บทที่ 57
-------------------------
“ขอโทษครับ”
ผมท่องคำพูดของเคน ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบด้วยความปลื้มใจ มือก็กอดตัวเองโดยสมมุติว่าผมกำลังอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นของสามีสุดที่รัก
ตอนที่ผมลุกออกจากโต๊ะ ผมน้อยใจสุดๆ ที่เคนทำท่าเหมือนไม่สนใจความรู้สึกของผม จริงอยู่การที่เขาห่วงกลัวว่าคนจะนินทาว่าร้ายผม
มันเป็นความห่วงใยของเขาที่มีให้ แต่ในเมื่อผมบอกว่าผมไม่แคร์คำพูดของคนที่ไม่หวังดี แล้วเขาจะมานั่งห่วงอยู่ทำไม
ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ใครจะทำร้ายผม แต่มันอยู่ที่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องทำร้ายกันหรือเปล่ามากกว่า
คำนินทาว่าร้าย มีอยู่ในทุกๆวงการ และมันมีทุกเรื่อง ไม่จำเพาะเจาะจงว่าจะเป็นการชอบกันฉันท์คนรัก ถ้าคนเรามีอคติกับคนอื่น ก็หาข้อมาวิพากษ์วิจารณ์ด่าทอกันได้สนุกปาก
ตั้งแต่เรื่องหน้าตา ความรู้ความสามารถ นิสัยใจคอ ความรวยจน ความชอบ หรือไม่ชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ล้วนแล้วแต่เอามาเป็นประเด็นโจมตีได้หมด
ที่ผมไม่ใส่ใจ ไม่ใช่ว่าผมไม่ห่วงตัวเอง หรือไม่ห่วงคนรอบข้าง ที่จริงผมรักตัวเองมากพอที่จะไม่ใส่ใจคำพูดไร้สาระของคนอื่นต่างหาก และผมไม่ยอมให้คำพูดของใครมาหยุดยั้งสิ่งที่ผมอยากจะทำ
ผมเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อว่าผมไม่ได้ทำเรื่องเลวร้าย เรื่องของความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่มีใครรู้ดีกว่าพวกเรา ว่ามีความทุกข์หรือสุขมากมายเพียงไร
ผมค่อนข้างเชื่อว่าคนที่รักผมจริง ย่อมเข้าใจในตัวผม และคงไม่ขัดขวางความรักของผมกับเคนอย่างแน่นอน ส่วนใครที่ไม่เข้าใจ ก็ปล่อยเขาไป ผมคงไปห้ามความคิดของเขาไม่ได้
ตอนที่เคนมากอดผม และเอ่ยคำว่าขอโทษ ผมรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก อ้อมกอดของเขาอบอุ่นยิ่งนัก แม้ว่าตอนที่กอดกันเราจะไม่ได้พูดอะไรกันเลยก็ตาม
แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าเคนแคร์ความรู้สึกของผมเช่นกัน
หลังจากกอดกันสักพัก เราสองคนก็เริ่มคุยกันดีๆ เคนบอกกับผมว่า เขาไม่ได้รังเกียจผมเลย เขาแค่รู้สึกตกใจที่ผมบอกเรื่องระหว่างเราให้คนอื่นรู้หมด เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร เพราะเขาเป็นแค่ลูกจ้าง
แต่ตอนนี้กลับมีความสัมพันธ์กับเจ้านาย คนในครอบครัวของผม จะรู้สึกอย่างไร จะดุว่าผมไหมที่มายุ่งเกี่ยวกับผู้ชายที่เป็นลูกน้องของตัวเอง ญาติพี่น้องของผมอาจจะไม่ชอบเขา
และคิดว่าเขากำลังหาทางลัดเพื่อไต่เต้าไปสู่ความสำเร็จโดยใช้ผมเป็นเครื่องมือก็ได้ เขาไม่กลัวว่าใครจะนินทาเขา แต่เขากลัวผมเสียหาย
ผมเข้าใจความรู้สึกของเคนดี เขาไม่ได้รักผมตั้งแต่แรก แล้วการที่เขามีอะไรกับผม ก็มาจากความเจ้าเล่ห์มารยาของผม ทำให้เขาต้องตกกระไดพลอยโจน มีสัมพันธ์กับผมเรื่อยมา
เขายังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง ว่าคิดกับผมอย่างไร และเขาก็ยังรับไม่ได้เรื่องที่จะมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่ในขณะที่ผมเปิดเผยหมดทุกอย่าง รวมถึงบอกครอบครัวของตัวเองด้วย
เคนก็คงเหมือนถูกมัดมือชก โดนผมผูกมัดทางอ้อม ทำให้เขาดิ้นหนีไปไหนไม่ได้ การที่คนในครอบครัวผมรู้ ก็ยิ่งทำให้เขาปฏิเสธผมได้ลำบาก
ตอนนี้เขาอาจจะเริ่มมีใจให้ผมบ้างแล้ว จากการที่เขาแคร์ความรู้สึกของผม และพร้อมจะเคียงข้างผมเพื่อเผชิญหน้ากับปัญหา
สำหรับเคนอาจจะต้องใช้เวลาสำหรับการเรียนรู้หัวใจตัวเอง ดังนั้นหากผูกมัดเขาเร็วเกินไป เขาอาจจะตกใจ และต่อต้านก็ได้
ที่จริงผมก็ไม่ได้มีเจตนาจะผูกมัดเขา หากเคน ไม่ได้รักผมจริงๆ ผมก็คงต้องคืนอิสรภาพให้เคน การที่ผมบอกให้คนใกล้ชิดผมได้รู้ เป็นเพราะผมภูมิใจในตัวเขา จนอดไม่ได้ที่จะอวดใครต่อใคร ว่าผมมีคนที่ผมรักและหวังจะแต่งงานด้วย
และคนๆนั้น ก็ดีเพียงพอที่ผมจะพามาให้ครอบครัวรู้จัก ผมอยากให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนของเคน ได้รับรู้ว่าเขามีดีที่ตรงไหน
ทำไมผมถึงต้องการเลือกเขาเป็นคู่ชีวิต และทำไมผมไม่ลังเลที่จะเปิดเผยเรื่องระหว่างเรา ผมภูมิใจในตัวเขา จนอยากจะให้ทุกคนได้มาร่วมชื่นชมในตัวเขาด้วย
สิ่งที่ทำให้ผมปลื้มใจเกี่ยวกับตัวเขาอีกอย่างคือ การที่เขาห่วงผม เขากลัวว่าผมจะเสื่อมเสียชื่อเสียง กลัวว่าคนจะดูถูกเกลียดชังผม กลัวว่าผมจะถูกคนนินทา
เขาห่วงผมมากกว่าห่วงตัวเอง ที่เขาตกอกตกใจส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เขากลัวว่าคนที่ล่วงรู้จะเอาไปพูดกันปากต่อปากแล้วทำให้ผมได้รับความเสียหาย
การที่เขาคิดถึงผมก่อนตัวเขาเองเป็นสิ่งที่ผมประทับใจมาก ทำให้ผมยิ่งรักและอยากใช้ชีวิตอยู่กับเขามากยิ่งขึ้น
เราใช้เวลาปรับความเข้าใจกันหลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมกล่าวขอโทษเขาที่ถือวิสาสะเล่าเรื่องของเราให้ใครต่อใครฟัง โดยไม่ปรึกษาเขาสักนิด พร้อมอธิบายถึงเหตุผลให้เขาฟัง และสัญญาว่าจะไม่พูดกับใครอีก
เพราะผมเองก็ไม่อยากให้เขาเดือดร้อนเช่นกัน ผมบอกกับเขาเรื่องแม่และพี่ที่อาจจะมาที่บริษัทในวันใดวันหนึ่งเพื่อดูหน้าเขา
ขอให้เขาอย่าตื่นตระหนกและวิตกกังวล แม่กับพี่ผมไม่ได้เป็นคนน่ากลัวอะไร พวกเขามีเหตุและผล และพวกเขารักผมมาก และผมเชื่อว่า แม่กับพี่ๆของผม คงจะรักและเอ็นดูเคน เหมือนที่ผมรักเช่นกัน
พูดคุยเรื่องครอบครัวของผมให้เขาฟังจบ ผมก็พูดกับเขาเรื่องงาน ฝ่ายบุคคลรับรู้เรื่องการที่เขาบาดเจ็บจากการถูกซ้อมและกำลังเร่งสืบหาตัวคนผิดมาลงโทษ
ขณะที่ผมเล่า ผมก็เฝ้าสังเกตอาการของเคนไปด้วย เห็นเขาฟังอย่างสนอกสนใจ ผมก็เดาเอาว่า เขาต้องรู้อย่างแน่นอนว่าใครเป็นคนทำร้ายเขา เพียงแต่เคนไม่ยอมพูดออกมา
และการที่เขาไม่พูด นั่นอาจจะแปลได้ว่า คนผิดอยู่ที่บริษัทผมนั่นเอง เพราะหากเป็นคนนอก หรือเป็นคนท้องถิ่น เคนต้องเล่าให้ผมฟังจนหมดแล้ว
แต่นี่นิ่งเงียบ ไม่พูดถึงตั้งแต่กลับมาจากไปเที่ยว ก็แสดงว่าเขาต้องมีบางอย่างปกปิดผมเอาไว้ และต้องการแก้ปัญหาเอาเอง
“ถ้าผมจับได้ว่าใครทำกับเคน ผมไม่เอาไว้แน่นอน”
บอกถึงความตั้งใจของผมให้เคนได้ทราบ เขาทำหน้าเจื่อนเล็กน้อย ยิ่งมีพิรุธเข้าไปใหญ่ ผมต้องสืบรู้ให้ได้ว่าใครทำร้ายเคน อยากรู้นักว่าเพราะอะไร
เคนถึงไม่ยอมกล่าวโทษพวกนั้น และอะไรบางอย่างน่าจะสำคัญเพียงพอจนเคนยอมเจ็บตัวฟรีๆ ผมต้องทำให้มันกระจ่างให้ได้
กลับลงไปข้างล่างเพื่อทำงานต่อ ผมก็พบว่า นนนี่มารอผมอยู่ก่อนแล้วพร้อมกับชาตรี สองคนทำงานได้ไวมาก หลังจากผมมอบหมายให้ช่วยติดตามหาตัวคนมาทำผิดให้ผม แค่สองวัน พวกเขาก็ได้เบาะแสแล้ว
งานนี้มอดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ในฐานะพยานรู้เห็น ซึ่งมันก็ต้องแลกกับการเปิดโปงเรื่องระหว่างเขากับนายชาตรี
ผมนับถือน้ำใจของผู้จัดการของผมมาก ที่เขารักผมมากพอที่จะกล้าพูดเรื่องของตัวเอง อันนำไปสู่การคลี่คลายคดี เพราะที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องเปิดเผยเรื่องของตัวเองเพื่อช่วยผมกับเคนก็ได้
มอดเล่าว่าในวันเกิดเหตุ เขากับนายชาตรี ชวนกันไปเล่นน้ำทะเลกันตอนกลางคืน อาศัยช่วงที่พนักงานกำลังสนุกสนานในงานเลี้ยง ก็แวบกันออกมา
เพราะที่ริมทะเล มันมีที่ลับตาคนได้มากกว่าที่จะไปพูดคุยกันสองต่อสองคนในบ้านพัก โดยที่มอดจะเป็นฝ่ายไปรอนายชาตรีก่อน แล้วนายชาตรีจะหาจังหวะเหมาะๆ เล็ดลอดออกจากงานในภายหลัง
ตอนที่มอดออกมาจากงาน มอดสวนกับคนสามสี่คน ซึ่งนั่งพูดคุยกันที่ตรงสวนหย่อม ระหว่างทาง ระหว่างบ้านพัก กับ ห้องจัดเลี้ยง คนกลุ่มนั้นท่าทางเมาๆ พูดกันเสียงดังพอควร
มอดได้ยินแว่ว ว่าจะหาทางจัดการกับใครบางคนที่ทำให้พวกเขาชวดรางวัล และบ่นเรื่องการตัดสินที่ไม่ยุติธรรม พวกเขาแสดงบนเวทีอย่างเต็มที่ แต่ไม่ถูกโหวต เพียงเพราะมีคนไปเป่าหูประธาน ทำให้คะแนนเปลี่ยนไป
มอดไม่ได้สนใจคนพวกนั้น เดินผ่านไปเพื่อมุ่งหน้าลงไปที่ชายทะเล เพื่อไปเจอกับนายชาตรีตามที่ได้นัดแนะกันไว้ พอนายชาตรีมาพวกเขาก็ลงเล่นน้ำกัน
สักพัก อารมณ์มันพาไป นายชาตรีก็ให้มอดดอดมาที่บ้านพักของตัวเอง เพื่อหยิบถุงยางอนามัยที่เตรียมเอาไว้ ตอนเดินขึ้นมา มอดเห็นเคนเดินออกมาจากบ้านพักของผมพอดี และเดินมุ่งตรงไปยังห้องจัดเลี้ยง
แต่มอดไม่ได้เข้าไปทัก เพราะกลัวจะมีคนรู้เรื่องของเขากับนายชาตรี จึงแอบไม่ให้เคนเห็น พอหยิบของที่ต้องการเสร็จ ก็วิ่งลงไปทางหาดทราย
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ฝนก็ตกหนัก สองคนเสร็จกิจกรรมกันแล้วก็รีบวิ่งขึ้นมาบนเนิน เพื่อจะกลับที่พัก แต่ก็มาเจอร่างเคนที่ถูกทำร้ายแล้วลากมาทิ้งที่ชายหาด ก็เลยพามาหาผม
มอดได้บอกรูปพรรณสัณฐานของกลุ่มคนที่นั่งคุยกันตรงสวนหย่อมให้ฟัง ซึ่งมันตรงกับนักเลงอันธพาลในคราบพนักงานของผมทุกประการ
แม้ว่ามอดจะไม่ได้บอกว่าเขาเห็นพวกนั้นรุมทำร้ายเคนด้วยสายตาของตัวเอง แต่สิ่งที่ได้ยินจากปากของพนักงานรักษาความปลอดภัยของผม มันทำให้ผมเชื่อว่าต้องเป็นคนกลุ่มนั้นอย่างแน่นอน
“ขอบคุณทุกๆคนมากครับ ขอบคุณคุณชาตรีกับมอดด้วย สำหรับการที่ยอมบอกเรื่องราวให้ผมฟัง โดยไม่กลัวว่าตัวเองจะเสียหาย
ผมรับปากว่าเรื่องของคุณสองคนต้องเป็นความลับตลอดไป จะไม่มีการแพร่งพรายเรื่องนี้ออกมาอย่างเด็ดขาด”
เมื่ออยู่กันเพียงแค่สามคน คือผม คุณชาตรี และมอด ผมก็ให้คำมั่นกับคนทั้งสองที่มีน้ำใจให้ผม พวกเราต่างมีสภาพเดียวกัน คือมีรักที่ซ่อนเร้น บอกใครไม่ได้
นายชาตรีมีความจำเป็นเรื่องครอบครัว ส่วนมอดก็ไม่แตกต่างจากเคนสักเท่าไหร่ เพราะดันไปรักกับเจ้านายของตัวเอง
สถานภาพของสองคนดูแตกต่างกันมากๆ หากใครรู้เข้า เขาก็คงอยู่ที่นี่ลำบาก ผมอยากให้เขาอยู่กันอย่างสบายใจ ไม่ทิ้งกันไปไหน
แม้นายชาตรีจะมีข้อบกพร่องอยู่มาก เกี่ยวกับการวางตัวและนิสัยใจคอบางอย่าง แต่เขาก็เป็นคนที่มีความจงรักภักดีให้กับบริษัท เขาทำประโยชน์ให้บริษัทมานานตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อ จนถึงรุ่นผม
หากเปลี่ยนนิสัยใจคอเขาได้ เขาก็น่าจะเติบโตรุ่งเรืองมากกว่านี้ ผมคิดว่าอาจจะถึงเวลาที่ผมจะเปลี่ยนนิสัยใจคอของเขา เพื่อตอบแทนสิ่งที่เขาทำเพื่อผมกับเคน และบริษัทตลอดมา
รู้สึกไม่ดี ที่เมื่อก่อนคิดระแวงสงสัยเขา ตอนที่เคนเล่าให้ฟังว่าเจอเขาที่แถวบริษัทในวันหยุด ตอนนั้นผมเป็นวัวสันหลังหวะ
กลัวว่าเขาจะมาสอดแนมเรื่องผมกับเคน แต่ที่ไหนได้ ผมเข้าใจผิดถนัด นายชาตรีคงมาหามอด เพราะเขาเฝ้ายามให้ผมที่นี่ และคงนัดแนะกันไปเที่ยวมากกว่า
เขาเองก็คงตกใจที่เห็นเคนอยู่แถวๆนั้น เลยพูดจาดูถูกดูแคลน เคนจะได้รีบกลับบ้านไป เขาคงไม่คิดว่าเคนจะอยู่กับผมในวันนั้นเช่นกัน
คิดแล้วก็สงสารผู้จัดการของผมไม่น้อย เขาต้องคอยหลบๆซ่อนๆ ลักลอบคบกันกับมอด เนื่องจากสถานภาพของเขาไม่ใช่คนโสด สมรสแล้ว มีครอบครัวที่อบอุ่น
การที่เขามีรสนิยมเบี่ยงเบนทางเพศ แถมซ้ำมารักกับยามบริษัทซึ่งคนทั่วไปมองว่าต่ำต้อย จึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง
เทียบกับเรื่องระหว่างผมกับเคน ปัญหาที่เราสองคนเผชิญเทียบไม่ได้เลยกับปัญหาของเขา ทว่านายชาตรีก็ยังกล้าที่จะเอาเรื่องของเขามาเสี่ยงเพื่อช่วยผม ที่จริงผมก็คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นคนกลุ่มนี้ เพราะจากการวิเคราะห์หลายแง่มุม
ผมไม่คิดว่าคนที่ทำร้ายเคนจะเป็นพวกโจรท้องถิ่น เนื่องจากรีสอร์ทแห่งนั้นเป็นสถานที่ส่วนบุคคล มีเวรยามคอยดูแล พนักงานของเขาก็คงไม่มีใครคิดสั้นฆ่าตัวตายด้วยการทำร้ายแขกที่มาพัก ทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องมีราวกัน จะมีก็แต่กลุ่มคนที่ไม่พอใจเคนกลุ่มนั้นกลุ่มเดียว
การควานหาตัวคนทำผิดมันเลยแคบลงไป ยิ่งมอดมาให้การเป็นพยานแบบนี้ เรื่องมันก็ง่ายเข้า เหลือแต่การหาหลักฐานจับให้มั่นคั้นให้ตายเท่านั้น
ในระหว่างนี้ ผมก็คงต้องกำชับทุกคนไม่ให้กระโตกกระตากไป เดี๋ยวคนร้ายตัวจริงจะไหวตัวเสียก่อน อีกทั้งเพื่อไม่ให้เรื่องมันสาวไปถึงผู้จัดการชาตรีและมอดด้วย ไม่งั้นพวกเขาจะอยู่ที่อย่างลำบาก ความลับอาจจะถูกเปิดเผย ความเสื่อมเสียชื่อเสียงจะตามมา และอาจจะส่งผลกระทบถึงครอบครัวเขาด้วย
หลังจากได้ข้อมูลจากพนักงานที่ผมไว้วางใจทั้งสามคนแล้ว ผมก็ให้นนนี่ติดตามสอบถามไปทางรีสอร์ทที่พัก ผมคิดว่าคืนนั้น น่าจะมีใครสังเกตเห็นความผิดปกติบ้าง
ถ้ามันจำเป็นต้องสัมภาษณ์คนทั้งรีสอร์ท หรือสืบค้นพนักงานบริษัทของผมที่น่าจะมีส่วนรู้เห็น ก็ต้องทำ และผมยินดีรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมขอให้นนนี่ ช่วยดำเนินงานอย่างเงียบเชียบอย่าแพร่งพรายให้คนรู้อย่างเด็ดขาดว่าผมกำลังตามหาความจริงเรื่องนี้อยู่ และขอให้ดำเนินการอย่างรวดเร็ว อย่าล่าช้าเป็นอันขาด ภายใน 1 อาทิตย์น่าจะหาหลักฐานมาให้ผมได้แล้ว
เมื่อมอบหมายงานทุกอย่างให้คนที่ผมไว้ใจดำเนินการแล้ว ผมก็มั่นใจว่าในไม่ช้าไม่นาน ผมคงสามารถเอาตัวคนผิดมาลงโทษได้ ที่ผมต้องลงมาดำเนินการเอง
ไม่ใช่เพราะผมโกรธแทนเคนสามีของผม แต่ที่ผมโกรธจัดก็คือ พวกนั้นคือพนักงานบริษัท พวกเขาควรจะตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ไม่ใช่มาอิจฉาริษยา อาฆาตมาดร้ายกัน และไม่ควรจะทำร้ายกันด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ
ผมไม่ได้เชื้อเชิญนักเลงอันธพาลให้มาร่วมงานในบริษัทของผม หากพวกเขาชอบเรื่องชกต่อย ชอบการหาเรื่อง พวกเขาก็ควรจะออกไปหางานอื่นที่เหมาะสม และหากผมนิ่งเฉย ปล่อยให้เกิดศาลเตี้ยขึ้นในบริษัท
ใครไม่พอใจใครก็ลากมาชกต่อย มาทำร้ายกัน โดยที่ผมไม่จัดการอะไรสักอย่าง ก็ถือว่าผมบกพร่องในฐานะผู้บริหาร ผมปกป้องพนักงานที่ทำตัวดีๆ ขยันทำงานไม่ได้ ผมก็ไม่สมควรจะคุมบังเหียนบริษัทนี้ต่อไป
เพื่อไม่ให้เคนล่วงรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ผมเลยวางตัวเป็นปกติ ยังคงตื่นแต่เช้า ไปทำงาน ไปประชุมหรือไปพบปะลูกค้าเหมือนเดิม
กลับมาบ้านก็ทำตัวเป็นภรรยาที่น่ารักของสามี ปรนนิบัติพัดวี เฝ้าดูแลรักษาพยาบาลไม่ห่าง สลับกับป้าหมี่ ที่มาช่วยเหลือดูแลเคนในตอนกลางวัน โดยที่ผมไม่ปริปากพูดเรื่องที่เคนโดนทำร้ายเคนอีก
และน่าแปลกที่เขาก็ไม่พูดเรื่องนี้เช่นกัน เหมือนเคนจะพยายามลืมๆมันไปเสีย ผมคิดว่าเขาต้องมีแผนการอะไรในใจสักอย่าง เขาคงต้องการจัดการด้วยตัวเอง ที่ไม่บอกให้ผมรู้ เพราะไม่ต้องการให้ผมยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้
ซึ่งผมไม่ยอมวางใจ ปล่อยให้เขาแก้ปัญหาคนเดียว คิดจะจัดการให้เรียบร้อยตัดหน้าเขา ผมเชื่อในตัวเคน แต่ไม่เชื่อในคนพวกนั้น หากผมไม่ยื่นมือมาช่วย เคนอาจจะเพลี่ยงพล้ำโดนทำร้ายอีกก็ได้
สามวันผ่านไปนับตั้งแต่เคนโดนทำร้ายจนต้องหยุดพักรักษาบาดแผลให้หาย อาการของเคนดีขึ้นเรื่อยๆ รอยแผลบนใบหน้าเริ่มจางลงบ้างแล้ว
อาการช้ำใน หรือบาดเจ็บที่ร่างกายก็ไม่มีให้ต้องกังวล สามีของผมเริ่มบ่นเรื่องการไปทำงาน เขาไม่อยากนอนนานๆ กลัวว่าจะทำงานไม่ทัน