ตอนที่8
เสวี่ยหมิงเดินทางรอนแรมไปพร้อมกับเสี่ยวหลงได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว เขายอมรับว่าการมีเด็กน้อยนี้เกาะติดมาด้วยสร้างความครึกครืนให้จนเขาลืมความเหงาไปสิ้น
เสี่ยวหลงเป็นเด็กหนุ่มอัธยาศัยดี ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจเมื่อเห็นมันพูดจ้อไม่หยุด มีบางครั้งก็นึกสงสัยเหมือนกันว่าคุยมากถึงขนาดนี้ไม่เหนื่อยบ้างหรืออย่างไร
“เสี่ยวหลงเจ้าช่วยหยุดพูดซักนิดแล้วทานอาหารตรงหน้าเสียเถอะ”
เสวี่ยหมิงกล่าวเตือนเด็กหนุ่มที่พูดไม่หยุดจนลืมที่จะทาน เสี่ยวหลงยิ้มกว้างเริ่มต้นจัดการกับหมี่และเนื้อตรงหน้า ทว่ากลับกินไปพูดไปจนเสวี่ยหมิงระอาใจ
“เสี่ยวหลงนี่เป็นเวลากิน หากเจ้ายังเอาแต่พูดไม่ตั้งใจกิน ข้าจะไม่พูดกับเจ้าแล้วนะ”
ได้ผล เสี่ยวหลงสงบเสงี่ยมลงแล้วเริ่มต้นตั้งอกตั้งใจกินอย่างเงียบเฉียบ กริยามารยาทกลับมางดงามน่าชมเช่นเดิม เสวี่ยหมิงยอมรับกับตัวเองว่าชมชอบที่จะดูท่วงท่าอิริยาบถต่างๆของเสี่ยวหลงเอามากๆ เพราะแม้แต่นายท่านตระกูลเสวี่ยยังไม่งดงามเท่ากับเสี่ยวหลง
เสี่ยวหลงนั้นไม่ว่าจะเดินเหินหรือนั่งลงมักจะยืดอกตรงผึ่งผายอยู่ตลอดเวลา กริยาเช่นนี้บอกชัดว่าถูกขัดเกลามาอย่างดี สมแล้วที่เด็กน้อยนี่มีพ่อเป็นบัณฑิต
“น้องสาวว่าไงจ๊ะ ไม่ไปโรงแรมกับพี่หน่อยหรือ พี่คาดว่าน้องอายุน่าจะสิบสี่แล้วน่าจะอยากเรียนรู้เรื่องดีงามของชายหญิงกระมัง”
เสวี่ยหมิงลอบมองดูคนพูด ไม่ไกลจากโต๊ะของเขานัก ชายขี้เมาสองคนเริ่มต้นลวนลามเด็กสาวซึ่งเป็นคนของโรงเตี๊ยม โรงเตี๊ยมเล็กๆกลางป่านี้นอกจากเด็กสาวและพ่อครัวควบเจ้าของร้านก็ไม่มีผู้อื่นใดที่น่าจะช่วยรับมือได้อีก เสวี่ยหมิงยังพยามยามใจเย็นเฝ้าสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ
“น่าๆมามะมาให้พี่จูบซักทีสองที”
เกิดการยื้อยุดกันขึ้น เด็กสาวพยายามขืนตัวสุดฤทธิ์ ปากก็ร้องโวยวายชอความช่วยเหลือ ในตอนนั้นเองชายชราอายุอานามน่าจะเกือบ60ปีก็ก้าวออกมาจากในร้าน ชายผู้นั้นถือมีดออกมาด้วย คงคิดจะปกป้องหลานสาวของตัวเอง
เสวี่ยหมิงตั้งใจจะยื่นมือเข้าช่วย ไม่คาดว่าเสี่ยวหลงกลับไวกว่า เด็กน้อยขว้างถ้วยชาใส่คนเมาสองคนเปิดฉากหาเรื่องอย่างโจ่งแจ้ง
“เสี่ยวหลง” ตั้งใจจะเอ่ยปรามว่าอย่าหาเรื่องใส่ตัว แต่....
“พีใหญ่ให้ข้าจัดการเองเถอะแค่คนเมาสองคนไม่ครนามือข้าหรอก”
เสี่ยวหลงเดินอาดๆเข้าหาคนเมา เจ้าคนเมาสองคนคนหนึ่งเล่นงานลุงเจ้าของร้านอีกคนพุ่งเข้าหามันด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด
“ไอ้เด็กไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กล้าขว้างถ้วยชาใส่หัวข้าเชียวรึ”
จังหวะที่คนเมาพุ่งเข้าใส่ไม่คาดว่าเสี่ยวหลงจะใช้ความแรงของการพุ่งเข้าหาถ่ายเทเหวี่ยงจับศัตรูจนลอยข้ามหัวไปกระแทกกับต้นไม้โครมใหญ่ เสวี่ยหมิงถึงกับตีเข่าดังฉาด มาตรว่าคงมีกระบวนท่าที่น่าจับตามองอีกกระมัง
“แกอย่าได้ใจไปนะ”
เจ้าคนเมาคนที่สองจับยึดลุงเจ้าของร้านเอาไว้ ตอนนี้มันแย่งมีดจากเจ้าของร้านจี้มีดไปบนคอหอยหวังว่าจะใช้ขู่เสี่ยวหลงให้ทำตาม ทว่าเสี่ยวหลงกับหัวเราะฮิฮะ
เสวี่ยหมิงเดาว่าคงเล่นสงครามประสาท มันเดินเข้าหาคนร้าย เมื่อถูกกดดันเช่นนั้น อันธพาลขี้เมาจำต้องผลักไสเจ้าของร้านให้ออกห่างจากตัว แรงผลักทำให้เจ้าของร้านเกลือกกลิ้งไปกับพื้น
“ไอ้หนูอย่าอยู่เลย”
อันธพาลขี้เมาถือมีดวิ่งเข้าใส่ เสี่ยวหลงลอบหัวเราะในใจ การโจมตีไร้ซึ่งพลังเช่นนี้อย่าหวังเลยว่าจะทำอะไรมันได้ ด้วยความคล่องแคล่วมันหลบฉากไปด้านข้างจังหวะที่เจ้าอันธพาลโหมตัวเข้าฟัน มันก็ยึดจับที่เอวและข้อมือพร้อมทั้งขัดขาจนเสียสมดุลออกแรงเหวี่ยงลอยหวือออกไปกองรวมกันกับเจ้าคนแรก
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” เมื่อสองอันพาลลุกขึ้นได้ แม้จะจะเข็ดหลาบอยู่บ้างแต่ไม่วายฝากแค้นก่อนจากไป เสี่ยวหลงยิ้มกว้างพลางตะโกนไล่หลัง
“อยากเอาคืนให้มาหาข้านา”
เสวี่ยหมิงส่ายหน้ายิ้มอ่อนใจ กระนั้นไม่แปลกใจต่อพฤติกรรมของเสี่ยวหลง เพราะอายุยังน้อยจึงทำอะไรไม่คิด เวลานี้ต้องตักเตือนเสียหน่อยให้อย่าปากพล่อยหรือหาเรื่องใส่ตัวให้มากนัก ดังนั้นจึงพลิ้วกายเข้าไปเขกหัวมันดังโป๊ก เสี่ยวหลงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
“เหตุใดพี่ใหญ่ถึงทุบตีข้า”
“เจ้ายังไม่รู้ตัวอีกรึว่าทำผิดอันใด อย่างนั้นให้ข้าทุบตีเจ้าอีกซักทีสองทีดีหรือไม่”
“พี่ใหญ่จะใจดำทุบตีข้าเป็นครั้งที่สองลงหรือ”
เสี่ยวหลงทำตาอ้อนเป็นประกาย มันใช้สายตาเยี่ยงนี้หลอกลวงอิสตรีที่เข้ามาติดพันบ่อยทุกครั้งล้วนได้ผล ไม่คาดว่าจะได้รับรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมจากเสวี่ยหมิง ผิดคาด มารยาของมันไม่สัมฤทธิ์ผลเสียนี่
“โอย...โอย...พี่ใหญ่อย่าได้ทุบตีข้า ข้าเจ็บแล้ว”
เสวี่ยหมิงไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี เขาแค่เงื้อมือจะทุบตีเป็นคราที่สองคิดไม่ถึงเสี่ยวหลงจะลงไปเกลือกลิ้งกับพื้นทำประหนึ่งเจ็บปวดเหลือแสน ช่างน่าตายนัก เด็กน้อยนี้ช่างแสดงละครเก่งทั้งเจ้าเล่ห์จนเหลือที่จะกล่าว
“พี่ใหญ่ข้าเจ็บมาพอแล้ว อย่าได้ทุบตีข้าอีกเลยนะ”
เสี่ยวหลงพินอบพิเทาสุดฤทธิ์ มันจงใจโขกศีรษะลงพื้นหลายต่อหลายครั้ง ตามจริงแล้วมันตั้งใจหยอกล้อเสวี่ยหมิง ตอนนี้คนที่มันหยอกล้อทำหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ฝืนทนที่จะไม่ยิ้มออกมา เสี่ยวหลงเริ่มต้นใช้มารยาเล่มเกวียนแบบที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน
“พี่ใหญ่อภัยให้ข้านะ ข้าไม่รู้หรอกว่าผิดอะไร แต่ได้โปรดให้อภัยข้านะน้าน้า”
เสี่ยวหลงโผเข้ากอดขาข้างหนึ่งของเสวี่ยหมิงพลางถูไถใบหน้าเข้ากับหน้าแข้งของอีกฝ่าย เสวี่ยหมิงนึกยิ้มแต่กลับไม่อยากยิ้ม รู้แก่ใจว่าเป็นแผนการณ์มากเล่ห์อย่างหนึ่งของเด็กน้อย อยากจะทุบถองแต่ไม่ทราบได้เพราะเหตุใดจึงทำไม่ลง จังหวะนั้นเองไม่คาดว่าจะมีผู้ยื่นมือมาแก้สถานการณ์ให้
“ขอบคุณนายท่านมากขอรับที่ช่วยเหลือพวกเรา” ผู้เฒ่าเจ้าของร้านคุกเข่าขอบคุณพร้อมหลานสาว ตอนนี้เองที่เสวี่ยหมิงสังเกตว่าผู้เฒ่าผู้นี้แขนหัก คาดว่าอาจจะเป็นเพราะล้มกลิ้งเมื่อครู่เป็นแน่
“ทานลุงไม่ต้องคุกเข่า ท่านคงบาดเจ็บกระมัง”
“ทำอย่างไรดีคะท่านปู่ท่านพ่อเองอีกสองอาทิตย์กว่าจะกลับมาด้วย เราจะเปิดโรงเตี๊ยมกันอย่างไร แล้วหากว่าอันธพาลกลับมารังแกเราล่ะ” ตอนนี้เองที่หลานสาววัยเยาว์เริ่มร้องไห้ ผู้เฒ่าเจ้าของร้านเองก็มีสีหน้าลำบากใจ
“พวกท่านจ้างข้ากับพี่ใหญ่ดูแลพวกท่านในช่วงสองอาทิตย์ดีหรือไม่”
เสวี่ยหมิงสะดุ้งตัวหันไปมองเสี่ยวหลงไม่คาดว่าเด็กน้อยจะมีความคิดเยี่ยงนี้ออกมา
“จะดีหรือนายท่าน ไม่รบกวนนายท่านหรือ อีกอย่างข้าไม่มีเงินจ้างท่านในราคาสูงนะขอรับ”
“ไม่ต้องกลัวท่านจ้างพี่ใหญ่ตามอัตราจ้างปกติส่วนข้าจะอยู่ช่วยท่านฟรี แค่ท่านเตรียมที่พักอาศัยให้เราสองพี่น้องก็พอแล้ว ได้ฟังเช่นนั้นสองตาหลานก็ยิ่มกว้าง เสวี่ยหมิงเริ่มจะตามเสี่ยวหลงไม่ทันได้แต่ส่งสายตาแฝงคำถามไป
“พี่ใหญ่เราเองก็ขาดที่พักใช่ไหม แค่สองอาทิตย์คงไม่เสียเวลาหรอกเนอะ”
เสี่ยวหลงยิ้มกว้าง เสวี่ยหมิงทำเพียงถอนหายใจ พวกเจ้าตัดสินใจกันขนาดนี้แล้วใยยังต้องถามข้า เอาเถอะเขาจะยอมทำตาม แต่ยังไงคืนนี้ต้องตักเตือนสั่งสอนกันเสียหน่อยไม่ให้ทำอะไรตามใจชอบอีก จากนั้นเมื่อช่วยสองตาหลานปิดร้านเสร็จ พวกเขาก็ถูกพาไปยังบ้านซึ่งเป็นที่พักของผู้จ้าง
“พวกท่านสองคนพักที่ห้องนี้นะคะ เดิมเป็นห้องของข้า แต่เรามีห้องพักแค่สองห้อง ดังนั้นจึงรบกวนให้พวกท่านทนซักหน่อย”
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว” เสี่ยวหลงตอบรับเสียงระรื่น
“ถ้าอย่างนั้นนี่คือเสื้อผ้าที่ให้พวกท่านใช้เปลี่ยนคืนนี้ค่ะ” เด็กสาวยื่นเสื้อผ้ามาให้สองชุด เสี่ยวหลงยื่นมือไปรับ
“ขอบใจนะ น้องเหมยลี่” เสี่ยวหลงเอ่ยเสียงหวานทั้งยังยักคิ้วหลิ่วตาให้เจ้าของชื่อ เหมยลี่สะเทิ้นอายเมื่อยื่นส่งสิ่งของถึงมือแล้วก็รีบจากไป ท่าทางชัดเจนเช่นนี้แม้แต่เสวี่ยหมิงยังดูออก
“เจ้าไม่น่าหว่านเสน่ห์ใส่นาง”
“ข้าเปล่านะพี่ใหญ่ อัธยาศัยข้าคงดีไปหน่อยแค่นั้น” เสวี่ยหมิงส่ายหน้าคร้านจะเถียงด้วย เพราะมีเรื่องสำคัญกว่าที่จะสั่งสอน
“เจ้ามานี่เสี่ยวหลง มาตรงหน้าข้าแล้วคุกเข่า”
เสวี่ยหมิงตีหน้าขึงขัง แม้ว่าเสี่ยวหลงจะพยายามทำหน้าตลกเข้าใส่เขาก็ไม่มีท่าทางอ่อนข้อ เมื่อเสี่ยวหลงพยายามยิ้มเท่าใดพี่ใหญ่ของมันยังคงตีหน้านิ่ง จึงช่วยไม่ได้ที่มันต้องนั่งคุกเข่าแล้วแสร้งตีหน้าสลด
“เจ้าสำนึกจริงหรือแกล้งเศร้าข้าก็ไม่รู้นะ แต่เอาเถอะ ข้าจะถือเสียว่าเจ้าจริงใจแล้วกัน”
“พี่ใหญ่มีเรื่องใดสอนสั่งข้าหรือ” เสี่ยวหลงช้อนตาละห้อยมองขึ้นมา เสวี่ยหมิงนึกใจอ่อนแต่หากไม่สั่งสอนเกรงว่าจะสายเกินแก้ไป เขาเริ่มด้วยเรื่องแรกที่นึกไม่ชอบใจ
“อย่างแรก เหตุใดเจ้าจึงตัดสินใจแทนและมัดมือชกข้า รู้ไหมข้าไม่มีโอกาสได้ตัดสินใจเองเลยเรื่องยอมรับการจ้างวานของสองตาหลานสกุลฮวา”
เสี่ยวหลงได้ฟังก็เอียงคอมองมาด้วยดวงตาใสกระจ่าง มันทำท่าทางเสมือนไม่รู้ว่าตนเองเป็นคนผิดเช่นนี้ ชวนให้เสวี่ยหมิงสงสัยนัก
“พี่ใหญ่เป็นท่านเองมิใช่หรือที่ทำหน้าอดรนทนไม่ได้ ท่านจะรู้ตัวไหมนะว่าท่านแสดงสีหน้าเช่นนี้ตั้งแต่ฮวาเหมยลี่ถูกรังแกแล้ว”
ถูกจี้ให้ตระหนักถึงความเป็นจริงที่แม้แต่ตนเองก็รู้ดีทำให้เสวี่ยหมิงนิ่งงันไป นี่เขาแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนเพียงนั้นเชียวหรือ
“พี่ใหญ่แสดงสีหน้าท่าทางกระวนกระวาย ราวกับอยากจะช่วยแต่ตัดสินใจไม่ได้ กระนั้นข้าเดาได้ว่าท่านมีใจเอนเอียงในทางที่อยากจะช่วยสองตาหลานอยู่มากดังนั้นข้าจึงตัดสินใจแทนท่าน เป็นข้าที่ผิดเองพี่ใหญ่จะลงโทษทุบตีข้าก็ไม่ผิดอะไร”
เสี่ยวหลงแสดงท่าทางยอมจำนนต่อความผิด สำหรับมันการถูกลงโทษทุบตีเป็นเรื่องเล็กน้อย ตอนนี้มันอย่างดูน้ำใจของเสวี่ยหมิงนัก หากมีคนสร้างเรื่องเดือดร้อนให้หรือขัดใจจะทำเช่นไร ทว่าเสวี่ยหมิงกับถอนหายใจ
“เจ้าพูดถูกเป็นข้าเองที่แสดงท่าทางให้เจ้าเข้าใจผิด เรื่องนี้ถือว่าข้าผิดเอง แต่ว่าการที่เจ้าเข้าไปวิวาธกับอันธพาลแทนข้าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้ารับไม่ได้”
เสี่ยวหลงทำหน้าหงอยๆทั้งก้มหัวลงต่ำ การที่มันไม่โต้แย้งยิ่งทำให้เสวี่ยหมิงราวกับเป็นจอมมารก็ไม่ปาน หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เขาพอเรียนรู้นิสัยใจคอของเสี่ยวหลงมาบ้าง นอกจากจะอัธยาศัยดี ยังมีน้ำใจต่อพี่น้องเช่นเขา ทว่ามันมีนิสัยมุทะลุถือดีเช่นนี้ย่อมไม่ดีแน่ เขาควรจะสอนวิชาให้มันติดตัวไปป้องกันตัวเองน่าจะดีกว่า
“ข้าเข้าใจว่าเป็นสันดารของเจ้า เจ้าเองก็โตแล้วคงห้ามปรามไม่ได้ง่ายๆ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจจะสอนวิทยายุทธที่ข้ามีให้แก่เจ้าบ้าง จะได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับวาศนาและความตั้งใจของเจ้า”
เสี่ยวหลงหูผึ่ง นับว่าเป็นเรื่องที่ดีงามต่อมันเรื่องหนึ่งทีเดียว มันเองอยากจะรู้นักว่าเฒ่าจูสอนวิชาใดให้ศิษย์คนเล็กบ้าง มันกระหยิ่มยิ้มย่อง ปั้นยิ้มดีใจอย่างที่สุด
“จริงหรือพี่ใหญ่ท่านจะสอนข้าจริงหรือ”
“เจ้าอยากเรียนไหมล่ะ”
“แน่นอนครับข้าอยากเรียน พี่ใหญ่ใจดีต่อข้าเหลือเกิน” เสี่ยวหลงพุ่งเข้ากอดข้าข้างหนึ่งของเสวี่ยหมิงพลางถูไถใบหน้าเข้าที่แข้งออดอ้อนจนเสวี่ยหมิงทำตัวไม่ถูก
“พอ พอเถอะ เราใช่ว่าจะสอนวิชายอดยุทธใดให้เจ้า แค่วิชาแมวสามขาเท่านั้น อย่าได้ดีใจจนเกินไปนัก”
“วิชาสามขาก็เถอะ หากพี่ใหญ่เป็นผู้สอนคงเป็นวิชาที่ดีงาม อนาคตข้างหน้าข้าจะเป็นจอมยุทธผู้เก่งกาจยืนเคียงบ่าของพี่ใหญ่ท่านว่าเหมาะสมหรือไม่”
“อนาคตจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่นั่นต้องแล้วแต่ตัวเจ้าเอง”
เสวี่ยหมิงสลัดขาไล่ให้เสี่ยวหลงผละออก ตามจริงแล้วเขาตั้งใจว่าจะสอนกระบวนท่าที่ครูพักลักจำจากคนในตระกูลเสวี่ย กระบวนวิชานี้ท่านอาจารย์บอกว่าเข้าท่าที่สุดเพราะเป็นวิชาจากสำนักบู๊ที่มีชื่อเสียงไม่แพ้เรือนญาณพิทักษ์ธรรม
ใช่ว่าเขาจะหวงวิชา แต่กระบวนหมัดเกล็ดหิมะเป็นวิชาพิษที่อันตราย ส่วนกระบี่หิมะโปรยก็รุนแรงเกรี้ยวกราดมีแต่กระบวนท่าที่โหดร้ายทารุณ เขาไม่อยากให้เสี่ยวหลงเรียนวิชาที่เป็นเช่นนั้น กระนั้นยังมีความคิดที่จะแอบสอนวิชาหนึ่งอสูรพิชิตเทวะให้เสี่ยวหลง รู้อยู่ว่าตนอาจหาญคิดรับศิษย์ทั้งที่ยังไม่แตกฉาน ทว่าเพราะเอ็นดูบวกกับเป็นห่วงเด็กน้อยนี่จึงทำให้มีความคิดเช่นนี้ออกมา
“อย่างนั้นเรามาเริ่มฝึกพื้นฐานลมปราณกันเถอะ เริ่มคืนนี้เลย”
เสี่ยวหลงพยักหน้าหงึกหงัก ความกระตือรือร้นที่จะศึกษาของมัน เสวี่ยหมิงรู้สึกคุ้มค่าที่ตั้งใจสอนสั่งมันจริงๆ
การเดินทางยังอีกใกล้เสี่ยวหลงคงยังป่วนเสวี่ยหมิงได้อีกนานละมั้ง55555
เม้นเป็นกำลังใจกันบ้างน้า