38 – ใจเย็นกับเป็นไทใจเย็นนึกถึงฤดูร้อนปีนั้น ฤดูร้อนที่เขาได้เจอกับเป็นไทครั้งแรก นึกถึงแก้วน้ำเย็นๆ ในมือ จำไม่ได้แล้วว่าเป็นน้ำอะไร แต่ยังจำรอยนูนชัดของปุ่มกระดูกข้อมือได้ จำแววตาที่แฝงความกร้าวเอาไว้ จำสำเนียงพูดที่ห้วนห้าวแต่ก็ไม่แสลงหู จำได้ จำได้ทุกอย่างในฤดูร้อนปีนั้น เขานึกถึงมันท่ามกลางจูบที่ร้อนรน ไม่อาจหาเหตุผลได้เลยว่าทำไมจึงนึกถึง
หรือไม่ ตัวเขาตอนนี้ก็หมดสิ้นเหตุผลไปแล้ว
เป็นครั้งที่สองที่เป็นไทจูบเขา แผ่วเบา เนิบช้า ขณะเดียวกันก็รุ่มร้อน เมื่อถอนจูบออก สายตากลับมาประสานกัน แต่ก็แค่เพียงชั่วครู่ อีกฝ่ายหลบตาไปแล้ว ทั้งยังหันหนี ทำท่าเหมือนจะผลักเขาออก ขัดใจจึงพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างไม่อาจต้าน ใจเย็นกดมือที่จะผลักเขาออกให้ลดลงต่ำ จับคางอีกฝ่ายให้หันมาสบตากันอีกครั้งในห้องที่แสงไฟสาดเงาชัด และประทับจูบลงไปบนริมฝีปากนั้น
ประทับ นาบเนิบ ก่อนกลายเป็นกดจูบ ใช่ กดลงไปทั้งริมฝีปากและร่างของอีกฝ่ายให้ทิ้งแผ่นหลังลงบนเตียง เมื่อถอนจูบ ใจเย็นเห็นชัดถึงสีหน้าของเป็นไทที่เขาคร่อมอยู่ มันระเรื่อแดง อาจด้วยความร้อน ทั้งจากภายนอก และในกาย แววตาสับสน ร้อนรน ระคนหวาดหวั่น ริมฝีปากขยับเผยอเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เพราะใจเย็นไม่อยากได้ยิน ถ้าหากมันเป็นคำห้ามปราม เขาไม่อยากได้ยิน จูบจึงกดลงไปอีกครั้ง บดเบียดละเลียดรสของอีกฝ่าย ทั้งดูดดื่มราวจะดูดกลืนแม้แต่คำพูดห้ามปรามไม่ให้เขาทำ
และเหมือนได้ผล เมื่อผละจูบออกไม่มีคำพูดใดอีก นอกจากเสียงฝนแล้วก็ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจ หอบหายใจ ใจเย็นตื่นเต้น กระวนกระวาย อยากได้ อยากได้ทั้งหมด อยากได้ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ มือจึงเอื้อมไปปลดกระดุมเสื้อของเป็นไท การกระทำนั้นเกิดขึ้นทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว พลันไม่ทันดั่งใจจึงกระชากออก หมายพรากผ้าอาภรณ์ที่ห่อคลุมผิวของอีกฝ่าย แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงมือของเป็นไทที่ดึงรั้งการกระทำของเขาไว้ เห็นแววตาตระหนกบนใบหน้า ความรู้ตัวจึงกลับคืน เขาผ่อนลมหายใจให้ช้าลง ปล่อยมันรินรดบนผิวกายที่เขาปรารถนาครอบครอง ซบลงที่เนินอก ก่อนจะจูบไล่ลามขึ้นไปที่ต้นคอ ขบเม้มอย่างที่เคยทำ พลันนึกถึงวันที่สั่นเทาเพราะแตกสลายกับการกระทำ วันนี้ต่างออกไปตรงที่ต่อให้แตกสลาย เขาก็รู้วิธีประกอบคืนและเยียวยารอยแตกร้าวให้หายดีดังเดิม
รวมถึงวิธีประคับประคองไม่ให้แตกสลายก็เช่นกัน
จากต้นคอ ใจเย็นจูบไล่ขึ้นไปยังคาง สันกราม แวะขบกัดที่ใบหูจนอีกฝ่ายกระเถิบหนี เหมือนจะได้ยินเสียงร้องในลำคอแต่ถูกกลืนหาย ใจเย็นชอบปฏิกิริยาตอบกลับนั้น ชอบที่ใบหูของเป็นไทนุ่มนิ่มจึงขบเม้มลงไปอีกครั้ง และเพราะหนียิ่งกว่าเดิม เขาจึงประคองใบหน้าให้หันกลับมา คราวนี้เหมือนเห็นสายตาตำหนิ คิ้วขมวดปมเล็ก และโดยใจเย็นไม่รู้ตัว รอยยิ้มบางเบาผุดพรายบนใบหน้า ก่อนใช้รอยยิ้มประทับลงบนกลีบปากอีกครั้ง
จูบครั้งนี้ทำให้ใจเย็นนึกถึงไอศกรีมสตรอเบอร์รี่ เป็นไอศกรีมถ้วยที่ทำให้รู้ว่าเป็นไทชอบรสเดียวกันกับเขา นึกถึงลิ้นที่ลิ้มเลียริมฝีปากที่เปรอะเลอะไอศกรีม นึกถึงใบหน้าพึงพอใจท่ามกลางอากาศที่ร้อนอ้าวนั้น พลันความคิดปั่นประหลาด เขาอยากเป็นไอศกรีม ให้เป็นไทไล้เลียเขา แต่คงได้โดนด่ามาสักชุดสองชุด ใจเย็นจึงทำแค่ไล้เลียอีกฝ่ายเสียเอง แม้เลอะเปรอะด้วยน้ำลายก็ไม่รังเกียจ เขาไล้เลียให้เหมือนไอศกรีม ให้ละลาย เลือนหาย ขณะเดียวกันก็อยากทะนุถนอมไว้ลิ้มรสได้นานๆ
เมื่อผละถอนจากรสจูบ ใจเย็นเลื่อนมือลงเบื้องล่าง สัมผัสโดนกลางกางเกงจนอีกฝ่ายสะดุ้งเฮือก เอื้อมมือมารั้งไว้อีกครั้ง ทว่าเขาไม่ฟังอีก ดึงมือออก รูดซิปกางเกงและถอดมัน และยังไม่ทันถอดพ้นข้อเท้าที่เหลือข้างสุดท้าย ความใจร้อนก็พาเขากลับมาดึงกางเกงชั้นในที่เหลืออยู่ด้วย ซึ่งไม่แปลกนักที่เป็นไทยังคงรั้งไว้ แม้แสงไฟไม่ได้ส่องชัด แต่ใจเย็นก็เห็นสีแดง แดงไปหมดทั้งใบหน้าทำให้เขายิ่งนึกอยากแกล้ง โน้มลงพูดที่ใกล้หู
“ผมทำให้”
“ไม่ ไม่ต้อง”
“งั้นทำให้ผมดูหน่อย”
สิ้นสุดคำท้าทายนั้น เป็นไทชะงักงัน ใบหน้าเหมือนจะยังแดงได้อีก ก่อนด่ามาสั้นๆ ว่าโรคจิต แต่ก็ยังยอมให้ไอ้โรคจิตที่ว่าพรมจูบลงไปอีกครั้ง ยอมปล่อยให้เขากุมสัมผัสส่วนที่ร้อนและคลั่งข้นด้วยเพลิงอารมณ์ ใจเย็นเริ่มขยับเคลื่อนด้วยจังหวะเนิบช้าเหมือนตอนที่จัดการกับความอัดอั้นของตนเอง มองไม่เห็นสีหน้าของเป็นไทตอนนี้แล้วเพราะเจ้าตัวใช้แขนและมือทั้งสองข้างบดบัง ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจแทรกมากับเสียงฝนที่แผ่วจางลง ไม่แน่ใจว่าอากาศเริ่มร้อนขึ้นทุกทีหรือเป็นเพราะร้อนรุ่มในกาย ใจเย็นใช้มือข้างที่เหลือปลดกระดุมเสื้อตนเองและกางเกงที่ทำให้เขาอึดอัด ก่อนกลับไปเร่งจังหวะมือที่ปรนเปรอให้อีกฝ่าย แม้ไม่ยอมพูดหรือส่งเสียงร้องออกมาแต่ห้วงหายใจที่หนักหน่วงขึ้นก็ทำให้รู้ถึงความข้นคลั่กของอารมณ์
จนที่สุดแล้วราคะสีขาวก็ถะถั่งหลั่งไหลออกมา เปรอะเปื้อนเลอะมือเขาให้รู้สึกแปลกแปร่ง ไม่ใช่ว่ารังเกียจ แต่แค่ไม่เคยคิดว่าจะได้มาทำเรื่องแบบนี้ให้กับผู้ชายเหมือนกัน และชั่วขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น เป็นไทขยับตัวเหมือนจะผละออกจากเขา
“ขอโทษ... เดี๋ยวหาอะไรมาเช็ดให้”
“ไม่เป็นไรครับ”
ใจเย็นปฏิเสธ เขาไม่อยากให้เป็นไทลุกไปไหน ขณะเดียวกันก็ไม่รู้จะจัดการกับน้ำเหนียวๆ ในมืออย่างไร รู้ด้วยว่าเป็นไทคงไม่อยากปล่อยให้เป็นแบบนี้ พลันก็จบปัญหาง่ายดาย เขาถอดเสื้อที่ปลดกระดุมเอาไว้แล้ว และใช้มันเช็ดมือ
“เฮ้ย เสื้อมึง...”
“ซื้อใหม่ก็ได้”
เหมือนเห็นสีหน้าหมั่นไส้ของเป็นไท ซึ่งใจเย็นก็แค่ยิ้ม และยิ้มเบาบางอย่างพึงใจที่อีกฝ่ายยังไม่ได้หนีเขาไปไหน ยังอยู่ใต้ร่างของเขา คล้ายยอมให้บังคับควบคุมได้ทุกอย่าง แน่นอนว่าความรู้สึกเดิมๆ ยังคงวนเวียน ทั้งรบเร้าและเร่งเร้า ว่าเขาอยากได้คนคนนี้ ตอนนี้ และเดี๋ยวนี้ แต่ความอยากทะนุถนอมเอาไว้ ความเป็นห่วงและไม่อยากให้ความต้องการของเขาเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว จึงทำให้เขาพยายามใจเย็นอย่างถึงที่สุด ถึงขนาดที่ว่ายอมทำให้อีกฝ่ายก่อน ไม่ใช่เอาแต่ความสุขของตนเอง
“เป็นไท”
“...อะไร”
“เคยทำไหม”
เป็นไทไม่ได้ตอบ แต่เห็นชัดในแสงที่สาดส่องไม่ทั่วห้องว่าเจ้าตัวเบิกตาเล็กน้อยเหมือนไม่คิดว่าจะถูกถาม
“ไม่ได้หมายถึงว่าเคยกับผู้ชายไหม กับผู้หญิงก็ได้ เพราะ...แค่อยากรู้ว่ามีประสบการณ์บ้างไหม” ใจเย็นอธิบายต่อ แต่ก็รู้สึกได้ว่าตนเองร้อนรน เรียบเรียงคำพูดได้ไม่ค่อยตรงใจนัก “คือ...มันคงเจ็บมาก”
และก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาเสียเองเมื่อเป็นไทยังคงเงียบ
“ให้ผมไปหาอะไรมา—”
ไม่ทันขาดคำ ใจเย็นถูกดึงลงไป จูบ แต่ก็แค่ไม่กี่วินาที ราวกับสั่งให้หุบปาก
“พูดมาก รำคาญ”
และก็เป็นจริงดังนั้น แต่ถึงผละจูบออกแล้วก็ยังประสานสายตากันด้วยระยะห่างไม่กี่เซนติเมตร ฝนกลับมาตกหนักกลบกลืนทุกสรรพเสียง แต่เสียงห้วงหายใจของเป็นไทยังดังชัด ผิวยังคงระเรื่อสีแดงเหมือนเชื้อเชิญ พลันในห้วงวินาทีใดนับจากนั้นไม่อาจทราบได้ เพราะใจเย็นไม่แน่ใจอะไรอีกแล้ว สิ่งที่ทำปนเปทั้งความรู้ตัวและไม่รู้ตัว แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่แน่ใจ
พอกันที
เขาไม่อดทนอีกแล้ว และไม่แน่ใจด้วยว่าช่วยเปิดช่องทางของอีกฝ่ายได้มากแค่ไหน ทั้งที่อยากให้โอนอ่อนจากอ่อนโยนทะนุถนอม แต่เขาก็ไม่ทนอีกแล้ว ยืนยันได้จากเสียงร้องลั่นของเป็นไทเมื่อเขาพาร่างของตนเองสอดแทรกเข้าไป แม้อึดอัดคับแคบจนเจ็บเสียเองเขาก็ไม่ทนอีกแล้ว ใจเย็นผ่อนลมหายใจให้เข้าทีก่อนจะไปต่อ ได้ยินเสียงร้องหลงจากเจ็บปวดแต่เขาก็หยุดไม่ได้แล้ว ที่ทำได้มีแค่ประคองใบหน้าที่แดงระเรื่อนั้นไว้ ใบหน้าที่ยังพยายามใช้มือและแขนปกปิดไม่ให้เขาเห็น ใจเย็นดึงมันออกและกดไว้กับเตียง กระนั้นก็ยังเหลือการกัดเม้มปากราวกับรังเกียจเสียงตัวเอง ราวกับไม่อยากให้เขาได้ยิน แต่เพราะเขาอยากได้ยิน มือจึงเอื้อมไปบีบกระพุ้งแก้มให้คลายการขบเม้มออก ในทีแรกเบามือเพราะกลัวทำให้เจ็บ แต่เมื่อยังถูกต้านไว้จึงบีบแรงขึ้นจนยอมแพ้
เขาพรมจูบเป็นการปลอบใจ ก่อนใช้นิ้วมือข้างที่ไม่ได้ช่วยปรนเปรอในทีแรกแหย่เข้าไปในปาก ไม่ถึงกับบังคับให้เปิดอ้า แต่ก็เพียงพอที่จะไม่ให้ขบเม้มเก็บกลั้นเสียงร้อง และเขาก็รู้ รู้ว่าเป็นไทจะไม่กล้ากัดลงมาเพราะกลัวเขาเจ็บ
เมื่อเป็นดังใจ จังหวะที่เนิบช้ามาตลอดก็ถูกเร่งให้เร็วขึ้น เร็วขึ้น เหมือนใจที่ร้อนรนมาตลอด ใจที่อยากจะได้ อยากได้ทั้งหมดของคนคนนี้ และแทบไม่น่าเชื่อว่าเขากำลังสมปรารถนา เขากำลังได้ครอบครองเป็นไท ได้เห็นสีหน้าที่อาบเคลือบด้วยสีแดงเรื่อจากเพลิงตัณหา ได้เห็นแววตาที่ฉ่ำด้วยน้ำตา และได้ยินเสียงร้องที่แม้แต่เจ้าตัวยังอยากเก็บเป็นความลับ เขาได้ครอบครองทั้งหมดนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งเหมือนโหมไฟอารมณ์ให้เดือดพล่าน ใจเย็นจึงยิ่งกดกระแทกเข้าไปอย่างตะกรุมตะกราม เสียงร้องดังลั่นไม่เป็นภาษา เขาเก็บกลืนทั้งหมดนั้น
ให้เป็นของเขา ของเขาคนเดียว
และในจังหวะที่ท้องฟ้าคำรามลั่น สายฟ้าของราคะก็ฟาดลงมา ปลดปล่อยทุกปรารถนาเข้าไปในร่างของเป็นไท ผ่อนลมหายใจออกมาหนักหน่วง และเพื่อปลอบประโลม เขาจูบลงบนหยดน้ำตา ซึมซับมันให้จางหาย แล้วจูบลงบนหน้าผาก แนบนาน อบอุ่น
ก่อนกระซิบคำบางคำที่ข้างหู
เป็นไทไม่ตอบอะไร แค่หลับตาลงเหมือนเหนื่อยอ่อนเต็มที ใจเย็นจึงไม่ได้พูดอะไรอีก – รวมถึงคำพูดเอาแต่ใจว่าขออีกรอบได้ไหม – เขาไม่ได้พูดมัน
พอดีกับที่เรื่องบนเตียงจบลง ไฟฟ้าของหอพักก็กลับมาใช้ได้เหมือนรู้งาน ให้พวกเขาได้สะสางตนเองจากเปรอะเปื้อน และตอนนั้นเองที่เป็นไทเริ่มบ่นอุบอิบ แม้เขาจะช่วยประคองพาไปล้างตัวในห้องน้ำก็ตาม
คืนนั้นจบลงด้วยการนอนเคียงบนเตียงเดียวกัน แม้สายฝนหยุดลงแล้วแต่ใจเย็นก็ไม่ได้กลับบ้านที่แม่รออยู่ หลังจากการฟ้องหย่าจบลง เกษราก็หาซื้อบ้านใกล้มหาวิทยาลัยของใจเย็นเพื่ออาศัยชั่วคราว ส่วนใจเย็นก็ย้ายออกจากคอนโดของพ่อเพื่อมาอยู่กับแม่ ดังนั้นเวลาไปไหนเขาจึงต้องโทรบอกเสียบ้าง การมาค้างคืนกับเป็นไทก็เช่นกัน ซึ่งเกษราก็ไม่ได้ว่าอะไร เหมือนกับที่หล่อนตามใจและเห็นดีเห็นงามเรื่องที่ใจเย็นคบกับเป็นไทนั่นแหละ
แต่บางที ก็อาจเพราะหล่อนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแท้จริงไม่บิดพลิ้วของลูกชายตนเอง จึงยินดีไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร และเพศอะไร
นับจากวันนั้น ใจเย็นกับเป็นไทก็ดำเนินชีวิตตามปกติ มีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ยกให้กัน ไปหา มาหา พบหน้า พูดคุย ถกเถียง หยอกล้อ ด่า และโดนด่า ซึ่งแน่นอนว่าใจเย็นเป็นฝ่ายโดนด่าอยู่ตลอดจากการที่ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจกวนประสาทเป็นไท แต่เพราะรู้ว่าไม่ใช่คำด่าแบบโกรธหรือโมโห เขาจึงชอบที่จะได้ฟัง
ความจริงก็ชอบทั้งหมดของเป็นไทนั่นแหละ
แม้วันจะผ่าน ใจเย็นก็ไม่เคยเปลี่ยนความละเอียดลออในการสังเกตท่าทีของเป็นไท ไม่สิ เรียกว่าสังเกตอาจไม่ถูกทั้งหมด เพราะหลายครั้งก็แค่เฝ้ามองอย่างไม่คิดอะไร เหมือนว่าจะอย่างไรก็ได้ ขอแค่ให้ได้เห็นในสายตา ได้เฝ้ามองอยู่อย่างนั้นทั้งในความเป็นจริง ในฉากหลังที่ว่างเปล่า ในใจของเขา
เหมือนกับตอนนี้ที่เป็นไทนั่งอยู่ตรงหน้าเขา ท่ามกลางแดดคล้อยยามเย็นของสิงหาคม ในสวนของบ้านใหม่แม่ แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ด้วยพฤกษานานาพันธุ์เท่าบ้านอัครเสนีย์ แต่ก็เต็มไปด้วยดอกไม้ กลิ่นหอมนวลเนียนในอากาศ และหอมหวานของไอศกรีมสตรอเบอร์รี่
ทั้งจะมีอะไรดีไปกว่าได้แอบมองคนตรงหน้าที่ลิ้มเลียไอศกรีมที่เปรอะเลอะริมฝีปากเป็นบางคราว ไอศกรีมสตรอเบอร์รี่ที่จนบัดนี้เป็นไทก็ยังไม่เคยเอ่ยกับปากออกมาว่าชอบ พอๆ กับตัวเขาที่เป็นไทไม่เคยบอกรักเลยสักครั้ง
“เป็นไท”
“ว่า?”
เป็นไทเงยหน้าขึ้นจากไอศกรีมสตรอเบอร์รี่
“ผมเคยสนใจเป็นไทเพราะคิดว่ามีเรื่องที่ผมคาดเดาไม่ได้เต็มไปหมด”
“มึงจะพูดอะไรเลี่ยนๆ อีกแล้วใช่ไหม”
พลันใจเย็นยิ้มขำที่โดนดักทาง แต่เขาก็พูดต่ออยู่ดีเพราะอยากให้รับรู้เอาไว้
“แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าต่อให้คาดเดาได้ ผมก็ยังสนใจอยู่ดี”
เป็นไททำเป็นไม่สนใจ ตักไอศกรีมคำสุดท้ายเข้าปาก อีกครั้ง ลิ้มเลียไอศกรีมที่เลอะเล็กน้อยบนริมฝีปาก
อีกครั้ง ใจเย็นนึกอยากเป็นไอศกรีมสตรอเบอร์รี่ขึ้นมา
“เพราะมองยังไงก็น่ารัก”
“รำคาญ”
ทันควัน เป็นไทสวนกลับ
“รักนะครับ”
“รำคาญสัดๆ”
โดยไม่สบตาเขา เป็นไทลากถ้วยไอศกรีมของใจเย็นที่ยังกินไม่หมดไปตักกินเสียเอง
“รำคาญแต่แย่งของกินผมได้ไงอะ”
“ก็รำคาญไง เลยแย่ง”
“รำคาญมันต้องไล่ไปให้พ้นๆ หน้าไม่ใช่เหรอครับ”
เป็นไทไม่ได้ตอบ ตักไอศกรีมเข้าปากอีกคำก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา ไม่รู้เพราะแสงคล้อยของยามเย็นด้วยหรือเปล่าที่ทำให้แววตาแฝงความกร้าวนั้นดูอบอุ่น และอ่อนโยนขึ้นมา
“ไม่ไล่หรอก”
และก็ได้รู้ว่าไม่ได้คิดไปเอง
“อยู่ให้กูรำคาญนี่แหละ”
“งั้น...งั้นเหรอ”
“เออ ทั้งชีวิตเลยก็ดี”
จบคำ เป็นไทก้มหน้าก้มตากินไอศกรีมต่อ ปล่อยให้ใจเย็นจมอยู่ในคำพูดที่ก้ำกึ่งระหว่างคำหวานและคำธรรมดา แต่อย่างไร เขารู้สึกว่าหวาน หวานเหมือนไอศกรีมสตรอเบอร์รี่ แล้วก็พลันรู้สึกว่าตนเองตอนนี้เป็นไอศกรีม ไม่ใช่เชิงลามกแบบที่เคยคิด แต่เป็นไอศกรีมที่กำลังละลายจากคำบอกรักที่ไม่มีคำว่ารัก
ละลายจริงๆ เพราะเขาคิดคำโต้ตอบไม่ออก แถมรู้ตัวอีกทีว่าหน้าแดงก็ตอนที่เป็นไทหัวเราะใส่และดึงแก้มเขาเล่นแล้ว แต่ใจเย็นก็ไม่ว่าอะไร ไม่เคยคิดว่าอะไรเลยสักครั้ง เพราะถ้าเป็นไทเป็นไฟ เขาก็จะยอมให้แผดเผาจนละลายหาย และถ้าไฟนั้นต้องการมอดดับ เขาก็จะเป็นน้ำแข็งที่เย็นมากพอจะช่วยอีกฝ่ายโดยไม่ทำลายตนเอง ต่อให้ไม่พูด เขาก็รู้ว่าเป็นไทไม่ปรารถนาให้เขาเจ็บปวด ปรารถนาเช่นนั้น ให้มีกันและกัน ประคับประคองและผ่านเรื่องราวต่างๆ ไปด้วยกันเหมือนที่เคยผ่านกันมาได้
แค่กันและกันก็เพียงพอ
ใจเย็นกับเป็นไท.
************************************************************************************
ไม่รู้จะใช้คำพูดไหนปิดในเนื้อเรื่องสำหรับการบอกว่า
จบแล้ว เพราะการปิดด้วยคำว่า "ใจเย็นกับเป็นไท" มันดูสมบูรณ์มากเลยสำหรับแยม
แม้ว่ายังมีบทส่งท้ายอีกตอน แต่แยมมองว่ามันคล้ายๆ ตอนพิเศษมากกว่า เนื้อเรื่องจบสมบูรณ์จริงๆ ที่ตอนนี้
ส่วนบทส่งท้าย สปอยล์ว่ามีหมาค่ะ และหมาตัวนี้ไม่ตายนะ 5555
ความจริงมีเรื่องอยากพูดเยอะมาก แต่เรียบเรียงเป็นข้อๆ ดีกว่า เดี๋ยวเวิ่น
- ขอบคุณนักอ่านทุกคนเลยค่ะที่ติดตามมาจนถึงตรงนี้ ขอบคุณทุกฟี้ดแบ้ค ทุกกำลังใจ ทุกคอมเม้น ทุกการบวกเป็ด ขอบคุณจริงๆ ค่ะ มันทำให้แยมอยากเขียนงานให้ดีต่อไป และจะพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยค่ะ
- เคยบอกในทอล์กตอนของเกษราแล้วล่ะว่า เรื่องนี้ ภาษาได้รับอิทธิพลมาจากงานของคุณวีรพรเยอะมาก เป็นติ่งค่ะ 555 แล้วก็ผสมรวมกับความเป็นตัวเองของแยมลงไป ออกมาอย่างที่เห็นค่ะ
- อย่างไรก็ตาม เรื่องหน้าน่าจะใช้ภาษาแบบสบายๆ กว่านี้แล้วค่ะ (จริงๆ นักอ่านก็บอกอยู่ว่าแต่ละเรื่องของแยมภาษาไม่เหมือนกันเลย 55)
-
อย่าลืมม มีบทส่งท้ายอีกตอนนะคะ- แต่ก็เม้นบอกความในใจได้ตั้งแต่ตอนนี้น้า เค้าอยากรู้ อยากอ่านน 55
- รักทุกคนนะคะ รัก #ใจเย็นกับเป็นไท ด้วย