*^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61  (อ่าน 96074 ครั้ง)

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk

ต่อนะคะ
   

                        ********************



          “เตแอบจูบแก้มพี่หรือ”  คนที่หลับอยู่ลืมตาขึ้นมาทันควัน  ทำเอาคนที่แอบลักจูบสะดุ้ง  รีบผลักอีกคนที่นอนซบไหล่ของเขาอยู่ออกทันที  หน้าร้อนซู่  ปฏิเสธพัลวัน

          “เปล่าสักหน่อย  อย่ามาตู่นะ”   เตเสหันไปมองนอกรถแทน

          “แต่พี่รู้สึกนะเมื่อกี้ ยอมรับมาเถอะน่า  ลูกผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ”   รอยยิ้มยั่วเย้าในดวงตาคมคู่นั้นทำให้เขาเขินหนักกว่าเดิม   ทำไมพี่ดิมจะต้องมาคาดคั้นอะไรด้วยเนี่ย ทำเป็นไม่รู้ตัวไม่ได้หรือยังไงนะ

          “เออ  ผมจูบพี่เองแหละ  พอใจยัง”  พูดงึมงำแบบไม่มองหน้า  คนฟังยิ้มกว้าง  สนุกที่เห็นใบหน้าเรียวเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันตาเห็น

          “ไม่พอใจ  คนทำผิดต้องโดนเอาคืน”  แกล้งพูดขึงขัง  เขยิบเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น  เตเบิกตา  แต่ไม่มีที่ให้ขยับเพราะนั่งติดหน้าต่างบนรถทัวร์คันใหญ่ที่กำลังพาพวกเขาสองคนไปยังสถานที่ๆพี่ดิมต้องการจะพาเขาไปฉลองครบรอบ 4 ปีที่เราคบกัน

          “ใจร้าย…อื้อ”  เขาเบิกตาโตยิ่งกว่าเดิม เพราะอีกฝ่ายไม่รอให้เขาพูดจบ แต่ชะโงกเข้ามาจูบเขาที่ริมฝีปากเร็วๆแบบไม่ให้ตั้งตัว   จากนั้นก็ถอยออกไปยิ้มร่าราวกับบรรลุภารกิจอะไรสักอย่าง

          “พี่ดิม! จะบ้าเหรอ เดี๋ยวใครเห็น”  เตรีบมองไปรอบๆ เห็นผู้โดยสารบนรถต่างหลับสนิทกันหมดก็ค่อยเบาใจ  หันมาถลึงตาใส่คนรักที่ดูไม่สำนึกผิดเลยสักนิด

          “เห็นก็เห็นไปสิ  ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”  ว่าที่คุณหมอหนุ่มดูจะไม่เดือดร้อนอะไรจริงๆตามที่เขาว่าเอาไว้  ทอดขาเหยียดยาวอย่างสบาย  อ้าปากหาวน้อยๆและหลับตาลง  ครู่เดียวก็หลับสนิทไปอีก

          เตบ่นพึมพำขมุบขมิบในลำคอ  รู้ว่าอีกฝ่ายเหนื่อยมากจากการเรียนอย่างหนักในช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา  แต่ก็อดขวางในใจไม่ได้

          ....พาเรามาเที่ยวทั้งที  ดันเอาแต่หลับ  แถมหลับไม่หลับเปล่า  ดันเอนมาซบกันอีก  แล้วแบบนี้เขาจะไปหลับลงได้อย่างไรกัน  ถ้าใจมันสั่นไหวขนาดนี้....



                                ***************




            สัมผัสอุ่นๆที่หน้าผากทำให้คนหลับรู้สึกตัวขึ้นมา   รับรู้ได้ว่าตนเองกำลังเอนซบไหล่แบบบางของคนนั่งข้างๆอยู่  จะว่าไม่ตั้งใจ  ก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก  เอาเป็นว่ามันเป็นความเคยชินของเขามากกว่า ....ความเคยชินเมื่อหลายปีก่อน  เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่เคยชินกับการแอบลวนลามเขาเวลาหลับทุกที

            แต่เขาไม่บ่นหรอกนะเรื่องนั้น

            รดิศขยับตัวนิดหนึ่ง  ไม่ได้ผละออก แต่กลับซุกใบหน้าของตนลงกับซอกคอหอมกรุ่นของฝ่ายนั้น  ลอบสูดกลิ่นหอมแสนแปลกเข้าปอด   ขมวดคิ้วนิดหนึ่งเมื่อรู้สึกว่ากลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัวของอีกฝ่ายที่เขาจดจำได้ดีนั้นผิดแผลกไป

            เตใส่น้ำหอมด้วยเหรอ?   ถามตัวเองอยู่ในใจ  รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายขยับตัวขยุกขยิกจึงลืมตาขึ้นช้าๆ คล้ายกับว่าเพิ่มตื่นเต็มตา

            “ถึงแล้วหรือ..เอ้อ  ขอโทษที  พี่..เผลอหลับไป”   ดันตัวลุกขึ้นมานั่งตรงๆ  เห็นผิวแก้มของอีกฝ่ายกลายเป็นสีชมพูด้วยเลือดฝาดก็อมยิ้ม

            “ใกล้ถึงแล้วล่ะ”  เตพึมพำ  ไม่ยอมมองหน้าเขาอีกตามเคย  คงจะกำลังเขินอยู่  คุณหมอหนุ่มชะโงกหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายที่สะดุ้งเฮือกหลับตาปี๋ด้วยความตกใจ

            “เป็นอะไรไเต”  พูดกลั้วหัวเราะในคอ   ยกมือขึ้นปัดปอยผมหยิกให้พ้นหน้าผากแล้วส่งยิ้มให้  ตั้งเตหน้าแดงกว่าเดิม   เอียงตัวหนีสัมผัสของเขา

            “ไม่เป็นอะไร  ขอบคุณมาก  ง่า...พี่ดิมเขยิบไปฝั่งนู้นหน่อยได้มั้ย  ผม..ร้อน”    พี่ดิมไม่รู้หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่  ว่าตอนนี้หัวใจของเขามันเต้นแรงจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว   คิดผิดหรือคิดถูกกันแน่ที่ยอมมากับพี่เนี่ย

            รดิศเขยิบออกห่างอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย   ติณธรพยักหน้าอย่างพอใจ...อย่างน้อยเค้าก็คงไม่ได้มีเจตนาอะไร  ไม่อย่างนั้นคนอย่างพี่ดิม ไม่ยอมถอยหรอก   

            “เดี๋ยวช่วยแวะที่โรงพยาบาล....ก่อนนะครับ”  พี่ดิมชะโงกไปบอกคนขับรถ  ให้เขาเลี้ยวเข้าเขตตัวเมืองก่อน  ครู่ใหญ่ก็มาถึงที่หมาย   เตก้าวตามอีกฝ่ายเข้าไปภายในโรงพยาบาลขนาดกลางที่มีผู้คนพลุกพล่าน   เห็นคุณหมอหนุ่มเดินเข้าไปติดต่อที่กับพยาบาล  ท่าทางคุ้นเคยกันดี    จากนั้นก็หันมาบอกเขาว่า

            “นายรอที่นี่ก่อนก็ได้  หรือว่าจะไปเดินเล่นๆรอบๆโรงพยาบาล  ข้างนอกมีสวนหย่อมอยู่  พี่ขอเข้าไปคุยกับผอ.ก่อนครู่นึง”   เตพยักหน้า มองตามร่างอีกฝ่ายที่เดินลับหายเข้าไปด้านใน

            ส่วนตนเองก็ตัดสินใจเดินเลียบเรื่อยลัดเลาะออกมาจากแนวเก้าอี้ที่มีผู้ป่วยนั่งรอคิวตรวจอยู่อย่างแออัด   ลงบันไดมายังชั้นล่างที่มีแนวร่มไม้สีเขียวเย็นสบายตาตัดกับไม้ดอกสีสดใสที่ปลูกแซมเอาไว้อย่างมีศิลป์

            ไม่เกิน 15 นาที พี่ดิมก็กลับออกมาพร้อมกับแฟ้มเอกสารในมือ  ท่าทางเขายิ้มแย้มแจ่มใสราวกับถูกใจอะไรบางอย่าง   เดินตรงเข้ามาหาเขา

            “รอพี่นานมั้ย  เสร็จแล้วล่ะ ดูนี่สิว่าพี่ได้อะไรมา”  เขาแกว่งกุญแจพวงใหญ่ชายหนุ่มดู

            “กุญแจ?  อะไรน่ะพี่ดิม”  เตถาม  เอื้อมมือไปรับแฟ้มมาช่วยถือให้ ระหว่างเดินกลับไปที่รถ

            “กุญแจบ้านพักกับเรือ  ผอ.ท่านให้ยืมมา....ไปนั่งเรือเล่นกันเต”  เอ่ยชวนอย่างร่าเริง   แล้วล้วงกุญแจรถขึ้นมาส่งให้นักเขียนหนุ่มที่รับมาถือเอาไว้อย่างงงๆ

            “อ้าว  แล้วคนขับรถของพี่ล่ะครับ”

          “เขากลับไปทำงานแล้วล่ะ  พี่ขอแรงเขามาช่วยเฉพาะช่วงขามากับขากลับ”  พี่ดิมตอบยิ้มๆ  คนฟังพยักหน้า ไม่ได้ถามต่อ  รับกุญแจมาสตาร์ทรถแต่โดยดี 

            ศัลยแพทย์หนุ่มยิ้มนิดๆ  เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามที่เริ่มมีเมฆบางส่วน  ตรงตามที่กรมอุตุฯทำนายเอาไว้   จากนั้นก็เปิดประตูรถก้าวขึ้นไปนั่งข้างคนขับ

            บอกทางให้ตั้งเตขับไปตามป้าย   จนกระทั่งพวกเขามาถึงหน้าบ้านพักตากอากาศหลังงามของผู้อำนวยการโรงพยาบาล....รุ่นพี่ของเขาเป็นเจ้าของอยู่ และยินยอมให้รุ่นน้องมาพักได้ตามสะดวกด้วยความยิ่งกว่าเต็มใจ...จะไม่ให้รู้สึกอย่างนั้นได้อย่างไร  ในเมื่อเขาเป็นคนผ่าตัดหัวใจให้กับมารดาของรุ่นพี่คนนั้นจนท่านสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติมาถึงทุกวันนี้

            “สวยจังเลยฮะ”  ตั้งเตหันมาบอกกับเขา   ลมทะเลพัดแรงจนเส้นผมหยิกหยองปลิวยุ่งเหยิง  แต่นั่นยิ่งทำให้ใบหน้านั้นดูอ่อนเยาว์ลงราวกับเจ้าตัวย้อนเวลากลับไปเป็นหนุ่มน้อยคนนั้น...คนที่เขาต้องวิ่งวุ่นขอแลกเวรกับเพื่อนแทบตายเพื่อจะหาเวลาพาเด็กน้อยมาเที่ยวทะเลด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน

            “ชอบใช่มั้ยล่ะ  เข้าไปข้างในกันเถอะ”  เขาพูด   เอื้อมมือไปช่วยอีกฝ่ายอุ้มแฟ้มและคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คเข้าไปภายในบ้าน   ทุกอย่างอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เรียบร้อยตรงตามที่รุ่นพี่บอกเอาไว้เมื่อวันก่อน  ตอนที่เขาติดต่อมา

            “ข้างนอกเป็นระเบียง  ยื่นออกไปตรงชายหาดส่วนตัว  ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมารบกวนเลยล่ะ”  ร่างโปร่งบางที่เดินสำรวจรอบบ้านอย่างตื่นเต้นพยักหน้ารับ  เปิดประตูระเบียงออกไปด้านนอก  กลิ่นเค็มๆของทะเลทำให้เขาเหนียวตัวแต่ก็รู้สึกดีพอๆกัน   พิศดูท้องทะเลเบื้องหน้าที่สะท้อนแสงแดดระยิบระยับ 

            “ออกไปเดินเล่นกันสักพักไหมเต   หรืออยากลงเรือ  มีโรงเก็บเรืออยู่ข้างๆเนี่ยแหละ”   พี่ดิมถามยิ้มๆ  ท่าทางเขาผ่อนคลายไม่แพ้กัน    ใบหน้าคมเข้มมีแว่นตาและหมวกสานสวมเอาไว้พร้อม

            “ไปเดินเล่นกันก่อนก็ได้  ผมอยากเห็นรอบๆ”  เขาบอก  กลั้นหัวเราะแทบแย่ที่เห็นพี่ดิมดูตื่นเต้นและเตรียมพร้อมเหมือนเด็กๆ   เค้าหันไปเปิดกระเป๋าใบใหญ่ที่เตเพิ่งสังเกตเห็นด้วยความแปลกใจว่าแค่มาเที่ยววันเดียว ทำไมจะต้องเตรียมของมาขนาดนั้น แต่พอเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายล้วงออกมาจากกระเป๋าก็หลุดหัวเราะออกมา  ทั้งขำทั้งเอ็นดู

            “กางเกงว่ายน้ำ หมวก แว่นตา อย่างละสอง เอามาเผื่อนายด้วยไง  นี่มีกระป๋องทรายด้วย  กับครีมกันแดด  อ้อ เกือบลืม  ร่มกับเสื่อผ้าใบ   ลูกบอลชาดหาด แล้วก็...ห่วงยาง  ฮ่าๆ”  พี่ดิมก็คงจะขำตัวเองอยู่ไม่น้อย   กับห่วงยางรูปเป็ดน้อยยังไม่ได้เป่าลมที่หยิบออกมาเป็นอันสุดท้าย

            “ก็แหม  พี่แขนเดี้ยงอยู่นี่ จะว่ายน้ำยังไงล่ะ  ไม่ต้องมาหัวเราะเลย  เอ้า  กางเกงว่ายน้ำ  เอาไปเปลี่ยนซะ  พี่เลือกไซส์มา...น่าจะได้นะ”  คนฟังหน้าแดงก่ำในฉับพลัน   กางเกงว่ายน้ำตัวเล็กสีน้ำเงินสดที่อีกฝ่ายส่งมาให้ดูใหม่เอี่ยมน่าใช้  แต่ประเด็นก็คือ...

            “เอ้อ...ขอบคุณมากพี่ดิม  แต่ไม่เป็นไร  ผมไม่ว่ายน้ำหรอกครับ”  จะให้เขาใส่กางเกงว่ายน้ำลงเล่นน้ำทะเลกับอีกฝ่ายเนี่ยนะ   คุณพระ...แค่คิดก็ใจหวิวๆชอบกล

            “อ้าว  ทำไมล่ะ  แต่พี่อยากเล่นน้ำน่ะ  เล่นคนเดียวจะไปสนุกอะไร”   พี่ดิมพูด  หน้าจ๋อยลงถนัด  แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนมองใจอ่อน  จำต้องรับกางเกงว่ายน้ำตัวนั้นมา 

            “ก็ได้  เลิกทำหน้าแบบนั้นเถอะน่า  ว่าแต่เรามาทำงานไม่ใช่เหรอ  พี่จะให้ผมช่วยพิมพ์งานให้ไม่ใช่หรือไง”  นักเขียนหนุ่มถามอย่างเอาการเอางาน   เหลือบมองไปที่แฟ้มเอกสารที่วางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะข้างๆคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค   คนฟังยิ้มกว้าง...เตเป็นห่วงงานก่อนอีกตามเคย   คิดถูกแล้วที่เลือกเหตุผลนี้ตอนที่ชวนมา

            “เอาไว้ค่อยกลับมาทำก็ได้น่า  นานๆเราจะมาทะเลด้วยกันนะ  ไปเดินเล่นสูดอากาศกันก่อน  สมองจะได้ปลอดโปร่ง  ทำงานได้ดีไงครับ   หรือจะเถียงหมอ?”

            เตยักไหล่   พึมพำว่า “แล้วแต่เลย ก็งานของพี่นี่นะ”  จากนั้นก็หยิบกางเกงว่ายน้ำขึ้นมาถือเอาไว้  มองซ้ายขวาหาที่เปลี่ยนชุด 

            “มีห้องน้ำอยู่มุมนู้น  นายเปลี่ยนตรงนั้นก็ได้”  รดิศพยักพเยิดไปที่มุมซ้ายสุดของห้องที่มีประตูห้องน้ำปิดสนิทอยู่ 

            ติณธรหายเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำครู่หนึ่ง ก็กลับออกมาในชุดเสื้อยืดตัวเก่าและกางเกงขาสั้นสีซีด   เขาสวมกางเกงว่ายน้ำสีน้ำเงินสดที่พอดีตัวจนน่าแปลกใจซ่อนไว้ด้านใน   รู้สึกขัดเขินเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของผู้ชายคนนั้นอยู่ในกางเกงว่ายน้ำรัดแนบเนื้อตัวเดียว  อวดกล้ามเนื้อขาแข็งแรง  ช่วงบนเปลือยเปล่าโชว์ลอนหน้าท้องสวยงาม

            นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นพี่ดิมในลักษณะแบบนี้ก็จริง  แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ชินอยู่ดี  ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็เป็นผู้ชาย มีอะไรๆเหมือนๆกันกับเขานั่นแหละ

            หรือจะเป็นเพราะสายตาคู่นั้นที่กวาดมองมาที่เขาทั่วตัวกันนะ

            “อ้าว  ทำไมใส่ซะเต็มยศอย่างนั้นล่ะเต”  พี่ดิมทักมายิ้มๆ  แล้วส่งหลอดครีมกันแดดมาให้เขา  ไม่ได้รอคำคอบ ราวกับว่าเค้ารู้อยู่แล้ว  พี่ดิมก็พูดต่อ “ช่วยทากันแดดให้พี่หน่อย”

            คนฟังอึ้งไปนิดหนึ่ง  แต่ก็รับมาถือเอาไว้โดยดี   ร่างสูงล่ำสันนั้นลงไปนอนคว่ำเหยียดยาวบนโซฟา  เป็นเชิงบอกว่าให้เขาทาแผ่นหลังให้    เตกลั้นใจบีบครีมกันแดดเนื้อข้นลงบนฝ่ามือแล้วลูบไล้ลงไปบนแผ่นหลังเรียบเนียนสีแทนเข้มนั้นเบาๆจนทั่ว 

            รู้สึกว่าบรรยากาศมันชักจะเงียบแปลกๆพิกล  เงียบจนได้ยินแต่เสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นตึกตัก

            “เสร็จแล้ว”  เขาพูดสั้นๆ  รีบถอยห่างออกมาจากร่างที่นอนอยู่บนโซฟา  พี่ดิมดันตัวลุกขึ้น  หันมาถามเขาบ้าง

            “แล้วนายล่ะ  ทากันแดดหรือยัง  ให้พี่ช่วยมั้ย” 

            “เรียบร้อยแล้วครับ”  เขายอมถูกแดดเผาเป็นมะเร็งผิวหนังตายเสียยังดีกว่ายอมให้พี่ดิมทาครีมกันแดดให้แบบนี้   บ้าน่ะสิ  จะได้หัวใจวายตายก่อนประไร 

            คนหน้าคมยิ้มมุมปากราวกับรู้ทัน  แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา   เขาลุกขึ้นยืน  สวมกางเกงขาสั้นทับกางเกงว่ายน้ำตัวนั้น ทำให้คนแอบมองสบายใจขึ้นมาก   ทว่าท่อนบนของร่างล่ำสันมีเพียงเสื้อฮาวายสวมคลุมเอาไว้ง่ายๆ   อวดซิคแพ็คที่เจ้าตัวภูมิใจอยู่นั่นเอง 

           ดิมหันไปเก็บของใส่กระเป๋าหยิบหมวกสานขึ้นมาสวมแล้วเดินนำออกไปจากบ้าน    ไม่ลืมหันมาบอกลอยๆว่า

            “ครีมกันแดดพี่วางเอาไว้บนโต๊ะ  ทาซะล่ะ”

            .....................................................................

            เม็ดทรายนุ่มๆที่รองรับทุกย่างก้าวทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายลงมาก   ลมทะเลหอบเอากลิ่นเกลือเค็มๆมาด้วย   แต่มันก็สดชื่นเสียจนอดสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดไม่ได้   ชายหาดเบื้องหน้าที่ทอดยาวออกไปลิบๆเห็นเงาของนักท่องเที่ยวสองสามคนเดินเล่นอยู่บนหาดทราย  บ้างก็ลงเล่นน้ำทะเล ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาตามลม     

            คุณหมอหนุ่มที่ลงมาก่อน จัดการปูเสื่อผ้าใบผืนใหญ่ไว้ใต้ร่มเงาของต้นมะพร้าว  วางข้าวของเตรียมเอาไว้แล้วเตเดินเข้าไปหา และก้มลงดูบรรดาปูเผา กุ้งเผา และปลาหมึกย่างใส่จานเปลวางเอาไว้บนเสื่ออย่างประหลาดใจ

            “เอามาจากไหนเนี่ยพี่ดิม  แถวนี้มีขายเหรอ”

            คนเป็นพี่ยิ้มแปล้   ตบมือลงที่ว่างข้างตัว

            “พี่เสกขึ้นมา...ล้อเล่น   แม่บ้านของผอ.น่ะ  เขาทำมาให้   เอ้า นั่งเร็ว  พี่หิวแล้ว”

เตหัวเราะ   ทรุดตัวลงนั่ง หยิบปูม้าเผาตัวใหญ่ไปแกะเปลือกส่งให้คนที่เหลือมือข้างเดียวอย่างคนเคยคุ้นต่อการบริการคนอื่นก่อน   ท่าทางพี่ดิมจะเอนจอยกับการกินอาหารทะเลแบบครบเครื่องมื้อนั้นมากทีเดียว    ใบหน้าคมเข้มเริ่มแดงก่ำ สูดน้ำมูกฟืดฟาดเพราะความเผ็ดเปรี้ยวถึงใจของน้ำจิ้มซีฟู้ด   

“ทำไมนายแทบไม่กินเลยล่ะ  ของชอบไม่ใช่เหรอ ปูเผาเนี่ย”  ดิมทัก เพราะเห็นอีกคนเอาแต่แกะเนื้อปูขาวๆส่งให้เขา ทว่าตัวเองกลับกินน้อยจนเขาสังเกตเห็น

“ไม่ค่อยหิวน่ะครับ”  เตตอบ  ความจริงแล้วเขามีความสุขมากเสียจนรู้สึก ‘อิ่ม’ คงเหมือนกับที่เขาเรียกกันว่า อิ่มอกอิ่มใจกระมัง   แค่เห็นอีกฝ่ายตั้งหน้าตั้งตาเคี้ยวตุ้ยๆแบบนี้   บางทีเขาอาจจะประสาทกลับไปแล้ว  ไม่เห็นมันจะเกี่ยวกันตรงไหน  เตดุตัวเอง  สังเกตเห็นว่าน้ำจิ้มซีฟู้ดเปื้อนที่ขอบปากของอีกคน

เขาหยิบกระดาษทิชชูส่งให้พี่ดิมซับรอยเลอะที่มุมปาก  แต่อีกฝ่ายกลับเอียงหน้า  ยื่นริมฝีปากมาให้   เขาก็เช็ดให้แบบไม่ลังเลคิดมาก  กระทั่งพี่ดิมหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาและชี้ไปที่มุมปากของเขาบ้าง  พร้อมกับขยับเข้ามาจนชิด

“พี่เช็ดให้”  อีกฝ่ายเอ่ยเสียงนุ่ม

 ....บ้าชะมัด  จู่ๆเตก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกลายเป็นตัวละครในซีรี่ย์อะไรสักอย่าง  ที่จะต้องมีฉากให้พระเอกซับมุมปากของนางเอกให้    แต่ก่อนไม่เคยเข้าใจว่าฉากเช็ดปากให้กันนี่มันโรแมนติกตรงไหน จนกระทั่งรับรู้จังหวะหัวใจของตัวเองที่เต้นรัวแรงนี่แหละ

มันไม่ใช่เพราะสัมผัสทางกาย แต่มันคือสัมผัสทางใจที่ส่งผ่านทางแววตาตะหาก  เหมือนกับข้อความอะไรสักอย่างที่ส่งผ่านแววตาวิบวับของพี่ดิมมายังเขา   ทั้งยั่วเย้าขี้เล่น และอ่อนโยนแทบลืมหายใจ 

ชั่วขณะที่มือแข็งแรงยังคงแตะอยู่ที่เรียวปากของเขา  สัมผัสนุ่มละมุนของทิชชูที่แนบอยู่ที่เนื้ออ่อน กดย้ำเบาๆราวกับต้องการ ‘เช็ด’ ให้สะอาด   

เตกลับรู้สึกเหมือนกำลัง ‘ถูกจูบ’

            เมื่อพี่ดิมดึงมือกลับไป  เขาถึงได้รู้สึกตัวว่าเผลอจ้องหน้าเข้มคมอยู่นาน   ใบหน้าร้อนซู่อย่างช่วยไม่ได้

“ชิ้นนี้น่าจะ...หวานมาก”  ฝ่ายนั้นพูดยิ้มๆ ยกกรรเชียงปูในมือขึ้นมาใส่จานให้เขา  แต่สายตาเจ้าเล่ห์ที่มองวนเวียนอยู่ที่ริมฝีปากของเขาบอกชัดว่าไม่ได้หมายถึงเนื้อปูแน่ๆที่น่าจะ ‘หวาน’

“ผมขอไปเดินเล่นตรงนั้นก่อนนะ”  ไม่รอให้ถามว่า ตรงนั้น มันคือตรงไหน   นักเขียนหนุ่มรีบผุดลุกขึ้นมาจากเสื่อทันที   เดินจ้ำอ้าวออกมาจากที่ปักหลักก่อนที่หัวใจของเขาจะโลดออกมานอกอก  ไม่สนใจวาอีกฝ่ายจะตะโกนเรียกให้กลับไปอย่างไร  และเนื้อปูชิ้นนั้นจะหวานจริงหรือไม่

โอ๊ย...ไม่น่ามาเลย  ทำเขาถึงต้องเผลอไปหวั่นไหวกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ด้วยนะ  พี่ดิมไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ   ก็แค่เช็ดปาก!  ...นายเป็นบ้าอะไรไปตั้งเต    คิดอะไรอยู่   ชายหนุ่มคิดอย่างหงุดหงิด ยกเท้าขึ้นเตะทรายแรงๆ   เขาเดินหนีมาไกลพอสมควร หันกลับไปมองก็เห็นร่างของคุณหมอหัวใจเดินตามหลังมาอย่างไม่รีบร้อน

ดิมแทบจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว  ยิ่งเห็นใบหน้าเรียวแดงก่ำแข่งกับสีของกระดองปูเผามากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งสนุก  ยิ่งอยากแกล้ง    อยากเข้าไปสัมผัส อยากค้นหา  อยากรับรู้และลองชิมทุกรสชาติที่อยู่ในตัวของคนๆนั้น

ไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับใครมานานแล้ว   หรือถ้าจะให้ยอมรับตรงๆ ก็ต้องบอกว่า ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร  นอกจากผู้ชายหัวหยิกหน้าหวานคนนี้

“้เต...ไปเล่นเรือกันเถอะ”  เขาตะโกนบอกคนที่เดินจำอ้าวอยู่ข้างหน้า     อีกฝ่ายหันกลับมาแล้วโบกมือแทนคำปฏิเสธ

“จะเดินไปไหนน่ะ   กลับมาเหอะน่า”  เขาตะโกนอีกรอบ  แต่อีกฝ่ายไม่ยอมหยุด และไม่หันกลับมา

“ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านเองนะ  พี่ไปล่ะ”   เขาแกล้งตะโกนไปอีกครั้ง    คราวนี้ร่างโปร่งบางทิ้งตัวลงนั่งบนทราย  ตวัดสายตามาทางเขาเร็วๆ   ปากขมุบขมิบคงจะกำลังบ่นเขาอยู่

เตปรายตามองศัลยแพทย์หนุ่มเดินมาทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้าง  ทอดขาเหยียดยาวอย่างสบาย  เท้าแขนข้างที่ดีไปด้านหลัง

            “อุ้ย!”  คุณหมออุทานเสียงหลง  คนนั่งข้างๆหันขวับไปมองอย่างตกใจ  เห็นฝ่ายนั้นชักแขนกลับมา กำมือเอาไว้แน่น

            “เป็นอะไร”   ถามทันที  ฝ่ายนั้นแบมือออก   เห็นเปลือกหอยสีสดฝาเดียวรูปหัวใจฝังแน่นอยู่ใจกลางฝามือ   คงเป็นเพราะเจ้าตัวเท้าแขนลงไปทับพอดีเมื่อกี้นี้

            “ติดแน่นเลยแฮะ”  ดิมคว่ำมือลงแต่เจ้าเปลือกหอยก็ไม่ยอมหลุดออกมา  ต้องส่งให้อีกคนช่วยหยิบออก  เห็นเป็นรอยแดง กดลึกลงไปกลางฝ่ามือของเขาคล้ายรูปหัวใจพอดี   คุณหมอยกมือของตนขึ้นมาพิศดูใกล้ๆแล้วหัวเราะ

            “แบบนี้เค้าเรียกว่า..ฝังใจ”  พูดยิ้มๆ  รู้สึกได้ทันทีว่าคนนั่งข้างเกร็งตัวขึ้นมานิดหนึ่ง  จึงแกล้งพูดต่อ “เดี๋ยวรอยมันก็จางไปเอง  ใช่มั้ยเต”

            “ไม่รู้สิ  ผมไม่ใช่หมอนี่”

          “ไม่เอาน่า  รอยกดที่ผิวหนังแบบนี้ ไม่ใช่หมอก็ต้องรู้   ไม่เหมือนรอยในหัวใจหรอก  ลงถ้าเป็นรอยเมื่อไหร่  รักษายาก  เผลอๆไม่หายติดเชื้อวุ่นวาย หรือแย่ไปกว่านั้นดันกลัดหนองอยู่ข้างใน  กว่าจะรู้ตัวอีกที หัวใจก็แหว่งเละไปหมดแล้ว   ถึงตอนนั้นต่อให้หมอเทวดาก็รักษาให้ไม่ได้   หรือถ้าโชคดีรักษาได้ ก็ต้องมีแผลเป็นติดตัว  ไม่มีทางกลับมาดีเหมือนเดิม”  ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดหัวใจและทรวงอกพูดเรื่อยๆเหมือนเล่าให้คนไข้สักคนฟัง

            คนฟังเม้มปากแน่น

          “น่าสงสารคนพวกนั้นนะเต  นายว่าไหม”  เขาหันมาถาม

            ติณธรไม่ตอบ   เขาไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร  เหม่อมองออกไปยังเกลียวคลื่นที่พัดเข้าหาฝั่งเป็นระลอก   บางครั้งก็ซัดสูงขึ้นมาจนเกือบถึงที่ๆพวกเขานั่งอยู่

            ดวงอาทิตย์ถูกเมฆบดบังไปหมดแล้ว  เหลือแต่แสงมัวๆทึบทึมทั้งที่เป็นยามบ่าย  ทำให้บรรยากาศริมทะเลแห่งนี้ดูเศร้าซึมลงอย่างประหลาด  หรือจะเป็นเพราะหัวใจของเขาเอง

 


***************************

มาต่อจนตบตอนนะคะ
ดราม่ากันต่อค่ะ555
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  ดีใจมากเลยที่ยังหลงเหลือผู้รอดชีวิตที่จะอ่านกันต่อ
ไม่รู้ว่าเจอตอนหน้าเข้าไปแล้วจะยังอ่านกันอยู่หรือเปล่า555555
บึ้ม กลายเป็นโกโก้ครั้นช์ไปเล้ยย :katai4:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
เล่นกับความรู้สึกก็แบบนี้ล่ะ
น้ำตาอาบแก้มทั้งคู่รึป่าวนะ หึหึ



ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ย้อนความหลังกัน

พี่ดิมรักเต เตก้อรักพี่ดิมมาก.

แล้วเมื่อไหร่จะได้คุยกันจริงๆจังๆน้าาาา

 :ling1:   :ling1:  :ling1:  :ling1:   :ling1:
 ....

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
รออ่านวันที่เตจะเล่าความจริง

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เค้าก็ยังมีคนของเค้าอยู่แล้วทั้งคน
จะเป็นอะไรที่มากไปกว่านี้..ได้เหรอเต

แล้วก็ยังไม่มีเหตุผลอะไร..ที่จะทำให้เค้าสองคนเลิกกัน
เตจะไปต่อกับเค้า..ได้ยังไง

รักกันเหรอ..ไม่ใช่..นั่นมันอดีต
ปัจจุบันไม่ใช่เรา..แต่เป็นคนอื่นไปแล้ว อย่าลืมดิ

มันจะมีแต่เจ็บ..และเจ็บ..โคตรเจ็บ
หุหุ ไม่ยักกะรู้ว่าเป็นมาโซ นะเต

อิพี่หมอดิม..ตรูไม่ขอเม้นท์ถึงแต่อย่างใด
เพราะตรูเอือมและเบื่อกับพฤติกรรมของฮีมาก
รู้ป่ะ..รู้เอาไว้เลย

ไม่ปลื้มผู้ชายโลเล..มากใจ
ห่วยแตก

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เมือ่ไหรจะเล่านะ ><

ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เรื่องนี้ทั้งเตและดิมน่าสงสารนะ รักกันแต่ต้องเลิกกันไป 8 ปีเพราะคนอื่น เราว่าทั้งรันและตังเห็นแก่ตัวนะ รันวางแผนแย่งชิงดิม ส่วนรันท้องไม่มีพ่อต้องให้เตทิ้งดิมมารับผิดชอบ
แต่คนที่เราโกรธก็คือรัน เพราะดูแล้วตังไม่มีความสุขเท่าไหร่ แถมดูท่าจะป่วยหนัก แต่รันมีความสุขมาถึงแปดปี  นางแย่งชิงทุกอย่างไปจากคนที่รักกันมาก ๆ สองคน แย่งชิงตำแหน่งแฟน ความสุข การใช้ชีวิตร่วมกันมาจากเต

**ท้ายนี้ หวังว่ารันจะได้รับผลกรรมในสิ่งที่นางทำอย่างสาสม
**กว่าพระเอกจะรู้ความจริงนี่คือ เกือบจบเลยใช่ไหม โฮ  หน่วงอีกเกือบยี่สิบตอน

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
หน่วงมากๆ ครับ
หน่วงเนื้อเรื่องไม่เท่าไหร่ แต่หน่วงพฤติกรรมของตัวละครมากกว่า
พอดีผมอ่านรวดเดียวจนถึงตอนปัจจุบัน ขออนุญาตวิจารณ์นิดหน่อยนะครับ คือจริงๆ เรื่องนี้เขียนได้ดีเลยครับ โดยเฉพาะในเรื่องภาษาและการบิ้วท์อารมณ์ แต่มีจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่อยากให้ช่วยพิจารณาหากจะมีการรีไรท์หรือใช้ตอนเขียนเรื่องใหม่

- การ flashback ไปเล่าเรื่องอดีต จริงๆ ก็ดีนะครับ มันทำให้เกิดอารมณ์ร่วมได้ดีกว่าเป็นคำบอกเล่าเฉยๆ แต่ถ้ามากไปมันจะทำให้ดูเรื่องดูวนไม่ไปไหน เรื่องดราม่าๆ แบบนี้ คนอ่านจะใจจดจ่ออยู่กับการเดินเรื่องในปัจจุบัน พอเนื้อหาในอดีตมันยาว จะรู้สึกอึดอัดได้ว่าไม่ไปไหนซักที ลองปรับลดดูให้แค่พอคลายปมและเสริมอารมณ์ของเรื่องเป็นระยะๆ ที่เหลือในรายละเอียดเก็บไว้เป็นตอนพิเศษหลังจากเรื่องคลี่คลายแล้วน่าจะอิ่มใจกว่าครับ

- เหตุการณ์ช่วงแรกๆ มันบังเอิญไปเจอกันตามที่ต่างๆ บ่อยไป มันก็ไม่ผิดอะไร แต่นึกๆ ดูแล้วกรุงเทพมันกว้างขนาดนี้ก็ดูจะพรหมลิขิตไปหน่อย ถ้าเขียนสถานการณ์หรือเหตุผลรองรับบ้างน่าจะสมจริงขึ้นครับ

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk

เพราะหัวใจบอกว่า...รัก

 

 

 

 

           “จะไปไหนหืม  มานี่เร็ว”  นักศึกษาแพทย์หนุ่มหล่อประจำคณะเอื้อมมือไปโอบเอวของคนรักเอาไว้แน่น ไม่ให้ดิ้นหลุดไปไหน   แม้ว่าอีกฝ่ายจะทั้งทุบทั้งหยิกแต่เขาก็หายั่นไม่   แรงแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก

          “โอ๊ะ!!”  ถ้าอีกฝ่ายไม่ศอกเข้าที่ท้องของเขาจังๆแบบนี้น่ะนะ 

          ร่างโปร่งบางฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายงอตัวลงด้วยความเจ็บปวดจนเผลอคลายวงแขน ดันตัวเองออกมาให้ห่างจากมือที่ไวยิ่งกว่าปลาหมึกเสียอีก  กระโดดออกไปเสียห่างหลายก้าว

          รดิศหรี่ตามอง  แล้วแกล้งสูดปากร้องคราง  ยกเท้าขึ้นมากุมเอาไว้

          “โอ๊ย  เจ็บจัง  สงสัยเปลือกหอยมันบาดเอา”

          เด็กน้อยของเขามองด้วยความไม่แน่ใจ  เพราะเคยชินกับความเจ้าเล่ห์แสนกลของเขาดี  แหม  ไว้ใจกันหน่อยก็ไม่ได้  น้ำตาเม็ดหนึ่งร่วงลงมาจากหางตาทำเอาอีกคนเชื่อสนิทใจ ก้าวเข้ามาด้วยความเป็นห่วง

          “พี่ดิม เจ็บจริงเหรอ  ไหนขอดูหน่อย โดนตรงไหน”  เตก้มลงมองที่ฝ่าเท้าของเขาซึ่งมีมือแข็งแรงกุมปิดเอาไว้เกือบมิด  ดิมรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้พอ  ก็รวบตัวอีกคนเอาไว้ในอ้อมแขน

          “หลอกผมอีกแล้วใช่มั้ย  ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ  คนเต็มหาดเลยไม่อายหรือไง” ตั้งเตพูดเร็วปรื๋อ ทั้งโกรธทั้งอาย  ยิ่งเห็นชาวต่างชาติที่คงเป็นนักท่องเที่ยวหลายคนมองมาที่พวกเขาอย่างสนใจก็ยิ่งเขินหนักเข้าไปอีก 

          “อายทำไม เรามาฉลองครบ 4 ปีกันนะเต ไม่เห็นต้องอาย  เอ้า มองกล้องหน่อย”  พี่ดิมบังคับให้เขาหันหน้าไปทางชาวต่างชาติคนนึงที่ยกกล้องโพลาลอยด์ขึ้นเล็งมาที่พวกเขา

          “ไม่เอา  ไม่ถ่าย  ปล่อยนะพี่ดิม” เตกระแทกเท้าลงบนปลายนิ้วของพี่ดิมแรงๆ  จนเค้าต้องยอมปล่อย  ก่อนที่จะถูกถ่ายรูป   พี่ดิมมองค้อนเขาแล้วเดินตรงเข้าไปหาชาวต่างชาติคนนั้น พูดคุยอะไรกันครู่หนึ่งก็เดินยิ้มร่ากลับมา

          “เต  คุณอัลเบิร์ตเขาจะช่วยถ่ายคู่ให้เราใบหนึ่งล่ะ  เร็วเข้า ยิ้มให้กล้องเร็ว”  ติณธรทั้งตกใจและแปลกใจ  เขาหันไปมองผู้ชายตัวใหญ่ลงพุงที่มีกล้องสะพายอยู่คนนั้นอย่างงงๆ เห็นฝ่ายนั้นยิ้มอย่างเป็นมิตรมาให้

          “จะดีเหรอพี่  ไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย”

          “เค้าชอบถ่ายรูป เห็นคู่เราน่ารักดีก็เลยอยากถ่ายให้น่ะ  เอาน่า  หาโลเคชั่นก่อน เอาตรงขอนไม้นี่แหละสวยดี  นายนั่งตรงนี้”  พี่ดิมจัดแจงพาเขาขึ้นไปนั่งบนขอนไม้ผุๆที่มองไม่เห็นว่ามันสวยตรงไหน  จากนั้นเค้าก็สวมกอดจากทางด้านหลังแน่น   คนโดนกอดโวย

          “ไม่เอา  ไม่เอาท่านี้  พี่ดิมไปนั่งตรงโน่นเลยนะ”  ชี้นิ้วไปยังปลายสุดของขอนไม้  คนแก่กว่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็ยอมขยับถอยไปโดยดี  ทว่าก็ไม่ห่างมากอย่างที่เขาต้องการ ตากล้องที่รออยู่นานแล้วตะโกนเย้ามาคำนึง  คล้ายๆกับแซวว่าพี่ดิมกลัวหรืออะไรสักอย่าง  โหนกแก้มของพี่ดิมแดงจัด

          เขาขยับเข้ามานั่งจนชิดแล้วตะโกนตอบฝรั่งคนนั้นไปด้วยเสียงอันดังว่า

          “ผมไม่ได้กลัวแฟน แค่รักมากจนไม่อยากขัดใจ”

          ช่างภาพคนนั้นหัวเราะอย่างถูกใจแล้วกดชัตเตอร์  ไม่สนใจว่าใบหน้าของ ‘แฟน’ จะแดงก่ำและบิดเบี้ยวเพราะเขินสุดขีดเพียงใด

          พี่ดิมเดินเข้าไปรับรูปมาดู  หัวเราะออกมาลั่นหาดเมื่อเห็นใบหน้าเรียวงอง้ำและแดงก่ำแม้จะเป็นเพียงภาพโพราลอยด์  เขาซื้อน้ำมะพร้าวเลี้ยงฝรั่งคนนั้น  จากนั้นเราก็แยกออกมาเดินเล่นริมทะเลในยามเย็น 

          “พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้วล่ะ ดูสิ”  พี่ดิมชี้ชวนให้ดูขอบฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มเข้ม  เขาพาปีนขึ้นไปบนโขดหิน  จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดในหาด

          เรานั่งเคียงข้างกันอยู่บนนั้น ลมทะเลพัดมาไม่ขาดสาย  แต่เขากลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด  อาจจะเป็นเพราะอ้อมแขนอบอุ่นของใครบางคนที่โอบล้อมอยู่หลวมๆก็เป็นได้  เตคิดขณะที่แนบใบหน้าลงกับแผ่นอกของอีกฝ่ายเพื่อฟังเสียงหัวใจดวงนั้น   

          มันเต้นแรงทว่าเป็นจังหวะหนักแน่น

          เหมือนๆกับคำบอกรักของพี่ดิมที่กระซิบข้างหูเขา ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า

          “พี่รักเตนะ”

          เรียบง่าย  ไม่มีคำสัญญาหรือสาบานว่าจะอยู่เคียงข้างเขาไปชั่วนิรันดร์  เป็นเพียงแค่คำบอกเล่าความรู้สึกธรรมดา ที่สะเทือนลึกไปถึงกลางใจ  ก็แค่นี้เองไม่ใช่เหรอ   แค่ ‘พี่รักเต’  แค่พี่ดิมรักเขา  แค่นี้ก็พอแล้ว

          เขาไม่ได้ตอบ แต่เงยหน้าขึ้นจากอกกว้าง  แตะริมฝีปากของตนเองที่ปลายคางเขียวครึ้มนั้นเบาๆ  ก่อนจะเลื่อนมาสัมผัสที่เรียวปากใต้ไรหนวดคู่นั้น...

          หวังว่าพี่ดิมรับรู้ได้ ถึงความรู้สึกของเขา


               ********************


               น้ำทะเลซัดขึ้นมาสูงจนถึงบริเวณที่พวกเขานั่งอยู่    ชายกางเกงของคุณหมอหนุ่มเปียกชุ่มทว่าเขาไม่ใส่ใจ   สายตาทั้งหมดจับจ้องไปที่คนนั่งข้างเพียงคนเดียวเท่านั้น

            ใบหน้าของตั้งเตดูเหม่อลอย ทอดตามองไปยังเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย  ปลายนิ้วเรียวไล้ไปตามขอบหยักแข็งของเปลือกหอยรูปหัวใจนั้นเล่น   แล้วถอนหายใจออกมาแผ่วเบา

            “รอยแผลเป็นในหัวใจ ไม่มีทางรักษาเลยหรอ”  จู่ๆนักเขียนหนุ่มก็พูดขึ้นมา

          “ก็มีทางนะ  ผ่าตัดเนื้อที่เสียตรงนั้นทิ้งไปซะ  แค่นี้ก็เรียบร้อย  ถ้าได้หมอเก่งๆ ก็ไม่ยาก   แต่มันก็มีรอยมีดหมอเหลือทิ้งเอาไว้อยู่ดี”

          “คงจะเจ็บมาก...”  เตพึมพำ

            “เจ็บมากทีเดียว   ตอนผ่าน่ะไม่รู้เรื่องหรอกเพราะดมยาสลบ  แต่ว่าตอนฟื้นนี่สิ  เจ็บเจียนตาย”  เสียงคนพูดพร่าสั่นไปนิดหนึ่ง   คล้ายกับว่าเขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ ‘เจียนตาย’ ขึ้นมาได้  “...แต่ก็คุ้มนะ   ดีกว่าปล่อยเอาไว้”  เขาจบประโยค  กลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากขึ้นมากะทันหัน  รีบเปลี่ยนเรื่อง

            “เล่นน้ำกันดีกว่าเต”  อีกคนสะดุ้งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด   เขายิ้มใส่นัยน์ตาที่เบิกกว้างคู่นั้น  เอื้อมมือไปกุมมือเย็นเฉียบที่ถือเปลือกหอยข้างนั้นเอาไว้ บีบแน่น

            “มาทะเลทั้งที  จะเอาแต่นั่งเล่นอยู่บนหาดได้ยังไงกันเล่า  เอ้า  ลุกเร็ว”  รดิศเปลี่ยนจากกุมมือเป็นดึงรั้งให้อีกคนลุกขึ้นยืนตาม     “ทิ้งความไม่สบายใจทั้งหลายทั้งแหล่ลงทะเลไปให้หมดดีกว่านะ  อย่าไปแบกเอาไว้เลย” เขาปลดเปลือกหอยในมือของอีกฝ่ายออก  แล้วเหวี่ยงแขนด้วยท่าของนักกีฬาเบสบอลขว้างเปลือกหอยรูปหัวใจอันนั้นลงทะเลไป

            ก้มลงใช้มือวักน้ำทะเลใส่ใบหน้าของนักเขียนหนุ่มแบบไม่ให้ตั้งตัว  อารมณ์เปลี่ยนโดยฉับพลัน

            “พี่ดิม!” ตั้งเตอุทานเบี่ยงตัวหลบ แต่ไม่พ้น  ละอองน้ำเย็นฉ่ำกระทบผิวหน้าและลำคอ ทำให้สดชื่นขึ้นอย่างประหลาด   คนที่ลอบประทุษร้ายเขาออกเดินหนีลงทะเลไปเกือบครึ่งตัวแล้ว   หัวเราะร่า

          “อยู่ทางนี้ครับผม...มาเร็ว”  พี่ดิมตะโกน  กวักมือเรียกเขา

            “ลงไปคนเดียวเถอะ  ผมไม่ตามลงไปหรอก”  ตั้งเตตะโกนตอบ...เรื่องอะไรจะลงไปให้โดนแกล้งอีกเล่า    คิดแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งบนผืนทรายอีกครั้ง 

            พี่ดิมส่งเสียงเรียกมาอีก  แต่เขาไม่สนใจ  ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจะเปิดดูข้อความ  ทว่าหน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้ากลับดำมืด ไม่มีการตอบสนอง

            “แบตหมด?  โธ่  ลืมชาร์ตซะได้”  บ่นอีกสองสามคำ เขาก็เอะใจ  เพราะบรรยากาศรอบตัวดูเงียบผิดปกติ....ได้ยินเพียงเสียงลมกับคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งเท่านั้น   มันเงียบเกินไป ...พี่ดิมอยู่ไหน?

            กวาดสายตามองหาไม่เห็นร่างล่ำสันที่กวักมือเรียกเขาอยู่ในทะเลเมื่อครู่นี้เลย

            “พี่ดิม..อยู่ไหนน่ะ   อย่ามาเล่นแบบนี้นะ”  ตะโกนออกมาดังๆ  พร้อมกับเพ่งมองไปยังทะเลเบื้องหน้า  ได้ยินแต่เสียงตัวเองกับเสียงลมวู่แว่ว คล้ายเสียงขอความช่วยเหลือ

            “เต...ช่วยด้วย  ตั้งเต”  ไม่ผิดแน่  ชายหนุ่มหันขวับไปตามเสียงเรียก  เพ่งมองไปเห็นมือของใครบางคนโบกไหวๆผลุบๆโผล่ๆอยู่กลางทะเล   พร้อมกับเสียงเรียกแว่วๆ

            ติณธรไม่รู้ตัวว่าเขาลงมาอยู่ในทะเลได้อย่างไร  จะวิ่งลงมา  เดินลงมาหรือกระโจนลงมาก็นึกไม่ออก  รู้ตัวอีกทีเขาก็กำลังออกแรงว่ายน้ำอย่างสุดกำลัง ยิ่งกว่าเมื่อสมัยว่ายแข่งกีฬามหาวิทยาลัยเสียอีก  ขาสองข้างถีบน้ำกระจายตรงเข้าไปหาร่างที่กำลังจะจมแหล่ไม่จมแหล่ที่เห็นนั้น

            หัวใจเต้นรัว สูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกาย  น้ำทะเลเค็มๆเข้าตาจนแสบแต่เขาไม่สน

            ในที่สุดก็เข้าถึงตัวของอีกฝ่ายจนได้  ตรงเข้าจับแขนข้างหนึ่งขึ้นมาพาดไหล่และล็อคคอเงยหน้าขึ้น ตามแบบที่เคยเรียนมา   เห็นใบหน้านั้นซีดเผือด เปลือกตาปิดสนิทก็ยิ่งใจเสีย รีบใช้แขนอีกข้างพุ้ยน้ำพยุงตัวเข้าหาฝั่ง 

            ดูเหมือนว่าคลื่นลมวันนี้จะแรงเป็นพิเศษ  หรือไม่ก็คงเป็นเพราะร่างกายของอีกฝ่ายใหญ่เกินไป ทำให้ยิ่งเขาออกแรงพากลับเข้าหาฝั่งมากเท่าไหร่  กลับเหมือนยิ่งลอยห่างออกมาจากฝั่งมากกว่าเดิมเท่านั้น

            กว่าชายหนุ่มจะสำเหนียกถึงความผิดปกตินี้  ก็พบว่าตนเองตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของคนที่กำลังจะจมน้ำตายเมื่อครู่นี้เสียแล้ว   แว่วเสียงหัวเราะแผ่วนุ่มดังขึ้นข้างหู   หันไปมองหน้าอีกฝ่ายเห็นดวงตาคมจ้องมองเขาอยู่แล้วในระยะประชิด 

            “พี่ดิม! นี่พี่แกล้งจมน้ำเหรอ”  แผดเสียงถามอย่างลืมตัว  ยกมือขึ้นดันอกกว้างแรงๆ  แต่เหมือนเสียแรงเปล่า  ฝ่ายนั้นไม่กระเทือนเลยสักนิด   กลับยิ่งโอบกอดเขาเข้าหาตัวมากขึ้นไปอีกจนแทบไม่เหลือที่ว่างระหว่างทั้งสองคน 

            “ใครว่าแกล้ง  เมื่อกี้พี่จะจมน้ำจริงๆนะ”  ดิมกระซิบตอบที่ริมหู  ก่อนที่จะจรดริมฝีปากลงที่ซีกแก้มข้างนั้นแผ่วๆ  รับรู้ได้ว่าคนในอ้อมแขนตัวสั่นนิดๆ

            “ปล่อยเถอะ  เดี๋ยว..จมน้ำกันพอดี”  ตั้งเตพึมพำกับทรวงอกที่มีหยดน้ำเกาะพราวนั้น    บอกตัวเองว่า จมน้ำน่ะไม่กลัวหรอก  เขากลัวอย่างอื่นมากกว่า

            “กลัวอะไร”  สะดุ้งเพราะอีกฝ่ายถามต่อมาราวกับได้ยิน  เบือนหน้าหนีประกายตาวิบวับคู่นั้น   พี่ดิมแนบปลายคางขรุขระลงที่หน้าผากของเขา  รู้สึกได้ถึงสัมผัสของท่อนขาแข็งแกร่งที่สะบัดอยู่ใต้น้ำ เพื่อพยุงให้ร่างของทั้งคู่ลอยตัวอยู่ได้

            “ไม่ได้กลัว  แค่..มันไม่เหมาะ”  ใช่  มันไม่เหมาะ  เข้าใจมั้ยเต..   ใครก็ได้ช่วยตะโกนกรอกหูเขาดังๆทีเถอะ  เผื่อว่าจะได้มีแรงดันตัวออกมาจากวงแขนของอีกฝ่ายได้  ไม่ใช่อ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้

            “พี่ขอสักวันได้ไหม  แค่วันนี้วันเดียว....”  นัยน์ตาทั้งสองสบกันอีกครั้ง  คนหนึ่งอ่อนหวานเว้าวอน  อีกคนพยายามปฏิเสธ แต่ก็อ่อนแรงเต็มทีด้วยแรงปรารถนาในหัวใจ 

            “...ขอพี่กลับไปเป็นพี่ดิมคนนั้นอีกครั้ง  ได้หรือเปล่า”

            ไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้เลย  เหมือนที่เคยเป็นมาและจะเป็นไป  ผู้ชายคนนี้มีอิทธิพลเหนือจิตใจของเขาเสมอ 

            ในเมื่อที่แห่งนี้ไม่มีใครเลย  ทั้งอดีต ปัจจุบัน และใครในอนาคตของเขา  ที่แห่งนี้มีเพียงเราสองคนเท่านั้น  แล้วจะเป็นอะไรไปล่ะ

            ขอตามใจตัวเองอีกสักครั้ง

            “แค่วันเดียว...”  ตั้งเตพึมพำกับริมฝีปากบางเฉียบคู่นั้น ก่อนที่มันจะสัมผัสกับเรียวปากของเขา 

                        ................................................................

            “พิงมาที่พี่ก็ได้   เริ่มจะเมาแล้วซี  บอกแล้วว่าอย่าดื่มๆ ก็ไม่เชื่อ”  ชายหนุ่มหน้าคมเข้มบ่นเบาๆ โอบแขนไปรอบตัวของคนนั่งข้างที่เริ่มเอนไปเอียงมาตามปริมาณแอลกอฮอล์ที่ผ่านลำคอเข้าสู่กระแสเลือดตั้มเอนตัวมาพิงที่ไหล่ของเขาแต่โดยดี   มือยังกำขวดเครื่องดื่มเอาไว้แน่น

            “อยากดื่ม...นานๆที”  อีกฝ่ายพูด  ทอดสายตามองเขาด้วยแววตาเยิ้มฉ่ำอย่างที่เขาไม่ได้เห็นมาหลายปี    และคงจะไม่มีวันได้เห็น ถ้าอีกฝ่ายไม่เมาขนาดนี้

            “พี่ดิมเชื่อมั้ยว่า...ตั้งแต่เราเลิกกัน..ผม  ไม่เคยดื่มอีกเลย” เสียงแหบชักอ้อแอ้  ทว่าประโยคที่เอ่ยออกมายังพอจับใจความได้อยู่

            ....ท่าจะคออ่อนกว่าที่คิดแฮะ   ตอนแรกแค่กะจะให้มึนๆแค่นั้นเอง   นายแพทย์หนุ่มคิดในใจ  หลังจากที่เล่นน้ำทะเลกันจนฟ้ามืด  เขาก็พาเตกลับขึ้นมาบนบ้านพักตากอากาศเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า  เตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ  ระหว่างที่โทรเรียกคนขับรถให้มารับ  เขาก็ ‘บังเอิญ’ พบเครื่องดื่มเย็นเจี๊ยบแช่อยู่ในตู้เย็นเข้าเสียก่อน

            ชวนอีกคนนั่งจิบเป็นเพื่อนเบาๆ ตากลมที่ระเบียงรอให้ตัวแห้งก่อนไปอาบน้ำ  ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง สภาพของอีกฝ่ายก็เป็นอย่างที่เห็น...ใบหน้าเรียวหวานแดงเรื่อ  ดวงตาฉ่ำด้วยฤทธิ์น้ำเมา หรือเพราะความรู้สึกในใจก็ไม่อาจรู้ได้   ขณะที่เขายังมีสติเต็มพร้อมสมบูรณ์

            ร่างโปร่งบางของคนที่นั่งพิงไหล่เขาอยู่เอนซบลงมาอีก  มือเรียวยกขึ้นโอบรอบเอวของเขาแล้วแนบใบหน้าลงกับอกกว้าง   ถูใบหน้าไปมาแล้วพึมพำในลำคอ  ทว่าคนฟังกลับได้ยินชัดเจน

            “ผมดีใจที่ได้เจอพี่อีก  โคตรดีใจ...ที่พี่ยกโทษให้ผม”  ความใกล้ชิดเมื่อยามบ่ายที่เกิดจากความไว้เนื้อเชื่อใจ และความหวานจากอดีตหวนกลับมาอีกครั้ง 

            ผู้ชายข้างๆเขากลับไปเป็นเฟรชชี่คณะอักษรศาสตร์...คนที่เขาถูกใจตั้งแต่แรกเห็นคนนั้นอีกครั้ง  ทั้งท่าทางขี้อ้อน   สายตาอ่อนหวาน   คำเรียกคำก็ ‘พี่ดิม’ สองคำก็ ‘พี่ดิม’  ราวกับกาลเวลาไม่เคยลบเลือนความทรงจำในอดีตของเราได้เลย 

          สายลมพัดมากระทบตัว   คุณหมอหนุ่มโอบกระชับร่างในวงแขนเข้าหาตัวแน่นขึ้นอีก   สบตาหวานแพรวพราวราวกับจะแข่งกับดวงดาวบนท้องฟ้าในคืนนี้แล้ว  ภาพในวันวานก็ย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำ

                  ****************

            ‘เอาละ ช่วงเวลาสำคัญมาถึงแล้ว  หลับตาเร็วเต  พี่มีของขวัญจะให้ล่ะ’  รดิศมองเห็นตัวเองนั่งเคียงกับเด็กหนุ่มหน้าหวานคนนั้น   ลมทะเลพัดแรงจนผมหยิกยุ่งเหยิง แต่ก็น่าเอ็นดูที่สุดในสายตาของคนมอง

          ‘ไม่หลับตาได้ป่ะ  ผมอยากเห็นแล้ว’  อีกคนต่อรอง  ท่าทางตื่นเต้น

          ‘ไม่ได้ ต้องหลับตา  ถ้าไม่หลับเองเดี๋ยวพี่จะช่วยปิดตาให้  เลือกเอาว่าจะปิดเองหรือให้พี่ช่วย’ เขาพูดยิ้มๆเหมือนพี่ชายใจดี ตรงข้ามกับแววตาเจ้าเล่ห์แสนกลที่อีกคนดูออกและรีบปิดตาปี๋ทันที ก่อนที่จะรับบริการ..ปิดตา  จากเขา

          ดิมหัวเราะในลำคอ   ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเป้ที่วางข้างตัว ควานหากล่องสี่เหลี่ยมใบเล็กอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบขึ้นมา  ยื่นไปด้านหน้าจนเกือบชิดปลายจมูกโด่งของอีกคนแล้วยิ้มกว้าง

          ‘อ้ะ  เปิดตาได้’ เปลือกตาปิดสนิทเบิกโพลง  จ้องมองกล่องสี่เหลี่ยมใบเล็กนั้นอย่างแปลกใจปนกับความดีใจที่กลั้นเอาไว้ในสีหน้าไม่มิด

          ‘อะไรอ่ะ  แหวนเหรอ  อย่าบอกนะว่าจะขอผมแต่งงาน’  อีกฝ่ายแกล้งพูดกลั้วหัวเราะ แต่เขาก็ดูออกว่าฝ่ายนั้นกำลังเขินจะแย่อยู่แล้ว  ดูจากเลือดฝาดสองข้างแก้มลามลงมายังลำคอก็รู้

          ‘ถ้าขอ...แล้วจะแต่งไหมล่ะ’  แกล้งถามกลับ  รู้สึกตัวเองใจเต้นไม่ใช่เล่น  ลุ้นกับคำตอบแม้จะเป็นเพียงแค่การถามหยอกเย้าเท่านั้น

          ‘ก็ลองขอก่อนสิ แล้วจะบอก’  เตพูดเสียงขึ้นจมูกน้อยๆ

          ‘ฮ่าๆ’  เขาปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเต็มเสียง  แล้วเปิดฝากล่องขึ้น  แสงไฟจากบังกะโลด้านหลังสะท้อนเข้ากับหน้าปัดนาฬิกาเป็นประกายระยิบระยับ  สายหนังสีน้ำตาลเข้มเป็นมันปลาบ สวยเหลือเกินในสายตาของคนที่ตั้งใจไปเลือกซื้อมาให้

          ‘รู้อย่างนี้ซื้อแหวนมาดีกว่า  ไม่น่าซื้อนาฬิกาเลยแฮะ  ผิดหวังหรือเปล่า?’ ถามไปอย่างนั้นเอง ดูจากสีหน้าของอีกฝ่ายเขาก็พอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว

          ‘ผิดหวังอะไรล่ะ...นี่มัน...สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย พี่ดิม’  หยาดน้ำตาคลออยู่ในหน่วยตากลมโตคู่นั้น  บอกถึงความปลาบปลื้มในหัวใจได้ชัดเจนเกินกว่าคำพูดอื่น  แค่นี้คนให้ก็หัวใจพองคับอก

          ‘พี่รู้ไหม  ผมนึกว่าพี่ดิม...จะลืมวันครบรอบของเราเสียแล้ว’  ตั้งเตพูด  น้ำตาเริ่มไหลลงมาตามผิวแก้ม ‘เมื่อวานตอนที่ผมไปรอพี่ที่โรงพยาบาลแล้วเพื่อนพี่บอกว่าพี่ต้องอยู่เวรวันนี้น่ะ  ผมเกือบร้องไห้แน่ะ  ผมนึกว่าพี่ลืมไปแล้วจริงๆ’ เตพูดกระท่อนกระแท่น

          ‘โธ่  พี่จะลืมได้ยังไงเล่า  เมื่อคืนพี่ไปเคาะเรียกรันตอนตีสองเพื่อขอแลกเวรวันนี้เลยนะ  จะได้พาเตมาทะเลได้ไง  พี่ไม่ลืมหรอก  ว้า...อย่าเพิ่งร้องไห้สิ ...ไหนลองใส่นาฬิกาดูซิ’  เขาใช้ปลายนิ้วเช็บน้ำตาให้อีกฝ่าย แล้วหยิบนาฬิกาเรือนนั้นขึ้นมาใส่ให้ที่ข้อมือของคนรัก

          มันเข้ากับเตมาก  อย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้เลย  นักศึกษาแพทย์หนุ่มยิ้มกว้าง

          ‘รู้ไหมว่าทำไมพี่ซื้อนาฬิกาให้’

          ‘เพราะผมชอบนาฬิกา?’

          ‘นั่นก็ส่วนหนึ่ง...แต่เหตุผลหลักก็คือ  พี่ซื้อนาฬิกาให้  เพราะพี่จะได้ใช้เวลาร่วมกับนายได้ทุกวินาทีไงล่ะ  เท่ห์มั้ย’

          ‘ฮ่าๆ  พูดอะไรเนี่ย’  เด็กอักษรหัวเราะจนตัวโยน  สองแก้มแดงก่ำ  ปลายนิ้วลูบคลำนาฬิกาที่ประดับบนข้อมือของเขาอย่างเหมาะเจาะด้วยความถูกใจ 

          ‘โธ่  อย่าหัวเราะสิ  ก็พักนี่พี่ไม่ค่อยได้อยู่กับนายเท่าไหร่  ก็ขอให้เจ้านาฬิกาเรือนนี้อยู่กับนายแทนพี่ไปพลางๆก่อนแล้วกัน  อดทนอีกนิดนะเต...อีกไม่นาน’  ชายหนุ่มพูดเสียงทุ้มลึก   เขาหมายความตรงกับที่พูดจริงๆ  อีกไม่นาน...เขาก็จะเรียนจบเป็นแพทย์ใช้ทุน  แล้วเขาก็จะขอเตแต่งงาน   แล้วเราจะไม่ต้องแยกห่างจากกันอีก 

ทุกเช้าเขาจะได้เห็นหน้าอีกฝ่ายเป็นคนแรก  ทานอาหารเช้าด้วยกันก่อนไปทำงาน  ตกเย็นกลับบ้านมีรอยยิ้มหวานๆรอรับ  คงจะทำให้เขาผ่อนคลายความเคร่งเครียดจากงานไปไม่น้อย   ตกดึกเขาก็จะมีร่างนิ่มๆอบอุ่นให้นอนกอดทุกคืน   แค่คิดก็ชื่นในหัวอก

‘เตจะใส่ทุกวันเลย’  อีกฝ่ายพูด

‘จริงๆนะ  ห้ามถอดเลยนะ’  เขาถามย้ำ   อีกฝ่ายไม่ตอบแต่ชะโงกเข้ามาจุมพิตที่ริมฝีปากของเขาเบาๆแทนคำสัญญา

คนถูกจูบอย่างไม่ทันตั้งตัวร้องประท้วงเล็กน้อย   ไม่ใช่ไม่ชอบ  แต่มันสั้นและรวดเร็วเกินไปตะหาก...เขาคิดในใจขณะที่เขยิบตัวเข้าไปใกล้ร่างโปร่งบางที่ขยับถอยห่างไปทันทีราวกับรู้ทัน

          เอาเถอะ  คืนนี้เขายังมีเวลาอีกทั้งคืน....

             **********************

ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
  ต่อนะคะ




            ศัลยแพทย์หนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ  ยกขวดเครื่องดื่มในมือขึ้นจิบนิดหนึ่ง  รสขมปร่าช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้าง  แต่ไม่มากพอจะลบความขมขื่นในใจออกไป

            ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะยังจะรายละเอียดของเรื่องในคืนนั้นได้แม่นยำขนาดนี้  จำได้แม้กระทั่งว่าอีกฝ่ายใส่เสื้อสีฟ้าอ่อน  กางเกงขาสั้นสีเนื้อ  และเรานั่งริมทะเลกันทั้งคืน  ร้องเพลงและนอนอิงแอบแนบชิดกันแบบไม่กลัวยุง   พูดคุยกันราวกับไม่ได้คุยกันมาเป็นปีๆ  จากหัวข้อเรื่องนู้นไปเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น  พอเหนื่อยก็จิบเบียร์แก้คอแห้งแกล้มด้วยปลาหมึกย่าง   จำได้ว่ามันหวานอร่อยที่สุดที่เคยกินมา...เป็นค่ำคืนแสนพิเศษที่ยังจดจำได้มาจนถึงทุกวันนี้

            “ถ้าตอนนั้นพี่ดิมล้วงแหวนออกมาแทนก็คงจะดีนะ....เรื่องของเราคงไม่เป็นแบบนี้”  จู่ๆคนในอ้อมแขนของเขาก็พูดขึ้นมา  เสียงเบาเหมือนพูดกับตัวเอง ทว่าเขาก็ได้ยินชัดเจนเช่นเคย

            “ทำไม?..”  ถามกลับสั้นๆ และรอคำตอบ

อีกฝ่ายเงียบไปนาน   คล้ายกับกำลังครุ่นคิดถึงเหตุผลในอดีต  ลมหายใจแผ่วรดที่ริมขมับเป็นจังหวะพร้อมกับกลิ่นแอลกอฮอล์ระเหยออกมาจางๆก้มลงมาใกล้ชิดมากขึ้น  เตสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วผ่อนออกมาช้าๆ  กระดกขวดเครื่องดื่มในมือขึ้นอีกครั้ง เทของเหลวที่เหลือลงคอจนหมด   หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บลึกในอกได้บ้าง

            “เพราะผมจะได้ไม่ต้องเลือก”   ช่างเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากและเปลี่ยนชีวิตของเขาไปอีกโดยสิ้นเชิง   ชายหนุ่มถามตัวเองอีกครั้ง  ว่าถ้าเขาย้อนเวลากลับไปเมื่อ 8 ปีก่อน  เขาจะเลือกหนทางเดิมหรือไม่ 

            ....คิดไปก็ป่วยการ  ไม่มีประโยชน์อะไร....จิตใต้สำนึกกระซิบ  ตั้งเตสะบัดศีรษะนิดหนึ่งพยายามไล่ความมึนงงจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ซัดเข้าไปเต็มเหนี่ยวอย่างที่ไม่เคยมาหลายปี    ขยับตัวพยายามจะดันร่างของตนออกมาจากการนั่งซุกอยู่ในวงแขนแข็งแรงของอีกฝ่าย   แต่กลับไร้เรี่ยวแรงอย่างประหลาด

            คล้ายกับว่าลึกๆแล้ว เขาไม่ต้องการจะผละไปไหน   ไม่อยากขยับออกจากที่ตรงนี้เลยด้วยซ้ำ...พื้นที่ที่ควรจะเป็นของเขา

          “เลือกระหว่างอะไรกับอะไร”  นายแพทย์หนุ่มกลั้นใจถามต่อ  เตคงไม่รู้ว่านี่เป็นคำถามที่เขาเฝ้าถามตนเองมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

            เต ‘เลือก’ ที่จะทิ้งเขาจริงๆหรือ   เค้า ‘เลือก’ จะทำแบบนี้เองใช่มั้ย   หรือว่ามีใครบังคับหรือเปล่า   เขายังหวังมาตลอดว่ามันจะเป็นแบบนั้น   ตั้งเตไม่ได้ตั้งใจที่จะทิ้งเขาไป 

            อยากรู้  แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยาก... 

            “ระหว่างตัวผมเองกับ...”  ใคร...บอกมาสิ  พูดออกมาสิ   รดิศแทบจะเขย่าร่างที่เริ่มโงนเงนน้อยๆแต่ก็พยายามจะทรงตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรงนั้น

            “...ข้าวตัง ... ผมรักเธอ”  ประโยคที่หลุดออกมาเป็นห้วงๆ สั้นแต่ได้ใจความ   คนฟังตาเบิกโพลงเพราะคิดไม่ถึง   

            “ข้าวตัง?”  เขาครางออกมา  ชื่อของหญิงสาวผู้เป็นภรรยาหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่ายโดยที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน    ใจวูบเกือบจะใกล้เคียงกับคำว่าผิดหวัง   ตัวเลือกของเตไม่มีชื่อของเขาอยู่เลยสักนิด   กลับเป็นสาวหน้าคมที่เป็นแม่ของลูกชายเค้า

            “แล้วพี่ล่ะเต”  หูได้ยินเสียงใครคนหนึ่งถามออกมา   ดิมแทบไม่เชื่อหูว่ามันเป็นเสียงของตนเอง ..ทำไมถึงได้อ่อนเบาและหมดหวังเช่นนี้   

            “ไม่...พี่ไม่เคยอยู่ใน...ตัวเลือกของผม”             เสียงแหบพร่าตอบกลับมา   ตั้งเตดันร่างออกจากวงแขนของเขาได้สำเร็จ  และทรงตัวลุกขึ้นยืนช้าๆ  พยายามเดินกลับจากระเบียงเข้าไปภายในห้อง 

            ดิมมองตาม  หัวใจที่เต้นช้าลงเมื่อครู่กลับเต้นเร็วแรงขึ้นมาใหม่ตามคลื่นโทสะที่เริ่มแผ่ซ่านขึ้นมาจากทรวงอก....ไม่เคยอยู่ในตัวเลือกงั้นหรือ?

          “อย่าเพิ่งไป”  เขาลุกขึ้น  เดินตามร่างโอนเอนที่ก้าวช้าๆอย่างไม่มั่นคงนั้นกลับเข้าไปภายในห้องรับแขกของบ้านพักตากอากาศ    เป็นจังหวะเดียวกับที่นักเขียนหนุ่มก้าวสะดุดห่วงยางเป็ดน้อยที่วางทิ้งอยู่ที่พื้นเข้าจนหน้าคะมำ

           รดิศก้าวพรวดเดียวคว้าเอวของอีกคนเอาไว้ได้ ดึงกลับเข้ามาในอ้อมแขนอย่างแรง ทั้งคู่ชะงัก  ติณธรเบิกตากว้างอย่างตกใจ

            “พี่ดิม”  เรียกชื่อที่ติดอยู่ในหัวใจมานานปี  และไม่เคยลบเลือน  สบดวงตาคมเข้มที่จ้องมองมาที่เขาด้วยกระแสแรงกล้า 

          “...................”

พี่ดิมไม่พูดแต่กลับแนบริมฝีปากลงมาอย่างร้อนแรง   ปลายลิ้นสอดแทรกเข้ามาสำรวจโพรงปากของเขาทุกซอกส่วนพลางดันตัวเขาให้ถอยหลังไปเรื่อยๆจนกระทั่งชนกับขอบโซฟา และหงายหลังล้มลงไป

ร่างของพี่ดิมทาบทับตามลงมาทันที   ริมฝีปากของเขาถูกอีกฝ่ายรุกรานเต็มที่  พี่ดิมจูบเขาอย่างที่ไม่เคยจูบมาก่อน   มันทั้งรุนแรงก้าวร้าว  แต่ก็วาบหวานในคราวเดียวกัน  สัมผัสนั้นไล่เลยลงมายังติ่งหูและซอกคอ   มือของอีกฝ่ายลูบไล้ไปตามสรีระของเขาที่มีเพียงกางเกงว่ายน้ำตัวเล็กปกปิดอยู่เท่านั้น 

ความรู้สึกวูบวาบอย่างประหลาดในช่องท้องทำให้เตเกร็งตัวหนีสัมผัสนั้น  ทว่าอีกคนไม่ยอม

“อื้อ  พี่ดิม”  เรียกชื่ออีกฝ่ายได้เพียงเท่านั้น  ริมฝีปากของเขาก็ถูกปิดสนิทอีกครั้ง   สติที่ยังหลงเหลือของนักเขียนหนุ่มบอกว่า ...มันไม่ถูกต้อง   แต่ว่าร่างกายกลับตอบสนองรับทุกสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ 

มันอ่อนโยน  เนิบนาบ  แต่ก็ร้อนระอุ  เหมือนกำลังลอยขึ้นไปสูงลิ่ว  เข้าใกล้ดวงอาทิตย์เข้าไปทุกที

“นายใส่น้ำหอมด้วยหรือเต”  ฝ่ายนั้นพึมพำ ขณะซุกไซ้ที่ซอกคอของเขา  สูดเอากลิ่นหอมประหลาดที่คละเคล้ากับกลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัวของนักเขียนหนุ่มเข้าปอด   

            “หืม..น้ำหอม...อ้อ  ใช่..”  เตพึมพำอย่างเลื่อนลอย  สมองพร่าเบลอแล่นช้าลงเต็มทีน่าขัดใจ   ตรงข้ามกับอารมณ์ลึกลับที่พุ่งสูงขึ้นทุกขณะ   รู้สึกเย็นวาบเมื่อท่อนล่างเปลือยเปล่าเพราะฝ่ายนั้นจัดการกับกางเกงว่ายน้ำของเขาอย่างรวดเร็ว 

            คุณหมอหนุ่มผละออกครู่เดียวเพื่อจัดการกับกางเกงว่ายน้ำของตนเองบ้าง   บางส่วนในร่างกายถูกกระตุ้นจนเริ่มปวดหนึบ   

            ตั้งเตหวานเกินไป   หวานไปหมดทั้งตัว  ทุกซอกทุกมุมที่เขาสัมผัสและลิ้มชิมรสอย่างหลงใหล   ผิวเนียนละเอียดในร่มผ้าอมเลือดฝาดเป็นสีชมพูอ่อนจาง  เกิดจากอารมณ์เพริดที่เขาปรนเปรอให้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ   รู้แต่ว่าเขาเริ่มจะควบคุมตัวเองไม่ไหวแล้ว   มึนเมายิ่งกว่าดื่มเหล้าเข้าไปทั้งขวดเสียอีก   

          “นึกออกแล้ว...น้ำหอม   ของฝากคุณภาคย์”  จู่ๆ คนใต้ร่างก็โพล่งออกมา  ทำเอาเขาชะงัก

            ของฝาก? ของคุณภาคย์?

ที่มาของกลิ่นหอมแปลกๆที่ติดอยู่บนนวลเนื้อขาวเนียนคือของกำนัลจากชู้รักที่เจ้าตัวรับมาด้วยความยินดีและใช้อย่างเต็มใจงั้นหรือ

อารมณ์ของคุณหมอหนุ่มพุ่งทะยานขึ้นฉับพลัน เพราะประโยคนั้น

เตรับรู้ว่าตนเองคงใกล้จะสัมผัสดวงอาทิตย์เต็มที  ไอร้อนที่โอบล้อมรอบกายทำให้เขารู้สึกเหมือนจะละลาย   ความร้อนแรงที่ถาโถมเข้ามาหาอย่างไม่ยั้งทำให้เขาเจ็บปวด  แต่ก็มีความสุขเหลือเกิน   แสงสว่างแผดจ้าจนตาพร่า  แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาวระยิบระยับคล้ายเกลียวคลื่นที่สะท้อนไอแดดเมื่อตอนบ่าย

            ในที่สุดเขาก็ได้สัมผัสกับดวงอาทิตย์   เปลวไฟบนนั้นไม่ทำให้ระอุพองอย่างที่คิด แต่กลับอุ่นสบายและกลายเป็นความเย็นฉ่ำเมื่อร่างของเขาลอยผ่านกลุ่มเมฆบางเบาที่กลั่นตัวเป็นหยดน้ำพร่างพรมลงบนร่างของเราทั้งคู่

                       .................................................................................

มาต่อจนจบตอนค่าา  หายไปสอบมา555
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์เเละคำแนะนำดีๆนะคะ  จะนำไปปรับปรุงค่ะ
หวังว่าจะยังไม่ลืมเรื่องนี้กันนะคะ
 :katai2-1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-02-2017 16:35:07 โดย ็Hollyk »

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
ความสุขแค่ชั่วคราวสินะ

ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
สงสารเต แต่บางทีก็แอบรำคาญ คือมีอะไรทำไมไม่พูด อมพะนำอยู่นั่นแหละ จะพูดก็ผลัดวันประกันพรุ่ง ที่เรื่องราวมันเลยเถิดและแย่จนเจ็บปวดกันไปทุกคน จริง ๆ แล้วต้นเหตุเกิดจากเตเลยนะ (แม้จะมีรันชักใยอยู่เบื้องหลังด้วยก็เหอะ)

ออฟไลน์ monnam0309

  • มิสเตอร์เค
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โง่ทั้งคู่ ไม่คุยกัน เลยโดนหลอกจากคนไว้ใจ
อยากให้รันได้รับผลกรรมที่ทำเอาแบบสุดๆไปเลย มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เลวหน้าซื่อมาก  :z6:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
เคลียร์ๆกันทีเถอะขอร้องงงงงงงง
มันหน่วงมาก
อยากให้พูดความจริงกันสักที  :katai1:

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
  เบื่อจริงๆนะคนอมพะนำ ไม่ยอมพูดอะไร นี่มันสมัยไหนแล้ว
  รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ INMINTHA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-2

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
ชอบเรื่องนี้มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

อินสุดๆน้ำตาไหลพราก สงสารนายเอก  :mew6:

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
รอยแผลฝัง หยั่งลึก ผนึกแน่น
รอยความแค้น แม่นมั่น กระสันหา
รอเอาคืน ยื่นยัด เต็มอัตรา
ไม่รู้ว่า เข้าใจผิด ใจบิดเบือน

เพราะรักมากจึงต้องแค้นมาก
ถ้าไม่รักเลยอาจจะให้อภัยกันได้ง่ายกว่านี้

รักหนอเกลียดหนอ
หุหุ

+1 ฮับ

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk

เพราะหัวใจบอกว่า...เสีย

 









  “เทอมหน้าพี่ต้องไปฝึกงานที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดแล้วนะเต  ไม่อยากไปเลย”

          เสียงนุ่มๆสั่นสะเทือนผ่านแผ่นอกกว้างที่เขาแนบชิดอยู่  ผสานกับเสียงหัวใจของอีกฝ่ายที่เต้นเป็นจังหวะหนักแน่น  สม่ำเสมอ

          เตชอบความรู้สึกนี้  ชอบเวลาที่แนบหูฟังเสียงหัวใจของพี่ดิม  ชอบเวลาที่พี่ดิมโอบกอดเขาเอาไว้แน่นๆ  ชอบลมหายใจอุ่นๆที่กระทบที่ขมับ

          “พูดอย่างกับอยู่คนละโลก  นั่งรถสามชั่วโมงก็ถึงแล้ว”  เขาตอบกลับไป  ห่อตัวลงในอ้อมแขนของอีกฝ่ายเมื่อลมเย็นๆพัดมาอีกครั้ง

          “แต่มันไม่มีเวลาไง   แถมนายก็ต้องเรียนหนัก เพราะเป็นเทอมสุดท้ายอีก  เต...สัญญาได้มั้ยว่าเราจะไม่เปลี่ยนไป”  พี่ดิมยังคงกังวล 

          “ผมไม่สัญญาหรอก  คนเราก็ต้องเปลี่ยนไปอยู่แล้วทุกเมื่อเชื่อวัน  ไม่ใช้หุ่นสต๊าฟเอาไว้นี่”

          “โธ่  งั้นพี่ขอแค่นายไม่เปลี่ยนใจก็พอ  ตกลงไหม”

          คนฟังไม่ตอบ   แต่ยกข้อมือเรียวที่มีนาฬิกาประดับอยู่ขึ้นมาในระดับสายตา

          “ผมจะนับถอยหลังรอวันที่พี่กลับมาใช้เวลาร่วมกันกับผม”

          นักศึกษาแพทย์คนนั้นยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มลึกสองข้างแก้ม  ชื่นในหัวอก  กำลังใจเต็มเปี่ยมจนแทบล้นออกมา....เด็กหนุ่มหัวหยิกในอ้อมกอดคือแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาจริงๆ

          รุ่งเช้าแล้ว...เราสองคนนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันเงียบๆ  แสงสีทองอ่อนๆทอประกายสะท้อนเกลียวคลื่น และอาบไล้ผิวกายของเรา อบอุ่นเข้าไปถึงข้างในหัวใจ  ถึงแม้อนาคตจะเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้  ทว่าพวกเขาก็หากริ่งเกรงไม่  ตราบใดที่ยังมีอ้อมแขนของกันและกันคอยโอบประคองอยู่เช่นนี้

          “เราจะไม่ทิ้งกันนะเต”

          รอยยิ้มอบอุ่นและน้ำเสียงหนักแน่นของพี่ดิมยังคงติดอยู่ในหัวใจของเด็กหนุ่มคนนั้นต่อมาอีกนาน



              ************************




            ชายหนุ่มพลิกตัวนอนตะแคง ทว่าอะไรบางอย่างแข็งๆที่ดันอยู่ที่เอวทำให้เขาต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้  หรี่ตาลงเพราะแสงแดดที่ลอดหน้าต่างเข้ามาแยงตา  ครู่หนึ่งก็ปรับสายตาได้  ควานมือไปที่เอว พบว่าเป็นนาฬิกาข้อมือของตัวเองที่ถอดทิ้งเอาไว้เมื่อไหร่ไม่ทราบ  เขารีบลุกขึ้นมาแล้วก็ขมวดคิ้วเมื่ออาการปวดศีรษะแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ

            ยกมือขึ้นกุมที่ท้ายทอยและขมับขณะที่กวาดตามองไปรอบห้องแปลกตา   เขากำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่  ท่อนบนเปลือยเปล่ามีผ้านวมคลุมท่อนล่างเอาไว้ทำเอาใจหายวาบ   ชายหนุ่มรีบพลิกตัวลงมาจากเตียง

            “โอ๊ย  อูย..อะไรเนี่ย”  อาการเจ็บแปลบที่บริเวณช่วงล่างทำให้เขาตกใจมากกว่าเดิม   ค่อยๆทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง   นึกทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยความมึนงง

            “เมื่อวานเรากลับมาอาบน้ำเตรียมกลับบ้านนี่  แล้ว....อ่า  พี่ดิมชวนดื่มเป็นเพื่อน  แล้วจากนั้น...”  ใบหน้าร้อนวาบเมื่อภาพบางอย่างย้อนกลับเข้ามาในความคิดฉับพลัน

            เสียงลมหายใจเข้า-ออกเป็นจังหวะ   กลิ่นเหงื่อและคำพูดหวานๆที่พร่ำอยู่ริมหู  รวมถึงสัมผัสวูบวาบร้อนแรง...ตั้งเตสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่   ก้มลงดูร่างกายของตนเอง เห็นรอยแดงๆกระจายอยู่ทั่วตัวโดยเฉพาะบริเวณ.....

            เขามองหาร่างของผู้ชายอีกคนที่อยู่ด้วยกันเมื่อคืนนี้   ทว่าทั้งห้องว่างเปล่า  รีบค้นเสื้อผ้าจากกระเป๋าเป้ที่วางอยู่ปลายเตียงขึ้นมาสวมใส่ด้วยมือสั่นเทา   รู้สึกเจ็บร้าวระบมไปทั่วตัวแต่ก็อดทน  กลั้นใจแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาที่นอกห้องนอน

            ....เงียบ   ไม่มีใครเลย  คล้ายกับว่าบ้านพักตากอากาศทั้งหลังมีเขาอยู่เพียงคนเดียว....ชายหนุ่มเดินวนรอบบ้านพักอีกครั้ง  ชะโงกออกไปนอกระเบียงเพื่อมองหาร่างล่ำสันสมส่วนนั้น

            “พี่ดิม....อยู่ไหนน่ะ”   ตะโกนก้องไปทั่วทั้งบ้าน  ทว่ามีเพียงความเงียบและเสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งเท่านั้น   ลมทะเลพัดแรง  ทำให้ผ้าม่านปลิวไสว  แสงแดดส่องเข้ามาภายในห้องนั่งเล่นที่ควรจะมีกระเป๋าของใครคนนั้นวางอยู่   แต่กลับไม่มี

          กระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะกระจก  มีแก้วน้ำวางทับเอาไว้

            เตก้าวเข้าไปหยิบขึ้นมาอ่าน

            ‘ยาแก้อักเสบกับยาแก้ปวด  กินซะนะ’

          ถ้วยยาใบเล็กที่มีเม็ดยาอยู่สองเม็ดวางอยู่ใกล้ๆแก้วน้ำ ติณธรย่นจมูกให้ยาพวกนั้น  หักแบ่งเม็ดยาครึ่งหนึ่งใส่ปากแล้วกลืนน้ำตาม    จากนั้นหยิบกระดาษขึ้นมาถือเอาไว้

            “พี่ดิมไปไหนนะ”  เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ

            เสียงก๊อกแก็กที่ประตูบ้านพักตากอากาศทำเอาสะดุ้ง  รีบหันขวับไปมอง   ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของผู้หญิงวัยกลางคนในชุดยูนิฟอร์มสีเทา  ก้าวเข้ามาในบ้าน  เธอมองมาที่เขาอย่างแปลกใจพอๆกัน

            “อ้าว   คุณเป็นแขกของท่านผอ.เหรอคะ   ฉันนึกว่ากลับไปแล้ว  เห็นมาคืนกุญแจ”  เธอถาม

            “คืนกุญแจ?  เอ่อ  แขกที่ว่าหมายถึงหมอรดิศหรือครับ”  เตถามกลับงงๆพอกัน   ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ

            “ค่ะ  คุณหมอหน้าคมๆ คนนั้นแหละค่ะ  ฉันเห็นเค้าเอากุญแจไปให้ผอ.ที่โรงพยาบาลเมื่อตอนเช้ามืดน่ะ  ผอ.ท่านเลยให้กุญแจฉันมาทำความสะอาดเหมือนทุกที”

          “แล้วตอนนี้คุณหมอคนนั้นเค้าอยู่ที่ไหนหรือครับ  อยู่ที่โรงพยาบาลหรอ”  เตถามต่อ

            “ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันนะ  เห็นขับรถออกไปจากโรงพยาบาลแล้วตั้งแต่ตีห้า  ถ้าไม่ได้กลับมาที่นี่  อาจจะแวะไปที่ไหนหรือเปล่า  ลองโทรถามดูสิคะ”

            ตีห้า!  พี่ดิมกลับไปแล้วตั้งแต่สองชั่วโมงก่อนงั้นหรือ?

          นักเขียนหนุ่มกรากเข้าไปที่กระเป๋าเป้ของตัวเอง  ล้วงหาโทรศัพท์มือถือวุ่นวาย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันแบตหมดไปตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว   ถอนหายใจเฮือกใหญ่กวาดตามองไปเห็นเครื่องโทรศัพท์บ้านวางอยู่ไม่ไกลจากห้องรับแขก   จึงมองไปที่ป้าเป็นเชิงถาม

            “โทรได้ค่ะคุณ”  เธอตอบยิ้มๆ

             ติณธรกดเบอร์โทรศัพท์มือถือที่เขาจำได้ขึ้นใจ    เสียงรอสายดังขึ้นเป็นจังหวะ   เขาเฝ้ารออย่างอดทน  ใจเต้นตึกตัก  .. คงเป็นความเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง  พี่ดิมคงจะเอากุญแจไปคืนเอาไว้ก่อนเพื่อความสะดวก   ตอนนี้คงจะกำลังกลับมา  หรือไม่ก็แวะตลาดสักที่ซื้อของสดของฝากก่อนกลับบ้านพร้อมกัน  เตบอกตัวเอง

            รอจนสุดท้ายก็เป็นเสียงให้ฝากข้อความเอาไว้   เขาวางสายแล้วกดโทรออกอีกครั้ง   ไม่มีคนรับเหมือนเดิม  คราวนี้เขากรอกเสียงลงไป

            “พี่ดิม   อยู่ที่ไหนน่ะ   ผมจะรออยู่ที่หน้าบ้านถึง 10 โมงนะ  ถ้าไม่มา ผมจะกลับเอง” กดวางสาย  จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่ามีอีกที่ที่ควรจะโทรไปบอกกล่าว

            ป่านนี้ข้าวตังคงตกใจและเป็นห่วงเขาแย่ที่ไม่กลับบ้าน

            กดเบอร์โทรศัพท์บ้าน  รอสายอยู่นานแต่กลับไม่มีคนรับเช่นกัน ....เค้าไปไหนกันหมดนะ  หรือว่าตังไปส่งเจ้าเต้อยู่   คิดในใจเช่นนั้นจึงวางสายลง   หันไปมองป้าแม่บ้านที่จับตามองเขาอยู่แล้ว

            “ติดต่อไม่ได้เลยครับ   เอ้อ   ป้าจะทำความสะอาดใช่ไหม    เชิญเลยครับ  ผมจะออกไปรอข้างนอก”  ชายหนุ่มพูด   เอื้อมหยิบเป้ขึ้นมาสะพายและคว้าโน็ตบุ๊คมาถือเอาไว้    เดินย้อนกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อสำรวจดูเผื่อลืมอะไร

            สภาพเตียงทำให้เขาอดรู้สึกหน้าร้อนซู่ขึ้นมาไม่ได้   หมอนสองใบมีรอยหนุนวางอยู่เคียงกัน  ผ้าห่มกองอยู่ที่พื้นเผยให้เห็นผ้าปูที่นอนด้านล่างยับยู่ยี่   รอยคราบอะไรบางอย่างเลอะอยู่บนเนื้อผ้าปนกับรอยคล้ำคล้ายคราบเลือดเป็นทาง    ราวกับเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดขึ้นบนเตียงเมื่อคืนนี้จนถึงขั้นเลือดตกยางออก

            รอยสัมผัสและอารมณ์วาบหวามยังคงค้างอยู่ในส่วนลึก   ยิ่งเห็นร่องรอยเมื่อคืนแล้ว  ก็ยิ่งคิดเลยเถิดไปกันใหญ่   หัวใจเต้นตึกตักเพียงแค่นึกถึงเท่านั้น  ทั้งที่จำรายละเอียดของเหตุการณ์แทบไม่ได้เลย 

            ป้าแม่บ้านตามเข้ามาในห้องนอนด้วยเมื่อไหร่ไม่ทราบ  เธอกวาดตามองที่เตียงแวบหนึ่งแต่ไม่เอ่ยอะไรอย่างมารยาทดี   ก้มหน้าก้มตาถอดผ้าปูที่นอนออกมากองรวมกันเอาไว้ข้างเตียงตามหน้าที่   แขกรีบเดินออกมาจากห้องนั้น   อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี

            เขาหอบของเอาไว้แล้วเปิดประตูออกมาจากบ้านพักตากอากาศหลังงามนั้น   เดินไปนั่งรออยู่ที่ม้านั่งใต้ร่มไม้ใหญ่หน้าบ้าน  เอนตัวพิงพนักหินอ่อน  จับตามองไปที่โค้งริมถนนหัวมุมแล้วถอนหายใจยาว

            นึกภาวนาให้รถของพี่ดิมเลี้ยวโค้งเข้ามาจอดตรงหน้าบ้านเสียที   บางทีอาจจะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี่ล่ะ  ตอนนี้พี่ดิมคงกำลังเลือกปลาหมึกแห้งของโปรดอยู่แน่ๆ   กลับไปคราวนี้เขาตั้งใจว่าจะต้มข้าวต้มใส่เนื้อปลาหมึกหวานๆให้ทาน   คงจะอร่อยน่าดู...

            ความหวาน  ความอ่อนโยน  ความนุ่มนวลโอนอ่อน  ทว่าก็เร่าร้อนแทบละลายยังคงติดอยู่ในหัวใจทุกเมื่อที่เผลอนึกย้อนกลับไป   เตบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันแน่   แต่เขารู้สึกเหมือนถูกเติมเต็ม

            คล้ายกับอะไรบางอย่างที่เขาทำหายไปเมื่อ 8 ปีก่อนได้กลับคืนมาอีกครั้ง  และคราวนี้มันเต็มบริบูรณ์ยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า

            เขารู้สึกมีความสุข   มากที่สุดในรอบหลายปี  ถึงแม้บางครั้งภาพของหญิงสาวหน้าคมและเด็กชายตัวเล็กจะแวบกลับเข้ามาในความคิด  แต่ชายหนุ่มก็พยายามปัดทิ้ง 

            ขอเถอะ...เขาเสียสละตัวเองมาตั้งหลายปีแล้ว   ขอสักครั้ง   ความสุขของเขาได้มอบให้กับคนอื่นมามากพอแล้ว  ควรจะถึงเวลาที่เขาจะมอบให้ตัวเองบ้าง

            ติณธรมองไปที่หัวมุมถนนอีกครั้ง  แสงแดดเริ่มแรงกล้าสะท้อนกับพื้นถนนจนชักแสบตา   อีกไม่กี่นาทีนี้แหละ...พี่ดิมจะกลับมา  เพื่อที่จะได้มาฟังความจริงจากปากของเขา   ความจริงในใจที่เขามีให้พี่ดิมมาตลอดหลายปี และไม่เคยเปลี่ยนใจเลยแม้แต่วันเดียว

            อีกฝ่ายคงจะแปลกใจ และจะต้องดีใจมากเมื่อรู้เรื่องราวทั้งหมด....ใบหน้าหวานของกุมารแพทย์หนุ่มแวบเข้ามาในความคิด...หมอรัน   เขารู้ว่ารันคือคนที่เข้ามาดามหัวใจพี่ดิมในช่วงที่ฝ่ายนั้นเจ็บหนักที่สุดในชีวิต   จึงไม่แปลกที่พี่ดิมจะคบกันผู้ชายคนนั้น

            แต่การคบกัน เป็นแฟนกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่ดิมรักหมอรันจริงๆนี่...พี่ดิมจะลืมรักแรกของตัวเองได้ลงคอเหรอ ถึงมันจะจบไม่สวยก็เถอะ...จู่ๆเสียงเล็กๆในซอกมุมมืดสนิทของหัวใจก็โพล่งถามออกมา  ราวกับว่ามันกำลังรอคอยจังหวะอยู่

            พี่ดิมยังรักเราอยู่....สัมผัสเมื่อคืน  คำพูดที่พร่ำบอกออกมาไม่ขาดปาก   ความหวานลึกล้ำที่เค้ามอบให้   หึ..คงปฏิเสธความจริงข้อนี้ไปไม่ได้

            เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสียจริง  เขาก้มมองดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง  พี่ดิมลงเรือไปตกปลาเองหรือเปล่า   หรือว่ากำลังทอดแหอยู่ไม่ทราบ  ทำไมถึงได้ช้าขนาดนี้   เขาเริ่มจะปวดศีรษะตุบๆแล้วจากการที่ต้องนั่งเพ่งสายตาสู้แสงแดดแรงกล้าเช่นนี้

            หรือว่าพี่จะเซอร์ไพรซ์อะไรเรา   คิดได้ดังนั้น   เขาก็เปลี่ยนใจ  ลุกขึ้นมาจากม้านั่งหินอ่อน    เดินลงไปบันไดไปที่ชายหาดแทน     มันว่างเปล่าไร้ผู้คน  เวลาเช่นนี้ไม่มีใครคิดจะลงเล่นน้ำทะเลให้ถูกแดดเผาเกรียม

            ถอยกลับมาเดินวนเวียนที่เดิม  ป้าแม่บ้านเปิดประตูออกมาร้องทักแกมเป็นห่วง

            “พ่อหนุ่ม  เข้ามานั่งในบ้านก็ได้  ข้างนอกมันร้อนออก  ดูซิ  หน้าเน่อแดงเหงื่อแตกซิกไปหมดแล้ว”  เธอกวักมือเรียก  แต่เขาส่ายหน้า

            “ไม่เป็นไรครับ  ขอบคุณมาก  แต่เดี๋ยวเพื่อนผมก็มาแล้วล่ะ”  ตอบยิ้มๆ

            “ถ้าอย่างนั้นเข้ามานั่งในรั้วก่อนก็ได้   นั่งตรงนั้นมันร่มก็จริง แต่ไอร้อนจากถนนมันจะตีขึ้นเอา”   ตั้งเตพยักหน้า  ย้ายที่เข้ามานั่งด้านในที่เย็นกว่านิดหน่อยเพราะเป็นทางลม    จับตามองไปยังถนนที่เดิม   

            เผลอหลับไปวูบ สะดุ้งตื่นอีกทีเพราะมือของใครคนหนึ่งมาแตะที่ไหล่   หันไปมองอย่างยินดีแล้วก็ต้องใจแป้วลงเมื่อเห็นใบหน้าใจดีของป้าคนเดิม

            “มันจะเที่ยงแล้วนาพ่อหนุ่ม   ฉันว่าคุณหมอคงจะกลับไปแล้วล่ะ  อาจจะมีธุระด่วนอะไรหรือเปล่า   ไปหาข้าวกินก่อนเถอะ”  เธอพูด  แววตามีประกายประหลาดชอบกล

            “ไม่เป็นไรครับ  ผมไม่หิว”  เขาพูดตามตรง   ในท้องมันตื้อๆแน่นๆไปหมด  ไม่มีความหิวเลยสักนิด  พลิกดูนาฬิกาอีกทีแล้วก็ลุกขึ้นยืน

            “ผมคงไปที่ท่ารถเลย  ไม่รอแล้วล่ะ  เค้าคงมีธุระด่วนรีบกลับไปก่อนแล้วจริงๆ   ขอบคุณมากนะป้า”

            “ซ้อนรถเครื่องฉันไปก็ได้  ฉันจะไปท่ารถพอดี”  ตั้งเตยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง  ตื้นตันกับน้ำใจที่ป้ามีให้เขา แม้จะไม่รู้จักกันมาก่อน  เดาได้ว่าป้าคงจะสงสารเขาเต็มทน

            เหมือนกับที่เขากำลังสงสารตัวเอง 

            เตเหลือบมองไปที่ริมถนนอีกครั้ง   ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของหญิงสูงวัย 

            ถ้านักเขียนหนุ่มกวาดตามองอย่างละเอียดอีกสักนิด  ก็คงจะเห็นเงาของร่างผู้ชายคนหนึ่งยืนพิงต้นมะพร้าวอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล  จับตามองมาที่หน้าบ้านอยู่นานแล้ว  อาจจะตั้งแต่ก่อนที่คนนั่งรอเผลองีบหลับไปด้วยซ้ำ

            ผู้ชายคนนั้นมองตามหลังร่างโปร่งบางที่ซ้อนท้ายรถคันนั้นไป   เขากลับขึ้นรถยนต์ของตนเองอีกครั้ง  แอร์ที่เป่าแรงไม่สามารถบรรเทาความร้อนรุ่มภายในใจของเขาได้เลย  แม้ว่าเหงื่อที่แตกชุ่มแผ่นหลังจะระเหยไปอย่างรวดเร็วแล้วก็ตาม

            เขาจะทำอย่างไรดี    ความจริงแล้วเขาควรกลับถึงกรุงเทพฯแล้วด้วยซ้ำตามแผนเดิมที่วางเอาไว้  ทว่าพอเอาเข้าจริง  กลับตัดใจ ‘ไปไม่รอด’ ต้องวกกลับมาใหม่

            เสียงฝากข้อความที่เตฝากเอาไว้  ทำให้เขาอยากรู้เหมือนกัน  ว่าชายหนุ่มจะรอเขาอย่างที่บอกหรือไม่   ทุกนาทีที่เห็นสายตาคู่นั้นจับจ้องไปที่หัวมุมถนนหน้าบ้านตาไม่กระพริบ    เขาแทบจะห้ามตัวเองไม่ไหว  ไม่ให้ลงจากรถและตรงเข้าไปหาผู้ชายคนนั้น

            เข้าไปกอดและสัมผัสให้สมรัก   สมกับความรู้สึกโหยหา   ความต้องการของเขาที่ดูราวกับจะไม่สิ้นสุด เมื่อได้แนบชิดกับร่างของคนๆนั้นเข้า   

            เพราะอะไรกัน   ทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนี้    อาลัยอาวรณ์ต่อรสเสน่หาที่ตักตวงได้จากร่างโปร่งบาง   ผิวขาวเนียนละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ   อาการเกร็งและผวาน้อยๆราวกับเด็กเล็กๆ ยิ่งทำให้เขาหลงมัวเมามากขึ้นไปอีกร้อยเท่าพันทวี  ราวกับติดอยู่ในรวงผึ้งที่เต็มไปด้วยน้ำหวานจากเกสรดอกไม้นานาชนิด   เตหวานไปทั้งตัวจริงๆจนเขาอยากจะกลืนกินเข้าไปในอกถ้าทำได้...

            สุดท้ายก็ตัดใจ ‘ทิ้ง’ ไม่ลง  บ้าชะมัดเลยรดิศ   ไหนว่าได้แล้วจะทิ้งให้สาสม  ไหนว่าจะทำให้เค้ารู้สึกเจ็บแสบที่สุดเท่าที่จะทำได้   แล้วอะไรคือการที่เขามานั่งเฝ้ามองอีกฝ่ายอยู่แบบนี้  แถมยังต้องจ้างวานแม่บ้านให้ขับรถไปส่งเด็กที่ท่ารถให้อีก

          ทั้งที่แผนเดิมมันไม่ใช่แบบนี้เลยด้วยซ้ำ   โธ่เว้ย!

          ชายหนุ่มฟุบใบหน้าลงกับพวงมาลัยรถ    หงุดหงิดตัวเองที่เอาแต่คิดถึงรสสัมผัสเมื่อคืน  แทนที่จะระลึกถึงความแค้นที่อีกฝ่ายฉีกหัวใจของเขาไม่เหลือชิ้นดี

            โทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้ง   คุณหมอหนุ่มมองเบอร์ที่ขึ้นโชว์อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงวางโทรศัพท์ทิ้งเอาไว้บนเบาะข้างตัว   รอจนเสียงเรียกเข้าเงียบไปเอง

            สตาร์ทรถแล้วขับตรงไปตามเส้นทางที่ไปยังท่ารถ   ทันเห็นร่างโปร่งเพรียวคุ้นตาเดินหายเข้าไปในฝูงชนแวบๆ  คงจะไปซื้อตั๋ว....เจอกันที่กรุงเทพฯก็แล้วกันนะเต

            ไม่สิ!!  ไม่เจอกันอีกแล้วตะหาก    ครั้งนี้จะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้าย  จากนั้นเราจะไม่เกี่ยวข้องกันอีก  มันจบแล้ว  เข้าใจไหมรดิศ

            นี่จะต้องเป็นการทิ้งที่โหดร้ายที่สุด  เท่าที่เขาจะทำได้   และเตจะต้องรู้รสชาติของความเจ็บปวดครั้งนี้ 

            .............................................................................................

            นักเขียนหนุ่มก้าวลงจากรถแท็กซี่ในเวลาเย็นย่ำ   เขาตรงเข้าไปไขประตูรั้วอย่างอ่อนแรงหลังจากต่อรถหลายต่อเพื่อกลับมาถึงบ้าน  ศีรษะปวดตุบๆพอๆกับร่างกายที่ปวดเมื่อย  หนาวๆร้อนๆไปทั้งตัวเพราะไข้ขึ้น   ถอนหายใจหนักๆหลายทีขณะที่พยายามไขกุญแจ

            รถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าบ้าน  แสงไฟรถสาดมาที่ร่างของเจ้าของบ้านจ้าจนตาพร่า ต้องยกมือขึ้นบัง ปรับสายตาครู่หนึ่ง พอดีกับที่ร่างสูงโปร่งเปิดประตูรถยนต์ก้าวตรงมาที่เขาอย่างร้อนรน

          “คุณเต  โอ  ผมหาทางติดต่อคุณแทบตาย   หายไปไหนมาครับ”  เสียงเจ้านายเจ้าของสำนักพิมพ์ที่ทำงานด้วยถามมาอย่างรวดเร็ว  สองมือวางทาบลงบนไหล่ของเขาทั้งสองข้างบีบแน่น

            “คุณภาคย์  เอ้อ  ผมไปธุระที่ต่างจังหวัดมาครับ  ง่า...เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”  ถามอย่างไม่แน่ใจ สังเกตเห็นอาการของอีกฝ่ายดูร้อนใจผิดปกติก็ชักใจไม่ดี

            “ผมหาทางติดต่อคุณมาทั้งวันเลย  ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วด้วย...คุณข้าวตังไม่สบายมากครับ   เข้าโรงพยาบาลไปเมื่อคืน”

          “อะไรนะฮะ  ข้าวตังเข้าโรงพยาบาล!”  เตอุทานอย่างตกใจ “ตังเป็นอะไรไป  เกิดอะไรขึ้นครับคุณภาคย์”

            ร่างสูงโปร่งก้มลงอธิบายอะไรสักอย่างยืดยาว   ยกมือขึ้นปัดปอยผมที่หน้าผากคล้ายจะซับเหงื่อให้ก่อนที่จะคว้ามือเรียวบางไปกุมเอาไว้   รู้สึกเหมือนร่างกายของตั้งเตจะสั่นนิดๆจากสายตาของผู้สังเกตการณ์ที่แอบมารออยู่แล้วที่หน้าบ้าน 

            รดิศจับตามองร่างเล็กบางที่ถูกอีกคนประคองเข้าไปนั่งในรถ   แสงจากเสาไฟฟ้าข้างทางส่องให้เห็นใบหน้าค่อนข้างกังวลของผู้ชายคนนั้นแวบหนึ่งก่อนที่รถจะแล่นออกไป

            ศัลยแพทย์หัวใจทิ้งตัวพิงพนักอย่างแรง

            ต้องไม่ใช่เขา  ต้องไม่ใช่   คนที่จะถูกทิ้งในเกมนี้  ต้องเป็นเตเท่านั้น ...ถึงจะบอกตัวเองอย่างนั้น   แต่ทำไมเขาถึงไม่มั่นใจเอาเสียเลย

                     ......................................................................................

            “...พอดีผมมาหาคุณเตที่บ้านเมื่อเย็นวาน  กดออดหลายครั้งไม่มีใครมาเปิดประตูเลยทั้งที่แสงไฟก็เปิดอยู่   โทรหาคุณก็ปิดเครื่อง   ผมก็เลยจอดรถรออยู่หน้าบ้านคุณสักพัก  ได้ยินเสียงลูกชายคุณเรียกคุณข้าวตังลั่นเลยแล้วก็ตะโกนช่วยด้วย   ผมใจไม่ดี  กดออดหลายรอบไม่ได้ เลยปีนรั้วบ้านคุณเข้าไป”

          “ปีนรั้วบ้านผม?”  เตทวนคำอย่างแปลกใจ  นึกภาพคุณภาคย์ปีนรั้วเข้าไปในบ้านของตนไม่ออก  ถ้าเป็นอีกคนล่ะก็ว่าไปอย่าง...เอาอีกแล้ว  เผลอคิดถึงเค้าอีกแล้ว   เขาพยายามหยุดความคิดถึงผู้ชายหน้าเข้มเอาไว้แค่นั้น    ตอนนี้คนที่สำคัญที่สุดก็คือข้าวตังตะหาก

            “ครับ...ขอโทษนะครับ  แต่ผมเห็นว่ามันผิดปกติจริงๆ  พอเข้าไปในบ้านได้ เห็นคุณข้าวตังนั่งคู้ตัวอยู่ที่พื้น  มีน้องเต้อยู่ข้างๆ  คุณข้าวตังดูเหนื่อยมาก  ผมก็เลยอุ้มเธอออกมาแล้วขับรถพาไปส่งโรงพยาบาล”

            “ขอบคุณคุณภาคย์มากจริงๆนะครับ   นี่ถ้าไม่ได้คุณช่วย   ข้าวตังจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้  เจ้าเต้ก็ยังเด็กเกินไป...  ผมผิดเองที่ทิ้งเธอไปต่างจังหวัด  ทั้งที่รู้ว่าอาการของเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่..”  นักเขียนหนุ่มยกมือขึ้นปิดใบหน้า  รู้สึกผิดต่อผู้หญิงที่เป็นทั้งน้องสาวและภรรยาสุดหัวใจ

            ...เพราะเขาเห็นแก่ตัว   เห็นแก่ความสุขของตนทำให้มาตังอาการทรุดหนักลงแบบนี้   เพราะเขาไม่ดูแลเธอให้ดี 

            เสียงคุณลุงคุณป้าที่เคยพูดเอาไว้ก่อนที่จะเสียชีวิตอย่างกะทันหันไปทั้งคู่ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ยังก้องอยู่ในหูของเขา



ต่อด้านล่างค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
      ต่อนะคะ             
       


                 *******************

            ‘ป้าฝากข้าวตังไว้กับเตด้วยนะ  ดูแลน้องด้วย’  ป้าของเขาพูดเอาไว้เป็นประโยคสุดท้าย ก่อนที่เธอจะสิ้นลมที่โรงพยาบาล ตามหลังคุณลุงที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุภายในไม่กี่ชั่วโมง

          ตอนนั้นเด็กหนุ่มได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ มือเย็นเฉียบกุมมือบอบบางของน้องสาวเอาไว้แน่น  เสียงร้องไห้โหยหวนของเธอทำให้เขาต้องพยายามเข้มแข็งเอาไว้  เพื่อเป็นหลักให้แก่เธอ

          เตต้องวิ่งวุ่นติดต่อญาติพี่น้องที่ยังหลงเหลืออยู่  หลายคนเห็นใจเข้ามาช่วยเหลือจัดการงานศพให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย   พินัยกรรมทำเอาไว้สมบูรณ์แล้วราวกับคุณลุงคุณป้าจะรู้อนาคต เหลือเพียงลูกสาวคนเดียววัย 18 ปีที่เคว้งคว้างไร้ที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ

          ช่วงนั้น เด็กหนุ่มต้องขึ้นล่องระหว่างกรุงเทพฯ-อีสาน ทุกอาทิตย์เพื่อคอยไปเยี่ยมน้องสาวที่ไปพักอยู่กับญาติชั่วคราว   สุดท้ายก็ทำเรื่องขอย้ายน้องสาวมาเข้าโรงเรียนใกล้ๆมหาวิทยาลัยของตนได้สำเร็จ   และเปลี่ยนบ้านหลังเดิมให้คนเช่าแทน

          วันเวลาผ่านไปอย่างยากลำบากสำหรับเด็กหนุ่มที่ต้องดูแลน้องสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเพิ่มอีกหนึ่งคน   ข้าวตังย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักเดียวกันกับเขาด้วย  และค่อยๆเริ่มปรับตัวกับชีวิตใหม่ โรงเรียนใหม่เพื่อนใหม่ ได้ในที่สุดจนเตหมดห่วง

          จนกระทั่งวันหนึ่ง

          “เป็นอะไรไปเต เสียงดูกังวลชอบกล  ใกล้สอบแล้วเหรอ”  พี่ดิมจับสังเกตได้ทันทีตั้งแต่ได้ยินเสียงของเขาคำแรก ผ่านโทรศัพท์  คนฟังถอนหายใจยาวเหลือบดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง  แล้วชะเง้อออกไปมองด้านนอกหอพักที่เขายืนรออยู่

          “เปล่า...จะห้าทุ่มแล้วพี่ดิม  น้องยังไม่กลับบ้านเลย  โทรไปก็ไม่รับสาย”  ปกติน้องสาวของตนเป็นเด็กตรงต่อเวลามาก   เลิกเรียนถ้าวันไหนไม่มีเรียนพิเศษก็จะกลับบ้าน   ถ้าจะแวะที่ไหนก็มักจะโทรบอกพี่ชายก่อนทุกครั้ง   ไม่เคยเหลวไหลเลย

          “ลองโทรถามเพื่อนสนิทน้องเค้าดูสิ”  พี่ดิมแนะ   ตั้งเตกวาดตาดูรายชื่อเพื่อนสนิทของน้องสาวพร้อมเบอร์โทรศัพท์อีกรอบ

          “โทรไปหมดแล้วพี่ ทุกคนแยกกันที่เรียนพิเศษเมื่อตอนสองทุ่ม  ไม่รู้เหมือนกันว่าไปไหน  ผมละกลุ้มใจจริงๆ  พักหลังมานี้น้องดูเหมือนมีอะไรปิดๆบังๆผมอยู่”

          “จะอะไรได้  มีแฟนชัวร์  ลองแยบถามดูสิ  พี่ว่านะ  เอาอย่างนี้สิ....เอ่อ....ครับผม”  ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกพี่ดิมจากปลายสายแว่วๆ ว่าหมอคะๆ  จากนั้นอีกฝ่ายก็บอกขอโทษแล้วกดวางสายไปอย่างรวดเร็วเหมือนหลายๆครั้งที่โดนพยาบาลตาม ขณะที่เรากำลังคุยกัน

          อีกครั้งที่ตั้งเตรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ตัวคนเดียวบนโลก   พี่ดิมไม่มีเวลาให้เขาเหมือนหลายปีที่ผ่านมาแล้ว   เค้าเรียนหนัก  ต้องไปฝึกที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดทำให้เราสองคนแทบไม่เจอหน้ากันเป็นเดือนๆ  ได้แต่โทรคุย  ซึ่งก็มักจะจบลงด้วยการที่พี่ดิมมีเหตุจำเป็นต้องวางสายก่อนเสมอ

          ชะเง้อมองหน้าปากซอยเป็นรอบที่ร้อย ก็ยังไม่เห็นวี่แววของน้องสาว เขาเกือบตัดสินใจจะแจ้งตำรวจแล้ว ตอนที่เห็นน้องของตนเดินคู่มากับร่างสูงโปร่งของผู้ชายคนหนึ่งเลี้ยวหัวมุมเข้ามาภายในซอย  ท่าทางสนิทสนมนั้นทำให้เตชะงัก  รอจนคนทั้งสองเดินเข้ามาใกล้จนเห็นใบหน้าถนัดก็ยิ่งแปลกใจ

          “ข้าวตัง   ก้อง   ไปไหนกันมา”  เขาลุกขึ้น กรากเข้าไปยืนดักหน้าคนทั้งคู่เอาไว้   เด็กสาวเบิกตากว้าง ปล่อยมือจากท่อนแขนล่ำสันที่จับอยู่   ไม่สบตาเขา

          “พี่เต  เอ้อ...ตัง  ไปดูหนังกับพี่ก้องมาค่ะ”

          “ดูหนัง?”  เตทวนคำ  มองหน้าเด็กหนุ่มรุ่นน้องอีกคนที่สบตาเขาไม่หลบ แล้วตอบรับเสียงหนักแน่น

          “ครับพี่เต  ผมพาข้าวตังไปดูหนังเอง  ขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกพี่ก่อน”

          “รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วงเราแค่ไหนน่ะ  โทรไปก็ไม่รับ  จะไปไหนพี่ไม่ว่า  แต่ทำไมไม่โทรบอกพี่ก่อนฮึ”  เตรู้สึกโกรธ  ทั้งเป็นห่วงน้องสาวทั้งหวงที่น้องไปกับเพื่อนผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน  ถึงจะเป็นเพื่อนของเขาเองก็เถอะ

          “หนูขอโทษค่ะ  พี่เต” ข้าวตังก้มหน้าลง   น้ำตาสองสามหยดไหลลงมาตามแก้มนวลเนียน  พี่ชายเห็นแบบนั้นก็ใจอ่อน ดุไม่ลง

          “กลับขึ้นห้องไปได้แล้ว  พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน”  พูดเพียงเท่านั้น  สาวน้อยก็เดินเร็วๆจากไปทันที  เหลือแต่เพื่อนหนุ่มรุ่นน้องที่ยืนประจันหน้าเขาอยู่  กั้งสบตาเขาอย่างเปิดเผย

          “เล่ามาให้ฟังได้มั้ย   ทำไมนายถึงไปดูหนังกับน้องสาวฉันได้”

          “ผม...ชอบข้าวตังครับ”  เตแทบไม่เชื่อหูตัวเอง   จ้องหน้าคนพูดเขม็ง

          “หมายความว่าไง   นายมีแฟนอยู่แล้วนี่”

          “เลิกกันแล้วครับ  เพิ่งเลิกกันเมื่ออาทิตย์ก่อน”  เขาพูดหน้าตาเฉย  คล้ายกับการบอกเลิกผู้หญิงสักคนเป็นเรื่องธรรมดา  ทว่าแววยอกแสยงที่ฉายวาบขึ้นมาก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของคนที่จับสังเกตอยู่ได้

          “ทำไมถึงเลิกกันล่ะ  ไหนว่าเรียนจบจะแต่งกันแน่ไม่ใช่หรอ”

          “เราไปกันไม่ได้ครับ”  ก้องตอบสั้นๆ  เมินหลบสายตาของเขาไปทางอื่น  ท่าทางแบบนั้นยิ่งทำให้เตมั่นใจในความคิดของตนมากยิ่งขึ้น

          “แล้วนายชอบน้องสาวฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”

          “ก็ชอบมาตลอด  ตั้งแต่เห็นหน้าครับ ...พี่เต   กรุณาให้โอกาสผมคบกับน้องข้าวตังเถอะนะครับ  ผมชอบน้องเค้าจริงๆ”

          “ตังยังเด็กเกินกว่าจะคบกับใคร  เธอเพิ่งเรียนมอปลายเอง”

          “ถ้าอย่างนั้นผมขอดูแลเธอในฐานะพี่ชายก็ได้  นะครับ”

          เตจำไม่ได้เสียแล้วว่าตอนนั้นตัวเองตอบเด็กหนุ่มไปว่าอะไร   จำได้แต่ว่าเหตุการณ์หลังจากนั้น  เขาก็จับเข่าคุยกับน้องสาว  เธอยอมรับว่าชอบก้องมาก  รู้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งเลิกกับแฟน  เธอก็เลยอยากเป็นคนปลอบใจเขา

ในเมื่อน้องสาวพูดแบบนั้น  เขาก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร  นอกจากยินยอมให้คนทั้งสองคนดูแลกันได้ในฐานะ พี่ชาย-น้องสาว  ตั้งแต่นั้นข้าวตังกับก้องก็ตัวติดกันราวกับฝาแฝดอินจัน  การเรียนของเธอไม่ตกต่ำลงอย่างที่เขาเป็นห่วง  กลับดีขึ้นเรื่อยๆเพราะมีติวเตอร์พิเศษส่วนตัวคอยช่วยติวให้ก่อนสอบ  เด็กสาวสดชื่น  มีชีวิตชีวาเหมือนช่วงก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะเสีย  ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงไม่ทำให้เตหนักใจมากเท่าที่ควร

          ตรงกันข้ามกับความสัมพันธ์ของเขากับพี่ดิม  ที่ดูจะเหินห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆตามระยะทางที่ห่างไกลกัน  หลายครั้งที่เขาแอบน้อยใจอยู่เงียบๆ เมื่อเห็นรูปที่พี่ดิมกับเพื่อนๆไปเที่ยวกัน  โดยที่ไม่บอกให้เขารู้เลย  แม้จะเข้าใจว่าอีกฝ่ายเรียนหนัก  เวลาพักก็ควรจะได้พักผ่อน เที่ยวเล่นบ้างก็ตาม

เราสองคนไม่ได้โทรคุยกันทุกวันเหมือนช่วงแรกๆที่พี่ดิมไปต่างจังหวัดแล้ว  เว้นห่างขึ้นเป็นวันเว้นวัน  ต่อมาก็สามวันครั้ง  นานๆเข้าก็กลายเป็นอาทิตย์ละครั้ง  จนในที่สุดก็เหลือแค่นานๆครั้ง 

เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรกันแน่   เขาก็ยังคงคิดถึงพี่ดิมทุกวันเหมือนเคย   เพียงแต่คร้านที่จะโทรไปเพื่อจะได้ยินคำว่า ‘กรุณาฝากข้อความ’  หรือไม่ก็เป็นการสนทนาสองสามคำแล้ววางสายไปเพราะฝ่ายนั้นติดธุระอันแสนมากมายมหาศาล

ในตอนแรกก็ทรมานใจเพราะคิดถึง  อยากรู้ว่าเค้าทำอะไรอยู่  กินข้าวหรือยัง  เมื่อคืนได้นอนบ้างมั้ย  งานหนักหรือเปล่า   แต่พอไม่ได้คำตอบ   ไม่มีการโทรกลับมานานๆเข้า  มันก็กลายเป็นความเฉยชาและเคยชินในที่สุด

ไม่ใช่ว่าพี่ดดิมจะเรียนหนักอยู่ฝ่ายเดียวนี่นะ   เขาเองก็เป็นนักศึกษาปีสุดท้ายแล้ว   งานหนักกว่าเดิมหลายเท่า ไหนจะต้องคอยดูแลน้องสาวอีก  บางทีก็อาจะเป็นความโชคดีของเขาที่มีก้องมาช่วยแบ่งเบาภาระนี้ไป

เขารู้ว่าตัวเองคิดผิดก็ตอนที่น้องสาวซบหน้าลงกับตักของเขาแล้วร้องไห้จนตัวโยนนั่นแหละ...

 สองอาทิตย์ก่อนหน้านั้น  ข้าวตังกับก้องเริ่มมีท่าทีแปลกไป ไม่ทำตัวติดกันเหมือนอย่างเคย  หลายครั้งที่เขาเห็นน้องสาวนั่งเหม่อลอย  ถอนหายใจยาวเหยียดราวกับมีอะไรกังวลอยู่ในใจ   พอถามก็บ่ายเบี่ยง  ยอมบอกแค่ทะเลาะกับพี่ชายรูปหล่อคนนั้นเท่านั้น

          เตต้องแอบไปสืบเอง  จากเจ้กิ่งเจ้าแม่ผู้รู้ทุกเรื่อง  เธอเฉลยให้เขาฟังว่าแฟนเก่าของก้องคิดจะรีเทิร์นกลับมาขอคืนดีด้วย  ตามไปง้องอนถึงคณะฯ  ทำเอาเจ้าตัวเครียดเพราะลึกๆแล้ว เจ้กิ่งมั่นใจว่าเค้าก็ยังตัดใจจากแฟนเก่าไม่ได้  สุดท้ายที่เจ้กิ่งทายเอาไว้ก็เป็นจริง เพราะก้องกลับไปคบกับแฟนเก่าของเค้าอีกครั้ง ทิ้งให้น้องสาวของเขาต้องอกหักดังเป๊าะกับรักครั้งแรก

          พี่ชายพอรู้เรื่องเข้าก็พลอยเป็นเดือดเป็นร้อนไปด้วย  ต้องตามหานายก้องเพื่อเคลียร์กันให้รู้เรื่องไป  เพราะน้องสาวของเขาเอาแต่ร้องไห้  ไม่ยอมพูดท่าเดียว ตามไปเจอตัวที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใกล้ๆมหาวิทยาลัย  เห็นภาพร่างสูงโปร่งเดินเคียงคู่กับหญิงสาวขาวหมวยแฟนเก่าที่คบกันมาหลายปี  ท่าทางของของทั้งคู่ทำให้ตั้งเตต้องถอยกลับไปปลอบใจน้องสาวเงียบๆ

          ไม่มีทางที่น้องสาวของเขาจะสู้ผู้หญิงคนนั้นได้เลย 

          และตอนนั้นเอง ที่ตัวละครลับตัวสุดท้ายโผล่ขึ้นมามีบทบาท  อาจะเป็นเพราะว่ามันใกล้จะถึงจุดจบของเรื่องนี้แล้ว


             *******************


มาต่อจบตอนค่ะ 
อาจจะดูย้อนอดีตกันเยอะนิดนึงนะคะ  เพราะอดีตกำหนดปัจจุบันและส่งผลถึงอนาคต
ความดรามา่ยังไม่จบ บางทีมันอาจจะเพิ่งเริ่มต้นขึ้น555
ขอบคุณมากๆที่่ติดตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ :katai2-1:
เจอกันตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
อ้าว ทำไมหล่ะ นี่เรานึกว่ากำลังจะจบดราม่า เตจะได้มีความสุขเสียที ที่ไหนได้ ดราม่ากำลังจะเริ่ม นี่เราสงสารเตจนไม่รู้จะสงสารยังงัยแล้ว แต่เตก็ดีแต่เก็บเงียบ ถ้าพูด ถ้าเล่าไปก่อนหน้านี้ ก็น่าจะเข้าใจกันนานแล้ว

แต่ได้อ่านตอนนี้มุมเต เลยได้รับรู้ว่าก่อนเลิกกัน ดิมเองก็สนใจเตน้อยลง แม้จะยังรักเตมากๆ อยู่ แต่ความสนใจที่มีให้ก็ลดน้อยลง นอกจากหมดไปกับเรื่องเรียนก็หมดไปกับเพื่อน

ขอให้รันได้รับผลกรรมหนัก ๆ นะ เพราะเดาว่าตัวละครตัวสุดท้าย น่าจะรันนี่แหละ

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
  อ่านตอนนี้แล้วสะใจมากๆ สงสารเตก็สงสารนะ แต่เตมัวไปกับแฟนเก่าจนลืมน้องสาวที่ป่วยกับลูกชาย อ่านแล้วแบบมึงห่วงน้องสาว ห่วงหลานมั้ย 555
  รออ่านตอนต่อไปคับ มีกันอยู่แค่3คน แทนที่จะห่วงกันยังจะเริงเมืองกับแฟนเก่าเนาะ เอาดราม่าให้เตเลย ฮ่าๆ
 

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
 :katai1: :katai1: ตัวละครลับ??

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
ดราม่าาาาาาา สงสารเเต

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เล่นกับไฟ ใจลวกร้อน ตอนแผดเผา
เล่นกับเงา มัวเมาจับ ภาพสั่นไหว
เล่นกับคน ที่ยังรัก เล่นปักใจ
คนเล่นไฟ เล่นความรัก มักเจ็บเอง

พี่ดิมเล่นแบบนี้
แล้วจะรู้สึก..สำนึกว่า(กรู)เจ็บ
หุหุ
 o18

+1 ฮับ

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
สะใจใครก็ไม่รู้55555


ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ polkadot

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
ก็อย่างที่หลายๆเม้นข้างบนว่าไว้ สะใจดี  :laugh:

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk

เพราะหัวใจบอกว่า...แล้ว

 

 

 

              “เซอร์ไพรซ์    คิดถึงดิมจัง  ดิมล่ะคิดถึงรันบ้างหรือเปล่า?” 

            นายแพทย์หนุ่มเจ้าของคอนโดก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อร่างโปร่งบางของคนรักโถมเข้ามาในอ้อมกอด ขณะที่เขาเดินมาเปิดประตูตามเสียงกริ่งในยามเช้าตรู่

            ทั้งตกใจและแปลกใจที่อีกฝ่ายกลับมาถึงกรุงเทพฯก่อนกำหนดเกือบสี่วัน

            “คิดถึงสิ  ทำไมกลับมาก่อนไม่บอกล่ะ  จะได้ไปรับที่สนามบิน  แล้วตามกำหนดมันต้องวันศุกร์ไม่ใช่เหรอ  เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ทำไมกลับมาเร็ว”  ดิมถามมึนๆงงๆ   เขาไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้ว   เรียกว่านอนไม่หลับจะถูกต้องกว่า

            ตามันค้าง  เบิกโพลง  พอฝืนปิดเปลือกตาทีไรก็จะเห็นภาพใบหน้าเรียวหวานหลับตาพริ้ม  ผิวขาวผ่องนวลเนียน หอมกรุ่นใต้ริมฝีปากและฝ่ามือของเขาที่ลูบไล้สัมผัสตามหลอกหลอนอยู่ไม่วาย  ราวกับถูกคุณไสยเข้า

            วิรัลกวาดตามองอีกฝ่ายแล้วเม้มปาก

            “ทำไมล่ะ  ไม่ดีใจหรือไงที่รันกลับมาเร็ว”  คนฟังจับอารมณ์หงุดหงิดปนระแวงในน้ำเสียงนั้นได้ทันที  ฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ

            “ไม่ใช่หรอก  ดีใจอยู่แล้ว  แค่แปลกใจเฉยๆ ตอนแรกผมว่าจะบินไปเยี่ยมด้วยซ้ำ  แต่รันกลับมาก่อน”

          “บินไปเยี่ยม?  ดิมพูดจริงหรอ”  รันเบิกตากว้าง

            “พูดจริงๆ  ผมจัดของเตรียมเอาไว้แล้วด้วยซ้ำ  อยากไปหาคุณ  ผมคิดถึงคุณมากนะรัน คุณกลับมาได้แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน  ผมจะได้หมดกังวล  เลิกคิดมากเสียที”  ประโยคสุดท้ายเบาลงคล้ายพูดกับตัวเอง  คนฟังขมวดคิ้ว  ได้ยินไม่ถนัด

            “คิดมากเรื่องอะไรเหรอ  หรือว่าเรื่องแขนหัก  อย่าบอกรันนะว่าแขนดิมจะไม่กลับใช้งานได้เหมือนเดิมน่ะ”   ชายหนุ่มก้มลงมองเผือกอ่อนที่คล้องแขนอีกฝ่ายอยู่อย่างตกใจ   ดิมหัวเราะ ขยับมือให้ดู

            “หายแล้ว  ดูสิ  ผมกายภาพเองทุกวัน  อาทิตย์ หน้าก็จะกลับไปทำงานเหมือนเดิมแล้วล่ะ”  วิรัลทำท่าถอนหายใจอย่างโล่งอก  ถามเรื่องการรักษาอีกสองสามคำก็เปลี่ยนเรื่อง

            รดิศพยักหน้ายิ้มรับคำพูดของอีกฝ่ายที่เล่าจ๋อยๆถึงการไปเยี่ยมชมงานที่ต่างประเทศครั้งนี้   ฉับพลันใบหน้าหวาน ตากลมโตของอีกฝ่ายก็ค่อยๆพร่าเลือนกลายเป็นใบหน้าเรียวได้รูป  ดวงตารียาวดำขลับที่มีแววซื่อของใครอีกคนแทน

            ริมฝีปากอิ่มเต็มแดงเรื่อๆเพราะถูกสัมผัสซ้ำๆจนนับไม่ถ้วนเผยอขึ้นน้อยๆเห็นไรฟันขาวสะอาดเรียงเรียบเป็นระเบียบ   แผงขนตายาวตรงทาบอยู่บนพวงแก้ม  ทำให้ใบหน้านั้นดูอ่อนเยาว์เหมือนย้อนวัยกลับไปเมื่อสมัยที่ยังเป็นเฟรชชี่

            เด็กหนุ่มคนที่ส่งเขาตกลงไปกองที่ก้นถังในฐานหนุ่มน้อยตกน้ำคนนั้น   คนเดียวกับที่ทำให้เขาตกหลุมรักทันทีตั้งแต่แรกเห็น   คนเดียวกับคนที่ทิ้งเขาไปอย่างโหดร้าย  คนเดียวกับคนที่เขาตั้งใจจะฝากรอยเอาไว้แล้วตีจาก   ทว่าในตอนนี้กลับกลายเป็นเขาเองที่ยัง ‘จาก’ ไปไหนไม่ได้ วนเวียนคิดถึงแต่คนๆนั้น  ทั้งที่เค้าไปกับใครอีกคน หรือหลายต่อหลายคนแล้ว

            ภาพชายหนุ่มหน้าตี๋ร่างสูงโปร่งที่มารอรับนักเขียนหนุ่มที่หน้าบ้านแวบกลับเข้ามา   เค้าคนนั้นคงทำให้อีกฝ่ายลืมเขาไปแล้ว    ผ่านมาหลายวันไม่มีทีท่าว่าอีกคนจะติดต่อกลับมาอย่างที่เขาหวังเอาไว้

            ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร  ใจของเขากลับยิ่งทุรนทุรายเหมือนอยู่ในกองเพลิง

            “....ดิม?  คิดอะไรอยู่  เรียกตั้งหลายที ไม่ได้ยิน”  เจ้าของห้องสะดุ้ง  หันกลับไปมองคนนั่งข้างๆ  เห็นสายตาของอีกฝ่ายมองมาอย่างสงสัย   ขยับตัวนิดหนึ่งแล้วก็เสลุกขึ้นยืน  พูดแกมหัวเราะ

            “คิดเรื่องงานน่ะ  ไม่ได้ผ่าเสียนาน กลับไปจะมือตกไหมเนี่ย  หึๆ   เที่ยงแล้ว  เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า  เดี๋ยวผมขอไปแต่งตัวใหม่ก่อนแปบนึงนะ”   ศัลยแพทย์หนุ่มพูด  ลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในห้องนอน

            แขกมองตามหลังครุ่นคิดอยู่ในใจ   คำพูดของรุ่นพี่ที่โทรทางไกลไปหายังก้องอยู่ในหู

            ‘เรานี่ก็ใจกว้างดีนะ  ยอมให้แฟนไปเจอแฟนเก่าได้ด้วย  พี่ล่ะนับถือจริงๆ  ของพี่นะถ้ายัยเกรซกลับไปหาแฟนเก่าที่บ้านล่ะก็  พี่คงทนไม่ไหวแหงๆ’

          ‘อะไรน่ะพี่  แฟนเก่าที่ไหน  พี่ดิมน่ะเหรอ  ไปหาแฟนเก่า?’  จำได้ว่าตัวเองทวนประโยค แล้วก็เข้าใจทันทีเพราะความที่ระแวงอยู่แล้วเป็นทุนเดิม

            ‘อ้าว  อย่าบอกนะว่าเราไม่รู้เรื่องด้วยน่ะ  ตายละ  นี่พี่เอาความลับมันมาเปิดเผยหรือเปล่าเนี่ย   จะโดนไอ้ดิมปาดคอเอามั้ย’

‘เล่ามาเลยนะพี่  ผมเป็นน้องรหัสสายพี่นะ  พี่ต้องเห็นใจผมสิ’

‘ก็ได้  แต่แกอย่าไปเผลอบอกว่ารู้มาจากฉันล่ะ’ 

แล้วรุ่นพี่คนนั้นก็เล่าให้ฟังจนหมดเปลือก   ทำเอากุมารแพทย์หนุ่มเครียดจนทนอยู่ต่อที่โน่นไม่ไหว รีบติดต่อขอกลับประเทศไทยก่อน  เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ทันที  ยิ่งกลับมาเจอสภาพของแฟนหนุ่มหน้าดำคล้ำหมอง  ใต้ตาดำเหมือนไม่ได้นอน   หนวดเครารกเรื้อแบบคนไม่ดูแลตัวเอง  บวกกับท่าทีเหม่อลอยของเค้าก็ยิ่งใจเสีย

เกิดอะไรขึ้นกันแน่  ระหว่างที่เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ 

เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างพี่ดิมกับผู้ชายคนนั้น



                          *************************



เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้นอีกครั้ง   รันชะโงกเข้าดูเห็นชื่อของเด็กหนุ่ม แฟนของเพื่อนสนิทโชว์หราอยู่ ก็เหลือบมองไปทางห้องน้ำที่ดิมเดินหายเข้าไปพักใหญ่แล้วแวบหนึ่ง  ได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวกระทบพื้นบอกว่าเจ้าตัวคงจะยังอาบน้ำไม่เสร็จ

เร็วเท่าความคิด  มือของเขาเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้นมาถือเอาไว้   เสียงเรียกเข้ายังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง  อีกฝ่ายคงจะถือสายรออยู่สินะ

รันกดตัดสายทิ้ง   จากนั้นก็เปิดดู missed call ที่บันทึกอยู่ในเครื่อง   กดไล่ดูเห็นมีชื่อของเตอยู่ห้าครั้ง  เขาไม่ลังเลเลยที่จะกดลบบันทึก missed call นั้นทิ้ง  แค่นี้ดิมก็จะไม่รู้แล้วว่ามีใครโทรมา ‘รบกวน’ บ้าง

“ใครโทรมาน่ะรัน”  เขาสะดุ้ง  หันขวับกลับไปเห็นเพื่อนสนิทในชุดเครื่องแบบเรียบร้อย ก้าวออกมาจากห้องน้ำ  นัยน์ตาคมมองมาที่โทรศัพท์มือถือในมือของเขาอย่างสงสัย

“เอ้อ  คงจะเป็นพี่เด้นท์  พอดีกดรับไม่ทันน่ะ  วางสายไปเสียก่อน   ดิมรีบไปเถอะ  จะได้เวลาขึ้นเวรแล้ว”   ดิมพยักหน้ารับ  ท่าทางไม่ติดใจอะไร  คว้ากระเป๋าได้ก็เผ่นขึ้นไปบนวอร์ด

รันหันไปมองกรอบรูปที่วางอยู่บนหัวเตียงนอนของเพื่อนสนิทอีกครั้ง  หยิบขึ้นมาเพ่งพินิจดูคนในรูปทั้งคู่ที่นั่งเคียงข้างอยู่ริมทะเล  พี่ดิมยิ้มกว้างขณะที่คนข้างๆทำหน้าหงิกชอบกล   น่าเกลียดที่สุดในสายตาเขา  ไม่เข้าใจเลยว่าดิมเห็นดีเห็นงามอะไรกับเด็กหนุ่มคนนั้น

          หึ   ช่างเถอะ   เขาวางกรอบรูปเอาไว้ที่เดิม    ทอดสายตามองไปที่ใบหน้าเรียวหวานในภาพนั้น  แล้วกระตุกยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง

          นายกำลังจะกลายเป็นอดีตที่ถูกลืม   เสียใจด้วยนะเต...

          ดิมบ่นกับเขาหลายครั้งเรื่องที่เตไม่ยอมโทรมาหาบ้างเลยในระยะหลังๆ  พอโทรกลับไปก็บอกไม่ว่างคุย   ไม่รับสาย  เขารู้ดีว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่กำลังสั่นคลอนอย่างรุนแรงเพราะอุปสรรคที่มีชื่อว่า ความห่างไกล   ซึ่งทำให้หลายคู่ต้องเลิกรากันมานักต่อนัก

          คู่ของดิมและเตก็คงไม่ต่างหรอก   เขาก็มีหน้าที่แค่ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดี เพื่อรอเวลาเท่านั้นแหละ  บางทีเขาอาจจะเป็นคนกระตุกปมเชือกที่ผูกรัดคนทั้งคู่อยู่เองก็ได้  ถ้ามีโอกาสที่เหมาะ

          โอกาสมาถึงในรูปของผู้หญิงวัยกลางคน  ท่าทางใจดีในเช้าวันหนึ่ง...แม่ของพี่ดิม

          “ดิมพักนี้เขาเป็นอะไรน่ะรัน ทำไมแม่สังเกตดูเค้าหงุดหงิดแปลกๆ  ตั้งแต่แม่มาเยี่ยมนี่ยังไม่คุยกับแม่สักคำเลย”  มารดาของดิมเอ่ยทัก  เมื่อลูกชายขอตัวลุกออกไปโทรศัพท์ข้างนอกด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

          “อยู่เวรหนักน่ะครับ  ไม่ค่อยได้นอนก็เลยหงุดหงิด”

          “ฮื้อ  แม่ไม่เชื่อหรอกว่าแค่นั้น  ดูรันสิ  รันก็เรียนหนัก  ยังหน้าตาแจ่มใสอยู่เลย  แม่ว่าดิมต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ  นั่นเค้าโทรคุยกับใครอยู่เหรอลูก”

          วิรัลมองตาม  แล้วตอบยิ้มๆ

          “คุยกับน้องเตครับ   คงจะทะเลาะอะไรกันสักอย่าง”  เขาพูดแค่นั้นก็หยุด   คนฟังเบิกตากว้าง

          “เต?  เด็กหัวหยิกหน้าจืดๆคนนั้นน่ะเหรอ  นึกว่าเลิกกันไปแล้วเสียอีก  เอ๊  ทำไมดิมพูดไม่รู้เรื่องนะ   แม่บอกให้เลิกตั้งนานแล้ว”  เธอบ่นพึมพำ   อีกฝ่ายหูผึ่ง

          “อ้าว ทำไมล่ะครับ  น้องเตน่ารักดีนะครับ”  เขาพูดอย่างแนบเนียน

          “แม่ไม่ชอบเด็กคนนี้   ไม่ถูกชะตา   ดิมยังมีอนาคตอีกไกล  แม่ไม่อยากให้มาหยุดที่เด็กคนนี้เสียก่อน”  ได้ยินมารดาของอีกฝ่ายพูดสั้นๆแค่นั้น ก็เข้าใจ  ชายหนุ่มสะกดกลั้นความลิงโลดเอาไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย แกมเห็นอกเห็นใจ    ปลอบใจหญิงสูงวัยไปตามเรื่องตามราว

          พักใหญ่ๆดิมก็กลับเข้ามาในห้อง  สีหน้าไม่สดชื่น และออกจะเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก  มารดาของเขาเรียกตัวเอาไว้ ขอคุยด้วย  เขาจึงปลีกตัวออกมาตามมารยาท  ให้แม่-ลูกเขาอยู่ด้วยกัน

          เขาไม่รู้ว่าวันนั้นแม่ของเขาพูดกับดิมว่าอะไร หลังจากนั้นแม่ก็กลับไปและมาเยี่ยมบ่อยขึ้นอีก  ทุกครั้งพี่ดิมก็จะพาไปเที่ยว โดยที่มีเขาและเพื่อนอีกสองสามคนติดไปด้วยเสมอ

          ที่แน่ๆที่เขารู้ก็คือ  ความสัมพันธ์ของดิมกับเตถูกเฉือนให้บางลงทุกขณะ



                   *********************




            เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นอีกครั้ง  ศัลยแพทย์หนุ่มที่เพิ่งกลับมาจากดินเนอร์กับคนรักถอนหายใจยาว   ถอดเสื้อแจ็กเก็ตตัวนอกออก  เดินไปที่ประตูอย่างเบื่อหน่าย 

            เขาอยากอยู่คนเดียวเต็มที   แต่ก็ไม่สำเร็จ  คนรักตามกลับมาค้างที่คอนโดจนได้    เพิ่งจะได้อยู่เงียบๆก็ตอนที่รันเดินเข้าห้องน้ำไปนี่แหละ   แล้วใครมาอีกล่ะ...ส่องดูที่ตาแมว  เห็นใครบางคนยืนสงบนิ่งอยู่หน้าห้องก็หัวใจกระตุกวาบ  เอื้อมมือไปจับลูกบิดจะเปิดประตูห้องทันที    แต่ก็นึกขึ้นได้  จึงแสร้งทอดเวลาอีกนิดแล้วค่อยๆเปิดประตูออก   มองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเรียบเฉย

            “พี่ดิม   ผม...” แขกผู้มาเยือนยามวิกาลพูดไม่ออก  เมื่อเห็นใบหน้าของเจ้าของห้อง ที่ดูเย็นชาผิดความคาดหมายเหลือเกิน

            “เต   มีอะไรหรือเปล่า”  คำถามที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมายิ่งทำให้เขาผงะ    ติณธรมองหน้าคนพูดอย่างงุนงงแกมผิดหวัง

            “ทำไมพี่ถึง...ขอเข้าไปคุยในห้องได้มั้ย”       เขาเปลี่ยนเรื่อง    อีกฝ่ายสั่นศีรษะ

            “ไม่ต้องหรอก  คุยกันตรงนี้ก็ได้   มีอะไรหรือ”

            ตั้งเตมองหน้าอย่างไม่อยากเชื่อหู  อีกฝ่ายถามเขาว่า  ‘มีอะไรหรือเปล่า’  แถมยังไม่ยอมให้เข้าไปในห้อง  ราวกับเป็นคนละคนกับพี่ดิมที่ริมทะเลนั่น

            “เอ้อ...คือว่า....ที่วันนั้นพี่ดิมกลับมาก่อน ง่า...เพราะว่า  เอ่อ..”นักเขียนหนุ่มกลายเป็นคนพูดตะกุกตะกักไป  เขาไม่นึกมาก่อนว่าจะต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้   ที่เขาอุตส่าห์รีบปลีกตัวมาหาพี่ดิมทันทีที่เรื่องของข้าวตังเรียบร้อย ก็เพราะอยากจะมาถามถึงเรื่องราวของเราที่ค้างคาอยู่   พี่ดิมไม่ได้ตั้งใจใช่มั้ย  เขาแค่ต้องการคำยืนยันให้แน่ใจ   แล้วจากนั้นเขาจะได้ปรึกษาพี่ดิมในฐานะศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึงโรคของข้าวตังเสียที

            คิ้วเข้มเลิกขึ้นน้อยๆ  นัยน์ตาคมกริบทอดมองเขานิ่งๆ  ไม่บ่งบอกอารมณ์

            “พี่ติดธุระน่ะ  ขอโทษด้วยที่ทิ้งนายเอาไว้อย่างนั้น   ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พี่ก็ขอตัวนะ”    ชายหนุ่มเจ้าของห้องทำท่าจะปิดประตู  แต่อีกฝ่ายเอื้อมมือไปรั้งเอาไว้   ดิมก้มลงมองมือเรียวที่ยึดอยู่ที่ท่อนแขนของเขาเอาไว้แล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือ  ส่งสายตาเป็นเชิงถาม

            เตเม้มปาก  อึกอักอยู่ครู่ก็โพล่งถามออกไปตรงๆ

            “แล้วเรื่องของเราล่ะ”  พูดออกไปแล้วใบหน้าก็กลับร้อนซู่   ไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มสมใจพาดผ่านดวงตาคมเข้มคู่นั้น   ดิมย้อนถามกลับ

            “เรื่องของเรา?  หมายถึงอะไรเหรอ”

            เตอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี  แต่ในเมื่อเขาพลาดที่บากหน้ามาถามอีกฝ่ายก่อนเอง  ก็ต้องลุยต่อไปให้สุด   อย่างน้อยก็จะได้ไม่ค้างคาใจ

            และจะได้มั่นใจว่าสังหรณ์ของเขาคงไม่ผิด

            “คืนนั้น...ที่บ้านพัก…”

            “อ๋อ   เรื่องคืนนั้น.... ก็ไม่มีอะไรนี่”  พี่ดิมเหยียดยิ้ม   เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองหน้าชา “...นายอยากได้คำขอโทษจากพี่เหรอ   งั้นพี่ก็ขอโทษด้วยนะ  พี่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ  คงเป็นเพราะเมาด้วยแหละ   นายเองก็เมาเหมือนกันนี่    คงต้องโทษตัวเองด้วยแล้วล่ะ  ถือซะว่าสนุกๆละกัน   ถ้าวันหลังนายอยากไปปิกนิคอีกก็ได้นะ ... โอ๊ะ!!”  ใบหน้าของคนพูดสะบัดไปตามแรงตวัดมือของคนฟัง   ดิมรู้สึกหน้าชาไปทั้งแถบ  หูลั่นกริ่งไปหมด   คนตรงหน้าหน้าแดงสลับซีด  หายใจถี่เร็ว

            สายตาคู่นั้นมองมาที่เขา ทั้งผิดหวังทั้งเสียใจจนเขาใจหาย   ทว่าแห้งผากไม่มีน้ำตาสักหยด

            “ทำไมล่ะ  นายต้องการอะไร  เรื่องของเรา? ...มันก็จบไปตั้งแต่เมื่อ 8 ปีก่อนแล้วไงเต   ที่เหลือมันก็แค่...”

          “ใครมาน่ะดิม ให้เข้ามาคุยในห้องก็ได้นะ  รันไม่ว่า”  เสียงพูดแกมหัวเราะดังขึ้นจากทางด้านหลัง   รดิศใจหายวาบ   เขาลืมรันไปเสียสนิท   จากหางตาเห็นอีกฝ่ายในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำค่อยๆเดินมาหยุดข้างๆเขา แล้วเบิกตากว้างทักเตอย่างแปลกใจ

            “อ้าว  คุณเต  นึกว่าใคร   เข้ามาคุยข้างในห้องก็ได้นะฮะ  ขอโทษด้วยที่ผมแต่งตัวไม่เรียบร้อย   ตามสบายนะครับ”  พูดแค่นั้น เจ้าตัวก็เดินหายเข้าไปในห้องนอน

            ตั้งเตมองลอดผ่านช่องว่างของประตูที่มีเจ้าของห้องยืนบังอยู่เข้าไปด้านใน   เห็นทุกสิ่งได้ถนัดชัดเจน เข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งแก่ใจดี   

            เขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้มของคนที่เป็นเจ้าของหัวใจของเขาตั้งแต่แวบแรกที่เห็นเมื่อ 8 ปีก่อนจนถึงบัดนี้   ราวกับจะจดจำเอาไว้เป็นครั้งสุดท้าย  เขาเม้มปากแน่น   กัดริมฝีปากด้านในเอาไว้อย่างแรงจนรู้สึกถึงรสเลือดอุ่น    กระบอกตาร้อนผ่าว   บังคับตัวเองสุดแรงเกิดให้หันหลังกลับและเดินออกจากมาช้าๆ 

            ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากคนที่ตัวสั่นเทิ้มนั้น  นัยน์ตาที่จ้องมาที่เขาเป็นครั้งสุดท้ายแห้งผากและแดงก่ำ   มือทั้งสองข้างกำแน่น   เตไม่พูดอะไรเลยอีกเลย  ตอนที่หันหลังเดิน เข้าลิฟต์ไป 

ทำไมเตถึงไม่ลงไปร้องไห้ตีอกชกตัว  ทำไมเค้าถึงไม่ถาม ไม่พยายามฉุดรั้งเขาเอาไว้เลยล่ะ  ทำไมเตทำเหมือนยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้โดยดุษณี    ประหนึ่งว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้วว่ามันจะเป็นอย่างนี้

แล้วทำไมตัวเขาเองกลับรู้สึกวูบโหวงแบบนี้ล่ะ    รดิศยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดู  ปลายนิ้วมือสั่นน้อยๆอย่างควบคุมไม่ได้   มือของใครคนหนึ่งแตะที่บ่าทำเอาสะดุ้งน้อยๆ  หันกลับไปเจอคนรักยืนมองอยู่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

“จบแล้วใช่ไหมดิม  รันยอมให้ดิมแค่นี้นะ”   กุมารแพทย์หนุ่มพูดแค่นั้น  ดิมไม่ตอบแต่คว้าเสื้อแจ็กเกตที่เพิ่งถอดขึ้นมาสวมใส่   เปิดประตูเดินออกมาจากห้องพักโดยไม่เหลียวมองหน้าคนรักที่ยืนนิ่งขึงอยู่ภายใน

เขาลงลิฟต์มาถึงชั้นล่าง  ทันเห็นร่างโปร่งบางเปิดประตูก้าวขึ้นไปนั่งบนรถแท็กซี่จากนั้นรถคันนั้นก็ขับออกไปในความมืดอย่างรวดเร็ว  เห็นแต่แสงไฟท้ายลางๆ

ดิมรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งจะทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตไปบางอย่าง  และไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร

คนในรถแท็กซี่คนนั้นยังคงตัวสั่นน้อยๆ สายตาของเขาพร่าเบลอไปหมดแล้วเพราะหยาดน้ำตาที่เริ่มคลอขึ้นมา  พยายามสะกดกลั้นเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมาจนสำเร็จ   ร้าวในอกเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นควักหัวใจออกมาฉีกแยกออกเป็นชิ้นๆ 

....ทำไมพี่ดิมทำแบบนี้กับเรา....

เพราะอะไร   หัวใจถึงได้เจ็บขนาดนี้   มันยิ่งกว่าตอนที่ต้องเป็นฝ่ายบอกเลิกพี่ดิมเสียอีก   หรือนี่คือความรู้สึกตอนที่พี่ดิมถูกเราบอกเลิกตอนนั้น  มันเจ็บถึงเพียงนี้เชียวหรือ   นี่คือเหตุผลที่พี่ดิม ‘เอาคืน’ ใช่ไหม

ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่วนกลับเข้ามาอีกครั้ง   สีหน้าเย็นชาและเหยียดหยันของพี่ดิมทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกกระชากร่างลงไปเฆี่ยนกลางลานประหาร  ก่อนที่จะถูกจบชีวิตด้วยถ้อยคำแกมหัวเราะที่บาดลึกถึงจิตใจ

‘เรื่องของเรา? ...มันก็จบไปตั้งแต่เมื่อ 8 ปีก่อนแล้วไงเต   คงต้องโทษตัวเองด้วยแล้วล่ะ  ถือซะว่าสนุกๆละกัน..’

ใช่แล้ว  โทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง  เพราะหัวใจของตัวเองที่หลงระเริง เพริดไปด้วยคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายยังมีใจให้  เป็นความคิดแบบเด็กๆที่ยังหลอกตัวเองให้ติดอยู่กับความหวานของลูกกวาดจอมปลอม   แล้วสุดท้ายก็จบลงด้วยฟันผุหมดปาก

หมอรันก็คือคนที่สุดท้ายที่พี่ดิมเลือกสินะ  เค้าก็เหมาะสมกันดีทุกอย่าง  เราไม่มีสิทธิจะไปแข่งอะไรกับเค้าตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ เพราะเราก็เหมือนนักกีฬาที่สละสิทธิ์ก่อนลงสนามไปแล้ว  แม้ว่าจะไปถึงสนามก่อนก็ตาม

เพราะความหลงวูบเดียวเท่านั้น   ทำลายทุกอย่างให้พังราบไปในพริบตา  ความรู้สึก  ความทรงจำดีๆแต่หนหลังที่เขาเฝ้าเก็บทะนุถนอมเอาไว้อย่างดี ถูกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กลายเป็นเศษขยะไร้ค่า  ไร้ความหมาย   ก็แค่ของเล่นสนุกๆฆ่าเวลาระหว่างรอ ‘ตัวจริง’  เขากลับมา ก็เท่านั้นเอง

มือสะดุดเข้ากับนาฬิกาสายหนังหน้าปัดแตกร้าวเรือนนั้นที่เขายังสวมติดข้อมือเอาไว้  แม้ว่ามันจะหยุดเดินเพราะน้ำทะเลเข้าไปแล้วก็ตาม   เตถอดมันออกมา  เพ่งมองเข็มนาฬิกาที่นิ่งสนิทหยุดอยู่ที่เวลาบ่ายสอง 

            ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงดี  เขาจะขอย้อนกลับไปในช่วงที่เราสองคนเพิ่งพบกันอีกครั้ง  เขาจะได้ปฏิเสธพี่โดมไปว่าเขาจะไม่เขียนคอลัมต์นี้แน่นอน   เขาจะได้ไม่ต้องพบหน้าคนๆนั้นอีก 

            แม้ว่าจะคิดถึงใจแทบขาดก็ตาม

            อย่างน้อยเขาก็จะได้หลงเหลือความทรงจำดีๆเมื่อ 8 ปีก่อนเก็บเอาไว้ให้นึกถึง  ไม่ใช่ถูกทำลายป่นปี้ไปหมดเหมือนตอนนี้   

            พี่ดิมที่แสนดีคนนั้น  เค้าตายไปแล้ว  เหมือนนาฬิกาเรือนนี้นั่นแหละ....

            คุณหมอหนุ่มจ้องมองเงาของคนที่นั่งอยู่ในรถแท็กซี่คันหน้าเขม็ง  เห็นฝ่ายนั้นเปิดหน้าต่างออกมา แล้วขว้างของบางสิ่งออกไปนอกรถ  ลอยลงไปในถังขยะสีเขียวริมถนนอย่างแม่นยำ   ก่อนที่ไฟแดงจะเปลี่ยนเป็นไฟเขียว

            เขารีบบอกคนขับให้จอดรถแอบข้างทาง  โชคดีที่เวลาตีสามเป็นช่วงที่ถนนโล่ง  ดิมรีบเปิดประตูลงไปดูถังขยะใบนั้น  ล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดไฟฉายส่องดู  แสงไฟสะท้อนเข้ากับหน้าปัดนาฬิกาสว่างวาบเข้าตา   เขามองนาฬิกาเรือนนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา

            มันจบแล้วจริงๆ

            .................................................................................


ต่อด้านล่างนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด