พี่ชายชั่วคราว #กูนติ บทที่ 16 (13.01.2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: พี่ชายชั่วคราว #กูนติ บทที่ 16 (13.01.2020)  (อ่าน 8973 ครั้ง)

ออฟไลน์ snoopyme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :hao6:   :katai4:   :ruready

ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 9
สังคมใหม่กับคนใหม่ๆ

Sati’ s talk

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก นับตั้งแต่วันที่ประกาศผลผ่านมาเกือบๆ เดือนวันนี้เป็นวันสัมภาษณ์ ผมตื่นเต้นมากกว่าเดิมอีก โดยเฉพาะตอนนี้รอบๆ ผมมีแต่คนมาสัมภาษณ์เต็มไปหมด หน้าตาแต่ละคนดูดีกว่าเพื่อนๆ ผมหลายเท่า เอาจริงๆ ผมอดที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ ไม่ได้เลย

อ่อ ผมลืมบอกไปว่าวันนี้พี่กูนมาส่งผมเหมือนเดิม ตอนแรกพี่กูนจะอยู่รอรับแต่พอดีว่ามีงานเข้าทำให้พี่กูนจำเป็นต้องกลับไปทำงาน ซึ่งเรื่องนี้ผมเข้าใจดี อีกอย่างผมก็สามารถกลับบ้านเองได้ จึงไม่เดือดร้อนถ้าพี่กูนจะไม่อยู่รอรับผม

“มึงชื่อไรวะ” ผมหันไปมองคนข้างๆ ผมที่อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาโดยที่สายตาไม่ได้มองมาที่ผม

“ถามกูเหรอ?”

“เออ นั่งอยู่กับมึงจะให้กูถามป้ามึงมั้ง” นับว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่การทำความรู้จักเริ่มด้วยการด่าญาติพี่น้อง แต่ยังดีที่มันไม่เล่นพ่อแม่ผมด้วย เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรนะ เพราะพ่อกับแม่ก็เหมือนคนแปลกหน้าสำหรับผมอยู่แล้ว ด่าไปเถอะผมโอเค

“กูชื่อติ มึงชื่อไร”

“ช้าง กูชื่อช้างใหญ่”

“เอ่อ..ทำไมต้องมีใหญ่ด้วยวะ” อันนี้ผมไม่ได้กวนตีนมันนะแต่ผมสงสัยคำคุณศัพท์ของมันที่แถมมาด้วย

“ตอนอนุบาลมีคนชื่อช้างหลายคนแต่กูตัวใหญ่สุดเลยชื่อช้างใหญ่”

“กูถามจริง” ไอ้ที่ผมถามจริงก็เพราะว่ารูปร่างของมันตอนนี้ห่างไกลจากคำว่าตัวใหญ่ของมันเลย ดูจากสายตามันน่าจะเตี้ยกว่าผมหลายเซนต์ ตัวมันก็ไม่ได้อ้วนไม่ได้ใหญ่เลย

“ถ้ามองกูตั้งแต่หัวจรดตีนขนาดนี้มึงลุกมาต่อยกูก็ได้นะ”

“ไม่เอาดิวะไม่อยากมีเรื่องตั้งแต่วันแรก เอาเป็นว่าตอนนี้กูกับมึงเป็นเพื่อนกันแล้วเนอะไอ้ช้างใหญ่”

“เออ มึงติเนอะ”

“ใช่ ติเอง” และผมก็มีเพื่อนแบบงงๆ จะว่าไปผมกับไอ้ช้างใหญ่ก็คุยกันถูกคอเหมือนรู้จักกันมานาน จนกระทั่งหลังสัมภาษณ์มันชวนผมไปกินข้าวกับพี่ของมัน

“สวัสดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้รุ่นพี่ของไอ้ช้างใหญ่ที่เดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทางนักเลง บอกตามตรงว่ากลิ่นอายตอนเรียนที่วิทยาลัยมันกลับมา

“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ พี่กูใจดีๆ” ไอ้ช้างใหญ่ดึงตัวผมนั่งลงที่เดิม

“เพื่อนมึงเหรอไอ้ช้าง”

“เออดิพี่ ไอ้ตินี่พี่สิงห์พี่ชายกูอยู่ปีสี่ พี่สิงห์นี่เพื่อนผมชื่อติเด็กปวส.เหมือนกัน”

บอกตามตรงว่าผมโคตรเกร็งเพราะนอกจากพี่สิงห์พี่ชายแท้ๆ ของไอ้ช้างยังมีเพื่อนพี่สิงห์อีกสี่ห้าคนตามเข้ามา ผมจับใจความได้ว่าพวกพี่สิงห์เองเป็นเด็กเตรียมวิดวะของมหาวิทยาลัยนี้เหมือนกับไอ้ช้างใหญ่ แต่พวกพี่สิงห์ค่อนข้างมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนในคณะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลนี่แหละ

“ถ้าใครปากดีหาเรื่องพวกมึงก็บอกกู ไม่ได้จะจัดการให้มึงนะ แต่จะเรียกมาอบรมเพราะที่นี่เรื่องทะเลาะวิวาทไม่มี กูไม่รู้หรอกว่าที่วิลัยมึงจะเป็นอย่างไร แต่ที่นี่มันไม่ใช่ แล้วก็อย่าให้กูรู้ว่าพวกมึงไปหาเรื่องใครเพราะถ้ากูรู้มึงโดนหนักแน่ โดยเฉพาะมึงไอ้ช้าง” ก่อนจะกลับพี่สิงห์ย้ำเตือนเรื่องการมีเรื่องในมหาลัยให้ผมกับไอ้ช้างใหญ่ฟัง ซึ่งผมเองก็ไม่ได้กระหายจะมีเรื่องกับใครอยู่แล้ว แต่ไอ้เพื่อนใหม่ของผม ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน ก็รอดูกันไปอย่างน้อยผมก็อุ่นใจที่ผมมีเพื่อนในมหาลัยคนแรกอย่างไอ้ช้างใหญ่

“มึงอยู่หอหรือบ้านวะไอ้ติ” ตอนนี้ไอ้ช้างใหญ่เดินมาส่งผมที่ป้ายรถเมล์หลังจากที่อยู่คุยกับพวกพี่สิงห์

“บ้านๆ มึงอะไอ้ช้างใหญ่” ผมถามมันกลับ

“อยู่บ้านเหมือนกัน แต่พี่สิงห์อยู่หอถ้าวันไหนขี้เกียจกลับบ้านก็มาอยู่กับพี่สิงห์” เมื่อมาถึงป้ายรถเมล์ไอ้ช้างใหญ่ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ผมพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมายื่นให้ผม “เอาเบอร์มึงมา เผื่อติดต่อกันช่วงปิดเทอม เออหนิมึงซื้อเสื้อช้อปยัง”

“ต้องใส่ด้วยเหรอมึง” อันนี้ผมถามด้วยความโง่เลย เสื้อช้อปที่ไอ้ช้างมันว่าก็คือเสื้อที่ผมเคยใส่ไปเรียนตอนอยู่ปวส.แต่พอขึ้นมหาลัยก็ยังคงต้องใส่เหรอวะ ผมคิดว่าใส่แค่เสื้อนักศึกษาซะอีก

“ใส่ดิวะไม่เห็นพี่สิงห์ใส่เหรอ”

“แล้วเราต้องมีกี่ตัววะ” ตอนที่ผมเรียนปวส.ผมมีแค่ตัวเดียวใส่สามวันต่ออาทิตย์ ผมก็รีบกลับมาซักถ้าวันไหนซักไม่ทันผมก็ใส่ซ้ำ

“กูว่าจะซื้อสักสามสี่ตัวจะได้ใส่ครบอาทิตย์ไม่อยากรีบซัก”

“แล้วมันเท่าไหร่วะ”

“ตอนที่พี่สิงห์ตัดก็ตัวละเกือบๆ ห้าร้อยมั้ง น่าจะไม่เกินนี้” ห้าร้อยเลยเหรอวะ? สามตัวก็พันห้า แล้วผมจะเอาเงินมาจากไหนตั้งพันห้า เงินที่พี่กูนให้ผมเอาไว้กินก็เหลือพอที่จะซื้อเสื้อใส่ แต่...ผมจะเก็บส่วนนั้นไว้ใช้จ่ายค่าชีทค่าหนังสือเรียน ถ้าเอามาซื้อเสื้อตอนนี้มีหวังไม่พอแน่ๆ อีกอย่างผมก็ไม่อยากจะรบกวนพี่กูนมากไปกว่านี้ ลำพังแค่พี่กูนออกค่าเทอมให้ผมก็เยอะพอแล้ว “มึงมีปัญหาอะไรหรือป่าววะ กูพอจะช่วยได้ไหม?” เมื่อเห็นว่าผมเงียบไปไอ้ช้างใหญ่มันเลยถามขึ้น

“ไม่มีมึง งั้นกูไปก่อนนะรถเมล์มาพอดี” เป็นจังหวะที่รถเมล์สายที่ผมใช้กลับบ้านผ่านมาพอดี ทำให้ผมใช้โอกาสนี้บอกลาไอ้ช้างใหญ่

ระหว่างทางผมก็คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรกับค่าใช้จ่ายจุกจิกแบบนี้ การเรียนมหาวิทยาลัยแค่ค่าเทอมอย่างเดียวมันไม่ได้ ผมว่าผมต้องคุยเรื่องนี้กับพี่กูนจริงจังเรื่องทำงานพิเศษ ถ้าให้ผมแบมือของอย่างเดียวผมทำไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ขอให้ผมพยายามด้วยตัวผมเองบ้าง

“ไปไหนน้อง”

“หมูบ้านพฤษเสียวโฮมพี่” หลังจากที่ลงรถเมล์ผมก็มาต่อวินมอเตอร์ไซค์เพื่อเข้าไปยังหมู่บ้าน แต่ระหว่างนั้นผมเหลือบเห็นป้ายประกาศรับสมัครวินมอเตอร์ไซค์อยู่ที่ท่าวิน “เปิดรับวินเหรอพี่” เมื่อได้โอกาสผมจึงแอบถามพี่วินคันที่ผมขึ้น

“ใช่ แต่แค่ชั่วคราวสองเดือนระหว่างที่คนเก่ามันกลับไปแต่งงาน น้องสนใจเหรอ?” พี่วินเอี้ยวตัวกลับมาถามขณะขับรถ “ปกติต้องเสียค่าเสื้อวินนะแต่ถ้าน้องสนใจมันชั่วคราวไม่ต้องจ่าย แค่ว่างมาทำพอ”

“แล้วมันต้องหักค่าอะไรไหมพี่”

“ก็มีนิดหน่อย ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด”

“ผมสนใจพี่ แต่ว่าผมขอไปถามผู้ปกครองผมได้ไหมครับ”

“ถ้านานพี่รู้ว่าจะมีคนมาแทนไหม”

“งั้น....ผมทำพี่ เริ่มพรุ่งนี้ใช่ไหมครับ” ในเมื่อไม่มีเวลาให้คิดผมจึงตอบตกลงพี่วินไปโดยที่ยังไม่ได้ขออนุญาตพี่กูน

“มีใบขับขี่นะ”

“มีครับ” และแล้วผมก็ตกลงกับพี่วินและรู้ทีหลังว่าพี่วินที่มาส่งผมชื่อว่าพี่ติ่ง เป็นหัวหน้าวิน ในเมื่อผมคอนเฟิร์มกับพี่ติ่งแล้วพี่ติ่งก็จะล็อกงานนี้ให้ผม และโชคดีอีกอย่างก็คือพี่ติ่งให้ผมขับมอเตอร์ไซค์ของพี่ที่ไปแต่งงานทำให้ผมไม่ต้องไปหามอเตอร์ไซค์ ไม่อย่างนั้นได้ยกเลิกแน่

เมื่อมาถึงบ้านผมจัดการเปลี่ยนชุดเก็บกวาดทุกอย่างและอุ่นอาหารเตรียมให้พี่กูนที่ยังไม่ได้กลับมาจากที่ทำงาน ผมจัดการตัวเองจนเสร็จเลยมาเตรียมคำพูดว่าจะพูดกับพี่กูนอย่างไรดีให้พี่กูนยอม

“พี่กูนครับคือพี่ดีกับผมมาก แต่ว่าผมต้องใช้เงินและผมไม่อยากขอพี่ ดังนั้นผมอนุญาตไปทำงานนะ....อันนี้ดีป่าววะ”

“พี่กูนครับคือไปมหาลัยมันต้องใช้เงินเยอะผมไม่อยากขอเงินพี่ ผมขอไปทำงานข้างนอกนะ พี่ไม่ต้องกังวลผมดูแลตัวเองได้”

“พี่กูนผมขอไปทำงานนะพี่” ผมซ้อมพูดอยู่คนเดียวหน้ากระจกพยายามจะทำหน้าตาให้ดูน่าสงสารเผื่อพี่กูนจะเห็นใจและยอมให้ผมไปทำงาน

ผมนั่งรอและซ้อมพูดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพี่กูนกลับมา...หัวใจของผมเต้นแรงไม่เป็นจังหวะขณะที่พี่กูนกำลังก้าวเข้ามาด้านใน

“ครับท่าน พรุ่งนี้ได้ครับ....” พี่กูนคุยโทรศัพท์เข้ามาด้านใน แต่เมื่อเห็นว่าผมยืนขึ้นทำท่าเหมือนจะพูดอะไรพี่กูนเลยหยุดพูดกับปรายสายพร้อมกับเลิกคิ้วมาทางผม

“คือว่าผม....” ส่วนไอ้ผมก็เอาแต่อึกอักไม่กล้าขอ

“ได้ครับไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ผมรวบรวมสำนวนทุกอย่างไว้แล้วเกี่ยวกับคดีนี้ รอแค่หลักฐานจากกองพิสูจน์เท่านั้นครับ” แม้ว่าปากของพี่กูนจะคุยอยู่กับปลายสายเหมือนไม่สนใจ แต่สายตากลับจ้องมาที่ผมดุๆ เพื่อสื่อว่าให้ผมรีบพูด

“ผมขอไปขับวินนะพี่” ผมรวบกล้าพูดออกมาเร็วๆ

“ครับท่าน ได้ครับ ผมว่านะเรื่องนี้มันอาจจะมีขั้นตอนบางอย่างผิดปกติก่อนที่จะส่งมาถึงพวกเรา” พี่กูนพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเดินคุยโทรศัพท์และเข้าไปในห้อง

“ตกลงคือได้ใช่ป่าววะ สรุปเองว่าได้ก็ได้วะ” ผมยืนงงอยู่สักพักก่อนจะเดินไปที่โต๊ะอาหารเพื่อรอพี่กูนไปเปลี่ยนชุดและอาบน้ำอาบท่า

รอไม่นานพี่กูนเดินออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดผมมองผมด้วยสายตาจับผิด

“มึงไปทำอะไรผิดมา?” พี่กูนถามอย่างแปลกใจ

“คือ...ผม ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนิพี่ พี่จะเอาข้าวเยอะไหม แต่ผมว่าเอาเยอะไปเลยเนอะพี่ พี่จะได้โตไวๆ มีแรงทำงานเพื่อประชาชน” ผมเนียนเดินไปตักข้าวให้พี่กูน

“ให้กูกินหมดนี่?” พี่กูนมองข้าวในจานที่ผมตักมาให้แบบพูนๆ

“ผมอยากให้พี่กินอิ่มนอนหลับไง”

“มึงรู้ตัวไหมว่ามีพิรุธ”

“ไม่รู้อะไรเลยพี่ พี่กินๆ วันนี้ป้าแจ่มทำแต่ของโปรดพี่ทั้งนั้นเลย ไก่กระเทียม ไข่พะโล้ กุ้งผัดสตอ” ผมรีบตักอาหารใส่ไปในจานพี่กูนอย่างเอาอกเอาใจ

“ถ้ากูจับได้สองเท่า”

“ไม่มีไงพี่บอกว่าไม่มีก็ไม่มีอะไรจริงๆ เชื่อผมดิ”

“แล้วไปสัมภาษณ์มาเป็นไง” พี่กูนตักข้าวกินพร้อมกับเอ่ยถามถึงเรื่องการสัมภาษณ์วันนี้

“ก็ดีพี่ ผมมีเพื่อนแล้วคนหนึ่งชื่อช้างใหญ่แต่ตัวอย่างมดเลย ท่าทางตลกดีมันมีพี่ด้วยนะเชื่อพี่สิงห์น่าจะเป็นคนดังของคณะเลย”

“กูก็แนะนำอะไรมึงไม่ได้หรอกนะ เพราะกูไม่เคยเรียนมหาลัย แต่คบเพื่อนก็เลือกคบแต่เพื่อนดีๆ อย่าพากันลงเหว ถ้าไม่มีเพื่อนดีๆ มึงก็อย่าพาตัวเองไปตกต่ำ” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“พี่..ทำไมพี่ถึงไม่อยากให้ผมทำงานพิเศษ”

“เรื่องนี้คือเรื่องที่ทำให้มึงแปลกๆ เหรอไอ้ติ มึงปิดบังอะไรกู” พี่กูนวางช้อนส้อมลงก่อนจะนั่งกอดอกพิงเก้าอี้และมองหน้าผมนิ่งๆ

“ไม่มีหนิพี่ ผมแค่ถามดูเห็นพี่ไม่อยากให้ผมทำงาน” ผมเฉไฉไปเรื่อยพยายามหลบสายตาและโฟกัสอยู่กับอาหารตรงหน้า

“ถือว่ากูถามมึงแล้วนะไอ้ติ” ทำไมผมรู้สึกเสียวสันหลังกับคำพูดของพี่กูนจังวะ ผมรู้ว่าพี่กูนไม่ได้ขู่แต่พี่แม่งทำจริงแน่ๆ แต่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องไม่กล้าที่จะเอ่ยปากบอกพี่กูนไปตรงๆ ว่าผมขับวิน

ระหว่างกินข้าวผมพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผมปิดบัง และผมก็ได้ข้อสรุปว่า ถ้าผมบอกแล้วพี่กูนไม่ให้ผมทำงาน มันจะทำให้ผมต้องไปยกเลิกพี่ติ่ง ซึ่งผมรับปากไปแล้วผมไม่อยากผิดคำพูด

ผมไม่รู้ว่ามันจะเพียงพอไหม แต่ที่แน่ๆ ผม...ผมไม่อยากรบกวนเงินของพี่กูน

ขอโทษที่ผมเลือกที่จะปิดบังนะครับ

“ครับพี่ ผมไม่มีอะไรจริงๆ” พี่กูนพยักหน้าและกินข้าวต่อและไม่ได้สนใจผม จนกระทั่ง

“กูไม่อยู่บ้านนะ น่าจะเกือบๆ เดือนไม่ต้องอุ่นอาหาร มึงไปกินกับพ่อแม่บ้านใหญ่เลย ถ้าขาดเหลืออะไรก็ไลน์มาบอก ช่วงนี้ยุ่งๆ หน่อย” ผมเห็นแววตาเหนื่อยๆ ของพี่กูนเมื่อพูดถึงเรื่องงาน

“เป็นตำรวจแบบพี่มันเหนื่อยเนอะ ตั้งแต่ผมมาอยู่กับพี่ผมยังไม่เคยเห็นพี่ได้พักผ่อนอยู่บ้านเลย ทำไมตำรวจคนอื่นๆ ถึงดูสบายจัง”

“สบาย สบายไงวะ”

“ก็แบบมีเงินใช้ มีรถหรู มีเมียเยอะ ไม่รู้ดิมันดูสบาย แต่พี่คือหอบงานมาทำเกือบทุกวัน แถมงานของพี่ยังโคตรจะเสี่ยง ผมเห็นแม่พี่บ่นบ่อยๆ” อันนี้ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้อยากเผือกเลย เพียงแต่..ผมแอบได้ยินคุณแม่ของพี่กูนบ่นอยู่บ่อยๆ

“กูเลือกแล้ว”

“แม้ว่าพี่จะไม่มีความสุขอะนะ?”

“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่มีความสุข?”

“ถ้าพี่มีความสุขพี่คงไม่กลับบ้านมาเครียดแบบนี้เกือบทุกวันหรอก ผมขอพูดในฐานะน้องชาย ผมเป็นห่วงพี่วะผมไม่อยากให้พี่เสี่ยง”

“แต่มันเป็นงานของกู ถ้ากูไม่ทำจะเอาที่ไหนกิน? ให้กูขอแม่แบบนั้นดิ?”

“แต่พี่เคยบอกว่าพี่รวย...”

“เฮ้อออ ทำไมกูต้องมานั่งอธิบายให้มึงฟังวะไอ้ติ?” คราวนี้พี่กูนถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าผมยังคงไม่หยุดเซ้าซี้เกี่ยวกับเรื่องงานของเขา

“ก็เพราะเงินที่ผมใช้อยู่ทุกวันมันเป็นเงินของพี่ ถ้าเงินพี่มันแลกมากับความเสี่ยงและความเครียดพี่ว่าผมควรรู้สึกอย่างไง?” เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าจะพูดเรื่องนี้กับพี่กูนตรงๆ เพราะผมไม่อยากรบกวนเงินโดยเฉพาะถ้าผมรู้ว่าเงินนั้นของพี่กูนแลกมาพร้อมกับความเสี่ยงและความเครียด

“ไม่ต้องห่วงกู”

“แต่พี่เป็นพี่ชายผมนะ”

“มึงก็เป็นน้องกู ไม่ต้องคิดมาก”

“ต้องคิดดิพี่...”

“แค่ตั้งใจเรียนและอยู่ในคำสั่งของกูก็พอ” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดต่อพี่กูนกลับแทรกขึ้นมาก่อนจะลุกและเดินออกไปด้วยท่าทางไม่พอใจสักเท่าไหร่ที่ผมพูดแบบนั้น แต่ช่างเถอะที่ผมพูดมันคือเรื่องจริง

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
พี่กูนฟังน้องติบ้างสิ  :ped144:

 :pig4:

ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 10
งานพาซวย เอ๊ย! พารวย
“พี่กูนไปดีมาดีนะพี่” ผมลากกระเป๋าพี่กูนออกมาเตรียมยกขึ้นรถ

“กูยังไม่ตายไอ้ติ”

“ผมอวยพรพี่นะ ไม่ได้แช่งไรเลย” ผมเลิกเถียงกับพี่กูนเพราะต้องยกกระเป๋าใส่หลังรถ ครั้งนี้คงไปนานจริงเพราะกระเป๋าดูเยอะกว่าทุกที “พี่ไปนานผมคิดถึงพี่แย่เลย”

“รู้ไหมว่าคนที่พูดแบบนี้ หกสิบเปอร์เซ็นต์คือคนที่ไม่อยากให้รีบกลับเพราะมีคดีติดตัว” ผมไม่รู้ว่าพี่กูนมายืนอยู่ข้างๆ ผมตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ มือเย็นๆ ของพี่กูนบีบอยู่ที่หลังคอของผมเบาๆ

“โห่พี่ ผมไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก ผมจะเป็นเด็กดีรอพี่กลับมาเลย สัญญา”

“ถ้าไม่พอใช้อย่างไงก็ไลน์มาบอก”

“ครับพี่ แค่นี้ก็เยอะพอแล้ว โชคดีครับ” ผมยืนรอให้พี่กูนขึ้นรถและขับออกไปส่วนผม...เมื่อได้โอกาสก็รีบเข้าไปในบ้านเปลี่ยนชุดเพื่อออกไปทำงาน โชคยังดีที่พี่กูนออกจากบ้านเร็วผมจะได้มีเวลาเตรียมตัว

เมื่อแต่งตัวเสร็จผมรีบเดินออกไปหน้าปากซอยโดยใช้เวลาไม่นาน เมื่อผมถึงคิววินพี่ติ่งเดินออกมารับผมพร้อมกับยื่นเสื้อวินให้

“ยินดีต้อนรับไอ้น้องติ”

“ขอบคุณพี่ๆ มากเลยครับ” ผมรับเสื้อวินสีเขียวขึ้นมาใส่ก่อนจะพลิกดูเลขด้านหลัง หนึ่งสอง ขอให้โชคดีด้วยเถิด

“เอ็งรอดูป้ายตามคิวนะ ถ้าเลขเอ็งขึ้นบนป้ายก็ไปส่งลูกค้าแต่ส่วนมากถ้าลูกค้าเยอะจะไม่เปลี่ยนเบอร์ ว่าแต่มึงถนัดเส้นทางแถวนี้นะ” พี่ติ่งเดินมาแนะนำและสอนงานก่อนจะย้ำกับผมเรื่องเส้นทาง

“ถนัดพี่ หลับตาเดินยังได้”

“โม้นะมึง” พี่ติ่งพาผมมารับรถของพี่แชมป์ พี่ที่เป็นเจ้าของรถและเสื้อวินที่ผมใส่ รถของพี่แชมป์เป็นฟีโน่สีชมพูสดใส หมวกกันน็อกสีเขียวซึ่งไม่มีความเข้ากันเลย แต่ถ้าจะเอาความเด่นผมบอกเลยว่าของพี่แชมป์เด่นที่สุดในวิน

“ไปสี่แยกค่ะ” ลูกค้าสาวสวยเดินเข้ามาในวิน พี่ติ่งมองหน้าผมและบอกให้ผมรับลูกค้าคนนี้ไป

“หมวกครับ” ผมยื่นหมวกกันน็อคอีกใบให้กับลูกค้าก่อนจะออกตัวไปยังปลายทาง ระหว่างนั้นผมขับไปทางถนนก่อนจะเลี้ยวยูเทิร์นกลับมาที่คิววิน

“เป็นไงไอ้ติ ทำไมนานจังวะ” พี่ติ่งถามเมื่อผมจอดรถเทียบท่า

“ยูเทิร์นไกลพี่”

“ใครเขายูเทิร์นกันไอ้น้อง ขับวินมันต้องเร่งเวลาถ้าช่วงไหนคนเยอะต้องรีบกลับมา เดี๋ยวลูกค้ารอนาน ทางที่ดีและสะดวกที่สุดคือย้อนศร” พี่คนหนึ่งพูดสวนขึ้นมาก่อนที่พี่ติ่งจะพูด

“จริงเหรอครับพี่ติ่ง?”

“ก็ตามนั้นไอ้น้อง” พี่ติ่งตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะไปเช็ดทำความสะอาดรถของเขาระหว่างที่ยังไม่มีลูกค้ามาใช้บริการ

‘กูมีความรู้สึกว่ามึงกำลังทำอะไรผิด ไอ้ติ’

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเมื่อได้รับข้อความบางอย่าง ผมว่านะพี่กูนแม่งระแวงผมเกินไป หรือจะพูดให้ถูกพี่กูนเซ้นแรงมาก เหมือนรู้ว่าผมแอบมาทำงาน แต่จะว่าแอบก็ไม่ใช่เพราะผมบอกพี่กูนแล้วว่าผมขอมาขับวินพี่กูนก็พยักหน้าตอบรับ

ไม่มีอะไรพี่ ทำงานให้สนุกเถอะครับ ไม่ต้องห่วงทางนี้ผมจะทำหน้าที่ดูแลครอบครัวพี่ให้เอง

‘เกินไปนะมึง’

ผมไม่ได้ตอบอะไรพี่กูนกลับ ขืนตอบไปมากกว่านี้ได้มีหลุดแน่ๆ อีกอย่างผมก็ไม่อยากให้พี่กูนเป็นห่วง

“ไอ้ติรับลูกค้า” และตลอดทั้งวันผมมัวแต่ยุ่งอยู่กับการรับลูกค้าเลยไม่ได้สนใจว่าพี่กูนจะส่งข้อความอะไรมา จนกระทั่งผมกลับเข้าบ้าน

“เหนื่อยฉิบหาย แต่ว่าคุ้มอยู่” ผมนั่งนับเงินเป็นรอบที่ร้อย เงินก้อนแรกของการทำงานครั้งใหม่ แม้ไม่ใช่ครั้งแรกแต่ผมก็รู้สึกดีใจและภูมิใจทุกครั้งที่ผมได้เงินมา เงินนี้ผมจะไม่ใช้แต่ผมจะเก็บเอาไว้ให้พี่กูน ผมฝันมานานแล้วว่าถ้าวันหนึ่งผมมีผู้ปกครองหรือครอบครัวเงินที่ผมทำงานได้ผมจะยกให้เขาหมดเลย แต่นั่นแหละครั้งแรกที่ผมทำงานที่อู่หลวงตาก็ไม่ยอมรับเงินที่ผมให้ แต่ครั้งนี้พี่กูนจะปฏิเสธผมไม่ได้ถึงปฏิเสธอย่างไรผมก็จะให้อยู่ดี

ส่วนเรื่องเสื้อเรื่องชีทผมค่อยเก็บเงินเดือนหน้าดีกว่าส่วนเดือนนี้ผมขอใช้เงินทั้งหมดที่ทำงานเก็บไว้ให้พี่กูน พี่ชายที่แสนดีแต่ปากโคตรร้ายของผม

“ไอ้ติลูกค้า!!”

“ไอ้ติซอยสอง!”

“ไอ้ติไวๆ !”

ตลอดทั้งเดือนผมเอาแต่รับลูกค้าตั้งแต่เช้ากว่าจะได้กลับบ้านก็เกือบๆ ทุ่ม วันไหนคนเยอะก็สองทุ่มสามทุ่ม แต่โชคดีที่ไม่มีคนอยู่บ้าน ทั้งคุณพ่อคุณแม่และพี่ธิตาเพราะทั้งหมดไปเที่ยวญี่ปุ่น ส่วนพี่กูนก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับบ้าน อีกอย่างผมไลน์ไปเมื่อสามสี่วันก่อนพี่กูนก็ยังไม่ตอบสงสัยงานจะยุ่ง

“ไอ้ติลูกค้า” ผมขับรถไปเทียบท่าเพื่อรอให้ลูกค้าก้าวขึ้นมานั่ง

“ไปไหนครับ” ผมเอี้ยวตัวไปถาม

“เซนทรัลครับ” ผมพยักหน้าและยื่นหมวกให้ลูกค้าอย่างเคย ครั้งนี้ไปเซนทรัลซึ่งมันค่อนข้างไกลจากวินซึ่งระหว่างทางก็ต้องคอยซอกแซกระหว่างรถใหญ่ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่จราจรหนาแน่นกว่าช่วงเวลาปกติ

“รีบไหมพี่” ผมถามลูกค้าเพราะถึงจะซอกแซกอย่างไรก็น่าจะใช้เวลาค่อนข้างนาน

“รีบอยู่ครับ”

“งั้นผมไปทางลัดนะ”

“จัดเลย” เมื่อลูกค้าอนุญาตผมเลยรีบจัดการเลี้ยวรถเข้าไปในซอย ซึ่งเส้นทางนี้ผมก็ไม่เคยมาหรอกแต่เคยได้ยินพี่ๆ ที่วินบอกว่ามันสามารถทะลุไปข้างหลังเซนทรัลได้ แต่เส้นทางมันค่อนข้างที่จะเปลี่ยวอยู่เล็กน้อย

เมื่อขับเข้ามาในซอยผมจึงรับรู้ได้ว่ามันเปลี่ยวจริงๆ ไม่ใช่มันไม่มีบ้านคนอยู่นะ มันมีแต่บ้านค่อนข้างที่จะเก่าๆ คล้ายๆ กับสลัม มีวัยรุ่นอยู่เป็นจำนวนมาก เอาจริงๆ มาซอยนี้แล้วผมคิดถึงเมื่อก่อนเลย สภาพแบบนี้แหละที่ผมโตมา

“น้อง...ทำไมมันดูอันตรายจัง” ลูกค้าสะกิดไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะยื่นหน้ามาถาม

“เอ่อ..งั้นผมจะรีบขับนะครับ” ผมเองก็กลัวอยู่เหมือนกัน ยิ่งเห็นสายตาไอ้พวกวัยรุ่นผมก็พอจะมองออกว่าพวกมันกำลังไล่ผมออกจากที่ของพวกมัน

ผมเร่งความเร็วมากกว่าเดิมเมื่อเห็นว่ามีรถมอเตอร์ไซค์ขับตามหลังผมมาสองสามคัน

“เกาะแน่นๆ นะพี่” ผมตะโกนบอกลูกค้าที่นั่งอยู่ด้านหลังจนสุดเสียงก่อนจะบิดมิดไมล์ ผมมองกระจกรถเพื่อดูว่าพวกวัยรุ่นมันยังตามมาอยู่ไหม ปรากฏว่าก็ยังตามมาอยู่ด้วยความเร็วสูสีกับพวกผม

“เห้ย! เข้ามาทำไมวะ!” ดูเหมือนว่าความเร็วของรถที่ผมขับจะไม่เท่ารถของพวกวัยรุ่นที่แต่งมา ทำให้ตอนนี้ทั้งสองข้างของผมขนาบข้างไปด้วยรถของพวกวัยรุ่น

“มาส่งลูกค้าครับ” ผมเปิดหมวกด้านหน้าและตอบพวกวัยรุ่นไป พยายามทำเสียงให้ดูเป็นมิตรที่สุดเพื่อเลี่ยงการถูกกระทืบ แผลเก่ายังไม่หายดีผมยังไม่อยากได้แผลใหม่กลับมาหรอก

“ไม่รู้เหรอว่าเข้ามาซอยนี้ไม่ได้ออกไปสักคน!”

“เอ่อ...ปล่อยผมไปเถอะครับ ถ้าออกไปได้ผมจะไม่กลับมาอีกเลย” และแล้วความทรงจำบางอย่างของผมก็กลับมา ความทรงจำที่บอกว่า...

‘ไอ้ซอยนั้นมันทะลุไปหลังเซนทรัลได้ แต่ไม่ค่อยมีใครไปหรอก อันตรายโคตรๆ’ แต่ดูเหมือนว่าก่อนหน้านั้นผมจะลืมประโยคหลังของพี่ๆ ไป....

ตายห่าแล้วไอ้ติ! มึงจะเอาชีวิตรอดออกไปจากซอยนี้อย่างไร!!

“ช้าไปแล้วไอ้หนู...บรื้นนน!!” ด้วยความที่หางตาของผมเหลือบไปเห็นว่าเท้าของไอ้วัยรุ่นหัวทองที่ขับอยู่ฝั่งซ้ายเตรียมจะยกเท้าขึ้นมาทีบรถผม ผมจึงเร่งเครื่องเพื่อหลบทำให้ครั้งนี้รถผมไม่เสียหลัก

“พี่ โอเคนะ!” ผมยังคงตะโกนถามลูกค้าเมื่อหลบพวกมันมาได้

“ก็ต้องโอแหละ” ผมรู้สึกถึงเสื้อวินด้านหลังที่ถูกลูกค้ากำเอาไว้แน่น “จะออกไปได้ใช่ไหม?”

“ก็คงต้องได้แหละครับ” ผมเร่งความเร็วนสุดแต่ดูเหมือนยังคงนำอยู่ไม่มาก เมื่อคำนวณจากสายตาถ้าขับไปตามทางทะลุเซนทรัลมีหวังไม่ทันแน่ๆ ทำให้ผมตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปในซอยแคบๆ ที่ขับได้ทีละคันเท่านั้น

“น้อง! ทางนี้มันไปไหน!!”

“เอ่อ..ไม่รู้ครับ รู้แต่ว่ามันน่าจะเป็นทางรอด” ผมตอบกลับลูกค้าไปโดยที่สายตายังคงจ้องไปที่กระจกหลังเพื่อดูว่าพวกมันยังตามมาไหม แต่ผมกลับไม่เห็นจึงโล่งใจไปได้ระยะจนกระทั่ง...

“ฮั่นแน่!! มึงหนีไม่รอดหรอก โค่ม!!”

รถของสติล้มทันทีหลังจากที่ถูกดักจากด้านหน้าปากซอย สติกระเด็นออกจากรถพร้อมกับลูกค้า จังหวะที่สติกำลังจะดันตัวลุกขึ้น แต่กลุ่มวัยรุ่นกลับมาล้อมเอาไว้

“อย่าทำอะไรผมเลยพี่ ผมแค่มาส่งลูกค้า ปล่อยผมไปเถอะครับ” สติยกมือขึ้นไหว้เพื่อเจรจากับกลุ่มวัยรุ่น

“ก็กูบอกแล้วว่าเข้ามาออกไม่ได้!”

“พี่..ปล่อยผมไปเถอะครับ” ผมคลานไปหาลูกค้าที่นั่งอยู่ที่พื้นก่อนจะอ้ามือปกป้องลูกค้า “ถ้าจะทำอะไรก็ทำผม อย่าทำลูกค้าผมเลย”

“มึงพูดไม่รู้เรื่องรึไง! ก็บอกว่ามันออกไม่ได้”

“ทำไมอะครับ...” ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ทางมันตัน”

“อ่อ...ห้ะ! ทางตัน!! พวกพี่ไม่ได้จะหาเรื่องผมเหรอ?” ผมลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจเมื่อได้ยินคำตอบของกลุ่มวัยรุ่น

“แล้วที่พะ..พี่ขับรถไล่ตามผมล่ะครับ?”

“ก็จะขับมาบอกว่าข้างหน้าทางมันตัน”

“แล้วที่จะทีบผมล่ะ?”

“กูยกตีนขึ้นหนีหลุม มันมีน้ำจะกระเด็นใส่ตีนกู” ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดว่าจะมีเรื่องซะแล้ว ที่ไหนได้ขับตามมาบอกว่าทางตัน

“แต่ที่พี่ถีบผมเมื่อกี้ล่ะครับ” ผมถามขึ้นเมื่อคิดได้ว่าตอนที่ออกจากซอยมาเจอกลุ่มวัยรุ่นก่อนจะถูกถีบจนกระเด็นออกจากรถ

“ถ้ามึงเลี้ยวขวาตกน้ำมันมีบ่อที่เชื่อมเลยถีบให้หยุด ไม่อย่างนั้นจมแน่ๆ”

“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้กลุ่มวัยรุ่นอีกครั้งก่อนจะหันไปหาลูกค้า “พี่ผมขอโทษนะครับที่ทำให้พี่เสียเวลาแล้วก็เจ็บแบบนี้”

“มึงเชื่อคนง่ายเนอะ” คราวนี้ผมหันไปมองกลุ่มวัยรุ่นอย่างไว “กูพูดแค่นี้ก็เชื่อ”

“พะ...พี่” ไอ้เหี้ยเอ๊ย!! มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย ตอนนี้ผมยอมรับเลยว่าสติแตกสัดๆ ขออนุญาตพูดคำหยาบนะ คือผมคาดเดาสถานการณ์เหี้ยนี่ไม่ได้เลย

“กูล้อเล่น ทีหลังก็อย่าเชื่อคนง่าย ไอ้แป๊บมึงไปช่วยพวกมันซิ”

“จริงนะพี่ ไม่ได้จะทำอะไรผมนะ?” ผมถามย้ำอีกครั้งเมื่อมีวัยรุ่นสองสามคนเดินมาช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้น

“เออ”

หลังจากนั้นผมกับคุณลูกค้าที่มาทราบชื่อทีหลังว่าพี่ไท้ ถูกพาไปทำแผลที่คลินิกใกล้ๆ แถวนั้นจากกลุ่มวัยรุ่นที่ช่วยเหลือพวกผม โชคดีที่พี่ไท้ไม่ได้เอาเรื่องไม่อย่างนั้นผมซวยแน่ๆ กว่าจะเคลียร์และทำแผลเสร็จก็ปาไปสองทุ่มกว่า ผมเลยเอารถไปซ่อมเพราะยางแตกระหว่างที่ถูกถีบจนล้ม ยางรถไปทิ่มกับหนามอะไรสักอย่าง โคตรของโคตรจะซวย ทำให้ผมนั่งวินเข้ามาที่บ้านแทนการเดินเหมือนทุกวัน ปกติแล้วผมจะจอดรถไว้ที่บ้านพี่ติ่งแทนที่จะขับมาที่บ้านเพราะไม่รู้ว่าพี่กูนจะกลับมาวันไหน

“พี่กูนยังไม่มา โชคดีว่ะ” ผมยิ้มเมื่อเห็นว่าในบ้านยังคงปิดไฟ

“ไอ้ติ”

“......!!!” ผมต้องหูฟาดไปแน่ๆ ที่ได้ยินเสียงพี่กูนอยู่ในบ้านที่มืดแบบนี้ ผมไม่ได้ไปเปิดไฟแต่เลือกที่จะเดินเข้าไปในห้อง แต่ระหว่างนั้นนั่นเอง...

หมับ!

“ไอ้ติ!”

“พะ..พี่กูนเหรอ?”

“เออ กูเอง”

เหี้ยเอ๊ย! ซวยซ้ำซวยซ้อนแน่นอน งานนี้มีเจ็บตัว….

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ snoopyme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
โดน!!

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
งานเข้า แล้ว.......น้องติ

ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
มีทวิตเตอร์แล้วนะ ไปฟอลกันนน @teambteambteamb

บทที่ 11
ยอมรับผิดมีโทษลดลงครึ่งหนึ่ง

“คือแบบนี้พี่ผมอธิบายได้...” ผมจับข้อมือพี่กูนมานั่งที่โซฟาก่อนจะจัดแจงเปิดไฟในบ้านให้สว่าง “กินน้ำไหมพี่ กลับมาน่าจะเหนื่อยๆ เดี๋ยวผมไปเอาให้นะ” ผมเตรียมที่จะเดินไปเอาน้ำเย็นๆ มาให้พี่กูนจากห้องครัว แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะพี่กูนเรียกเอาไว้ก่อน

“ไอ้ติมานั่ง”

“ผมว่าพี่น่าจะยังไม่หิวเนอะ งั้นนั่งดีกว่า” ผมหมุนตัวมานั่งตรงข้ามพี่กูน

“กูให้โอกาสสารภาพ”

“คืองี้นะพี่ตอนที่พี่ไม่อยู่ผมดูแลบ้านให้พี่อย่างเรียบร้อยตามที่พี่บอกทุกอย่าง ไม่ดื้อไม่ซนอะไรเลย แล้วผมก็คิดนะว่าพี่น่าจะงานยุ่งผมเลยไม่ได้ทักไปกวน ไม่ดิทักไปแต่พี่ไม่ตอบผมมาสามสี่วันแล้ว น่าน้อยใจนะพะพี่..พี่ว่าไหม แฮร่ๆ” หน้าพี่กูนดูไม่เล่นกับผมเลยแม้แต่น้อย

“ไอ้ติถ้ามึงยังไม่รับสารภาพ มึงโดนมากกว่านี้แน่”

“คือพี่...”

“มันยากเหรอวะ กับไอ้แค่กูให้อยู่บ้านเฉยๆ มึงจะออกไปหาเรื่องทำไม แล้วมึงดู!” พี่กูนจับขาของผมขึ้นมาพาดกับโต๊ะก่อนจะถกขากางเกงขึ้น “แผลนี่..ถ้ามึงอยู่บ้านมึงจะเจ็บตัวไหม!”

“ใจเย็นดิพี่ แผลแค่นี้เอง” ผมพยายามจะชักขากลับมาไว้ที่เดิมแต่พี่กูนจับเอาไว้ไม่ให้ขยับ

“เหรอ? แล้วที่เข้าไปซอยนั้น เข้าไปทำไม?”

“ซอย? ซอยไหน พี่มั่วแล้ว” ผมพูดตะกุกตะกักเมื่ออยู่ๆ พี่กูนกลับพูดถึงซอยที่ผมพึ่งไปผจญภัยมา

“กูไม่ได้โง่ไอ้ติ” ผมนิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรออกมาจนกระทั่งพี่กูนพูดขึ้น “ซอยนั้นมันซอยส่งยา”

“ส่งยา?”

“มึงยอมรับมาเถอะไอ้ติ อย่างไงมึงก็น้องกูถึงจะทำผิดกู..กูจะช่วยมึง” เดี๋ยวนะ ทำไมพี่กูนพูดเหมือนว่าผมไปส่งยา แล้วไอ้สีหน้าผิดหวังแบบนี้มันคืออะไร

“เดี๋ยวๆ พี่เห็นผมเป็นคนอย่างไงวะ พี่พูดเหมือนผมจะไปส่งยาอย่างนั้น”

“มาขนาดนี้แล้วไอ้ติ มึงยอมรับมาเถอะอย่าให้กูผิดหวังไปมากกว่านี้เลย กูยอมเอาตำแหน่งของกูแลกกับอนาคตของมึง”

“.....”

“ไอ้ติ..เลิกเถอะ ถ้ามึงเลิกเองไม่ได้กูช่วยมึงได้นะ ขอแค่มึงบอก กูรู้ว่ามึงมาจากสังคมแบบนั้นแต่ตอนนี้มึงก้าวมาอยู่สังคมใหม่แล้ว เป็นคนใหม่เถอะ” ที่ผมเงียบเพราะผมกำลังงงกับคำพูดของพี่กูน พี่กูนกำลังยัดเยียดข้อกล่าวหาให้ผมทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำ

“พี่กูนเดี๋ยวนะ..ผมไปขับวินมอเตอร์ไซค์ไม่ใช่ไปส่งยาอะไรทั้งนั้น พี่เห็นผมเป็นคนอย่างไงวะพี่กูน ผม..ผมไม่ได้จนตรอกขนาดนั้น” ผมชักเท้ากลับมาไว้ที่เดิมพยายามควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้โมโหกับคำกล่าวหาของพี่กูน

“กว่าจะยอมรับ” เท่านั้นแหละครับจากท่าทางผิดหวังเมื่อสักครู่ตอนนี้พี่กูนกลับเอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ

“เดี๋ยวนะ..พี่ปั่นผมเหรอวะ? พี่ทำให้ผมดูเหี้ยอะครับ”

“แค่มึงยอมรับมาตรงๆ ก็จบแล้วไหมไอ้ติ มึงทำให้กูต้องใช้วิธีนี้” พี่กูนกอดอกมองหน้าผมนิ่งๆ

“ผมขอพี่แล้วและพี่ก็อนุญาตผม” ผมรวบรวมสติไม่ให้โมโหเพราะเรื่องนี้ผมผิดเอง เพียงแต่ว่าผมไม่ค่อยชอบวิธีนี้ของพี่กูนสักเท่าไหร่

“ตอนไหนของมึง”

“ตอนนั้นอะพี่ ก่อนที่พี่จะไปราชการ”

“กูไม่รู้เรื่อง มึงมาขอตอนไหน กูจำได้แค่ว่ามึงมีพิรุธ”

“ก็ตอนนั่นแหละผมขอพี่แล้ว และพี่ก็อนุญาตผมเลยไปทำ”

“กูถามจริงๆ นะไอ้ติ มึงอยากทำงานจริงๆ เหรอวะ” พี่กูนกอดอก

“ครับ ผมอยากทำผมไม่อยากรบกวนเงินพี่ไปมากกว่านี้ ผม...ถึงพี่จะเห็นผมเป็นน้องชายก็เถอะ แต่ผมก็เกรงใจ ให้ผมไปทำเถอะนะพี่กูน นะพี่” ผมลุกออกจากที่นั่งของตัวเองเดินมานั่งข้างๆ พี่กูนแทน

“ได้ถ้ามึงอยากทำ แต่..มึงปิดบังกู กูจะทำโทษมึง”

“ทำโทษ?”

“ในเมื่อกูให้เงินดีๆ มึงไม่อยากได้ ถ้าอย่างนั้นจนกว่าจะเปิดเทอมมึงหาเงินใช้เองก็แล้วกัน”

“เป็นการทำโทษที่ผมโคตรชอบเลยครับ” ผมยิ้มทันทีที่ได้ฟังโทษของตัวเองจากพี่กูน แต่ดูเหมือนว่าท่าทางของผมมันจะแสดงออกมากเกินไปทำให้พี่กูนทำหน้าดุมากกว่าเดิม

“แทนที่มึงสลด”

“ผม..ผมรู้สึกผิดโคตรๆ เลยครับพี่ เพียงแต่ผมชอบที่พี่ทำโทษผมแบบนี้เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมอยากทำมาตลอด ผมไม่อยากรบกวนเงินพี่เยอะไปมากกว่านี้ โดยเฉพาะ....ตอนที่เห็นพี่เครียดจากงาน”

“กูบอกเหรอว่าเครียด”

“โทษนะครับ หน้าแบบอมขี้กลับมาจากที่ทำงานทุกวันใครมองไม่ออกก็แย่แล้วครับ”

“เพื่อนเล่นเหรอมึง”

“ผมแค่เปรียบเทียบอ่ะครับ ไม่ได้เห็นพี่เป็นเพื่อนเล่น”

“ต่อปากต่อคำนะมึง ทีหลังมีอะไรก็บอกก็ขอตรงๆ กูไม่ได้ใจร้ายขนาดห้ามมึงทุกอย่าง อยู่กับกูมึงมีอิสระ แต่อิสระนั้นกูเป็นคนกำหนดเอง”

“มึงไม่ต่างจากกักกันรึเปล่าพี่”

“แล้วมึงรู้เหรอว่ากักกันมันเป็นอย่างไร? ถ้าไม่รู้กูแนะนำว่าอย่าพูด” ตอนนี้ผมเริ่มสงสัยกับท่าทางและคำพูดของพี่กูนที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เหมือนคนอารมณ์ไม่ดีที่พร้อมจะระเบิดตลอดเวลา สงสัยเครียดเรื่องงานมั้ง ผมขอเดาว่าอย่างนั้น

“พี่โมโหอะไรมารึเปล่าครับ”

“ทำไม ท่าทางกูดูออกง่ายขนาดนั้น?” และตอนนี้อารมณ์ของพี่กูเปลี่ยนเป็นฉุนเฉียว “เก่งนักนะมึง”

“พี่กูนพี่ พี่หายใจเข้าลึกๆ นะ ผมรู้พี่เครียดและเก็บกดมาจากงาน พี่สามารถลงที่ผมได้ ผมยอมเป็นโถส้วมให้พี่ขี้เลยครับ พี่จะได้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ...โอ๊ย!! พี่ปาหมอนใส่หน้าผมทำไมวะเนี่ย” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบพี่กูนปาหมอนอิงใส่หน้าผมเต็มๆ

“พูดมากไอ้ติ กูหงุดหงิดฉิบหาย” คิ้วทั้งสองข้างของพี่กูนขมวดเป็นปมบ่งบอกว่าตอนนี้อารมณ์เปลี่ยนเป็นหงุดหงิดแทน

“อยากระบายไหมล่ะ ให้ผมกวนตีนไหม งั้นผมกวนตีนนะแล้วพี่ด่าผมมาได้ ผมโอเค”

“.....” เมื่อเห็นว่าพี่กูนเงียบผมจึงคิดเอาเองว่าพี่กูนอนุญาตผมจึงเริ่มการก่อกวนเพื่อให้พี่กูนปลดปล่อยเรื่องที่อยู่ในใจมาเป็นการด่าผมแทน

“ปลาอะไรเอ่ยหน้าบูดเป็นตูดลิง”

“...อะไรของมึง”

“ตอบก่อนดิพี่” ผมขยับเข้าไปใกล้ๆ พี่กูนมากยิ่งขึ้น เป็นการเซ้าซี้พี่กูนมากกว่าเดิม

“ปลานีโม่”

“......” เอาจริงๆ ผมไม่ได้คาดหวังว่าพี่กูนจะตอบแบบนี้กลับมา แต่เอาเถอะถือว่าเป็นการกระตุ้นให้พี่กูนใช้สมองในด้านความคิดสร้างสรรค์ “เก่งนะพี่ แต่ไม่ใช่ครับ ปลาที่ที่หน้าบูดเป็นตูดลิงคือ ปรากฏว่าเป็นพี่”

“......”

“ไม่ตลกเหรอครับ?”

“ไม่ตลกแล้วก็ไม่ได้ดูกวนตีนอะไรเลยไอ้ติ.. กูเครียดกว่าเดิมอีก” และพี่กูนก็ลุกขึ้นเดินหนีผมเข้าไปในห้อง ทิ้งให้ผมนั่งอยู่คนเดียว

“ออกจะกวนตีน” ผมนั่งบ่นอยู่คนเดียวสักพัก พี่กูนกลับออกมาจากห้องพร้อมกับเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านสบายๆ ในมือมีถุงกระดาษสองถุงยื่นมาตรงหน้าผม

“อะไรเหรอพี่”

“ขี้มั้ง เปิดดูดิวะ” ผมรีบหยิบถุงกระดาษจากมือพี่กูน

“โห้ววววว โคตรน่ากินอะพี่” ในถุงกระดาษเต็มไปด้วยขนมมากมาย ส่วนอีกถุงเป็นเสื้อพื้นเมืองภาคเหนือที่ไซส์พอดีกับตัวผม

“ผู้ใหญ่ให้ของมึงไม่ขอบคุณเลยเหรอไอ้ติ นิสัย”

“ขอบคุณครับพี่ ผมกำลังจะขอบคุณพี่อยู่แล้วเนี่ย ไม่ได้จะไม่ขอบคุณสักหน่อย พี่ใจร้อนจริงๆ” ผมหยิบข้าวตังหมูหย็องขึ้นมาแกะกิน “พี่ไปจังหวัดไหนมาเหรอครับ?”

“ความลับ”

“ทางราชการเหรอพี่”

“เออ รู้แล้วจะถามหาอะไรวะ” ผมว่าวันนี้คงคุยกับพี่กูนไม่รู้เรื่องแล้วแหละ พูดอะไรไปไม่เข้าหูสักคำ มีแต่จะหงุดหงิดแล้วก็โมโห สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือนั่งเงียบๆ และกินขนมต่อไป “มึงไม่ชวนกูกิน?”

“พี่กินไหมครับ อร่อยมาก” ผมรีบยื่นซองขนมไปให้พี่กูน

“ไม่กิน”

“อ่าว....” เอาใจไม่ถูกเลยกู และเป็นอีกครั้งที่พี่กูนลุกเดินหนีเข้าไปในห้อง ทิ้งให้ผมนั่งงงอยู่คนเดียว โคตรเดจาวูอะครับ วันนี้พี่กูนคงเหนื่อย ผมว่าพรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่ดีกว่า



เช้าวันต่อมา ผมรีบตื่นตั้งแต่ตีห้าลุกขึ้นมาทำข้าวต้มไว้ให้พี่กูนกินก่อนไปทำงาน เอาจริงๆ ผมอยากกินเลยเอาพี่กูนมาเป็นข้ออ้างก่อนที่ผมจะออกไปขับวิน แต่ระหว่างที่เตรียมของผมลืมไปว่าผมทำไม่เป็นนี่หว่า แต่ข้าวต้มหมูโง่ๆ มันไม่น่าจะทำยากหรอกมั้ง

“อร่อยสัด” ผมชิมข้าวต้มหมูหลังจากที่จัดการโยนทุกอย่างใส่ลงไปในหม้อหลังจากที่สังเกตเห็นว่าข้าวสุก “ถ้ามีเมียเมียรักตาแน่ๆ ไอ้ติเอ้ย!” ไม่มีใครชมก็ชมตัวเองนี่แหละครับ

“ตื่นมาทำอะไรแต่เช้า” ผมหันไปมองด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงพี่กูน

“หวัดดีพี่ ผมตื่นมาทำข้าวต้มหมูให้พี่”

“มึงอยากกินเองอย่ามาอ้างกู”

“พี่รู้ได้ไง” ผมถามอย่างไม่เชื่อ พี่กูรู้ความคิดผมได้ไงวะ?? หรือว่าพี่กูนจะฝังชิฟไว้ในหัวของผม “ผมถามแบบโง่ๆ เลยนะ ทำไมพี่รู้อะไรทุกอย่างเกี่ยวกับผมเลยอะครับ ทั้งการกระทำและความคิด พี่มีญาณวิเศษหรือเปล่าพี่”

“เลอะเทอะ” พี่กูนเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม

“ผมอยากรู้จริงๆ นะพี่”

“ไอ้ติอย่าแกล้งง่ไปหน่อยเลย มึงก็รู้ว่าทำไม” และพี่กูนก็เดินออกจากห้องครัวไป ทิ้งให้ผมยืนงงอยู่ในห้องครัวเหมือนเดิม แถมยังไม่ได้คำตอบของคำถาม

“กูโง่จริงๆ ไม่ได้แกล้งเลย”

“บ่นไร” ถึงตัวจะไม่อยู่แต่เสียงยังคงตามมาหลอกหลอน

“ป่าวพี่ ผมร้องเพลงครับ” ผมตะโกนตอบพี่กูนกลับไปก่อนจะตักข้าวต้มมานั่งกินก่อนไปทำงานจนกระทั่ง...

“ผมไปทำงานก่อนนะพี่ เจอกันตอนเย็นครับ” ก่อนจะออกจากบ้านผมแวะไปเคาะประตูห้องพี่กูนเพื่อบอกว่าผมกำลังจะออกไปทำงานเป็นการแจ้งให้พี่กูนรับทราบ

“เออ ระวังตัวด้วยมึง” พี่กูนตะโกนตอบออกมา ผมจึงใส่เสื้อวินและหยิบหมวกกันน็อค แต่ระหว่างนั้นสายตาผมดันเหลือบไปเห็นเอกสารบางอย่างที่มีรอยปากกาขีดเขียนอะไรบางอย่าง ด้วยความที่เป็นคนรักการอ่านผมจึงหยิบขึ้นมาดู

“โยงอะไรงงไปหมด” ผมวางลงที่เดิมเพราะอ่านไปก็อ่านไม่ออกอยู่ดี แต่ถ้าให้เดาน่าจะเป็นคดีที่พี่กูนกำลังทำ ผมเคยได้ยินมาว่าพี่กูนทำงานปราบปรามอะไรสักอย่าง ผมเองก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดงานอะไรมากเพราะพี่กูนไม่ค่อยเล่าอะไรให้ผมฟังสักเท่าไหร่

ระหว่างที่เดินออกมาจากรั้วบ้านผมกับรู้สึกเหมือนมีคนแอบมองอยู่ตลอดเวลาผมจึงหันไปมองอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เห็นอะไร สงสัยผมจะคิดมากไปแน่ๆ มันคงไม่มีอะไรหรอก ผมไปทำงานดีกว่าเพราะถ้าไปช้าผมจะพลาดช่วงเวลาลูกค้าเยอะไป

มีทวิตเตอร์แล้วนะ ไปฟอลกันนน @teambteambteamb

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 12
พิรุธมีอยู่รอบตัว คนชั่วมีอยู่ทั่วไป

Kun’ s talk

หลังจากที่ไอ้ติมันมาเคาะประตูห้องบอกผมว่ากำลังจะออกไปทำงานขณะที่ผมกำลังอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงานเช่นกัน ตอนนี้ผมมานั่งกินข้าวต้มหมูฝีมือไอ้ติ

“ใช้ได้อยู่” ฝีมือมันก็ไม่เลวแต่ก็ไม่ได้อร่อยเหมือนที่ป้าแจ่มทำหรอกครับ ผมยอมรับเลยว่าตั้งแต่เอามันมาเลี้ยง ชีวิตของผมมันค่อยๆ เปลี่ยนไป

จะว่าอย่างไงดี เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดถึงคนอื่นเลยเพราะเรื่องหลักๆ ที่ผมคิดมีอยู่ไม่กี่เรื่อง คือเรื่องตัวเองและเรื่องงาน ไม่ใช่ว่าผมไม่คิดถึงครอบครัวนะ ผมคิดถึงเสมอแต่มันอยู่ในจุดที่ทุกคนในครอบครัวสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว อย่างตาน้องสาวของผมก็เรียนจบมีงานทำชีวิตไม่น่าเป็นห่วง

ตั้งแต่มีไอ้ติอยู่ในชีวิตผมยอมรับว่าผมก้าวไปอีกขั้นของการเป็นผู้ใหญ่เพราะมีอีกหนึ่งชีวิตที่ผมจะต้องรับผิดชอบ เวลาที่ผมจะทำอะไรผมต้องนึกถึงมันเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องที่อยู่ เรื่องกิน เรื่องเรียน หรือแม้กระทั่งเรื่องเงินที่ผมบอกมันเป็นหลายร้อยรอบแล้วก็ตาม ทุกอย่างมันฝึกให้ผมมีระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น อย่างเช่น เมื่อก่อนผมจะตื่นมากินหรือไม่กินข้าวก็ได้ แต่ตอนนี้ผมต้องตื่นมากินข้าวทุกวันเพราะรู้ว่ามีคนรอผมอยู่ อีกอย่างผมก็อยากเป็นตัวอย่างที่ดีให้ไอ้ติในทุกๆ เรื่อง แม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม

ทุกคนคงจะมีคำถามอยู่ในใจว่าการที่ผมซื้อของให้มันเยอะ ให้เงินมันใช้เยอะๆ อีกหน่อยไอ้ติมันจะเสียคน แต่เท่าที่ผมดูตอนนี้มันก็ไม่ได้เสียคนแถมยังเกรงใจผมมากกว่าเดิม เพราะผมรู้ว่าเงินสำคัญมากสำหรับไอ้ติ ยิ่งผมให้มันก็ยิ่งเก็บ ผมจึงสบายใจได้ว่าเงินทุกบาทที่ผมให้มันไปมันจะไม่เอาไปทำอะไรที่ไร้สาระแน่นอน

แต่มีอีกเรื่องที่ผมยังคิดไม่ออก ถ้าไอ้ติมันเรียบจบผมจะทำอย่างไรกับมันดี ผมมีทางเลือกอยู่ในหัวมากมาย คือปล่อยให้มันไปใช้ชีวิตของมันโดยมีผมคอยสนับสนุนมันอยู่ หรือ ผมจะให้มันอยู่กับผมตลอดไปในฐานะน้องชายเหมือนที่ผมตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก พอผมมาคิดๆ ดูถ้าให้ไอ้ติเลือกเองมันคงเลือกที่จะไปจากผมไม่ใช่เพราะเบื่อที่มีคนคอยกำกับหรือคอยดูมันตลอดเวลา แต่เป็นเพราะความเกรงใจ แต่ช่างเรื่องนี้เถอะครับไว้ถึงเวลาผมค่อยถามมันเองอีกที

ผมไม่รู้นะว่าไอ้ติที่เป็นเด็กดีอยู่ณ ตอนนี้ อนาคตถ้ามันเข้ามหาลัยไปมันจะยังคงเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหม ถ้าไปเจอกับสังคมใหม่ๆ ผมรู้ว่ามันผ่านเรื่องราวที่เลวร้ายมาตลอดชีวิต แต่ต่อจากนี้มันไม่เหมือนกัน เพราะตอนนี้มันมีทุกอย่างที่จะชักจูงมันให้ไปเสียคนได้ง่ายๆ นี่ผมกำลังกังวลถึงอนาคตมันขนาดนี้เลยเหรอวะ? ถ้าผมมีส่วนที่ทำให้มันเกิดมาก็คงครบสูตรคุณพ่อหัวโบราณที่ไม่ยอมปล่อยลูกไปใช้ชีวิตแน่ๆ โดยเฉพาะช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้

พักเรื่องไอ้ติไว้แค่นี้ดีกว่าครับ เดี๋ยวเช้าอันสดใสของผมจะมีแต่ความกังวล

หลังจากที่กินข้าวต้มเสร็จผมก็เตรียมตัวไปทำงานเหมือนอย่างทุกวัน อ่อ เมื่อวานนี้ผมซื้อของฝากมาให้ไอ้ติซึ่งบ่งบอกว่าผมไปภาคเหนือมา แต่เอาจริงๆ มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ เพียงแต่ผมอยากทำให้มันคิดว่าผมไปภาคเหนือมา เรื่องบางเรื่องมันมีเหตุผลของมัน โดยเฉพาะเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น ยิ่งไอ้ติไม่รู้มันก็ยิ่งปลอดภัย

“อีกไม่กี่วันทุกอย่างคงจบ” เรื่องที่ผมเครียดมาหลายวันไม่ซิ หลายเดือนกำลังจะจบลง ถ้าเกิดว่าทุกอย่างมันเป็นไปตามแผนที่พวกผมวางเอาไว้ ถ้าเสร็จงานนี้ผมจะลาพักร้อนสักสิบวันนอนอยู่บ้านให้เบื่อไปเลย


Sati’ s talk

“ครับ แค่นี้ก่อนนะครับ...”

“พี่ติ่งหวัดดีพี่” ผมยกมือไหว้พี่ติ่งหลังจากที่เข้ามาเอารถที่ฝากเอาไว้ “ดีที่แค่เปลี่ยนยาง ไม่อย่างนั้นผมขาดรายได้แน่ๆ ยิ่งช่วงนี้ยิ่งต้องทำเงิน”

“มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยมึง” พี่ติ่งที่เห็นผมทำท่าตกใจเมื่อเห็นว่าผมปรากฏอยู่ด้านหลังของเขา ท่าทางของพี่ติ่งโคตรมีพิรุธโดยเฉพาะตอนที่พี่ติ่งรีบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง “กินไรมายังไอ้ติ”

“เรียบร้อยครับพี่ ขอบคุณที่ให้ผมฝากรถนะ เดี๋ยววันนี้เอากลับไปบ้าน” ผมเดินไปจูงรถออกจากบ้านพี่ติ่ง

“พี่ชายอนุญาตให้ทำงานแล้วเหรอไอ้ติ”

“เอ๋...พี่รู้ได้ไงว่าพี่ผมไม่ให้ทำงาน?” คราวนี้ผมจอดรถและหันไปมองพี่ติ่ง สีหน้าที่ผมได้รับคือสีหน้าเลิกลักทำตัวไม่ถูกเหมือนพี่ติ่งหลุดปากพูดไป

“อ่าว ไม่ใช่มึงหรอวะ สงสัยน่าจะไอ้ชายมั้งที่พี่มันไม่ให้ทำงาน กูนี่ขี้ลืมจริงๆ สงสัยจะแก่” และพี่ก็หันหลังเดินเข้าไปในบ้าน

“.....กูงง” มันมีเรื่องให้ผมสงสัยเยอะจริงๆ แต่เอาเถอะไอ้ติมันไม่ใช่เรื่องที่มึงควรจะสงสัย หน้าที่ของมึงคือทำงานและวิ่งให้ได้รอบเยอะๆ

ครึ่งวันผ่านไปผมพักกินข้าวอยู่ที่ร้านป้าข้างๆ คิววินกับพี่ติ่ง ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้สีหน้าของพี่ติ่งดูลุกลี้ลุกลนเหมือนคนทำอะไรผิด จนผมอดที่จะสงสัยอีกรอบไม่ได้

“พี่ติ่งพี่เครียดไรปะครับ”

“คือ...ไม่มีไรหรอกมึง” จะว่าไปแล้วพี่ติ่งหน้าตาดูไม่เข้ากับการขับวิน ผมไม่ได้จะดูถูกอาชีพนะแต่หน้าพี่ติ่งบ่งบอกว่าเขาน่าจะทำงานอย่างอื่นมากกว่า

“เอางั้นก็ได้” ในเมื่อไม่บอกผมก็ไม่เซ้าซี้ต่อแต่คอยสังเกตท่าทีของพี่ติ่งอยู่ห่างๆ จนกระทั่ง

“ไอ้ติมึงอย่าไปใกล้ไอ้พวกนี้มันนะ ถ้ามันเมามันจะคอยหาเรื่องคนอื่น” พี่ติ่งสะกิดผมหลังจากพี่ในวินบางกลุ่มเริ่มจับกลุ่มกันดื่มเหล้าในช่วงหกโมงเย็น

“ทำไมพวกพี่เขาต้องมากินที่วินด้วยอะพี่ติ่ง” เรื่องนี้ผมสงสัยมาตั้งแต่ทำงานวันแรกแต่ไม่กล้าที่จะถามใคร ในเมื่อวันนี้พี่ติ่งเตือนผมจึงได้โอกาสที่จะถาม เพราะมีพี่ๆ บางคนในวินชอบมาตั้งวงกินเหล้าและส่งเสียงดังจนบางครั้งเกือบมีเรื่องกับคนที่ผ่านไปผ่านมา

“มันคงไม่มีที่กินกันมั้ง ทางที่ดีมึงอย่าไปยุ่งเลย”

“แต่พี่เป็นหัวหน้าวินนะทำไมไม่เตือนบ้างอะครับ เมื่อวันก่อนผมเห็นว่าเกือบมีเรื่องกัน”

“ลำพังถ้าแค่เหล้าก็เตือนยากแล้ว แต่นี่..มันไม่ใช่แค่นั้นอะดิไอ้ติ”

“พี่ติ่งอย่าบอกนะว่า...อุ๊บ!” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคอยู่ๆ พี่ติ่งก็รีบเอามือมาปิดปากผมเอาไว้ก่อนที่ผมจะเผลอพูดอะไรบางอย่างออกมา

“อย่างที่มึงคิดนั่นแหละ”

“แล้วทำไมตำรวจไม่จับ พี่แจ้งเลยๆ” ผมเตรียมที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรแจ้งแต่แล้วก็ถูกแย่งออกไปจากมือ “พี่แย่งทำไมเนี่ย เผื่อได้รางวัลนำจับนะพี่"

“ได้กับผีน่ะซิ มันแจ้งง่ายๆ ซะที่ไหน มึงมีหลักฐานรึไง”

“ก็...จับตรวจฉี่ไงพี่ ม่วงแน่นอน” เพราะแค่กระท่อม กัญชาก็ม่วงเพราะผมเคยเห็นเพื่อนตอนที่เรียนปวช. ปวส.ตรวจกัน ส่วนมากจะใช้แบบหยอดในการตรวจ

“ไอ้ตินั่นมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะมึง”

“แต่มันก็ไม่น่ายากนะพี่ ให้ผมบอกพี่ชายผมไหม พี่ชายผมเป็นตำรวจ” แหม เมื่อพูดแล้วผมก็อดภูมิใจไม่ได้ที่มีพี่ชายเป็นตำรวจ ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่กูนยศอะไรแต่ดูจากการทำงานผมว่าไม่น่าจะเป็นแค่ตำรวจยศเล็กๆ อย่างแน่นอน

“หาเรื่องเดือดร้อนนะมึง เอาเป็นว่ามึงอยู่เฉยๆ อย่าไปยุ่งก็แล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่ากูไม่เตือน” สีหน้าพี่ติ่งโคตรจะซีเรียสเลยโดยเฉพาะตอนที่เตือนไม่ให้ผมยุ่งเรื่องนี้ ถ้าไม่ให้ผมยุ่งแล้วจะมาบอกให้ผมรับรู้ทำไมวะ แต่อย่างไรก็เถอะในเมื่อยุ่งแล้วผมก็จะยุ่งให้สุด

ผมยังคงไม่กลับบ้านแต่ก็ไม่ได้รับลูกค้า แต่สิ่งที่ผมกำลังจะทำคือการตามพี่ติ่งไปเงียบๆ เพื่อสอดส่องพฤติกรรมบางอย่างที่ผมสงสัย

“ครับ เดี๋ยววันนี้ผมจะแวะไปดู ครับท่าน ไม่ต้องเป็นห่วง” ผมหลบอยู่มุมเสาในจังหวะที่พี่ติ่งสูบบุหรี่และคุยโทรศัพท์ไปด้วย

“ของยังไม่น่าจะมาส่งเพราะถ้าส่งมันต้องรายงานผม แต่เท่าที่เห็นอยู่ตอนนี้น่าจะยัง เหลือก็แต่....” ประโยคหลังผมไม่ได้ยินที่พี่ติ่งพูด แต่ถ้าจับใจความสำคัญและผ่านการวิเคราะห์ผ่านสมองอันน้อยนิดของผม ผมว่าเรื่องนี้พี่ติ่งน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แล้วถ้าพี่ติ่งเกี่ยวข้องพี่ติ่งจะมาเตือนให้ผมอยู่ห่างๆ ทำไม หรือเพราะว่า...พี่ติ่งแอบสืบมาว่าพี่ชายผมเป็นตำรวจ แต่...พี่กูนไม่ได้เป็นตำรวจอยู่แถวนี้

ตอนนี้ผมมีเรื่องให้สงสัยอยู่เต็มไปหมด ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว แต่ผมชอบนะมันมีเรื่องให้คิดดี อย่างไรผมก็จะรู้ให้ได้ ผมรู้ว่ามันเสี่ยงแต่แล้วไงผมโคตรชอบเลย ตั้งแต่มาอยู่กับพี่กูนชีวิตผมห่างไกลจากคำว่าเสี่ยงไปมากเลยทีเดียวล่ะครับ

“ครับ แค่นี้นะครับเดี๋ยวผมจะติดต่อไป” หลังจากที่พี่ติ่งวางสายผมรีบหลบก่อนที่พี่ติ่งจะสังเกตเห็น ผมมองพี่ติ่งเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของเขาก่อนจะขับออกไป ผมทิ้งระยะห่างไว้เกือบๆ สามนาทีผมจึงค่อยๆ ขับตามไปห่างๆ

“พี่ติ่งไปทำไมวะ?” ผมลังเลอยู่ว่าจะเลี้ยวตามพี่ติ่งไปไหม เพราะซอยนั้นคือซอยที่ผมเคยไปมาเมื่อวาน แต่ถ้าไม่ตามผมก็ไม่รู้

“เป็นไงเป็นกันวะ” และผมก็ไม่โง่พอที่จะขับรถตามไป แต่ผมโง่ยิ่งกว่าด้วยการทิ้งรถและเดินเข้าไปในซอยนั้น ยิ่งผมเดินผมก็ยิ่งเห็นอะไรหลายๆ อย่างซึ่งมันเหมือนสภาพแวดล้อมที่ผมเคยอยู่มาก่อน

“ไปไหนไอ้หนุ่ม” อยู่ๆ ป้าแถวนั้นเดินมาสะกิดแขนผมก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปด้านใน

“เอ่อ...ผมมาหา”

“อย่าเข้าไปเลยถ้าไม่ใช่คนแถวนี้ มันอันตรายไอ้หนุ่ม”

“อันตรายอย่างไงเหรอครับคุณป้า”

“ไม่ต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าออกไปแล้วอย่าเข้ามาอีก” ผมมองเข้าไปด้านในและยืนมองคุณป้าด้วยความชั่งใจว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี เพราะมาถึงขนาดนี้แล้วถ้าผมเข้าไปผมก็จะได้รู้ว่าพี่ติ่งเข้ามาทำอะไรแถวนี้

“แล้วคนที่เข้าไปเมื่อกี้เขาก็ไม่ได้อยู่แถวนี้นี่ครับ”

“อย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่น ป้าเตือนแล้วนะ” คราวนี้สายตาและน้ำเสียงของป้าดูดุมากกว่าเดิม ผมจึงพยักหน้าและเดินออกไปจากซอย

ถ้าผมกลับมันก็ไม่ใช่ผมซิครับ

บรื่นนนนนนนน

“ไอ้หนุ่ม!!” ผมขับมอเตอร์ไซค์เข้าไปในซอยด้วยความเร็วผ่านหน้าป้าคนที่มาเตือนผมไป ผมมองตามกระจกหลังเห็นป้าทำท่าจะวิ่งตามและกวักมือให้ผมกลับออกไป

ยิ่งท่าทางป้าเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งสงสัย

“เอ๊ะ? นั่นพี่ติ่งนี่หว่า” ผมจอดรถอยู่ห่างออกไปเมื่อเห็นว่าพี่ติ่งถูกล้อมไปด้วยกลุ่มวัยรุ่น แต่ผมมองไม่เห็นหน้าของกลุ่มวัยรุ่นนั่นหรอกครับเพราะระยะทางมันไกลพอสมควร

“เห้ย..” ผมรีบยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อไม่ให้เผลอตะโกนออกไปเสียงดังจนคนอื่นสังเกตเห็น เพราะภาพตรงหน้าคือภาพที่พี่ติ่งยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้กลุ่มนั้น และได้รับอะไรบางอย่างกลับมา

อะไรบางอย่างที่ผมว่านั้นมันเป็นสิ่งที่ผมคุ้นตาเป็นอย่างดีตามหน้าจอข่าวการจับกุม...และผมเองก็เคยสัมผัสมันมาก่อน ถึงไม่ได้เสพแต่คนรอบข้างผมก็มีมาให้เห็น แต่ผมไม่คิดว่าผมจะมาเจอที่นี่ เพราะแถวนี้มันไม่ได้อยู่แถบชานเมืองเหมือนที่ผมเคยอยู่มา แต่นี่มันอยู่ในตัวเมืองเลย

ผมเกิดคำถามมากมายในหัวว่าทำไม ทำไม ตำรวจถึงไม่จัดการ เพราะผมเห็นว่าคนแถวนี้ดูคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอบายมุข มันหากันเสพได้ง่ายๆ และดูทุกคนจะไม่เดือดร้อน ราวกับมันเป็นเพียงแค่ลูกอมธรรมดา

“ถ้ากูเป็นตำรวจนะกูจะจับให้หมดเลย” ผมรีบเลี้ยวรถและขับออกไปจากซอยก่อนที่พี่ติ่งจะรู้ตัว ระหว่างทางมันมีคำถามมากมายเต็มไปหมดกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนกระทั่ง....

“กลับบ้านไวจังพี่กูน แล้วออกมาตรงบ้านใหญ่ทำไมครับเนี่ย” ผมเตรียมเข็นรถเข้าไปข้างในบ้าน แต่ก็ต้องเจอกับพี่กูนที่ยืนหน้าเครียดรออยู่ก่อน

“มึงไปไหนมาไอ้ติ”

“ทำงานไงพี่”

“มึงอย่ามาตลก มึงเลิกงานตั้งนานแล้ว มึงไปไหนมา?” พี่กูนยังคงถามผมย้ำอีกครั้ง ยิ่งผมไม่ตอบพี่กูนก็ยิ่งดุ “กูถามทำไมไม่ตอบ”

“ก็ไม่มีอะไรหรอกพี่ ไม่ได้ไปทำอะไรเสียหาย”

“หาเรื่องเดือดร้อนนะมึง”

“พี่พูดว่าอะไรนะ” เพราะประโยคดังกล่าวผมได้ยินไม่ค่อยชัด

“รีบไปเก็บรถไป ดึกแล้ว” พี่กูนเปลี่นเรื่องทันทีและเดินนำผมเข้าไปในบ้าน ทำไม..พี่กูนออกมาด้านนอกและทำเหมือนว่ายืนรอผมทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็น

พี่กูนแม่งมีพิรุธอีกคน วันนี้ผมเจอแต่คนมีพิรุธเต็มไปหมด

หลังจากที่ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินออกมานั่งที่โซฟา และมองเห็นหลังพี่กูนที่นั่งขีดเขียนอะไรบางอย่างอยู่ในห้องของเขาที่ไม่ปิดประตู ผมลุกขึ้นและเดินไปหน้าประตูห้องของพี่กูนเพื่อส่องดูว่าบนโต๊ะทำงานของพี่กูนนอกจากกระดาษแล้วยังมีโน๊ตบุ๊คและไอแพดที่เปิดอะไรบางอย่างเอาไว้

“พี่แม่งโคตรเท่เลย” ผมชื่นชมพี่กูนอยู่ด้านหลัง ผมว่านะคนที่ตั้งใจทำอะไรบางอย่างโคตรมีเสน่ห์เลย โดยเฉพาะพี่กูน ถ้าให้เปรียบเทียบท่าทางของพี่กูนตอนนี้ เหมือนผมกำลังยืนดูหนังสืบสวนในช่วงที่ตำรวจกำลังวิเคราะห์และวางแผนการอะไรบางอย่าง

“ไอ้ติ มึงจะมาจ้องกูทำไม”

“พี่รู้เหรอ” ผมยืนอึ้งอยู่กับที่เพราะ...เพราะพี่กูนไม่ได้หันมามองผมแต่พี่กูนรู้ว่าผมยืนมองเขาอยู่ นี่มันโคนันที่แท้ ว่าแต่โคนันมันมีแบบนี้ป่าววะ เพราะผมเองก็ไม่เคยดูโคนัน

“ไอ้ติ เงามันสะท้อนกรอบรูป ไม่รู้กูก็ตาบอดแล้วดิวะ”

“.......” ไอ้ผมก็คิดว่าพี่กูนเจ๋งที่สามารถจับสัมผัสได้ว่ามีคนแอบมอง

“มึงจะไปทำอะไรก็ไป วันนี้กูไม่กินข้าว” พี่กูนเอ่ยปากบอกแต่ยังคงนั่งทำงานอยู่ไม่ได้หันมามองหน้าผม ผมเลยทิ้งให้พี่กูนทำงาน และออกมาทำหน้าที่น้องชายที่ดีโดยการชงโอวันตินให้เข้ามาให้พี่กูน แต่ระหว่างนั้นผมได้ยินบทสนทนาของพี่กูน ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายมาแอบฟังก่อนที่จะเข้าไปหา

“กูก็เตือนอ้อมๆ อยู่ไอ้ผา แต่แม่งโคตรดื้อเลยว่ะ พูดไม่รู้จักฟังกูว่าต้องโดนก่อนถึงจะเข็ด ฝากมึงช่วยดูด้วย” พี่กูนพูดถึงใครวะ? แล้วใครที่ดื้อ แล้วพี่กูนฝากดูใคร

“แล้ววันนี้เป็นไง เหมือนเดิมเหรอวะ อีกไม่นานก็ปิดคดีแล้วดิ ของกูน่าจะอีกสองสามวันเพราะกำลังประสานงานกับเขตพื้นที่อื่นๆ มันเปลี่ยนแผนกะทันหันเหมือนมันรู้ตัวกัน กูเลยงานหนักเลยทีนี้ งานยากสัดๆ อะเพื่อน” หลังจากที่ฟังมาสักพักผมเริ่มจับใจความได้ว่าพี่กูนน่าจะกำลังคุยกับเพื่อนของเขาเกี่ยวกับการวางแผนอะไรสักอย่าง ผมเลยไม่แอบฟังเพราะบางทีมันอาจจะเป็นความลับทางราชการ ผมเลยถือโอวันตินมากินเอง เดี๋ยวเข้าไปผิดจังหวะไอ้ติคนนี้จะโดนด่าเอานะครับท่านผู้ชม

ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 13
พี่ชายงอนต้องรีบง้อ
[/b]

Sati’ s talk

“ไอ้ติทำไมยังไม่นอน?”

“กำลังดูหนังอยู่พี่ กำลังสนุกเลย” ผมหันไปตอบพี่กูนที่เดินเข้ามาในห้องนอนผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ “ผมล็อกอินเน็ตฟิคพี่ได้ใช่ไหม”

“มึงล็อกไปแล้วจะถามกูเพื่อ” พี่กูนกอดอกมองผมนิ่งๆ

“เป็นมารยาทไงพี่ พี่ดูไหม” ผมเขยิบให้พี่กูนเข้ามานั่งข้างๆ ผม แต่พี่กูนกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

“ไม่ กูจะไปนอนแล้ว มึงก็นอนได้แล้วไอ้ติพรุ่งนี้ไม่ไปทำงานรึไง”

“ไปครับ แต่ว่ามันกำลังสนุกเลย อีกไม่กี่นาทีก็จบแล้ว พี่โคตรของโคตรพีคเลย” หนังที่ผมดูชื่อเรื่อง Forgotten เป็นหนังเกาหลีแนวสืบสวนแต่ก็ไม่ได้สืบสวนแต่จะออกไปทางแนวระทึกขวัญมากกว่า ผมดูมาตั้งแต่ต้นผมคาดเดาอะไรไม่ได้เลยเพราะมันพีคไปหมด

“เรื่องอะไร”

“Forgotten พี่”

“ดูแล้ว สุดท้ายแม่งก็ตายหมด”

“พี่กูน!! พี่สปอยล์ผมทำไมวะเนี่ย” ผมลุกขึ้นยืนเตรียมจะมีเรื่องกับพี่กูน “พี่ไม่รู้เหรอว่าเขาห้ามสปอยล์เวลาคนอื่นดูหนังอะครับ” ผมโกรธนะแต่ก็ทำได้แค่โกรธเพราะอย่างไรผมก็โกรธผู้มีพระคุณอย่างพี่กูนไม่ได้นานอยู่แล้ว

“มึงรู้ตอนจบแล้วก็นอนไป ถ้ายังไม่นอนกูจะปิดไวไฟ”

“พี่ขู่ผมเป็นเด็กเลยวะ”

“แล้วช่วยบอกกูทีว่ามีตรงไหนที่มึงไม่ใช่เด็ก?” แววตาที่ท้าทายของพี่กูนเป็นสายตาที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน อีกอย่างผมแพ้แววตาแบบนี้ แววตาของพี่กูนที่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ผมมีอะไรที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่พี่คิดอะครับ” ด้วยความที่เป็นนักเลงเก่าผมเลยถกแขนเสื้อเป็นสัญลักษณ์ว่าตอนนี้ผมพร้อมที่จะมีเรื่องถ้าพี่กูนยังท้าทายผมอยู่อย่างนี้ “อย่ามาท้าผม”

“แต่เท่าที่กูดู..กูยังไม่เห็นความเป็นผู้ใหญ่เลยวะไอ้ติ ไอ้เด็กอ่อนอย่างมึงอย่าทำปากดี” ผมรู้นะว่าตอนนี้พี่กูนพยายามที่จะปั่นให้ผมโมโห ด้วยคำพูดที่โคตรจะกวนส้นตีน โทษนะผมขอใช้คำหยาบแต่ตอนนี้ผมไม่ไหวจริงๆ

“โห่พี่ เรียกเด็กอ่อนนี่ผมไม่ยอมนะ” ในความคิดของผม ผมอยากจะเข้าไปกระชากคอเสื้อพี่กูนแรงๆ เพื่อบ่งบอกว่าผมเอาจริง แต่...สิ่งที่ผมทำได้คือ “ผมอ่ะ...”

“อะไร?” เมื่อเห็นว่าผมจนมุมไม่มีอะไรมานำเสนอว่าผมนี่แหละที่เป็นผู้ใหญ่ตัวจริง พี่กูนก็ยิ่งท้าทายด้วยการเบะปากและเลิกคิ้วขึ้น “ไหนวะ”

พรึบ!

“......!!!”

“เป็นไงยิ่งใหญ่ไหมล่ะ” ผมเท้าเอวพร้อมกับแอ่นอวัยวะบางอย่างไปตรงหน้าพี่กูนด้วยความภาคภูมิใจ ส่วนพี่กูนตอนนี้ได้แต่ยืนอึ้งให้กับความเป็นผู้ใหญ่ของผม

“อึ้งเลยดิพี่ นี่แหละโคตรของโคตรผู้ใหญ่” เมื่อเห็นว่าผมโชว์นานเกินไป ผมจึงค่อยๆ ดึงกางเกงกลับขึ้นมาเหมือนเดิม

“หึ” พี่กูนเค้นยิ้มเล็กๆ พร้อมกับส่ายหน้า

“พี่ขำไรวะพี่กูน”

“นี่แหละที่โคตรเด็ก นอนได้แล้วมึงไอ้ติ เลิกปัญญาอ่อนสักที” ก่อนจะออกจากห้องพี่กูนเดินอ้ามือมาตรงหน้า ด้วยความที่ผมคิดเอาเองว่าพี่กูนจะตบหัวผมแรงๆ เหมือนทุกที ผมจึงหลับตาแต่ที่ไหนได้...

“พี่ไม่ได้จะตบเหรอ”

“ยิ่งตบมึงก็ยิ่งเอ๋อ นอนได้แล้ว” ผมมองตามหลังพี่กูนที่เดินออกจากห้องผมไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น ฝ่ามือที่พี่กูนทิ้งลงบนศีรษะของผมพร้อมกับขยี้เบาๆ แบบนั้น...ไอ้ติรู้สึกตัวเล็กเลยครับผม

เมื่อพี่กูนออกจากห้องนอนของผมไป ผมจึงค่อยๆ ทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนิ่มๆ ตาของผมเหม่อมองไปที่เพดานและคิดทบทวนว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้ ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหมวะ

“มีพี่ชายมันดีแบบนี้นี่เอง ฝันดีนะพี่กูน”



เช้าวันต่อมา

“กูบอกมึงแล้วไอ้ติว่าอย่านอนดึก สายจนได้ กูจะสมน้ำหน้าให้ถ้ามึงถูกไล่ออกจากวิน” ตอนนี้ผมรีบแต่งตัวโดยมีพี่กูนคอยนั่งบ่นอยู่บนเตียง

สาเหตุที่พี่กูนมานั่งอยู่ในห้องของผมก็เพราะว่า... สิบนาทีก่อนหน้า

‘ไอ้ติ’

‘พี่ผมง่วง เข้ามาทำไมแต่เช้าเนี่ย’

‘ไอ้ติ’

‘พี่ค้าบบบ ผมง่วง ขอนอน’

‘จะแปดโมงแล้ว’

‘แค่แปดโมงเองพี่ ห้ะ!! ทำไมพี่ไม่ปลุกผมให้เร็วกว่านี้วะ!!’ เท่านั้นแหละครับผมรีบเด่งขึ้นจากที่นอนถอดเสื้อถอดทุกอย่างและวิ่งเข้าห้องน้ำไปโดยที่ไม่ได้สนใจว่าพี่กูนจะอยู่ในห้องด้วย อย่างไรพี่กูนก็เห็นน้องชายผมไปแล้วเมื่อคืน ผมก็ไม่มีอะไรจะต้องอาย เพราะอย่างไรเราก็มีเหมือนๆ กัน ผมอาจจะใหญ่กว่าพี่กูนก็ได้ใครจะไปรู้ ขอยาดขิงนะครับ พอดีปลูกไว้เยอะ

กลับมาที่ปัจจุบัน

“พี่อย่าซ้ำเติมผมดิ ผมรีบอยู่เนี่ย” ผมรีบยัดขาใส่กางเกงยีนก่อนจะหยิบเสื้อแขนยาวมาใส่ พร้อมกับทาครีมกันแดดไปด้วยอย่างลวกๆ

“กูก็เข้ามาเตือนแล้วว่าให้รีบนอน ยังจะมาเถียงนู่นนี่นั่น ถ้าอยากนอนตื่นสายก็ไม่ต้องทำงานนอนเฝ้าบ้านให้กูนิ”

“โถ่พี่ ถ้าผมไม่ไปทำงานผมจะเอาอะไรกินล่ะครับ”

“หญ้ามั้ง”

“ผมไม่ใช่ปลาคาฟนะพี่”

“ควายไหมล่ะ”

“แฮร่ ได้หนึ่งขำก่อนไปทำงาน ผมไปแล้วนะพี่หวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้หลังจากที่หวีผมเสร็จ วันนี้เป็นวันแรกที่ผมไม่ได้เซตผม เพราะไม่มีเวลา เมื่อแต่งตัวเสร็จอะไรเสร็จผมจึงรีบวิ่งมาหยิบหมวกและใส่เสื้อวินก่อนจะขับรถออกจากบ้านเพื่อไปทำงานตามปกติ ระหว่างนั้นผมก็ได้ยินเสียงพี่กูนตะโกนมาตามหลัง แต่ผมไม่ทันได้ฟังเลยตะโกนเพียงแค่ครับกลับไป

“เย็นนี้รีบกลับนะมึง กูจะพาไปกินข้าวข้างนอก”

“ครับ”

เมื่อมาถึงวินลูกค้ายังคงยืนต่อแถวรออยู่ ผมจึงรีบเข้าไปจอดเทียบท่ารับลูกค้าทันที

“ไปไหนครับ”

“โรงพยาบาล L ครับ” ผมยื่นหมวกไปให้ลูกค้า..ลูกค้าคนนี้เสียงคุ้นๆ เหมือนผมเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ด้วยความสงสัยทำให้ผมมองหน้าลูกค้าผ่านกระจก

“อ่าว พี่ไท้หวัดดีครับ” ผมกล่าวทักทายเมื่อลูกค้าคนนี้คือลูกค้าที่ครั้งก่อนผมเคยพาไปบุกซอยอันตรายนั้น เมื่อพี่ไท้เห็นว่าเป็นผมจึงยิ้มออกมา

“เป็นไงเรา แผลหายดียัง”

“ก็เริ่มหายแล้วพี่ แล้วพี่เป็นไงบ้างครับ ผมขอโทษจริงๆ นะเรื่องวันนั้น” ระหว่างที่ขับรถผมก็ชวนพี่ไท้คุยไปด้วยเรื่อยๆ เพราะกลัวว่าพี่ไท้จะเหงา แต่บางทีผมก็ลืมคิดไปว่าพี่ไท้อาจจะรำคาญ

“ไม่เป็นไรมันเป็นอุบัติเหตุ” พี่ไท้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“งั้นวันนี้ผมไม่เก็บเงินพี่นะ ถือว่าเป็นคำขอโทษ ครั้นที่ผมจะชวนพี่ไปเลี้ยงผมก็กลัวพี่ไม่อยากไป” เพราะดูจากการแต่งตัวและลักษณะของพี่ไท้นั้นมันคนละชั้นกับผมเลย

“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะครับ”

“ก็...ผมขับวินไงพี่”

“แล้ววินไม่ใช่คนเหรอ ไม่มีใครดูถูกอาชีพเราเลย แต่คำพูดของเรากำลังดูถูกอาชีพตัวเองอยู่นะ” ผมพยักหน้ารับ “เอาเป็นว่าพี่สะดวกใจจะไปกินข้าวกับเรา ถ้าเราอยากจะเลี้ยงขอโทษ”

“งั้นพี่สะดวกวันไหนครับ ผมได้เสมอ”

“วันนี้ก็ได้เดี๋ยวพี่เลิกจะแวะไป อย่างไงทางกลับบ้านพี่ก็ต้องผ่านคิววินอยู่ดี”

“งั้นก็ได้ครับพี่ไท้ ผมจะรอพี่ที่ท่าวินนะ” เมื่อตกลงกันได้ก็ถึงโรงพยาบาลดี พี่ไท้ลงจากรถก่อนจะถอดหมวกส่งคืนให้กับผม “ยี่สิบบาทครับ”

“ไม่ต้องถอน” พี่ไท้ยัดเงินใส่มือผมก่อนที่จะเดินเข้าไปในโรงพยาบาล ระหว่างนั้นผมจึงรีบแบมือเพื่อเก็บเงินใส่กระเป๋า

“แต่ยี่สิบบาทก็ไม่ต้องถอนป่าววะ” นอกจากจะหล่อ ใจดี พี่ไท้ยังตลกด้วย ถ้าเป็นคนแบบผมมาพูดในลักษณะนี้ ที่บ้านเรียกว่ากวนตีน

ตลอดทั้งวันผมก็ทำงานปกติ มีลูกค้าบ้างไม่มีลูกค้าบาง แต่ผมพึ่งสังเกตว่าวันนี้พี่ติ่งไม่ได้เข้ามาขับวิน

“วันนี้วันออฟพี่ติ่งเหรอพี่โก้” วันออฟคือวันหยุด

“น่าจะใช่ กูก็ไม่รู้ว่ะแล้วมึงออฟวันไหน” พี่โก้พี่อีกคนที่ขับวินด้วยกันถามกลับ

“พรุ่งนี้พี่” ผมได้วันออฟเป็นวันเสาร์วันเดียว ตั้งแต่ผมทำงานมาผมก็ไม่ได้หยุดเพราะก่อนหน้าพี่กูนไม่อยู่บ้านผมเลยไม่รู้ว่าจะหยุดไปทำไมเพราะอยู่บ้านก็เหงาเลยออกมาทำงาน แต่พรุ่งนี้พี่กูนน่าจะหยุดด้วยผมเลยถือโอกาสนี้หยุดเช่นกัน เผื่อพี่กูนจะเรียกใช้

“เอาไหม”

“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณครับพี่” พี่โก้ยื่นซองบุหรี่มาให้ผม จะว่าไปพี่ๆ ที่วินส่วนมากก็สูบบุหรี่กันจัด ผมเคยถามพี่ติ่งนะ พี่ติ่งบอกว่าทำงานมาเหนื่อยๆ ได้สูบบ้างก็ชื่นใจ ผมไม่รู้หรอกว่าสูบบุหรี่มันจะชื่นใจได้แค่ไหนกันเชียวถ้าเทียบกับกินเอ็มร้อยหรือลิปโพ
วันนี้พี่ติ่งไม่มาทำให้ผมอดที่จะสืบเรื่องที่สงสัยต่อจากเมื่อวาน แต่เอาเถอะถือว่าได้พักสมองบ้าง

“น้องซอยเจ็ด”

“ครับ” ผมรับลูกค้าต่อในช่วงเกือบๆ บ่ายสาม และมุ่งหน้าพาลูกค้าไปยังซอยเจ็ดซึ่งติดอยู่กับซอยอันตรายที่เป็นซอยสิบเอ็ด ถ้าอยู่ฝั่งผมเลขซอยจะเป็นเลขคี่ ส่วนอีกฝั่งของถนนจะเป็นเลขคู่

“พี่อยู่แถวนี้เหรอครับ”

“ใช่จ่ะ”

“แล้วทำไมซอยสิบเอ็ดถึงไม่ค่อยมีคนไปเลยล่ะครับ” ได้โอกาสผมจึงสอบถามคนในพื้นที่เพื่อจะได้เบาะแสหรือข้อมูลอะไรได้บ้าง

“น้องไม่รู้เหรอว่าซอยนั้นมีแต่คนส่งยา แหล่งค้ายารายใหญ่เลย อย่าไปยุ่งล่ะ” คำตอบของพี่ลูกค้าทำให้ผมรู้แจ้งแจ่มชัดในทันที “คนที่เข้าไปส่วนมาก ถ้าหน้าใหม่แถวนั้นเขาก็รู้กันแหละว่ามารับมาส่งของ”

“มันทำกันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ก็ไม่เห็นยาก” เออเนอะ ผมก็ถามอะไรโง่ๆ “พวกตำรวจก็รู้แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะหัวหน้ามันใหญ่ ถ้าอยากรู้ก็ไปร้านเหล้า XXX ซิ เลยไปไม่กี่ซอย นั่นก็ธุรกิจฟอกเงิน” ข้อมูลค่อนข้างแน่น แต่ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดมามันเป็นข้อมูลที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม

“แสดงว่าเงินถึงเลยยัดตำรวจแถวนี้ได้ใช่ไหมครับ”

“ก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้างหน้าๆ จอดตรงนี้แหละ”

ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงอย่างที่ลูกค้าเมื่อสักครู่เล่า แสดงว่าเมื่อวานนี้พี่ติ่ง...ก็เข้าไปซื้อยาหน่ะซิ! แต่ผมก็ยังคงสงสัยอยู่ว่าทำไม..ยาบ้าสมัยนี้มันซื้อขายกันง่ายขนาดนี้เลยเหรอวะ ดูทุกคนจะรู้แหล่งแต่ทำอะไรไม่ได้ ผมเลิกสนใจเรื่องนี้และกลับมาทำงานต่อจนกระทั่ง

“อ่าวพี่ไท้”

“ติเลิกงานยัง” พี่ไท้เดินเข้ามาด้านในคิววินที่ผมนั่งอยู่ระหว่างรอลูกค้า

“เลิกก็ได้ครับ” ผมถอดเสื้อวินออกก่อนจะหันไปบอกพี่ๆ ว่าผมขอตัวกลับก่อน “พี่ไท้อยากกินอะไรครับ ผมได้หมดเลย แต่กระซิบว่าอย่าแพงมากนะครับ” ผมรู้นะว่านี่เป็นการเสียมารยาท แต่ถ้ามีมารยาทแล้วจ่ายแพงผมก็ยอมเสียมารยาทดีกว่า

“พี่กินง่าย ติเลือกก็ได้”

“งั้นร้านแถวๆ นี้เนอะพี่ไท้ อร่อยอยู่ผมเคยกิน” ผมจอดรถทิ้งไว้ที่คิววินก่อนจะเดินพาพี่ไท้ไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวแถวๆ นั้น

“พี่ไท้เอาไรครับ ผมสั่งให้”

“พี่เอาเหมือนเรา”

“งั้นรอสักครู่ครับผม” ผมเดินไปสั่งบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงพิเศษสองชามก่อนจะเดินไปสั่งน้ำผลไม้ปั่นมาสองแก้วให้พี่ไท้ ผมรอจนน้ำปั่นเสร็จเดินกลับมาที่โต๊ะก๋วยเตี๋ยวก็มาเสิร์ฟพอดี

“ของพี่ครับ” ผมยื่นน้ำแตงโมปั่นให้พี่ไท้ก่อนจะเริ่มลงมือกินก๋วยเตี๋ยว

“ขอบใจนะติ อร่อยมากเลย” พี่ไท้ตักน้ำซุปขึ้นมาชิม

“พี่ไท้ทำงานที่โรงพยาบาลเหรอครับ”

“ครับ พี่เป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลที่เราไปส่งพี่เมื่อเช้านี่แหละ” พี่ไท้ตอบยิ้มๆ พร้อมกับตักก๋วยเตี๋ยวขึ้นกิน “แล้วติขับวินนานรึยัง”

“น่าจะเดือนแล้วครับพี่ไท้ ผมทำระหว่างรอมหาลัยเปิด”

“อ่อ ติเรียนอะไรล่ะ พี่ถามได้ไหม”

“ได้ดิพี่ ผมกำลังจะเข้าวิดวะ ผมจบปวส.มาก็เลยต่ออีกสองปีครึ่งครับ อยากได้วุฒิปอตรี” ผมยอมรับเลยว่าผมไว้ใจคนง่าย โดยเฉพาะกับพี่ไท้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไรแต่ผมกลับคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

“ตินี่ขยันนะ พ่อแม่คงจะภูมิใจ” ผมยิ้มแห้งๆ ออกมา ถ้าพ่อกับแม่ผมภูมิใจก็คงจะดี

“ผมไม่มีหรอกครับพ่อกับแม่ ผมมีแต่พี่ชาย แค่พี่ชายผมภูมิใจผมก็ดีใจแล้ว” ผมรอวันที่ผมจะเอาเงินทั้งหมดที่ผมได้เอาไปให้พี่กูน ผมอยากให้พี่กูนเป็นส่วนหนึ่งของเงินก้อนนี้ เงินที่ผมทำงานหลังจากผมได้รับโอกาสและชีวิตใหม่

“พี่ชายของติคงโชคดีที่มีน้องชายดีๆ แบบติ เป็นเด็กดีแบบนี้แหละดีแล้ว” ผมก็ขอให้พี่กูนคิดแบบพี่ไท้ ผมอยากให้พี่กูนดีใจที่มีน้องชายแบบผม ผมรู้ว่าบางเรื่องผมอาจจะไม่ได้เรื่อง แต่หลายๆ เรื่องผมก็พยายามทำเต็มที่แล้ว

“ขอบคุณครับพี่”

หลังจากที่กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จผมมาส่งพี่ไท้ที่บ้านของเขา และพึ่งรู้ว่าบ้านของพี่ไท้อยู่ห่างจากบ้านของพี่กูนไปแค่ไม่กี่หลัง

“บ้านนี้เหรอพี่ บ้านผมอยู่หลังท้ายสุด ผมมารับพี่ไปทำงานได้นะ พี่จะได้ไม่ต้องเดินออกไปหน้าปากซอย” พี่ไท้ยื่นหมวกกันน็อคส่งให้ผม

“บ้านเราท้ายสุดเหรอ?” พี่ไท้ทำท่าคุ้นคิดอยู่นานจนผมเอ่ยปากอธิบาย

“อ่อ บ้านพี่ชายของผมอะครับ ผมพึ่งมาอยู่ได้ไม่นาน”

“อ่อ กลับดีๆ เจอกันนะติ งั้นพี่ขอเบอร์เราไว้นะเพื่อโทรบอกว่าให้มารับวันไหน เผื่อพี่เข้าเวรดึกอาจจะไม่ได้ไปทำงานช่วงเช้า”

“ได้ครับๆ” ผมยื่นโทรศัพท์ให้พี่ไท้เพื่อให้พี่ไท้เมมเบอร์ของเขาลงในโทรศัพท์ของผม “ไปแล้วนะครับพี่ เจอกันครับ”



หลังจากนั้นผมจึงขับรถกลับบ้านในเวลาเกือบๆ สองทุ่ม แต่ทำไมผมรู้สึกว่าบ้านร้อนแปลกๆ มันเป็นแค่ความรู้สึกนั่นแหละครับ ผมอาจจะคิดมากไป

“พี่กูนหวัดดีพี่” ผมยกมือไหว้พี่กูนเหมือนปกติ แต่ดูพี่กูนจะไม่ปกติ “พี่เป็นอะไรรึเปล่า”

“เมื่อเช้ากูบอกมึงว่าอะไร” พี่กูนเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม

“ก็...ไม่ได้บอกอะไรนิพี่”

“กูบอกให้มึงรีบกลับบ้านเพราะจะพาไปกินข้าวข้างนอก แต่มึงกลับมาตอนนี้?” เมื่อเช้าพี่กูนบอกผมอย่างนั้นเหรอครับ? ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย หรือจะเป็นตอนที่พี่กูนตะโกนตามหลังผมเมื่อเช้า

“คือว่า...”

“ถ้าไม่อยากไปทีหลังมึงก็บอกกู ไม่ต้องรับปากส่งๆ แล้วไม่ทำตาม” พี่กูนลุกขึ้นจากโซฟาเตรียมจะเดินเข้าไปในห้องนอนของเขา แต่ผมวิ่งไปดักหน้าพี่กูนเอาไว้ก่อน

“ผมขอโทษครับพี่ ผมไม่รู้จริงๆ ผมไม่มีอะไรตะแก้ตัว พี่อยากด่าอะไรก็ด่าผมมาเลย แต่ว่าอย่างอนแบบนี้เลยนะพี่” ผมถือวิสาสะจับมือพี่กูนเอาไว้

“กูไม่ได้งอนไอ้ติ กูแค่ไม่พอใจ”

“ผมขอโทษ”

“เออ ช่างแม่ง”

“พี่ช่างแม่งได้ไง พี่ไม่พอใจ..ผมสามารถทำอะไรให้พี่หายไม่พอใจได้บ้างอะครับ” ผมยังคงไม่ยอมปล่อยพี่กูนไปง่ายๆ “พี่เป็นพี่ผมนะ”

“แล้วมันแก้ไขอะไรได้วะไอ้ติ ไหนบอกกู” สีหน้าและน้ำเสียงของพี่กูนตอนนี้ดูไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ที่เห็นว่าผมยังคงดื้อดึง

“ก็...ผมกินข้าวกับพี่ได้อีกนะ ผมยังไม่อิ่มเลย พี่จะไปกินที่ไหนผมไปด้วยได้พี่”

“แสดงว่ามึงกินเข้ามาแล้ว?”

“ก็...ครับ”

“เอาเถอะไอ้ติกูไม่กิน กูไม่หิวแล้ว กูหายหงุดหงิดล่ะ ทีหลังก็อย่าทำแบบนี้อีก คนรอเขาไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น แล้วก็ปล่อยมือกูได้แล้ว”

“จริงนะพี่”

“เออ ถ้ายังเซ้าซี้กูถีบนะ”

“โอเคครับ” และผมก็ยอมปล่อยให้พี่กูนเดินเข้าไปในห้อง ด้วยความที่อะไรดนใจผมอยู่ก็ไม่รู้สั่งให้ผมยกมือที่จับมือพี่กูนเมื่อสักครู่ขึ้นมาดม

“ไอ้ติ มึงทำเหี้ยอะไรของมึงวะ” ผมรีบปล่อยมือของตัวเองออกเมื่อได้สติ เมื่อกี้ผมโคตรโรคจิตเลย “พี่กูนพี่ผมจะทำอาหารง่ายๆ มาให้พี่นะ” ผมเคาะประตูห้องพี่กูนและออกมาทำอาหารง่ายๆ ไปง้อพี่ชาย

พี่ชายโกรธต้องรีบง้อ หลวงตาเคยสอนว่าถ้าโกรธใครหรือใครโกรธให้รีบเคลียร์อย่าปล่อยไว้ข้ามคืน ไม่อย่างนั้นความโกรธมันจะสะสม

ก็อกๆ

“อาหารมาเสิร์ฟครับพี่” ผมเคาะประตูและถือวิสาสะเปิดเข้าไป พี่กูนที่นั่งทำงานอยู่หันมามองหน้าผมด้วยสายตาหงุดหงิดที่ชอบมองผมแบบนี้เป็นประจำ

“กูบอกว่าไม่กินไงไอ้ติ ดื้อฉิบหาย”

“ยอมโดนด่าเลยถ้าพี่กินมาม่าต้มที่ผมทำมาให้ เวลานี้ทำได้แค่นี้แหละครับพี่” ผมวางถ้วยลงบนโต๊ะข้างๆ ที่ไม่มีเอกสารวางอยู่ “ผมจะนั่งอยู่จนกว่าพี่จะกิน”

“ไม่ป้อนกูเลยล่ะ”

“ได้เหรอพี่ มาๆ ผมเป่าให้” ผมเตรียมยื่นมือไปจับช้อนเพื่อป้อนพี่กูน แต่แล้วก็ถูกมือใหญ่ของพี่กูนปัดมือผมให้ออกห่างจากถ้วยของเขา

“กูประชด”

“ผมเอาจริง”

“กวนตีนนะครับ”

“รักพี่นะครับ ไม่อยากให้โกรธ แค่ไม่พอใจก็ไม่ได้ ผมมีพี่แค่คนเดียวนะพี่กูน” ด้วยความที่ปากไวผมจึงพูดออกไปแบบนั้น ถึงปากผมจะไวแต่คำพูดนั้นสมองของผมคิดแล้ว

“คำพูดมึงกำกวมฉิบหายไอ้ติ”

“ก็มาจากใจดวงน้อยๆ ของไอ้ติคนนี้อะครับ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ พร้อมกับส่งสายตาหวานๆ ไปให้พี่กูน “หายโกรธนะ”

“ก็กูบอกว่าไม่ได้โกรธไง”

“ก็หายไม่พอใจนะ”

“ถ้ายังทำแบบนี้กูถีบมึงจริงๆ นะ” ผมรีบถอยออกก่อนที่พี่กูนจะถีบผมจริงๆ

“กง.231 กค.478 มันคืออะไรอะพี่ ป้ายทะเบียนเหรอ” ด้วยความที่ตาไวผมเห็นกระดาษที่มีตัวอักษรบางอย่างที่คล้ายๆ กับทะเบียนรถ

“รถที่คาดว่าน่าจะขนยาเข้ากรุงเทพฯ แล้วจะผ่านมาแถวๆ เราเขาส่งมาให้ช่วยกันสังเกตุ”

“พี่บอกผมเหรอ?” ผมตกใจอยู่ไม่น้อยที่พี่กูนบอกผมในเรื่องที่ผมไม่คิดว่าพี่กูนจะบอก

“บอกไปมึงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีไอ้ติ” และก็ถูกของพี่กูน ผมรู้ไปผมก็ช่วยอะไรหรือทำอะไรไม่ได้อยู่ดี “ถ้าเห็นป้ายทะเบียนแบบนี้ก็โทรหากู”

“แล้วผมจะได้อะไร”

“หัวหมอนะมึง”

“ก็ทำดีหวังผลไงพี่ ผมรู้ถ้าพวกพี่จับได้คงได้รางวัลนำจับอยู่หลายบาท”

“กว่าจะถึงกูผ่านมากี่คนแล้วล่ะ มันไม่ได้ง่ายๆ นะมึง อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่เขตที่กูดูแล เพราะเขตที่กูดูแลก็แถวๆ บ้านเก่ามึง” แสดงว่ากว่าจะถึงพี่กูนก็ต้องผ่านมาหลายขั้นแล้วสินะ

“แสดงว่าตำรวจกินเก่งก็เป็นเรื่องจริง”

“กูก็ไม่ได้เถียง เพียงแต่ว่ามันเป็นเรื่องปกติที่คนส่วนมากทำกัน”

“แต่....ปกติเหรอพี่ ทำไมพี่พูดดูไม่เดือดร้อนอะไรเลย”

“แล้วต้องให้กูเดือดร้อนอย่างไงวะ ไหนมึงบอกกูทีดิ้” คราวนี้พี่กูนหันมามองหน้าผมตรงๆ เพื่อต้องการคำตอบของคำถาม

“ก็..พี่ควรเที่ยงตรงไหมอะ ที่พี่ทำงานก็ภาษีของประชาชนทั้งนั้น ไม่ควรรับเงินใต้โต๊ะอะไรแบบนี้”

“นี่มึงจะบอกว่ากูทำงานไม่สมกับเงินเดือนที่ได้รับว่างั้น? แล้วกูบอกหรือยังว่ากูทำเหมือนสิ่งที่มึงกำลังกล่าวหากู” ผมนิ่งและคิดตามคำพูดของพี่กูน “กูไม่ได้หมายความว่าข่าวที่ออกมาไม่ใช่เรื่องจริง แต่กูก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะต้องทำตามที่เป็นข้อกล่าวหาทุกอย่าง ตำรวจดีๆ ก็มี ไม่ใช่มีแต่ตำรวจเหี้ยๆ”

“โทษนะ ตอนนี้พี่ขึ้นรึเปล่า” ผมถามด้วยความแน่ใจเพราะตอนนี้พี่กูนดูอารมณ์เดือดขึ้นกว่าเดิม

“เปล่า กูอธิบายให้ฟัง”

“ผมขอถามหน่อยดิ พี่เคยทำแบบในข่าวปะที่รับเงินไรงี้”

“กูไม่ตอบได้ไหม”

“ถ้าไม่ตอบผมก็จะแอบคิดว่าพี่อาจจะเคยทำ”

“งั้นก็ปล่อยให้มึงคิดแบบนั้นไป แต่กูจะบอกอะไรให้นะไอ้ติ” พี่กูนโน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆ ผมเรื่อยๆ “ในสังคมคนที่อยู่รอดได้คือคนเทาๆ ถ้าขาวไประวังจะไม่รอด กูว่าข้อนี้มึงรู้ดี”

และผมก็แน่ใจว่าสิ่งที่พี่กูนบอกผมพี่กูนต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง สื่อให้ผมเห็นว่าบางทีการเป็นคนดีอย่างเดียวมันก็เอาตัวรอดไม่ได้ในสังคมที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ ซึ่งผมเองก็เข้าใจเหมือนกันเพราะ..ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนดี เพียงแค่ผมเลือกปฏิบัติดีกับคนที่ดีกับผม

ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 14
ความลับของสติ
‘ที่เดิม อย่าให้ใครจับได้นะมึง’

‘กูเอาเหมือนเดิม’

‘ถ้าถูกจับได้มึงบอกว่ามาจากพวกไอ้เต๋า’

‘มึงมาคิดได้ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วไอ้ติ เด็กวัดอย่างมึงมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้เหรอวะ’

‘พี่กรพี่ ผมขอโทษ’

‘อย่าทำพี่กู!’

‘อย่าทำน้องกู!!’

พรึบ!

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกหลังจากที่ผมฝัน...ความฝันที่เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องจริงของผมเมื่อก่อนตอนที่ผมยังอยู่ที่เดิม เรื่องจริงที่ผมพยายามที่จะลืมมัน

ผมไม่ได้เสพ ผมไม่ได้ค้า เพียงแต่ผมเคย....เป็นคนส่งของเท่านั้น และผมก็แน่ใจตอนที่เห็นพี่ติ่งยื่นรับอะไรบางอย่างที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี ผมเคยบอกแล้วว่าความจนมันน่ากลัว อะไรที่ทำแล้วได้เงินผมยอมทำหมดแม้ว่ามันจะเสี่ยงก็ตาม อีกเหตุผลที่ผมเลือกที่จะทำก็เพราะผมตัวคนเดียว ถ้าโดนจับหรือโดนฆ่าก็ไม่มีใครต้องเดือดร้อน แต่แล้วชีวิตของผมมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อผมเจอกับ  ‘พี่กร’ คนที่ผมเคยกรีดเลือดสาบานว่าจะเป็นพี่น้องกันตลอดไป

ชีวิตผมมันเทามาตลอด เทาที่ค่อนไปทางดำมากกว่าขาว ดังนั้นผมจึงเข้าใจคำพูดของพี่กูนเป็นอย่างดี แต่สิ่งที่ผมเป็นกังวลก็คือ ถ้าพี่กูนรู้เกี่ยวกับอดีตของผม พี่กูนยังจะรับผมเป็นน้องชายอยู่ไหม ถ้าพี่กูนรับไม่ได้ผมก็เข้าใจ แต่ถ้าให้เลือกได้ผมก็ไม่อยากให้พี่กูนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมไม่อยากเห็นสายตาผิดหวังเป็นครั้งที่สอง เพราะครั้งแรกผมเคยทำให้พี่ชายที่รักและเคารพผิดหวัง....

‘กะกู ไม่ได้ตั้งใจ....’ สองมือที่เปื้อนเลือดของสติสั่นเทาด้วยความกลัวหลังจากเขาพึ่งแทงคู่อริต่างสถาบันเพราะการต่อสู้ป้องกันตัว

‘ไอ้ติ...มึง’ เสียงของคู่อริที่นอนจมกองเลือดพยายามที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากสติคนที่พึ่งแทงเขาไป เพราะเขารู้ดีว่าถ้าสติไม่แทง เขาเองที่จะเป็นฝ่ายแทงแต่โชคดีที่ว่าจังหวะนี้สติเป็นคนที่ถือไผ่เหนือกว่า เพราะถ้าเป็นเขามันจะไม่หยุดแค่แผลเดียวแบบนี้

‘กะกู..ชะช่วยมึงไม่ได้จริงๆ’ ด้วยความที่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สติไม่สามารถที่จะควบคุมสติของตัวเองได้

‘กูไม่อยากตาย’

‘กูก็ไม่อยากให้มึงตาย แต่ถะถ้ากูไม่ทำ กูก็จะเป็นฝ่ายที่ตายเพราะมึง’ สติพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีลุกขึ้นยืนมองคู่อริที่ยังคงนอนอยู่ที่เดิมเพราะไม่สามารถลุกขึ้นมาได้

‘ถ้ากู...กูรอดไปได้ มะมึงไอ้ติกูไม่เอามึงไว้แน่’ สายตาและน้ำเสียงของคู่อริมองสติด้วยความแค้น ‘กูจะฆ่ามึงกับพี่ชายมึง อย่าหวังว่าจะรอด’

‘มึงกำลังบีบให้กูฆ่ามึง อย่ายุ่งกับพี่กู’

‘เอาดิ มึงฆ่ากูเลยไอ้ติ มึงฆ่ากูเลย! เพราะถ้ามึงไม่ฆ่ากูก็จะฆ่ามึง...ฆ่ามึงเป็นคนแรก’ มือที่สั่นเทาด้วยความกลัวของสติกำลังจับมีดขึ้นมาเตรียมที่จะแทงเข้าที่หน้าอกข้างซ้าย

‘แทงกูเลยไอ้ติ..แทงกู!! หรือมึงกลัว?’

‘อะอย่า..ท้ากู’ สติหลับตาก่อนจะรวบรวมความกล้ายกมีดขึ้นเตรียมที่จะแทงบริเวณที่เขาหมายตาเอาไว้ แต่มันก็ช้าไปเพราะ...

ปัง!!

เพล้ง

มีดที่อยู่ในมือของสติหล่นลงพื้นพร้อมกับสองขาที่ทรุดนั่งลงข้างๆ ร่างที่ไม่มีลมหายใจของคู่อริ...

‘…!!!!!’

‘จะฆ่าน้องกู มึงไปรอที่นรกเถอะไอ้เหี้ย!’

‘พะ..พี่กร...’

‘มึง...มึงไม่ผิดไอ้ติ เพราะคนที่ฆ่ามันคือกู มึงไม่เกี่ยว’

‘พะ..พี่’

‘หนีไป..มึงหนีไป’

‘พี่ทำแบบนี้ทำไมวะ’

‘ถ้ากูไม่ทำมันจะฆ่ามึง!’

‘แต่พี่ฆ่ามัน...’

‘ใช่ กูฆ่ามันเอง มึงไปเริ่มต้นชีวิตใหม่นะไอ้ติ อย่าเลือกที่จะเดินทางนี้ ชีวิตมึงยังอีกยาวไกล’

‘ไม่พี่..ผมทิ้งพี่ไม่ได้ ผมจะรับผิดแทนพี่เอง’ สติคลานเข้าไปเกาะขาพี่ชายต่างสายเลือดด้วยตาที่เอ่อไหล ‘ผม ผมไม่อยากให้พี่ทำแบบนี้’

‘มึงฟังกูนะไอ้ติ มึงจำได้ไหมกูเคยบอกมึงว่าอะไร...’

‘จำได้ผมจำได้พี่’ สติพยักหน้าพร้อมน้ำตา เพราะคำพูดนั้นเขาจำได้ดี ‘พี่บอกผมว่า...ฮึก ถ้าผมล้มคนที่จะข้ามผมได้คือพี่ แต่ถ้าคนที่มันทำให้ผมล้ม..คนที่จะฆ่ามันคือพี่’

‘ไอ้ติ มึงเป็นน้องที่กูรัก..รักมากกว่าชีวิตกู มึงไปเถอะแล้วทุกอย่างกูจะจัดการเอง’

‘ผมไม่ไป..’

ปัง!!

‘พี่กร!!!!’

‘เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมึง’

ความทรงจำในส่วนนี้ผมพยายามที่จะลืม พยายามที่จะลืมว่าผมเป็นต้นเหตุให้คู่อริถูกฆ่า ฆ่าตายต่อหน้าต่อตาผมและทำให้พี่ชายที่รักและเคารพต้องติดคุก หมดอนาคตเพราะปกป้องผม

“พี่กร.....” ผมในวัยสิบหกตอนนั้นคิดเพียงแค่ว่าเอาสะใจ ใครจะเจ็บใครจะตายก็ช่างมัน ใครทำพี่กูใครทำน้องกูมึงต้องโดน  ‘พี่กร’ คือพี่ที่ผมรู้จักมาตั้งแต่เกิด พี่ที่เปรียบเสมือนพี่ชายแท้ๆ ของผม พี่ที่ผมรักที่สุดในชีวิต และเป็นพี่ที่คอยปกป้องผมในทุกๆ เรื่อง แม้ว่าเรื่องนั้นคนที่ผิดคือผม

พี่กร..ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหน ผมอยากเจอพี่



เช้าวันต่อมา

“พี่กูนหวัดดีพี่” ผมยกมือไหว้พี่กูนเหมือนอย่างเคยเตรียมตัวจะออกไปทำงานเหมือนปกติ

“ไอ้ติไปส่งกูหน่อย วันนี้ไม่ได้เอารถไป”

“ให้ไปส่งไหน ที่ทำงานพี่โคตรไกลไม่ใช่เหรอ” ระยะทางจากแถวที่ผมอยู่มาบ้านพี่กูนใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดก็เกือบๆ ชั่วโมงครึ่ง

“ส่งสน.บ้านเรานี่แหละ วันนี้กูมีธุระแถวนี้”

“เกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนรึเปล่า”

“อาจจะด้วย” ผมไม่ได้เซ้าซี้พี่กูนต่อ “ไปส่งได้ไหมล่ะ”

“ได้ดิพี่” ผมยื่นหมวกกันน็อคให้พี่กูนที่เดินตามหลังผมมา “รีบไหม ถ้ารีบผมจะซิ่ง” ผมถามก่อนที่พี่กูนจะซ้อนท้าย

“ไม่ต้องรีบมาก”

“โอเคพี่” ผมพยักหน้าก่อนจะใส่หมวกและขับรถออกจากบ้านไป โดยที่ลืมสิ่งที่บอกกับพี่ไท้เมื่อวาน

“เหม่อไรมึง” พี่กูนเคาะหมวกกันน็อกผมเบาๆ

“ไม่ได้เหม่อ ผมมองทางพี่” ผมตะโกนตอบแข่งกับเสียงลมเพื่อตอบกลับพี่กูน ระหว่างนั้นพี่กูนก็ไม่ได้พูดอะไรกับผมเลยจนกระทั่ง...

ผมมาถึงสน.ตามที่พี่กูนบอก ส่วนพี่กูนลงจากมอเตอร์ไซค์และพยายามที่จะถอดหมวกกันน็อก

“ผมถอดให้พี่” ผมเอี้ยวตัวเข้าไปหาพี่กูนพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ เพื่อปลดล็อคหมวกกันน็อกออก ทำให้สายตาของผมกับพี่กูนผสานกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ขอบใจ” ผมปลดล็อกเสร็จพี่กูนจึงยื่นหมวกกันน็อคมาให้ผม “ร้อยหนึ่งไม่ต้องถอน ถือว่ากูให้ค่าถอดหมวก”

“พี่อยากให้เงินผมใช่ไหมล่ะ ผมรู้หรอก” ผมแกล้งแซวพี่กูนที่ตอนนี้ยื่นแบงก์ร้อยมาให้ผม “สงสัยวันนี้จะเฮงแต่เช้าสะแล้ว เพราะมีป๋าใจดี”

“กว่าจะพูดมากได้ต้องให้เงินนะมึง แล้วเป็นอะไรวันนี้”

“วันนี้เป็นอะไรอย่างไงพี่”

“มึงดูไม่ปกติเหมือนมีเรื่องให้คิดมาก” สมแล้วกับที่เป็นพี่ชายผม

“ก็คิดถึงอดีตของตัวเอง”

“คิดมากที่กูพูดเมื่อวาน?”

“พี่จะรับได้ไหมถ้าผมไม่ใช่เด็กที่ขาวสะอาด” ผมกอดหมวกกันน็อกและเม้มปากมองหน้าพี่กูนและลุ้นคำตอบว่าพี่กูนจะตอบอะไร ถ้าพี่กูนตอบว่ารับไม่ได้ผมคง....คงจะผิดหวัง

“แล้วมึงคิดว่าการที่กูเอามึงมาอยู่ด้วยกูจะไม่รู้ประวัติมึงเลย?”

“พะ..พี่รู้เหรอ?”

“แล้วมีเรื่องอะไรที่กูจะไม่รู้ เอาคนมาอยู่ด้วยทั้งคนนะมึงไม่ใช่เอาหมาเอาแมวมาเลี้ยงที่กูจะไม่รู้อะไรเลย”

“พี่กูนแต่ผม...”

“กูไม่สนใจอดีตไอ้ติ กูสนแค่ปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น ไปได้แล้ว” ก่อนจะไปพี่กูนลูบศีรษะของผมเบาๆ ถ้าพี่กูนพูดแบบนี้ผมก็สบายใจ อดีตผมจะทิ้งมันไปแล้วจะเริ่มต้นใหม่ แต่สิ่งที่ผมยังคงกังวลก็คือ..

ผมไม่อยากให้พี่กูนเป็นเหมือนอย่างพี่กร... มันเป็นอีกเหตุผลที่ผมไม่กรีดเลือดสาบานกับพี่กูนตอนนั้น เพราะอย่างน้อยผมก็สามารถที่จะเลิกเป็นน้องชายของพี่กูนได้

พี่กูนเป็นเพียงแค่พี่ชายชั่วคราวของผม.....ถึงพี่บอกให้ผมลืมอดีตอย่างไงผมก็ลืมไม่ได้หรอก เพราะมันฝังอยู่ในใจของผมตลอดมา ผมพยายามที่จะลืมแล้วแต่มันก็ลืมไม่ได้จริงๆ ว่ะพี่

แต่ผมสัญญาว่าผมจะกลับมาเป็นไอ้ติน้องชายที่กวนตีนของพี่เหมือนเดิม

ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 15
คนในใจลืมอย่างไรก็ลืมไม่ลง

Kun’s talk

“กร กรนินทร์ อดีตนักโทษข้อหาพยายามฆ่า ถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อปีที่แล้ว..ทำไมเหมือนกูเคยเห็นที่ไหนมาก่อนวะ” ผมมองเอกสารในมือที่เป็นข้อมูลของอดีตนักโทษที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไอ้ติ คนที่ทำให้ไอ้ติมองผมด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป สายตาของมันมีแต่ความกังวลความกลัว กลัวว่าผมจะมีจุดจบที่เหมือนกร และสิ่งที่ผมสงสัยอีกอย่างก็คือ ใบหน้าของมันเหมือนผมเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

“มึงเอาไปทำไมวะไอ้กูน” ผมหันไปมองไอ้ผาเพื่อนสนิทที่จบมาจากเหล่าเดียวกัน ผมกับมันรู้จักกันตั้งแต่เรียนอยู่ จปร. จนกระทั่งมาต่อผมกับมันเข้ามาเรียนต่อที่นายร้อยตำรวจสามพราน เรียกได้ว่าไอ้ผากับผมเป็นคู่เพื่อนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันมานับไม่ถ้วน ผมกับไอ้ผาทำงานอยู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่หน่วยสืบสวนแต่ตอนนี้ผมถูกส่งมาอยู่แถบชานเมืองเพื่อสอดส่องพฤติกรรมของนักค้ายารายหนึ่งที่มีอิทธิพลค่อนข้างมาก ส่วนไอ้ผาเองก็ถูกส่งมาสอดแนมเป็นสายลับอยู่บริเวณแถวบ้านผมตอนนี้ก็เข้าปีที่สอง ถ้าถามว่าทำไมต้องมาสอดแนมนานขนาดนี้ก็เพราะว่า.....ความลับครับ

“มันเกี่ยวข้องกับน้องกู”

“ไอ้ติ?”

“เออ” ไอ้ผาเองก็รู้จักกับไอ้ติเป็นอย่างดี แต่เบื้องลึกหนาบางมันไม่น่าจะรู้อะไรมาก “กูลืมไปสนิทเลยว่าไอ้ติมันมีพี่ชายที่ติดคุกไปเมื่อหลายปีก่อน กูไม่อยากให้มันสองคนเจอกัน”

“พี่ชาย? ไหนมึงบอกว่าไอ้ติไม่มีพี่น้อง”

“ไม่ใช่พี่น้องทางสายเลือด แต่ทางความสัมพันธ์ก็ไม่ต่างจากพี่น้องกันจริงๆ” ผมพลิกรูปของกรดู ก่อนจะเสิร์ชหาประวัติทางอาชญากรรม “มึงว่าไอ้กรมันกำลังจะตามหาไอ้ติอยู่รึเปล่าวะ”

“มึงบอกว่ามันออกมาเมื่อปีที่แล้ว แต่มึงรับไอ้ติมาอยู่ด้วยเมื่อหลายเดือนก่อน ถ้ามันจะกลับมาหาไอ้ติจริงๆมันคงกลับมานานแล้วไม่ใช่เหรอวะ?” ผมนั่งคิดตามไอ้ผาพูดพร้อมกับมองประวัติของไอ้กรไปด้วย จากที่ผมดูจากข้อมูลที่ปรากฏไอ้กรมีแค่ข้อหาเดียวที่ผมบอกไป นอกจากนั้นเรียกได้ว่าไม่เคยมีประวัติที่ไม่ดีเลย ผมเลื่อนไปดูเกี่ยวกับภูมิหลังก่อนจะพบว่าไอ้กรมีบ้านอยู่แถวๆที่ไอ้ติอยู่ พ่อกับแม่หย่าร้างกันทำให้ไอ้กรอาศัยอยู่กับยาย ซึ่งตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว ก่อนจะถูกจับ

“มึงกังวลอะไรวะไอ้กูน กูถามจริงๆ”   “กูไม่อยากให้ไอ้ติไปเจอกับไอ้กร เพราะกูไม่อยากให้ชีวิตมันกลับไปวนลูบอยู่แบบเดิม กูให้ชีวิตใหม่มันไปแล้ว กูเลยไม่แน่ใจว่าวันหนึ่งถ้าพวกมันเจอกัน ไอ้ติมันจะเป็นอย่างไง”

“กูเข้าใจมึงนะไอ้กูน แต่มึงอย่าลืมว่ามึงพึ่งเจอกับไอ้ติได้ไม่นาน ถ้าเทียบกับไอ้คนชื่อกรอะไรนี่มึงแม่งเทียบไม่ติดอะในแง่ของความสัมพันธ์” มันก็จริงอย่างที่ไอ้ผาพูด ถ้าผมลองคิดว่าผมคือไอ้ติถ้าผมเจอกับพี่ชายที่ไม่เจอกันนาน ไม่ว่าพี่จะเลวร้ายแค่ไหน ผม..ผมก็คงจะกลับไปหาพี่ชายของผมและเลือกที่จะทิ้งคนที่พึ่งรู้จักไปแม้ว่าคนนั้นจะให้ชีวิตใหม่ผมก็ตาม “แต่กูว่าไอ้กรมันคงไม่อยากให้ไอ้ติเจอ”

“ทำไมวะ”

“กูก็ไม่รู้เหตุผลนะ แต่ถ้ากูเดามันคงอยากจะตั้งตัวก่อนถ้ามันประสบความสำเร็จหรือพอสร้างตัวได้ มันคงกลับมารับไอ้ติไป”

“แสดงว่ามึงรู้...ว่าไอ้กรมันวนเวียนอยู่รอบๆตัวไอ้ติ?”

“กูก็ไม่แน่ใจ แต่เท่าที่กูสังเกตกูว่าใช่เพราะก่อนหน้านั้นกูเห็นผู้ชายคนหนึ่งมาวนเวียนแถวๆวิน แต่แปลกที่มันไม่ยอมเปิดหน้าให้ใครเห็น และเลือกที่จะขึ้นรถคันไอ้ติไป..มันรอจนถึงคิวไอ้ติ”

“ทำไมมึงไม่บอกกูวะไอ้ผา?”

“ก็..กูไม่รู้ว่ามึงอยากรู้หนิหว่าไอ้กูน” ผมพยักหน้า

“เออ ต่อไปนี้ก็ช่วยดูให้กูก็แล้วกัน ถ้าใช่มึงบอกกู”

“มึงกำลังจะล้ำเส้นน้องมึง”

“กูไม่ได้ล้ำเส้น แต่นั่นมันน้องกู” ผมมองหน้าไอ้ผาหลังจากที่มันเตือนผม ผมรู้ แต่ทำไงได้ผมไม่มีทางเลือก และผมก็มั่นใจว่าผมเองหวังดีกับไอ้ติไม่แพ้ไอ้กรเลย

“น้องที่พึ่งรู้จัก?”

“ไอ้ผามึงจะขัดกูทำไมวะ” ผมเริ่มจะหงุดหงิดเมื่อไอ้ผาเอาแต่พูดขัดผม ผมรู้แต่..ผมไม่ชอบ

“กูไม่ได้ขัดแต่กูแค่เตือนมึงไอ้กูน ที่มึงทำมึงแค่พยายามจะซื้อใจไอ้ติให้มันอยู่กับมึง แต่มึงคิดดูว่ามึงให้เงินแต่ไอ้กรนั่นมันอาจจะให้มากกว่ามึง กูออกตัวก่อนว่ากูพูดแบบรวมๆจากการวิเคราะห์ของกูเอง มันอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่กูอยากให้มึงคิดตามที่กูพูด”

“กูจะพยายามคิดตามก็แล้วกัน แต่อย่างไงกูก็ฝากมึงดูมันด้วย”

“ไอ้กูน น้องมึงเริ่มจะเข้าไปยุ่งเกินไปละ อย่างไงมึงก็เตือนๆมันบ้าง เข้าไปหาอันตรายโดยไม่รู้ตัว” ส่วนเรื่องนี้ผมเองก็พูดเตือนไอ้ติมันไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ทำตามผมเลย เดี๋ยวเอาไว้ผมค่อยคุยกับมันจริงจังก่อนที่ไอ้ผามันจะเริ่มจับกุม

Sati’s talk

หลังจากที่มาส่งพี่กูนที่สน.ผมก็ยังไม่ได้กลับไปที่คิววิน แต่เลือกที่จะซ่อนตัวอยู่แถวๆนั้นเพราะบางสิ่งบางอย่างที่ดลใจให้ผมทำ ผมรออยู่ประมาณเกือบๆครึ่งชั่วโมงไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่าสงสัยผมจึงเตรียมตัวที่จะกลับ แต่แล้วก็มีรถเบนซ์คันหรูเลี้ยวเข้าไปด้านในสน. ผมจึงหยุดและรอดูว่าเป็นใคร

รองเท้าผ้าใบสีขาว กางเกงยีนขายาว เสื้อแจกเก็ตสีดำ มีตราสัญลักษณ์ของตำรวจห้อยอยู่บนคอ ทำไมผมดูคุ้นกับคนที่ลักษณะแบบนี้ เพียงแต่ว่าคนที่ผมรู้จักไม่ได้มีตราสัญลักษณ์ตำรวจห้อยอยู่...ผมรอจังหวะที่เขาจะหันมาเพื่อที่จะดูหน้าตาให้ชัดไปเลยว่าเป็นใครกันแน่ แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างผมเลย

“เป็นไงเป็นกันวะ” ผมหยิบหินก้อนเล็กๆขึ้นมา ก่อนจะปาไปโดนเท้าของคนคนนั้นก่อนที่ผมจะวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่ แล้วจังหวะนั้นเองที่ผมเห็นว่าเป็นใคร

คิ้วแบบนี้ ตาแบบนี้ จมูกแบบนี้ ปากแบบนี้ ใบหน้าแบบนี้ เป็นคนที่ผม....สงสัยมาตลอด

“ไอ้เชี้ย!! พี่ติ่งนี่หว่า” ผมอึ้งอยู่กับตัวเองที่อยู่ๆก็เห็นว่าพี่ติ่งหัวหน้าวินมอเตอร์ไซค์ที่ผมรู้จักคือคนคนเดียวที่ก้าวลงมาจากรถเบนซ์คันหรู

เป็นไปได้ไงวะ!!!

ผมดันปากตัวเองที่อ้าอยู่ให้หุบลง สมองอันน้อยนิดกำลังประมวลผลเรื่องราวทุกอย่าง และคิดได้ว่าสิ่งที่พี่กูนรู้เกี่ยวกับผม เป็นไปได้ที่จะมาจากพี่ติ่ง...พี่ติ่งคือตำรวจที่แฝงเข้าไปอยู่แถวนั้น ยังไม่ทันที่ผมจะประมวลผลเรื่องราวต่างๆพี่กูนเดินออกมาจากสน.ก่อนจะขึ้นรถของพี่ติ่งและขับออกไป

เรื่องนี้แม่งโคตรซับซ้อนเลยวะ

ผมพยายามที่จะไม่คิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น เรื่องพี่ติ่งที่เป็นตำรวจ เรื่องพี่กูน และเรื่องพี่กร แต่ทำอย่างไรผมก็เลิกคิดไม่ได้ ตลอดทั้งวันผมเอาแต่จดจ่อกับเรื่องนี้ จนผมขอพี่ๆที่วินกลับก่อนเพื่อมาพักสมองอยู่ที่บ้าน เพราะตอนนี้ผมกำลังจะเป็นบ้า

“พี่กรพี่อยู่ที่ไหนวะ ผมโคตรคิดถึงพี่เลย” ผมกำสร้อยคอของผม สร้อยคอที่ผมไม่เคยถอด มันเป็นสิ่งเดียวที่พี่กรทิ้งไว้ให้ผมก่อนที่พี่กรจะหายไป ผมรู้จากคนแถวนั้นว่าพี่กรถูกดำเนินคดีและถูกตัดสินให้รับโทษจำคุก แต่นั่นก็นานมาแล้วเมื่อไหร่ที่พี่กรจะกลับมาหาผม หรือว่าพี่กรกลับไปหาผมที่วัดแล้วพี่กรไม่เจอผม

ผมควรกลับไปอยู่ที่วัดเพื่อรอพี่กรและทิ้งทุกอย่างตอนนี้ หรือผมควรลืมพี่กรแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ผมก็ทิ้งพี่กูนไปไม่ได้อยู่ดี ผมสัญญากับพี่กูนไว้แล้วว่าจะเป็นน้องชายที่ดีของเขา ถ้าผมไปก็เท่ากับว่าผมผิดสัญญาและจะทำให้พี่กูนผิดหวัง

หรือผมควรที่จะแวะไปถามคนแถวนั้นว่าตั้งแต่ผมไม่อยู่พี่กรเคยกลับมาไหม ไวเท่าความคิดผมรีบออกจากบ้านเพื่อกลับไปหาพี่กร แต่ระหว่างนั้นผมกลับเจอพี่กูนที่กำลังเดินสวนเข้ามาพอดี

“มึงจะไปไหน”

“เอ่อ..ผมจะไป”

“ไปไหน?”

“ผม..ผมจะกลับไปที่วัด ผมว่าผมมีบางอย่างต้องไปจัดการ” ผมเลือกที่จะบอกพี่กูนไปตรงๆ

“อะไร?” พี่กูนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะดันตัวผมให้กลับเข้าไปด้านในเหมือนเดิม

“พี่ เดี๋ยวผมกลับมา ผมขอไปเถอะนะพี่” ผมพยายามที่จะต้านแรงพี่กูนที่ดันตัวผม แต่ผมออกเต็มที่แล้วก็ไม่สามารถสู้แรงพี่กูนได้อยู่ดี “มันสำคัญกับผมจริงๆ”

“ถ้ากูไม่ให้ไป”

“ผมก็จะแอบ”

“ไอ้ติ” สีหน้าตอนนี้ของพี่กูนบ่งบอกว่าหงุดหงิดผมโคตรๆที่ผมตั้งใจขัดคำสั่งของเขา แต่ถ้าผมไม่ไปผมก็จะเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ บางทีถ้าผมไปแล้วมันอาจจะทำให้ผมเลิกคิดมากแบบนี้ก็ได้

“นะครับพี่กูน ผมขอไปแล้วผมจะรีบกลับมา”

“......” พี่กูนไม่ตอบผมแต่เขาขยับออกเพื่อให้ผมมีช่องว่างเดินออกไปได้ จังหวะนั้นที่ผมเลือกที่จะยกมือขึ้นไหว้พี่กูนเพื่อขอโทษและเดินออกไป

“กูไม่รู้นะว่ามึงกำลังคิดอะไร แต่ในฐานะที่กูเป็นพี่ชายของมึงกูขอไม่ให้มึงออกไป” ผมไม่ได้หันกลับไปมองพี่กูนแต่ผมเลือกที่เดินออกไป

ผมรู้ว่าตอนนี้พี่กูนกำลังผิดหวัง ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำอาจจะทำให้พี่กูนเสียใจ แต่ผมมีเหตุผลของผม

ผมออกมาเก็บรถเข้าที่และกลับเข้าไปด้านในก่อนจะเห็นว่าพี่กูนนั่งกินเบียร์อยู่บนโซฟา

“มึงกลับมาทำไม?”

“ก็พี่ไม่ให้ผมไปผมจะไปทำไม” ผมทิ้งตัวนั่งลงข้างๆพี่กูนก่อนจะถือวิสาสะหยิบเบียร์ขึ้นมาดื่ม

“เป็นเด็กเป็นเล็กหัดกินเบียร์”

“พี่ก็เคยเห็นแล้วนิว่าผมไม่ได้เล็ก”

“ขอให้ได้เถียงนะมึง” ผมยิ้มตอบแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไปจนกระทั่งเบียร์ในกระป๋องหมด ผมจึงลุกขึ้นไปหยิบมาใหม่สองกระป๋อง และยื่นส่งให้พี่กูน

“มึงมีอะไรอยากบอกกูรึเปล่าไอ้ติ” อยู่ๆพี่กูนก็หันมามองหน้าผม

“พี่อยากให้ผมบอกเรื่องไหนล่ะ”

“กูอยากรู้ว่าคนชื่อกรเป็นอะไรกับมึง”

“......” ผมไม่คิดว่าชื่อของพี่กรจะหลุดออกมาจากปากของพี่กูน แสดงเรื่องที่พี่กูนบอกว่าเขารู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับผมแสดงว่าเขาต้องรู้จักพี่กร

“บอกกูได้ไหมเกี่ยวกับพี่ชายของมึง”

“พี่รู้เหรอ?” ผมพยายามรวบรวมสติและถามพี่กูนออกไป “พี่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่กรบ้าง พี่รู้เหรอว่าพี่กรอยู่ไหน พี่กูนพี่ พี่บอกผมที” ผมเผลอแสดงออกมากเกินไปจนพี่กูนถอนหายใจออกมา

“กูไม่รู้หรอกนะว่าคนชื่อกรมันทำอะไรให้มึงบ้าง แต่ที่กูอยากบอกก็คือ..กูสามารถให้มึงได้มากกว่าถ้าแลกกับการที่มึงจะไม่ไปเจอกับมันอีก ตอนนี้กูเป็นพี่ชายของมึงกูมีสิทธ์ที่จะเลือกให้มึงไปเจอใครหรือไม่เจอใครก็ได้ ถ้ากูเห็นว่ามันสมควร” พี่กูนให้ผมมากกว่าอย่างนั้นหรอ? แสดงว่าพี่กูนไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพี่กรดี พี่กูนคงไม่รู้หรอกว่าพี่กรให้อะไรผมบ้าง พี่กรให้สิ่งที่ผมไม่เคยร้องขอ

“พี่ให้ชีวิตผมได้ไหม? ถ้าพี่เห็นผมเป็นน้องชายของพี่”

“...มึงต้องการอะไร”

“......” แววตาที่ดูสับสนของพี่กูนเมื่อผมพูดออกไป ดูก็รู้ว่าพี่กูนคงไม่ให้ในสิ่งที่ผมขอออกจะตำหนิผมด้วยซ้ำ “พี่กรยอมแลกอนาคตกับผม เขาให้ผมได้มีชีวิตต่อ”

“กูไม่รู้หรอกนะว่าสิ่งที่มึงพูดเป็นเรื่องจริงไหม แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงกูจะพูดกับมึงตรงๆเลยว่าไอ้พี่กรอะไรของมึงน่ะ โคตรปัญญาอ่อนเลย เลี้ยงมึงผิดวิธี หึ!ให้อนาคตแลกกับสิ่งที่มึงทำผิด? นี่น่ะหรอสิ่งที่มันให้มึง” ผมกัดฟันแน่นด้วยความโกรธเมื่อพี่กูนพูดถึงพี่กรแบบนั้น

“พี่ไม่รู้อะไรก็อย่าพูดเลยดีกว่าพี่กูน ยิ่งพูดพี่ก็ยิ่งดูแย่ว่ะ” ผมหันหน้าหนีไปทางอื่นและพยายามที่จะใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ในตอนนี้

“งั้นมึงก็เล่ามา”

“......” ผมชั่งใจอยู่สักพักว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้พี่กูนฟังไหม แต่ถ้าผมไม่เล่าพี่กูนก็จะต้องตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับพี่กร “พี่กรเป็นพี่ที่ผมรู้จักมาตั้งแต่เด็ก ผมกับพี่กรเคยกรีดเลือดสาบานว่าเราจะเป็นพี่น้องกันตลอดไป เวลาที่ผมมีเรื่องพี่กรก็จะคอยอยู่เคียงข้างผมในทุกๆเรื่องไม่ว่าผมจะถูกหรือผมจะผิด ถึงพี่กรจะไม่มีเงินมากแต่ถ้าเขามีเขาก็จะแบ่งเอาไว้ให้ผมไปโรงเรียน นอกจากหลวงตาก็มีพี่กรนี่แหละที่รักผม” ยิ่งเล่ามาถึงตรงนี้ผมก็ยิ่งคิดถึงอดีต ภาพต่างๆย้อนกลับเข้ามาในหัวของผมเรื่อยๆ

“......”

“ตอนที่ผมจบมอสามพี่กรบอกให้ผมเรียนต่อมอสี่ แต่ตอนนั้นผมไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายเพราะขึ้นมอสี่มันมีค่าใช้จ่ายเยอะ ผมเลยเลือกที่จะเรียนต่อปวช.” ผมยังจำได้ดีตอนที่พี่กรเอาเงินเก็บของเขามาให้ผมเพื่อไปเรียนต่อมอสี่ แต่ผมก็เอากลับไปคืน ทำให้ผมกับพี่กรเราทะเลาะกันเป็นครั้งแรก ผมเข้าใจว่าพี่กรอยากให้ผมเรียนที่โรงเรียนดีๆ แต่ผมเลือกแล้วว่าผมจะเรียนต่อ ปวช. “ช่วงที่ผมเรียนปวช.ปีแรก พี่กรต้องไปทำงานโรงงาน แล้วผมก็ไม่ค่อยมีเงินมาซื้ออุปกรณ์ นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมเลือกทำในสิ่งทเลวร้ายที่สุดในชีวิตคือผม..เป็นเด็กส่งของ และเป็นครั้งแรกที่ผมรู้จักกับความรุนแรง รวมถึงความสัมพันธ์แบบผิดๆ ถ้าใครทำพวกผมเพื่อนผมพี่ผมคนนั้นมันต้องโดน เงินที่ผมได้แทนที่ผมจะเอาไปใช้ในการเรียนแต่ผมกลับเอาไปซื้ออาวุธ มีดเถื่อน ปืนเถื่อน ตอนนั้นผมเลือกทางผิด อันนี้ผมรู้” คิดแล้วผมก็อยากที่จะหัวเราะออกมา เด็กที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยรุ่นอย่างผมมันเลือดร้อน เอะอะเป็นตีเอะอะเป็นต่อย ถ้าย้อนกลับมาคิดๆดูแล้วตอนนั้นผมแม่งโคตรปัญญาอ่อนเลยว่ะ

“.......”

“ตอนที่ผมมีเรื่องและขึ้นโรงพักครั้งแรกผมพยายามที่จะไม่ติดต่อพี่กรแต่ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่น พี่กรเลยลาออกจากโรงงานกลับมาอยู่กับผม หางานแถวนั้นทำ ผมเลยตั้งใจว่าจะกลับตัวใหม่ แต่แล้วมันก็เกิดเรื่องก่อนเมื่อคู่อริของพวกผมแทงเพื่อนผมคนหนึ่งของผมตาย ตอนนั้นผมโกรธมากและคิดอยู่อย่างเดียวว่าไอ้คนนั้นมันต้องตาย ผมเลยแอบพี่กรออกมามีเรื่อง แต่ผมไม่รู้ว่าพี่กรแอบตามผมมาจนเห็นว่าผมแทงคู่อริ...ตอนที่แทงผมคิดอยู่อย่างเดียวว่าถ้าผมไม่แทงมัน มันก็จะแทงผม ทำให้ผมไม่มีทางเลือกอื่น แต่แล้วมันก็ปากดียุให้ผมฆ่ามันเพราะถ้าผมไม่ฆ่ามันจะกลับมาฆ่าผม ในจังหวะที่ผมกำลังจะแทงอยู่ๆก็มีปืนยิงเข้าที่หัวใจของมัน...ละและผมก็เห็นว่าคนนั้นคือพี่กร” ภาพตอนนั้นมันยังติดตาของผมจนถึงตอนนี้ภาพที่พี่กรยิงมันตาย

“......” หน้าของพี่กูนเริ่มเครียด

“ผมคิดมาตลอดว่าผมคือสาเหตุของเรื่องนี้ ผมทำให้พี่กรต้องติดคุก ผมทำให้พี่กรต้องฆ่าคน ผมมันเป็นเด็กเหี้ย ผมพยายามที่จะบอกพี่กรว่าเรื่องนี้ผมจะรับผิดชอบเอง แต่พี่กรกลับใช้ปืนยิงเข้าที่ท้องของตัวเองจัดฉากว่าต่อสู้กับไอ้นั่นเพื่อที่จะได้รับโทษน้อยที่สุด นับตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ไม่เจอพี่กรอีกเลย ผมไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะไปส่งพี่กรที่เรือนจำ” อยู่ๆน้ำตาของผมก็ไหลออกมาเมื่อนึกถึงวันที่ผมหันหลังเดินออกมาจากพี่กร ผมไม่คิดว่าวันนั้นจะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอ

“มึงอยากฟังความคิดเห็นของกูไหม” หลังจากที่ผมเล่าเสร็จผมจึงนั่งเงียบเพื่อทบทวนสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งหมด จนกระทั่งพี่กูนพูดขึ้น ผมจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา

“พี่จะด่าพี่กรเหรอ”

“ใช่ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะสิ่งที่พี่มึงทำมันเป็นการปลูกฝังให้มึงเคยตัว ทำให้มึงไม่รู้จักการแก้ไขปัญหาด้วยของมึงตัวเอง ทำให้มึงมีนิสัยเหี้ยๆเพราะการตามใจไม่เข้าเรื่อง กูบอกเลยว่ากูไม่ได้ซึ้งอะไรทั้งนั้นกับการที่พี่มึงฆ่าคนตายเพื่อรับผิดแทนมึง การที่พี่ทำกับมึงแบบนั้นมันก็ไม่ต่างจากพ่อแม่รังแกฉันเลยไอ้ติ”

“แต่....”

“ถ้ากูเป็นพี่มึง ถ้ากูรู้จักมึงก่อนหน้านั้น รู้ไหมว่ากูจะทำอย่างไง”

“ทำอย่างไงครับ” ผมคาดหวังว่าคำตอบของพี่กูนจะเป็นเหมือนที่ผมคิด แม้ในใจของผมจะรู้ว่าพี่กูนไม่มีทางเหมือนพี่กร

“กูจะปล่อยให้มึงติดคุก กูจะปล่อยให้มึงคิดเอง กูจะไม่ช่วยถ้ามึงทำผิด กูว่ามึงโตพอที่จะคิดและแยกแยะได้ ถ้ามึงจะอ้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้มึงเป็นแบบนั้น กูจะด่ามึงซ้ำว่ามึงคิดได้แค่นี้จริงๆเหรอ” ผมมองหน้าพี่กูนนิ่งๆไม่ได้พูดหรือเถียงอะไร “มึงลองคิดดูว่าสิ่งที่ทำให้พี่มึงเป็นแบบนี้เพราะใคร และกูก็เป็นพวกถ้ามึงล้มกูก็จะเหยียบซ้ำ กูจะไม่กอด กูจะไม่ปลอบมึง วิธีของกูมันคงต่างจากพี่ชายที่แสนดีของมึง”

“พี่กำลังจะบอกว่าเพราะผมอย่างนั้นเหรอ?”

“ใช่ เรื่องทั้งหมดส่วนใหญ่มันเกิดจากตัวมึง แต่ถ้าจะให้สมบูรณ์พี่มึงก็มีส่วนที่ทำให้มึงเป็นแบบนี้ มึงคิดแค่ว่ามึงจะเหี้ยอย่างไงมึงก็มีพี่คอยจัดการให้ มึงเลยไม่รู้ตัวว่ามึงกำลังทำผิด”

“....ผม”

“หวังว่ามึงจะคิดได้กับสิ่งที่กูพูดแล้วจะไม่หาทางติดต่อไปหามันนะไอ้ติ” พี่กรกระดกเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดกระป๋อง “กูเลี้ยงมึงได้แค่ตัว ส่วนความคิดกูคงบังคับให้มึงคิดเหมือนกูไม่ได้”

“พี่กูนผมรู้ว่าพี่หวังดีและผมก็รู้ว่าตอนนั้นผมเหี้ย ผมทำตัวของผมเอง แต่สิ่งที่ผมขออย่างเดียวพี่อย่ามองพี่กรว่าเป็นพี่ที่ไม่ดีได้ไหม ผมขอแค่นี้”

“......” ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่กูนคิดอย่างไงแต่ผมก็หวังว่าพี่กูนจะไม่เกลียดพี่กร ถึงแม้ว่าในสายตาพี่กูนพี่กรจะดูแย่ก็ตาม

“ถ้ามึงเห็นกูเป็นพี่ก็ทำตามที่กูบอกนะไอ้ติ เรื่องนี้มึงน่าจะคิดเองได้ กูขอแค่ตอนนี้ตอนที่กูยังดูแลมึงอยู่ในฐานะพี่ชาย” ทำไมผมรู้สึกใจหายกับคำพูดของพี่กูนอย่างไรอย่างนั้น พี่กูนพูดเหมือนจะปล่อยผมไป.. ผมไม่รู้หรอกว่าคำพูดของพี่กูนหมายถึงอะไร แต่ถ้าให้ผมตีความเอาเองพี่กูนคงกำลังจะบอกว่า

“กูตัดมึงได้นะไอ้ติ ถ้าวันนั้นมึงไม่เห็นว่ากูเป็นพี่มึง” เท่านั้นแหละครับ ผมจึงเข้าใจความหมายของพี่กูนเป็นอย่างดี


ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ถึง นักอ่านที่น่ารัก

วันนี้เรามาหลายตอนมากเลยนะ อยากอ่านคอมเม้นต์เยอะๆจัง
อาหารของเราคือ คอมเมนต์ ถ้ามีเยอะเราก็จะมีพลังในการแต่งต่อไป ถึงไม่มีก็จะแต่งต่อ อิอิ

จาก ทีมบี @teambteambteamb

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Toxicgirl

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอบคุณค่ะที่นำพาน้องติและพี่กูนมาให้รู้จัก เป็นกำลังใจให้นักแต่งนะคะ ตอนนี้ลุ้นมากว่าความสัมพันธ์ของพี่กูนนกับน้องติจะรักกันตอนไหน พี่ไท้เป็นพระรองหรือไม่ รออ่านตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ขอบคุณค่ะที่นำพาน้องติและพี่กูนมาให้รู้จัก เป็นกำลังใจให้นักแต่งนะคะ ตอนนี้ลุ้นมากว่าความสัมพันธ์ของพี่กูนนกับน้องติจะรักกันตอนไหน พี่ไท้เป็นพระรองหรือไม่ รออ่านตอนต่อไปค่ะ
ใช่รึเปล่าต้องมาดูกันนนนนนน ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบ ก็บอกว่าชอบ

จากพี่ชาย จะกลายเป็นอื่นหรือเปล่า.....

ออฟไลน์ snoopyme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มาหลายตอนมาก ได้อ่านแบบอิ่มๆเลย นักเขียนสู้สู้นะ ติดตามอยู่จ้า :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ชีวิตดีไม่ดีอยู่ที่เราเลือกจริงๆ

ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 16

กรนินทร์



นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ได้เจอโลกภายนอก นานเท่าไหร่แล้วที่ผมทิ้งชีวิตของตัวเองไปกับความคิดแบบผิดๆ และนานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ได้เจอคนที่ผมรัก ผมจะไม่โทษใครเลยนอกจากตัวผมเอง



‘สติ’ พี่ชายคนนี้ขอโทษ ตลอดเวลาที่ผมไม่อยู่ ติคงจะลำบากมากแน่ๆ ตอนที่ผมอยู่ในเรือนจำผมพยายามทำตัวดีเพื่อที่จะได้เป็นนักโทษชั้นดีและถูกอภัยโทษออกมาก่อนเวลาที่ผมถูกจำคุกจริงๆ และวันนั้นก็มาถึง วันที่ผมออกจากคุก วันแรกที่ผมออกผมตรงไปที่วัดเพื่อไปหาน้องชายที่ไม่ได้เจอกันนาน แต่แล้วผมก็พบกับ...



“หลวงตาครับสติอยู่ไหมครับ” ผมเจอหลวงตาที่กำลังกวาดลานวัดอยู่คนเดียว ผมจึงเข้าไปกราบนมัสการและขออโหสิกรรมกับสิ่งที่ผมเคยทำ



“มันไปเรียน แล้วเอ็งออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่”



“วันนี้ครับ”



“ออกมาแล้วหลวงตาขอให้เอ็งเลือกเดินเส้นทางใหม่นะ อะไรที่เคยใจร้อนอะไรที่คิดว่าไม่ดีก็หลีกเลี่ยงมันซะ” ผมตั้งใจฟังในสิ่งที่หลวงตาต้องการจะสอนและผมเองก็คิดได้หมดทุกอย่าง เพียงแต่ว่ามันสายไปแล้ว แต่มันคงไม่สายที่จะเริ่มต้นใหม่



“ผมขอเอาติไปอยู่ด้วยได้ไหมครับ ผมสัญญาว่าจะดูแลติอย่างดี เพราะที่ผ่านมาผมทำให้ติผิดหวัง”



“หลวงตามีเรื่องจะขอร้อง”



“ครับ?” หลวงตาเลือกที่จะไม่ตอบในสิ่งที่ผมขอ



“ถ้ารักและหวังดีกับไอ้ติ หลวงตาขอให้เอ็งอยู่ห่างจากน้องมันให้มากที่สุด ถ้าจะให้ดีก็อย่าได้เจอกันอีกเลย ดวงของเอ็งสองคนมันเป็นดวงที่ไม่สมพงษ์”



“หลวงตาก็รู้ว่าผมไม่เชื่อเรื่องแบบนั้น”



“แต่หลวงตาก็เคยบอกเอ็งไม่ใช่เหรอกรว่าเอ็งจะติดคุกเพราะความใจร้อน ซึ่งเรื่องนี้หลวงตาหวังดีกับเอ็งทั้งคู่ ถ้าไม่อยากให้ชีวิตของน้องมันตกต่ำก็ทางใครทางมัน” วินาทีนั้นผมรู้เลยว่าถ้าผมไม่เจอติ ชีวิตของผมมันก็คงไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะสิ่งที่ผมตั้งหน้าตั้งตารอมาตลอดมันไม่มีวันเป็นจริง..ซึ่งผมไม่ยอม



“......”



“นะกร ถือว่าหลวงตาขอ” ถ้าถามว่าตอนนั้นผมโกรธไหมผมยอมรับเลยว่าโกรธมาก แต่ผมไม่สนใจหรอกว่าหลวงตาจะขออะไร เพราะสิ่งนั้นผมทำไม่ได้ “อย่าฝืนมันเลยกร”



“ผมจะฝืนให้หลวงตาเห็นว่าสิ่งที่หลวงตากำลังจะบอกผม ผมสามารถทำให้ได้ดีกว่าที่หลวงตาคิด ผมกราบลา” ผมเตรียมที่จะลุกขึ้น



“ถ้าแค่นี้เอ็งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ก็ไม่เหมาะที่จะดูแลชีวิตใคร” ผมหันกลับไปมองหน้าหลวงตาก่อนจะยกมือขึ้นไหว้เพื่อบอกลา



ถ้าไม่ให้ผมเจอ ผมก็ไม่เจอ แต่มันก็แค่ตอนนี้ แล้วผมจะกลับมาเมื่อผมพร้อม ติรอพี่อีกหน่อยนะแล้วพี่จะกลับมา



ผมหายไปเกือบๆ ปีหลังจากที่เจอหลวงตาวันนั้น ผมหายไปสร้างตัวด้วยวิธีของผม มันไม่ได้สกปรกแต่มันก็ไม่ได้สะอาดเสียทีเดียว ตอนนี้ผมมั่นใจว่าผมค่อนข้างที่จะมั่นคงทางหน้าที่การงานและทรัพย์สิน วันนี้แหละที่ผมจะพาติไปอยู่ด้วย ผมจะส่งเสียน้องให้เรียนดีๆ และออกจากสังคมแบบนี้ไปเจอสังคมใหม่ๆ



“ใช่..กรไหมครับ?” ขณะที่ผมกำลังจะไปที่ดักรอติที่หน้าเทคนิคแต่ระหว่างทางผมเจอผู้ชายคนหนึ่ง ลักษณะท่าทางดูดี แต่งตัวคล้ายๆ กับหมอ? เท่าที่ผมจำได้ผมไม่เคยรู้จักกับเพื่อนหรือใครก็ตามที่เป็นหมอมาก่อน



“ครับ แล้วคุณเป็นใคร?”



“มึงจำไม่ได้เหรอ กูเพื่อนมึงสมัยประถมอะตอนที่เราเรียนอยู่นนทบุรีด้วยกัน มึงจำได้ไหม?” ผมทำท่าครุ่นคิดก่อนจะพิจารณาคนตรงหน้า



“ไท้เหรอวะ?”



“เออ กว่าจะคิดออก กูว่ากูก็หล่อเหมือนเดิมนะ”



“หึ หล่อเหมือนเดิม”



“ไปหาไรกินกันเพื่อน กูเลี้ยง” และผมก็ล้มเลิกความตั้งใจแรกที่จะไปดักรอติที่หน้าเทคนิคและเปลี่ยนไปหาอะไรกินกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนานหลายสิบปี



“เอาดิ”



จากที่ห่างหายกันไปนานทำให้ทั้งผมและมันมีเรื่องให้คุยกันเยอะ โดยเฉพาะผม



“กูติดคุก” ผมตัดสินใจบอกเพื่อนไปตรงๆ แม้น้อยคนนักจะรู้ว่าผมหายไปไหน แต่เพื่อนส่วนมากผมก็ไม่ได้ติดต่อจนกระทั่งเจอกับมัน เพื่อนสมัยประถมที่ผมเคยสนิทที่สุด



“จริงดิ แล้วข้อหาอะไรวะ กูถามได้ไหม?” ผมไม่รู้ว่าไอ้ไท้มันคิดอย่างไรแต่ท่าทางของมันดูเฉยๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ



“ฆ่าคนตาย...” ผมเว้นจังหวะเพื่อเหลือบดูสีหน้าของเพื่อนผมว่ามันจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ผมได้กลับมาคือรอยยิ้มเล็กๆ ของมัน



“กูจะไม่ถามว่าทำไม แต่กูคิดว่ามึงมีเหตุผล และกูก็รู้จักมึงดีในระดับหนึ่ง แต่ออกมาแล้วกูก็ดีใจกับมึงด้วยนะ ถ้ามีอะไรก็ปรึกษากูได้ กูยินดี เอาเบอร์กูไป” ไอ้ไท้เอาโทรศัพท์ของมันออกมาก่อนจะยื่นมาให้ผมกดเบอร์ของตัวเองลงไป



“แล้วมึงเป็นไงไอ้ไท้ ได้ดีนิหว่า”



“ก็นิดนึง ไม่ได้ดีอะไรเลย เป็นหมอเหนื่อยฉิบหาย”



“เออ แล้วมาทำอะไรแถวนี้วะ กูจำได้ว่ามึงอยู่นนนิหว่า” เพราะตอนที่ผมรู้จักกับมันตอนนั้นผมยังคงอยู่กับครอบครัว.. ก่อนจะย้ายมาอยู่แถวนี้และเจอกับติ



“มาลงตรวจชุมชนเฉยๆ คนที่รพ.ในพื้นที่มันไม่พอก็เลยขอหมอจากโรงพยาบาลอื่น แล้วพอดีว่ากูว่างเลยถูกส่งมาตรวจวันนี้ เออหนิ วันหลังไปเที่ยวบ้านกูได้อยู่แถวๆ ..XXX”



“ในเมืองเลยนิ ย้ายมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”



“ก็ตอนมัธยมกูต้องมาเรียนในเมืองก็เลยย้ายกันมาหมดบ้านเลย มึงต้องมาบ้านกูให้ได้นะไอ้กร” ผมกับไอ้ไท้คุยกันจากที่ฟ้าสว่างกลายเป็นฟ้ามืด



“เห็นมีงานวัดด้วยหนิมึง กูเห็นชาวบ้านเขาคุยกัน”



“เหรอวะ มึงจะไปไหมล่ะกูไปเป็นเพื่อนได้” เพราะอย่างไงติก็อยู่ที่วัดอยู่ดีไม่ว่าจะไปช้าไปเร็วผมก็เจอ



“ไปก็ได้มึงๆ ไหนๆ ก็มาแล้ว” ผมกับไอ้ไท้มุ่งหน้าไปยังวัดช่วงเกือบๆ สามทุ่ม



“เอะอะอะไรวะ เหมือนมีเรื่อง” ไอ้ไท้พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าคนแถวนั้นเอะอะโวยวายสำหรับไอ้ไท้คงเป็นเรื่องใหม่ แต่สำหรับผมมันเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นวัยรุ่นมีเรื่องกันโดยเฉพาะงานวัด ซึ่งผมก็เป็นห่วงติมันอยู่เหมือนกันไม่รู้ว่าจะไปมีเรื่องกับใครรึเปล่า



“ขอทางด้วยครับ! ขอทางให้คนเจ็บด้วย” ผมกับไอ้ไท้หลบมาอีกฝังเมื่อเห็นหน่วยฉุกเฉินแบกเปลที่มีคนบาดเจ็บออกมาจากทางด้านหลังวัด



วินาทีที่เปลผ่านหน้าผมกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างดลใจให้ผมก้าวขาออกไปเพื่อดูว่าคนที่บาดเจ็บเป็นคนที่ผมรู้จักไหม



หมับ!



“ไปเถอะมึง กูอยากยิงปืนวะ” แต่ผมกลับถูกไอ้ไท้คว้าแขนเอาไว้ก่อน โดยที่ผมไม่ได้ไปดูว่าคนเจ็บเป็นใคร ระหว่างนั้นผมก็พยายามสอดส่องสายตาเพื่อดูว่าติจะผ่านมาแถวนี้ไหม



“ไอ้พวกนั้นไม่น่าทำเลยเนอะ มันคนเดียวโดนรุมเป็นสิบ”



“เห็นว่าเลือดเต็มตัวเลยนิหว่า”



“เออ กูละสงสารหลวงตา มีเรื่องเพราะไอ้เด็กเหี้ยนี่ไม่เว้นแต่ละวัน แม้แต่ครั้งนี้มันจะถูกรุมก็เถอะ” คำว่าหลวงตาทำให้ผมชะงัก..มันช่างคุ้นเหลือเกิน เพราะเด็กที่หลวงตาดูแลมีแค่ไม่กี่คน



“มีอะไรเหรอวะมึง?”



“กูแค่คุ้นอะไรบางอย่าง”



“อะไร....”



“ไอ้ติมันน่าสงสารนะมึง ถึงเมื่อก่อนมันจะเหี้ยอย่างไงแต่ตอนนี้กูเห็นมันทำงานหาเงินเรียนต่ออยู่”



“......!!!”



“เห้ย! ไอ้กรไปไหนวะ” ใครที่มันทำน้องผม ผมไม่ปล่อยมันเอาไว้แน่





ผลัก!



“มึงเองเหรอที่ทำน้องกู?”



“พะ.พี่กรพี่ออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่”



“ไอ้กร!” ผมไม่รู้ว่ารอบข้างของผมกำลังทำอะไร หรือมีสายตาใครที่จับจ้องผมไม่สน แต่สิ่งเดียวที่ผมสนใจก็คือ ใครที่มันทำน้องผม ผมไม่เอาไว้แน่



“ไอ้กรใจเย็นมึง..มึงอยากกลับเข้าไปใหม่เหรอวะ??!” จังหวะที่เสียงของไอ้ไท้แทรกเข้ามาในโสตประสาทของผม มือที่จับอยู่ที่คอเสื้อของไอ้เต๋า



ไอ้เต๋าคนที่มันจ้องจะหาเรื่องน้องผมเสมอ



“มีอะไรรึเปล่าครับ?” จังหวะที่ผมรวบรวมสติ อยู่ๆ ก็มีตำรวจวิ่งมาทางที่ผมยืนเผชิญหน้ากับไอ้เต๋าอยู่ และผมก็พึ่งสังเกตว่ารอบๆ ตัวผมมีแต่ตำรวจ



“เปล่าครับ ขอโทษครับๆ” ไอ้ไท้ก้มหัวขอโทษตำรวจที่อยู่รอบๆ ก่อนจะดึงตัวผมออกมาจากบริเวณนี้ มีคนเคยบอกผมว่าถ้าผมโกรธผมจะไม่สนใจอะไรเลยแม้กระทั่งคนรอบข้าง ซึ่งครั้งนี้ผมยอมรับแล้วว่ามันเป็นเรื่องจริง และนิสัยนี้มันก็ยังคงแก้ไม่หาย



“มึงรู้ตัวไหมว่ามึงฝ่าดงตำรวจเข้าไปหาเด็กคนนั้นที่ใส่กุญแจมืออยู่”



“.......”



“ไอ้กร กูไม่รู้ว่าที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นกับมึงนะ แต่กูช่วยมึงได้ถ้ามึงอยากรักษา”



“กูเป็นโรคจิตเหรอ?”



“แต่สายตากับท่าทางของมึงเมื่อกี้..มันทำให้กูคิดแบบนั้นวะ มึงไม่ได้เป็นโรคจิตแต่มึงอาจจะแค่มีอาการบางอย่าง”



“มันอันตรายไหม”



“เมื่อกี้มึงควบคุมตัวเองได้ไหม?”



“ไม่ได้ว่ะ”



“นั่นแหละ ถ้าปล่อยไว้มันก็จะเป็นอันตรายแก่ตัวมึงกับคนรอบข้าง” มันคงแย่ถ้าติเห็นผมเป็นแบบเมื่อสักครู่นี้ ผมไม่รู้ว่าท่าทางของผมมันน่ากลัวมากแค่ไหนหากเทียบกับเมื่อหลายปีก่อน



“ช่วยกูด้วยนะไอ้ไท้”



“ได้ดิเพื่อน”





หลายวันผ่านไป



ผมรู้ข่าวว่าติเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใกล้ๆ ผมจึงแอบเข้าไปหาตอนที่ตินอนหลับอยู่ในห้องพักเพียงคนเดียว สภาพของติตอนนี้มันทำให้ผมรู้สึกแย่ ที่ไม่สามารถช่วยอะไรน้องได้ ขาของติหัก ใบหน้าบวมช้ำอยู่หลายจุด ผมเชื่อว่าถ้าผมอยู่ตรงนั้นน้องผมคงไม่มีสภาพแบบนี้แน่ๆ



“ติพี่ขอโทษ พี่มารับแล้ว” ผมถือวิสาสะยื่นมือไปสัมผัสที่ใบหน้าของน้องเบาๆ



“ติ พี่กรขอโทษที่ทิ้งติไป แต่ตอนนี้พี่กลับมาแล้วนะครับ”



“เอาไว้ติพร้อมกว่านี้พี่จะมารับติไปอยู่ด้วย”



ผมยืนมองติที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียงก่อนจะถึงเวลาที่ผมต้องกลับไปทำงาน ผมตัดสินใจเขียนข้อความบางอย่างลงในกระดาษ ถ้าติตื่นขึ้นมาก็คงจะเห็นและรู้ว่าผมกลับมาแล้ว



ผมหันหลังเดินออกจากห้องพัก ระหว่างทางผมสวนกับตำรวจท่านหนึ่ง เขามองผมด้วยสายตานิ่งๆ ซึ่งผมเองก็มองเขากลับเหมือนกัน



หวังว่าสักวันหนึ่งเราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง





หลายเดือนผ่านไปผมเข้ารับการรักษาอาการควบคุมตัวเองไม่ได้เวลาโกรธกับจิตวแพทย์ที่ไอ้ไท้มันแนะนำผมมา วิธีการรักษาของผมคือการทำจิตบำบัดเพื่อเป็นการฝึกควบคุมตัวเอง และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมเข้ามาที่โรงพยาบาลตามที่หมอนัดตรวจในทุกๆ เดือน



“ไอ้กรไปบ้านกูไหม แม่กูอยากเจอมึง” หลังจากที่ผมเข้าตรวจเป็นที่เรียบร้อยเป็นจังหวะที่ไอ้ไท้เลิกเวรพอดี ทำให้มันมาอยู่เป็นเพื่อนผมระหว่างรอชำระค่ารักษาพยาบาล



“กู..ไม่กล้าไป้จอแม่มึงหรอก มึงดูกูก่อนเถอะเคยติดคุกมา” เท่าที่ผมจำได้ผมเคยเจอกับแม่ของไอ้ไท้ตอนเด็ก ท่านเป็นผู้หญิงที่ใจดีมาก ใจดีกับผมและเพื่อนเสมอ จนตอนนี้ผมคงจะละอายใจถ้าต้องกลับไปพบกับท่านหลังจากที่ผมพึ่งพ้นโทษมา



“ติดคุกแล้วไง? มันอดีตของมึงเถอะไอ้กรเลิกเอาเรื่องนี้มายึดติดได้แล้ว กูรู้ว่ามันคงทำอย่างที่กูบอกยาก แต่ถ้ามึงพยายามมันก็จะไม่มารบกวนมึง อะไรที่พลาดไปแล้วก็ปล่อยแม่งดิว่ะ ให้อภัยตัวของมึงเองซะที” มันก็จริงอย่างที่ไอ้ไท้บอกผมทุกอย่าง มันพูดถูกทุกเรื่องเพียงแต่ผม..แค่ยังไม่ให้อภัยตัวเอง



“กูจะพยายาม” แต่ไม่รับประกันว่าผมจะทำสำเร็จ



ระหว่างทางกลับบ้านของไอ้ไท้มันขอแวะซื้อขนมหน้าปากซอยไปฝากแม่ของมันก่อน ทำให้ผมเดินมาสูบบุหรี่รออยู่ข้างๆ ร้านและสำรวจสภาพแวดล้อมไปดูพลางๆ



ถ้าดูจากสายตาหมู่บ้านละแวกนี้ค่อนข้างราคาสูงเพราะอยู่ใจกลางเมือง มีร้านค้าร้านอาหารมากมายและยังติดกับรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน มีป้ายรถเมล์ วินมอเตอร์ไซค์เรียกได้ว่าการคมนาคมขนส่งค่อนข้างสะดวกเลยทีเดียว



“เอ๊ะ? ..” ช่วงที่ผมกวาดสายตาไปเรื่อยๆ เป็นจังหวะที่วินมอเตอร์ไซค์ขับผ่านหน้า มันคงเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าคนที่ขับไม่ได้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับติ ผมพยายามที่จะมองตาหลังไปแต่ก็ไม่ทัน จังหวะนั้นเองที่ไอ้ไท้หอบขนมออกมาจากร้าน



“ไปมึง ไปบ้านกัน”



“เดี๋ยวไอ้ไท้ บ้านมึงอยู่ซอยไหน หลังไหนวะ”



“ถามทำไม ก็กูจะพามึงไปเนี่ย” ไอ้ไท้ขมวดคิ้ว



“เมื่อกี้กูเห็นร้านหนังสืออยู่กูจะไปถามว่ามีหนังสือที่กูอยากได้ไหม กูหาร้านอื่นแล้วไม่เจอว่ะ” ผมเหลือบไปเห็นร้านหนังสือที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมของถนนจึงใช้เป็นข้ออ้างเพื่อที่จะพิสูจน์ในสิ่งที่ผมสงสัย



“เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน”



“มึงไปก่อนเลยกูว่าคงนานไม่อยากให้มึงรอ” ไอ้ไท้มองหน้าผมนิ่งๆ ก่อนจะพยักหน้าตกลงตามที่ผมบอก



“งั้นเดี๋ยวกูส่งโลให้ในไลน์ อย่าหนีกลับก่อนล่ะมึง” ไอ้ไท้เดินหันหลังกลับไปที่รถ ส่วนผมเดินตรงไปที่ร้านหนังสือเพื่อรอจังหวะ



ถ้าโชคเข้าข้างผมก็ขอให้คนนั้นเป็นสติ แต่ถ้าไม่ผมก็จะพยายามหาสติต่อไป แม้ว่าหลวงตาจะจับผมสองคนแยกก็ตาม เพราะคืนที่ผมไปเยี่ยมสติครั้งนั้นผมก็ติดงานไม่ได้ไปเยี่ยมอีกเลย จนกระทั่งผมว่างและกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งปรากฏว่าสติไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว พอไปหาที่วัดก็ไม่มีใครรู้ว่าสติไปอยู่ที่ไหน ผมจึงแน่ใจว่านี่เป็นแผนการของหลวงตาที่พยายามแยกผมสองคนให้ออกจากกัน



มันจะไม่มีวันนั้นถ้าผมยังอยู่บนโลกใบนี้



มีทวิตแล้วนะจ๊ะ @teambteambteamb

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Kerberossss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ติดเรื่องนี้มากก เป็นกำลังใจให้นะคะ

รออออ  :hao5:

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 975
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
สรุปใครเป็นพระเอกงะ

ออฟไลน์ Kerberossss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เรื่องนี้เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น "ผมตกถังข้าวสาร"

พิมพ์ค้นหาในเล้าเป็ดได้เลย นักเขียนไปตั้งกระทู้เปลี่ยนชื่อเรื่องใหม่ ตอนนี้มาต่อจนจบไปแล้วค่ะ

 :z2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด