ตอนที่ 14
“คุณเคยรักกับคนที่เป็นรูมเมท แต่รูมเมทคือฝาแฝดใช่ไหม? แล้วคุณก็มีอะไรกัน คบกันแบบ In relationship like a couple? เดท แฟน…. คุณมีอะไรกับพี่น้องตัวเองหรอครับ?”
“ใช่”
แค่นหัวเราะให้กับความน่าสมเพชของตัวเอง ก็กะว่ามันจะเป็นความลับไปตลอดกาล เขาไม่พูด เชอเบทไม่พูดก็ไม่มีใครรู้ แต่วันนี้…ฌามากลับรู้แล้ว ถ้าพูดกันตรงๆมันก็เหมือนโรคจิต สัมพันธ์ในสายเลือดไม่เป็นที่ยอมรับมาแต่ไหนแต่ไร
ตาสวยหลุบลงมองพื้น น้ำตามากมายไม่รู้มาจากคลอเต็มหน่วยจนสุดท้ายก็ร่วงหล่นลงมา ทำไมจะไม่ทุกข์ใจที่ตัวเองเป็นแบบนี้ ใครๆก็อยากเป็นคนปกติ ใครจะอยากถูกมองว่าเป็นโรคจิต… ใครจะอยากถูกรังเกียจ
“คุณ…เรื่องอะไรกันวะเนี่ย”
ฌามายกมือเสยผมตัวเองแรงๆ เรื่องมันน่าตกใจจนตั้งตัวไม่ถูก ความสัมพันธ์ร่วมสายเลือดก็เคยได้ยินและได้เห็นมาเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าจะโคจรมาใกล้ตัวเองขนาดนี้
“น่ารังเกียจใช่ไหม.. คนปกติที่ไหนมีอะไรกับน้องชายตัวเอง ฮะๆ”
ฌามามองคนแค่นหัวเราะแต่ดวงตาสวยกลับวาววับไปด้วยหยาดน้ำที่จะร่วงหล่นลงมาอยู่รอมร่อ มือขาวกำแน่น ร่างกายสั่นระริกจนน่าสงสาร ไม่รู้จะต้องปลอบยังไงเพราะตัวเองยังตกใจ มันเป็นสภาวะที่บรรยายความรู้สึกไม่ถูก
“เรื่องของเราก็จบลงแค่นี้แล้วกัน คนปกติก็ไปใช้ชีวิตปกติเถอะ…คุณอาจจะเห็นผมเป็นแค่ตัวแทนแฟนเก่าก็ได้ ผมจำได้นะว่าคุณบอกเพิ่งอกหักมา… ผมคงเป็นเขาให้คุณไม่ได้”
“ทำได้หรอ? กลับไปใช้ชีวิตเหมือนไม่มีอะไร มันทำได้หรอ? คุณก็รู้ว่าระหว่างเรามันเป็นยังไง”
มือหนาคว้าข้อมือซีดรั้งเข้าหา แต่เฌอแตมก็ขืนตัวออกกลายเป็นยื้อกันอยู่แบบนั้น
“ก็แล้วจะให้ทำไง คุณก็ยังลืมคนเก่าไม่ได้หรอก เพิ่งเลิกใหม่ๆใครเขาทำใจได้ทันที ทีผมยังใช้เวลาตั้งหลายเดือนมันถึงจะดีขึ้น แต่ก็ยังคิดถึง กล้าพูดไหมว่าคุณไม่ได้เป็นเหมือนกัน”
“ผมไม่ได้เป็น”
“งั้นคุณก็ดีเกินไป ไม่เห็นหรอว่าผมมันโรคจิต พระจันทร์ของคุณโคตรแปดเปื้อนเลย คงต้องเข้าไปบำบัดในโรงพยาบาลด้วยซ้ำ!”
ความรู้สึกของเฌอแตมเหมือนถูกกวนจนกลายเป็นน้ำวน สารพัดเรื่องหมุนวนรวมกันจนสติแตก ทั้งเสียใจกับเรื่องตัวเอง อับอาย ไม่อยากจะสู้หน้า หรือจะเพราะมันหน่วงที่คิดว่าฌามาจะเห็นเป็นแค่ตัวแทนใครสักคนที่เขาเองก็ไม่รู้จัก แต่แค่คิดมันก็รับไม่ไหว
“แตม ใจเย็นๆ”
ฌามาไม่ได้มั่นคงกว่าแต่เห็นอีกคนใจร้อนตัวเองก็เลยต้องใจเย็น พยายามดึงอีกคนที่เอาแต่ตั้งท่าจะสะบัดออกอย่างเดียวให้หยุดนิ่ง
“ปล่อยนะ ฮึก ปล่อยยย”
น้ำตามากมายร่วงหล่นเพราะมันทนไม่ไหว อยากจะหนีไปไกลๆ ทั้งที่พยายามเก็บทุกอย่างไว้ภายใน พยายามจะเฉยเมยไม่รู้สึก ที่ทำมาทั้งหมด…ก็เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าจริงๆก็เป็นแค่คนอ่อนแอคนหนึ่ง
“แตม…ชู่ววว”
เสียงร้องไห้โฮที่ไม่คิดว่าจะมาจากคนที่มักจะทำหน้านิ่ง เฉยเมยเสียด้วยซ้ำ ฌามาไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง ถ้าบอกว่าโกรธคงไม่ใช่ แต่ถามว่ารับได้หรือเปล่าก็ไม่ใช่แบบนั้น มันตกใจ ตกใจจนยังลำดับความรู้สึกตัวเองไม่ถูก แต่สิ่งที่แน่ใจคือจะปล่อยคนร้องไห้ที่พยายามขืนตัวเองออกไปไม่ได้
ถ้าปล่อยไม่รู้จะเตลิดไปไหน…ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาจะรับไม่ได้แน่ๆ
“กลับบ้านนะ กลับบ้านกัน กลับเรือนมะนาว”
ไม่รู้หรอกว่ากลับไปอยู่กันแบบนั้นมันโอเคไหม แต่คิดว่าทั้งเขาและเฌอแตมต้องการพื้นที่ พื้นที่จะลำดับอารมณ์ความรู้สึก และเปิดใจพูดคุย
เพราะการมาอยู่ด้วยกันด้วยอารมณ์และความรู้สึกเหมือนที่ทำอยู่แบบนี้ มันละเลยพื้นฐานความเป็นจริง ชีวิตจริง สภาพสังคมจริงที่ต่างคนต่างไม่เหมือนกัน
ถ้าจะอยู่ด้วยกัน… ก็ต้องอยู่กันที่ความจริง ไม่ใช่แค่ความรู้สึกที่อยากจะอยู่ด้วยกัน หรือโลกจินตนาการที่คิดว่าแค่ได้อยู่ด้วยกันก็พอ
เป็นฌามาที่เดินกลับเข้าไปในร้านขอตัวพาเฌอแตมออกมาก่อน เพื่อนๆมีคำถามแต่ไม่คิดจะถามอะไรมากเพราะคงเห็นสีหน้ายุ่งยากใจของฌามา ยิ่งกับชาร์ล…หรือปุ้น
“ฌาม์ กูขอคุยด้วยหน่อยดิ”
ปุ้นเดินนำออกมาที่หน้าร้าน จากมุมนี้เห็นพี่ชายตัวเองที่นั่งกอดเข่าอยู่อีกฟากถนน แม้จะถนนสองเลนแต่ก็ไม่คิดจะก้าวข้ามไปหาเฌอแตม แต่เลือกที่จะหยิบบุหรี่มาจุดแล้วมองคนที่พี่ชายแนะนำให้รู้จัก
“พี่ชายกู บอบบางมาก…ไม่ใช่ด้านร่างกาย แต่ความรู้สึก แตมเป็นคนเซนซิทีฟและคิดมาก ที่แย่คือมันไม่ค่อยพูด ระบายให้ใครฟัง แล้วก็ชอบหนีไปเสียใจคนเดียว”
“อืม”
ตาสีซีดที่แตกต่างจากเชื้อชาติไทยไม่มีแววล้อเล่น แต่จ้องเขม็งมา แม้จะขัดลุคกับสภาพหัวฟูเสื้อเก่าๆและกางเกงบ๊อคเซอร์ แต่เพราะคำพูดและสายตามันทำให้รู้ว่ากำลังจริงจังและเอาจริง
“ถ้าจะอยู่กับพี่กู อย่าให้มันเป็นคนแบบนั้น ให้มันพูดกับมึงได้ทุกเรื่อง มึงไม่ต้องไปแก้ปัญหาให้มันก็ได้ แค่อยู่กับมัน กูกับเชอไม่มีใครอยู่กับมันจริงๆสักคน เชออยู่อเมริกาตั้งแต่เด็ก กูทิ้งแตมย้ายตามไอ้เชอไปตอนมัธยม มีแค่แตมใช้ชีวิตคนเดียวที่นี่ ถ้ามีมึงแล้วพี่กูยังใช้ชีวิตเหมือนอยู่คนเดียว…มึงก็ไม่ต้องอยู่ กูไม่อยากให้พี่กูเสียใจ มึงไปตอนนี้เลยก็ได้ กูดูแลพี่กูได้”
“เอาจริงๆกูก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ทุกอย่างมันเพิ่งเริ่ม แล้วตอนนี้กูกับมันก็มีปัญหาที่ต้องจัดการ ถ้ากูกับแตมก้าวผ่านไปได้ ก็คงอยู่ด้วยกัน…กูมีทุกอย่างในชีวิตจนกูไม่เคยอยากได้อะไรเลย แต่ตอนนี้กูอยากอยู่กับพี่มึง อยากอยู่กับไอ้คนหน้านิ่งนั่น…แต่…โลกของแตม มันคนละโทนสีกับกูว่ะ”
“มึงหมายความว่าไง? สีคนละโทนกันเอามาผสมกันเป็นสีใหม่ก็ได้ กูเรียนจิตกรรม กูรู้”
“งั้นก็รู้ด้วย…ถ้าทุกสีมันผสมกัน…สุดท้ายสีที่ได้คือ”
“สีดำ” เกิดความเงียบชึ้นระหว่างเด็กศิลปะสองคน ชาร์ลยกมือเสยผมฟูของตัวเองด้วยความหงุดหงิด อะไรบางอย่างมันบอกว่าฌาม์ไม่ใช่ผู้ชายโง่ๆ หรือธรรมดาไร้หัวคิดที่จะวิ่งดิ้นรนตามความรักง่ายๆ
เหมือนคนที่เข้าใจชีวิตจริงว่า
ความรักมันไม่ใช่ทุกอย่าง “สิ่งที่ทำได้คือกูกับแตมต้องปรับสมดุลสี… แม้จะยังอยู่คนละโทนก็ต้องขยับให้เข้ากัน …อย่างน้อยมันก็ยังได้สีเทา การผสมสีในจานสีมันก็ยากเหมือนกันที่จะไปถึงสีดำ แต่นี่ชีวิตจริง มันไม่เหมือนแค่ใช้พู่กันคนๆ”
“เออ… ก็ถ้ามันไม่ดี ถ้ามันต้องเดินไปถึงสีดำ มึงก็ปล่อยพี่กูไปซะ”
“ไม่คิดบ้างหรอ…พี่มึงอาจจะเป็นคนรั้งกูก็ได้”
ชาร์ลตีความหมายของรอยยิ้มแปลกประหลาดของฌาม์ไม่ออก มันเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ เหมือนมีอะไรซ่อนอยู่แต่ก็เหมือนแค่ยิ้มธรรมดา
“มึงจะเอาไงกันแน่…”
“ถ้ากูอยากจะอยู่ กูก็อยู่… ต่อให้มันสีดำสนิทจนแทบมองไม่เห็น… กูก็จะลากเฌอแตมลงมา”
“มึง!!”
จะคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายแต่ฌาม์กลับเบี่ยงตัวหลบและเดินถอยหลังช้าๆข้ามไปอีกฝั่งที่มีร่างขาวซีดลุกขึ้นยืนรอหลังจากเห็นว่าฌาม์กับชาร์ลคุยกัน แม้จะไม่ได้ยินเพราะเสียงเพลงจากร้านดังออกมาจนกลบหมด
“ถ้ากูอยากได้…ต่อให้อยากตายก็ไม่ได้ตาย…ขอบคุณที่ทำให้เข้าใจแตมมากขึ้น แต่แตมก็ต้องเข้าใจกูด้วย”
รอยยิ้มที่ชาร์ลมองว่ามันโคตรกวนประสาท เหมือนวายร้ายในหนังที่ทำการใหญ่สำเร็จ มีฉากหลังเป็นเอฟเฟคอลังการ แต่ที่ต่างคือตอนนี้เป็นเพียงเงาดำของร้านรวงที่ปิดทำการยามวิกาล…และร่างขาวซีดของเฌอแตมที่มองมา
“มึงช่วยพี่มึงไม่ได้หรอก…เพราะกูเอาจริง!”
เรือนมะนาวเงียบเหงาทั้งๆที่มีคนสองคนอยู่ในบ้าน ฌาม์กับเฌอแตมในมือมีเบียร์คนละกระป๋อง นั่งห้อยขาอยู่บนโต๊ะกินข้าว มีสวนที่มืดมิดเป็นฉากนอกกระจก
เคยนั่งกันตรงนี้แล้วแต่อารมณ์มันต่างออกไป… ฌาม์เอนตัวยันตัวเองกับพื้นโต๊ะ เงาสลัวของผู้ชายสองคนที่สะท้อนผ่านกระจกมันบ่งบอกถึงความอึดอัด
ตาคมมองคนข้างๆที่ยังยกมือซับน้ำตาเงียบๆ เฌอแตมยังไม่เลิกร้องไห้แค่ไม่สะอึกสะอื้นแล้ว เป็นแบบนี้ตั้งแต่นั่งแท็กซี่กลับมาบ้านด้วยกัน
“ไม่ต้องร้องแล้ว…”
สุดท้ายก็ใจอ่อนโอบไหล่บางเข้ามากอด ปลายคางวางลงบนกลุ่มผมนิ่ม ไหล่รู้สึกถึงความชื้นจากน้ำตา…ก่อนที่เอวจะถูกวงแขนซีดยกขึ้นโอบ
มุมปากยกยิ้มกับการแสดงออกง่ายๆที่สื่อให้เห็นอะไรได้หลายอย่าง การกอดในเวลาที่เสียใจคือการรักษาวิธีหนึ่ง แต่เราคงไม่กอดทุกคนนอกจากคนๆนั้นเราสบายใจจะร้องไห้ด้วย
ความรู้สึกของเฌอแตมคงตีกันระหว่างสบายใจกับลำบากใจ…ซึ่งเขาก็เช่นกัน แต่มันก็เป็นการยกเว้นจากการทำร้ายความรู้สึกกัน
มันคนละเรื่อง…เขาไม่จำเป็นต้องโมโหกับอดีตของเฌอแตม ถ้าอดีตมันคืออดีต แต่สิ่งที่ต้องปรับคความเข้าใจกันคือเรื่องที่ยังไม่เข้าใจ …อดีตของเขา…และความรู้สึกของเฌอแตมกับฝาแฝดที่ชื่อ เชอเบท..
“กับเชอ…จบไปแล้ว”
เสียงพูดแหบๆดังขึ้นเบาๆ
“เป็นแค่พี่น้องกันแล้วจริงๆ…ตัดกันไม่ได้เพราะเป็นฝาแฝด แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนั้นแล้ว”
“ยังคิดถึงอยู่ไหม?”
“คิด..แต่แบบพี่ ไม่ได้อยากให้กลับมาคบกัน ไม่หึงแล้ว ฮึก…”
“ชู่วว ไม่ร้องแล้วนะคุณ…”
มือหนาเชยคางคนงอแงขึ้นค่อยๆปาดน้ำตาออกจากแก้มเนียนก่อนจะก้มหน้าประทับจูบแผ่วเบาที่ใต้ดวงตาชื้นน้ำ จมูกไล่หอมมาตามผิวแก้มก่อนจะหยุดลงที่มุมปาก
“ผมตกใจ ตกใจมาก ผมคิดว่าความรู้สึกมันตีกันอยู่…ผมหึงเขาในฐานะแฟนเก่าคุณ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าคุณก็คงจะมีเขาอยู่ในชีวิตตลอดไป…เขาจะเป็นคนที่ผมจะต้องเจอตลอดไปถ้าเราอยู่ด้วยกัน”
“อื้อ…”
“และผมขี้หวงมาก…ผมจะรับไม่ได้ถ้ารู้ว่าคนเก่าๆของคุณ ซึ่งมีเขาอยู่ในนั้นด้วยยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวคุณ ในขณะที่ผมต้องใช้ชีวิตตัวเองเหมือนกันที่เมืองนอก…ทำให้คุณไม่ได้อยู่ในสายตา”
“ฌาม์…”
“ความหึงหวงเหล่านี้สุดท้ายจะทำร้ายเรา ทำร้ายผมและทำร้ายความรู้สึกคุณ…เราจะอยู่กันบนความหวาดระแวง…มันเปราะบางใช่ไหม…”
เฌอแตมทาบหน้าผากลงกับหน้าผากสีแทน มือสองคู่ต่างวางอยู่บนผิวหน้ากันและกัน ที่ฌาม์พูดต้องยอมรับว่ามันจริง ความสัมพันธ์แบบระยะไกลมันยากอยู่แล้ว…และมันจะเพิ่มความหวาดระแวงเข้าไปอีกเมื่อเขายังมีเชอเบทเป็นส่วยประกอบของชีวิต ตัดยังไงก็ไม่ขาดเพราะเกิดมาก็คู่กันแล้ว
“ไม่อยากลองจับมือกันดูหรอ…”
คำพูดแผ่วเบา…อยากจะยื้อไว้ทั้งๆที่เป็นฝ่ายนิ่งเฉยมาโดยตลอด ไม่รู้ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ ปฏิเสธฌามา…ปฏิเสธที่จะอยู่ด้วยกัน แต่พออีกฝ่ายร้องขอก็ยอมจะรอ..และความนี้พออีกฝ่ายจะไป แทนที่จะรีบปล่อยมือจากกันกลับเป็นฝ่ายขอร้อง…
ความรู้สึกหลายอย่างมันตีกันจนยุ่งเหยิง ถ้าปัดทุกเหตุผลออกไปมันก็เหลือแค่… อยากอยู่ด้วย ยังอยากทำอะไรด้วยกันอีกหลายอย่าง ไม่อยากเสียฌามาไป
“คุณก็ระแวงแฟนเก่าผมเหมือนกัน…”
“…แล้วจบกันจริงๆไหม”
“จบแล้ว…ผมเป็นชู้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่เพนท์เฮ้าส์ในซานฟราน…เธออยู่ห้องตรงข้ามผม ผมไม่รู้ว่าเธอแต่งงานแล้วเพราะทุกทีก็เห็นแต่เธอ…ความสัมพันธ์เลยเถิดกินเวลาอยู่สามเดือนจนเธอท้อง แต่ไม่ได้ท้องกับผม…ท้องกับสามีเธอ ความสัมพันธ์เลยต้องจบ…ผมโดนหลอก…ทั้งๆที่ทุ่มเท ทั้งๆที่ผมเอ่ยปากว่าอยากให้เราดูๆกันไปสักปีสองปี ถ้ามันเวิร์คผมก็พร้อมจะพิสูจน์ตัวเองที่จะเป็นสามีที่ดี แต่มันก็เละเทะไปหมด ผมบ้าอยู่สองสามเดือน เสเพลเที่ยวไปรอบโลก ข้อดีคือผมไม่ชอบเมา…ผมเลยแบกเฟรมกับจานสีและพู่กันไปวาดรูปรอบโลก ไปถึงแอนตาร์คติกไปวาดเพนกวินกับน้ำแข็งเวิ้งว้าง… ได้ไปทุ่งหญ้าสะวันนาด้วยนะ …แต่สุดท้ายคนทั้งโลกก็รั้งผมให้อยู่ตรงไหนนานๆไม่ได้ จนกระทั่ง…มาเจอคุณ”
อ้อมกอดกระชับแน่นขึ้น ดวงตาเรียวสวยที่หลุบตาลงด้วยความเขินอายเพราะรอยยิ้มแสนจะเป็นเอกลักษณ์ของฌามา
“คุณที่ผิวสีนวลๆล้อกับแสงจันทร์ คุณที่ทำให้ผมคิดว่าโลกนี้คงไม่มีใครทำให้ผมรู้สึกอยากจะอยู่ด้วยอีกแล้วอยากจะหยุดเดินทาง… ผมอยากมองคุณที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ในร้านกาแฟทุกๆวันแม้ว่ากาแฟที่ประเทศอื่นจะรสชาติดีกว่านี้อีกเป็นพันเท่า แม้ว่ากรุงเทพรถจะติดจนผมหงุดหงิด…”
“ฌาม์…”
“และบ้านที่ผมไม่ได้อยากจะกลับมาเพราะผมเกลียดฝีมือออกแบบแสนห่วยแตกของตัวเองเหลือเกิน… ผมยังอยากจะใช้ชีวิตที่นี่กับคุณ ท่ามกลางความไม่ชอบใจทั้งหลายมันถูกยกออกไปเพราะมีคุณ”
“ฮึก…”
“แต่ผมก็ยังมั่นคงไม่พอ… ผมหวาดระแวง หึงหวง…ผม…ทนไม่ได้ ผมมองเชอเบทเป็นแค่ฝาแฝดคุณไม่ได้ เพราะเขาเคย…เป็นโลกทั้งใบของคุณ ในขณะที่ผมยังเป็นแค่ดาวเคราะห์มาหลงวนเวียนใกล้ๆคุณ ความรู้สึกระหว่างเรามันยังไม่มากไปถึงจุดนั้น… ”
“เราแทบไม่รู้จักกันเลย”
เฌอแตมต่อประโยคที่ขาดหายไป… นี่คือสิ่งที่เข้าใจและเลือกจะมองผ่านมาโดยตลอด เพราะไม่รู้จักกัน ยังไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ ได้ทำความคุ้นเคย…
และกำลังจะต้องปล่อยมือกันไปอีกแล้วเพราะหน้าที่ของแต่ละคนมันต่างกัน…ความสัมพันธ์ที่แสนเปราะบาง และเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“ผมอยากจับมือคุณ…ในวันที่ผมมั่นคงกว่านี้ เรื่องคุณเคยรักกับพี่น้องมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ของผม…อุปสรรคของเราในเรื่องนี้….คือตัวผมเอง ผมที่ต้องกลับไปอยู่ในที่ๆไกลแสนไกล ผมที่ไม่อาจวางใจให้คุณอยู่คนเดียวที่นี่ ผมที่จะหวาดระแวง หึงหวง…และสุดท้ายทุกอย่างก็จะพัง”
“ฌาม์อย่าทำหน้าแบบนั้น…ไม่เป็นไร”
เฌอแตมสลับบทบาทมาเป็นคนปลอบใจเมื่อฌามาทำหน้าเหมือน…เหมือนจะร้องไห้ แต่มันมีความรู้สึกที่มากกว่านั้น มือหนาที่กำอกเสื้อตัวเองแน่น… อึดอัด…มันเป็นความอึดอัด
ฌามาที่เพิ่งจะอายุยี่สิบ…เป็นแค่เด็กวัยรุ่น จะให้ผ่านโลกขนาดมาบอกว่าเข้าใจมันไม่ใช่… เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ที่คนที่มีวุฒิภาวะอาจจะรับไม่ได้เหมือนกัน
เรื่องนี้ไม่มีใครผิด… ไม่มีจริงๆ
ตัวเขาเองก็เช่นกัน….ก็ไม่ใช่เพราะหึงหวงจนกลายเป็นความหวาดระแวงหรือไงสุดท้ายเชอเบทก็ทนไม่ไหว พอฌามาพูดแบบนี้ก็ทำให้เข้าใจ…ความหวาดระแวงคือตัวทำร้ายความสัมพันธ์ที่ไม่แค่ฌามาจะเป็น…เขาอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
สุดท้ายมันจะทำร้ายกันและกัน…
และแล้วข้อตกลงก็จบลงที่แต่ละฝ่ายควรให้เวลาตัวเอง… เพราะนิสัยเหมือนกันเกินไปเลยทำให้เข้าใจว่าความหึงหวงและหวาดระแวงมันเป็นยังไง ทุกอย่างจะถูกยกไปคุยกันในอีกสามเดือน ในวันที่ต่างฝ่ายต่างมีเวลาจะเข้าใจกัน
“เป็นเพื่อนสนิทกันไปก่อนนะ…”
อดทนเก็บความในใจ แล้วรอแค่วันเวลา
ให้มันหมุนช้าช้าแล้วเดินไปกับมัน
อดทนเก็บความในใจ แล้วเรียนรู้กันและกัน
เพื่อให้เรามีความมั่นใจ ว่าเรานั้นมีความลึกซึ้งเพียงใด พรุ่งนี้ไม่สายที่จะรักกัน
“ถ้าผมพร้อม… ผมจะไม่ยอมปล่อยคุณไปไหน… ขอโทษนะครับที่ตอนนี้ยังจับมือคุณไม่ได้”
“ถึงตอนนั้น…ถ้าอยากหนีไปคงทำได้แค่ฆ่าตัวตายใช่ไหม?...
การฆ่าตัวตายจะเป็นความรู้สึกแบบไหนนะ?”
“
คุณไม่มีวันรู้หรอกเพราะผมจะฆ่าคุณเอง…และฆ่าตัวตายตาม”
“เราคงตกนรกด้วยกัน”
“ผมก็ไม่คิดว่าเราจะขึ้นสวรรค์หรอกครับ…คนหนึ่งก็มีอะไรกับน้องชายตัวเอง อีกคนก็เป็นชู้กับเมียชาวบ้าน”
เสียงหัวเราะดังประสานกันหลังจากก้อนเมฆขมุกขมัวพัดผ่านไป กระป๋องเบียร์ยกชนกันเบาๆก่อนบทสนทนาจะเปลี่ยนเป็นเรื่องราวชวนขำขันรอบโลกของฌามาซะมากกว่า
วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่อยู่ด้วยกัน… มันจะดีกว่าถ้าแยกกันตั้งแต่วันนี้… ถึงจะไม่ครบเจ็ดวันก็จวนเจียนเต็มที พอแล้วล่ะ… ได้เวลาเลิกอยู่ในโลกแห่งความฝันกันได้แล้ว
================================================
Talk. (สำคัญมาก) มาถึงตอนนี้ก็ขอทอล์คสักครึ่งเรื่อง เพราะกลัวว่าเราจะซ่อนสิ่งที่ต้องตีความมากเกินไป แล้วคนอ่านที่อาจจะไม่ถนัดแนวนี้งงและไม่เกทเนอะ แต่จะไม่สปอยมากเกินไปนะคะ เอาแค่พอเข้าใจ
สีดำ ที่ทำตัวหนาหมายถึง ความรักเหนือกว่ารักปกติ รักจนหลงไปกับมัน รักจนไม่สนโลก รักจนโลกทั้งใบมีแค่กันละกัน หึงหวง เสพติด และฉุดรั้งกันตลอดเวลา ซึ่งสุดท้ายก็ต้องทะเลาะกันจนตายไปข้าง (แอบบอกว่าคู่ที่ผ่านจุดสีดำมาแล้วคือเชอเบทเฌอแตม ซึ่งก็ทำให้ไม่ได้อยู่ด้วยกันนั่นเอง อิอิ)
รักไม่ใช่ทุกอย่าง หมายถึง การที่ฌามาวิเคราะห์แยกแยะเหตุผลเหนือกว่าอารมณ์ แสดงถึงวุฒิภาวะในการตัดสินใจ หมายถึงการยอมรับเฌอแตม ถ้าเหตุผลเข้าใจได้ ก็ไปต่อได้
ความลังเลที่ไม่ลังเลของฌามา ในตอนนี้ จะเหมือนคนละแบบกับตอนที่ผ่านมา ที่จะแกล้งให้เฌอแตมร้องไห้ก็ไม่สนใจเพราะอยากให้อีกฝ่ายผูกพันธ์กับตัวเอง แต่พอเกิดความลังเลเรื่องฝาแฝด ฌามาก็แสดงถึงการตัดสินใจที่ชัดเจนว่า ถ้าตัวเองยังไม่ชัดเจน ยังทำใจไม่ได้ ยังเลิกคิดว่าทั้งสองแค่พี่น้องไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งผูกรั้งกันในความรู้สึกแบบคนรักดีกว่า สามเดือนที่จะรอเพื่อกลับมารัก จึงกลายเป็นสามเดือนแห่งการให้เวลาตัวเอง ซึ่งเป็นข้อดีที่เราไม่ควรลังเลถ้าจะเริ่มกับใครสักคน
การรั้งอีกฝ่ายไว้ของเฌอแตม แสดงถึงการที่ฌามามีอิทธิพลต่อความรู้สึกมาก แต่แสดงออกไม่เก่ง ด้วยพื้นฐานเข้าถึงยากอยู่แล้ว การที่หลุดมาแค่นี้ เป็นเหมือนการโยนหินลงน้ำ จุดเล็กๆที่กระทบเป็นวงกว้าง ทำให้ความสัมพันธ์ที่ดูเลื่อนลอยเริ่มจะจริงจัง ดังนั้นฌามากับเฌอแตมก็ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการที่จะอยู่ด้วยกัน จะอยู่กันแค่เพราะอยากยู่ รู้สึกดี เพ้อฝันไม่ได้ ต้องอยู่ด้วยการเข้าใจ การยอมรับตัวตนกันและกัน จึงต้องให้เวลาในการเข้าใจตัวเอง
การที่เฌอแตมพูดถึงการฆ่าตัวตาย บ่งบอกถึงการที่เจ้าตัวไม่ค่อยแยแสการใช้ชีวิต ด้วยพื้นหลังครอบครัว(ติดตามต่อไป) ฌามาจึงเหมือนคนที่เข้ามาโอบประคองความรู้สึกโดยการบอกว่า จะฆ่าแตมเอง การที่เราต้องฆ่าคนที่รักมากกับมือ เป็นการสูญเสียที่มากกว่า เพราะต้องแบกรับความรู้สึกทุกอย่าง ทั้งรัก และโกรธตัวเอง ซึ่งหมายถึงฌามาพร้อมที่จะเป็นที่พึ่งของเฌอแตม แม้ในยามที่เฌอแตมจะไม่อยากใช้ชีวิตอีกต่อไปแล้ว… และยิ่งฌามายืนยันว่า อยากตายก็ไม่ให้ตาย แสดงถึงความพร้อมที่จะอยู่ด้วย คอยเคียงข้าง
ฌามารับแตมได้…ทำไมถึงยังลังเล? โดยวุฒิภาวะที่ตัวละครเป็นแค่เด็กอายุเพิ่งจะยี่สิบ จะให้มามั่นคง พึ่งพาได้มันก็จะดูผ่านโลกมาเยอะเกินไปหน่อย แต่ที่ฌามามีความคิดชัดเจนก็ตามประสาเด็กนอกที่จะมั่นใจ และในเรื่องฌามาทำงานแล้ว สังคมการทำงานจะสอนให้เราโตขึ้นจากชีวิตการเรียนไปอีกสเต็ป ทำให้ฌามากลายเป็นลุค เด็กๆผสมผู้ใหญ่ในบางที
อายุยี่สิบก็เหมือนช่วงเปลี่ยนของอายุด้วย… ทำให้ฌามาในวัยสิบเก้าที่เป็นชู้กับชาวบ้านยังคงเพ้อฝัน เสียใจจนหนีไปรอบโลก(เพราะรวย) แต่พอมาถึงยี่สิบ ได้เจอกับเฌอแตม ได้ผ่านอะไรหลายอย่างจากการเดินทาง ทำให้เขาโตเป็นอีกคน แต่ก็นั่นแหละยังติดภาพลักษณ์เด็กกวนประสาทในบางเวลา เพราะตาฌาม์เป็นไบโพล่า 555 (หลอกก) การเย้าแหย่ของฌาม์มีเพื่อให้เฌอแตมเปลี่ยนสีหน้า ซึ่งจริงๆแล้วทุกคนที่อ่านมาก็จะรู้ว่า ฌามา…มันนิสัยไม่ดีหรอก เป็นคนตีสองหน้าแบบที่เฌอแตมเคยว่าไว้นั่นแหละค่ะ
แล้วทำไมต้องทำสรุปในตอนนี้?
เพราะนิยายเรื่องนี้มันติสท์จริงๆ พลอตสวิง ซึ่งแบมได้ทำความเข้าใจกับพลอตและนิสัยตัวละครหลังจากงงๆว่าทำไมคนอ่านน้อยทั้งๆที่ภาษาแบมก็ใช้แบบเดียวกับฟ้าลั่นรัก ออกจะละมุนกว่าด้วยซ้ำ แต่คนอ่านคอมเม้นมาว่าไม่เข้าใจ จึงมาแหลกงานตัวเองอีกที ก็พบว่า…
เราซ่อนอะไรไว้หลายอย่างเพราะบังเอิญเรียนตีความภาพยนตร์และวรรณกรรมมาแล้วชอบมาก 5555 ก็เลยใส่ไว้ซะเยอะ ความงงในบางจุดก็มาเพราะตั้งใจ ทำให้คนอ่านที่ไม่ถนัดอาจจะงง และอ่านไม่สนุกทั้งๆที่ตาฌาม์น่าร้ากกกก การยืดเยื้อในเจ็ดตอนแรกก็ตั้งใจให้มันยืดเพื่อตะปบคนอ่านในตอนต่อไปทีฟีลมันเปลี่ยนไปนิดหน่อย แล้วกลายเป็นจากพลอตเรื่อยๆในเจ็ดตอนแรก กลายมาเป็นความรู้สึกเหมือนดำน้ำ ไม่รู้คนอ่านรู้สึกไหมว่ามันจะอึดอัด ระหวาดระแวงแปลกๆ ในช่วงนี้ ถ้าคุณรู้สึกแสดงว่าเรามาถูกทาง แต่ถ้าไม่รู้สึก… อย่าโทษตัวเองค่ะ โทษแบมที่พาคุณไปไม่ถึงฟีลนั้น 555+ (กราบบบ)
คนไม่ชอบก็ไม่ต้องอ่านค่ะ แบมไม่โกรธธธ มาเจอกันเรื่องหน้าเลย >___<

ยืนยันคำเดิมไม่เปลี่ยนพลอตค่ะ แค่อยากบอกว่า… อ่านเถอะ ฌามาน่ารักจริงๆ ยิ่งหลังจากสามเดือนกลับมา…ยิ่งละมุนละไม…(มั้ง)
ก็นิยายแบมเป็นนิยาย Feel Good นี่นา <3 <3