ต่อนะคะ
********************
“อยากบอกว่ารัก รักเธอเหลือเกิน
แม้วันคืนล่วงเลยพ้นเป็นปี
แต่คืนนี้จะบอกเธอนะคนดี
อยากให้เธอเชื่อฉันคนนี้ ฉันรักเธอ”
เสียงกีต้าร์พลิ้วแทรกอยู่ในบรรยากาศ เคล้าไปกับเสียงนุ่มๆของนักศึกษาแพทย์หนุ่มที่มองมาที่คนรักที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างมีความหมาย เสียงโห่แซวดังขึ้นขัดจังหวะจนเขาหงุดหงิด
“อิจฉาคนมีความรักจังวุ้ย ไปดีกว่าพวก แถวนี้หนาวฉิบ อย่างว่า คนไร้คู่อย่างพวกเรา อยู่ไปก็เปลี่ยวเอกา กูไปก่อนนะกัน น้องเตระวังไอ้ดิมให้ดีๆนะ ฮ่าๆ หนาวเนื้อเขาให้ห่มเนื้อ....” เพื่อนร่วมค่ายหลายคนหัวเราะ ร้องเพลงล้อแล้วต่างลุกขึ้นจากวงล้อมรอบกองไฟที่ใกล้มอดดับ
รดิศจุ๊ปาก โมโหไอ้เพื่อนตัวดี ที่บังอาจมาแซว เดี๋ยวเตกลัว หนีเขากลับไปนอนขึ้นมาทำไงเล่า ปั้ดธ่อ นานๆจะได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้
คนข้างกายเขายกมือขึ้นมาถูกันแรงๆ ลมหนาวพัดมาวูบ
“หนาวเหรอเต” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ เขาได้ที เขยิบเข้าไปนั่งจนชิด เอื้อมมือไปโอบหลังของอีกฝ่ายเข้าหาตัวเอง
“กอดพี่แน่นๆ จะได้หายหนาว” กระซิบที่ริมหูของฝ่ายนั้น เตขืนตัวเอาไว้เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมแต่โดยดี เค้าซุกหน้าลงกับอกของเขา เหมือนลูกแมวที่หาไออุ่นจากเนื้อตัวของแม่ ตัวสั่นน้อยๆ
“กลับเข้าไปในห้องไหมล่ะ” เขาเสนอ ถึงจะอยากนั่งอยู่แบบนี้ต่อแค่ไหน แต่ถ้าน้องหนาวมาก เกิดป่วยขึ้นมามันก็ไม่คุ้มเหมือนกัน ทว่าคนในอ้อมกอดของเขาส่ายหน้าแรงๆ
“ถ้าอย่างนั้น นั่งอยู่แบบนี้สักพักได้มั้ย แล้วค่อยเข้านอน” เขากระซิบ อีกคนพยักหน้ารับ สวมกอดอีกฝ่ายแน่นกระชับมากขึ้น
ลมหนาวพัดมาอีกวูบ หอบเอากลิ่นหอมของดอกไม้ป่ามาด้วย หอมตลบไปทั่วบริเวณ แต่ก็ยังหอมสู้กลิ่นอ่อนๆเฉพาะตัวของคนในวงแขนของเขาไม่ได้ กลิ่นที่ชวนหลงใหล ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม ล่องลอย...เขาไม่อยากให้เวลานี้ผ่านไปเลยจริงๆ ให้ตายสิ ดิมคิด
“ดาวสวยจังนะ พี่ดิม” เตพูด เขาเลยเงยหน้าขึ้นมองตามสายตาของอีกฝ่าย เห็นทางช้างเผือกทอดผ่านม่านราตรีที่ดำสนิทเบื้องบน สวยงามที่สุด จริงอย่างที่น้องบอก สวยอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตอนที่อยู่ในเมืองกรุง
เปลี่ยนสายตาลงมาสบดวงตาดำสนิท แวววาวสะท้อนแสงดาวบนท้องฟ้าเป็นประกายระยับคู่นั้น เขาบอกตัวเองว่าเขาเจอสิ่งที่สวยยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า
“สวยมาก สวยจริงๆ” พึมพำเหมือนละเมอ ดวงตาคู่นั้นละจากดวงดาวเบื้องบน ลงมาสบตาเขาแทน แววฉงนในตอนแรกเปลี่ยนเป็นไหวระริกเมื่อเจ้าตัวคงดูออก ถึงความหมายในสายตาของเขา
ตาสบตาอีกครั้ง ตั้งเตเบือนหลบแล้วส่งยิ้มอายๆให้เขา ให้ตายเถอะ! เขาใจสั่น สั่นอย่างแรงชนิด 9.8 ริกเตอร์เลยล่ะ ตั้งแต่เรียนหมอมาหลายปี รู้กลไกของระบบในร่างกายดี เคยเรียนมาว่าอาการใจเต้นแรงเกิดจากการกระตุ้นระบบซิมพาเทติค เกิดขึ้นเวลาที่เราตกใจ กลัว ตื่นเต้น หรือว่ามีสิ่งเร้า ไม่นึกเลยว่า รอยยิ้มเคอะเขินของเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นหนึ่งในสิ่งเร้าด้วย
ใจสั่นแล้วเป็นอย่างไรต่อ ก็มือสั่นเหงื่อแตกสิแหม รู้สึกต้องใช้แรงใจแรงกายมากกว่าปกติหลายเท่า ไม่ให้รวบตัวคนตรงหน้าเข้ามา ‘ฟัด’ ให้หายหมั่นเขี้ยว แน่ะ ยังมีหน้ามายิ้มอยู่อีก
“อย่ายิ้มแบบนี้” กัดฟันพูดเสียงเข้ม ตั้งใจว่าถ้าไม่ฟังกันล่ะก็ เห็นทีจะต้อง...
“ยิ้มยังไงหรอ”
ตั้งเตเอียงคอ ถามกลับมาด้วยดวงตาใสแจ๋วปนกับแววฉงนเหมือนเด็กน้อย น่าเอ็นดูเป็นที่สุด ริมฝีปากอิ่มเต็มเผยอขึ้นน้อยๆ เป็นเชิงถาม
ไม่ไหวแล้วโว้ย...เขาตะโกนอยู่ในใจ คงไม่ต้องบอกว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเด็กหนุ่มคนนั้น เอาเป็นว่าวันถัดมา เขาต้องคอยใส่หน้ากากปิดปากเอาไว้ตลอด เพื่อจะได้ไม่ต้องตอบคำถามใครต่อใคร ว่าริมฝีปากไปโดนอะไรมา ทำไมถึงได้บวมช้ำอย่างนั้น..
********************“หน้าเตมีอะไรติดอยู่เหรอครับ พี่ดิม”
คุณหมอหนุ่มสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เพิ่งรู้สึกตัวว่าเผลอยืนจ้องหน้าอีกฝ่ายอยู่นาน เห็นเตชูถุงบรรจุมะม่วงหลายลูกให้ดู เขารับมาถือเอาไว้ พูดพึมพำไม่มองหน้าว่า
“พอแล้วล่ะ เตไปนั่งพักเถอะ เดี๋ยวที่เหลือพี่ซื้อต่อเอง” หัวใจยังเต้นผิดปกติอยู่ เพราะดันเผลอนึกถึงเรื่องราวในวันวานขึ้นมา โดยเฉพาะในคืนนั้น ยังจำรสจูบหวานละมุนในตอนนั้นได้อยู่เลย...บ้าจริง! ทำไมต้องดันมานึกอะไรตอนนี้นะ
"ไม่เป็นไร ให้เตช่วยเถอะ จริงๆคนที่ควรจะไปพักคือพี่ดิมตะหาก"
“ไม่ได้หรอก พี่จะปล่อยให้เตซื้อของเข้าบ้านคนเดียวได้ยังไงกันล่ะ” ประโยคนี้ทำให้ความคิดของคนฟังกระเจิดกระเจิงไปไกล แค่มาเดินซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตใกล้คอนโดด้วยกัน เตก็รู้สึกแปลกๆแล้ว มันเหมือนเป็นอะไรที่คู่รักเขาทำด้วยกันเลยไม่ใช่หรือไง ซื้อของเข้าบ้าน ดูพี่ดิมพูดเข้าสิ
“เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าแดงๆ ไม่สบายเหรอ หรือว่าไข้ขึ้น?” คุณหมอแกล้งถาม เห็นหน้าของอีกฝ่ายแดงก่ำใกล้เคียงมะเขือเทศสุกเข้าทุกทีก็ยิ่งได้ใจ ยกมือขึ้นทำทีจะแตะที่หน้าผากของฝ่ายนั้น แต่เตเบือนหลบ ใบหน้าซับสีเลือดมากกว่าเดิม
....ตั้งเตกำลังเขินเขาแน่ๆ หึ ก็ไม่แปลกหรอก เล่นพามาซื้อกับข้าวด้วยกันซะขนาดนี้ เดินคู่กันในซุปเปอร์ฯ ช่วยกันเลือกผักผลไม้ ไถ่ถามกันว่าเย็นนี้อยากกินอะไร เหมือนพ่อบ้านหรือคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่พากันมาซื้อของเข้าบ้านในช่วงสุดสัปดาห์ รอบด้านก็มีแต่พนักงานและแม่บ้านสาวๆที่ลอบมองมาที่พวกเขาสองคนยิ้มๆ ถ้าเตไม่เขินสิแปลก
ก็เขาตั้งใจนี่นะ..
“ไม่ได้เป็นอะไร พี่ดิมไปนั่งเถอะ จริงๆ”
กำลังจะหาโอกาสหยอดอีกซักนิดหน่อยให้ใจหวั่นไหว เสียงโทรศัพท์ก็ดันดังขึ้นเสียก่อน เขาหยิบขึ้นมาดู พอเห็นชื่อที่หน้าจอก็จำต้องขอตัวเดินแยกออกมาโดยดี ตั้งเตมองตามมา ท่าทางราวกับจะรู้ว่าใครที่โทรมา
“สวัสดีครับ คิดถึงคุณจัง” พูดออกไปอัตโนมัติ ปลายสายหัวเราะแผ่วเบา
“คิดถึงแต่ไม่เห็นโทรมาเลยนะ...ทำอะไรอยู่ หืม?” คนที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งถามกลับมา
“ไม่ได้ทำอะไรหรอก วันๆก็คอยรับโทรศัพท์ที่พวกรุ่นน้องโทรมาconsult นั่นแหละ แล้รันเป็นอย่างไรบ้าง เวลานี้คุณควรจะนอนแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่พักผ่อน” ถามเสียงเข้ม สายตาเหลือบมองคนในซุปเปอร์ที่กำลังเดินซื้อของอยู่อย่างเพลิดเพลินแวบหนึ่ง
“เพิ่งเสร็จจากเคสผ่าตัดของเด็ก ที่นี่เขาผ่าแบบส่องกล้องหมดแล้วนะ รันได้เข้าช่วยด้วยเลยเพิ่งเลิกน่ะ เพลียๆนิดหน่อยแต่คิดถึงดิมมากกว่า เลยแวบออกมาโทรหา แล้วดิมอยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง พี่พยาบาลดูแลดีไหม ขลุกขลักอะไรหรือเปล่า” รดิศได้ยินแบบนั้นก็เลิกคิ้ว ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
“โอเคอยู่ ...อืม คืออย่างนี้ พี่คนที่มาน่ะ ลูกสาวเขาไม่สบายก็เลยลาหยุดไป วันนี้เขาก็ขอลาอีก พี่ก็เลยคิดว่าจะเปลี่ยนคนดีกว่า จะได้ไม่ลำบากเค้าด้วย”
“อ้าวเหรอ แบบนี้พี่ก็อยู่คนเดียวน่ะเรอะ ตายแล้ว งั้นเดี๋ยวรันติดต่อพี่ส้มให้ช่วยหาพยาบาลคนใหม่มาแทนดีกว่า”
“ไม่ต้องๆ ไม่เป็นไร พี่อยู่ที่นี่เดี๋ยวพี่จัดการเองเรื่องพยาบาล นายไม่ต้องลำบากหรอก ว่าแต่ดูงานไปถึงไหนแล้ว โปรเฟสเซอร์ที่นั่นเจ๋งสมคำร่ำลือมั้ย....” เขารีบเปลี่ยนเรื่อง ชวนอีกฝ่ายคุยถึงการเรียน การใช้ชีวิตยังต่างแดนแทน ฟังคู่สนทนาเล่าจ๋อยๆ ถึงประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาอยู่พักใหญ่ วิรัลก็เป็นฝ่ายตัดบทไปเอง ไม่ลืมเตือนเขาเรื่องติดต่อเจ้ส้ม ก่อนจะวางสายไป
รดิศถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เดินตามหลังร่างโปร่งบางที่เห็นอยู่แวบๆไกลๆเมื่อครู่ หายเข้าไปแถวชั้นวางปลากระป๋อง กวาดสายตามองหาชายหนุ่มหัวหยิกหยอง ทว่ากลับไม่พบ
...หายไปไหนของเค้านะ เร็วจริง ก็ว่าจับตาดูอยู่ตลอดแล้วนะ... พึมพำกับตัวเองเบาๆ จ้ำเท้าเดินไปตามชั้นที่วางสินค้าโชว์เอาไว้ ไล่ตั้งแต่ชั้นแรกไปจนถึงชั้นสุดท้าย วนกลับมาที่โซนอาหารสดอีกครั้ง
“ไปไหนเนี่ย เผลอแวบเดียว” ดิมชักหงุดหงิด ล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาอีกฝ่าย ฟังเสียงรอสายไปครบสามรอบ ไม่รับสาย เขากดวาง ยิ่งหงุดหงิดมากกว่าเดิม
...มีโทรศัพท์เอาไว้ทำไม ไม่เคยรับ โดนตีหัวไปแล้วหรือไง ปั้ดโธ่ กดโทรไปอีกรอบ อดทนรอสายอีกครู่ใหญ๋ นั่นแหละ ปลายสายถึงได้กดรับ
“อยู่ไหนแล้ว โทรไปทำไมไม่รับ” กรอกเสียงลงไปทันที
“คิดตังค์อยู่ ออกมานั่งรอข้างนอกแล้ว” ฝ่ายนั้นตอบกลับมา เสียงห้วนพอกัน คนฟังเม้มปาก เดินวกกลับออกมายังด้านนอกของซุปเปอร์มาเก็ต เจอฝ่ายนั้นนั่งดูดน้ำปั่นอยู่ด้านหน้าร้านขายของ ข้างๆมีรถเข็นที่มีถุงพลาสติกใส่ของบรรจุอยู่เต็ม
“ออกมาก่อนทำไม ทำไมไม่รอผม” ศัลยแพทย์หนุ่มเดินตรงเข้ามาหา เปิดฉากถามทันที ฝ่ายนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นแก้วน้ำปั่นที่ตัวเองกำลังดูดอยู่มาตรงหน้าเขา ปลายหลอดยาวแทบทิ่มจมูก ดิมเบือนหลบ
“อะไร?”
“กินน้ำก่อนได้ใจเย็นๆ” เตพูด จับปลายหลอดมาจ่อที่ริมฝีปากของเขา แทบจะเรียกว่าป้อน ดิมใจกระตุกไปวูบ แต่ก็ยอมอ้าปากดูดน้ำปั่นหวานเย็นชื่นใจไปหลายอึก รู้สึกได้ว่าใจเย็นลงจริงตามที่อีกฝ่ายว่าเอาไว้
เตจับตามองยิ้มๆ หัวเราะออกมาเมื่อคุณหมอหนุ่มที่ดูดน้ำปั่นของเขาไปเกือบครึ่งแก้ว ยกมือขึ้นมาชี้หน้า
“มุขเดิมอีกแล้ว คราวหน้าไม่สำเร็จหรอกนะ”
...หึ เดี๋ยวก็รู้ว่าคราวหน้าจะสำเร็จไหม มุขนี้ใช้มาตั้งแต่ปี 1 ยันตอนนี้ ก็ยังได้ผลอยู่เลย คุณหมอหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง ..จริงสิ นี่เราเผลอนึกถึงเรื่องในอดีตอีกแล้วหรอ ...
“เป็นอะไร ทำไมเงียบไป พี่หายโกรธแล้วน่า” พี่ดิมมองหน้าเขา
“เปล่าหรอก ขอโทษนะที่ออกมาก่อน เห็นยังคุยไม่เสร็จเลยไม่อยากเร่ง” เขาตอบยิ้มๆ รู้อยู่แก่ใจดีว่าเค้าขอตัวไปคุยกับใคร
อดรู้สึกผิดในใจขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ ที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ เหมือนเขากำลังลักลอบฉกชิงเอาความสุขที่ควรจะเป็นของผู้ชายคนนั้นมาไว้เสียเองหรือเปล่า แล้วถ้า ‘ตัวจริง’ ของคนๆนั้นกลับมา เขาจะอยู่ในสภาพไหนกัน ถึงตอนนั้นจะทำใจ ‘ปล่อย’ ได้ไหม
ขนาดเห็นเขาโทรหากัน ยังอดสะเทือนใจไม่ได้...ความจริงที่ว่าเขาสละสิทธิไปตั้งแต่ 8 ปีที่แล้ว มันก็ยังเป็นความจริงอยู่วันยันค่ำ
“คิดมากอะไรอยู่...ไม่ต้องคิดเยอะหรอกน่า เดี๋ยวแก่เร็วไม่รู้ด้วยนะ” พี่ดิมพูด ยกปลายนิ้วขึ้นมาจิ้มที่หน้าผากของเขาแรงๆ “หน้าผากย่นหมดแล้ว รู้ตัวหรือเปล่า” เค้าใช้นิ้วโป้งเกลี่ยที่หน้าผากของเขาเบาๆ ราวกับต้องการจะลบร่องรอยที่ฝังลึกอยู่บนผิวของคนคิดมากให้
ตั้งเตหัวเราะ เบือนหน้าหลบ เห็นสายตาของเด็กสาวๆในร้านลอบมองมาแล้วก้มลงยิ้มกันเป็นแถว ก็ชักเขิน เสไปจับรถเข็นออกแรงเข็นนำออกมาจากซุปเปอร์มาเก็ตแทน
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวของสดเสียหมด” พูดงึมงำ แล้วจ้ำไปที่รถคันใหญ่ของคุณหมอหนุ่ม เก็บของใส่ท้ายรถอย่างว่องไวแล้วขึ้นไปประจำที่นั่งคนขับ
รอเจ้าของรถที่เดินทอดน่องมาช้าๆ เปิดประตูขึ้นมานั่งบนรถ
“วันนี้นายไม่มีธุระแล้วใช่ไหม อยู่กินข้าวเย็นกับพี่หน่อยสิ ซื้อของมาเยอะแยะแต่มีมือเดียว พี่จะทำกินเองได้ยังไง”
เตสตาร์ทรถ
“ผมซื้อข้าวเย็นสำเร็จรูปเอาไว้ให้พี่แล้ว กินแล้วทิ้งจานไปเลยไม่ต้องล้าง สะดวกดี” ดิมเม้มปาก
“อ้อ เหรอ แต่ยังไงพรุ่งนี้เช้าพี่ก็ต้องอยู่คนเดียวอยู่ดีนั่นแหละ”
“พรุ่งนี้คุณพยาบาลที่มาดูแลพี่เขาก็จะมาแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เขาไม่ทำแล้ว ลูกสาวเขาไม่สบายเลยต้องอยู่ดูแลยาวเลย นี่พี่กำลังรออยู่ พี่ส้มบอกจะติดต่อพยาบาลพิเศษให้ แต่ต้องรอหน่อยสัก..สองสามวัน” ดิมพูดช้าๆ จับตาดูท่าทีของคนฟังก็เห็นฝ่ายนั้นเพียงแต่เลิกคิ้ว
“หรอ แย่จังแฮะ” เสียงเตพึมพำ กลั้วหัวเราะน้อยๆในลำคอ เหลือบมองคนนั่งข้างๆแวบหนึ่งอย่างรู้ทัน เห็นฝ่ายนั้นทำหน้าจ๋อยเหมือนเด็กไม่ยอมโต
“ใช่สิ พี่มันโดนทิ้งตลอด.. ช่างเถอะ อยู่คนเดียวก็ได้ ไม่เห็นต้องง้อเลย มีมือเดียวก็ไม่ได้พิการซักหน่อยนี่ พี่ไม่รบกวนนายหรอก”
“ก็ดีแล้ว ฝึกเอาไว้ ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดหรอก ต้องฝึกอยู่คนเดียวให้ได้” เตพูด ประโยคหลังเสียงแหบลึกราวกับพูดกับตัวเอง
“แต่มันยังไม่ถึงเวลานั้นไม่ใช่เหรอ พี่ยังไม่อยากอยู่คนเดียวตอนนี้นี่ นะตั้งเตนะ อยู่กินข้าวเย็นกับพี่ก่อน แล้วค่อยกลับบ้าน”
ติณธรรู้ตัวตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งเริ่มคบกันใหม่ๆ ว่าเขาไม่เคยปฏิเสธพี่ดิมได้สำเร็จเลย แค่สบสายตาเว้าวอนคู่นั้น ไหนจะน้ำเสียงนุ่มๆอ้อนๆแบบนี้อีก ใจก็พลอยอ่อนเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลน จะว่าไป..มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เขาปฏิเสธพี่ดิมสำเร็จ....วันนั้นไงล่ะ แต่ก็ต้องตัดใจวิ่งแบบไม่เหลียวหลัง จนกระทั่งพี่ดิมต้องได้รับอุบัติเหตุ
ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ยอมข้องแวะกันอีก แล้วเป็นไงล่ะ สุดท้าย เขาก็มานั่งขับรถให้อีกฝ่ายอยู่นี่ไง
“ผมต้องไปรับลูกก่อน พี่รอผมก่อนได้ไหม แล้วผมจะกลับมาตอนเย็นๆ” นักเขียนหนุ่มพูดออกมาในที่สุด เขาช่วยพี่ดิมหิ้วของขึ้นไปเก็บบนห้องเรียบร้อย เจ้าของห้องส่งยิ้มให้เขา ท่าทางดีใจเหมือนเด็กๆ...เหมือนพี่ดิมคนเดิม
“ก็ได้ ว่าแต่นายจะไปรับลูกยังไง”
“แท็กซี่” ตอบสั้นๆ พลิกนาฬิกาข้อมือดูเวลาเร็วๆ เห็นใกล้ถึงเวลาที่โรงเรียนของเด็กชายเต้จะเลิกแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นเอารถพี่ไปดีกว่า แล้วเดี๋ยวพี่ขอไปด้วย”
“ไม่เป็นไร เกรงใจพี่ ผมต้องไปส่งลูกที่บ้านก่อน พี่พักผ่อนเถอะ” ถึงเขาจะพูดต้านทานมาอย่างไร พี่ดิมก็ไม่ฟัง เขาส่งกุญแจรถให้แล้วเดินคู่ออกมาจากคอนโด ยืนยันความตั้งใจว่าวันนี้เขาจะไปรับลูกชายของอีกฝ่ายที่โรงเรียนด้วย
“อย่าคิดมากน่า พี่ก็อยากเจอลูกชายของนายเหมือนกัน ชื่ออะไรนะ เต้ ใช่ไหม ชื่อจริงว่าอะไร” นายแพทย์หนุ่มชวนคุย ท่าทางเขาสบายๆ ไม่เคร่งเครียดอย่างที่เตนึกกลัวเอาไว้ล่วงหน้า
“ชื่อธีระ แปลว่านักปราชญ์”
“อายุกี่ขวบแล้วนะ”
“ปีนี้เต็ม 8 ขวบ”
...8 ขวบงั้นเหรอ งั้นก็เท่ากับเวลาที่เราเลิกกันเลยน่ะสิ... รดิศคำนวณเวลาอยู่อึดใจ หรือว่านี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายบอกเลิกเขาเมื่อตอนนั้น เพราะหญิงสาวคนนั้นท้องงั้นหรือ?
“ตอนนี้คงเรียนประถมแล้วสินะ....ตอนเจอนายอีกครั้งพี่ยังตกใจ ไม่นึกว่านายจะมีลูกโตจนวิ่งได้ขนาดนั้น ไม่รู้ว่านายแต่งงานไปตอนไหน ไม่เห็นได้ข่าวเลย” น้ำเสียงเรื่อยๆ ท่าทางเหมือนคุยกับเพื่อนเก่าที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ทำให้เตคลายใจ จนกล้าที่จะเล่าออกมาบ้าง
“ผมเรียนจบก็แต่งงานเลย ไม่มีใครรู้ข่าวหรอก เพราะผมไม่ได้บอกใคร แม้แต่เพื่อนฝูงก็ไม่ได้บอก มัน...ค่อนข้างกะทันหัน”
“แล้วนายไปเจอแฟนนายที่ไหน” ดิมหงุดหงิดกับคำว่า ‘แฟน’ ที่ต้องใช้เรียกแทนตัวของผู้หญิงคนนั้น แต่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเขาไม่มีคำอื่นที่เหมาะสมกว่านี้
“เรารู้จักกันตั้งแต่เด็กแล้ว ความจริงข้าวตังเป็นลูกสาวของคุณลุงคุณป้าที่เลี้ยงผมมาน่ะ ไม่รู้พี่ดิมจำได้ไหม สมัยก่อน มีอยู่ปีนึงที่ลุงกับป้าลงมาเยี่ยมผมที่กรุงเทพฯ แล้วผมต้องไปดูแล..พี่คงจำไม่ได้”
“จำได้สิ คนที่เลี้ยงนายมาใช่ไหม พี่จำได้ว่านายเคยเล่าให้ฟังว่าพอพ่อแม่ของนายประสบอุบัติเหตุ ป้านายก็รับนายไปเลี้ยงจนนายเอนท์ติดเลยมาอยู่หอในเมือง ใช่ไหม” คุณหมอหนุ่มทวนความจำอย่างแม่นยำ ตั้งเตไม่ค่อยเล่าถึงที่บ้านเท่าไหร่ เขารู้แค่อีกฝ่ายเป็นเด็กกำพร้า อาศัยอยู่กับญาติๆ เท่านั้นเอง
“ใช่”
“แล้วทำไมพี่ไม่เคยเจอแฟนนายเลยล่ะ”
“นานๆเขาจะมากรุงเทพฯสักที ก็เลยไม่ค่อยได้เจอกัน” คนฟังเงียบไปครู่ใหญ่ ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็เปลี่ยนใจ ไม่พูดอะไรออกมาอีก
ขับรถมาจอดที่หน้าโรงเรียนของลูกชายตรงกับเวลาที่โรงเรียนเลิกพอดี เด็กๆและผู้ปกครองเดินขวักไขว่เต็มลานหน้าโรงเรียนไปหมด เตเปิดประตูออกไปยืนรออยู่ครู่หนึ่ง เด็กชายเต้ก็สะพายกะเป๋าเดินตรงมาหา ทำความเคารพบิดาและคุณหมอหน้าเข้มที่นั่งอยู่ในรถด้วยอย่างเด็กที่ถูกฝึกมาอย่างดี
“สวัสดีครับ คุณพ่อ ..คุณอา”
“เรียกคุณลุงดีกว่าครับ ถึงหน้าลุงจะเด็กกว่าพ่อเราก็เถอะ หึๆ ยินดีที่ได้รู้จักครับ น้องเต้” ศัลยแพทย์หนุ่มทักทายเด็กน้อย ท่าทางเคยคุ้นกับการคุยเล่นกับเด็ก สมกับที่มีแฟนเป็นหมอเด็กจริงๆ
“โอ้โหว รถคันใหญ่จัง นี่รถของคุณลุงหรอครับ” เด็กชายมองรถเก๋งสีเงินคันใหญ่ด้วยดวงตาแวววาม เอื้อมมือไปลูบๆคลำๆ ท่าทางตื่นเต้นจนคนเป็นพ่อต้องออกปากดุ
“อย่าไปจับเล่นสิลูก ขึ้นรถได้แล้วครับ คุณแม่รออยู่ที่บ้านนะ”
คำว่า ‘คุณแม่’ ดูจะได้ผล เพราะเด็กชายก้าวขึ้นไปนั่งในรถแต่โดยดี เตขอนั่งข้างหน้าข้างๆบิดา ดิมเลยสละที่ให้เด็กชายนั่งด้านหน้าแทนตัวเอง ส่วนตัวเขาก้าวขึ้นไปนั่งด้านหลัง
เตเอื้อมมือไปคาดเข็มขัดนิรภัยให้ลูกชาย
“เมื่อกี้ทำไมไม่คาดให้ผมมั่ง” คนที่จับตามองอยู่ถามรวนๆ
“ก็คุณอายุแปดขวบหรือเปล่าล่ะ” อีกคนตอบกลับ หันไปสตาร์ทรถ
“ผมเหลือมือเดียวนี่ ไม่เหมือนก็คล้ายๆนั่นแหละ” คุณหมอหนุ่มพูด แกล้งเขยิบตัวมาด้านหน้า ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นวางพาดบนพนักที่นั่งของคนขับแล้วหันไปชวนเด็กชายคุย
“อยู่ชั้นอะไรแล้วครับ”
“ป.2/4 ครับ คุณลุงล่ะครับ”
“ลุงอยู่ชั้น....รักเธอ โอ้ว ชั้นรักเธอ ก็เหมือนที่เธอเคยบอกว่าอยากได้ยินทุกวัน..” ดิมร้องออกมาเป็นเพลง เหลือบมองสีหน้าคนขับเห็นริมฝีปากอิ่มเต็มคู่นั้นพึมพำเบาๆว่า ‘คนบ้า’ ก็ยิ้มกริ่ม
“มันคือชั้นอะไรเหรอครับ เต้ไม่เข้าใจ” เด็กชายหันมาถาม คุณหมอหนุ่มปล่อยเสียงหัวเราะออกมาตอบยิ้มๆ
“ลองถามคุณพ่อดูสิฮะ พ่อหนูน่าจะเข้าใจนะ”
“ไม่ต้องไปสนใจหรอกเต้ วันนี้มีการบ้านอะไรบ้างเล่าให้พ่อฟังซิ” คุณพ่อเปลี่ยนเรื่อง พยายามไม่สนใจเสียงหัวเราะปนอวดครวญของคนที่นั่งข้างหลัง
รดิศนั่งฟังพ่อลูกคุยกันอยู่พักใหญ่ ท่าทางตั้งเตจะสนิทกับลูกชายมาก รู้จักเพื่อนทุกคนในห้องของลูก แถมยังจำได้แม่นยำทีเดียวว่าใครทำอะไรที่ไหน พอกับคุณลูกชายที่ช่างเล่าช่างจำทุกรายละเอียดพอกัน
“แล้วเต้ทำยังไงล่ะ ให้เจ้าบิ้กเล่นด้วยเหรอ”
“เต้ไม่ยอมหรอก หุ่นนั่นมันเป็นของเต้ เต้มาก่อนก็ต้องเป็นของเต้สิ บิ้กจะมาแย่งได้ยังไง”
“แต่เต้ก็วางทิ้งเอาไว้ไม่ใช่เหรอ ตอนที่ไปหยิบนมมาดื่มน่ะ” คุณหมอหนุ่มที่นิ่งฟังอยู่นานถามแทรกขึ้นมายิ้มๆ เด็กชายครุ่นคิดไปชั่วครู่ก็ตอบออกมา
“เต้วางไว้ชั่วคราว ไม่ได้บอกว่าจะทิ้งเลยนี่คุณลุง”
“อ้าว ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่หยิบติดตัวไปด้วยตอนที่ไปรับนมล่ะ”
“มันก็ไม่ถนัดสิ แบบนั้นเต้ก็ต้องเหลือมือเดียว เหมือนคุณลุงอ่ะ” คุณลุงหัวเราะ ถามต่อ
“จริงๆลุงว่ามันเหมือนเต้สละสิทธิไปแล้วนะ วันหลังเอาใหม่สิ ถ้าไม่หยิบติดมือไป ก็แสดงความเป็นเจ้าของไว้ก่อน”
“ทำยังไงเหรอฮะ”
“ลองถามคุณพ่อเขาดูสิ ว่าแสดงความเป็นเจ้าของนี่เขาทำกันยังไง”
“พ่อไม่รู้หรอกลูก ถ้าเป็นพ่อ ในเมื่อบิ้กเขาอยากเล่นก็ให้เขาเล่นสิ เราก็ไปหาอะไรอย่างอื่นมาเล่นแทนก็ได้นี่ ในเมื่อเราเองก็เล่นหุ่นจนเบื่อแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เห้ยคุณ ทำไมสอนลูกให้ยอมคนแบบนั้นล่ะ”
“เอ้า ก็เต้วางหุ่นทิ้งไว้ก็เหมือนสละสิทธิไปแล้วอย่างที่คุณบอกไง”
“แต่คุณจะทิ้งไปเลยแบบนี้ได้ยังไง”
“ก็เต้เบื่อแล้วไม่ใช่เหรอ จะไปยื้อเอาไว้ทำไมล่ะ”
“อ๋อ เป็นเพราะคุณคิดแบบนี้ละสิ ตอนนั้นถึงทิ้งผมไปอ่ะ เพราะคุณเบื่อผมแล้วน่ะเหรอ”
“เอ๊ะ ทำไมถึงวกกลับมาเรื่องนี้ได้น่ะ ผมไม่ได้จะหมายความถึงเรื่องนี้เลยนะ” เด็กชายดูผู้ใหญ่สองคนเถียงกันอย่างงุนงง แล้วก็พูดแทรกขึ้นมาตามที่คิด
“เต้ยังไม่เบื่อเล่นหุ่นนะ”
“ผมก็ยังไม่เบื่อเหมือนกัน” เตหลุดปากออกไปแล้วก็นึกขึ้นได้ ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันตาเห็น หันขวับกลับไปจ้องท้องถนนเบื้องหน้า ไม่ยอมสบตาคนนั่งหลังที่จ้องมาที่เขาอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เมื่อกี้พ่อหนูเขาพูดว่าไงนะเต้ ลุงฟังไม่ถนัด”
“พ่อบอกว่า ยังไม่เบื่อครับ” ลูกชายของเขาตอบเสียงใส
“ผมหมายถึงเต้น่ะ ยังไม่เบื่อหุ่นน่ะ....อย่าเข้าใจผิด” คนขับรถพูดห้วนๆ รู้สึกถึงเสียงหัวเราะนุ่มๆข้างหูและลมหายใจแผ่วเบาที่มากระทบด้านหลังต้นคอ
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ เอ เพิ่งสังเกตว่าลูกชายคุณหน้าไม่ค่อยมีเค้าคุณเท่าไหร่เลย ขาวๆตี๋ๆ แฟนคุณเขาออกคมๆไม่ใช่หรอ แล้วเหมือนใครล่ะเนี่ย” คนพูดเขยิบเข้ามาพิจารณาใบหน้าของเด็กน้อยเทียบกับผู้เป็นพ่อ ลองมองดูใกล้ๆแล้ว ทั้งสองคนไม่เห็นมีส่วนคล้ายกันเลยสักนิด
“เหมือนคุณลุงของผม ท่านมีเชื้อจีน” อีกฝ่ายพยักหน้ารับเนิบๆ ไม่ถามต่อ ทำให้คนตอบค่อยคลายใจ
...ยังก่อน ยังไม่ถึงเวลาเล่า เอาไว้ก่อน แล้วเราค่อยเล่าให้ฟังก็แล้วกัน…เตคิดในใจ ไม่มีใครพูดอะไรอีก เด็กชายเต้ผล็อยหลับไปก่อนที่จะถึงบ้าน จนคนเป็นพ่อต้องปลุกเรียก แล้วหิ้วปีกพาหายเข้าไปในบ้าน
“พี่ดิม… จะเข้าไปในบ้านด้วยกันไหม” รดิศส่ายหน้าอย่างไม่ต้องคิด
“พี่ขอรออยู่ข้างนอกดีกว่า ตามสบาย ไม่ต้องรีบ” เขายอมกลืนยาตายดีกว่าจะย่างเท้าเข้าไปภายในบ้านหลังนั้น แค่เห็นตั้งเตกับลูกชายในวันนี้เขาก็รู้สึกเหมือนโดนเข็มทิ่มในอกแล้ว
ครอบครัวของเตดูอบอุ่นเหลือเกิน ช่วงเวลาที่ผ่านมาของเค้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของลูกชาย โดยมีภรรยาที่น่ารักเคียงข้าง ส่วนเขาล่ะ..มีแต่อดีตอันแสนเจ็บปวดเท่านั้น ทุกคืนผ่านไปอย่างยากลำบาก ราวกับกำลังว่ายน้ำตะกายอยู่กลางมหาสมุทรที่มองไม่เห็นฝั่ง
ถึงจะมีรันเข้ามาช่วยพยุงเอาไว้ แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจดี ว่าบาดแผลลึกล้ำนั้นไม่อาจรักษาให้หายได้ง่ายๆด้วยฝีมือของคนอื่น นอกจากคนที่ฝากรอยแผลเอาไว้เท่านั้น
ตั้งเต...นายจะต้องชดใช้ หลังจากนี้ตะหาก ถึงจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่แท้จริงสำหรับเขา
รอดูไปก่อน อีกไม่นานหรอก หึ
......................................................................................
มาต่อจนจบตอนค่าาา ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามอ่าน
เรื่องตอนจบนั้น...บอกเลยว่าตั้งเเต่เขียนนิยายมานิยายของเราทุกเรื่องจบแฮปปี้เอนดิ้งหมดนะคะ5555
แต่ไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้จะแฮปปี้นะคะ ไม่อยากสปอยเด๋วไม่สนุก
เรื่องดร่าม่าเข้มค่ะ เเละจะเข้มขึ้นอีกเรื่อยๆ
ชีวิตเตรันทดค่ะ เลิกอ่านได้ไม่ว่ากัน