*^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61  (อ่าน 96026 ครั้ง)

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เก็บกระทู้ไว้  -------โมดุฯ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 







เพราะหัวใจบอกว่า...รัก


เพราะหัวใจบอกว่า...ไม่ลืม



สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่นิยายเรื่องที่สองที่ลงในเล้าเป็ด

เรื่องนี้จะเป็นเเนวดราม่าค่ะ
[/size][/color]

สำหรับคนเล่นทวิต ใช้ #ดิมเต

สำหรับเฟสบุ๊ค

F A N P A G E

ผลงานเรื่องอื่น
#แอบลักษณ์





บทนำ


‘เตขอโทษ  พี่ดีเกินไปสำหรับเต   เตไม่อยากให้พี่ดิมจะต้องมาติดแหงกอยู่ที่นี่ เพราะเต   ขอโทษจริงๆแต่เราจบกันตรงนี้เถอะนะ’

เด็กหนุ่มตรงหน้าพูดเสียงสั่น  ยกมือขึ้นไหว้เขา  และทำท่าจะหันหลังเดินจากไป

เขาพูดไม่ออก  รู้สึกหัวสมองมึนชา ได้แต่เอื้อมมือไปยึดแขนของคนตรงหน้าเอาไว้แน่น

‘เดี๋ยวเต  เต..หมายความว่ายังไงนะ  พี่...” 

ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า  ไม่มีทันได้เอะใจใดๆทั้งสิ้น  เมื่อวานเขายังหัวเราะให้แก่กันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ  ทำไมตอนนี้ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้   มันต้องมีการเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง

‘เตขอโทษ  พี่ดิม  ปล่อยเตเถอะ’ แฟนของเขาพูด พยายามบิดแขนออกจากมือของเขา  ขาก้าวออกเดินหนี   แต่เขาไม่ยอมปล่อยมือ  ยังคงเดินตามไปติดๆ

เสี้ยวหน้าที่เขาเห็นนั้นซีดเผือด  แต่ไม่มีน้ำตาสักหยดเดียว

‘เต  ทำไมล่ะ  เกิดอะไรขึ้น  โกรธอะไรพี่หรือ  พี่ทำอะไรผิดไป...” เขาเขย่าแขน  แต่อีกฝ่ายสะบัดแขนอย่างแรงจนหลุด   แล้วออกวิ่ง

เขาวิ่งตาม

 ‘เต..เต  เดี๋ยวก่อน  ทำไมล่ะ  บอกพี่มา’

   เด็กหนุ่มคนนั้นวิ่งข้ามถนนไปอย่างรวดเร็ว  เขารีบกวดฝีเท้าวิ่งตามไป ไม่ทันระวัง  ไม่เห็นเลยว่ามีรถเก๋งคันหนึ่งวิ่งตรงมาด้วยความเร็ว ก่อนจะปะทะเข้ากับร่างของเขาอย่างแรงจนกระเด็น

   ตัวลอยหวือไปตกกระแทกพื้น  รู้สึกจุกแน่นหายใจไม่ออก  เจ็บแปลบที่ศีรษะ  เห็นลางๆว่าเด็กหนุ่มคนนั้นหันมามองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็หายลับสายตาไป   เขาพยายามจะเพ่งมอง แต่สายตากลับพร่าเบลอจนมองภาพไม่ชัด 

   สำนึกสุดท้ายมีเพียงใบหน้าเรียวของเด็กหนุ่มคนนั้น กับประโยคที่ก้องกลับไปกลับมาอยู่ในหูว่า ‘เราจบกันตรงนี้เถอะนะ  เตขอโทษ’ 

        จากนั้นเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย

...



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2020 02:58:13 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...ลืม






นายแพทย์รดิศ  ศัลยแพทย์ทรวงอกที่เพิ่งกลับจากอเมริกามาสดๆร้อนๆ ยกกาแฟขึ้นจิบพลางดูนาฬิกาข้อมือ....ล่วงเวลามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว

...คุณหมอรัน  มัวแต่โม้กับคนไข้อีกตามเคย

เขานั่งรออยู่ในห้องทำงานของแฟนมาพักใหญ่   หุ่นยนต์  ตุ๊กตาและโมเดลรถคันเล็กๆวางอยู่ตามชั้นต่างๆเต็มห้อง ทำให้ต้องส่ายหัวกับตัวเอง

นี่เอาไว้ให้ผู้ป่วยเด็กน้อยทั้งหลายเล่น หรือเอาไว้เล่นเองกันแน่นะ

ประตูห้องเปิดพร้อมกับร่างของคนรักในชุดกาวน์ยาวก้าวเข้ามาในห้อง   

“กว่าจะเสร็จนะครับ  โม้น้ำลายแตกฟอง  ไม่กลัวคนไข้เขาขี้หูไหลบ้างเหรอไง”  เขาทักทันที  หมอรันจุ๊ปาก

“แหม  รอนิดรอหน่อยทำเป็นบ่นไปได้  คุยกับเด็กๆสนุกดีออก  ใครจะเหมือนคุณหมอดิมหน้าโหดล่ะ แค่เข้าใกล้เด็กก็ร้องไห้หาแม่จ้าแล้ว”  เจ้าของห้องถอดเสื้อกาวน์ออกแขวนเอาไว้

“เวอร์ไป  เอ้า  เก็บของเร็วๆสิคร้าบ   หิวข้าวจนแสบท้องหมดแล้ว  นานๆทีจะได้ออกไปกินข้างนอกโรงพยาบาล”

วิรัลย่นจมูกให้ แต่ก็รีบเก็บของเดินออกมาจากห้องแต่โดยดี  รดิศยกมือขึ้นโยกหัวของเขาเล่นเบาๆ จนต้องเอี้ยวหลบ

   “อย่าสิ  วันนี้รันเซ็ทผมอยู่ตั้งนานนะ   อ้าว....คุณแม่น้องเต้  ยังไม่กลับเหรอครับ”  เขาหันไปทักหญิงสาวผิวเข้ม หน้าคมหวาน  มารดาของผู้ป่วยเด็กชายวัย 7 ขวบ ที่เพิ่งตรวจเสร็จเมื่อครู่ใหญ่

   เธอหิ้วถุงใส่มะม่วงถุงใหญ่ส่งมาให้เขา 

   “ดิฉันเอามะม่วงมาฝากคุณหมอค่ะ  พอดีพ่อน้องเต้เขาเพิ่งแวะซื้อมาให้  สวนนี้อร่อยนะคะคุณหมอ  ขอบคุณนะคะที่ดูแลน้องเต้อย่างดี”

   รันยิ้มกว้าง  รับของกำนัลมาจากเธอ

   “ขอบคุณมากนะครับ  วันหลังไม่ต้องลำบากนะครับ  ผมเกรงใจ  แล้วนี่น้องเต้ไปไหนเสียแล้วล่ะครับ” เขามองหาเด็กชาย 

   “อยู่กับพ่อเขาน่ะค่ะ  แน่ะ  เดินมากันโน่นแล้ว  คงจะมาตาม..”  หญิงสาวหันไปกวักมือเรียก

   ชายหนุ่มร่างโปร่งเพรียวจูงมือเด็กชาย  เดินเรื่อยๆตรงมาหาอย่างไม่รีบร้อน   เด็กชายเต้ปล่อยมือบิดา วิ่งเข้าไปหากุมารแพทย์

   “ไงเรา  วิ่งได้แล้ว  เมื่อกี้ยังร้องไห้อยู่เลยฮึ...”  เขาย่อตัวลงไปพูดกับเด็กน้อยและมารดาของเด็กอีกหลายคำ  ไม่ทันสังเกตอากัปกิริยาของผู้เป็นพ่อ ที่หยุดยืนชะงักนิ่งไปในทันทีที่เข้ามาใกล้พอที่จะเห็นใบหน้าใครบางคนถนัด

   ใบหน้าเรียวซีดเผือดทันตาเห็นเหมือนถูกสูบเลือดออกไป    เขาจ้องใบหน้าของนายแพทย์หนุ่ม  ที่ยืนอยู่ข้างๆหมอที่รักษาลูกของเขาอย่างตกใจ

   ......โลกกลมเกินไปหรือเปล่า  หรือว่าโชคชะตาจงใจกลั่นแกล้งเขา......

ศัลยแพทย์หัวใจเลิกคิ้ว

“มีอะไรหรือเปล่าครับ  เรา....เคยเจอกันเหรอ”

00000000000000000000000000000


“พี่เต  เป็นอะไรไปคะ  เห็นเงียบมาตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาลแล้ว  หรือว่าไม่สบาย  ติดหวัดนายตัวแสบล่ะสิ”  ข้าวตังยกมือขึ้นอังที่หน้าผากของเขา  เธอสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มมีท่าทางแปลกไปตั้งแต่แยกกับหมอรันเมื่อตอนเที่ยงแล้ว

ติณธรจับมือของเธอไว้ 

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก  อากาศมันร้อนน่ะ  พี่เลยรู้สึกเพลียๆ  ง่วงนอนด้วย”  เขาเสเดินไปเปิดตู้เย็น  หยิบขวดน้ำดื่มขึ้นมาเทใส่แก้ว

“เมื่อคืนเขียนหนังสือดึกล่ะซี   งานเร่งเหรอคะ”  หญิงสาวพูด พลางประกอบอาหารง่ายๆ ไว้ทานกันสามคนพ่อแม่ลูก
 
“อืม  ใกล้จะปิดเล่มแล้ว  พี่โดมอยากให้เพิ่มเนื้อหาอีกนิดหน่อย”  เขาหมายถึง โดม บก.นิตยสารชื่อดังที่เขาเป็นคอลัมนิสต์อยู่  หญิงสาวพยักหน้ารับ  เธอรู้จักดี  โดมแวะมาที่บ้านหลังนี้บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาอาหารเย็น  พี่เตเดินลับหายขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน  ไม่มีท่าทางว่าจะแตะต้องอาหาร  หรือไม่เขาก็คงจะลืมไปแล้ว

เธอตั้งโต๊ะอาหาร  มีเด็กชายตัวป้อมมาช่วยด้วย  เต้ถูกฝึกมาให้รู้จักทำงานบ้าน ช่วยพ่อแม่เท่าที่จะทำได้  เธออยากให้ลูกชายดูแลตัวเองได้ในภายภาคหน้า  ตอนที่เธอ...

ข้าวตังรีบหยุด  เมื่อคิดมาถึงตรงนี้   เรื่องในอนาคต ใช่ว่ามันจะต้องเกิด  บางทีโชคอาจจะเข้าข้างเธอ  อย่างน้อยแค่ยืดเวลาออกไปให้นานๆจนเต้โตเป็นผู้ใหญ่ ไม่กลายเป็นภาระของพี่เตก็ยังดี

แค่นี้เขาก็เสียสละเพื่อเธอมามากเกินไปแล้ว

“คุณแม่คับ  คุณพ่อเป็นไรน่ะ  ไม่กินข้าวเหรอ”  ลูกชายตัวดี ตั้งข้อสงสัยขึ้นมาทันที  ตรงกับที่เธอกำลังสงสัยอยู่เหมือนกัน
คงเป็นเพราะเหนื่อยนั่นแหละ

“คุณพ่อเหนื่อยค่ะลูก  เดี๋ยวเต้ขึ้นไปเคาะห้องเรียกคุณพ่อกินข้าวหน่อยน้า”  เธออาศัยแรงงานตัวน้อยให้ขึ้นไปเรียกให้  รู้ดีว่าถ้าเป็นเต้   พี่เตจะไม่มีวันปฏิเสธ

ก็เขารักลูกชายยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจนี่นะ

สักพัก ชายหนุ่มก็อุ้มเด็กชายเดินลงบันไดบ้านลงมา  สองหนุ่มหัวเราะกันเอิ้กอ้าก  หญิงสาวเงยหน้าขึ้นรับ....ทุกครั้งที่เธอเห็นพี่เตยิ้ม    หัวใจของเธอก็พลอยชื่นบานไปด้วย

“กินให้หมดนะเต้  ไม่งั้นอดเล่นเกมกับพ่อ”  เขาขู่เหมือนทุกครั้ง  และก็ได้ผลตลอด  เด็กชายเต้ติดพ่อมาก  มากกว่าติดเธอผู้เป็นมารดาเสียอีก  คงเป็นเพราะว่าพ่อทำงานอยู่กับบ้าน  ส่วนเธอต้องออกไปทำงานข้างนอก

จบมื้ออาหาร สองพ่อลูกก็หายเข้าไปในห้องนอน  เดาได้ไม่ยากว่าคงจะไปเล่นเกมกันต่อเหมือนทุกครั้ง  ได้ยินเสียงหัวเราะใสแจ๋วของเด็กน้อยปนกับเสียงทุ้มๆของคนเป็นพ่อดังแว่วๆออกมาไม่ขาดระยะ

หญิงสาวยิ้มกับตัวเอง

พักใหญ่ติณธรก็ออกมาจากห้องนอนของลูกชาย   เขากลับเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวที่อยู่ติดกับห้องนอน  หญิงสาวที่รอจังหวะอยู่แล้วจึงรีบยกแก้วใส่นมอุ่นๆเข้าไปให้

“ขอบใจจ้ะ”  ชายหนุ่มตอบสั้นๆ  สายตาเพ่งมองข้อความในคอมพิวเตอร์  เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มให้หญิงสาวแวบหนึ่ง แล้วก็ก้มลงทำงานต่อ

“พี่เตรีบดื่มนะคะ  เดี๋ยวจะเย็น”

“ได้จ้ะ”  เขาเอื้อมมือไปหยิบแก้วขึ้นมาจิบนิดหนึ่ง   หญิงสาวเม้มปาก  เธอลอบถอนหายใจเบาๆด้วยความอึดอัด

ความอึดอัดขัดเขินแปลกๆที่ไม่รู้ว่ามันเริ่มเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่  และตอนนี้มันก็สะสมเพิ่มพูนขึ้นมาจนเธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องทุกครั้งที่อยู่กับอีกฝ่ายสองต่อสอง

“มีอะไรหรือเปล่า..ตัง”  เธอสะดุ้ง  เมื่อจู่ๆชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นถาม  เขาส่งยิ้มให้เธอนิดหนึ่ง  เธอก็เผลอหลบอย่างไม่ตั้งใจ  รู้สึกใบหน้าร้อนซู่ขึ้นมาทันตาเห็น

“เอ้อ  พี่เต  เรื่องโรงเรียนของนายเต้น่ะ  ตังว่าจะย้ายนะ  ให้ไปเรียนที่โรงเรียน.......แทนดีกว่า  จะได้พื้นฐานแน่นๆ  สังคมก็ดีกว่าด้วย”

คนฟังขมวดคิ้วนิดหนึ่ง   โรงเรียนใหม่ของลูกชายเป็นโรงเรียนชื่อดัง ขึ้นชื่อว่าค่าเทอมไม่แพง แต่ค่าแป๊ะเจี๊ยะและอื่นๆแพงหูฉี่ทีเดียว

“แต่ที่นู่นค่าใช้จ่ายคงเพิ่มจากเดิมหลายหมื่นเลยนะ  พี่กลัวว่าจะส่งไม่ไหว” เขาติง

“ไม่ต้องห่วงนะพี่  ตังได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแล้ว  ตังคนเดียวก็ส่งไหว  จริงๆพี่เตไม่ต้องช่วยส่งด้วยซ้ำ”

“ได้ยังไงล่ะ  เจ้าเต้มันก็เป็นลูกพี่เหมือนกันนะ”

“แค่หลานตะหากล่ะ  พี่ไม่ใช่พ่อแท้ๆสักหน่อย”  เธอพูดเสียงอ่อน  ถึงจะปลื้มใจที่เขารักและเอ็นดูเต้เหมือนลูก  แต่ยังไงก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้  ว่าเขาไม่ใช่พ่อแท้ๆของเด็กคนนั้น

“ยิ่งแล้วใหญ่เลย  ควบสองตำแหน่งทั้งพ่อทั้งลุง  แล้วจะไม่ให้พี่ส่งมันเรียนได้ไงฮึ  ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า  พี่รวยนะ  ลืมแล้วเหรอ”  ชายหนุ่มพูดแกมหัวเราะ  ลุกขึ้นจากโต๊ะโอบไหล่บางพาเดินไปส่งที่ห้องนอนของเธอที่อยู่ตรงข้ามกัน  มีประตูเชื่อมกับห้องนอนของลูกชาย

“ไม่ต้องคิดมาก  รีบนอนซะ  อ้อ  พรุ่งนี้พี่ออกแต่เช้า  เดี๋ยวหาข้าวกินเอง ไม่ต้องลุกขึ้นมาทำให้  เข้าใจหรือเปล่า”  เขายีหัวหญิงสาวเบาๆอย่างเอ็นดู  แล้วถอยออกมาจากห้องนอนของเธอ 

หญิงสาวมองตามร่างที่ลับเข้าไปในห้องทำงานอีกครั้ง   เหมือนทุกที  พี่เตไม่เคยล่วงล้ำเข้าไปในห้องของเธอเลยแม้แต่ก้าวเดียว  ทั้งๆที่ทุกคนเข้าใจว่าเราสองคนเป็นสามีภรรยากันและมีลูกเล็กๆหนึ่งคน

พี่เตก็ยังคงเป็นพี่เตคนเดิม  สุภาพ อ่อนโยน  ให้เกียรติเธอและมีน้ำใจเสมอต้นเสมอปลาย  ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้  อีกฝ่ายไม่เคยแสดงออกกับเธอเกินเลยกว่าสถานะพี่ชาย-น้องสาวเลยสักครั้ง

และคงไม่มีวันคิดด้วย  ไม่เหมือนกับเธอ  ที่ไม่ระวัง เผลอใจไป  รู้ตัวอีกที ก็รักผู้ชายใจดีคนนั้น เกินคำว่า ‘พี่ชาย’ ไปแล้ว


ติณธรกลับเข้ามาในห้องทำงาน  รอยยิ้มเมื่อครู่จางหายไปเหมือนไอน้ำถูกแดด   เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างแรง  เงยหน้าขึ้นจ้องมองเพดานห้องนิ่งอยู่อย่างนั้น

เสียงทุ้มนุ่มเมื่อกลางวันดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับแววตาฉงนสงสัยติดตา   คิ้วเข้มเลิกขึ้นน้อยๆ เมื่อมองดูเขา

.....เขาจำเราไม่ได้จริงๆสินะ   น่าขันที่เรากลับจำเขาได้ในทันทีที่เห็นเพียงแวบแรก.....

ได้ข่าวว่าเขาเรียนจบแล้ว   ไม่นึกว่าจะกลับมาอยู่เมืองไทย  หรือว่าเขาแค่กลับมาเยี่ยมบ้านกันแน่นะ ....รูปร่างสูง ช่วงบ่าและแผ่นอกใต้เสื้อเชิ้ตอย่างดีราคาแพง  รวมถึงกางเกงและรองเท้าเข้าชุดกัน เนี้ยบกริบ  ..ผู้ชายคนนั้นคงจะมีชีวิตที่ดีมากๆทีเดียว
อย่างน้อยก็คงจะดีกว่า จบเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่โรงพยาบาลชุมชนต่างจังหวัดในเขตทุรกันดารอย่างที่คนๆนั้นตั้งใจเอาไว้ตอนแรกแน่นอน

เตเปิดลิ้นชักอันล่างสุดออกมา  ล้วงเข้าไปยังมุมที่ลึกที่สุด  หยิบกล่องใบเล็กขึ้นมาเปิดดู  ในนั้นมีนาฬิกาเรือนหนึ่งวางสงบนิ่งอยู่  สายหนังเริ่มเก่าจากการเก็บเอาไว้นาน  หน้าปัดมีฝุ่นเกาะอยู่บางๆ  เขาหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเบาๆ

ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ราวกับเจ้าตัวมากระซิบอยู่ข้างหูซ้ำไปมา

 ‘พี่ซื้อนาฬิกาให้  เพราะพี่จะได้ใช้เวลาร่วมกับนายได้ทุกวินาทีไงล่ะ  เท่ห์มั้ย’ 

จำได้ว่าตอนนี้นั้นเขาหัวเราะแทบกลิ้งกับมุขเสี่ยวที่พี่ดิมสรรหามาเล่น   หัวเราะกลบเกลื่อนความเขินและความดีใจที่อีกฝ่ายจำวันครบรอบ 4 ปีที่คบกันได้

‘เตจะใส่ทุกวันเลย’

‘จริงๆนะ  ห้ามถอดเลยนะ’  อีกฝ่ายยิ้มหน้าบานเหมือนเด็กๆ  รอยยิ้มนั้นยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเขา แม้ว่าจะผ่านมานานหลายปี

ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นคงจำแม้แต่ชื่อของเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ   คงเพราะอุบัติเหตุในวันนั้น  ก็ดีแล้วล่ะ  ปล่อยให้เรื่องของเรากลายเป็นอดีตที่ถูกลืมไปดีกว่า

   ชายหนุ่มเก็บนาฬิกาเรือนนั้นลงกล่องตามเดิม   วางเอาไว้ในลิ้นชัก...ที่เดิมที่มันอยู่มาเกือบ 10 ปีอย่างทะนุถนอม


0000000000000000000000000000000


นายแพทย์หนุ่มถอดเน็กไทด์เขวี้ยงลงบนเตียงแรงๆ  ระบายความหงุดหงิดที่เขารู้สาเหตุดีว่าอารมณ์ฉุนเฉียวทั้งหมดนี่เกิดจากอะไร

คนๆนั้น!   เพราะได้เจอกับคนที่เขาเกลียดที่สุดในโลกนั่นอีกครั้ง

ใบหน้าเรียวหวาน รูปร่างเพรียวบาง ท่าทางซื่อๆ  เหอะ!  ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด  อย่างกับเด็กหนุ่มเมื่อสิบปีก่อน ก้าวออกมาจากความทรงจำของเขางั้นแหละ

คนใจดำที่เขาอยากสาปแช่งทุกวัน แต่ก็ไม่ทำ  ไม่ใช่ว่ากลัวอีกฝ่ายจะมีอันเป็นไปตามที่สาปแช่งหรอก  แต่เขาเกลียดจนไม่อยากแม้แต่จะนึกถึงชื่อของไอ้เด็กนั่น

ยังมีหน้ามาลอยหน้าลอยตา จ้องหน้าเขาอีก

ยอมรับว่าเขาตกใจไม่น้อยที่จู่ๆก็ได้พบหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ทันตั้งตัว    และยังต้องรับรู้อีกว่า ไอ้หมอนั่นแต่งงานแล้ว  มีลูกโตตัวเบ้อเร่อ วิ่งได้  แถมมีเมียสวยอีกต่างหาก

ข่าวใหม่ที่ได้รู้ ทำเอาเขาอึ้งพูดไม่ออกไปชั่วครู่  ตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำเป็นจำไม่ได้หรอก   แต่ในเมื่ออีกฝ่ายทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ราวกับว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน  เขาก็ไม่อยากขัดศรัทธา

ก็ดีเหมือนกัน  ต่างคนต่างอยู่เถอะ  ตอนนี้เขาเป็นศัลยแพทย์หัวใจชื่อดังแล้ว  จะไปสนอะไรกับไอ้เด็กนั่นล่ะ  อย่างหมอนั่น...พวกอ่อนแอแบบนั้น...คงเป็นได้แต่ลูกน้อง  โดนเขาใช้ทำงานหัวหมุนอยู่วันยันค่ำนั่นแหละ

หันรีหันขวางอยู่ครู่ใหญ่  โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีก   รดิศก้าวเข้าไปรับ

   “ฮัลโหล  อ้อ  เจ๊ส้มเหรอครับ   ว่าจะไปวิ่งหน่อย  ก็ได้ครับ  เจอกันที่ฟิตเนสนะ”  ชายหนุ่มไล่ความคิดไร้สาระจำพวก เด็กใจดำบางคนทิ้งไปจากสมอง  เขารีบเปลี่ยนชุดออกกำลังกายแล้วขับรถจากคอนโดตรงไปที่ฟิตเนส  ตามที่นัดแนะกับเพื่อนรุ่นพี่เอาไว้

   พี่ส้มนั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้ว ข้างๆเธอมีผู้ชายรูปร่างอ้วนใหญ่นั่งอยู่ด้วย  ท่าทางกำลังสนทนาอะไรกันอยู่อย่างสนุกสนาน   เธอรีบแนะนำชายหนุ่มคนนั้นทันที

   “ดิมจ้ะ  นี่คุณโดม  เป็นบก.นิตยสารเซเลปรายเดือน ที่พี่เคยให้สัมภาษณ์ไง  คุณโดมเขาอยากสัมภาษณ์เธอหน่อยน่ะ”

   “สวัสดีครับ   ยินดีที่ได้รู้จักคุณหมอดิมครับ   ผมชื่อดรงค์ครับ เรียกโดมเหมือนหมอส้มก็ได้”

   “หวัดดีครับ  เอ่อ  สัมภาษณ์อะไรครับ คือผมไม่ถนัดเรื่องพวกนี้  ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”

   “แหม เธอนี่ล่ะก็  อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธสิ  นิตยสารของคุณโดมเขาขายดีมากนะ  เธอจะยิ่งดังเลยล่ะ”   

   “แค่นี้ผมก็ผ่าไม่ไหวแล้ว  แทบไม่มีวันหยุดเลยนะเจ๊   ผมไม่สะดวกจริงๆ  คุณไปสัมภาษณ์คนอื่นเถอะนะ  เรื่องของผมไม่มีอะไรหรอก”  ศัลยแพทย์หนุ่มปฏิเสธอีกรอบ  แต่บก.ไม่ยอมแพ้ 

   “ถ้าเรื่องของคุณหมอ เรียกว่าไม่มีอะไรนะ  ผมก็คงไม่รู้จะไปสัมภาษณ์ใครแล้วล่ะครับ สัมภาษณ์นิดเดียวครับ สั้นๆ แค่อยากให้คุณหมอเล่าให้ฟังถึงชีวิตที่นู่น  การเรียน การทำงาน เผื่อว่าจะได้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนอ่านไงครับ  แล้วก็จะแทรกความรู้ด้วยนิดหน่อย  แบบเกี่ยวกับโรคหัวใจ คำแนะนำของคุณหมอ ขอเวลาคุณหมอนิดเดียว”  เขาคะยั้นคะยอมาอีกหลายคำ  จนชายหนุ่มต้องจำใจตกปากรับ เพราะเกรงใจเพื่อนรุ่นพี่ที่แนะนำด้วย

   “ก็ได้ครับ แต่คงไม่ใช่วันนี้หรอกนะ   ผมวิ่งเสร็จต้องกลับไปอยู่เวรต่ออีก”  ชายหนุ่มรีบออกตัว

   “ได้เลยครับ  วันไหนแล้วแต่คุณหมอจะสะดวกเลย”

   “ผมขอดูตารางก่อนนะ”  คุณหมอหนุ่มล้วงสมาร์ทโฟนขึ้นมาเปิดปฏิทินดูตารางงาน  ทุกช่องเต็มแน่น เพราะมีคนไข้ที่โน่นบินตามมาผ่าที่เมืองไทยด้วย  ไหนยังจะคนไข้ใหม่ที่ได้ยินชื่อเสียงของเขา แห่กันมาตรวจจนหาเวลาว่างได้ยากเต็มที

   “มีวันเสาร์หน้า  ว่างตอนช่วงเที่ยงๆ  สะดวกไหมครับ” 

   “ได้เลยครับผม  ขอบคุณคุณหมอดิมมากนะครับ แล้วจะนัดเจอที่ไหนดีครับ”

   “ขอเป็นที่ห้องทำงานผมที่โรงพยาบาล....จะได้ไหมครับ  พอดีผมมีตารางผ่าต่อตอนบ่ายๆ  ไม่อยากเดินทางไปไหน”   ศัลยแพทย์หนุ่มบอกชื่อโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่เขาทำงานอยู่ พร้อมกับเขียนสลักหลังนามบัตรเอาไว้ให้

   บรรณาธิการยิ้มกว้าง  นัดหมายจนเสร็จเรียบร้อย   ก็ขอตัวกลับออกมา โทรหาลูกน้อง....นักเขียนมือดีที่เขากำลังต้องการจะปั้นขึ้นมาเป็นรองบรรณาธิการ

   “ฮัลโหล  เตเหรอ  ต้นฉบับใกล้เสร็จยัง  เปล่าๆไม่ได้จะทวง  คืองี้  พี่มีคอลัมน์พิเศษอยากให้นายช่วยเขียนให้หน่อย.....ใช่ๆ  สัมภาษณ์คุณหมอ  ที่เคยบอกวันนั้นนั่นแหละ  คุณหมอรดิศ  ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก  เพิ่งกลับจากอเมริกา  นัดเอาไว้วันเสาร์นี้นะ  สัก 11 โมง  ....เต...นายฟังพี่อยู่หรือเปล่า?”   โดมทัก เมื่ออีกฝ่ายเงียบไป

   “ฟังอยู่ครับ  แต่พี่โดม  วันเสาร์ผมไม่ว่าง......” ปลายสายพูดตะกุกตะกัก

   “เห้ย  งานนี้พี่ขอเถอะ  พี่อยากให้ออกมาดีๆ  นี่กว่าพี่จะติดต่อจนมาเจอตัวจริงได้นะ  ออกแรงไปเยอะ  ช่วยพี่หน่อยนะ  พี่ชอบงานเขียนของนายจริงๆ  พี่ไม่ไว้ใจคนอื่น”

   “ตกลงครับ....ที่ไหนนะครับ”  เสียงปลายสายเงียบไปครู่ ก่อนจะรับคำแผ่วเบา

   โดมยิ้มกริ่ม  ติณธรเป็นรุ่นน้องที่ว่าง่ายสำหรับเขาเสมอ  ไม่รู้เลยว่าหลังจากวางสายไปแล้วนั้น  ฝ่ายนั้นจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ หมดสมาธิทำงาน เพราะเอาแต่นับถอยหลัง  ภาวนาให้เวลาผ่านไปช้าๆ  ไม่อยากให้ถึงวันนั้น

00000000000000000000000000000000


   “รอสักครู่นะคะ  คุณหมอกำลังอยู่ในห้องผ่าตัดค่ะ”  พยาบาลสาวสวยพูดยิ้มๆ  เชิญให้เขานั่งรออยู่ข้างหน้าห้องทำงานของนายแพทย์หนุ่ม

   คอลัมนิสต์หนุ่มพลิกดูนาฬิกานิดหนึ่ง  บก.บอกเอาไว้แล้วว่าคุณหมอจะว่างตอนเที่ยงเท่านั้น   คิวแน่นยิ่งกว่าดาราเสียอีก  ก้มลงมอง ‘ของฝาก’ ในถุงกระดาษที่บก.ฝากให้เอามาให้ เห็นของข้างในก็เบ้ปาก

   เหอะ....องุ่นนอกราคาแพง...ผลไม้ที่ผู้ชายคนนั้นเกลียดที่สุด   แต่บก.ก็คงไม่รู้  และเขาก็ไม่คิดจะบอก

   ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสายตาของใครคนหนึ่ง  ที่เสร็จจากเคสผ่าตัดเร็วกว่าปกติ   แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างคุ้นตานั่งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องทำงาน

   บ้าฉิบ....ไอ้หมอนั่นมาทำไมที่นี่นะ   หรือว่าป่วยเลยมาโรงพยาบาล?  แต่ท่าทางนั่งกัดเล็บแบบที่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังตกอยู่ในความกระวนกระวายใจอย่างหนักนั้น  ทำให้คนแอบมองต้องขมวดคิ้ว

   อดรนทนไม่ไหว ต้องออกไป ‘ถาม’ เสียให้รู้เรื่อง 

   นายแพทย์หนุ่มกระแอมเสียงนิดหน่อย  เห็นอีกฝ่ายหันขวับมา เบิกตากว้าง  ท่าทางตกใจราวกับเห็นเขาจะเข้ามาทำร้าย ก็นึกหงุดหงิดในใจยิ่งกว่าเดิม   ทว่าพยายามกดเอาไว้ภายใต้ท่าทางสบายๆเป็นปกติ

   เขาปั้นหน้า ยิ้มแย้มออกมา  คล้ายกับว่าพบเข้าโดยบังเอิญ

   “อ้าว  คุณ...เอ่อ พ่อน้องเต้ใช่มั้ยครับ   น้องเต้เป็นอะไรอีกเหรอ ถึงได้มารพ.”  เขาพูดชื่อ  ‘ลูกชาย’  ของฝ่ายนั้นอย่างแม่นยำคล่องแคล่ว  เพราะบันทึกใส่สมองตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน 

   คนถูกทักหน้าซีดลงอีก แล้วกลับแดงก่ำ   เขาพูดอึกอัก

   “เอ้อ  เปล่าครับ  พอดีผม...ผม...มาจากนิตยสารเซเลปรายเดือนที่ติดต่อขอสัมภาษณ์คุณหมอน่ะครับ”  คนฟังอึ้งไปครู่  แล้วก็ยิ้มรับออกมา

   “อ้อ   งั้นหรือครับ  บังเอิญจังนะครับ   คุณเป็นคนที่จะสัมภาษณ์ผมเหรอ   วันนั้นบอกอ...คุณโดม ไม่เห็นบอก   ดีครับ แล้วคุณชื่ออะไรเหรอ"  เขาแกล้งถาม  ทำหน้าซื่อ 

   นักเขียนหนุ่มมองหน้าเขา  รู้สึกเจ็บขึ้นมาวูบ  ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายความจำเสื่อมจากอุบัติเหตุครั้งนั้นก็เถอะ  แต่ก็ไม่วายจุกแน่น เมื่อรู้ว่า  เขาจำเราไม่ได้  ทั้งที่เรากลับจำเขาได้...ไม่เคยลืม

   มันก็สมควรแล้ว กับสิ่งที่เขาทำกับอีกฝ่ายเอาไว้

   “ผมชื่อติณธรครับ  ตำแหน่งคอลัมนิสต์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ..คุณหมอรดิศ”  เขากลั้นใจอยู่ครู่หนึ่ง  พูดออกมาเรียบๆ

   นายแพทย์หนุ่มยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มลึกสองข้างแก้ม  ดวงตาคมเข้มคู่นั้นพราวระยับเมื่อตอบกลับมา

   “ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณติณธร    เรียกผมว่าหมอดิม ก็ได้ครับ  เอ  ทำไมผมคุ้นหน้าคุณจังเลย  แน่ใจนะว่าเราไม่เคยเจอกันมาก่อน”

   อีกฝ่ายยิ้มเจื่อนๆ

   “สงสัยโบราณเรียกว่า ถูกชะตา”   สำเนียงเยาะที่ซ่อนเอาไว้ภายใต้เสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีนั้น ทำให้คนฟังสะดุดหูนิดหนึ่ง  นิดเดียวเท่านั้นแต่ก็ปล่อยผ่านไป  ไม่ได้เอะใจเลยว่าอีกฝ่ายจะจำตนได้ทันทีตั้งแต่แรกเห็น

   ก็เมื่อ 8 ปีก่อน เพื่อนของนายแพทย์หนุ่มส่งข่าวมาบอกว่า อีกฝ่ายความจำเสื่อมเนื่องจากศีรษะกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงตอนที่ถูกรถชน  ส่งผลให้ฝ่ายนั้นลืมเรื่องของเราไปจนหมด  จำไม่ได้เลยว่าเคยรู้จักคนที่ชื่อ เต มาก่อน

   ลืมหมดทุกอย่างรวมถึงความรักที่เคยมีต่อกันด้วย  ซึ่งก็เป็นเรื่องดี เพราะเขาในตอนนั้น  ต้องการให้เรื่องระหว่างเรามันจบลงไปแบบนี้อยู่แล้ว

   เกือบ 10 ปีที่ไม่มีการติดต่อกลับมาอีกเลย  ทำให้เตเชื่อสนิทใจว่า อดีตคนรักของเขา คงจะลืมไปแล้วจริงๆ

   ..............................................................................................


มาอัพบทนำกับตอนเเรกค่ะ
เรื่องราวของแฟนเก่าที่กลับมาพบกันอีกครั้ง
ดราม่าโรเเมนติกนะคะ
เราอัพสลับกับเรื่องแอบลักษณ์นะคะ
แล้วเจอกันค่ะ
ถ้าชอบเรื่องนี่อย่าลืมเม้นท์+โหวตด้วยน้าา
 :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2017 16:37:06 โดย ็Hollyk »

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่ารัก...จำ







   ติณธรลอบสังเกตห้องทำงานของคุณหมอเจ้าของห้อง  ที่ขอลุกไปเข้าห้องน้ำ หลังจากให้สัมภาษณ์ได้เพียง 10 นาที  ห้องสี่เหลี่ยมตกแต่งด้วยสีโทนขาวดำ  เคร่งขรึมตามบุคลิกของเจ้าตัว   ชั้นติดผนังมีกรอบรูปจัดวางเอาไว้เป็นระเบียบ เช่นเดียวกับโต๊ะทำงาน

   รูปเจ้าของห้องกับคุณหมอประจำตัวของลูกชายยืนกอดคอส่งยิ้มสดใสมาให้เขา ทำให้แขกชะงักไปนิดหนึ่ง  อดไม่ได้ที่จะหยิบกรอบรูปนั้นขึ้นมาดูใกล้ๆ

   “นั่นคุณหมอวิรัล  ถ่ายที่อเมริกา  ตอนที่เราไปเรียนต่อด้วยกัน”  เสียงอธิบายเรียบๆดังขึ้นด้านหลัง ทำเอาสะดุ้ง  นักเขียนหนุ่มรีบวางกรอบรูปบนโต๊ะทำงานเหมือนเดิม  นายแพทย์เจ้าของห้องเดินกลับเข้ามานั่งตรงข้าม  พูดต่อด้วยท่าทางสบายๆคล้ายกำลังเล่าเรื่องให้เด็กฟัง  สายตาคมเข้มมองจับมาที่แขกยิ้มๆ

   “หมอรันเป็นรุ่นน้องผม  แต่เราเรียนแพทย์รุ่นเดียวกันเพราะผมไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เยอรมัน 1 ปี  พอเรียนจบ เขาก็ชวนผมไปเรียนต่อที่อเมริกา  แต่ตอนนั้นบ้านผมมีปัญหาการเงิน  ไม่มีเงินส่ง  ต้องสอบชิงทุนไปเรียนต่อ   สุดท้ายก็ได้ไปเรียนที่เดียวกัน   แต่ก็ต้องทำงานหนัก เพราะทุนไม่ได้คัฟเวอร์ทั้งหมด.....”  เขาเล่าถึงความยากลำบากในการเรียนยังต่างแดนอีกยืดยาว 

   “ถ้าไม่ได้เขาคอยช่วย  ป่านนี้ผมอาจจะยังเรียนไม่จบเลยมั้ง”   นายแพทย์หนุ่มจบประโยคด้วยรอยยิ้มอบอุ่น  แววตาซึ้งเหมือนคนกำลังรำลึกถึงความหลังที่มีความสุขที่สุด

   คนฟังกระแอมนิดหนึ่ง  รู้สึกคอแห้งผากขึ้นมากะทันหัน  เสก้มลงอ่านสคริปต์คำถาม

   “ทำไมคุณถึงเลือกเรียนต่อทางด้านผ่าตัดหัวใจครับ”

   “เดี๋ยวสิคุณ  ไหนๆก็พูดถึงหมอรันแล้ว  ผมก็อยากพูดต่อให้จบ  คุณช่วยเขียนลงไปด้วยนะ  ว่าผมดีใจและภูมิใจมากจริงๆ  ที่มีเขาเคียงข้างอยู่ด้วยเสมอ  ทุกครั้งที่ผมท้อ  เศร้า เสียใจ  ก็ได้เค้าคอยอยู่ข้างๆ  เป็นกำลังใจที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผม”

   คนฟังรู้สึกจุกแน่นในอกเมื่อได้ยินประโยคที่อีกฝ่ายชื่นชมถึงคนรัก...ถ้าวันนั้นเราไม่ตัดสินใจ ‘ปล่อย’ เขาไป  วันนี้คนที่เขาจะพูดถึงอย่างรักใคร่และยกย่องก็อาจจะเป็นเราก็ได้

   แต่ช่างเถอะ  เรื่องมันผ่านไปแล้ว...บอกตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่ได้นับ  แต่ที่รู้ก็คือ หัวใจของเขามันดื้อดึง  ไม่เคยยอมทำตามที่คิดเลยสักครั้ง...
   
   “คุณคงรักกันมาก....”  เสียงแปร่งแปลกหู  แต่ดูเหมือนว่าคนถูกสัมภาษณ์จะไม่สังเกต  เพราะเขายิ้มรับ  หน้าตายิ้มแย้มปลาบปลื้ม

“ครับ เรารักกันมาก....อาทิตย์หน้าก็จะครบรอบ 7 ปีที่เราคบกันแล้ว ปกติผมมีอะไรมาเซอร์ไพร์ซเขาทุกปี  ปีนี้อยากให้พิเศษหน่อย  กำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าจะให้อะไรดี” 

สีหน้าเคลิ้มฝัน เหมือนเด็กหนุ่มที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักของคนตรงหน้าทำให้เตรู้สึกแปลกๆ มันไม่ใช่ความจุกเหมือนเมี่อครู่  แต่เป็นอะไรที่ใกล้เคียงกับคำว่า หมั่นไส้

“ก็ขอแต่งงานซะเลยสิครับ”  รักกันมากนักนี่.....คนฟังเผลอประชดออกไปเต็มเหนี่ยวแล้วก็นึกขึ้นได้  เมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว   เขารีบเสริมต่อ

“ผม...ง่า  เห็นพวกคุณรักกันมานานแล้วน่ะครับ  น่าจะถึงเวลามีข่าวดีเสียที”

“คุณติณธร?!”  นายแพทย์หนุ่มจ้องหน้าเขาเหมือนเห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก  แล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่  ชะโงกเข้ามาพูดด้วยเสียงกระซิบ

“ทำไมคุณรู้ใจผมแบบนี้ล่ะ   ความจริงผมก็กำลังมีแพลนว่าอยากจะแต่งงานเสียทีเหมือนกัน  แต่นี่ผมยังไม่ได้คุยกับใครเลยนะ  คุณเป็นคนแรกเลยที่ได้รู้”

คนฟังใบหน้าเผือดสีลงอีก   ทำให้คนที่ลอบสังเกตอยู่เงียบๆ แอบยิ้มเยาะในใจ

เป็นอะไรไปเต   ทำไมนายถึงมานั่งหน้าซีดอยู่ตรงหน้าฉันแบบนี้....หรือว่า  นายกำลังนึกเสียดายฉันอยู่  เพราะตอนนี้ฉันไม่ใช่หมอจบใหม่ ฐานะเข้าขั้นยากจน เหมือนหลายปีก่อน  หากแต่เป็นหมอผ่าตัดหัวใจระดับโลก

นี่เป็นสาเหตุที่นายเป็นคนมาสัมภาษณ์ฉันหรือเปล่า  เป็นเพราะอยากรีเทิร์นเหรอ?  หรือว่าทุกอย่างเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่นายไม่ได้จงใจ..

 “ความจริงผมคิดจะขอรันนานแล้วนะ  แต่ก็ติดงานนี่แหละ  เลยยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย  เอาแบบนี้ดีกว่า  ในฐานะที่คุณแต่งงานแล้ว  ผมขอแอบถามเป็นแนวทางหน่อย  ว่าตอนนั้นคุณขอแฟนแต่งงานยังไง”  เขาถามยิ้มๆ  เตหลบสายตาของเขา  มองออกไปนอกหน้าต่างแทน  นิ่งอยู่สักพักก็เล่าให้ฟังเสียงเรียบเรื่อย

“ตอนนั้นผมก็ไม่ได้ทำอะไรมาก   มีเงินเก็บอยู่นิดเดียวพอแค่ซื้อแหวนเพชรวงเล็กๆให้เธอ    ผมโทรชวนเธอไปที่สวนสาธารณะที่เราชอบไปวิ่งด้วยกัน  ชวนเธอวิ่งจนเหนื่อยแล้วก็ส่งผ้าขนหนูที่ผูกแหวนเอาไว้ที่มุมผ้าให้เธอซับเหงื่อ   เธอรับไป...แล้วก็กระโดดกอดผม  ตะโกนใส่หูว่าตกลง  เธอจะแต่งงานกับผม”

   นายแพทย์หนุ่มงันไป   ภาพความทรงจำเมื่อ 10 กว่าปีก่อนย้อนกลับมาแบบไม่ทันตั้งตัว   ไม่ต้องใช่ความพยายามเลยสักนิด  หรือว่าบางที เขาอาจจะไม่เคยลืมมันได้จริง

***********
   ‘น้องเต  บังเอิญจังนะครับ  ชอบมาวิ่งที่นี่เหมือนกันเหรอ’  นักศึกษาแพทย์ชั้นปี 2 พูดอย่างร่าเริง  วิ่งแกมก้าวกระโดดเข้าไปทักเด็กหนุ่มตัวเล็กที่วิ่งเหยาะๆนำหน้าอยู่ก่อนแล้ว  ภายในสวนสาธารณะใกล้กับมหาวิทยาลัยชื่อดัง  เขาทำท่าราวกับว่าเพิ่งเห็นอีกฝ่าย  ทั้งที่ความจริงแล้วแอบตามหลังมาติดๆจากหอพัก   

   ‘พี่...ง่า  พี่ก็มาวิ่งเหมือนกันเหรอครับ’  เด็กหนุ่มละชื่อของเขาเอาไว้  ทำให้รุ่นพี่พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงจะจำชื่อตัวเองไม่ได้แน่ๆ   แอบนอยด์นิดหน่อยแต่ก็เข้าใจได้  ก็แหม  งานรับน้องรวมทุกคณะแบบนั้น  แค่จำหน้ากันได้ก็นับว่าเก่งแล้ว

   ‘พี่ชื่อดิมนะ  อยู่หมอปี 2 วันนั้นเราเจอกันตอนฐานหนุ่มน้อยตกน้ำไง’

   ‘อ๋อ   พี่คือคนที่ผมปาตกน้ำใช่ไหมฮะ  ฮ่าๆ  ขอโทษทีนะครับวันนั้น  ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ’ เด็กหนุ่มหัวเราะออกมา  รอยยิ้มหวานที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะไปวูบ

   ‘นี่ขนาดไม่ได้ตั้งใจนะนั่น ยังปาแม่นขนาดนี้   ถามจริงเป็นนักกีฬาหรือเปล่าเนี่ย’  เขาแกล้งถามต่อ

   ‘เคยตีแบดฮะ  แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ตีแล้ว  ไม่มีคู่ตีด้วย   ผมมาจากต่างจังหวัด เอนท์ติดที่นี่คนเดียวเลย  ไม่มีเพื่อนจากโรงเรียนเดิมตามมาด้วยสักคน’  เตตอบตามตรง  รุ่นพี่หน้าเข้มคนนั้นยิ้มกว้างกว่าเก่า

   ‘พอดีเลย  พี่ก็ชอบตีแบด  วันหลังมาตีกับพี่สิ  ที่ข้างหลังคณะมีคอร์ทอยู่  สนใจมั้ย’

   ‘ดีจัง  ตกลงครับ’ 

   เยส!   รุ่นพี่คนนั้นแทบจะกระโดดตัวลอย  เขาวิ่งคู่ไปกับรุ่นน้องหนุ่มน้อยที่นึกชอบตั้งแต่แรกเห็นจนถึงขั้นตามหาว่าน้องเขาชื่ออะไร เรียนคณะอะไร

   ยังจำความรู้สึกที่เห็นอีกฝ่ายครั้งแรกได้ดี....เขากำลังนั่งเบื่อๆอยู่ในกรงเหล็กที่ทำเป็นฐานหนุ่มน้อยตกน้ำ  ไม่มีเฟรชชี่คนไหนมือแม่นพอที่จะปาโดนเป้าให้เขาตกน้ำได้เลย  จนกระทั่ง..

   ผั๊วะ....ตูม!! 

   รู้ตัวอีกทีเขาก็หล่นลงไปในถังน้ำทั้งตัว   เพื่อนๆช่วยกันดึงตัวขึ้นมา ก็เจอหนุ่มน้อยหน้าหวานผมหยักศกสีอ่อนคนนั้นยืนยิ้มสำนึกผิด  ยกมือไหว้ปรกๆอยู่ก่อนแล้ว  เด็กคนนั้นยื่นผ้าขนหนูมาให้พร้อมกับรอยยิ้มที่พาหัวใจของเขาหลุดลอยออกจากตัว

   หลังจากนั้นเขาก็เฝ้าตามหาน้อง ‘เต’ จนรู้ทุกอย่างแม้กระทั่งหมายเลขห้องพัก  แอบมาเฝ้าสังเกตอยู่สองอาทิตย์ไม่กล้าจีบ  ทำทีมาวิ่งทุกวันราวกับรักสุขภาพเต็มที จนเพื่อนฝูงต่างสงสัยเพราะปกติเขาเอาแต่กิน นอน เที่ยว อยู่แล้ว จนวันนี้ถึงได้กล้าเข้ามาทักเป็นครั้งแรก

   ‘08x-xxx-xxxx’  เขาอมยิ้ม  มองดูอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู  ยิ่งเห็นคิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างสงสัย  เมื่อรับผ้าขนหนูจากเขาไปเช็ดหน้าหลังจากวิ่งเสร็จแล้วเห็นลายนิ้วมือขยุกขยิกของเขา เขียนเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ที่มุมผ้า

   ‘......................’  เด็กหนุ่มรุ่นน้องไม่ได้ว่าอะไร  กลับขอตัวไปซื้อน้ำมา 2 ขวด  ยื่นให้เขาขวดนึง   รุ่นพี่รับมาด้วยความปลาบปลื้ม แล้วก็ยิ่งปลื้มกว่าเก่า เมื่อสังเกตเห็นลายมือเรียบร้อยเป็นระเบียบเขียนอยู่ที่ก้นขวด

‘08x-xxx-xxxx’

            ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมา ขณะที่นั่งเคียงข้างกันอยู่บนพื้นสนามหญ้า  บรรยากาศยามเย็นที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ช่างโรแมนติกเหลือเกินในความรู้สึกของนักศึกษาแพทย์หนุ่ม   วันนั้นเขาเดินตัวลอยกลับบ้าน หัวใจพองฟูจนเท้าแทบไม่ติดดิน   

***************
[/i]

   รดิศเม้มปาก   ถอนหายใจแรงๆ  ไล่ความหงุดหงิดแปลกๆที่พุ่งขึ้นมาแบบไม่รู้สาเหตุ  เขาก้มมองนาฬิกาเร็วๆ

   “ขอโทษจริงๆคุณติณธร  แต่ผมมีคิวผ่าคนไข้ต่อ  คงต้องจบการสัมภาษณ์เอาไว้แค่นี้ก่อน  เอาไว้เราค่อยนัดกันใหม่ครั้งหน้าดีไหมครับ”

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ   ผมคงรบกวนแค่นี้  เชิญคุณหมอเถอะครับ   ขอบคุณมากที่สละเวลามาให้ผมสัมภาษณ์  ผมรับรองว่าจะเรียบเรียงออกมาให้ดี.....” นายแพทย์หนุ่มพูดขัดขึ้นมาทันควัน

   “แต่ผมว่าผมยังตอบไม่ครบทุกคำถามเลยนะครับ   จริงไหม ผมเห็นคุณลิสต์เอาไว้ตั้งเยอะแยะ  นี่เพิ่งคุยกันไม่ถึงชั่วโมงเอง  เอาไว้...อืม  ขอผมดูตารางก่อน   เอาเป็นวันมะรืนนี้เป็นไง  เรามาสัมภาษณ์ต่อ”

   กลายเป็นว่าคนถูกสัมภาษณ์ดันอยากให้ถามต่อ แทนที่จะเป็นคอลัมนิสต์หนุ่มที่เกือบจะอ้าปากค้าง  นึกหาคำปฏิเสธไม่ทัน เพราะอีกฝ่ายพูดถูก  เขายังถามไม่ครบจริงๆ

   “แล้วผมจะติดต่อมาอีกทีแล้วกัน”  เตเลี่ยงไปพลางคิดในใจ ...ถ้าคราวหน้าต้องมาจริงๆ คงต้องให้คนอื่นมาแทน “อ้อ  นี่ของฝากครับ  บก.ฝากมาให้คุณรดิศ  ทานให้อร่อยนะครับ”  คอลัมนิสต์หนุ่มยื่นถุงบรรจุผลไม้อย่างดีให้แก่นายแพทย์ที่สละเวลามาให้เขานั่งสัมภาษณ์

   รดิศรับไปถือเอาไว้  เปิดออกดูนิดนึงเห็นว่าเป็น องุ่น ผลไม้ที่เขาไม่เคยชอบก็เม้มปาก  ....นี่อีกฝ่ายลืมไปแล้วสินะ   ว่าเขาชอบอะไร  ไม่ชอบอะไรบ้าง....

   “ขอบคุณนะครับ   ของโปรดผมเสียด้วย   เสียดายจังที่วันนี้ไม่มีเวลาได้คุยจนจบ  เอาไว้วันหลังนะครับ”  นายแพทย์หนุ่มยื่นมืออกมาให้จับ

   เตชะงักเล็กน้อย แล้วก็ส่งมือออกไปสัมผัสกับฝ่ามืออบอุ่นจนเกือบร้อนนั้น   อีกฝ่ายบีบมือของเขาแน่น  นานทีเดียวกว่าจะปล่อยให้เป็นอิสระ

   “ยินดีที่ได้เจอคุณนะครับ” 

   “ครับ  เช่นกัน”  นักเขียนหนุ่มรับคำแผ่วเบา   เขารู้สึกคล้ายกับถูกอีกฝ่ายดูดพลังงานออกจนหมด จากการจับมือเมื่อครู่นี้

   หัวใจสั่นไหวอย่างรุนแรง  ยิ่งสบสายตาคมเข้มที่เป็นมิตร ทว่าว่างเปล่าปราศจากความรู้สึกลึกซึ้งใดๆคู่นั้น   

   เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง  รดิศขอตัวไปเปิดรับ ก็พบว่า กุมารแพทย์หนุ่มยืนยิ้มรออยู่แล้ว  เจ้าของห้องหันมาชวนเขานิดหนึ่งตามมารยาท

   “ไปทานข้าวด้วยกันไหมครับ คุณติณธร”

   .....วูบหนึ่งที่เขาอยากตอบออกไปว่า ตกลง  แต่แล้วสติที่ควบคุมตัวเองอยู่ตลอดก็ทำให้ฝืนยิ้มกว้างแล้วตอบปฎิเสธไปอย่างสงบ

   มองดูคุณหมอทั้งสองคนเดินคู่กันออกไป  จากด้านหลังช่างเป็นคู่ที่สมกันนัก   ทั้งหน้าตารูปร่าง ชื่อเสียงเงินทอง เกียรติยศ  รวมไปถึงหัวใจ....พี่กันคงจะรักหมอรันมาก

   นั่นเป็นสิ่งที่ดี

   แต่ทำไมหัวใจถึงไม่ยอมรับเสียที  ว่าเรื่องของเรามันได้ผ่านเลยไปแล้ว....

   .............................................................. ..............................................................

   “เต  นายให้ฮอมไปสัมภาษณ์คุณหมอดิมแทนนายงั้นเหรอ  ทำไมล่ะ  มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”  บก.ดรงค์เรียกลูกน้องเข้าไปถามในห้องทำงาน ทันทีที่ทราบว่าเขาส่งต่องานที่ได้รับมอบหมายให้แก่เพื่อนรุ่นพี่ที่อยู่สายเดียวกัน

   ติณธรก้มหน้าลงเล็กน้อย   ตอบแบบไม่มองหน้า

   “เปล่าครับ  ช่วงนี้ลูกชายผมป่วย  ไม่มีใครดูแล  ผมทิ้งแกอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้  พี่ฮอมก็เลยอาสาจะช่วยน่ะครับ” 
   “อ่าวเหรอ  เจ้าเต้เป็นอะไร  ก็ว่าไม่เห็นหน้าเลยพักนี้  เดี๋ยวพี่ไปเยี่ยมสักหน่อยดีกว่า  ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก  ให้ฮอมสัมภาษณ์แทนก็ได้  แต่ว่าพี่ขอให้นายเป็นคนเขียนนะ”

   “ได้ครับ พี่โดม”  เขารับคำอย่างสงบ แล้วก็ขอตัวออกมานอกห้องทำงานขอเจ้านาย   นึกขอโทษลูกชายที่ถูกยืมชื่อมาเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธที่จะพบหน้านายแพทย์คนนั้นอีก

   ไม่ได้เจอกันน่ะดีแล้ว

   นักเขียนหนุ่มเดินใจลอยออกมาจากลิฟต์  ไม่ทันเห็นร่างสูงตรงของใครคนหนึ่งที่เดินอยู่ข้างหน้า จึงชนเข้าเต็มแรง  ตัวเขาเป็นฝ่ายกระเด็นถอยหลังไปเกือบล้ม  ดีที่อีกฝ่ายหันกลับมาช่วยพยุงแขนเอาไว้ได้ทัน

   “คุณเต!  เป็นอะไรหรือเปล่าฮะ” ภาคย์  เจ้าของสำนักพิมพ์และนิตยสารที่เขาทำงานอยู่พูดอย่างตกใจ กวาดตามองสำรวจอีกฝ่ายทั่วตัว   เห็นว่าไม่เป็นอะไรก็ถอนหายใจโล่งอก

   “ขอโทษครับ  ผมไม่ได้ตั้งใจ” เตตอบตะกุกตะกัก   

   “ไม่ยกโทษให้ครับ   คุณชนผมแบบนี้ ผมเจ็บมากนะ” อีกฝ่ายพูดขึงขัง   เห็นคอลัมนิสต์หน้าจ๋อยลงไปถนัดก็แอบยิ้มอยู่ในใจ

   “คุณภาคย์เจ็บตรงไหนครับ  ผมขอโทษจริงๆ  ให้ผมพาไปหาหมอดีไหมครับ” 

   “หาหมออาจจะเป็นหนักขึ้นนะครับ  เอาอย่างนี้  คุณเลี้ยงหนังรอบค่ำผมสักรอบดีกว่า  ดีมั้ย เป็นการแก้ตัว  แล้วผมจะยกโทษให้”  คนพูดนัยน์ตาพราวระยับขึ้นมาทันที

   ติณธรลอบถอนหายใจเงียบๆ ....เอาอีกแล้ว  มามุขนี้ตลอด  แล้วเขาก็ต้องยอมทุกทีสิน่า....เป็นลูกน้องเขาก็อย่างงี้แหละนะ

   “ตกลงครับ”  เตรับคำอย่างจำใจ   ไม่ลืมโทรศัพท์ไปบอกข้าวตังที่บ้านว่าเขาคงจะกลับดึก

   เจ้านายหนุ่มเงี่ยหูฟังลูกน้องคุยโทรศัพท์อยู่เงียบๆ  เขารู้มาว่าอีกฝ่ายมีภรรยาและลูกชายที่น่ารักอยู่แล้ว  แต่ก็อดใจไม่ไหวทุกที  พบหน้าอีกฝ่ายทีไร  เป็นต้องหาเรื่องชวนทุกวิถีทางให้คนๆนี้อยู่ข้างๆเขานานขึ้นอีกสักนิด

   มันจะใช่ความรักหรือเปล่า....ก็ยังไม่แน่ใจ  เอาเป็นว่า  ทุกครั้งเวลาที่ได้พบหน้าผู้ชายตัวเล็กคนนี้  เขารู้สึกสบายใจ  ผ่อนคลายมากพอที่จะเป็นตัวของตัวเอง

   แค่เห็นแววตาแป๋วเวลานั่งฟังเขาบ่นเรื่องนู้นเรื่องนี้  เรื่องไร้สาระที่เขาไม่รู้ว่าจะพูดกับใคร  ทั้งที่ต่อหน้าคนอื่น เขาเป็นคนเงียบขรึม  พูดน้อย  แต่กับลูกน้องคนนี้  เขาพบว่าตัวเองสามารถนั่งเล่าเรื่องต่างๆในชีวิตให้อีกฝ่ายฟังได้เป็นชั่วโมงๆ อย่างที่ไม่เคยพบใครแบบนี้มาก่อน

   ทั้งคู่เดินเข้าไปในโรงภาพยนตร์ที่มืดสลัว  ภาคย์ยกแขนขึ้นแตะข้อศอกอีกฝ่ายอย่างสุภาพ ขณะที่พาเดินเข้าไปหาที่นั่งแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆกัน

   หนังเริ่มฉายไปได้สักพักแล้ว   เตขยับจะวางแก้วน้ำลงในช่องข้างที่วางแขน  แต่ทว่ากลับมีแก้วน้ำของคนข้างๆวางเสียบอยู่ที่ช่องของเขาก่อนแล้ว

   เขาชะงักนิดหนึ่ง  หันกลับไปมองอีกฝั่งก็เห็นแก้วน้ำของเจ้านายวางอยู่ประจำที่  จึงหันกลับมาอีกรอบ...มองไล่ท่อนแขนในเสื้อเชิ้ตแขนยาวขึ้นไปจนเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของผู้ชายคนหนึ่งในความมืดสลัว

   ....เสี้ยวหน้าคมของใครบางคนที่เขาจำได้แม่นยำ  ต่อให้มืดสลัวแค่ไหน หรือเห็นเพียงชั่ววินาทีก็ตาม....เตรู้สึกตัวเย็นเฉียบจนแทบแข็งเป็นหิน

   ผู้ชายคนนั้น!

   รีบหันกลับมา  กำแก้วน้ำพลาสติกในมือเอาไว้แน่น  ไอเย็นเฉียบกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำเปียกชุ่มทั้งมือ  บอกตัวเองว่าอย่าหันกลับไปมองอีก 

   หัวใจของเขาเต้นรัวแรงจนแทบจะโลดออกมานอกอก  แม้อีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะสังเกตเห็นเขาก็ตาม  จากหางตา เตเห็นคุณหมอรดิศยังคงนั่งพิงพนัก ดูหนังอย่างสบายอารมณ์  นิ้วเรียวยาวเคาะเบาๆที่ที่วางแขนเป็นจังหวะ ตามเพลงประกอบภาพยนตร์

   หันกลับไปอีกด้าน ก็เห็นเจ้านายกำลังนั่งดูอย่างตั้งอกตั้งใจเช่นกัน  มือก็ล้วงควานเอาข้าวโพดคั่วขึ้นมากินไปด้วย 

   แต่เขาดูไม่รู้เรื่อง .....ภาพที่ผ่านสายตาไปนั้นไม่ได้ถูกนำไปแปรผลที่สมองเลย  ได้แต่จ้องเขม็งไปยังจอภาพขนาดใหญ่เบื้องหน้า  หูได้ยินเสียงลมหายใจของผู้ชายคนนั้นเป็นระยะ  กลบเสียงของนักแสดงนำในเรื่องจนหมดสิ้น


***********

   ‘สอบเสร็จแล้ว มีแพลนจะไปไหนหรือยัง’ 

   รุ่นพี่ปี 2 คนนี้อีกแล้ว   มาดักรอเจอเขาทุกวันที่คณะเป็นแรมเดือน  ด้วยข้ออ้างสารพัดอย่าง ตั้งแต่มาชวนเขาไปตีแบด ไปจนถึงเรื่องเล็กเรื่องน้อยแล้วแต่ที่อีกฝ่ายจะคิดได้ในตอนนั้น

   ตอนแรกเขาก็เขินเหมือนกัน  แต่พอหลังๆมาชักชิน  ถ้าวันไหน ไม่มีรุ่นพี่หน้าคมมายืนรอ เป็นต้องเผลอมองหาให้เพื่อนฝูงได้โห่แซวทุกที

   ‘ยังไม่มีแพลนเลย  เพื่อนๆมันจะกลับไปนอนกันหมด’ เขาตอบออกไป  ทำเป็นลืมเสียว่า ตัวเองเป็นคนปฏิเสธเพื่อนเองด้วยเหตุผลเมื่อกี้นี้ 

   คนฟังสีหน้าแช่มชื่นขึ้นทันที  รีบถามต่อ

   ‘ถ้าอย่างนั้น ไปดูหนังกับพี่ไหม  พี่โดนเพื่อนทิ้งเหมือนกัน นะครับ  ไปดูเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ’   เขาพยักหน้ารับ  พี่ดิมยิ้มกว้าง เลือดฉีดจนใบหน้าแดงก่ำ   เช่นเดียวกันกับเขา

   ตั้งแต่วันนั้น ก็เหมือนกลายเป็นธรรมเนียม  ว่าทุกครั้งที่สอบเสร็จ  เขากับพี่ดิมจะต้องไปดูหนังด้วยกัน 1 รอบ  ต่อให้การสอบไม่ตรงกันก็ตาม  อีกฝ่ายก็จะหาเวลาปลีกตัวมาจนได้ทุกครั้ง

   ยังจำหนังเรื่องแรกที่ดูด้วยกันได้ดี  จนบัดนี้เขาก็ยังเก็บตั๋วเรื่องนั้นเอาไว้ในลิ้นชัก  เก็บรวมเอาไว้ไม่ได้เปิดขึ้นมานานแล้ว  นานจนเกือบลืมเสียสนิท

   พี่ดิม ที่ดูมาดแมน  กร้าวแกร่ง แต่ความจริงแล้วกลับกลัวผีจนเข้ากระดูก  ทว่าวางฟอร์มไม่กลัวกลบเกลื่อนเอาไว้  ตรงกันข้ามกับเขา ที่ไม่เคยกลัวภูตผีวิญญาณใดๆทั้งสิ้น

   เขารู้ได้ยังไงน่ะหรือ....ก็จากหนังเรื่องแรกที่อีกฝ่ายเป็นคนเลือกเข้าไปดูนั่นแหละ  ตอนแรกก็เอะใจว่าทำไมจู่ๆก็นั่งเงียบไป  สักพักก็ร้องอ๋อ เพราะฝ่ายนั้นแทบจะยกมือขึ้นมาปิดตา  แถมยังเผลอร้องออกมาเสียงดังตอนที่ผีโผล่ออกมาหลอกด้วยเสียอีก  หมดสภาพเดือนคณะสุดหล่อแห่งปีหมดเลย

   ‘เรียนผ่าอาจารย์ใหญ่แล้วทำไมยังกลัวผีอีก’  เขาเคยถาม ครั้งหนึ่งหลังจากการมาดูหนังผีครั้งที่สาม  แปลกใจว่าทั้งที่ต้องผ่าศพมนุษย์  เพื่อศึกษาดูทุกอวัยวะแท้ๆ ทำไมเจ้าตัวยังไม่ชินอีกเหรอ

   ‘นั่นยิ่งร้ายเลย  นายต้องเคยอยู่ในห้องกรอสตอนดึกๆนะ  ร่างเรียงรายเต็มพรืดไปหมดทั้งห้อง  เหลือแค่นายกับเพื่อนในกลุ่มที่ยังผ่ากันไม่เสร็จ  กลิ่นฟอร์มาลีนงี้โชยตลบอบอวล  โอย  รับรองว่ากลัวยิ่งกว่าเดิมอีกนะจะบอกให้  ถึงจะรู้ว่าอาจารย์ไม่ทำร้ายลูกศิษย์แน่นอนก็เหอะ’  พี่ดิมทำท่าขนลุกขนพองประกอบ

   ‘อ้าว  ทำอย่างนั้นทำไมยังมาดูหนังผีอยู่อีกล่ะ  ชวนทีไร เลือกแต่หนังผีทุกที’

   ‘ก็ฝึกเอาไว้ไง  จะได้ชาชิน  ไม่กลัวมาก’  ถึงปากจะบอกอย่างนั้น แต่อีกฝ่ายก็ยังเผลอกรีดร้อง แล้วก็ยกมือขึ้นมาปิดหูปิดตาทุกที  ให้เขาได้เก็บมาล้อเลียนอยู่ทุกครั้ง

**************

   

   ต่อด้านล่างค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2017 16:55:58 โดย ็Hollyk »

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
[ต่อนะคะ]




         ติณธรสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เมื่อรู้สึกถึงศีรษะของเจ้านายที่นั่งข้างๆเอนซบลงมาที่ไหล่ของเขา พร้อมกับลมหายใจอุ่นๆเป่ารดที่ซอกคอเป็นจังหวะ   มีเสียงกรนเบาๆลอดออกมาด้วย

   ภาพยนตร์ดำเนินไปจนใกล้จะจบเรื่องแล้ว    นี่เขาเผลอนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปไกลทีเดียว   ตอนจบของเรื่องนี้ เขารู้ดีอยู่แล้วว่าพระเอกจะต้องตาย   เช่นเดียวกับนางเอก ตายเพราะบูชาความรัก....เหอะ  ความรักแบบนั้นมันไม่มีอยู่จริงหรอก

   แอบมองไปที่คนข้างๆนิดหนึ่ง  เห็นคุณหมอยังคงจ้องไปที่หน้าจอภาพ ไม่กระดุกกระดิก  บางทีเขาอาจจะไม่ทันสังเกตเห็นเราก็เป็นได้...แต่ถ้าหนังจบแล้วไฟสว่างขึ้นล่ะ....เห็นทีเขาคงต้องออกไปก่อนกระมัง

   เตเขย่าตัว ปลุกเจ้านายเบาๆ  ฝ่ายนั้นยกศีรษะขึ้นพ้นจากไหล่ของเขา  ท่าทางงัวเงีย   เขารีบกระซิบบอกขอออกไปเข้าห้องน้ำ  ภาคย์พยักหน้ารับ

   รีบลุกขึ้นก้มตัวเดินลัดเลาะจากโรงภาพยนตร์ออกมาข้างนอก   โล่งอกที่พ้นสภาวะที่น่าอึดอัดเช่นนั้นออกมาได้   พลิกนาฬิกาดูเวลา...เกือบสี่ทุ่มแล้ว   นึกเป็นห่วงลูกกับน้องสาวขึ้นมาหน่อยๆ เลยยกโทรศัพท์ขึ้นโทรหา

   “ข้าวตังเหรอ  พี่กำลังจะกลับแล้วจ้ะ   เต้หลับหรือยัง   ดีแล้ว  ตังก็นอนได้แล้วนะ  ไม่ต้องรอพี่  จ้า  ฝันดีนะจ้ะ’ กดวางสาย หันกลับมา ก็หุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อเผชิญหน้ากับใครบางคนที่เข้ามายืนซ้อนข้างหลังเงียบๆ .. ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ  ไม่รู้สึกตัวเลย

   นายแพทย์หนุ่มสอดมือล้วงกระเป๋ากางเกง  เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ท่าทางเหมือนแปลกใจที่เจอเขาที่นี่

   “คุณติณธร?  เจอกันอีกแล้ว  โลกกลมจังนะครับ”  เขาพูดยิ้มๆ 

   คนฟังเผลอก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วก็หยุด

   “สวัสดีครับ  คุณหมอรดิศ”  ทักสั้นๆ พลางเหลียวซ้ายมองขวาหาทางหลบออกไป  แต่ดูอีกฝ่ายจะไม่คิดอย่างนั้น  เพราะเขาก้าวเข้ามาอีกก้าว

   “ผมมาดูหนังฮะ  คุณล่ะครับ  มาดูหนังเหมือนกันเหรอ?”    เตหรี่ตาลงเล็กน้อย  เห็นแววซื่อๆจริงใจในดวงตาของอีกฝ่ายก็ใจชื้น....บางทีเขาอาจจะไม่ทันเห็นว่าเป็นเราจริงๆ

   “ครับ  กำลังจะกลับแล้วครับ”

   “อ้าว หนังยังไม่จบเลยไม่ใช่หรือฮะ  ทำไมรีบกลับเสียล่ะ  หรือว่ากลัว?”  คำถามแปลกแปร่งจนคนฟังสะดุดใจ เงยหน้าขึ้นมอง   แต่ก็ยังคงเห็นแววขี้เล่นอารมณ์ดี ไม่มีเลศนัยอะไรในแววตาคมคู่นั้นอยู่เหมือนเดิม

   “กลัวอะไรครับ”  กลั้นใจถามต่อ

   “ก็กลัวว่าจะร้องไห้โฮออกมาตอนที่ตัวเอกตายไงฮะ  อายลูกชายกับภรรยาแย่เลย  นี่คุณแม่น้องเต้กับน้องเต้ยังอยู่ในโรงหรือเปล่าครับ”  คนฟังอึกอักเล็กน้อย

   “เปล่าครับ  ผมมาดูกับเพื่อน”  เลือกที่จะตอบสั้นๆ

   “อ่อ  ผมนี่แย่จริง  ขอโทษทีนะครับ  พอดีผมค่อนข้างจะติดภาพ family man จากที่เมืองนอกน่ะฮะ  ส่วนใหญ่ผู้ชายที่นั่นพอแต่งงานแล้ว เขาก็จะไปไหนมาไหนกับลูกเมียเสมอน่ะครับ”  นายแพทย์หนุ่มตอบยิ้มๆ  แต่คนฟังรู้สึกตัวร้อนสลับหนาวเยือกทั้งตัว

   นึกถึงเหตุการณ์ที่ภาคย์เอนศีรษะลงมาซบที่ไหล่ของเขาแล้วก็หน้าร้อนซู่   หรือว่าอีกฝ่ายจะเห็นแล้วจงใจพูดขึ้นมา?

   “เมืองไทยสังคมค่อนข้างแคบนะครับ   ทำอะไรก็ต้องระวังตัว  อย่าให้ใครเขาจับได้”  รดิศเห็นอีกฝ่ายหน้าซีดก็พูดต่อลอยๆ   นึกแวบไปถึงภาพที่เขาเห็นในความมืดรัวๆลางๆก็ยิ่งหงุดหงิด  แถมยังมาได้ยินอีกฝ่ายหลบออกมาโทรหาลูกเมียอีก  หึ  คงจะอ้างว่าทำงานดึกอะไรทำนองนี้สินะ  แต่ความจริงแล้ว  แอบมานั่งดูหนังกับกิ๊ก!

   ....มีลูกมีเมียแล้ว  ยังไม่เลิกนิสัยชอบอ่อยแบบนี้อีกหรือไง   อยากเห็นหน้าของไอ้หมอนั่นนักเชียว   ว่าจะรูปหล่อ พ่อรวยสักแค่ไหน...

   “ผมขอตัวก่อน  ‘เพื่อน’ ผมคงจะรออยู่แล้ว”  คอลัมนิสต์หนุ่มพึมพำเสียงเบา   เขาเดินเลี่ยงจากอีกฝ่ายหายกลับเข้ามาในโรงภาพยนตร์  พบว่าหนังจบลงพอดี และไฟเปิดสว่าง   เตยืดตัวขึ้นมองหาเจ้านายที่มาด้วย  ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่ามีคนมาสะกิดด้านหลัง

   “คุณเต  หายไปห้องน้ำเสียนานเลย  ผมเป็นห่วงหมด เกือบจะลุกออกไปตามแล้ว”  ภาคย์ถือวิสาสะโอบไหล่ของเขาเอาไว้  พาเดินฝ่าผู้คนออกมาจากโรงหนัง  แล้วก็ปล่อยออกอย่างสุภาพ

   “ขอโทษครับ....เรา กลับบ้านกันเลยไหมครับ”  เตหลุดปากออกมาตามที่คิด  อีกฝ่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย

   “เป็นอะไรหรือเปล่า  ทำไมหน้าคุณดูซีดๆ  หรือว่าใครที่บ้านเป็นอะไร”  ชายหนุ่มสังเกตเห็นท่าทีที่ผิดแปลกไปทันที   อีกฝ่ายส่ายหัว

   “เปล่าครับ  ไม่ได้เป็นอะไรหรอก  ผมเห็นว่ามันดึกแล้ว  คุณภาคย์เองก็เหนื่อยมากแล้วด้วย   ผมเห็นหลับสนิทตั้งแต่ครึ่งเรื่องแหนะ”  เตพูดแกมหัวเราะ  เห็นฟันขาวเรียบ เรียงกันสวย  คนมองพลอยยิ้มตามไปด้วย   

   “แหม  ก็แอร์มันเย็นนี่ฮะ  ผมแพ้แอร์กับเก้าอี้ในโรงหนังที่สุดเลยล่ะ  อ้อ  คุณเต  ผมมีเรื่องขอร้องอย่างนึง  อยากให้คุณช่วยผม  จะได้ไหมฮะ”

   “อะไรล่ะครับ”

   “ไม่ยากหรอก  คุณไม่ต้องทำหน้าซีเรียสขนาดนั้นก็ได้ ...คือผมทานข้าวคนเดียวมาหลายมื้อแล้ว  มื้อหน้าอยากมีเพื่อนทานด้วย  คุณเตช่วยมาทานข้าวเป็นเพื่อนผมพรุ่งนี้ได้ไหมครับ” เขาทำหน้าชนิดหนึ่งที่ทำให้เตรู้สึกสงสาร 

   “นะครับ  ตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษ  ผมก็เหงามากเลย”  คนพูดหน้าม่อยลงอีก  เตมองเห็นแววอ้างว้าง โดดเดี่ยวในแววตาของอีกฝ่ายที่ปิดไม่มิดก็เลยพยักหน้ารับ

   “ตกลงครับ  คุณภาคย์” 

   “งั้นพรุ่งนี้ผมโทรหานะครับ” อีกฝ่ายยิ้มกริ่ม 

   ภาคย์ขับรถมาส่งเขาที่บ้าน   เหมือนทุกครั้งเวลาที่พาเขาไปนอกบ้าน   แม้ว่าเตจะปฏิเสธอย่างเกรงใจแค่ไหนก็ตาม  เขาก็จะอ้างว่าเป็นหน้าที่ของเขา  ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายชวนไปเที่ยวเอง

   ชายหนุ่มโบกมือให้คนมาส่ง  รอจนไฟท้ายรถลับหายไปจากสายตา ก็หันกลับเข้าไปในบ้านที่ปิดไฟมืดสนิท   ไม่รู้เลยว่ามีสายตาของคนๆหนึ่งที่นั่งอยู่ในรถสปอร์ตที่จอดซุ่มอยู่ยังฝั่งตรงข้ามไม่ไกลนักเฝ้าจับสังเกตอยู่เงียบๆ

   เขากำพวงมาลัยแน่น  แล้วก็คลายออกเมื่อรู้ตัว

   นึกถึงภาพเมื่อชั่วโมงก่อนที่เขาแอบเดินตามคนทั้งคู่ออกมาจนกระทั่งขับรถตามมาถึงบ้าน   ร่างสูงโดดเด่น หุ่นดีเสียจนเขาเองต้องยอมรับว่าสู้ไม่ได้  แถมยังมาดของผู้ชายคนนั้น ที่ดูพร้อมจะปกป้องคนใกล้ชิดอีก

   เป็นใครก็คงอดหวั่นไหวไม่ได้หรอก

   แต่มันคนละเรื่องกับผู้ชายที่มีลูกเมียอยู่แล้ว   มันผิดศีลธรรมเกินไปจนเขารับไม่ได้ 

   เลยต้องตามมาเพื่อดูให้รู้แน่นี่ไงล่ะ   ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมันเป็นอย่างไรกันแน่   แม้ว่าจะค่อนข้างมั่นใจมากก็เถอะ ...ก็เขาจำท่าทางเวลาอีกคนฉอเลาะได้แม่นยำนี่นะ

   ยิ่งเวลาส่งยิ้มมาให้  รอยหวานวิบวับในดวงตาแบบนั้น  เขาว่าเขาดูไม่ผิดหรอก 

   โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง   รดิศกดรับ  กรอกเสียงลงไปอย่างหงุดหงิด

   “เป็นอะไรครับดิม  คนไข้อาการไม่ดีเหรอ  ทำไมเสียงหงุดหงิดจัง”  เขารีบเปลี่ยนเสียงเมื่อรู้ตัว  ตอบกลับไปเสียงหวานนุ่ม

   “นิดหน่อยน่ะรัน  ขอโทษที”

   “ดึกแล้วนะ  ยังอยู่โรงพยาบาลอีกเหรอ”  คนฟังรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย เนื่องจากโกหกอีกฝ่ายขณะที่กำลังจะไปทานข้าวที่ห้างแห่งนั้น ว่ามีเคสคนไข้ด่วนต้องรีบกลับโรงพยาบาล  ทว่าความจริงแล้วเขาอยากจะปลีกตัวออกมา เพราะเห็นคนคู่นั้นเดินคลอเคลียเข้าไปในโรงหนังตะหาก

   “กำลังจะกลับบ้านแล้วล่ะ  เรียบร้อยทุกอย่างแล้ว  รันถึงบ้านหรือยังครับ”

   “ถึงแล้วครับ แหม ทิ้งให้เราเดินเล่นคนเดียวยังมีหน้ามาถามอีก” หางเสียงสะบัดเล็กน้อย   ดิมหัวเราะ

   “โธ่  รันก็เคยทิ้งผมไปดูคนไข้เหมือนกันแหละ  ยังไงคนไข้ก็ต้องมาก่อนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

   “รันพูดเล่นน่ะ  ก็รู้อยู่แล้ว  ไม่กวนแล้วดีกว่า  ขับรถกลับบ้านดีๆนะครับ” 

   “ครับผม  ฝันถึงผมด้วยนะ คุณหมอวิรัล”

   “ไม่ฝันหรอก  เหอะ”  ปลายสายกดทิ้งไปแล้ว  แต่ว่าเขายังคงยิ้มค้างอยู่   รันเป็นอีกคนที่ทำให้เขาสบายใจเมื่ออยู่ใกล้เสมอ  ไม่เคยเรื่องมาก  ไม่มีปัญหาปวดหัว   รู้จักรู้ใจกันดีเพราะเคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแฟน

   มองตรงไปยังบ้านหลังนั้นอีกครั้ง  เห็นแสงไฟสว่างขึ้นที่ชั้นสอง  เดาว่าคงจะเป็นห้องนอนของสามีภรรยา  กวาดตาสำรวจบ้านเดี่ยวขนาดกลางพลางเบ้ปาก

   ...สุดท้ายก็ไปได้แค่นี้เองเหรอ   นึกว่าจะร่ำรวยมหาศาลเป็นเศรษฐี ไม่ก็เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานเสียอีก  หึ  ดีแล้วล่ะที่เลิกกันไปแบบนั้น   

   ชายหนุ่มสตาร์ทรถ  ถอยหลังออกจากซอยอย่างระมัดระวัง  เขาขับออกมาถึงถนนใหญ่  ตรงกลับคอนโดมูลค่าหลายล้านบาทของเขา

   ตั้งใจว่าจะไม่หวนกลับมายังบ้านหลังนั้นอีก   อนาคตของเขายังอีกยาวไกล..ไกลเกินกว่าเด็กหนุ่มผมหยิกหยักศก  ยิ้มหวาน  ท่าทางซื่อๆคนนั้นมากนัก

   ..............................................................................................


มาอัพต่อค่ะ  ขอบคุณที่เข้ามาลองอ่านกันนะคะ  เเนะนำติชมกันเข้ามาได้เลยน้าา
ชอบกดโหวต ใช่กดเม้นท์ด้วยค่าา555 :mew1:
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-01-2017 18:16:42 โดย ็Hollyk »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อยากรู้สาเหตุที่เตขอเลิกจัง หวังว่าจะมีเหตุผลที่แน่นพอนะ อ่านดูก็รู้ว่ายังรักอยู่ แล้วมาแต่งกับข้าวตังได้ไง เต้เป็นลูกของใคร
ส่วนพระเอกนี่ หลายปีผ่านไปดูดาร์คขึ้นนะ
แอบขัดใจในความ(นิสัย)นุ่มนิ่มของเต จริง ๆ ถ้ามีเหตุผลที่ดีก็ย่อมปฏิเสธคุณภาค(ใช่ไหม)ได้นะ แต่เจ้าตัวไม่รู้จักเลี่ยงเอง

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ติดตามจ้า  สนุกดี

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
นักเขียนระวังนิดนะคะ ติดคำว่าฮะหลายๆจุดเลย ปกติผู้ชายที่โตๆกันแล้วไม่ใช้ฮะกันค่ะ
มีอีกจุดที่เป็นการบรรยายแม้ว่าจะมาจากมุมมองของเตแต่ก็ไม่ควรใช้ว่าเรา เพราะว่าบรรยายออกมาเป็นบรุรษที่ 3 แล้ว

อ่านๆมาชวนติดตามมากค่ะ  รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...ย้ำ






   นายแพทย์รดิศชะงักนิดหนึ่ง เมื่อเห็นหน้าของแขกที่มารอพบอยู่หน้าห้องทำงาน  หลังจากที่โทรศัพท์มาขอนัดสัมภาษณ์เพิ่มเติม  จากนิตยสารเซเลปรายเดือน...ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้น?

   คนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว  รีบลุกขึ้นและแนะนำตัวทันที

   “สวัสดีครับ  คุณหมอรดิศ  ผมชื่อสมศักดิ์ครับวันนี้มาขอสัมภาษณ์คุณแทนน้องอีกคน  พอดีเขาติดธุระ...”

   “อ้อ  มาแทนคุณ...เอ่อ  อะไรนะ  คุณติณธร ใช่มั้ย?  โอเคครับ  ยินดีที่ได้รู้จักคุณ   เชิญด้านในห้องทำงานของผมดีกว่า  ผมมีเวลาประมาณชั่วโมงนึง”  รดิศพูดเรียบๆ  ยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง   เดินนำอีกฝ่ายเข้าไปภายในห้องทำงานส่วนตัวของเขา   

   การสัมภาษณ์ผ่านไปด้วยดี  เขาสังเกตว่าคอลัมนิสต์คนนี้คงจะมีประสบการณ์สูงพอสมควร   และคงจะเอ็นดู ‘น้องเต’ อยู่ไม่น้อย  เดาได้จากการที่อีกฝ่ายพูดถึงอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะ จนกระทั่งจบการสัมภาษณ์

   “ขอบคุณมากนะครับ คุณหมอ  เรื่องของคุณน่าประทับใจมากครับ  คงจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆคนได้ทีเดียว  เอาไว้น้องเตเอ้อ...ผมหมายถึงติณธร...เขียนต้นฉบับเสร็จแล้ว  จะส่งมาให้คุณหมออ่านดูนะครับ  เผื่ออยากจะแก้ไขตรงส่วนไหน  แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ  เจ้าเตเป็นมือหนึ่งเรื่องงานเขียนแนวนี้เลย”  แขกพูด พลางก้มลงเก็บที่อัดเสียงและสคริปต์ลงกระเป๋า

   “คุณเตจะเป็นคนเขียนหรอครับ  ผมนึกว่าคุณจะเป็นคนเขียนเสียอีก”

   “ไม่ใช่ครับ  ผมแค่มาช่วยน้องเค้าสัมภาษณ์เฉยๆ   วันนี้น้องเขาติดธุระจริงๆครับ  เลยมาไม่ได้   ต้องขอโทษแทนด้วยนะครับ”

   นายแพทย์หนุ่มพยักหน้าเนิบๆ  ไม่ได้พูดว่าอะไร  สักพักคนสัมภาษณ์ก็ขอตัวกลับ 

   เจ้าของห้องนั่งมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่ครู่ใหญ่  ก็ตัดสินใจโทรไปหา บก.หนุ่มร่างใหญ่คนนั้น 

   “สวัสดีครับคุณโดม   ผมหมอดิมเองครับ...ครับ  เพิ่งกลับไปเมื่อครู่นี้เองครับ”

   “มีอะไรหรือเปล่าครับ คุณหมอ” เสียงคุณบก.ชักร้อนรน ตกใจนึกว่าลูกน้องไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้หรือเปล่า

   “เปล่าครับ  พอดีว่าผมอยากขอพบกับคนที่จะเขียนเรื่องของผมน่ะครับ  ผมอยากขออ่านก่อนที่จะตีพิมพ์”

   “อ๋อ  เรื่องนั้นได้อยู่แล้วครับ  เดี๋ยวพอเขาเขียนเสร็จผมจะส่งไปให้”

   “ผมหมายถึง...ผมขอพบคุณ ‘เต’ อีกครั้งน่ะครับ  ผมอยากจะคุยกับเขานิดหน่อย  เผื่อว่า....เขาจะได้ถ่ายทอดเรื่องราวของผมออกมาได้ถูกต้องชัดเจนที่สุดน่ะครับ”

   “อ้อ  ได้เลยครับ  เดี๋ยวผมจะบอกนักเขียนให้  แต่อาจจะต้องผ่านช่วงนี้ไปหน่อย  ได้ไหมครับ แล้วผมจะติดต่อนัดวันไปอีกทีนึง”

   “ขอภายในอาทิตย์นี้จะได้ไหมครับ  อาทิตย์หน้าผมงานยุ่งมากๆ คิวยาวเหยียดทีเดียว”  คุณหมอหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้  ยกขาขึ้นมาไขว่ห้าง กระดิกปลายเท้าน้อยๆอย่างใจเย็น

   “พักนี้น้องนักเขียนเขายุ่งๆหน่อย  แต่ก็...ได้ครับผมจะจัดการให้เรียบร้อย  ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับหมอดิม”

   “เอ  ถ้าเขายุ่งๆอยู่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ  ผมเกรงใจ เดี๋ยวจะมองว่าผมเรื่องมากหรือเปล่า”

   “ไม่เลยครับ ไม่เลย  ผมจะจัดการให้ครับแน่นอน”  ปลายสายรีบพูดด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจเต็มที่  ทำให้ผู้ชายหน้าเข้มยิ้มมุมปาก 

   “ถ้าอย่างนั้น ขอเป็นวันพรุ่งนี้ล่ะกันนะครับ  ส่วนสถานที่....ผมยังไม่แน่ใจ”

   “ไม่เป็นไรครับ  เดี๋ยวผมบอกน้องเขาให้  วันพรุ่งนี้นะครับ  สถานที่คุณหมอสะดวกที่ไหน  ที่โรงพยาบาลเหมือนเดิมไหมครับ  หรือว่ายังไงเอ่ย”

    “ผมยังไม่แน่ใจตาราง  อาจจะแจ้งได้คืนนี้หลังจากออกจากห้องผ่าตัด  เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมขอเบอร์ของคุณนักเขียนเอาไว้  จะได้โทรนัดสถานที่ได้พรุ่งนี้เลย  ไม่รบกวนคุณโดม  ดีไหมครับ”

   “ได้เลย..  เบอร์นักเขียนนะฮะ  คุณเต 08x-xxx-xxxx ครับ  แล้วผมจะโทรนัดน้องเขาให้เดี๋ยวนี้เลย  ส่วนสถานที่คุณหมอดิมจะคอนเฟิร์มเองทีหลัง  ถูกต้องไหมครับ”

     “ครับผม  ตามนั้นเลย  ขอบคุณมากครับ”

   ชายหนุ่มในชุดกาวน์สีขาวกดวางสาย  หยิบสมุดเล่มเล็กที่จดเบอร์โทรศัพท์ของคนๆนั้นขึ้นมาดู....เบอร์เดิมงั้นหรือ? 

   แหม  ทีค่ายโทรศัพท์เนี่ย จงรักภักดีนักนะ  แต่ทีแฟน ทำไมถึงเปลี่ยนใจเอาเสียง่ายๆล่ะ..หึ 


   
00000000000000000000000000


   ชายหนุ่มร่างโปร่งบาง สะพายกระเป๋าเอกสารพาดบ่า  ในมือก็หิ้วโน๊ตบุ๊คมาด้วย   เขาเดินเรื่อยๆเข้ามายังรั้วมหาวิทยาลัยเดิม  ที่เขาจบมาเมื่อหลายปีก่อนพร้อมกับใบปริญญาบัตรและหยาดน้ำตา

   ไม่ได้กลับมาเยี่ยมอีกเลยตั้งแต่ตอนนั้น....ถ้าอีกฝ่ายไม่ส่งข้อความไปว่า ขอนัดคุยที่นี่  เขาก็คงไม่คิดจะเหยียบย่างเข้ามาอีก ...มันทรมานจิตใจเกินไป

   ทำไมต้องเป็นที่นี่ด้วยนะ....ก้าวเดินเข้าไปตามทางใต้ร่มไม้ร่มรื่น   ผ่านอาคารเรียนที่แม้วันเวลาผ่านไป แต่สถานที่กลับแทบไม่เปลี่ยนแปลงตาม   โต๊ะหินอ่อนเรียงรายอยู่เต็มลานหินยังคงอยู่เหมือนเดิม  โดยเฉพาะโต๊ะตัวในสุด ใต้ต้นหูกวางต้นใหญ่....โต๊ะประจำของเรา


***********

   นักศึกษาผู้ชายสองคน กำลังนั่งติวหนังสือกันอยู่อย่างเคร่งเครียด  อันที่จริง ต้องเรียกว่า คนติวเป็นฝ่ายเครียดอยู่คนเดียวมากกว่า  เพราะคนถูกติวเอาแต่นั่งกินขนมสลับกับจ้องหน้าคนติวจนชักเขิน

   “พี่ดิม  หยุดจ้องหน้าผมแล้วก็อ่านได้แล้ว  โธ่”  ขึ้นเสียงใส่นิดหนึ่ง แต่ก็ไม่วายหลบตา  เบือนหน้าหนีสายตาแพรวพราว หวานหยาดเยิ้มจนทำให้เขาใจสั่นทุกครั้งที่เผลอหันไปสบเข้า

   “ก็ใครใช้ให้นายน่ารักนักล่ะ” 

   “น่ารักแล้วรักป่ะล่ะ”  พูดไปแล้วก็นึกขึ้นได้  ว่าไม่น่าพูดออกไปเลย  สายตาของอีกฝ่ายยิ่งทวีความหวานวิบวับขึ้นไปอีกจนใจเต้นแรง   อยากยกมือขึ้นตบปากตัวเองสักเผี๊ยะ  ค่าที่ปากไวดีนัก

   “แค่พูดไม่พอหรอก  ต้องพิสูจน์”  พี่ดิมเปลี่ยนมานั่งที่ม้านั่งตัวเดียวกัน แถมยังเขยิบเข้ามาจนชิด  ทำเอาเขาตัวตกใจ  รีบยกมือขึ้นดันตัวอีกฝ่ายออกไปห่างๆ

   “มะ  ไม่ต้องพิสูจน์  กลับไปนั่งที่ได้แล้ว” 

   อีกฝ่ายมองหน้ายิ้มๆ  ยกปลายนิ้วขึ้นปัดปอยผมที่ตกลงมาระหน้าผากของเขาออก

   “กลัวอะไรพี่ หืม  ตั้งเต”

   “ไม่ได้กลัวสักหน่อย”  ถึงปากบอกไม่กลัว  แต่ใจนี่เต้นรัวเป็นกลองแล้ว  แอบหันไปรอบๆก็มีแต่โต๊ะโล่งๆ  พวกนักศึกษากลับกันไปหมดแล้ว   ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เหลือแค่พวกเขาสองคน นั่งติวหนังสือกัน

   พี่ดิมชะโงกหน้าเข้ามาเกือบชิดจนเขาผงะ  เผลอหลับตาปี๋  แต่แล้วก็รู้สึกถึงลมเป่าฟู่อยู่ข้างหู พร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆและความอบอุ่นที่ใกล้จนเกือบแนบชิด

   “พี่ไม่ทำอะไรหรอกน่า  กลัวไปได้”  เสียงทุ้มนุ่มกระซิบข้างหูแล้วก็ถอยห่างออกไป

   เขาลืมตาขึ้นมา  เห็นอีกฝ่ายกลับไปนั่งที่ม้านั่งหินตัวเดิมก็ถอนหายใจโล่งอก ...ชอบทำให้หัวใจจะวายอยู่เรื่อย...คนอะไร

   “ด่าพี่อยู่ในใจเหรอ  หึๆ  เอ้า หน้าแดงเชียว  เป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย  มาพี่ตรวจให้” ทำท่าจะขยับเข้ามาอีก

   “หยุด  พอๆ  นั่งอยู่ตรงนั้นแหละ  อย่าเข้ามานะ  วันนี้จะติวจบไหมเนี่ย  ผมไม่เข้าใจเลยว่าพี่จะมาให้ผมติวอังกฤษทำไม  ในเมื่อพี่ก็เทพอยู่แล้ว”

   “ใครบอกว่าพี่เทพอังกฤษ  เรียนหมอไม่ได้แปลว่าเทพอิ้งทุกคนนะเว้ย  พี่กากมากอ่ะ  ไม่งั้นคงไม่ต้องมาขอให้นายช่วยติวหรอก  ก็นี่ไง  แลกกับพี่ติวเลขให้นาย เสมอภาคกันดีออก”

   เหอะ...เชื่อพี่แกก็บ้าแล้ว  เรียนหมอแต่ไม่เก่งอังกฤษเนี่ยนะ   แต่เอาเถอะ...จะยอมเชื่อสักหน่อยล่ะกัน  อย่างน้อยก็ทำให้เราได้อยู่ด้วยกันนานขึ้นอีกนิด

   “อืม  ถ้างั้นก็ตั้งใจติวหน่อยสิครับ คุณหมอ  ผมชักเหนื่อยล่ะนะ”  เด็กอักษรศาสตร์บ่นไม่จริงจัง แต่อีกคนกลับทำหน้าเคร่งขึ้นมาฉับพลัน

   “เหนื่อยจริงเหรอ  พี่มากวนนายมากไปหรือเปล่า  หรือว่าวันนี้จะพอแต่นี้ก่อนดีไหม  นายจะได้พัก...”  สายตาและท่าทางเป็นห่วงอย่างจริงใจของอีกฝ่ายทำให้เขายิ้มออก  รีบปฏิเสธ

   “ไม่หรอก  ยังไม่เหนื่อย  แต่ถ้าพี่เล่นมากๆเนี่ย ผมก็เหนื่อยนะ”  คราวนี้ว่าที่คุณหมอเปลี่ยนท่าที กลับมาตั้งใจฟังเขาติวอย่างกระตือรือร้น  พยักหน้าและจดตาม

   เขาแอบยิ้มอยู่ในใจ  นึกเอ็นดูอีกคนขึ้นมามากๆ  ผู้ชายคนนี้มีความน่ารักแฝงเอาไว้ในตัวมากเหลือเกิน  ยิ่งรู้จักก็ยิ่งค้นพบ  มันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวที่เขาไม่เคยพบจากใครมาก่อน

**************

   “มานานแล้วหรือครับ” เสียงนุ่มดังขึ้นทางด้านหลัง  จนคอลัมนิสต์หนุ่มสะดุ้ง  หันกลับไปมอง   เห็นคุณหมอยืนมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

   แวบหนึ่งที่เขารู้สึกเหมือนเห็นเเววตาคู่นั้น...แววตาคุ้นเคยที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเขาอยู่เสมอทุกฝีก้าว  แต่เมื่อกระพริบตาอีกที  เขาก็รู้ว่าตนเองคงจะตาฝาด  เพราะดวงตาคมเข้มคู่นั้นมีเพียงรอยยิ้มเป็นมิตรแบบคนที่รู้จักกันอย่างผิวเผินเท่านั้น

   “เพิ่งมาถึงครับ  คุณหมอ”  สะกดเสียงให้ราบเรียบเป็นปกติ  ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายนิดๆและเชื้อเชิญให้นั่งบนม้าหินตัวนั้น....ตัวเดิมที่ ‘พี่ดิม’ ชอบมานั่งรอเขาทุกเย็น

   รดิศทรุดตัวลงนั่ง  กวาดตามองไปรอบๆแล้วเอ่ยยิ้มๆ

   “ผมไม่ได้กลับมาที่นี่เสียนาน   ตั้งแต่จบไป  วันนี้เลยอยากกลับมาเยี่ยมเสียหน่อย  คุณคงไม่ว่านะครับ”

   “ไม่หรอกครับ  ผม...ก็เป็นศิษย์เก่าที่นี่เหมือนกัน” 

   “อ้าว เหรอครับ  คุณจบคณะอะไร  รุ่นอะไรหรือครับ” เขาถามกลับมา  ท่าทางดีใจ

   “ผมจบอักษรฯ ครับ รุ่นน้องคุณหมอ 1 ปี”  เตตอบเรียบๆ 

   “อ๋อ  อักษรฯ ก็ตึกตรงข้ามนี้น่ะสิ  ใช่ไหมครับ   ผมแทบไม่เคยแวะมาเลย  เพราะวนเวียนอยู่แต่ในคณะ  เอ  คุณรุ่นน้องผม 1 ปีเหรอ   แต่ผมไปแลกเปลี่ยนที่เยอรมันมา 1 ปี  งั้นคุณก็ต้องรุ่นน้องผมสองปีสิ”  หมอกันพูดยิ้มๆ  คนฟังเม้มปากนิดหนึ่ง

   “ครับ”   ความจริงเขาเข้าเรียนเร็วกว่าชาวบ้านสองปีด้วย...ถ้าเป็นพี่ดิมคนเดิมจะต้องรู้เรื่องนี้แน่ๆ  ....เค้าจำอะไรไม่ได้เลยสินะ   ลืมเรื่องระหว่างเราไปหมดแล้วจริงๆ...

   “ที่นี่น่านั่งจริงๆ  ผมไม่เคยมาเลย  ไม่รู้สมัยก่อนมีที่นั่งเล่นแบบนี้หรือเปล่า  หรือว่าเขาเพิ่งจะสร้าง”

   “มีนานแล้วครับ  เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย...เมื่อก่อนผมก็ชอบนั่งโต๊ะตัวนี้แหละ  มานั่งติวหนังสือเล่นนู่นนี่  เป็นโต๊ะประจำของ..ผม”  เผลอพูดออกไปยาวๆ แล้วก็หยุด  เมื่อเห็นอีกฝ่ายหันมาเอียงคอฟัง

   ท่าทางของผู้ชายคนนั้นทำให้เขาเจ็บปวดจนพูดต่อไม่ออก   ท่าทางที่เหมือนกำลังฟังเรื่องราวของคนอื่น ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับตนเองเลยแม้แต่น้อย...ฟังตามมารยาท  แล้วก็เลยผ่านไปไม่เก็บไปคิดทบทวนหรือใส่ใจ

   “ดีจังนะครับ  เหมือนมารำลึกความหลัง....อ้อ  วันก่อนทำไมคุณถึงไม่มาสัมภาษณ์ต่อล่ะครับ  ติดธุระอะไรหรือ”  ฝ่ายนั้นถามสบายๆ  เอียงตัวพิงลำต้นของต้นหูกวาง

   ติณธรสายตาพร่าไปครู่....เหมือนเหลือเกิน    เหมือนพี่ดิมคนเดิมที่พอง่วงก็จะหาที่เอนหลัง พิงต้นไม้แล้วก็นอนหลับไปซะเฉยๆ  ทิ้งให้เขานั่งเฝ้า และก็นั่งมองอย่างไม่รู้เบื่อ

   “มีอะไรหรือเปล่าครับ  เขาห้ามพิงเหรอ”  รดิศลุกขึ้นนั่งตัวตรง  หันไปมองต้นไม้สลับกับใบหน้าของคนตรงข้ามที่จ้องมาที่เขานิ่ง

   “เปล่าครับ  ไม่ใช่...ขอโทษทีครับ  เมื่อกี้ถามว่าอะไรนะครับ”

   “ถามว่าคุณติดธุระอะไร   แต่ไม่เป็นไรครับ ผมออกจะถามละลาบละล้วงไปหน่อย  ขอโทษด้วย”

   “ไม่เป็นไรครับ  พอดีลูกชายผมไม่สบายเป็นไข้  เลยต้องอยู่เฝ้า”  คนฟังพยักหน้า  ถามต่อท่าทางเป็นห่วง

   “แล้วน้องเต้เป็นอย่างไรบ้างครับ  เอามาให้หมอรันเขาดูหน่อยไหมครับ  เดี๋ยวผมบอกรันให้”  เขาอาสาด้วยความมีน้ำใจ  เตยิ้มออกนิดหนึ่ง   อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปก็คือ น้ำใจของเขา ที่เสมอต้นเสมอปลาย แม้แต่กับคนที่เพิ่งรู้จักกันก็ตามที

   “ไม่เป็นไร อาการดีขึ้นแล้วครับ”

   คุณหมอพยักหน้ารับ  จากนั้นก็เริ่มพูดคุยถึงเรื่องบทสัมภาษณ์ของเขา   เตส่งต้นร่างให้อีกฝ่ายอ่านดู  ฝ่ายนั้นก้มลงอ่านครู่หนึ่งก็ส่งกลับมา

   “ผมอยากให้เพิ่มตรงนี้หน่อย   ผมอยากให้มีชื่อหมอรันอยู่ด้วย....” 

   คุณหมอหนุ่มชี้แก้อีกหลายจุด จากนั้นก็นั่งเท้าคางดูนักเขียนก้มหน้าก้มตาแก้ตามที่เขาบอกเอาไว้  ใบหน้าเล็กๆก้มๆเงย นัยน์ตาโตจ้องที่หน้าจอโน๊ตบุ๊คอย่างตั้งอกตั้งใจ   ริมฝีปากอิ่มเต็มพึมพำบางประโยคอยู่ในลำคอคนเดียวงึมงำ  ส่วนนิ้วมือก็รัวไปตามแป้นพิมพ์อย่างคล่องแคล่ว


[ต่อด้านล่างนะคะ]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2017 17:00:28 โดย ็Hollyk »

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
********

   ‘เสร็จยังอ่ะเต   พี่ว่ามันก็โอเคแล้วนา  ไปกินข้าวกันเถอะ  เย็นแล้วนะครับ’

   นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 พูดชวนเป็นรอบที่สาม  แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้หินอ่อน  เขาลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ  พลิกนาฬิกาข้อมือดูเวลา....วันนี้มีนัดติวกรอสรอบเย็นเสียด้วย  ถ้ากลับไปไม่ทันล่ะก็....

   เขายื่นมือออกไปสะกิดปลายแขนเสื้อของฝ่ายนั้นอีกครั้ง

   ‘เดี๋ยวสิพี่ดิม  จะเสร็จแล้ว  เอาอย่างนี้ ถ้าพี่ดิมหิว ก็ไปกินก่อนได้เลย ไม่ต้องรอผมหรอก’  เด็กหนุ่มหันมาบอก แล้วกลับไปแก้บางประโยคในรายงานอีกครั้ง 

   ....เป็นอย่างนี้ทุกทีเลยสิน่า  เวลาทำงานทีไร ถ้าไม่เสร็จจนเรียบร้อยพอใจเจ้าตัวแล้วล่ะก็  ไม่มีทางทิ้งเอาไว้ครึ่งๆกลางๆเด็ดขาด  ต้องมุทำจนเสร็จ....แล้วเขาจะทำอย่างไรดีล่ะ  ใจหนึ่งก็อยากไปติวอยู่หรอก  จะสอบแล้ว  แต่อีกใจ(ที่โอนเอนมากกว่า) ก็อยากอยู่กินข้าวเย็นกับ ‘ว่าที่’ แฟน แล้วคุมตัวกลับไปส่งที่หอพักเสียก่อน

   เห็นไปไหนมาไหนด้วยเป็นเงาตามตัว  รอกินข้าวด้วยตลอด  ไปรับ-ส่งราวกับเป็นผู้ปกครองของเด็กชายติณธร  แต่ความจริงแล้ว สถานะของเรายังคงเป็นเพียง รุ่นพี่-รุ่นน้อง เท่านั้นเอง 

   แม้เขาจะค่อนข้างมั่นใจว่า สถานะทางใจจะขยับขึ้นเป็นมากกว่านั้นแล้วก็เถอะ  แต่ในเมื่อเขาไม่เคยพูด  อีกฝ่ายก็ไม่เคยถาม  ก็เลยยังไม่มีการระบุสถานะที่แน่ชัดอย่างเป็นทางการเสียที  หรือบางทีมันก็อาจจะไม่จำเป็นก็ได้กระมัง  เพราะคำว่า แฟน มันก็เป็นเพียงคำนามที่ใช้เรียกแทนคนรัก ก็เท่านั้น

   ‘เสร็จแล้ว  ไปกันเถอะ..พี่ดิม  กินอะไรดีเย็นนี้’  เด็กหนุ่มเก็บของใส่กระเป๋า   ส่วนเขาแอบก้มดูนาฬิกาอีกแวบหนึ่ง....ป่านนี้อาจารย์คงเริ่มติวไปแล้วล่ะ  ช่างมันเถอะ  เดี๋ยวขอยืมที่วิรัลจดเอาก็ได้ 

   ‘พี่มีเย็นตาโฟอยู่เจ้านึง  ไม่ไกลหรอก  อร่อยมากเลยล่ะ ไป...’

   ‘ดิม  ไม่ไปติวเหรอ’  เสียงเรียกข้างหลัง ทำเอาสะดุ้งหันกลับไปแทบไม่ทัน  เจอเพื่อนรุ่นน้องยืนสะพายกระเป๋า ท่าทางรีบเร่งอยู่พอดี

   ‘อ้อ  รัน  เราไม่ไปอ่ะ  นายไปเถอะ’   เพื่อนร่วมคณะฯเหลือบมองไปทางเตแวบหนึ่งแล้วยิ้มอยู่ในหน้า

   ‘มัวแต่เล่น....อย่าประมาทนะดิม อาจารย์บอกบล็อกนี้จะออกข้อสอบใหม่หมดด้วย....เอาเถอะ  งั้นเราไปก่อนล่ะกัน’  รันยิ้มให้เตนิดหนึ่ง โบกมือให้เพื่อนแล้วก็วิ่งข้ามถนนไปยังตึกคณะฯที่อยู่อีกฟากของมหาวิทยาลัย

   รดิศหันกลับมาส่งยิ้มให้เด็กหัวหยิกข้างตัว  แล้วก็ต้องหุบยิ้ม เพราะสบสายตาเขียวปั้ดของอีกฝ่ายเข้า

   ‘มีติว?  จะสอบแล้ว  แล้วทำไมมายืนอยู่นี่ล่ะ  ไปติวสิ’  เสียงของเตฟังดูเข้มงวดแบบไม่เคยได้ยินมาก่อน  พอๆกับสีหน้าท่าทางที่แทบจะยกมือขึ้นมาเท้าสะเอว

   จู่ๆดิมก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเด็กที่แอบทำผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้  นึกเกรงและเอ็นดูคนตรงหน้าขึ้นมาพร้อมๆกัน

   ‘พี่อ่านจบแล้ว  ไม่ต้องติวหรอกน่า’ เขาโกหก  ความจริงยังอ่านได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

   ‘ได้ยังไง  อุตส่าห์มีติวก็ต้องไปสิ  เพื่อนก็ไปติวกันหมด  ไปเถอะ  เอ้า ยังมายืนมองหน้าอีก’  เด็กอักษรฯพูด  ส่งแฟ้มและกระเป๋าเป้ให้เขา   

   ‘พี่หิวออก  ขอไปกินข้าวก่อนได้ไหม’ 

   ‘ไม่  เตไม่กินแล้ว  พี่หิวพี่ก็กินไปคนเดียวแล้วกัน’   หัวใจของเขากระตุกไปวูบหนึ่ง  เมื่อกี้อีกฝ่ายเรียกตัวเองว่าอะไรนะ...เต...ใช่ไหม?  อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

   ‘ยังไม่ไปอีก  ยิ้มทำไม’

   ‘นายเรียกตัวเองว่าอะไรนะ’

   ‘ผมเหรอ   อะไร..งง’  อีกฝ่ายทำหน้าเหรอหรา   น่าขัน แต่ก็น่าเอ็นดูยิ่งนักในสายตาเขา

   ‘ต่อไปนี้เรียกแทนตัวเองว่า  ..เต ...ได้ไหม’   ใบหน้าเรียวหวานนั้นซับสีเลือดขึ้นฉับพลัน 

   ‘ไม่เรียก  ทำไม ‘ผม’ ต้องเรียกด้วย’ เน้นคำว่า ผม อย่างชัดถ้อยชัดคำ แถมยักคิ้วกวนประสาทให้อีกทีนึง  แหม  มันน่า....นักนะ

   ‘อ้าว  นี่ใจดีให้เรียกด้วยชื่อแล้วนะ  หรือว่าจะเรียก เค้า – ตะเอง อ่ะ ให้เลือก’   

   ‘ไม่เลือกทั้งนั้นแหละ  มัวแต่โอ้เอ้  ไปติวได้แล้ว  ไม่งั้นไม่ต้องมาคุยกันอีกนะ  คนขี้เกียจ เอาแต่เล่น ผมไม่คุยด้วย’

   เจ้าตัวบ่นงึมงำมาอีกชุดใหญ่  ท่าทางไม่ยอมไปกินข้าวด้วยแน่ๆ ทำให้ต้องตัดใจ เดินกลับคณะฯเพื่อไปติวกรอสอย่าง
หงอยเหงา  เห้อ...เขาถึงว่า คนน่ารัก มักใจร้าย แบบนี้นี่เอง  แต่ก่อนจากเขาก็ไม่ลืมบอก

   ‘รอพี่แปบนึงนะ  ไม่เกินชั่วโมง   นายกินเสร็จก็เดินเล่นไปก่อน  ไปนั่งรอที่ห้องสมุดก็ได้  เดี๋ยวพี่ไปส่งที่หอ’ 

   ฝ่ายนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักสองทีเหมือนไม่สนใจนัก แล้วก็ก้มหน้าก้มตาเดินแยกไปอีกทาง 

   และแล้ว  วันที่สำคัญที่สุดในความสัมพันธ์ของเราก็มาถึง...วันที่เราสองคนตกลงเป็นแฟนกัน...เรื่องมันเริ่มต่อจากนั้นนั่นแหละ   หลังจากเขาติวกรอสเสร็จ  ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านด้วยสมองที่หนักอึ้ง

   เวลาล่วงเลยมาเกือบสามชั่วโมงแล้วนับจากตอนที่แยกกับเต  เขาเดินลงมาจากตึกคณะฯอย่างเหนื่อยอ่อน  เป็นการติวที่หนักหน่วงเหลือเกิน    เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าตอนนั้นมืดสนิท  ฟ้าร้องครืนๆอยู่ไกลๆบอกว่าฝนคงกำลังตกหนักอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ และอีกไม่นานก็คงจะลามมาตกแถวนี้

   มองไปรอบด้านไม่เห็นใคร   เตคงจะกลับหอไปแล้วล่ะ   มันก็เลยเวลามาขนาดนี้แล้ว  อยากโทรหาอีกรอบทว่าแบตโทรศัพท์ของเขาก็หมดพอดี... เขาคิดอย่างนั้น จึงโหนรถเมล์กลับบ้าน  แต่ก็ขอแวะหอของเตที่อยู่ไม่ไกลนักเสียหน่อย...อย่างน้อยจะได้มั่นใจว่า น้องกลับถึงหอแล้วเรียบร้อย  ไม่ไปแวะเที่ยวที่ไหนให้เป็นห่วง

   พอถึงหอของเตเท่านั้นแหละ  เขาก็รู้สึกเหมือนตกอยู่กลางไฟ เพราะรูมเมทรุ่นน้องของเต ที่ชื่อโชน บอกว่า พี่เตยังไม่กลับมาเลย 

   งานเข้าแล้วไง  นี่เกือบสามทุ่มแล้ว   เตไปไหน?

   เขาเดินออกมาจากหอของน้อง  แล้วไปตามหาตามร้านละแวกนั้น...แต่ไม่พบ   ป้าขายข้าวแกงร้านประจำใต้หอก็บอกว่า วันนี้ยังไม่เห็นเด็กหนุ่มหัวหยิกผ่านมาเลย

   แรงสังหรณ์บางอย่างทำให้เขาตัดสินใจโหนรถเมล์กลับไปยังมหาวิทยาลัยอีกครั้ง   เดินแกมวิ่งเข้าไปภายใน ตึกคณะฯเรียงรายเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆอยู่   เสาไฟตั้งเรียงกันห่างๆ สาดแสงพอเห็นทาง 

   ต้นไม้ใหญ่โบกไปมาตามแรงลม  น่ากลัวจนขนเริ่มลุก....ปกติเขาไม่ค่อยกลัวผีหรอกนะ  แต่วันนี้บรรยากาศมันพาไปจริงๆ  อูย..

   ‘เต   เตอยู่แถวนี้หรือเปล่า?’  ขาวิ่งย้อนกลับมายังใต้อาคารที่ติวกรอส  กลิ่นฟอร์มาลีนลอยลงมาจากชั้นบนยิ่งทำให้ขาชักจะแข็ง ก้าวต่อไม่ออก  แต่ทำใจสู้ เดินอ้อมอาคารสี่เหลี่ยมจนครบรอบ ก็ไม่เห็นใครอยู่ละแวกนั้น

   รอบด้านสงบเงียบ  ได้ยินเสียงสายลมกับใบไม้ที่พัดเสียดสีกัน  หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะโลดออกมานอกอก
   หมับ!

   เขาสะดุ้งสุดตัว  เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่ไหล่ หันขวับกลับมา ยกมือขึ้นหลับหูหลับตาฟาดลงไปเต็มเหนี่ยวด้วยความตกใจพร้อมกับแหกปากตะโกนออกมาสุดเสียง

   ‘ช่วยด้วยคร้าบ..’

   ‘โอ๊ย  คุณ..อย่าๆ อย่าฟาดลงมาครับ’  มือของเขาถูกฝ่ายนั้นยึดเอาไว้แน่น  ดิมแอบหรี่ตาขึ้นมองก็เห็นรปภ.ยืนอยู่ตรงหน้า  หายใจหอบน้อยๆเพราะออกแรงสู้กับเขา

   ‘อ้าว  ลุงยาม  ผมขอโทษครับ  มาข้างหลังเงียบๆผมก็ตกใจหมด  นึกว่า...’

   ‘นึกว่าอะไรครับ  ผีเหรอ’  สำเนียงเหน่อๆของลุงยาม ทำให้เขาหัวเราะออกมาได้  ยกมือขึ้นไหวขอโทษแกอีกหลายครั้ง

   ‘แล้วนี่คุณกลับมาทำไมล่ะครับ  ลืมของเหรอ ให้ผมช่วยไหม’

   ‘อ๋อ  ผมมาตามหาคนครับ  ลุงเห็นบ้างไหม  เด็กปีหนึ่งผู้ชาย ตัวประมาณนี้  ผมหยิกๆอ่ะครับ’  เขาทำมือกะขนาดตัวของเตให้อีกฝ่ายดู

   ‘ชื่อตินๆ ตินอะไรสักอย่างใช่ไหม  ลุงเพิ่งไล่กลับบ้านไปสักชั่วโมงก่อนเห็นจะได้มั้ง   มานั่งอยู่แถวนี้คนเดียว  ไม่กลับบ้านกลับช่อง’

   ‘อ้าว  ผมไปที่หอของเขามา ไม่เห็นเจอเลย’

   ‘ถ้างั้นผมก็ไม่รู้แล้วครับ  อาจจะสวนกันระหว่างทางไปกลับหรือเปล่า’

   ‘ถ้างั้นผมขอยืมโทรศัพท์ที่ป้อมยามหน่อยได้ไหมครับ’

   เขาเห็นด้วยกับความเห็นของลุง  จึงเข้าไปขอใช้โทรศัพท์ต่อกลับไปที่หอของเด็กหนุ่ม  รอสายโอเปอร์เรเตอร์ต่อไปที่ห้องของอีกฝ่ายอยู่ครู่ใหญ่ ก็มีคนรับสาย

‘สวัสดีครับ’

‘โชน  พี่เตกลับหรือยัง’  เขาถามสวนทันทีอย่างใจร้อน

‘พี่ดิมเหรอ  พี่เตยังไม่กลับเลยพี่  พี่เจอยัง  ไม่รู้ไปไหน  นี่ฝนตกแล้วด้วย’ เด็กหนุ่มตอบกลับมา น้ำเสียงกังวลไม่แพ้กัน

‘โอเค  ไม่ต้องห่วงนะโชน เดี๋ยวพี่พาพี่เตกลับไปส่งเอง’ ปลอบใจรูมเมทของน้องเสร็จแล้ว ตัวเองก็วิ่งกลับออกมาจากป้อมยาม    ใจเสียยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า  เป็นห่วงอีกคนไปสารพัด 

ตั้งชั่วโมงนึงแล้ว..หายไปไหนของเค้านะ  หลงทาง  แวะเที่ยว  อุบัติเหตุ  โดนฉุด วิ่งราวชิงทรัพย์  ดักตีหัว จี้ปล้น  จับตัวไปเรียกค่าไถ่  หรือว่าอุบัติเหตุอะไร

ภาพเด็กหนุ่มประสบภัยพิบัติต่างๆนานาประดังประเดเข้ามาในหัวแบบไม่ยั้งจนชักจะหน้ามืด   นึกกลัวว่าจะไปเจออีกฝ่ายนอนจมกองเลือดอยู่ที่ไหนสักแห่ง ระหว่างทางข้างหน้านั่น 

เขาตัดสินใจไม่ขึ้นรถเมล์  แต่ใช้เดินแกมวิ่งเอาแทน  กวาดสายตามองสองฟากถนนไปตลอดทาง  หยุดเดินทุกครั้งที่เห็นใครที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเด็กคนนั้น

ฝนตกลงมาจนได้  แถมตกแรงเสียจนเขาเปียกโชกไปทั้งตัวในพริบตา  เรียกว่าไม่ทันหาที่หลบฝนก็เปียกเสียแล้ว  แต่รดิศเสียอย่าง  ไม่หวั่นแม้วันฝนตกหนักมากอยู่แล้ว   

รถติดแหงกทันทีที่ฝนตก  เขาเดินลัดเลาะเข้าไปในซอยหอพักของติณธร   เริ่มหนาวจนฟันกระทบกัน  ขาก็ปวดเพราะออกแรงเดินไกลหลายกิโล   แต่ก็กัดฟันเดินต่ออีกหน่อยจนเห็นไฟที่หน้าหอพักของรุ่นน้องอยู่ไม่ไกล

   ร่างของใครบางคน เดินออกมาจากใต้อาคารหอพักข้างหน้า  ในมือถือร่มเอาไว้  คนๆนั้นหันซ้ายขวา แล้วก็เดินจ้ำตรงเข้ามาหาเขาราวกับกระทิงวิ่งเข้าใส่ผ้าแดง  แต่คงจะเป็นกระทิงที่ตัวเล็กกว่าปกติสักหน่อย   น้ำที่นองอยู่ที่พื้นถนนแตกกระจายตามจังหวะก้าวเท้าของเขา

   เข้ามาใกล้ จนเห็นใบหน้าเรียวใต้ร่มคันนั้นได้ถนัด  เขาร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงดัง  ทั้งโล่งอกและดีใจ....เจอเสียที   

   ‘เต!  ไปไหนมา  พี่ตามหาตั้งนาน’ เขาพูดเต็มเสียง  ยกมือขึ้นจับไหล่บาง แต่ฝ่ายนั้นเบี่ยงหลบ เลยทำให้เขาชะงักไปนิด   สบสายตาคู่นั้น เอาเรื่องทีเดียว  น่ากลัวไม่ใช่เล่น

   ‘ผมนั่งรอพี่อยู่สามชั่วโมงจนยามมาไล่ถึงได้กลับ’ เตพูดเสียงเรียบสนิท สายฝนยังคงเทกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา  เตยืนถือร่มอยู่ห่างจากเขาประมาณสองก้าว  ใบหน้านั้นเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์  ตรงข้ามกับแววตาที่บอกว่ากำลังคุกรุ่นเต็มที่

   ‘พี่ขอโทษ  พี่นึกว่านายกลับไปแล้ว  จะโทรหาแบตก็หมด  พี่ก็เลยมาที่หอของนาย  ปรากฏโชนบอกว่านายยังไม่กลับ  พี่เลยไปที่มหาลัยอีกรอบ  เจอลุงยามบอกว่านายกลับแล้ว  พี่ก็เลยกลับมาที่หออีกเนี่ยล่ะ’  เขาพูดเร็วปรื๋อ

   เด็กหนุ่มนิ่งไปอีก แล้วก็ถามกลับมา

   ‘ทำไมถึงคิดว่าผมกลับมาแล้วล่ะ’

   ‘ก็....พี่ไม่คิดว่า...นายจะรอพี่น่ะ’  ตัดสินใจตอบตรงกับใจ   ก็ตอนนั้น  เตไม่ได้รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะอะไร  แค่พยักหน้ารับส่งๆ  อีกอย่างนึงเขาก็ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะอดทนรอขนาดนั้น....พอคิดมาถึงตรงนี้ กระแสอบอุ่นอย่างประหลาดก็แผ่ซ่านออกมาจากหัวใจ ขับไล่ความหนาวจากละอองฝนไปได้เกือบหมด

   ‘พี่บอกให้รอ...ผมก็ต้องรอสิ  หรือว่าพี่แค่พูดไปอย่างนั้นเอง  ไม่ได้มีความหมายอะไร’  หางเสียงสั่นไปนิดหนึ่ง  เขาขมวดคิ้ว  ก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอีกก้าวหนึ่ง

   ‘โกรธพี่หรอ  เต  พี่ขอโทษนะ  คราวหน้าพี่จะไม่ปล่อยให้นายรอแบบนี้อีกแล้ว  ยกโทษให้พี่ดิมนะ...นะครับนะ  คนดี’  เขารวบมือของอีกฝ่ายขึ้นมากุมเอาไว้  มือของเตอบอุ่นตัดกับความเย็นชื้นที่ฝ่ามือของเขา

   ‘เตมีความหมายที่สุดสำหรับพี่นะ   รู้ตัวหรือเปล่า   เมื่อกี้พอรู้ว่าเตยังไม่ถึงบ้าน พี่เป็นห่วงแทบตาย  นี่พี่วิ่งตามหานายตั้งแต่หน้ามอจนถึงที่นี่เลยนะ  รู้มั้ย   หายไปไหนมา’ สภาพเปียกปอนของเขาเป็นพยานยืนยันได้อย่างดี

   ‘ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย  ลืมว่าทิ้งผมเอาไว้ที่นู่นก็ยอมรับมาเหอะ  ทำเป็นพูดดี’ เสียงอ่อนลงมานิดหนึ่ง เป็นสัญญาณที่ดีว่าอีกฝ่ายกำลังจะหายโกรธ  แถมยังเขยิบร่มเข้ามาบังฝนให้เขาด้วยอีกตะหาก

   ‘มันจะไม่มีคราวหน้าอีก  สัญญา พี่จะไม่ทิ้งเตให้รอแบบนั้นอีกแล้วนะ’

   ‘หึ  ต่อไปนี้ผมก็จะไม่รอพี่แล้วด้วย  ไหนบอกชั่วโมงเดียว  หายไปสองสามชั่วโมง เงียบกริบแถมไม่ส่งข่าวอีก  ถึงเวลาก็กลับไปซะงั้น  ทิ้งผมนั่งรอเงกเลย….’   คนข้างๆบ่นต่อพึมพำ  รดิศดึงร่มจากมืออีกฝ่ายมาถือเอาไว้เสียเอง   ส่วนอีกมือก็เนียนจับมือเล็กเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย

   ‘ขอโทษนะครับ  ให้ทำยังไงถึงจะหายโกรธ?’  แกล้งเอาไหล่กระแทกร่างนั้นเล่นๆ  เตเซไปนิด หันกลับมาทำตาเขียว

   ‘เล่นอะไรริมถนนเนี่ย  เดี๋ยวผมโดนรถชนทำไง’

   ‘พี่ก็หาแฟนใหม่’  นักศึกษาแพทย์หนุ่มพูดหน้าตาเฉย   อีกฝ่ายถลึงตาแล้วก็ชะงัก จ้องหน้าเขา

   ‘พูดว่าอะไรนะ’

   ‘ว้า  หัดแคะขี้หูบ้างนะ  พี่บอกว่า  ถ้านายโดนรถชนซี้ม่องเท่ง  พี่ก็หาแฟนใหม่ไง  เป็นอะไร  ทำหน้าสงสัย  มีปัญหาอะไรครับคุณตั้งเต?’ ส่งยิ้มกวนประสาท พร้อมกับยักคิ้วให้ทีนึง

   ใบหน้าเรียวหวานใต้กรอบผมหยิกหยักศกนั้นแดงก่ำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด   มือที่เขากุมอยู่ก็ร้อนจัดเหมือนอีกฝ่ายเกิดจับไข้ขึ้นมากะทันหัน

   ‘เป็นอะไรไป  หยุดเดินทำไมหืม?’

   ‘คนบ้า  อย่ามาเนียนนะ  ใครเป็นแฟนพี่ไม่ทราบ’  คำพูดงึมงำอยู่ในลำคอ เบาจนเขาต้องเอียงหน้าเข้าไปขอฟังใกล้ๆ

   ‘อ้าว  คุณไม่รู้จักแฟนผมเหรอ  ตัวเล็กหัวหยิกๆยิ้มหวานน่ะ  เฟรชชี่อักษรฯ เป็นเดือนคณะด้วย  ชื่อตั้งเต รู้จักไหมครับ’ 

   ‘ผิดคนแล้วมั้ง  คนนั้นรู้สึกว่าเขาจะยังโสดนะ  ไม่ได้มีแฟนไม่ได้เรื่อง บอกจะไปส่งแต่ปล่อยให้รอตั้งหลายชั่วโมงหรอก’  เตพูดจบก็เมินมองไปทางอื่น ไม่ยอมสบตาเขา 

   ‘ฮ่าๆ’  คนถูกค่อนหัวเราะออกมาเต็มเสียง แล้วก็หยุดเดิน  รั้งมืออีกฝ่ายให้หยุดยืนอยู่กับที่ด้วย

   เวลาเหมือนจะหยุดไปชั่วครู่  ขณะที่เราสองคนยืนจ้องหน้ากันอยู่ริมถนน ท่ามกลางฝนที่ตกหนัก 

   ‘พี่สัญญาว่าจะเป็นแฟนที่ ‘ได้เรื่อง’  ของเตนะครับ’

   ‘................’ 

   ไม่มีคำตอบจากปากของอีกคน   เรายืนมองหน้ากันนิ่งๆอีกครู่ใหญ่  ในที่สุดเตก็พยักหน้านิดหนึ่ง  นิดเดียวเท่านั้น แทบมองไม่เห็น  แต่รอยยิ้มอายๆที่ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากและแววตาที่เมินหลบคู่นั้นก็ทำให้ใจเขาพองโต  ราวกับมีผีเสื้อเป็นร้อยๆกระพือปีกพร้อมกันในอก

   ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนท้องฟ้าที่มีเมฆครึ้ม ถูกสายลมเย็นฉ่ำพัดเอาก้อนเมฆปลิวกระจายหายไปหมด จนแสงอาทิตย์สอดส่องมายังพื้นดินเบื้องล่าง... อบอุ่นไปถึงกลางใจ

   ดิมกระชับมือที่กุมอยู่แนบแน่น  หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ  รู้สึกเหมือนเด็กหนุ่มที่เพิ่งริหัดมีรักครั้งแรก  ทั้งที่เขาก็เคยมีแฟนมาแล้ว 2 คนสมัยมัธยม  แต่ความรู้สึกมันช่างแตกต่างกับตอนนี้เหลือเกิน

   น้ำที่นองอยู่เฉอะแฉะบนพื้นถนนไม่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเหมือนทุกครั้ง  สายฝนที่เทลงมาก็เย็นชื่นใจ  ควันท่อไอเสียรถยนต์ไม่ทำให้เขาอึดอัดหายใจไม่ออก    แค่มีคนข้างๆเดินกุมมือมาด้วย  มันทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียวเหรอ

   กลับถึงหอพัก  ‘แฟน’ ของเขาหายกลับเข้าไปในห้องครู่หนึ่ง แล้วก็กลับมาพร้อมกับเย็นตาโฟแห้งใส่กล่องมีฝาปิดมิดชิดส่งให้เขา

   ‘ยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่มั้ย   เตซื้อเย็นตาโฟร้านนั้นมาฝาก’

   ‘หืม  ว่าไงนะ’

   ‘ก็เย็นตาโฟแห้งที่พี่อยากกินไง  หรือไม่กิน?’

   ‘ไม่ใช่  ประโยคหลังจากนั้นน่ะ’  คนฟังหยุดคิด แล้วก็หัวเราะ  รู้ว่าเขาหมายถึง สรรพนามที่เปลี่ยนไปเป็นชื่อเล่นแทน 
 
   ‘อ๋อ  เตซื้อมาฝาก   โธ่..นึกว่าอะไร  เอ้าแล้วนี่เสื้อกางเกง เอาไปเปลี่ยนก่อนกลับบ้าน  ขืนกลับแบบนี้ ปอดบวมตายเลย  ใช่ป่ะคุณหมอ’

   ….แน่ะ  ยังมาทำเป็นเอียงคอถาม   ประเดี๋ยวก็ล๊อคคอลากเข้าห้องเสียเลยหนิ....ดิมคิดในใจอย่างหมั่นเขี้ยว  ยื่นมือไปรับถุงเสื้อผ้า กับกล่องอาหารเย็นมาถือเอาไว้

   ‘ขอรับ...เก่งสมเป็นแฟนหมอจริงๆเลยนะเนี่ย’  แกล้งเย้าเล่น  ยกมือขึ้นยีหัวที่ปกคลุมด้วยเส้นผมหยิกๆนุ่มๆนั่นแรงๆ  เตโยกหัวหลบ  หน้าแดง ทำท่าจะปิดประตูใส่   เขาเลยรีบยกแขนขึ้นดันประตูเอาไว้ 

   ยื่นหน้าเข้าไป พูดเสียงจริงจัง

   ‘เขยิบมานี่หน่อยแน่ะ  มีความลับจะบอก’  อีกฝ่ายทำหน้าเหรอหรา  แต่ก็ยอมเอียงหน้ามาใกล้โดยดี

   เขายิ้มมุมปาก  ขยับเข้าไปจนเกือบชิดใบหูเล็กๆนั้น  อาศัยทีเผลอ แตะปลายจมูกและปากลงบนแก้มของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว  สูดหายใจเข้าจนชุ่มปอด  แล้วก็รีบผละออก ทันเวลาที่อีกฝ่ายเหวี่ยงบานประตูปิดพอดี

   ปึง!

   เขาหัวเราะเสียงดัง   เคาะที่ประตูเบาๆ

‘พี่ยังไม่ได้บอกเลยครับเต  รีบไปไหน ฮ่าๆ  พรุ่งนี้เช้าเจอกันหน้าหอนะครับ  พี่จะมารับ’

‘ไม่  ผมไปเองได้’  เสียงเบาๆ ตอบผ่านบานประตูมา  เขานึกภาพอีกคนยืนหน้าแดงพิงประตูอีกฝั่งได้อย่างชัดเจน  บางทีอาจจะกำลังยกมือขึ้นถูที่ซีกแก้มข้างนั้นอยู่ก็เป็นได้

‘แต่พี่ไปเองไม่ได้  พี่หลงทาง  หึๆ  ตามนั้นนะครับ’

เขาพูดแกมหัวเราะ   เดินหิ้วถุงผ้าและกล่องบรรจุอาหารลงมาจากหอพักอย่างสบายใจ  เสื้อผ้าเริ่มหมาดจนเขาตัดสินใจไม่แวะเปลี่ยนชุด แต่ตรงกลับหอพักของเขาเลย

กลิ่นหอมอ่อนๆของอีกฝ่ายยังติดจมูก  ชื่นใจจนอยากจะร้องเพลงออกมาดังๆ   หัวใจของเขาตอนนั้น ชุ่มฉ่ำเหมือนผิวดินที่เพิ่งได้รับน้ำฝน  รู้สึกได้ถึงรากของต้นไม้ที่ค่อยๆหยั่งลึกลงไปในผืนดินอ่อนนุ่ม  ฝังรากลงทีละนิด และเขาทั้งคู่จะช่วยกันรดน้ำพรวนดินเพื่อให้มันเจริญงอกงามที่สุดเท่าที่จะทำได้

เขาสัญญากับตัวเองเอาไว้อย่างนั้น


*************


มาอัพต่อนะคะ   ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์มากๆค่า  :hao7:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2017 17:05:24 โดย ็Hollyk »

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
เตยังคงรักคงรักคุณหมออยู่ แต่เพราะอะไรนั้น ...

รออ่านต่อไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...รู้สึก








นักเขียนหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากแป้นพิมพ์  ชะงักนิดหน่อยเมื่อสบเข้ากับสายตาคมเข้มที่จ้องมาที่เขานิ่ง  เหลือบดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าล่วงมาเกือบ 2 ชั่วโมงแล้ว  ที่พวกเขาทั้งคู่นั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะหินอ่อนแห่งความหลังตัวนี้   ที่มีเพียงเขาคนเดียวที่จำได้เท่านั้น....

“เรียบร้อยแล้วครับคุณหมอรดิศ  กลับได้เลยครับ  เดี๋ยวผมจะพิมพ์ย่อหน้าที่แก้ แล้วส่งไปให้คุณหมออ่านอีกทีนะครับ” 

    ...อยากจะรั้งให้อีกฝ่ายนั่งอยู่ตรงนี้  ให้นานกว่านี้สักนิด  แต่มโนธรรมภายในใจบอกเขาว่า  มันไม่สมควร  ไม่ถูกต้อง   อีกฝ่ายมีแฟนแล้ว และเขาก็มีลูกภรรยาแล้ว  ถึงจะแค่ในนาม  มันก็เป็นห่วงโซ่ที่ผูกตรึงเขาเอาไว้อยู่ดี

   และที่สำคัญที่สุดก็คือ   จะรั้งเอาไว้ทำไมล่ะ  ใช่ว่าจะสามารถหมุนย้อนเวลาให้กลับมาได้   ความจริงที่ต้องยอมรับก็คือ  ความรักของเรากลายเป็นอดีตที่มีเขาจำได้ฝ่ายเดียว..

   “เย็นแล้ว  ให้ผมเลี้ยงข้าวเย็นคุณสักมื้อได้ไหมครับ”   คนฟังตอบปฏิเสธทันทีแบบไม่ต้องคิดซ้ำ

   “ไม่เป็นไรครับ  ขอบคุณมาก  เชิญคุณหมอเถอะครับ”

   คุณหมอหนุ่มเม้มปาก  แล้วก็เอื้อมมือไปพับโน๊ตบุ๊คของอีกฝ่ายลงดื้อๆ  พร้อมกับคว้าเอกสารของเขามาถือเอาไว้  เตตกใจ 

   “เห้ย  คุณทำอะไรน่ะ”

   “เอาไว้เป็นตัวประกัน  ถ้าคุณอยากได้คืนก็ตามผมมาแล้วกัน” 

   ติณธรอ้าปากค้าง    ศัลยแพทย์หนุ่มที่จู่ๆก็ลุกขึ้นมาทำตัวเหมือนเด็ก  รวบข้าวของของเขาแล้วหันหลังเดินหนีซะงั้น   พอหายอึ้งเขาก็รีบคว้ากระเป๋าเอกสารและออกวิ่งตามหลังอีกฝ่ายไป

   มาตามทันกันอีกฟากของถนน    รดิศก้าวยาวๆ หันไปมองคนข้างหลังที่วิ่งกระหืดกระหอบตามมาติดๆก็อมยิ้มอยู่ในใจ   สอดส่ายสายตามองหาร้านเป้าหมาย....ผ่านมาหลายปี ไม่รู้จะยังขายอยู่มั้ย

   นั่นไงล่ะ...เขามาหยุดยืนอยู่หน้าร้านเย็นตาโฟเจ้าประจำ  หยุดรออีกคนให้เดินมาทัน ก็เดินนำเข้าไปในร้านบรรยากาศข้างในเปลี่ยนไปมากทีเดียว  แต่ก่อนไม่มีแอร์  ไม่ได้ตกแต่งสวยงามแบบนี้  เป็นแค่ร้านเล็กๆใกล้มหาวิทยาลัยที่เขาทั้งคู่ถูกใจรสชาติจนต้องแวะเวียนกลับมากินซ้ำหลังเลิกเรียนอยู่เสมอ

   คนขายไม่ใช่ป้าแก่ๆใจดีชอบแถมลูกชิ้นกับแมงกระพรุนให้พวกเขาอีกแล้ว  แต่เป็นหญิงสาวหน้าหมวย คงจะเป็นลูกสาวของแกกระมัง 

   ลอบมองอีกฝ่ายนิดหนึ่งก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไรจากตั้งเต    ใบหน้าเรียวหวานที่เริ่มมีริ้วรอยเพิ่มขึ้นตามวัยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ  เพียงแต่กวาดตามองไปรอบๆด้วยแววตาสนอกสนใจเท่านั้น

   เด็กมารับออร์เดอร์  เขาสั่งเย็นตาโฟเส้นใหญ่แห้งของโปรด  หันไปถามอีกคน  คนตรงข้ามนิ่งไปชั่วครู่ก็สั่งเสียงเบาด้วยเมนูเดียวกัน 

   รดิศอมยิ้มนิดๆ ...เมนูนี้เป็นเมนูโปรดของเราทั้งคู่   จะเรียกว่าเป็นเมนูแห่งความหลังก็คงจะได้   ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกแบบเขาบ้างไหม

   คงจะไม่ ...ขนาดพากลับไปนั่งที่โต๊ะหินตัวเดิม   ติณธรยังไม่แสดงอาการว่า ‘รำลึก’ ได้เลยสักนิด  เหอะ...คงจะทำฟอร์มไปอย่างนั้นเอง   เขาไม่เชื่อหรอกว่าอีกฝ่ายจะลืม

   “เคยกินร้านนี้มาก่อนไหม”  เขาแกล้งถาม  คืนข้าวของให้อีกฝ่ายรับไปใส่กระเป๋าเอกสารเอาไว้ตามเดิม 

   “อาจจะเคย  เมื่อนานมาแล้ว”  อีกฝ่ายตอบเรียบๆ

   “ผมชอบกินเย็นตาโฟมาก   จำได้ลางๆว่ามีร้านอยู่แถวนี้ เลยเสี่ยงลองเดินมาดู  มีจริงๆด้วยแฮะ  คุณติณธร..ผมขอเรียกชื่อเล่นคุณแล้วกันนะ..คุณเต  คุณชอบกินเย็นตาโฟไหมครับ”  ถามหน้าตาเฉย เหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวมาก่อน 

   “ครับ  เคยชอบ”  ตอบสั้นๆเหมือนไม่เต็มใจตอบ  แล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

   “เคยชอบ…  แปลว่าตอนนี้ไม่ชอบแล้ว?  ทำไมล่ะครับ”  รดิศยิ้มมุมปาก  ยิ่งเห็นอีกฝ่ายไม่อยากคุยเรื่องนี้เท่าไหร่  เขาก็ยิ่งอยากขุดคุ้ยลงไปอีก

   “ความชอบของคนเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ  ไม่ใช่เหรอครับ  ไม่เห็นแปลกอะไร” 

   “แปลว่าคุณคงเป็นคนชอบเปลี่ยนใจบ่อยๆสินะ  ไม่เหมือนผม  ถ้าลงว่าชอบแล้วล่ะก็  ไม่เคยเปลี่ยนใจเลยสักครั้ง....”  ทอดเสียงอ่อนนุ่ม   เตสบตาเขาแวบหนึ่ง แล้วก็เมินหลบ

   “อย่างหมอรัน  ผมก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนใจจากเขาเลย  ตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจขอเขาเป็นแฟน จนมาถึงวันนี้”

   “น่าดีใจแทนหมอรันนะครับ  มีแฟนน่ารักแบบนี้”  หางเสียงสะบัดเต็มเหนี่ยว  แล้วคนพูดก็หยุด  เงียบไปเสียเฉยๆ

   คนฟังยิ้มอีกครั้ง

   “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ  แล้วคุณเตล่ะครับ”

   “ครับ?” เสี้ยวหน้าด้านข้าง   คิ้วเรียวยาวเลิกขึ้นน้อยๆเป็นเชิงถาม ทำให้หัวใจของรดิศกระตุกไปวูบ  เหมือนเห็นเด็กหนุ่มเมื่อหลายปีก่อนกำลังนั่งอยู่ตรงหน้า  เอียงคอถาม ‘พี่ดิม’ ด้วยแววตาสงสัย น่าเอ็นดู

   เขาเสยกแก้วน้ำขึ้นจิบ

   “คุณเคยคิดเปลี่ยนใจจาก...ภรรยา...ของตัวเองหรือเปล่า”    วูบหนึ่งที่ดิมอยากเปลี่ยนคำว่า ‘ภรรยา’ เป็น ตัวเขาเอง  แต่มันก็เป็นเพียง ความคิดชั่ววูบที่น่าขัน ....จะทำอย่างนั้นไปทำไมล่ะ

   “ผมไม่เคยคิด...”  เตตอบ

   อีกฝ่ายเลิกคิ้วราวกับไม่เชื่อ   แต่ก็พยักหน้าเนิบๆ

   “ผมนี่แย่จัง  ถามอะไรคุณเตก็ไม่รู้   ขอโทษด้วยนะครับ   คือผมกำลังจะแต่งงาน  ก็เลยอยากถามผู้มีประสบการณ์เอาไว้น่ะ”

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ”   ดิมเม้มปาก  หงุดหงิดที่อีกฝ่ายพูดน้อยราวกับกลัวดอกพิกุลจะร่วง   แถมเอาแต่ก้มหน้าก้มตากิน  ไม่ยอมสบตาเขา

   โทรศัพท์ของฝ่ายนั้นดังขึ้น  เตก้มลงกดรับ  พูดเสียงเบา แต่เขาก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน

   “ครับ....คุณภาคย์....ผมทานแล้วครับ”  นักเขียนหนุ่มแอบมองอีกฝ่ายนิดหนึ่ง เห็นกำลังคีบลูกชิ้นในชามอยู่อย่างขะมักเขม้นก็กรอกเสียงลงไป

   “สองทุ่มเหรอครับ  ได้ครับ ...ไม่ต้องมารับหรอก  ผมไปเองได้ครับ” 

   รดิศรีบเก็บเอาไว้ในสมอง  ตั้งคำถามอยู่ในใจ...คุณภาคย์?  สองทุ่ม?  หรือว่าจะเป็นไอ้โย่งนั่น

   “ครับ  สวัสดีครับ”  เตรีบวางสาย   คนตรงข้ามวางตะเกียบ

   “เดี๋ยวผมไปส่งคุณที่บ้าน  ไม่ต้องห่วงนะครับ. สงสัยคุณแม่น้องเต้คงเป็นห่วงแล้ว  เอ้อ...หรือว่ารอกินข้าวเย็นอยู่  ตายล่ะผมนี่แย่จริงๆ  ไม่ได้ถามคุณก่อน  แฟนคุณว่าอย่างไรบ้าง” 

   “ไม่ต้องเป็นห่วงครับ   แล้วก็ไม่ต้องรบกวนคุณหมอไปส่งผมด้วย  พอดีผมมีธุระต่อแถวนี้”  ติณธรตอบเสียงเรียบ  พยายามไม่สบตาอีกฝ่ายมากนัก

   คุณหมอหนุ่มพยักหน้ารับ   เรียกเก็บเงิน  สักพักก็ออกมายืนอยู่ข้างหน้าร้าน  ท้องฟ้ามืดสนิทแล้วแต่ย่านนี้ยังคงคึกคัก  วัยรุ่นและวัยทำงานมากมายเดินสวนกันไปมา 

   “ถ้าอย่างนั้นเราแยกกันตรงนี้นะครับ ขอบคุณมากที่ทานข้าวเป็นเพื่อนผม” คุณหมอหัวใจพูดยิ้มๆ

   “ครับ....เรื่องต้นฉบับผมจะส่งไปให้นะครับ ขอบคุณคุณหมอมากที่เลี้ยงก๋วยเตี๋ยว   ลาก่อนครับ”  เตก้มหัวให้  หมายความตามที่พูดจริงๆ  หลังจากวันนี้หนทางของเราก็คงจะไม่มีทางวกกลับมาพบเจอกันอีกแล้ว

   คุณหมอหนุ่มยิ้มกว้าง  โบกมือให้เขาแล้วเดินจากไป  ไม่นานก็กลืนหายไปในกระแสคนที่คลาคล่ำ
   
   เตมองตามจนภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่ามัว  ขาสั่นจนต้องถอยไปหากำแพงเพื่อพิงตัว  หอบหายใจเหนื่อยอ่อน  หมดแรงราวกับถูกสูบเอาพลังงานออกไปจนหมดสิ้น

   แค่การที่ได้พบกัน  กลับไปยังสถานที่ที่เคยมีความหลังด้วยกันแค่มีกี่ชั่วโมง  ทำไมมันถึงดูดแรงกายแรงใจของเขาออกไปได้มากขนาดนี้   หรือจะเป็นเพราะการที่ต้องฝืนทำเป็นไม่รู้สึกอะไร  ทั้งที่ในใจแทบจะระเบิดออกมาด้วยความกดดัน   ทั้งความรักความหลัง ณ สถานที่แห่งนั้น   มันทำให้เขาแทบบ้า

   เหตุการณ์ระหว่างสองเรา  วกกลับมาตลอดเวลาที่ทำเป็นนั่งแก้งานอยู่ตรงข้ามกับผู้ชายคนนั้น   นึกถึงงานที่เซ็ฟเอาไว้ในโน๊ตบุ๊คแล้วก็ถอนหายใจยาว.....คงจะต้องลบ เขียนใหม่หมด  เพราะตอนนั้นเขาเขียนอะไรลงไปก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน

   หลายปีที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยเยียวยาหัวใจบ้างเลยหรือ   

   ไม่อยากยอมรับกับตัวเอง  ว่านับตั้งแต่วันที่บอกเลิกจนมาถึงวันนี้   ก็ยังคิดถึงเค้าอยู่..

   ...............................


   “เป็นอะไรหรือเปล่า  คุณเต  วันนี้ดูเหนื่อยๆชอบกล  กลับบ้านก่อนก็ได้นะครับ”

   ภาคย์ก้มลงถามคนข้างๆอย่างเป็นห่วง   ท่าทางของติณธรดูหมดเรี่ยวหมดแรงแม้ว่าจะพยายามฝืนเอาไว้แค่ไหนก็ตาม  แต่แววล้าโรยในดวงตาคู่นั้นก็ปิดไม่มิด

   นักเขียนหนุ่มหันมายิ้มให้

   “ถ้าผมกลับแล้วใครจะเป็นล่ามให้คุณล่ะครับ  ผมไม่เป็นอะไรหรอก  สงสัยคนเยอะเลยปวดหัวนิดหน่อย” 

   เจ้านายหนุ่มกวาดตามองไปรอบลอบบี้โรงแรมห้าดาวแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วยกับลูกน้อง    วันนี้คนเยอะจริงๆ แล้วนี่ก็เลยเวลานัดมาเกือบสิบนาทีแล้วด้วย  ทำไมลูกค้ายังไม่มาอีก

   อุตส่าห์หาอุบายพาคนข้างๆมาด้วยได้แล้วเชียว....โชคดีที่อีกฝ่ายไม่เคยรู้ว่าเขาก็พูดเยอรมันได้   ไม่อย่างนั้นเจ้าตัวคงจะไม่ยอมมาช่วยเป็นล่ามให้แบบนี้หรอก  แอบมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาข้างตัวแล้วลอบยิ้ม

   “เดี๋ยวผมโทรหาเค้าอีกทีดีกว่า  นี่มันเลทมากแล้ว”  ภาคย์กดโทรหาลูกค้ารายใหม่ ชาวเยอรมันอีกครั้ง  รอสายครู่หนึ่งฝ่ายนั้นก็รับ  พูดขอโทษขอโพยมาตามสาย  ภาคย์หยุดฟังนิดหนึ่งก็ส่งโทรศัพท์ให้คนข้างๆ  เตรับมาแนบหูนิ่งฟัง แล้วก็ตอบกลับไปฉะฉาน

   โต้ตอบกันอยู่ครู่  เขาก็หันมาถามเจ้านาย

   “คุณมึนสเก้บอกว่า  ขอเลื่อนนัดกะทันหันครับ   ขอโทษด้วยจริงๆ  คุณภาคย์จะสะดวกนัดอีกทีวันไหนดีครับ” 

   “พุธหน้าแล้วกัน  สองทุ่มที่เดิม  ได้ไหมครับ”

   เตหันไปพูดกับปลายสายอีกสองสามประโยค ก็วางสาย

   “เรียบร้อยแล้วครับ เป็นวันพุธสองทุ่มที่ลอบบี้โรงแรม.....นะครับ” คนฟังพยักหน้ารับ  จดบันทึกลงบนสมาร์ทโฟน  แล้วลุกขึ้นยืน พาเดินออกมาด้านนอกของโรงแรม

   “ขอบคุณมากนะคุณเต  ไม่ได้คุณ ผมก็ไม่รู้จะคุยกับพวกนั้นยังไง   คุณสำเนียงดีมากเลยครับ  เคยไปเยอรมันมาก่อนเหรอ” 

   “สมัยเรียน ผมเรียนเอกเยอรมันครับ  ก็เลยพูดได้  แต่ผมไม่เคยไปเยอรมันมาก่อนหรอกครับ ผม...ไม่เคยขึ้นเครื่องบินเลยด้วยซ้ำ”

   “จริงเหรอครับ”  เจ้านายของเขาถามซ้ำอย่างประหลาดใจเต็มที 

   “ครับ  แปลกเหรอครับ  ก็น่าอยู่หรอก  สมัยนี้ใครๆเขาก็น่าจะเคยขึ้นกันสักครั้ง”

   “เอ  แล้วเวลาคุณไปเที่ยว  คุณเดินทางยังไงละ  ขับรถไปเหรอ”

   “ครับ  แต่ผมก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน....มัน...ไม่มีเวลาน่ะครับ”  ติณธรพูดเรียบๆแล้วเงียบไป  คล้ายได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วเบาตามมาด้วย   คนฟังขมวดคิ้ว  จับไหล่ของเขาไว้ รั้งให้หยุดเดิน  แล้วก้มลงมาจนอยู่ในระดับสายตาเดียวกัน

   “คุณมีอะไรอยู่ในใจหืม  คุณเต  คุณทุกข์อะไรนักหนา   ตั้งแต่ที่ผมรู้จักคุณมา  ผมสังเกตได้อย่างนึงว่าคุณเป็นคนเศร้าอยู่ลึกๆ  แม้แต่ตอนที่คุณหัวเราะ  คุณก็ยังคิดอะไรอยู่สักอย่างตลอดเวลา...คุณเต  เราก็รู้จักกันมาพักหนึ่งแล้วนะ  ผมไว้ใจคุณ เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้คุณฟังทุกเรื่อง  เพราะมั่นใจว่าคุณจะไม่ไปเล่าให้ใครฟัง...คราวนี้  ผมขอเป็นคนรับฟังคุณบ้างจะได้ไหม....คุณมีอะไรในใจ เล่ามาให้ผมฟังเถอะ   เผื่อจะได้สบายใจขึ้น  แล้วผมสัญญาว่าจะไม่ไปเล่าให้ใครที่ไหนฟังอีก”

   ภาคย์แบมือยกขึ้นในท่าคล้ายลูกเสือสามัญ  ลูกน้องหัวเราะออกมาเบาๆ  ยกมือขึ้นปลดมืออีกข้างของอีกฝ่ายออกจากบ่าอย่างนิ่มนวล

   “ขอบคุณมากครับ  แต่ผมไม่ได้เป็นอะไรหรอก  จริงๆ  เมื่อกี้อาจจะกังวลเรื่องงานนิดหน่อย”

   “ทำไมหรือ  คุณโดมใช้งานคุณหนักเหรอ  เดี๋ยวผมจะไปจัดการให้”  ภาคย์รูดแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้าง  ทำท่าเหมือนนักเลงคุมซอยพร้อมจะไปต่อยตี

   “ไม่ใช่ครับ  ฮ่าๆ  ไม่เกี่ยวกับพี่โดมหรอก”

   “แล้วไป  ไม่งั้นสวย” เขาลดแขนเสื้อลง 

   “ฮ่าๆ”  เตหัวเราะออกมาเต็มเสียง 

   “เวลาคุณหัวเราะแล้วโลกสดใสขึ้นนะครับ   หัวเราะบ่อยๆนะ”  จู่ๆอีกฝ่ายก็พูดขึ้น จ้องมาที่เขานิ่ง  ทำเอาเตหยุดหัวเราะกึก  นึกอึดอัดกับสายตาของอีกฝ่ายขึ้นมาเป็นครั้งแรก

   “ดึกแล้ว  เรา..กลับกันเถอะครับ”  รีบเปลี่ยนเรื่อง แล้วก้มหน้าก้มตาเดิน   ทำประหนึ่งไม่รับรู้ความหมายที่แฝงมากับสายตาคู่นั้น

   ภาคย์มองตามแล้วถอนหายใจยาว

   ทั้งคู่เดินลัดเลาะไปตามร้านรวงข้างทางที่ยิ่งดึกก็ยิ่งคึกคัก  บางครั้งร่างสูงก็ต้องเอื้อมมือไปโอบรอบบ่าเล็กบางของคนข้างๆ  เข้ามาชิดตัว  เพื่อกันเอาไว้จากผู้คนที่เดินสวนเบียดเสียดกันไปมาไม่ให้โดนเบียดจนพลัดหลงกัน

   คนที่แอบเดินตามหลังทั้งคู่มาเงียบๆตั้งแต่หน้าโรงแรมเม้มปากแน่น   

   จะเรียกว่าบังเอิญก็คงจะได้ ที่เขาดันพบกับเพื่อนเก่า เลยเข้าไปหาอะไรดื่มในคอกเทลเลาจน์ของโรงแรม  พอกลับออกมาก็เจอภาพบาดตาเข้า....ผู้ชายสองคนยืนแนบชิดกันอยู่ภายในลอบบี้ ก่อนจะเดินคลอเคลียกันออกมา  ท่าทางทางสนิทสนมบอกได้ชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาคงจะไม่ธรรมดาแน่

   แล้วยังใบหน้ายิ้มระรื่นนั่นอีก  เจ้าเด็กนั่นส่งยิ้มหวานให้กับคนข้างตัวไม่หยุด  ผิดกับคนที่นั่งหน้างอกินก๋วยเตี๋ยวกับเขาเมื่อตอนเย็นไปเป็นคนละคน

   เผลอกำมือแน่น แล้วก็คลายออก  โทรศัพท์มือถือดังขึ้นพอดี   เขากดรับ

   “ฮัลโหล...รันเหรอ  อ้าว  ผมนึกว่ากลับบ้านไปแล้ว  ทำไมล่ะ....มีเคสด่วน?  เด็กชายธีระ  เอ๋  น้องเต้หรือเปล่า....อืม  .....ติดต่อไม่ได้งั้นหรือ?  โอเค......อืม     เดี๋ยวพี่ไปหาที่รพ. แค่นี้ก่อนนะ”

   วางสายไปแล้ว  รดิศมองตรงไปยังคนทั้งสองที่หยุดยืนดูของที่หน้าร้านเล็กๆนั่น  ผู้ชายคนนั้นหยิบอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายพวงกุญแจขึ้นมาชู แล้วเอียงคอถามร่างสูงใหญ่ข้างๆเหมือนจะขอความเห็น

   ความโกรธที่ไม่รู้มาจากไหนมากมายนักแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาราวกับจะสัมผัสได้   เรื่องที่ได้รับรู้มาจากรันยิ่งทำให้โกรธจัด....น้องเต้ไม่สบาย  สงสัยเดงกี่  เหมือนจะเข้าสเต็จช็อค รันกลัวว่าแกจะเป็นอะไร  ก็เลยอยู่เฝ้าที่นี่แหละ  นี่พ่อน้องเค้าก็ไม่รู้ไปไหน  ติดต่อไม่ได้  เหลือแต่แม่ นั่งร้องไห้อยู่เนี่ย  ริทล่ะทำอะไรไม่ถูกเลย.....

   พ่อไม่รู้ไปไหน....ก็ยืนออเซาะอยู่โน่นไงล่ะ   ลูกเมียจะเป็นจะตายไม่เห็นสนใจ   มัวแต่ไประริกระรี้อยู่กับ...ชู้หรือ?
สองคนนั่นไม่มีท่าทางว่าจะรีบไปไหนเลย  กลับเดินต่อเรื่อยๆราวกับเพลินเพลินเสียเต็มประดา   และนั่นยิ่งทำให้เขาแทบจะทนไม่ไหว  อยากจะตรงเข้าไปกระชากร่างนั้นแรงๆ แล้วตะคอกถามว่า  ยังมีความเป็นพ่อคน หลงเหลืออยู่บ้างไหม   

เมื่อหลายปีก่อน  ผู้ชายคนนั้นบอกเลิกเขา  และก็ทิ้งเขาให้นอนจมกองเลือดอยู่กลางถนนอย่างโหดร้ายใจดำที่สุด   หลังจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น  ก็ไม่มีการติดต่อใดๆ  ราวกับว่าเขาทั้งสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
มนุษย์ที่ใจดำขนาดนี้  มีอยู่ในโลก  และเขาก็โชคร้ายสุดๆที่ดันซวยไปเจอเข้า

.....................................................................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2017 17:10:19 โดย ็Hollyk »

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
[ต่อนะคะ]



   ภาคย์ขับรถมาส่งติณธรที่บ้าน    ภายในบ้านปิดไฟมืดสนิท   เตก้าวเข้าไปในบ้าน นึกสงสัยว่าทำไมบรรยากาศถึงไม่เหมือนกับทุกคืนที่ผ่านมา

   ข้าวตังหายไปไหน   เจ้าเต้ด้วย  ทำไมปิดไฟเงียบขนาดนี้นะ

   เปิดไฟที่ห้องรับแขก เห็นกระดาษโน้ตวางอยู่บนโต๊ะกระจก   ลายมือของน้องสาวเขียนเอาไว้บนกระดาษ

   ‘เต้ไม่สบายมาก  โทรหาพี่เตไม่ติด  ตังเลยพาไปหาหมอที่รพ.’

   อ่านจบ หัวใจเขาก็ร้อนรนขึ้นทันที  ล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมา  ปรากฏว่าแบตเตอรี่หมดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ....เตรีบกลับออกมาจากบ้าน  โชคดีที่ภาคย์ยังจอดรถอยู่ด้านนอก  เขารีบเข้าไปหา  พูดละล่ำละลัก

   “ลูกชายผมไม่สบาย   ไปรพ.แล้ว  คุณช่วยพาผมไปได้ไหมครับ”

   ชายหนุ่มตกใจไม่แพ้กัน    รีบบอก

   “คุณปิดบ้านให้เรียบร้อยก่อน  แล้วขึ้นรถ  ผมจะพาไปรพ.”  เตพยักหน้า  หันกลับไปล็อคประตูบ้าน  มือสั่นเพราะเป็นห่วงเด็กชาย  นึกโทษตัวเองที่ไม่รู้เรื่องเลย   โทรศัพท์แบตหมดก็ไม่รู้  เพราะสะเพร่าแท้ๆ

   คนขับเหลือบมองคนนั่งข้างๆที่นั่งบีบมือตัวเองแน่น  เห็นใบหน้าเรียวซีดเผือดก็สงสาร  หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองส่งให้

   “โทรถามแฟนคุณดูว่าลูกเป็นไงบ้าง”

   เตรับมากดเบอร์แล้วโทรออก  ครู่หนึ่งหญิงสาวก็รับสาย

   “ตัง  นี่พี่เตเองนะ  เต้เป็นอย่างไรบ้าง”  เขากรอกเสียงลงไป  ปลายสายตอบกลับมา

   “เต้ไข้ขึ้นตั้งแต่เช้า  แล้วจู่ๆก็ตัวเย็น  กระสับกระส่ายแปลกๆ  กินอะไรก็อาเจียนหมด  ตังเลยตัดสินใจพามารพ.ดีกว่า  นี่ถึงมือหมอแล้วค่ะ  โชคดีหมอรันยังไม่กลับเลยมาดูให้   หมอสงสัยจะเป็นไข้เลือดออกระยะช็อคเลยให้แอดมิท   แล้วนี่พี่เตอยู่ไหนคะ  ตังโทรไปเหมือนปิดเครื่อง”

   “แบตหมดน่ะ  ขอโทษด้วยจริงๆ  นี่พี่กำลังไปรพ.  แอดมิทตึกไหนห้องอะไร”

   ข้าวตังบอกหมายเลขห้อง  แล้วก็วางสายไป  เตถอนหายใจยาว เอนหลังพิงพนัก  ส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าของรถ  เล่าให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ  แล้วก็นั่งเงียบไปอีก

   เจ้านายของเขาจอดส่งที่หน้าโรงพยาบาล  แล้วบอกว่าจะไปวนหาที่จอดรถและจะขึ้นไปดูด้วย เตปฏิเสธอย่างเกรงใจ  อีกฝ่ายก็ยืนยันว่าจะขอขึ้นไปเยี่ยม  แต่สุดท้ายก็บอกว่าจะมาใหม่พรุ่งนี้แทน

   ติณธรก้าวเร็วๆเข้าไปในลิฟต์   ในใจเป็นห่วงเด็กชายจนร้อนรุ่ม  ไข้เลือดออกงั้นเหรอ  มันตายได้เลยไม่ใช่หรือไง  นี่เขาเป็นพ่อประสาอะไรกัน  ถึงได้ปล่อยให้ลูกอาการหนักจนถึงขั้นนี้ได้

   เดินไล่หาจนเจอห้องก็เคาะประตูแล้วเปิดเขาไป   เห็นข้าวตังยืนอยู่ข้างเตียงที่มีเด็กชายเต้นอนแซ่ว   ใบหน้าของเด็กน้อยซีดเผือด  มีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยาง

   “ตัง   เต้เป็นไงบ้าง”

   “พี่เต...”  น้องสาวก้าวเข้ามาหา  เขาโอบกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน  ลูบหลังไหล่ปลอบโยนเบาๆ

   “พี่มาแล้ว   พี่ขอโทษนะ   เต้เป็นยังไงบ้าง”

   “หมอบอกว่า  ถ้ามาช้ากว่านี้อาจจะแย่ได้เลยเพราะเกล็ดเลือดต่ำมาก   ตอนที่มาลูกก็ซึมนิ่งไปเลย   แต่หมอรันบอกว่าตอนนี้อาการยังทรงๆต้องรอดูอาการพรุ่งนี้   พี่เต  ฮึก   ตังกลัวมากเลยนะ   กลัวลูกจะเป็นอะไรไป”  หญิงสาวร้องไห้ออกมา   ชายหนุ่มลูบศีรษะของเธอเบาๆ

   “ลูกถึงมือหมอแล้ว  ไม่เป็นไรหรอก  ไหนขอพี่ดูลูกหน่อย”  เขาก้าวเข้าไปชิดเตียง  จับแขนเล็กๆที่มีเข็มน้ำเกลือทิ่มอยู่นั่นขึ้นมา  กัดริมฝีปากด้านในของตัวเองจนเจ็บ 

   เต้หลับสนิท   จุดเลือดออกตามตัวเริ่มจะสังเกตได้  เขารู้สึกโกรธตัวเอง

   “เพราะพี่เอง  พี่ผิดเองตัง  พี่ปล่อยให้เธอกับลูกอยู่กันสองคนทั้งที่เต้ก็ไม่สบาย”

   “โธ่  ก็ใครจะไปรู้ล่ะคะ ว่าลูกจะเป็นหนักแบบนี้  ตังก็ผิดเหมือนกันที่ไม่ได้โทรบอกพี่ตั้งแต่แรก   ตังขอโทษนะคะ”

   เตถอนหายใจหนักหน่วง  จูงมือหญิงสาวมานั่งด้วยกันที่โซฟาภายในห้องพักผู้ป่วยเดี่ยว

   “โชคดีนะคะที่หมอรันยังไม่กลับบ้าน   พอรู้ว่าเต้มา แกก็รีบมาตรวจเลย  เอ้า  พูดถึงก็มาพอดี..”

   เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น  ร่างเล็กบางในชุดกาวน์ยาวของกุมารแพทย์หนุ่มเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับนางพยาบาลอีกสองคน   เตรีบลุกขึ้น ยกมือไหว้

   “คุณหมอรัน  เต้เป็นอย่างไรบ้างครับ” นายแพทย์หนุ่มหันมายิ้มรับ แต่เมื่อเห็นใบหน้าของคนพูดถนัดก็ชะงัก 

   “เอ๊ะ  คุณ...เตหรือเปล่าครับ?”  เขาถามไม่แน่ใจ 

   “ครับ  นี่ลูกชายผมเองครับ  เต้”

   วิรัลมองหน้าสามคนพ่อแม่ลูกกลับไปกลับมา 

   “อ้าว  นี่รู้จักกันมาก่อนเหรอคะ  เอ  วันนั้นพี่เตก็แวะเอาของมาให้หมอรันนะ  สงสัยไม่ทันเห็นหน้ากระมัง”  ข้าวตังประหลาดใจกับท่าทีของคนทั้งสอง   หมอรันดูตกใจมากกว่าจะเรียกว่าดีใจที่ได้เจอพี่เต  ส่วนพี่เตกลับดูสงบนิ่งเหมือนเดิม  มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่ไม่ได้เผื่อขึ้นไปยังแววตาด้วยเท่านั้น   ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

   “เอ่อ   เราเคย..รู้จักกัน เป็นเพื่อนของเพื่อนน่ะครับ   ไหนขอดูชาร์ทหน่อยนะครับ  เต้เป็นไงบ้าง”  คุณหมอรันพูดไม่สบตา  แล้วหันไปสนใจคนไข้บนเตียงแทน

   คนเป็นพ่อมองตาม   ไม่ได้พูดอะไรต่อ  เขายืนมองอีกฝ่ายตรวจร่างกายลูกชายเงียบๆจนเสร็จเรียบร้อย รันก็หันกลับมาหาผู้ปกครองของเด็ก

   “เต้อาการทรงๆนะครับ  คงต้องนอนรพ.อีกสักระยะนึง  เดี๋ยวพรุ่งนี้พยาบาลจะมาเจาะเลือดไปตรวจอีกครั้งนะครับ   คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง  ทางเราดูแลเต็มที่  คุณเตด้วยนะครับ”

   คุณหมอรันพูดจบก็รีบเดินกลับออกไปจากห้องคนไข้ทันที   ดาวประดับรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆระหว่างสามีของเธอกับคุณหมอหนุ่มคนนั้น

   “มีอะไรหรือเปล่า  พี่เต  ทำไมตังรู้สึกแปลกๆชอบกล” 

   “ไม่มีอะไรหรอก...ตังกินอะไรหรือยัง  พี่จะลงไปซื้อมาให้”  เธอตอบว่ายัง  เขาจึงกลับออกมาจากห้องพักผู้ป่วยเพื่อลงไปซื้อของกินที่ร้านด้านล่างของโรงพยาบาล

   รอจนลิฟต์มา ก็ก้าวเข้า  พอลิฟต์ลงมาได้หนึ่งชั้น ประตูก็เปิดออก....ผู้ชายคนที่เขาเพิ่งพบมาเมื่อตอนบ่ายยืนสลบนิ่งอยู่ด้านนอกลิฟต์ ประจันหน้ากับเขาพอดิบพอดี   ท่าทางของอีกฝ่ายไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นเขา

   ศัลยแพทย์หนุ่มก้าวเข้ามาในลิฟต์    ส่งยิ้มมาให้

   “คุณเต   มาดูน้องเต้เหรอครับ   ไม่รู้น้องเป็นไงบ้าง”   

   “ดีขึ้นแล้วครับ  เมื่อกี้หมอรันก็มาดู”  ดิมพยักหน้า

   “ดีแล้วครับ หมอรันเขาเป็นห่วงน้องเต้มากเลย  วันนี้ก็นอนค้างที่นี่  กลัวน้องเป็นอะไรไป”

   “ครับ  ขอบคุณมากจริงๆครับ  ถ้าไม่ได้หมอรันเจ้าเต้คงแย่กว่านี้”

   “โรคนี้อันตรายนะ...ยิ่งถ้าผู้ปกครองไม่มีเวลาดูแลด้วยแล้วเนี่ย   มัวแต่ไป...เอ่อ  ทำอย่างอื่น  กว่าจะรู้อีกที  ก็อาจจะเสียลูกไปแล้ว”

   “ครับ”  เตเริ่มรู้สึกถึงน้ำเสียงแปลกๆที่อีกฝ่ายใช้  รวมถึงสายตาที่มองมา   

   “พอแยกกับผมแล้ว  คุณไปไหนต่อหรือครับ  คุณข้าวตังถึงเป็นคนพาน้องเต้มาโรงพยาบาล” 

   “ผมไปทำงานต่อครับ  เลยกลับมาไม่ทัน”  ติณธรตอบตามความเป็นจริง   อีกฝ่ายหันมามองหน้าเขาตรงๆ  ก่อนจะเอื้อมมือไปกดปิดลิฟต์ชั่วคราว  ลิฟต์หยุดเคลื่อนที่    รดิศขยับเข้ามาใกล้เขาอีกก้าวหนึ่ง  ขณะที่เตก็ถอยจนแผ่นหลังติดกับกำแพงสี่เหลี่ยมของลิฟต์โดยสาร 

   มองตอบอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ  รดิศเป็นอะไรไป ทำไมถึงจ้องเขาด้วยสีหน้าถมึงทึงขนาดนั้น  แววตาคมกริบคู่นั้นมองเขาด้วยแววยิ้มเยาะอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มองไปรอบด้านเห็นแต่กำแพงกั้นไม่มีทางหนี  ยิ่งทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นอีกด้วยความกลัว

   “งานที่โรงแรมใช่ไหมครับ  คุณติณธร?”   รดิศถามเสียงเย็น

   “คุณรู้ได้ยังไง” เตถามกลับ   แปลกใจที่อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไปช่วยเป็นล่ามให้กับเจ้านาย ถึงจะไม่เจอลูกค้าก็เถอะ

   “ใครๆเขาก็เห็นคุณเดินยิ้มระรื่นออกมากับผู้ชายคนนั้นกันทั้งนั้นแหละ ....จริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องของผมหรอกนะ แต่ผมทนเห็นเรื่องผิดศีลธรรมแบบนี้ต่อหน้าต่อตาไม่ได้   คุณเต  คุณทำแบบนี้ไม่กลัวบาปบ้างเหรอ  ไม่ละอายใจบ้างหรือไง”

   “คุณว่าไงนะ”  นักเขียนหนุ่มถามกลับเสียงสั่น  งงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก  ขณะที่กำแพงรอบด้านเริ่มบีบเข้ามาหาเขาทุกทิศทุกทาง

   “คุณรู้อยู่แก่ใจดี   ว่าทำไมคุณถึงไม่ได้ดูแลลูก  คุณทิ้งให้ภรรยาของคุณ ...ให้ผู้หญิงตัวแค่นั้นหอบหิ้วลูกชายมาโรงพยาบาลตามลำพัง ขณะที่คนเป็นพ่อ  ที่ควรจะอยู่ทำหน้าที่นี้มากที่สุด กลับหายไปไหนไม่รู้  คุณคิดว่ามันถูกต้องไหมล่ะ  ผมไม่อยากก้าวก่ายเรื่องของคุณหรอกนะ  แต่คราวนี้มันเหลือทนจริงๆ”

   คุณหมอหนุ่มใส่เป็นชุด  ไม่ทันดูสีหน้าของอีกฝ่ายที่เริ่มซีด   เหงื่อแตกพลั่กออกตามไรผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อน 

   “คุณเข้าใจผิด”  เตพูดเสียงเบา   เริ่มรู้สึกเวียนหัวเหมือนอากาศไม่พอหายใจ  หูเริ่มอื้อจนได้ยินเสียงของอีกฝ่ายหนึ่งดังหึ่งๆเหมือนแมลงวัน

   “เข้าใจผิด?  เหอะ  ท่าทางของคุณสองคนมันชัดขนาดนั้น  คุณไม่สงสารเมียคุณบ้างเหรอ  คุณไม่เห็นหน้าเมียคุณตอนที่เธอมารพ.ล่ะสิ  อย่างน้อยก็น่าจะสงสารลูกบ้าง  แต่ก็อย่างว่าแหละ สันดานคนมันไม่เปลี่ยน  ลงถ้าใจดำขนาดที่.....เห้ย ! เต!!”

   เขาอุทานออกมาลั่นลิฟต์ เมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็คอพับ ตัวอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้นเสียอย่างนั้น  รดิศก้าวพรวดเดียว เข้าไปรับตัวเอาไว้แล้วจับให้นอนลง  เขาเอื้อมมือไปกดลิฟต์ให้ทำงาน  ประตูลิฟต์เปิดออก  เขารีบหิ้วปีกอีกฝ่ายออกมาด้านนอก  พยาบาลสองคนที่อยู่เวรในวอร์ดเห็นเข้าก็รีบเข้ามาช่วย

   “เขาเป็นลมน่ะครับ  ติดอยู่ในลิฟต์”  คุณหมอพูดสั้นๆ  อุ้มร่างเล็กบางให้ลงนอนบนเก้าอี้  ปลดกระดุมเสื้อและเข็มขัดให้  พยาบาลวิ่งไปหยิบแอมโมเนียกับผ้าเย็นมาให้เขา

   รดิศจ่อสำลีชุบแอมโมเนียเข้าที่ปลายจมูกของอีกคน  พิศดูใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดของอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกผิด   ยกผ้าขึ้นซับเหงื่อให้อย่างเบามือ

   พี่ขอโทษนะเต   พี่ลืมไปว่านายกลัวที่แคบ...

   ชั่วขณะหนึ่ง ที่เขาลืมความโกรธและอารมณ์ด้านลบที่มีต่อคนๆนี้ไปเสียสนิท  เหลือเพียงแต่ความห่วงใยและกังวลที่ผุดขึ้นมาจากซอกลึกที่สุดของหัวใจ

   มุมที่เจ้าตัวเองก็ไม่เคยรู้ว่ามันยังหลงเหลืออยู่   แต่เก็บซ่อนเอาไว้จากสายตาของทุกคนแม้แต่เจ้าของอย่างมิดเม้นจนแทบไม่รู้สึก
   .
   .
   สัมผัสเย็นๆที่เช็ดอยู่รอบใบหน้า ทำให้นักเขียนหนุ่มลืมตาขึ้น  เห็นตัวเองกำลังนอนอยู่บนโซฟาตัวยาวที่ไม่คุ้นตาจึงลุกขึ้นนั่ง  พยาบาลสาวสวยคนหนึ่งกำลังเช็ดหน้าให้เขาอยู่  เธอถามด้วยน้ำเสียงอาทร

   “ดีขึ้นแล้วหรือคะ  คุณเป็นลมในลิฟต์น่ะค่ะ”  เธอพูดยิ้มๆ  นักเขียนหนุ่มพยักหน้า  มองไปรอบๆงงๆ

   “แล้ว...คุณหมอรดิศล่ะครับ”

   “คุณหมอกลับไปแล้วค่ะ  ฝากให้ดิฉันดูแลคุณ  คุณรู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหมคะ”

   “อ้อ  ครับ  ขอบคุณมากครับ”  เขาลุกขึ้นยืน  สะบัดตัว  ความทรงจำของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง ...พี่ดิมขังเขาเอาไว้ในลิฟต์  ต่อว่าเขาว่าทำไมถึงไม่มาดูลูก  มัวแต่ไปทำงาน เอ๊ะ  ใช่หรือเปล่านะ  คงจะเป็นทำนองนี้แหละ ...

   เหอะ  พี่ดิมก็ยังเป็นพี่ดิมเหมือนเดิม  คนที่ไม่พร้อมจะฟังเหตุผลอะไรจากใครทั้งสิ้น  ถ้าลงเขาปักใจเชื่อไปแล้ว....ช่างเขาเถอะ  อยากจะเข้าใจยังไงก็เรื่องของเขา  ไม่เกี่ยวกับเรา

   คิดได้อย่างนั้น  ชายหนุ่มก็กลับเข้าไปในลิฟต์  ลงไปชั้นล่างสุดของโรงพยาบาล

   ..........................................................................................

   “พักนี้ดิมเป็นอะไร  ดูหงุดหงิดชอบกล  เครียดเรื่องงานเหรอ”  แฟนของเขาถามขึ้น หลังจากที่เขากลับเข้ามาในห้องพักแพทย์   และเอาแต่นั่งเคาะโต๊ะอยู่กับที่   ไม่ปริปากพูดอะไรเหมือนเคย

   “หืม   เปล่าหรอก  เอ่อ...อาจจะใช่มั้ง  ตอนนี้คนไข้เยอะ  ไม่ค่อยมีเวลาพักเลย”  เขาตอบปัดไป  รันลุกจากเก้าอี้เข้ามายืนข้างหลังเขา  ยกมือขึ้นบีบนวดที่ไหล่ให้อย่างเอาใจ

   “ก็ใครให้โหมผ่านักล่ะ  รันเตือนแล้วก็ไม่เชื่อ  สม.... เอาอย่างนี้  เสาร์นี้เราไปเที่ยวทะเลด้วยกันดีมั้ย”

   “รันว่างเหรอ  ไหนว่ามีประชุมอะไรไง”   รดิศยกมือขึ้นจับมือเล็กบางของอีกฝ่ายมากุมเอาไว้   แล้วยกขึ้นจรดริมฝีปาก

   “เค้ายกเลิกไปแล้ว   รันเลยว่างไง ..ไปไหม  ตั้งแต่กลับมาเนี่ยเราไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันสองคนเลยนะ”  วิรัลโน้มตัวลงมาโอบรอบคอของอีกฝ่ายเอาไว้ทางด้านหลัง  วางคางลงบนไหล่หนา

   “ขอผมดูตารางก่อนนะ”

   “ห้ามปฏิเสธ  ไม่งั้นรันโกรธ”  กุมารแพทย์หนุ่มตวัดเสียง   ท่าทางน่ารักจนคนมองอดยิ้มออกมาไม่ได้  ดิมเอื้อมมือไปเหนี่ยวร่างของอีกฝ่ายให้เขยิบมายืนข้างหน้า  แล้วดึงให้นั่งลงบนตัก  โอบเอวเอาไว้แน่น

   “ขู่แบบนี้ ใครจะกล้าปฏิเสธกันล่ะ  ไหนหันหน้ามาซิ   ขอหอมที”

   อีกฝ่ายค้อนนิดหนึ่ง แต่ก็ยอมเอียงหน้ามาให้โดยดี   รดิศจรดปลายจมูกลงบนซีกแก้ม  แต่ทว่าความคิดกลับวกไปหาใครบางคนที่เขาปล่อยทิ้งให้นอนอยู่ที่โซฟาบนวอร์ด

   ป่านนี้คงจะหายดีแล้ว  อาจจะนอนเฝ้าลูกอยู่หรือเปล่า  หึ  ไม่แน่อาจจะ ‘ทิ้ง’ เอาไว้กับเมีย  แล้วตัวเองก็กลับไป ‘ทำงาน’ กับเจ้านายต่อ

   พวกหน้าซื่อใจคด  ไม่สิ  ใจดำตะหาก  ดำลึกยิ่งกว่าหลุมดำในอวกาศเสียอีก 

   “ดิม  เป็นอะไรไป  ทำไมทำหน้าซีเรียสจัง   ถ้าวันนี้เหนื่อยก็นอนก่อนเถอะ”  คนบนตักของเขาทัก  เมื่ออีกฝ่ายนิ่งไปเสียเฉยๆ   

   รดิศรู้สึกตัว

   “เอ้อ   ขอโทษที  ผมคงจะเหนื่อยไปจริงๆ  ขอไปอาบน้ำก่อนนะ”  รันพยักหน้ายิ้มๆ  ลุกขึ้นจากตักของเขา  ส่งมือให้จับ  พาไปส่งถึงห้องน้ำ

   แล้วก็ยืนมองประตูอย่างครุ่นคิด....ท่าทางของคนรักแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด   แถมวันนี้เขายังได้พบกับ ‘แฟนเก่า’ ของฝ่ายนั้นอย่างไม่ทันตั้งตัวอีกด้วย

   หรือว่า...พวกเขาจะได้พบกันแล้ว 

   หัวใจของกุมารแพทย์หนุ่มเริ่มร้อนรุ่มขึ้นมา  วิรัลเม้มปากแน่น....เมื่อหลายปีก่อนเขาอาจจะเป็นผู้แพ้  แต่ในตอนนี้เขาคือผู้ชนะ  และเขาก็จะไม่ยอมปล่อยให้คนที่แพ้ราบคาบคนนั้น กลับมาแย่งของของเขาคืนไปหรอก

   เกมมันจบไปแล้ว...เข้าใจไหม

   ..ติณธร

   ................................................................................................


,,มาอัพต่อนะค้าาา  อ่านเเล้วเป็นยังไงบ้างคะ  แนะนำติชมได้เลยค่ะ
ไรท์จะได้เอาไปปรับปรุงนะคะ :katai2-1:
   
   
   
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2017 17:13:10 โดย ็Hollyk »

ออฟไลน์ dradareal

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
โอ๊ยยยย คือมันดีมากกกกกกกก
ชอบบบบบบบ ชอบความสับสนงุนงงของตัวละคร
มาขอสมัครเป็นนักอ่านหน้าใหม่ของเรื่องนี้ด้วยคน

มาต่อเร็วๆนะคะ ><

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตอนที่เลิกกันเพราะอะไรแน่ รันมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยไหมนะ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
เข้มข้นมาก  สนุกมากค่ะ  ติดตามจ้า
ดิมใจอ่อนนะเนี่ย  แววว่าจะกลับมาสมหวังในความรักกับเตอีกครั้ง 
รออ่านค่ะ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
 เพราะหัวใจบอกว่า...ร่ำร้อง

 

 

 

 

 

            ก๊อก ก๊อก ก๊อก

            ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีอ่อน  ยกมือขึ้นเคาะประตูห้องพักผู้ป่วยเบาๆ  ประตูเปิดออก  คนมาเปิดเป็นหญิงสาวผิวเข้มหน้าคมที่เขาทราบมาว่าคือภรรยาของผู้ชายคนนั้น

            “สวัสดีครับ  คุณ..ดาวประดับ ใช่ไหมครับ  ผมชื่อภาคย์ เป็นเพื่อนของคุณเตครับ  มาเยี่ยมน้องเต้”

          “อ๋อ  ค่ะ....เข้ามาก่อนค่ะคุณ”  เธอเปิดประตูออกกว้าง  เดินนำเขาเข้ามาภายในห้องพักเดี่ยวของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง    แขกกวาดตามองรอบห้องแวบเดียว

            เตไม่อยู่?

          “พี่เตแวะเข้าบริษัทน่ะค่ะ  เดี๋ยวสักพักคงมา”  หญิงสาวพูดเรียบๆ  นึกเดาคำถามในสายตาของอีกฝ่ายออก

            “อ๋อ ครับ  แล้วน้องเต้เป็นอย่างไรบ้าง”

          เขาเดินเข้าไปยืนข้างเตียงคนไข้  เด็กชายเต้กำลังนอนหลับสนิท

            “เต้ดีขึ้นมากแล้วค่ะ  เพิ่งหลับไปเมื่อกี้เอง   อีกสองวันหมอรันก็ว่าจะให้กลับบ้านได้แล้ว   ขอบคุณคุณภาคย์มากนะคะที่อุตส่าห์มาเยี่ยม  คุณคงจะทำงานที่เดียวกันกับพี่เต...”  หางเสียงของเธอไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่  คนฟังขมวดคิ้วแวบหนึ่งก็คลายออก เป็นรอยยิ้มเป็นมิตร

            “ครับ  ผมกับเตทำงานที่เดียวกัน...ผมเป็นเจ้าของบริษัทที่คุณเตทำงานอยู่”

          “อ้าว  เหรอคะ  โอ เป็นพระคุณมากเลยค่ะที่กรุณามาเยี่ยม   พี่เตโชคดีจังเลยค่ะมีเจ้านายน่ารัก  เอ้า มาพอดี  พี่เตคงกลับมาแล้วค่ะ”  ท่าทางของเธอนอบน้อมเขามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อรู้ว่าเขาเป็นเจ้านายของสามี

            คนที่เข้ามาใหม่ ไม่ใช่พี่เตของเธอ แต่เป็นคุณหมอรันและคุณหมอโรคหัวใจที่เธอพอจะดูออกอยู่ว่าคงจะเป็นมากกว่าเพื่อนแน่ๆคนนั้น   ทั้งคู่ดูแปลกตาไปในชุดลำลอง ไม่มีเสื้อกาวน์สวมคลุมแบทุกที

            “สวัสดีครับ  คุณแม่น้องเต้   พอดีผมกับหมอเตแวะเข้ามาเยี่ยมก่อนจะออกไปข้างนอกน่ะฮะ    เต้เป็นไงบ้าง  นอนหลับดีไหมครับ”

          “เต้หลับดีค่ะ  ไม่ตื่นงอแงเลย  ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ”

          กุมารแพทย์หนุ่มตรงเข้าไปตรวจอาการของผู้ป่วยบนเตียงอีกครั้ง    ส่วนผู้ชายหน้าเข้มอีกคนที่เข้ามาด้วยก็ส่งยิ้มให้กับคุณแม่ของเด็กชายบางๆ  แลเลยไปถึงคนที่ยืนอยู่ข้างๆด้วย

            ....อ้อ  ถึงกับหอบขนมมาเยี่ยมลูกเลยเหรอ  ทำคะแนนน่าดู  หรือว่าถือคติ  รักฉัน ต้องรัก(ลูก)หมาฉันด้วยหรือไง  แล้วนี่ตัวต้นเรื่องหายไปไหนเสียแล้วล่ะ   สามวันมานี้  พอเขา ‘หาเรื่อง’ เข้ามาเยี่ยมพร้อมกับรันด้วยทีไร  ไม่เคยเห็นหน้า ‘พ่อเด็ก’ เลยสักครั้ง....

            “ผมคงจะต้องขอตัวกลับก่อนล่ะครับ” ภาคย์พูดเรียบๆ  นึกแปลกใจกับสายตาแปลกๆที่คุณหมอหน้าเข้มคนนั้นเหลือบมองมาที่เขาเป็นพักๆ  แล้วก็เลยพลอยอึดอัด

          “อ้าว  รอสักครู่สิคะ  เดี๋ยวพี่เตก็กลับมาแล้วค่ะ”  หญิงสาวพูด

            “ไม่เป็นไรครับ   เดี๋ยวผมค่อยพบเขาที่ทำงานก็ได้  วันนี้ผมแวะมาเยี่ยมน้องเต้เฉยๆ   อันนี้ขนม ฝากให้น้องทานนะฮะ”  เขาส่งขนมราคาแพงหลายถุงให้แม่ของเด็ก  ข้าวตังรับมาถือไว้  พูดขอบคุณอีกหลายครั้งอย่างเกรงอกเกรงใจจนคนแอบฟังหงุดหงิด

            ....ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรบ้างเลยนะสาวน้อย   ว่ากำลังพูดกับใครอยู่   ไอ้หมอนั่นก็หน้าด้านเหลือทน   กล้ามากที่มาเยี่ยมถึงที่นี่  หรือว่านอนใจว่าไม่มีใครรู้?

          เสียงเคาะพร้อมกับบานประตูที่เปิดออกอีกครั้ง  คราวนี้เป็นร่างของพ่อของเด็ก หิ้วกระเป๋าและของกินมาเต็มสองมือ

            “อ้าว....”  อุทานได้คำเดียวก็นิ่งไป  สายตาตวัดมองไปที่คุณหมอผ่าตัดหัวใจเป็นอันดับแรก  สบตากันแวบหนึ่งก็เบือนหลบ  มองไปเห็นเจ้านายกับภรรยายืนข้างกัน    อยู่ใกล้ๆคุณหมอเจ้าของไข้ที่หันมายิ้มรับนิดเดียวแล้วก็หันไปตรวจลูกชายต่อ

            “พี่เตมาพอดี   ซื้ออะไรมาเยอะแยะคะนั้น  คุณภาคย์เอาขนมมาเยี่ยมเจ้าเต้ค่ะ ส่วนคุณหมอรันกับคุณหมอรดิศก็มาเยี่ยมเหมือนกัน”  ข้าวตังเล่าให้สามีฟัง  เดินตรงเข้าไปช่วยรับของจากมือของเขาไปวางเอาไว้บนโต๊ะ    กุลีกุจอรินน้ำมาส่งให้ชายหนุ่ม  ท่าทางกระตือรือร้นของเธอทำให้ใครหลายๆคนเบือนหน้าหนีด้วยความคิดต่างกันไป

            “ขอบคุณมากนะครับ  ที่มาเยี่ยมเต้”  ชายหนุ่มพูดสั้นๆ ไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าพูดกับใคร  เดินเข้าไปดูลูกชาย  หมอรันถอยออกมา  พูดกับพ่อของเด็กสั้นๆเหมือนที่พูดกับแม่ของเด็ก

            “น้องเต้ดีขึ้นมาแล้วครับ  อีกสักสองวันก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว  คุณพ่อสบายใจได้ครับ”  เตพยักหน้ารับ  ยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณหมอ  ทำเอาคุณหมอหนุ่มยกมือขึ้นรับไหว้แทบไม่ทัน  อุทานออกมา

            “โธ่  ไม่ต้องไหว้หรอกครับ  เราคนกันเองแท้ๆ” ประโยคนั้นทำให้คนในห้องชะงัก  รวมถึงศัลยแพทย์ทรวงอกด้วย

            เตยิ้ม  ไม่ได้พูดอะไรอีก

            คนพูดเม้มปาก  แอบขัดใจที่อีกฝ่ายพูดน้อยกว่าสมัยก่อนหลายเท่า   แต่ก็ดี  ตอนนี้เขาต้องหาทางพาแฟนของเขาออกไปนอกห้องเสียก่อน....ดันบังเอิญเจอกันเสียได้  อุตส่าห์ถามพยาบาลจนแน่ใจแล้วแท้ๆว่าพ่อเด็กไม่อยู่ในห้อง

            “ถ้าอย่างนั้นผมกับหมอดิมขอตัวก่อนนะครับ  พรุ่งนี้จะมาเยี่ยมใหม่”  กุมารแพทย์หนุ่มรีบลา แล้วเดินฉับๆออกจากห้องพักคนไข้ทันที

            ...สายตาของแฟนเก่าที่เหลือบมองกัน  ถึงจะเพียงแวบเดียวสั้นๆ แต่เขาก็อดรู้สึกถึงเยื่อใยบางอย่างที่ร้อยรัดคนสองคนเอาไว้ไม่ได้

            กระแสสายตาที่เต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์ของคนที่เดินอยู่ข้างๆเขา  แบบที่เขาไม่เคยเห็นดิมมองใครแบบนั้นมาก่อน...เวลาตั้งหลายปี  เค้ายังไม่ลืมเด็กคนนั้นอีกเหรอ  หรือว่าเขาคิดมากเกินไป?

            เผลอจับสายกระเป๋าแน่นเข้า  แล้วก็คลายออก  สะกดกลั้นอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ ก็หันไปถามอีกคนยิ้มๆ

            “เหนื่อยหรือเปล่า  ทำไมดิมทำหน้าเครียดจัง”

            อีกฝ่ายหันมายิ้มตอบ

            “จริงเหรอ  ไม่รู้ตัวเลย  สงสัยนอนไม่พอ”  เขายกมือขึ้นลูบใบหน้า

            “หรือว่าคิดถึงเรื่อง...คุณเต”  รันตัดสินใจถามเข้าประเด็น  ไหนๆก็ดันเจอกันแล้ว  ก็ถามไปเลยจะได้รู้เรื่องกันไป  เขาจะได้หาทางตั้งรับได้ถูกด้วย

            คนฟังเงียบไปทันที  สีหน้าเครียดคล้ำกว่าเดิม

            “ก็....ไม่ได้เจอกันนาน”  ดิมตอบ  เลี่ยงไม่ยอมบอกว่าเขาได้พบฝ่ายนั้นมาหลายครั้งแล้ว

            “นั่นสิ  รันก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าคุณเตเป็นพ่อของน้องเต้  ขอโทษทีนะที่รันไม่ได้บอกดิมก่อน  กลัวว่าดิมจะเครียด”   ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ  ยกมือขึ้นลูบแขนของอีกฝ่ายอย่างเอาใจ  ดิมตบลงบนหลังมือของเขาเบาๆ

            “เรื่องมันผ่านมานานมากแล้ว  ผมไม่ได้อะไรกับเค้าแล้วล่ะ  รันสบายใจได้  แค่แปลกใจนิดหน่อยเท่านั้น...เค้า  ไม่เปลี่ยนไปเลย”   ดิมหลุดความในใจออกมานิดหนึ่ง   คนฟังขมวดคิ้ว แต่ก็พยักหน้าเออออตาม

            “อืม  เค้าดูแลตัวเองดีนะ  แฟนเค้า...คุณข้าวตังน่ะ  ก็น่ารักดี  ไม่รู้ว่าแต่งกันตั้งแต่เมื่อไหร่  ไม่ได้ข่าวเลย”

          “คงจะเป็นตอนที่เราอยู่ที่นู่นกันมั้ง   ก็ดีแล้วล่ะ  ครอบครัวเค้าก็ดูแฮปปี้ดี”  ดิมพูดเรียบๆ  พยายามไม่แสดงอารมณ์ออกไปให้อีกฝ่ายจับได้...ความหงุดหงิดที่เขาพยายามเก็บเอาไว้

            “แต่คุณผู้ชายที่ตัวสูงๆนั่นเค้าท่าทางแปลกๆเนอะ   เหมือนมีอะไรกับคุณเตสักอย่าง”

            คนรักปรารภได้ตรงกับที่เขากำลังคิดอยู่ในใจพอดี   รดิศเงียบไปอีก...จริงสิ  ขนาดรันยังสังเกตเห็นเลย  มีหรือ ‘ภรรยา’  ของฝ่ายนั้นจะไม่สังเกตเห็น แววตาอ่อนหวานห่วงใยของเจ้านายหนุ่มเวลาที่ทอดมองสามีของตน   มันดูจะเกินสถานะเจ้านาย-ลูกน้องเกินไปหน่อยหรือเปล่า

            ยังไม่นับสายตาและท่าทางของอีกฝ่ายอีกนะ.....ดวงตาอมโศกเวลามองไปยังสามีอย่างรักใคร่เทิดทูนนั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกทนไม่ได้  ผู้หญิงคนนั้นช่างน่าสงสารเหลือเกิน  เธอคงกำลังถูกสามีสวมเขาให้ แต่ก็กล้ำกลืนทำเป็นไม่รับรู้  ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอก

            จู่ๆเขาก็รู้สึกขยะแขยงคนคู่นั้นจนไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้อีก

            “ช่างเขาเถอะ  จะทำอะไรยังไงก็ช่างเขา  ไม่ใช่เรื่องของเรา”  หางเสียงตวัดห้วน  แล้วก็เดินหนี  รันมองตาม แอบยิ้มออกมานิดหนึ่ง แม้จะยังกังวลอยู่ไม่น้อย

            ..งานนี้เขาคงจะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดเสียแล้วสิ

          ………………………………………………………………………………….

          “ไม่ได้มาทะเลนานแค่ไหนแล้วเนี่ย  เฮ้อ  สดชื่นจัง  เนอะกันเนอะ”

          กุมารแพทย์ที่วันนี้สลัดเสื้อกาวน์ออก อยู่ในชุดเสื้อยืดลายน่ารักกับกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะ พร้อมลงทะเลเต็มที่พูด  ยกมือขึ้นชูสุดแขน 

            ลมทะเลพัดแรงจนเส้นผมปลิวประจาย รดิศพยักหน้ารับ  สูดหายใจเอากลิ่นไอเค็มๆของทะเลเข้าปอด   ความเครียดและอารมณ์หน่วงๆที่เป็นมาตลอดทั้งอาทิตย์ดูจะมลายหายไปพร้อมกับสายลมแสงแดด และเกลียวคลื่น

            “รันอยากเล่นน้ำทะเลแล้วล่ะ”  ชายหนุ่มร่างเล็กหันมาพูดแกมหัวเราะ

            “งั้นผมขอนั่งอยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกัน  แดดแรงเกิน ผมไม่สู้"

            “โธ่  ฮ่าๆ  แต่แดดก็แรงไปจริงๆแฮะ  เอางี้ รันว่าเราขึ้นไปนั่งเล่นบนห้องก่อนดีกว่า  ไว้เย็นๆแดดร่มหน่อยค่อยลงมาเล่น”

          “นั่งเล่นอย่างเดียวเองเหรอ...”  ถามสั้นๆพร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาพราวระยับ  สื่อถึงความนัยบางอย่างที่ทำให้อีกคนใบหน้าแดงจัดขึ้นทันควัน

            “ใช่  นั่งอย่างเดียว”  กระแทกเสียงตอบแล้วก็เดินหนีแบบงอนๆ  ดิมมองตามพลางหัวเราะเสียงดัง  ก้มตัวลงหิ้วกระเป๋าเดินทางของทั้งสองคนตามเข้าไปในโรงแรม

            ภายในลอบบี้โรงแรมมีกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ยืนสนทนากันอยู่  ที่พื้นก็มีกระเป๋าเดินทางวางเอาไว้เต็มทางเดิน  เสียงซุบซิบพูดคุยหลากหลายภาษาดังกระหึ่มไปทั่วทั้งชั้นล่างของโรงแรม

            “ช่วงนี้แขกมาพักเยอะจังนะครับ”  รันกวาดตามอง

            “อ๋อ   พอดีอาทิตย์นี้มีจัดประชุมนานาชาติที่โรงแรมของเราน่ะค่ะ   หัวข้อเรื่องเกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์   ต้องขอโทษด้วยนะคะ อาจจะคนเยอะหน่อย   แต่เราจัดโซนเฉพาะเอาไว้แล้วค่ะ  ไม่รบกวนลูกค้าท่านอื่นที่มาพักแน่นอน”  พนักงานสาวสวยตอบ  ยิ้มหวานให้ชายหนุ่มหน้าตาดีทั้งสองคน

            ทั้งคู่พยักหน้ารับ  เช็คอินเสร็จก็ขึ้นไปเก็บของที่ห้องพัก....ห้องสวีต  มองออกไปเห็นทะเลสีฟ้าเวิ้งว้างออกไปไกลไม่มีที่สิ้นสุด   น้ำทะเลสะท้อนแสงแดดเป็นประกายระยิบระยับ

            รดิศโอบร่างของคนรักเข้ามาไว้ในอ้อมแขนทันทีที่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง   รันหัวเราะ ดิ้นหนีแต่สุดท้ายก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตามแต่โดยดี

            ปล่อยให้ความรักดำเนินไปตามครรลองของมันจนสุดทาง..

           

------------------------------------

 

            ที่ลอบบี้ของโรงแรม  คอลัมนิสต์หนุ่มเดินตามเจ้านายร่างสูงใหญ่แหวกผู้คนมากมายออกมาจากห้องประชุมได้สำเร็จ  แต่ก็ต้องหยุดรอภาคย์ทักทายชาวต่างชาติหลายคนตลอดทางเป็นระยะ  และเขาก็กลายเป็นล่ามให้ชั่วคราว

            “เหนื่อยหรือยัง...คุณเต”  เจ้านายหันมาถาม  น้ำเสียงเป็นห่วง  เพราะสังเกตได้ว่าใบหน้าเรียวนั้นเริ่มซีด

          “ไม่ครับ”  เขาตอบ  สั่นหัวยืนยันอีกที  ภาคย์หัวเราะ

            “เก่งมาก  แต่ตอนนี้ผมเริ่มเหนื่อยแล้วล่ะ  คอแห้งเป็นผงเลยคุณเต”

            “เดี๋ยวผมไปหาน้ำมาให้ครับ”   เขารีบอาสา  แต่อีกฝ่ายดึงแขนเสื้อเอาไว้

            “อย่าทิ้งผมสิคุณ   แล้วผมจะคุยกับพวกเค้ายังไงล่ะฮะ    อยู่นี่ก่อน  เดี๋ยวค่อยไปเอา”    ชายหนุ่มพูด  หันไปส่งภาษาอังกฤษกับคู่สนทนาอีกครั้ง  แล้วพยักพเยิดให้เตแปลเป็นภาษาเยอรมันกับสเปนให้

            กว่าจะจบการสนทนาอันแสนยืดเยื้อยาวนาน เตก็แทบจะคอแห้งเป็นผงไปด้วยอีกคน  แถมยังเวียนหัวกับการต้องแปลภาษากลับไปกลับมาหลายรอบจนเริ่มปวดศีรษะตุบๆ

            “ยังไหวอยู่ไหมคุณเต   ถ้าเหนื่อยขึ้นไปพักก่อนก็ได้  เดี๋ยวตอนเย็นผมลุยเอง”  ภาคย์ชักจะเป็นห่วงลูกน้องขึ้นมาจริงๆ  ท่าทางของเตเหมือนพร้อมจะล้มตัวลงนอนแล้ว

          ติณธรเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรงบนเตียง  ภายในห้องพักที่จัดเอาไว้สำหรับผู้ที่มาร่วมประชุม

            “ขอกินพาราฯสักเม็ดก่อนได้มั้ยครับ   ชักปวดหัว”  เตยกมือขึ้นนวดขมับ

            “ผมพาคุณมาลำบากแท้ๆ  ไม่นึกว่าคนจะมาเยอะอย่างนี้   งั้นคุณนั่งรออยู่ในห้องก่อนนะครับ  ผมจะไปหายามาให้”

          “ไม่เป็นไรครับ  ผมจัดการเอง  เชิญคุณภาคย์พักผ่อนเถอะฮะ”   เตพูด  เขาฝืนตัวลุกขึ้นไปเปิดกระเป๋าเสื้อผ้า ล้วงหายาแก้ปวดขึ้นมากิน

            ภาคย์มองตาม  แอบรู้สึกผิดอยู่ในใจ....เป็นเพราะเห็นว่าลูกชายของอีกฝ่ายหายดี กลับบ้านได้แล้วแท้ๆ  เลยถือโอกาสนี้  หาอุบายหลอกเตมาเป็นล่ามให้  ไม่น่าทำแบบนี้เลย  ดูสิ  หน้าซีดเชียว  คงจะเหนื่อยจริงๆ  ต้องพูดกลับไปกลับมา แถมยังต้องเดินตามเขาไปทั่วทั้งงานอีก  เฮ้อ..ตัวก็นิดเดียว  น่าสงสารจังแฮะ

            “คุณนอนพักเถอะ  ผมว่าท่าทางคุณไม่ไหว”

          “แต่ว่า...คุณจะคุยยังไงล่ะครับ”

          “ไม่ต้องห่วงน่า   ผมก็ใช้ภาษาสากลไง....ภาษามือไงล่ะ  ฮ่าๆ”

          “โธ่  เอาอย่างนี้ดีกว่า  ผมขอนอนพักแปบนึง  แล้วเดี๋ยวเราลงไปงานเลี้ยงตอนเย็นด้วยกัน”

            เจ้านายเหลือบมองนาฬิกาแล้วพยักหน้า   ก็ดีเหมือนกัน  ให้นอนพักไปก่อนสักชั่วโมง คงจะดีขึ้น  ความจริงเขาก็ไม่อยากลงไปคนเดียวหรอก  คงจะเปลี่ยวแย่เลย 

            ไม่สิ...ความจริงเขาไม่อยากออกไปจากห้องนี้เลยตะหาก   ห้องที่มีแค่เราเพียงสองคนเท่านั้น

            เปลือกตาหลับพริ้มสนิท เห็นขนตายาวตรงทาบบนผิวแก้มอ่อนใส  สันจมูกโด่งคม รับกับริมฝีปากอิ่มเต็มที่เม้มนิดๆ   เขาพิจารณาดูใบหน้าของคนหลับใกล้ๆ  นึกอยากเอานิ้วลูบลงบนรอยย่นที่ระหว่างคิ้วเรียว

            อยากรู้จังว่าเตกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่   หรือว่าเขาอาจจะกำลังฝัน....คงจะเป็นความฝันที่ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะใบหน้านั้นช่างเคร่งเครียดและเหนื่อยล้าเหลือเกิน

            เหมือนคนที่กำลังต่อสู้อยู่ตามลำพังและก็พบแต่ความล้มเหลวผิดหวัง..


(ต่อด้านล่าง)


ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk

(ต่อนะคะ)

*****************

          ‘ เต เย็นนี้พี่คงไปดูหนังด้วยไม่ได้แล้วนะ  ขอโทษด้วยจริงๆ   พอดีเพื่อนพี่มันจะพาน้องไปเลี้ยงกัน’  พี่ดิมพูดมาตามสาย 

          ‘เย็นนี้น่ะเหรอ  ทำไมกะทันหันจัง   เลี้ยงน้องรหัสอ่ะนะ  ไหนว่าเลื่อนไปก่อนไงล่ะ’  เขาถามกลับตามที่ได้ยินอีกคนเล่าให้ฟังเมื่อหลายวันก่อน   เอาจริงๆเขาก็ออกจะงงกับคณะนี้เหมือนกันว่าจะนัดเลี้ยงอะไรกันมากมาย

เรียน 6 ปี  พี่รหัสปี 2-6 ต้องผลัดกันพาน้องปี 1 ไปเลี้ยง  ไล่ไปให้ครบทุกปีงี้  โหย  แบบนี้น้องปี 1 ก็ได้กินฟรี 5 ครั้ง  ปะเหมาะเคราะห์ดีเจออาจารย์ประจำสายเรียกมาเลี้ยงอีก  โอ้วโหว  เป็นคณะที่อุดมสมบูรณ์ซะจริงนะ มิน่าล่ะ พี่ดิมถึงหน้าอิ่มตัวบวมขึ้นเรื่อยๆ

‘เค้าเลื่อนเข้ามาแล้วล่ะ ฮ่าๆ  อาทิตย์หน้าจะสอบกันแล้วไง  ก็เลยคิดว่ารีบๆเลี้ยงดีกว่า จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน’

‘อืม   แล้วเลี้ยงถึงกี่โมงอ่ะ’

‘น่าจะเลิกดึกอยู่  ขอโทษทีนะ’  คนฟังถอนหายใจ

‘อาทิตย์ นี้เราแทบไม่ได้เจอกันเลยนะ’  ปรารถเบาๆ  อีกฝ่ายตอบกลับมาทันที  เสียงร้อนรน

‘ขอโทษจริงๆ  เตก็รู้ว่าตอนนี้งานที่คณะพี่ยุ่งวุ่นวายมาก  ใกล้จะสอบปิดบล็อกแล้วด้วย  เนี่ยพี่ก็ยังไม่ได้อ่านเลย...’

‘ผมเข้าใจ  ก็ไม่ได้ว่าอะไร’

‘ไม่งอนพี่นะ  เอาอย่างนี้ อาทิตย์หน้าพี่สอบเสร็จ จะพาไปเลี้ยงแก้ตัว  ตกลงไหม’

‘สัญญาแล้วนะพี่ดิม’

‘เออน่ะ  ไม่เบี้ยวแล้ว  คราวนี้มันจำเป็นจริงๆ’

‘อืม  ไปเถอะ  กินเผื่อด้วย’  เขากดวางสายแบบเซ็งๆ  ก้มดูชุดของตัวเองที่แต่งเต็มยศพร้อมออกไปเที่ยวกับแฟนเต็มที่ก็ยิ่งเซ็งหนักเข้าไปอีก

...ทำไมไม่โทรบอกให้มันเร็วกว่านี้ห้ะ   แต่งตัวเสร็จแล้ว  เหลือแค่ใส่รองเท้าก็พร้อมปร๋อออกจากหอแล้วเนี่ย   ถอยกลับไปนั่งบนเตียงแบบหงอยๆ

อาทิตย์นี้ไม่ได้เจอหน้าพี่ดิมเลยนะ   ได้ยินแต่เสียงอย่างเดียวเลย   คิดถึงชะมัด   ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าอีกฝ่ายธุระเยอะ เรียนหนัก สอบถี่ กิจกรรมเพียบ  จะให้มารอเขาได้เหมือนเมื่อเทอมที่แล้วก็เป็นไปไม่ได้

แต่ไม่ได้เจอหน้าเลยนี่มันก็เกินไปหน่อยนะ   เขาสู้อุตส่าห์นับวันรอ จะไปดูหนังด้วยกันเย็นนี้แล้วแท้ๆ  ดันต้องล้มเลิกไปในวินาทีสุดท้ายอีก

เซ็ง..

โทรศัพท์ดังขึ้นมาอีก   เป็นเบอร์เพื่อนในกลุ่มก็กดรับ

‘ฮัลโหลเจ้  ว่าไง’  ทักไปด้วยเสียงหงอยๆที่ปิดไม่มิด และก็ไม่คิดจะปิดด้วย

‘ตายแล้ว  ทำไมทำเสียงอ่อยแบบนั้นล่ะแก  เกิดอะไรขึ้น’  เสียงพี่สาวในกลุ่มกรอกมาตามสาย

‘ไม่มีไร  เซ็งๆนิดหน่อย  โทรมามีไรป่าว’

‘จะชวนแกไปทะเล   ไปมั้ย  แก้เซ็ง  นี่ชั้นเสี่ยงลองโทรมาดู  ไม่รู้ว่าวันนี้แกมีนัดกับแฟนหมอสุดหล่อของแกหรือเปล่า’

‘มี  แต่เหลวไปล่ะ  อืม  อยากไปอ่ะ  ใครไปมั่ง  ทะเลที่ไหน ค้างมั้ย’

‘วุ้ย ถามเป็นจรวดเลย  พอพูดเรื่องเที่ยวนี่เสียงคึกคักขึ้นมาเลยนะยะ  ก็มีชั้น ยัยมุก  เชอแตม  ดีดี้  โชน   แค่นี้แหละ  ค้างคืนนึง  แกเก็บของมาเลย เจอกันที่หน้ามอ   บ่ายสอง  เร็วๆล่ะ...’  เจ้กิ่งพูดมาอีกหลายประโยค   นัดแนะกันเรียบร้อยก็กดวางสายไป

หนุ่มน้อยหันไปมองรูปถ่ายของเขากับพี่ดิมที่วางอยู่หัวเตียง  ย่นหน้าให้คนในรูปนิดนึง แล้วก็สะบัดหน้าหนี...เชอะ  ไปเที่ยวดีกว่า

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เขาก็มายืนรอเพื่อนๆอยู่หน้ามหาวิทยาลัย  จุดนัดพบที่เพื่อนจะเอารถมาจอดรับ

กำลังยืนมองรถอยู่เพลินๆ  สายตาเจ้ากรรมก็บังเอิญมองเห็นชายหญิงคู่หนึ่งเดินเคียงคู่กันออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัย   ฝ่ายชายเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเรียนของฝ่ายหญิงมาถือเอาไว้

ทั้งคู่พูดอะไรกันสักอย่างแล้วก็หัวเราะให้แก่กัน

          สาวน้อยหน้าตาน่ารักคนนั้นคว้าแขนของฝ่ายชายมากอดเอาไว้  แล้วก็ปล่อยเปลี่ยนเป็นคล้องแขนเดิน  ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครบางคนกำลังยืนมองตาค้างอยู่  แทบจะปล่อยกระเป๋าเสื้อผ้าที่กอดอยู่แนบอกทิ้งลงพื้น

          ความโกรธพุ่งปรี้ดขึ้นมาเหมือนมีใครมาจุดพลุแล้วระเบิดเปรี้ยงอยู่ในหัว  เตตัวชาไปทั่วร่าง สลับกับความร้อนวูบวาบ   มือสั่นจนต้องวางกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนพื้น   และก้าวเข้าไปหาสองคนนั้น

          เขาตรงเข้าไปยืนประจันหน้ากับคนทั้งคู่

          ‘เต?’  พี่ดิมอุทาน  หน้าตางงงวย จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าจู่ๆอีกฝ่ายมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าได้อย่างไร  และนั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายโกรธมากขึ้นไปอีก

          ‘ไหนว่าไปเลี้ยงน้องกับเพื่อนไง   ไหนล่ะน้อง’  ประโยคแรกที่เขาพูดออกไปเสียงดัง  หน้ามืดจนไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆทั้งนั้น

          ‘นี่ไง น้อง น้องเกรซ’  เขาหันไปมองสาวน้อยข้างๆที่รีบปล่อยมือออกจากแขนของพี่ดิมทันที

          ‘น้องเกรซ?’  เขาทวนคำ

          ‘ค่ะ  หนูเป็นน้องรหัสของพี่ดิมค่ะ  พี่เป็นใครคะ’  ท่าทางของเธอก็ไม่ยอมคนง่ายๆเหมือนกัน  ถามกลับเสียงห้วน  เตหันไปมองหน้าพี่ดิม

          คนกลางอึกอัก

          ‘เอ่อ   เกรซรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ  พี่ขอคุยอะไรกับเพื่อนพี่ก่อน’  หญิงสาวพยักหน้ารับ  พี่ดิมคว้าแขนของเขาลากออกมาคุยห่างๆ 

          เด็กหนุ่มสะบัดแขนออกอย่างแรง

          ‘เพื่อน?  อ๋อ  ตกลงผมเป็นแค่เพื่อนของพี่ใช่มั้ย’   ความน้อยใจที่สะสมมาตั้งแต่ต้นอาทิตย์เริ่มประดังประเดขึ้นมาพร้อมๆกันเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงสถานะของเราสองคน แค่ ‘เพื่อน’

          ‘ไม่ใช่  ฟังพี่ก่อน   พี่เพิ่งรู้จักน้องเค้า  ก็เลย...’

          ‘ก็เลยยังไง  ก็เลยจะจีบใช่ไหมล่ะ  สรุปคือพี่โสดใช่มั้ย  ผมคิดเองเออเองคนเดียวว่าเป็นแฟนพี่เหรอ  พี่ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง  โกหกผมว่าไปเลี้ยงน้องแล้วมาอยู่ที่นี่คืออะไร’  เขาพูดรัวเป็นจรวด  น้ำหูน้ำตาชักจะเริ่มมา

          ‘ก็กำลังจะไปเลี้ยงไง   พอดีน้องเกรซเขาต้องมาส่งรายงานก่อน  พี่ก็เลยมาเป็นเพื่อน....’

          ‘ผมไม่เชื่อ’  เขาสวนทันที  ทั้งโกรธทั้งน้อยใจอีกฝ่ายจนไม่พร้อมจะฟังเหตุผลใดๆทั้งสิ้น

          ‘เต  ฟังพี่ก่อน’

          ‘ไม่   พี่โกหกผม  พี่ไม่อยากไปดูหนังกับผม  ไม่ได้จะจริงจังกับผมใช่มั้ย’  คนพูดยกมือขึ้นป้ายตาแรงๆ  สะบัดตัวเดินหนี  อีกฝ่ายก็ไม่ยอม เดินตามมารั้งข้อศอกเอาไว้

          ‘เดี๋ยวสิ  จะไปไหน  เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะเต’

          ‘จะคุยอะไรอีกล่ะ  ผมไม่มีอะไรจะคุยกับพี่แล้ว  ปล่อยผม’  เตสะบัดแขนอีกครั้ง

          ‘เต ตั้งเต..รอเดี๋ยวสิ’

          เขาไม่ฟังแล้ว  ตอนนี้อย่าว่าแต่พี่ดิมเลย  ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็ฉุดไม่อยู่

เด็กหนุ่มเดินหนีกลับมาหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเองที่ทิ้งเอาไว้ที่พื้นขึ้นมากอดเอาไว้    เพื่อนสนิทที่ขับรถมาถึง ต่างลงจากรถมายืนดูเหตุการณ์แบบงงๆ  เห็นท่าไม่ดีก็รีบกวักมือเรียกให้ขึ้นรถ  เตไม่สนใจเสียงเรียกซ้ำจากคนข้างหลังอีก   เขาเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถของเพื่อนที่ขับมารับ  ทิ้งให้ผู้ชายใจร้ายคนนั้นยืนมองอย่างหมดหวังอยู่บนฟุตบาท

          ‘เกิดอะไรขึ้นวะแก  ทะเลาะกันเหรอ  อ้าวเห้ย!’

          เขาไม่ตอบคำถามของเพื่อนๆ  ทันที่เข้ามานั่งข้างในรถได้สำเร็จ  น้ำหูน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ก็ทะลักออกมาเหมือนเขื่อนแตก   เด็กหนุ่มสะอื้นฮัก

          เพื่อนๆมองหน้ากัน  ไม่พูดอะไรอีก แต่ส่งทิชชู่ให้   โชนโอบไหล่เขาเอาไว้  ส่วนดีดี้ที่นั่งข้างๆกันก็ตบหลังเบาๆ

          ทำไมพี่ดิมทำกับเตแบบนี้

          พี่ดิมไม่รักเตแล้วใช่มั้ย....

*****************




            ชายหนุ่มสองคนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนชายหาด   คนหนึ่งมีกีต้าร์ตัวโปรดอยู่ในมือ  ส่วนอีกคนนอนหนุนแขนทอดสายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดสนิท  เห็นดวงดาวพราวพร่างอยู่บนนั้นวิบวับ

            ลมทะเลพัดขึ้นมาเป็นระลอก   ได้ยินเสียงคนคุยกันแว่วๆอยู่ห่างออกไป   ไม่รบกวนกัน

 

‘….ในคืนนี้มีดาวเป็นล้านดวง แต่ใจฉันมีเธอแค่เพียงดวงเดียว  สอดประสานสบตาเคียงข้างกัน อยากจะขอจูบดาวใต้เงาดวงจันทร์   อยู่ไหน บอกเธอที่มา ซบลงไออุ่นหัวใจ  และเธอ บอกเธอที่ไป    ฝันคงสดใส  รักอยู่ไม่ไกล จากเธอ  ร้องบอกหัวใจ มีเธอ....’

 

          เสียงนุ่มๆร้องคลอไปกับกีต้าร์   คนฟังยิ้ม รู้สึกเขินจนต้องหันหน้าหนีไปอีกทาง  ศัลยแพทย์หนุ่มที่ไม่ได้มีดีแค่ผ่าตัดหัวใจเท่านั้นหัวเราะเบาๆ   วางกีต้าร์ลงแล้วเขยิบเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจนชิด

            แกล้งเป่าลมใส่ใบหูของคนที่หลับตาปี๋นั้นเบาๆ

            “อื๋อ  อย่านะดิม  ไปร้องเพลงต่อเลย  กำลังได้ฟีล”  วิรัลพูดพึมพำ  เบนหน้าหลบ

            “รันอยากฟังเพลงอะไรล่ะ  เดี๋ยวจะเล่นให้ฟัง”  เขากระซิบข้างหู  คนฟังหัวเราะ

            “ดิมอยากเล่นเพลงก็เล่นเลย   รันฟังได้หมด”   คุณหมอเด็กตอบ  ลืมตาขึ้นสบตากับคนรักอย่างแสนหวาน  พลิกตัวเป็นนอนตะแคง  เท้าแขนดูอีกคนที่ถอยกลับไปหยิบกีต้าร์ขึ้นมาประจำที่อีกครั้ง

            รดิศสบตาเขายิ้มๆ  นิ่งไปครู่เหมือนจะนึกเพลงอยู่ในใจ จากนั้นก็กรีดนิ้วเป็นอินโทรเพลงที่ดิมไม่เคยเล่นให้เขาฟังมาก่อน

 

‘......มีจริงหรือ รักแรกพบเพียงสบตาแค่หนึ่งครั้ง

แค่แรกเห็นเดินผ่านมาไม่พูดจา

ไม่ทักไม่ทาย ไม่รู้ว่าใคร เหตุใดจึงรักกัน.....’

 

            เสียงของดิมนุ่มนวลชวนฟังเหลือเกิน   รันส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้อีกฝ่าย   เห็นสายตาคมเข้มทอดมองมาที่เขานิ่ง   ทว่าจู่ๆเขากลับรู้สึกราวกับว่าอีกคนมองทะลุตัวเขาไป

            ร่องรอยจดจำรำลึกถึงอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว แต่ยังคงทิ้งความทรงจำที่แสนหวานติดเอาไว้อยู่ในใจ  ปรากฏขึ้นในแววตาสีดำสนิทคู่นั้น

            ความทรงจำแสนสุข ที่ตัวเขาไม่มีส่วนร่วมด้วยแม้แต่น้อย..

            ดิมคิดถึงเรื่องอะไร  หรือว่าคิดถึง....ใครอยู่กันแน่

            วูบหนึ่งที่เขารู้สึกอิจฉา  คนที่อยู่ในห้วงความคิดคำนึงของผู้ชายคนนี้ขึ้นมาสุดหัวใจ..

 

 

................................................

ขอบคุณนะคะที่กดเข้ามาอ่าน
เมื่อวานมาต่อแล้วแต่ไม่จบเนื่องจากเน็ตหมดค่าา555
ดีใจที่มีคนรอนะคะ

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
ความจริงที่เลิกกันเพราะคำขอร้องของมือที่สามรึป่าว สงสารเตเนอะ ทำงานหนัก ก็หนักแถมมีใครบางคนเข้าใจผิดอีก อะไรจะขนาดนั้น

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

ออฟไลน์ INMINTHA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-2
รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
อ่านแล้วสะดุดตรง นะฮะ มากค่ะ   คนโตแล้วเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่น่าจะใช้คำว่านะฮะ

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...หึง







‘...มีบรรยากาศฝนตกรถติดช่วยฉัน ยังมีมือเปล่าว่างอยู่ให้จับเท่านั้น

ลองดูที่แก้มฉัน  เธอนั้นว่ามีอะไร

วู้ว...’

         

          เพื่อนร่วมกลุ่มหยุดเล่นเพลง  ต่างคนต่างสะกิดคนข้างๆเป็นอันรู้กัน เมื่อเห็นร่างของนักศึกษาแพทย์หนุ่มเดินเลาะหาดทราย  ตรงเข้ามาทางพวกเขาช้าๆ

          ‘แฟนใครมาโน่นแล้วหว่า  สงสัยว่าจะมาง้อ’  เจ้กิ่งแซว หลิ่วตาไปทางเด็กหนุ่มผมหยิกหยองที่นั่งกอดเข่าทำหน้าจ๋อยตั้งแต่มาถึง   ตอนนี้เริ่มสังเกตได้ว่าใบหน้าเรียวหวานนั้นเริ่มกลายเป็นสีจัด

          ดวงตาบวมแดงจากการร้องไห้ชักมีประกายแวววาว   แต่ทว่าก็ยังสงวนท่าทีนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น  ไม่ยอมหันกลับไปมอง

          เพื่อนในกลุ่มพยักเพยิดกัน

          ‘ไปหาอะไรกินหน่อยดีกว่า  เตแกนั่งเฝ้าของไว้นะ’  บรรดาเพื่อนที่น่ารักทั้งหลายรีบลุกขึ้น เดินหนี ปล่อยให้เด็กหนุ่มนั่งกอดเข่าอยู่คนเดียวตรงนั้น

          ดิมยิ้มให้เพื่อนๆของแฟนแทนคำขอบคุณ  แล้วเดินตรงเข้าไปหาคนงอนที่นั่งหน้ามู่  แต่ก็ไม่ยอมลุกหนีคนนั้น

          ‘นั่งด้วยคนได้ไหมครับ’  เขาถาม  พยายามส่งยิ้มหวานจ๋อยเข้าไปก่อน  เตไม่ตอบ

          ‘ถ้างั้นผมนั่งนะครับ’  ไม่ตอบ ก็แปลว่าอนุญาตสินะ  เขาทุรดตัวลงนั่งขัดสมาธิตรงหน้าเด็กหนุ่ม  มองใบหน้าเรียวแดงจัดนั้นตรงๆ

          ‘หายโกรธหรือยัง’  ถามออกไปลุ่นๆ  ได้ยินเสียงเหมือน ‘ฮึ’ ขึ้นจมูกตอบกลับมาจากอีกฝ่ายเบาๆ

          เขายิ้ม  ยื่นนิ้วก้อยออกไปหา

          ‘ดีกันได้ยัง’  กระดิกนิ้วนิดหน่อย เชิญชวน   แต่อีกฝ่ายกลับเม้มปากแน่น  สะบัดหน้าหนีอีก

          คนง้อถอนหายใจยาว  พูดเรียบๆ

          ‘เตครับ  พี่ไม่ได้โกหกเตนะ  เอาอย่างนี้  พี่จะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง  แล้วเตจะเชื่อพี่หรือเปล่า ก็แล้วแต่เตนะ    เมื่อตอนบ่ายพี่กับเพื่อนๆจะไปเลี้ยงน้องปี 1 ด้วยกัน  แต่ทีนี้น้องเกรซ น้องรหัสพี่มันลืมส่งรายงาน  ก็เลยต้องแยกกับกลุ่มแวะเข้าไปส่งที่คณะก่อน  แล้วก็เลยเจอเตที่หน้ามอไง  แล้วเตก็โกรธพี่หนีขึ้นรถมาซะงั้น  ไม่ฟังพี่พูดเลย’

          ‘ผมผิดสินะที่โกรธพี่อ่ะ’

          ‘ก็เรื่องมันไม่มีอะไรเลยจริงๆ’

          ‘แล้วหลังจากนั้น ไปไหนต่อ’

          ‘พี่ก็พาน้องเค้ากลับไปสมทบกับเพื่อนๆที่ร้านอาหาร  กินข้าวกัน  แล้วนี่พี่ก็ขอตัวกลับมาก่อนนะ  จริงๆเค้าไปร้องคาราโอเกะกันต่อ  แต่พี่ทนไม่ไหว  มันไม่สบายใจ ก็เลยแยกตัวออกมาแล้วก็หารถมาหาเตที่นี่แหละ’

          ‘รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่นี่’

          ‘เพื่อนนายบอก’  เขาสารภาพเสียงอ่อย  หลังจากเห็นว่าแฟนเด็กหนีขึ้นรถไปกับเพื่อน  เขาก็รีบถามน้องรหัสว่ามีเพื่อนเรียนอยู่อักษรฯบ้างไหม  โชคดีที่น้องเขามีเพื่อนสนิทเป็นแฟนกับดีดี้ เพื่อนในกลุ่มของเต เขาก็เลยหาทางติดต่อจนทราบว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน

          แล้วก็รีบวิ่งไปท่ารถ จับรถมาที่นี่

          ‘หายโกรธกันยัง’  เขาถามอีกรอบ  คราวนี้ฝ่ายนั้นไม่หันหน้าหนีแล้ว  แต่มองหน้าเขาตรงๆ

          ‘ยัง   ผมยังติดใจอยู่อีกเรื่อง’

          ‘เรื่องอะไร’  เขาถามกลับ

          ‘พี่จริงจังกับผม…ใช่มั้ย’  เด็กหนุ่มถาม  หางเสียงสั่น   ทำเอาคนฟังอึ้งไป

          ‘ทำไมเตถึงคิดว่าพี่ไม่จริงจังกับเรา’  ถามกลับ  ยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร

          ‘งั้นทำไมพี่ถึงแนะนำผมต่อหน้าน้องว่าเป็นเเค่เพื่อนล่ะ’   ตั้งเตพูดรัวเร็ว  ก้มหน้างุด

          เขามองหน้าอีกฝ่าย  เพิ่งเข้าใจว่าปมที่ถูกงอน  แท้จริงมันอยู่ตรงนี้นี่เอง   พิศดูใบหน้าสีชมพูที่ก้มหลบสายตาของเขาแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ

          ‘นึกว่าเรื่องอะไร  งอนเรื่องนี้นี่เองเหรอ’

          ‘……………’  เตไม่ตอบ  เมินมองไปทางอื่น

          เขาอมยิ้ม  นั่งมองอีกฝ่ายนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง   เกลียวคลื่นสีขาวม้วนเข้าหาชายฝั่ง  นกหลายตัวบินถลาเห็นอยู่ลิบๆบนท้องฟ้าสีส้มอ่อน  บรรยากาศสงบเงียบ   บนชายหาดทอดยาวสุดลูกหูลูกตามีแค่เขาสองคนเท่านั้น

          ‘เตอยากให้พี่บอกทุกคนว่าเตเป็นแฟนพี่ใช่ไหม’  ถามออกไปตรงๆ  ก็ก่อนหน้านี้เขาสังเกตเองว่าอีกฝ่ายดูอายมากเวลาที่เขาพูดว่า เราเป็นอะไรกันนี่นะ   แล้วเขาจะกล้าบอกคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกว่าเค้าเป็นแฟนเหรอ

          ‘ก็ถ้าพี่ไม่เต็มใจจะบอกใคร  ก็ช่างมันเถอะ’

          เขารวบมือนุ่มๆมากุมเอาไว้  บีบแน่น

          ‘ใครว่าพี่ไม่เต็มใจล่ะ  พี่ยิ่งกว่าเต็มใจเสียอีก  ความจริงพี่อยากประกาศให้คนทั้งโลกรู้ด้วยซ้ำว่าตั้งเตคนนี้เป็นแฟนพี่  อย่าว่าแต่น้องรหัสเลย’  ดิมพูดออกมาจากใจ 

          ‘แล้วทำไม...’

          ‘เพราะพี่ไม่รู้ว่าเตคิดยังไง  พี่ผิดเองที่ไม่เคยถามเรื่องนี้ก่อน  พี่กลัวว่าถ้าพี่ผลีผลามแนะนำใครต่อใครว่าเตเป็นแฟนพี่ แล้วเตจะรู้สึกยังไง  จะโอเคหรือเปล่า’

          ‘แล้วทำไมผมถึงจะไม่โอเค’

          ‘เพราะ...พี่รู้ตัวว่าพี่ไม่ใช่คนที่ดีที่สุด  ยังมีคนที่เหนือกว่าพี่เข้ามาจีบเตเยอะแยะ  หรือว่าไม่จริง’

          ‘พี่พูดแบบนี้เหมือนดูถูกผมด้วย  ในเมื่อผมตัดสินใจว่าคบกับพี่แล้ว  ก็แปลว่าพี่ดีที่สุดสำหรับผม คนอื่นก็ไม่เกี่ยว’

          คนฟังยิ้มกริ่ม 

          ‘อืม  ก็ว่างั้นแหละ  พี่รู้ตัวมานานแล้วว่าพี่นี่ล่ะดีที่สุดสำหรับนาย ฮ่าๆ  งั้นต่อไปนี้พี่จะแนะนำทุกคนที่เจอว่าเตเป็นแฟนพี่แล้วกันนะ  แบบนี้ตกลงมั้ย  อนุญาตแล้วนี่’

          ตั้งเตชะงัก หันมาผลักหน้าคนพูดแทบหงายหลัง

          ‘นี่แน่ะ  ความจริงต้องการแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ  แต่ไม่ยอมพูด  มาให้เราออกปากเอง  หนอย  เจ้าเล่ห์นักนะ’

          ดิมหัวเราะร่า   ยื่นหน้าเข้าไปถามใกล้ๆ

          ‘ถามจริง  หึงพี่ใช่ป่ะ’  คนฟังหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง  สั่นหัวแรงๆ

          ‘เปล่าสักหน่อย  ใครหึง’

          ‘ก็เรานั่นแหละ   อิๆ   โอ๊ย  อย่าตีพี่นะ’  อีกฝ่ายไม่ฟังทุบลงมาบนไหล่ของเขาแรงๆ   ดิมรีบยึดมือเอาไว้  ออกแรงดึงทีเดียว  ร่างบางกว่าก็เสียหลักเอนเข้ามาปะทะอก  เขารวบแขนกอดเอาไว้แน่น

          ‘ฮื้อ  ปล่อยนะ  เดี๋ยวใครเห็นเข้า’  เสียงเด็กหนุ่มงุ้งงิ้งอยู่ที่อก จนต้องก้มลงไปฟังใกล้ๆ

          ‘เห็นแล้วไง  ก็แฟนกันอ่ะ   กอดกันผิดตรงไหน’  พูดแกมหัวเราะร่าเริง   กลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัวของเด็กหนุ่มในอ้อมแขนระเหยออกมาจากข้างแก้มและซอกคอที่เขาก้มลงพิสูจน์กลิ่นอย่างใกล้ชิด

          ‘โอ๊ย  จักจี้  ปล่อยเหอะ  เดี๋ยวพวกนั้นหลับมาเห็นเข้า  มันล้อตายเลย’  เตพยายามบิดตัวหนีสัมผัสจากปลายจมูกโด่งและริมฝีปากร้อนคู่นั้นที่รุกไล่ไปทั่วพวงแก้มและซอกคอของเขา

          ครู่ใหญ่ทีเดียวเขาถึงจะยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ   ตั้งเตเขยิบหนีไปนั่งจนเกือบริมสุดเสื่อผ้าใบ  ใบหน้าเรียวแดงก่ำแทบสุก ลามลงมาถึงลำคอ  หายใจหอบน้อยๆ

          ‘หนีไปไหน  มานั่งตรงนี้นี่  เร็ว  ดูพระอาทิตย์ตกกัน’  เขาตบมือลงบนที่ว่างข้างตัว  อีกฝ่ายส่ายหน้า

          ‘ไม่เอาแล้ว  เดี๋ยวโดนแกล้งอีก’

          ‘ไม่แกล้งแล้ว สัญญา’  เขายกมือขึ้น เลียนแบบท่าลูกเสือสามัญ  นึกเอ็นดูท่าทางหวาดระแวงเหมือนลูกกวางน้อยระวังภัยของอีกฝ่ายขึ้นมามากๆ  มากจนอยากจะรวบตัวเข้ามาฟัดอีกรอบ....แต่ก็ข่มกลั้นใจเอาไว้

          ‘สัญญาแล้วนะ  ไม่งั้นโกรธ’  เตขู่  เขาพยักหน้ารับ  ฝ่ายนั้นถึงได้ยอมเขยิบเข้ามานั่งข้างๆเขาอีกครั้ง

          ดิมโอบมือไปรอบเอวของคนข้างๆ   ดึงเข้ามาจนชิดตัว   กดปลายคางลงกับศีรษะที่ซบลงบนไหล่บอบบาง  ทอดตามองลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า

          หัวใจของเขาเต้นแรงเป็นจังหวะหนักแน่น  ชั่วขณะหนึ่งที่เขารู้สึกอยากให้ช่วงเวลานี้ ทอดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  ถ้าเป็นไปได้  เขาจะยอมทำทุกอย่าง  ทำทุกทาง  ขอแค่มีคนๆนี้นั่งพิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาต่อไปอีกนานแสนนานเท่านั้น

          พระอาทิตย์ลับของฟ้าไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงท้องฟ้าที่มืดสนิท  ประดับด้วยแสงดาวนับร้อยพันทอประกายอยู่บนนั้น แวววาวแข่งกับประกายตาหวานฉ่ำของคนในอ้อมกอด

          ‘กี่โมงแล้วนะ  ทำไมพวกนั้นยังไม่กลับมาอีก’  เตเปรย

          ‘พวกนั้นคงจะกลับกันไปแล้วมั้ง’  เขาเดาเอา  หรือไม่ก็รู้งาน เลยไม่โผล่เข้ามาเป็นก้างขวางคอ

          ‘เรากลับกันเถอะ   เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ’  เตจำตารางเรียนของเขาได้เสมอ  แม่นยำเสียยิ่งกว่าคนเรียนเสียอีก

          ‘ขออยู่แบบนี้อีกครู่นึงนะ’  แตะริมฝีปากลงบนปอยผมหยักศกสีอ่อนยุ่งเหยิงตามลมที่พัดมาตลอดเวลา  เตนิ่งไปพักหนึ่งก็ขยับตัวยุกยิก

          ‘พอแล้ว  กลับกันเถอะ’  เขาถอนหายใจ  แต่ก็ยอมปล่อยตัวอีกฝ่ายโดยดี  ลุกขึ้น  ก้มลงเก็บของ  กีต้าร์ที่พวกนั้นทิ้งเอาไว้ยังนอนแอ้งแม้งอยู่ที่เดิม 

          ‘พี่มีเพลงจะร้องให้ฟัง  อยากฟังไหม’  เขารีบหาอุบาย  เรื่องอะไรก็ได้ที่คิดออก เพื่อที่จะหาทางรั้งอีกฝ่ายให้นั่งอยู่ตรงนี้ต่อ  อีกสัก2-3นาทีก็ยังดี   บรรยากาศแบบนี้  ไม่อยากจากไปเลยจริงๆ

          เด็กหนุ่มหันมามองกีต้าร์ สลับกับมองหน้าเขา แล้วก็หัวเราะ

          ‘พี่เล่นเป็นด้วยเหรอ’

          ‘แน่ะ  ดูถูก   อยากรู้ต้องลองฟังดู’  เด็กหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ  ยอมทรุดตัวลงนั่งที่เดิมข้างๆเขา  จับตามองมานิ่ง

          สายตาคู่นั้นทำให้เขาประหม่า   ใจสั่นจนลืมคีย์  ต้องนึกอยู่นาน   ในที่สุดก็เลือกเพลงที่เขาชอบที่สุด  เพลงที่ฟังทีไรก็นึกถึงใบหน้าของคนๆเดียว

          คนที่ทำให้เขาเชื่อว่า รักแรกพบ.. มีจริง

 

‘…มีจริงหรือ รักแรกพบเพียงสบตาแค่หนึ่งครั้ง

แค่แรกเห็นเดินผ่านมาไม่พูดจา

ไม่ทักไม่ทาย ไม่รู้ว่าใคร เหตุใดจึงรักกัน

 

ไม่มีทาง เรื่องเพ้อฝันความผูกพันอย่างง่ายดาย

รักแรกพบมีอยู่จริงในนิยาย

หนังสือนิทาน เพลงรักแสนหวาน กับความฝัน

 

แต่วันหนึ่งฉันผ่านมาพบเธอตรงนั้น

ดวงใจ เป็นเดือดเป็นร้อนช่างทรมาน

ราวกับโดนมนตร์แม่มดสะกดพลัน

นาทีนั้น ฉันรักเธอทันใด…’

 

          สายตาสองคู่ผนึกเข้าหากันราวกับมีแรงดึงดูด   ใกล้เข้ามาอีก  ใกล้อีก  จนกระทั่งไม่มีช่องว่างเหลืออยู่ระหว่างกันอีกต่อไป   สัมผัสบนริมฝีปากอิ่มเต็มคู่นั้นทำเอาเขาแทบลืมหายใจ   รดิศปล่อยกีต้าร์ทิ้งเอาไว้บนพื้นอย่างไม่ไยดี   มือทั้งสองประคองใบหน้าเรียวหวานให้แหงนเงยขึ้น รับสัมผัสของเขาอย่างเต็มที่

          รสชาติหวานแหลมยิ่งกว่าน้ำผึ้งรวงและน่าหลงใหลมากกว่านั้นเป็นร้อยเท่า   รสสัมผัสที่ทำให้เขาลืมตัวไปชั่วขณะว่าตนเองกำลังอยู่ที่ไหน  เหมือนล่องลอยออกไปยังอวกาศ  ตัวเบาหวิวไร้น้ำหนัก  ได้แต่ตักตวงเอาจากอีกฝ่ายอย่างกระหาย  ไม่สามารถควบคุมตนเองได้

          หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่ามันจะหยุดเข้าในวินาทีใดวินาทีหนึ่งข้างหน้า  แต่เขาก็ยอม ถ้าจะต้องแลกกับการได้จูบคนๆนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก...

 

‘….รักแรกพบแท้จริงเป็นอย่างไร

เพราะเธอใช่หรือไม่ เปิดใจใครที่ฉันเป็น

จากวันนั้น หัวใจรู้สึกเอง ชัดเจนว่าทุกสิ่ง

เกิดขึ้นจริงใช่ฝันไป ได้พบจึงเข้าใจ มีอยู่จริง.…’

*****************

 


            “ดิม เป็นอะไรหรือเปล่า?” รันตัดสินใจถาม  หลังจากที่อีกคนนิ่งไปนาน  ในมือยังถือกีต้าร์ค้างอยู่แบบนั้น   อีกฝ่ายสะดุ้ง  เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองเหมือนจะเรียกสติกลับคืนมา

            “ขอโทษที  ผมเล่นถึงไหนแล้ว”

            อีกฝ่ายลอบถอนหายใจ  ตอบยิ้มๆ

            “เริ่มไปสองท่อนเอง  ลืมเนื้อก็ไม่บอก  เอาใหม่ๆ  รันช่วยร้องดีกว่า”

            ดิมพยักหน้ารับ   ตั้งต้นจับกีต้าร์ขึ้นมาใหม่  กรีดนิ้วขึ้นอินโทร  แล้วก็หยุดไปอีก

            “ผมว่าเปลี่ยนเพลงดีกว่า  เพลงนี้สงสัยไม่รอด  เอ้า เลือกมาสักเพลงเร็ว”  พูดกลั้วหัวเราะ  แบบที่คนรักที่คบกันมาหลายปี และเป็นเพื่อนกันมานานกว่านั้น  ดูออกอย่างง่ายดายว่าอีกฝ่ายจงใจกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่าง

            แต่เขาก็ทำเป็นไม่สังเกต 

            “รันเลือกเพลงไปก่อนล่ะกัน  ผมขอไปเข้าห้องน้ำสักครู่”

            คนพูดพูดจบก็วางกีต้าร์  ลุกขึ้นเดินกลับไปทางโรงแรม  คุณหมอเด็กมองตามหลัง

            ดิมเป็นอะไรกันแน่  ทำอย่างกับว่าหนีอะไรอยู่งั้นแหละ

            ..............................................


(ต่อด้านล่างค่ะ)

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
ต่อนะคะ
................................................................................................


            ศัลยแพทย์หนุ่มเดินย่ำทรายกลับขึ้นมาจากชายหาดแบบไม่เหลียวหลัง

            จู่ๆ ความรู้สึกที่จำแนกไม่ถูกก็ถาโถมเข้ามาใส่เขา ราวกับคลื่นสึนามิที่พัดถล่มเข้าฝั่งแล้วกวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างราบเรียบเป็นหน้ากลอง   ความหลังที่เขาเคยบังคับตัวเองให้ลืมไปเสียให้สิ้น กลับย้อนคืนมาครบถ้วนคล้ายกับมีคนมากรอเทปซ้ำ

          เสียงหัวเราะของเด็กคนนั้น  ทุกคำพูด  สีหน้า การกระทำ  ทุกอย่างรวมถึงสัมผัสดูดดื่ม นุ่มละมุนลึกล้ำที่ริมฝีปากยังคงตราตรึงอยู่ในใจไม่วาย 

            โธ่เว้ย  ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วยวะ!  เขาเตะทรายแรงๆระบายอารมณ์  จะเรียกว่าหงุดหงิดก็ไม่ใช่  เป็นอารมณ์ที่คล้ายกับความโกรธ  แต่จะโกรธอะไร เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน   อ้อ ก็ต้องโกรธเด็กคนนั้นนั่นแหละ  ยังจะตามมาหลอกหลอนเขาอีก  ขนาดหนีมาทะเลแล้วแท้ๆ

            กลับเข้ามาภายในโรงแรม  มองหาห้องน้ำ สายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นหลังของใครเดินไวๆผ่านลอบบี้โรงแรมไปทางลิฟต์

            หัวใจกระตุกขึ้นมาวูบหนึ่ง   หุ่นแบบนี้  ความสูงเท่านี้  ต่อให้เห็นแค่ข้างหลัง แวบเดียวก็จำได้ทันที

            เท้าไปไวกว่าความคิด  คุณหมอหนุ่มเปลี่ยนเส้นทาง  เดินตามหลังคนๆนั้นไปทันกันที่ลิฟต์   เขาเห็นร่างสูงใหญ่ของคนเป็นเจ้านายเดินมาสมทบจากอีกด้านหนึ่งของลอบบี้  จึงหลบเข้ามุมเสา  ลอบสังเกตท่าทางของคนทั้งสองที่หยุดพูดอะไรกันครู่ใหญ่   เขาเห็นภาคย์ยกมือขึ้นแตะหน้าผากของคนตัวเล็กกว่าราวกับกำลังยั่วเย้าอะไรสักอย่าง

            ....อะไรกัน สองคนนั่น  อย่าบอกนะว่าแอบมาเที่ยวทะเลกันสองคน?... เขาเผลอกำมือแน่น

สุดท้ายเจ้านายหนุ่มรูปหล่อก็โบกมือลา  เดินแยกกลับเข้าไปในห้องประชุม  ทิ้งให้คนๆนั้นยืนรอลิฟต์อยู่คนเดียว  ลิฟต์มาพอดี    รดิศรีบเดินออกมาจากหลังเสา  ตามหลังคนๆนั้นเข้าไปในลิฟต์ด้วยอย่างไม่รอช้า 

            ผู้ชายคนนั้นตกใจ  หันมาจ้องหน้าเขาเหมือนเห็นผี   คงไม่นึกว่าจะเจอกันที่นี่เช่นเดียวกัน

            “พี่ดิม!  เอ้อ  คุณหมอรดิศ”  อีกฝ่ายหลุดเรียกชื่อเขาเหมือนเมื่อสมัยก่อนออกมาคำหนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนเมื่อรู้สึกตัว   เขายิ้ม ทำเป็นไม่สังเกต

            “สวัสดีครับ  คุณติณธร  โลกกลมจังนะครับ”  อีกฝ่ายถอยหลังจนติดกำแพงลิฟต์  แต่คราวนี้เขาไม่ก้าวประชิดหรือกดหยุดลิฟต์อีกแล้ว เพราะกลัวฝ่ายนั้นจะเป็นลมไปเสียก่อนที่จะพูดกันรู้เรื่อง  จึงยืนพิงกำแพงลิฟต์ตามสบาย  กวาดตามองอีกฝ่ายทั่วตัว

            “มาพักผ่อนกับครอบครัวเหรอ   ระวังหน่อยก็ดีนะครับ  น้องเต้เพิ่งหายไข้ เจอลมทะเลเดี๋ยวไข้จะกลับ” แกล้งพูดด้วยเสียงเป็นห่วงเป็นใย สมเป็นคุณหมอที่ห่วงใยในสุขภาพ   สังเกตเห็นสีหน้าอึดอัดจากคนฟังก็ลอบยิ้มสะใจ

            “ปล่าวครับ  ผมมาทำงาน”  เตตอบเรียบๆ  เบือนหน้าหนีเขาไปจ้องตัวเลขบอกชั้นที่ลิฟต์แทน

            “อ้อ  เหรอครับ  งั้นคงมากับคุณบก.โดม ...ผมอยากพบอยู่พอดี”  ดิมพูดต่อ หน้าซื่อ  อีก่ายอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก็ถามกลับมา

            “คุณหมอคงมาพักผ่อนกับครอบครัว”

          “ปล่าวครับ   ผมมากับแฟน...มาทะเลก็ต้องมากับคนรู้ใจหน่อยถูกไหมฮะ  ยิ่งมากับคนรักยิ่งดีใหญ่  บรรยากาศดีๆโรแมนติกแบบนี้  เผื่ออะไรๆจะได้ง่ายขึ้น”  พูดเป็นนัย พร้อมกับสายตาที่จ้องอย่างมีความหมาย  อีกฝ่ายใบหน้าสีจัดขึ้นทันควัน  ไม่ยอมสบตาเขา

            “ผมคงต้องขอตัวก่อน  ยินดีที่ได้พบนะครับ”  เตพึมพำก้าวออกจากลิฟต์ทันทีที่ลิฟต์จอดที่ชั้นของตัวเอง   คุณหมอหนุ่มก้าวตามออกมาด้วยหน้าตาเฉย

            “คุณพักชั้นนี้เหรอ  เหมือนกันเลยครับ”  ดิมพูดลอยๆแล้วก็เดินคู่ไปด้วย ตามทางเดินที่ค่อนข้างแคบ  แขนล่ำสันแกว่งโดนตัวของอีกฝ่ายราวกับไม่ตั้งใจ   จนฝ่ายนั้นทำตัวลีบ

            “เชิญคุณหมอก่อนเถอะครับ”  นักเขียนหนุ่มหยุดเดิน  เป็นทีให้เขาเดินไปก่อน  แต่ดิมส่ายหน้า

            “เชิญคุณก่อนดีกว่า  ห้องเบอร์อะไรครับ  อ้อ  1269 เหรอ  ทางนี้นี่ฮะ”  เขาถือวิสาสะชะโงกเข้าไปดูหมายเลขห้องจากคีย์การ์ดในมือของอีกฝ่าย   แล้วเดินนำไปหยุดรอที่หน้าห้อง

          ติณธรเม้มปาก

            “คุณหมอมีอะไรจะคุยกับผมหรือเปล่า”  ตัดสินใจถามตรงๆ เพราะเบื่อกับเกมของอีกฝ่ายเต็มที   แต่รดิศกลับเลิกคิ้วขึ้น  หน้าตาเลิ่กลั่ก

            “อะไรครับ?  ไม่มีอะไรนี่”

          “ถ้างั้นก็...ลากันตรงนี้นะครับ”  เตพูดจบก็ยกมือไหว้ แล้วลดมือลงมากอดอก  ไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทางนั้นกลับทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง

            .....เหมือนเหลือเกิน    เหมือนน้องเตเมื่อหลายปีก่อนนั่น   เวลาโกรธชอบยกมือขึ้นมากอดอก  เม้มปากนิดๆ นัยน์ตาบอกว่าพร้อมเอาเรื่อง  ทั้งที่ตัวเล็กนิดเดียวแบบนี้ล่ะ  แต่ก็สู้ขาดใจ ใครอย่าริลองมีเรื่องด้วยเชียว.....

            “ครับผม”  เขาสะกดใจเอาไว้  พูดยิ้มๆ ก้มหัวให้เป็นเชิงล้อเลียน  อีกฝ่ายตวัดสายตาใส่เขาคล้ายค้อน หันกลับไปเสียบคีย์การ์ดประตูเพื่อปลดล็อค

            เตเปิดประตูห้อง

            “คุณอยู่คนเดียวเหรอครับ”  คนพูดชะโงกข้ามไหล่เข้าไปดูภายในห้อง  ความใกล้ชิดชั่วขณรดิศจงใจให้เกิดขึ้น ทำให้ตั้งเตตัวแข็ง  ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดอยู่ข้างแก้ม  วูบเดียวก็ผละออกไป

            “เชิญคุณหมอกลับห้องเถอะครับ”  เตแข็งใจหันกลับมาไล่ แต่ปลายจมูกแทบจะปะทะกับแผ่นอกที่อยู่ชิดจนต้องถอยหลังเข้าไปในห้องเพื่อเพิ่มระยะห่าง 

            “คุณอยู่ห้องคนเดียวไม่กลัวเหรอครับ”  คุณหมอหนุ่มถามยิ้มๆ  ก้าวตามอีกฝ่ายพ้นประตูห้องเข้าไปภายใน  เห็นคนตรงหน้าเริ่มมองซ้ายขวาล่อกแล่กก็ลอบยิ้มมุมปาก

            “ผมไม่กลัว ....คุณหมอกลับออกไปเถอะครับ”  เตพูดซ้ำ  เริ่มใจไม่ดี เมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะถอยกลับไปเลยสักนิด  นึกเจ็บใจที่ประมาท เปิดประตูห้องเสียก่อนที่พี่ดิมจะกลับไป 

            “แต่ผมกลัว   ผมไม่อยากอยู่ที่ห้องคนเดียว  ขอผมอยู่ด้วยครู่นึงได้มั้ย”  ศัลยแพทย์หนุ่มพูดหน้าตาย   หันไปปิดประตูห้องพัก  แล้วก้าวเข้ามายืนประจันหน้ากับเจ้าของห้อง    เอียงคอมองยิ้มๆ

            “เป็นอะไรไป คุณเต  หรือว่าคุณกลัวผม?”  พูดพลางก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด   เช่นเดียวกับเจ้าของห้องที่ถอยหลังไปหนึ่งก้าว

เตพูดเสียงสั่นนิดๆ   ก้าวถอยหลังไปทางโทรศัพท์ของห้องพักที่ตั้งอยู่หัวเตียง

            “โอ  จะไปกันใหญ่แล้วคุณเต  ผมไม่ได้จะทำอะไรคุณนะครับ  แค่อยากคุยด้วยเฉยๆ”

          “งั้นออกไปคุยกันข้างนอกก็ได้”

            “จะดีหรือครับ   คุณคงไม่อยากให้เรื่องที่ผมจะพูดหลุดถึงหูใครต่อใครหรอกครับ  เพราะมันน่าอาย”  แววยิ้มเยาะผุดขึ้นมาในแววตา   นักเขียนหนุ่มถามกลับอย่างไม่เข้าใจ

            “คุณหมายถึงอะไร”

            “ก็อย่างเช่น...เรื่องเจ้านายกับลูกน้องหนุ่มที่มีลูกเมียแล้ว  แอบหนีมาเปิดห้องค้างคืนกันสองต่อสองริมทะเลไงล่ะ   คุณว่าเรื่องนี้มันน่าอายไหมล่ะครับ    ไม่สิ  บางทีคุณอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของคนสมัยนี้ไปแล้วก็ได้  ที่จะลักลอบกินกันเองในบริษัท  คบชู้สู่ชายอะไรทำนองนี้...หรือว่ายังไงครับ”

            คนฟังจ้องเขาเขม็ง  หน้าแดงก่ำ  พูดปากคอสั่น

            “นี่คุณพูดเรื่องอะไร  คุณหมายถึงผมกับ..”

          “เปล่าครับ  ผมก็พูดทั่วๆไป  หรือว่าคุณทำแบบนั้นล่ะ”  คุณหมอถามกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ  ขณะที่คนฟังรู้สึกเหมือนมีใครมาปาระเบิดใส่หูดังบึ้ม  เข้าใจคำว่าโกรธจนหูอื้อคราวนี้เอง   ยกมือขึ้นชี้ไปที่ประตู  บังคับตัวเองไม่ให้เสียงสั่น

            “คุณออกไปเลยนะ  ออกไปเดี๋ยวนี้!”

            นอกจากจะไม่ออกแล้ว  คุณหมอคนนั้นยังก้าวเข้ามายืนจนชิด     เจ้าของห้องถอยหลังจนแผ่นหลังสัมผัสกำแพงเย็นๆ.....ไม่มีที่ให้ถอยอีกแล้ว

          “เป็นอะไรไป  โดนจับได้แค่นี้อายเหรอ   เมียคุณรู้หรือเปล่าว่าใช้ ‘สามี’ ร่วมกับคนอื่นน่ะ”  เน้นบางคำด้วยความสะใจ   ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหน้าซีดแทบไม่มีสีเลือด  เขาก็ยิ่งสาแก่ใจ

            “ผมจะเตือนคุณเป็นครั้งสุดท้ายนะ  ถ้าคุณยังทำตัวน่ารังเกียจแบบนี้อยู่อีกล่ะก็  อย่าหาว่าผมไม่เตือน”

          “คุณมายุ่งอะไรด้วยไม่ทราบ...”  เขาหลุดออกมาประโยคแรก  หลังจากยืนอึ้งอยู่นาน    รดิศเลิกคิ้ว   ยกแขนขึ้นเท้ากำแพงทั้งสองข้างเอาไว้  กั้นไม่ให้อีกคนหลบไปทางไหน

            “เพราะผมทนดูคนชั่วสองคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้หญิงกับเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไม่ได้น่ะสิ”  เตเชิดใบหน้าขึ้น  เม้มปากอย่างถือดีไม่แพ้กัน

          “อ้อ  คุณจะบอกว่าตัวเองเป็นคนดีเลอเลิศงั้นสิ  ถ้าอย่างนั้นตอนนี้แฟนคุณอยู่ที่ไหนล่ะ  คุณปล่อยให้แฟนของคุณอยู่คนเดียว ขณะที่คุณ.....เอ้อ”  คนพูดชะงัก  เมื่ออีกฝ่ายก้าวเข้ามาชิดเขาจนแทบไม่เหลือช่องว่างให้หายใจ  ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดที่ซอกคอเป็นจังหวะ

            “ขณะที่ผมทำไม?   ทำไมไม่พูดให้จบ  ขณะที่ผมกอดคุณอยู่แบบนี้เหรอ  หรือว่าขณะที่ผมจูบคุณ  หืม”  รดิศพึมพำกับซีกแก้มขาวเนียนที่เปลี่ยนเป็นสีแดงลามลงมาถึงลำคอ   เลยขึ้นไปที่ใบหูเล็ก   ขบเม้มที่ติ่งหูนั่นเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยวจนอีกคนขนลุกซู่

            ตั้งเตยกมือขึ้นดันแผ่นอกกว้างนั้นแรงๆ

            “ปล่อยผม  คุณมันแย่ที่สุด”  อีกฝ่ายไม่สะเทือนกับแรงอันน้อยนิดนั่น  รดิศก้มลงสูดกลิ่นหอมอ่อนเฉพาะตัวที่เขาไม่เคยได้กลิ่นแบบนี้จากใครมาก่อน   หัวใจเริ่มเต้นเร็วแรง

            ความรู้สึกเหมือนคนที่เดินโซซัดโซเซอยู่กลางทะเลทราย  หิวน้ำแทบขาดใจ  รู้สึกหมดหวังแล้วแบบคนใกล้ตาย แต่จู่ๆก็ได้พบโอเอซิสเข้าอย่างไม่คาดฝัน

            กระโจนเข้าไปดื่มกินอย่างกระหาย  ไม่อยากผละออกแม้สักวินาทีเดียว

            ความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายกับความคิดถึง และอารมณ์เต็มตื้นในหัวอก  เหมือนคนที่ได้สิ่งที่คิดว่าหลุดลอยไปแล้วกลับคืนมาในอ้อมกอดอีกครั้ง   มันทำให้เขาลืมตัว  จากตอนแรกที่ตั้งใจเพียงแค่จะแกล้งและสั่งสอนเท่านั้น   แต่ว่าตอนนี้เขาไม่สามารถจะหยุดยั้งตัวเองได้แล้ว

            เช่นเดียวกับอีกคนที่ทิ้งมือลงอย่างอ่อนแรง   เงยหน้าขึ้นหลับตารับสัมผัสที่เบื้องลึกในจิตใจบอกว่าโหยหามาแสนนาน

            ....พี่ดิม   พี่ดิมกลับมาแล้วใช่ไหม....

            ได้เเต่ยกมือขึ้นโอบรอบลำคอของอีกฝ่ายอย่างเลื่อนลอย  ลูบไล้ไปทั่วเส้นผมอ่อนนุ่มนั้น  ริมฝีปากของเขาถูกสัมผัสซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ปลายลิ้นเกี่ยวพันอย่างคนที่รู้จังหวะของกันและกันดี   หัวใจของเขาเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ  สั่นหวิวเหมือนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยอดตึกใบหยก

            เพริดไปตามอารมณ์ที่อีกฝ่ายปรนเปรอให้

            ไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง  และยืนจ้องพวกเขาค้างอย่างคาดไม่ถึง

            จนกระทั่งร่างของคนที่เกาะเกี่ยวเขาอยู่หลุดกระเด็นลงไปกองที่พื้น   ติณธรลืมตาขึ้น  ร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเจ้านายของเขากำลังเงื้อหมัดขึ้น เตรียมจะประเคนลงบนใบหน้าของคุณหมอหนุ่ม

            “อย่าทำพี่ดิม!!”

            ประโยคเดียวที่ทำให้ทั้งคู่หยุดชะงักพร้อมๆกัน  หันมามองเขาเป็นตาเดียว

            แต่ว่าเขากลับใจสั่นหวิว  ภาพตรงหน้าพร่าเบลอ   จำได้ลางๆว่าพูดประโยคเดิมซ้ำออกไปอีกรอบ  ก่อนที่ทุกอย่างจะโคลงเคลงแล้วดับวูบ

            “เต/คุณเต!!” ชายหนุ่มสองคนร้องออกมาพร้อมกัน  รดิศไวกว่าเอื้อมไปรับตัวเอาไว้ได้ทันก่อนที่ร่างเล็กบางจะล้มฟาดพื้น

            ใบหน้าเรียวซีดไร้สีเลือด   เขาจับปลายคางสั่นเบาๆ

            “เต   ตั้งเต....คุณไปหาผ้าเย็นๆมาหน่อย  คงเป็นลม”   เงยหน้าขึ้นบอกอีกคนในห้อง แล้วออกแรงอุ้มร่างของนักเขียนหนุ่มขึ้นไปวางบนเตียง  เอือมมือไปปลดตะขอกางเกงให้

            “นั่นคุณจะทำอะไร”  ภาคย์กลับมาพร้อมผ้าเย็นในมือ ถามเสียงเข้ม  จ้องไปที่มือของเขาที่ค้างอยู่ที่เข็มขัดของคนบนเตียงเขม็ง

            “ผมจะช่วยคลายกางเกงไง    มียาดมมั้ย”  ถามเสียงห้วนๆ  อีกฝ่ายบอกไม่มี  เขาก็เดินไปด้อมๆมองๆที่กระเป๋าเดินทาง   เดาได้ไม่ยากว่าใบไหนเป็นของเต  ถือวิสาสะรูดซิปเปิดออก

            “เห้ย  นั่นคุณรื้ออะไร”  ภาคย์อุทานซ้ำ  แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ  ล้วงมือเข้าไปครู่หนึ่งก็หยิบเอาตลับยาหม่องเล็กๆออกมาจากกระเป๋าใบนั้น

            คุณหมอหนุ่มเดินกลับมา ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างตัวของคนเป็นลม  เปิดตลับยาหม่อง  ล้วงขึ้นมาป้ายที่ใต้จมูกของอีกฝ่ายง่ายๆ   จากนั้นรับผ้าเย็นมาซับใบหน้าและซอกคอให้ด้วยท่าทางนิ่มนวลเกินกว่าที่จะเชื่อว่าผู้ชายหน้าคมดุจะสามารถทำได้ถึงเพียงนี้

            ภาคย์อึ้งไป   เขาจับตามองอีกฝ่ายไม่กระพริบ  นึกแปลกใจที่ฝ่ายนั้นดูคุ้นเคยกับการช่วยอะไรแบบนี้เสียเหลือเกิน....แต่ก็นะ  เขาเป็นหมอนี่  ก็ต้องเคยคุ้นกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสิ  แต่ว่า  เค้ารู้ได้อย่างไรว่ากระเป๋าของติณธรมียาหม่องอยู่ด้วย?

            พอหายตกใจ  ความโกรธก็กลับคืนมาใหม่อีกครั้งพร้อมกับความสงสัย

            ท่าทีของคุณหมอคนนี้ ไม่เหมือนกับตอนที่เจอที่โรงพยาบาลเลยสักนิด   สายตาห่วงใยที่เฝ้าจับไปที่ใบหน้าของลูกน้องของเขา  มันไม่ใช่แค่คนที่รู้จักกันอย่างผิวเผินเลย   ยิ่งภาพที่ทั้งสองคนนัวเนียใกล้ชิดกันเมื่อครู่นี่ที่ทำให้เขาโกรธจนขาดสติอีกล่ะ

            คุณหมอคนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกับลูกน้องของเขากันแน่

            ............................................................................................


มาต่อจนจบตอนแล้วค่ะ   ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามอ่าน
ฝากแนะนำติชมด้วยนะคะ จะนำไปปรับปรุงแก้ไขค่ะ


 

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ  ติดตามนะจ๊ะ 

ออฟไลน์ godofhill

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คุณหัวหน้าภาคย์นี่รู้สึกเกาะแกะ ตั้งเต มากอ่ะ

ออฟไลน์ ketekitty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
ซับซ้อน น่าติดตามมากค่ะ

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
ตั้งเต ช่วงนี้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เป็นลมบ่อยมาก
สงสารเต .....


ปล.ฉันอยากรู้ความจริง อะไรมันเป็นยังไง
รอตอนต่อไปค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด