินการทุ่มเถียงของผมกับคนพวกนั้นได้สักระยะ จนเกิดเป็นความวิตกและโกรธขึ้นมา
เคลวินคงห่วงกลัวว่าผมจะโดนทำร้ายให้ได้รับบาดเจ็บ ผมต้องจับมือเคลวินมาบีบเอาไว้ ไม่ให้เขาวิตกไปมากกว่านี้
“ไม่ครับ เคลวินมาเร็วไป ถ้ามาช้ากว่านี้ พวกนั้นอาจจะสลบเหมือดเพราะถูกผมน็อคเอาก็ได้”
พูดเล่นโอ้อวดตนให้เขาขำ เพื่อคลายความกังวลใจของเขา เคลวินมองค้อนผม แล้วพูดเสียงเครียด
“ทำเป็นปากดี มันไม่ตลกเลยนะครับ ตัวแค่นี้จะไปสู้พวกนั้นได้ไง พวกนนั้นตัวใหญ่กว่าคุณตั้งเยอะ พวกก็มากกว่า
ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะว่า บริษัทของผมจะมีอันธพาลในคราบพนักงานอยู่ด้วย คอยดูนะ กลับไปถึงบริษัทเมื่อไหร่ ผมจะเรียกคนพวกนี้มาเล่นงานให้สาสมกับความกักขฬะของพวกเขา”
เคลวินพูดอย่างโมโห เขาคงโกรธแทนผมที่ถูกพวกนั้นกระทำ ผมบีบมือใหญ่ที่อยู่ในมือของผม แล้วพูดเสียงนุ่มนวลเพื่อให้เขาเย็นลง
“อย่าเลยครับ มันเป็นปัญหาระหว่างผมกับพวกเขา หากเคลวินลงมายุ่งเกี่ยวด้วย มันจะยิ่งไปกันใหญ่ เขาจะหาว่าผมช่างฟ้อง และกล่าวหาว่าคุณลำเอียงไม่เป็นธรรม
เคลวินอยู่เฉยๆ ดีกว่านะครับ ปล่อยให้ผมกับพวกเขาจัดการแก้ปัญหากันเองดีกว่านะครับ”
“แล้วถ้าพวกนั้นทำร้ายคุณล่ะครับ”
เขายังคงมีสีหน้ากังวล
“เขาคงไม่กล้าหรอกเคลวิน เราเป็นพนักงานบริษัทนะครับ ไม่ใช่นักเลงโต กฎระเบียบของบริษัทก็มี ถ้าพนักงานทะเลาะกัน ก็มีโทษตั้งแต่ถูกทำทัณฑ์บน พักงาน และไล่ออก เขาคงไม่อยากเสี่ยงตกงาน เพราะเรื่องแค่นี้หรอกครับ”
ผมพูดเพื่อให้เขาสบายใจ แม้ว่าจะไม่ค่อยมั่นใจนักว่าพวกนั้นจะทำอะไรผมหรือเปล่า สู้กันซึ่งๆหน้าผมไม่กลัวหรอก แต่ผมกลัวการลอบกัดมากกว่า
“แต่ผมก็ยังไม่วางใจเลย คนพวกนี้อาจจะหาทางแกล้งเคนก็ได้ ให้ผมจัดการดีกว่าไหมครับ”
เขายังคงดื้อที่จะจัดการพวกนั้นด้วยตัวเอง แต่ผมขอร้องเขาว่าให้ปล่อยมือจากเรื่องนี้ ผมไม่อยากให้เขาถูกลากมาเกี่ยวข้องด้วย ไม่อยากให้ใครนินทาว่าร้ายให้เสียหาย เรื่องของพนักงาน อยากให้จัดการเคลียร์กันเอง พนักงานทะเลาะกันไม่ถูกกัน เขาทำหน้าที่แค่วางตัวเป็นกลางไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่งั้นเขาจะโดนคนอื่นสงสัยในความบริสุทธิ์ยุติธรรม และคนอาจจะเสื่อมศรัทธาในตัวเขาและหันหลังให้เขาก็ได้
เคลวินยอมรับแต่โดยดี เขายอมรับกับผมว่า ความห่วงใยที่มีต่อตัวผม และความใกล้ชิดสนิทสนมกันทำให้เขารู้ว่าผมเป็นคนอย่างไร เขารู้ว่าผมเป็นคนดี และคนดีไม่ควรจะถูกคนอื่นทำร้าย เขาเลยอยากจะช่วยเหลือ ผมก็ปลอบเขา บอกให้เขาทำใจให้สบาย มันเป็นปัญหาที่ผมต้องแก้ และผมต้องผ่านมันไปให้ได้
เมื่อทำให้เขาคลายความกังวลได้แล้ว ผมก็ดักคอเขาว่ามาตามผมใช่ไหม เขาก็ทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ บอกว่าเห็นผมหายไปนาน เลยมาตาม เพราตอนนี้ นักร้องรับเชิญ ร้องกันไปสามคนแล้ว ร้องเสร็จมีสัมภาษณ์ ก็พอถ่วงเวลาได้บ้าง ตอนนี้ก็น่าจะได้คิวของผมแล้ว พูดจบก็ชวนผมออกจากห้องน้ำ ตอนที่เดินออกมาก็เห็นเงาคนแว๊บๆหลังเสาแถวหน้าห้องน้ำ แต่ผมไม่ได้หันไปมองให้ชัดๆ เพราะมัวแต่รีบ และใจก็คิดว่าคงไม่มีใครมาแอบฟังเราสองคนคุยกันหรอก ผมจึงเดินจ้ำอ้าวๆ ตามเคลวินกลับเข้าห้องจัดเลี้ยง ซึ่ง พิธีกรกำลังประกาศเรียกชื่อผมพอดี ผมรีบวิ่งขึ้นเวทีแทบไม่ทัน
“จะร้องเพลงอะไรครับ”
พิธีกรถามผม ซึ่งผมก็กระซิบบอกชื่อเพลงให้เขาฟัง แล้วหันไปบอกกับนักดนตรีว่าผมจะร้องเพลงอะไร โชคดีที่นักดนตรีสามารถเล่นเพลงนี้ได้ ผมจึงไม่ต้องหาเพลงใหม่
เพลงที่ผมจะร้องนี้เป็นเพลงลูกทุ่ง ผมเคยฟังตอนอยู่ที่บ้านเดิม และร้องตามบ่อยๆ มันเป็นเพลงที่มีความหมายดี และผมเลือกเพลงนี้เพื่อมอบให้แก่ใครบางคน ....ใครคนนั้นที่มอบความรักความหวังดีให้ผมเสมอมา ขอบคุณที่ยังรักกัน ของหลวงไก่
เพลงปลากรอบ -- ขอบคุณที่ยังรักกัน --หลวงไก่
อยากขอบคุณอีกสักครั้ง ที่เธอยังไม่ทอดทิ้งกัน
ที่เธอนั้นยืนข้างฉัน ในวันที่ไม่มีใคร
ในวันที่ฉันล้มลง ในวันที่ฉันร้องไห้
วันที่ต้องเหงาเดียวดาย เธออยู่ข้างกายเสมอ
ขอบคุณฟ้าและสวรรค์ ที่ให้เราได้มารักกัน
แต่งเติมชีวิตของฉัน เติมฝันให้เต็มหัวใจ
ขอบคุณที่เธอรักกัน ขอบคุณที่เธอมั่นใจ
ด้วยศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายให้เธอมั่นใจได้เลย
ผู้ชายคนนี้สัญญา จะเก็บรักษาใจเธอ
จะรักให้สมที่เธอ มอบใจของเธอให้ฉัน
จะดูแลรักตัวเธอ ให้เท่าที่เธอรักฉัน
ตราบใดที่เธอรักกัน คำมั่นคือฉันรักเธอ
อยากขอบคุณอีกพันครั้ง ฉันว่ามันคงยังน้อยไป
ในตอนนี้ไม่มีคำใด จะอธิบายใจฉัน
ตอนนี้พูดได้คำเดียว ขอบคุณที่เธอรักกัน
แต่นี้และทุก ทุกวัน ฉันจะรักเธอคน
ผู้ชายคนนี้สัญญา จะเก็บรักษาใจเธอ
จะรักให้สมที่เธอ มอบใจของเธอให้ฉัน
จะดูแลรักตัวเธอ ให้เท่าที่เธอรักฉัน
ตราบใดที่เธอรักกัน คำมั่นคือฉันรักเธอ
ผู้ชายคนนี้สัญญา จะเก็บรักษาใจเธอ
จะรักให้สมที่เธอ มอบใจของเธอให้ฉัน
จะดูแลรักตัวเธอ ให้เท่าที่เธอรักฉัน
ตราบใดที่เธอรักกัน คำมั่นคือฉันรักเธอ
จะดูแลรักตัวเธอ ให้เท่าที่เธอรักฉัน
ตราบใดที่เธอรักกัน คำมั่นคือฉันรักเธอ