เพราะหัวใจบอกว่า...ลืม
นายแพทย์รดิศ ศัลยแพทย์ทรวงอกที่เพิ่งกลับจากอเมริกามาสดๆร้อนๆ ยกกาแฟขึ้นจิบพลางดูนาฬิกาข้อมือ....ล่วงเวลามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว
...คุณหมอรัน มัวแต่โม้กับคนไข้อีกตามเคย
เขานั่งรออยู่ในห้องทำงานของแฟนมาพักใหญ่ หุ่นยนต์ ตุ๊กตาและโมเดลรถคันเล็กๆวางอยู่ตามชั้นต่างๆเต็มห้อง ทำให้ต้องส่ายหัวกับตัวเอง
นี่เอาไว้ให้ผู้ป่วยเด็กน้อยทั้งหลายเล่น หรือเอาไว้เล่นเองกันแน่นะ
ประตูห้องเปิดพร้อมกับร่างของคนรักในชุดกาวน์ยาวก้าวเข้ามาในห้อง
“กว่าจะเสร็จนะครับ โม้น้ำลายแตกฟอง ไม่กลัวคนไข้เขาขี้หูไหลบ้างเหรอไง” เขาทักทันที หมอรันจุ๊ปาก
“แหม รอนิดรอหน่อยทำเป็นบ่นไปได้ คุยกับเด็กๆสนุกดีออก ใครจะเหมือนคุณหมอดิมหน้าโหดล่ะ แค่เข้าใกล้เด็กก็ร้องไห้หาแม่จ้าแล้ว” เจ้าของห้องถอดเสื้อกาวน์ออกแขวนเอาไว้
“เวอร์ไป เอ้า เก็บของเร็วๆสิคร้าบ หิวข้าวจนแสบท้องหมดแล้ว นานๆทีจะได้ออกไปกินข้างนอกโรงพยาบาล”
วิรัลย่นจมูกให้ แต่ก็รีบเก็บของเดินออกมาจากห้องแต่โดยดี รดิศยกมือขึ้นโยกหัวของเขาเล่นเบาๆ จนต้องเอี้ยวหลบ
“อย่าสิ วันนี้รันเซ็ทผมอยู่ตั้งนานนะ อ้าว....คุณแม่น้องเต้ ยังไม่กลับเหรอครับ” เขาหันไปทักหญิงสาวผิวเข้ม หน้าคมหวาน มารดาของผู้ป่วยเด็กชายวัย 7 ขวบ ที่เพิ่งตรวจเสร็จเมื่อครู่ใหญ่
เธอหิ้วถุงใส่มะม่วงถุงใหญ่ส่งมาให้เขา
“ดิฉันเอามะม่วงมาฝากคุณหมอค่ะ พอดีพ่อน้องเต้เขาเพิ่งแวะซื้อมาให้ สวนนี้อร่อยนะคะคุณหมอ ขอบคุณนะคะที่ดูแลน้องเต้อย่างดี”
รันยิ้มกว้าง รับของกำนัลมาจากเธอ
“ขอบคุณมากนะครับ วันหลังไม่ต้องลำบากนะครับ ผมเกรงใจ แล้วนี่น้องเต้ไปไหนเสียแล้วล่ะครับ” เขามองหาเด็กชาย
“อยู่กับพ่อเขาน่ะค่ะ แน่ะ เดินมากันโน่นแล้ว คงจะมาตาม..” หญิงสาวหันไปกวักมือเรียก
ชายหนุ่มร่างโปร่งเพรียวจูงมือเด็กชาย เดินเรื่อยๆตรงมาหาอย่างไม่รีบร้อน เด็กชายเต้ปล่อยมือบิดา วิ่งเข้าไปหากุมารแพทย์
“ไงเรา วิ่งได้แล้ว เมื่อกี้ยังร้องไห้อยู่เลยฮึ...” เขาย่อตัวลงไปพูดกับเด็กน้อยและมารดาของเด็กอีกหลายคำ ไม่ทันสังเกตอากัปกิริยาของผู้เป็นพ่อ ที่หยุดยืนชะงักนิ่งไปในทันทีที่เข้ามาใกล้พอที่จะเห็นใบหน้าใครบางคนถนัด
ใบหน้าเรียวซีดเผือดทันตาเห็นเหมือนถูกสูบเลือดออกไป เขาจ้องใบหน้าของนายแพทย์หนุ่ม ที่ยืนอยู่ข้างๆหมอที่รักษาลูกของเขาอย่างตกใจ
......โลกกลมเกินไปหรือเปล่า หรือว่าโชคชะตาจงใจกลั่นแกล้งเขา......
ศัลยแพทย์หัวใจเลิกคิ้ว
“มีอะไรหรือเปล่าครับ เรา....เคยเจอกันเหรอ”
00000000000000000000000000000
“พี่เต เป็นอะไรไปคะ เห็นเงียบมาตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาลแล้ว หรือว่าไม่สบาย ติดหวัดนายตัวแสบล่ะสิ” ข้าวตังยกมือขึ้นอังที่หน้าผากของเขา เธอสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มมีท่าทางแปลกไปตั้งแต่แยกกับหมอรันเมื่อตอนเที่ยงแล้ว
ติณธรจับมือของเธอไว้
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก อากาศมันร้อนน่ะ พี่เลยรู้สึกเพลียๆ ง่วงนอนด้วย” เขาเสเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำดื่มขึ้นมาเทใส่แก้ว
“เมื่อคืนเขียนหนังสือดึกล่ะซี งานเร่งเหรอคะ” หญิงสาวพูด พลางประกอบอาหารง่ายๆ ไว้ทานกันสามคนพ่อแม่ลูก
“อืม ใกล้จะปิดเล่มแล้ว พี่โดมอยากให้เพิ่มเนื้อหาอีกนิดหน่อย” เขาหมายถึง โดม บก.นิตยสารชื่อดังที่เขาเป็นคอลัมนิสต์อยู่ หญิงสาวพยักหน้ารับ เธอรู้จักดี โดมแวะมาที่บ้านหลังนี้บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาอาหารเย็น พี่เตเดินลับหายขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน ไม่มีท่าทางว่าจะแตะต้องอาหาร หรือไม่เขาก็คงจะลืมไปแล้ว
เธอตั้งโต๊ะอาหาร มีเด็กชายตัวป้อมมาช่วยด้วย เต้ถูกฝึกมาให้รู้จักทำงานบ้าน ช่วยพ่อแม่เท่าที่จะทำได้ เธออยากให้ลูกชายดูแลตัวเองได้ในภายภาคหน้า ตอนที่เธอ...
ข้าวตังรีบหยุด เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เรื่องในอนาคต ใช่ว่ามันจะต้องเกิด บางทีโชคอาจจะเข้าข้างเธอ อย่างน้อยแค่ยืดเวลาออกไปให้นานๆจนเต้โตเป็นผู้ใหญ่ ไม่กลายเป็นภาระของพี่เตก็ยังดี
แค่นี้เขาก็เสียสละเพื่อเธอมามากเกินไปแล้ว
“คุณแม่คับ คุณพ่อเป็นไรน่ะ ไม่กินข้าวเหรอ” ลูกชายตัวดี ตั้งข้อสงสัยขึ้นมาทันที ตรงกับที่เธอกำลังสงสัยอยู่เหมือนกัน
คงเป็นเพราะเหนื่อยนั่นแหละ
“คุณพ่อเหนื่อยค่ะลูก เดี๋ยวเต้ขึ้นไปเคาะห้องเรียกคุณพ่อกินข้าวหน่อยน้า” เธออาศัยแรงงานตัวน้อยให้ขึ้นไปเรียกให้ รู้ดีว่าถ้าเป็นเต้ พี่เตจะไม่มีวันปฏิเสธ
ก็เขารักลูกชายยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจนี่นะ
สักพัก ชายหนุ่มก็อุ้มเด็กชายเดินลงบันไดบ้านลงมา สองหนุ่มหัวเราะกันเอิ้กอ้าก หญิงสาวเงยหน้าขึ้นรับ....ทุกครั้งที่เธอเห็นพี่เตยิ้ม หัวใจของเธอก็พลอยชื่นบานไปด้วย
“กินให้หมดนะเต้ ไม่งั้นอดเล่นเกมกับพ่อ” เขาขู่เหมือนทุกครั้ง และก็ได้ผลตลอด เด็กชายเต้ติดพ่อมาก มากกว่าติดเธอผู้เป็นมารดาเสียอีก คงเป็นเพราะว่าพ่อทำงานอยู่กับบ้าน ส่วนเธอต้องออกไปทำงานข้างนอก
จบมื้ออาหาร สองพ่อลูกก็หายเข้าไปในห้องนอน เดาได้ไม่ยากว่าคงจะไปเล่นเกมกันต่อเหมือนทุกครั้ง ได้ยินเสียงหัวเราะใสแจ๋วของเด็กน้อยปนกับเสียงทุ้มๆของคนเป็นพ่อดังแว่วๆออกมาไม่ขาดระยะ
หญิงสาวยิ้มกับตัวเอง
พักใหญ่ติณธรก็ออกมาจากห้องนอนของลูกชาย เขากลับเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวที่อยู่ติดกับห้องนอน หญิงสาวที่รอจังหวะอยู่แล้วจึงรีบยกแก้วใส่นมอุ่นๆเข้าไปให้
“ขอบใจจ้ะ” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ สายตาเพ่งมองข้อความในคอมพิวเตอร์ เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มให้หญิงสาวแวบหนึ่ง แล้วก็ก้มลงทำงานต่อ
“พี่เตรีบดื่มนะคะ เดี๋ยวจะเย็น”
“ได้จ้ะ” เขาเอื้อมมือไปหยิบแก้วขึ้นมาจิบนิดหนึ่ง หญิงสาวเม้มปาก เธอลอบถอนหายใจเบาๆด้วยความอึดอัด
ความอึดอัดขัดเขินแปลกๆที่ไม่รู้ว่ามันเริ่มเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่ และตอนนี้มันก็สะสมเพิ่มพูนขึ้นมาจนเธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องทุกครั้งที่อยู่กับอีกฝ่ายสองต่อสอง
“มีอะไรหรือเปล่า..ตัง” เธอสะดุ้ง เมื่อจู่ๆชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นถาม เขาส่งยิ้มให้เธอนิดหนึ่ง เธอก็เผลอหลบอย่างไม่ตั้งใจ รู้สึกใบหน้าร้อนซู่ขึ้นมาทันตาเห็น
“เอ้อ พี่เต เรื่องโรงเรียนของนายเต้น่ะ ตังว่าจะย้ายนะ ให้ไปเรียนที่โรงเรียน.......แทนดีกว่า จะได้พื้นฐานแน่นๆ สังคมก็ดีกว่าด้วย”
คนฟังขมวดคิ้วนิดหนึ่ง โรงเรียนใหม่ของลูกชายเป็นโรงเรียนชื่อดัง ขึ้นชื่อว่าค่าเทอมไม่แพง แต่ค่าแป๊ะเจี๊ยะและอื่นๆแพงหูฉี่ทีเดียว
“แต่ที่นู่นค่าใช้จ่ายคงเพิ่มจากเดิมหลายหมื่นเลยนะ พี่กลัวว่าจะส่งไม่ไหว” เขาติง
“ไม่ต้องห่วงนะพี่ ตังได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแล้ว ตังคนเดียวก็ส่งไหว จริงๆพี่เตไม่ต้องช่วยส่งด้วยซ้ำ”
“ได้ยังไงล่ะ เจ้าเต้มันก็เป็นลูกพี่เหมือนกันนะ”
“แค่หลานตะหากล่ะ พี่ไม่ใช่พ่อแท้ๆสักหน่อย” เธอพูดเสียงอ่อน ถึงจะปลื้มใจที่เขารักและเอ็นดูเต้เหมือนลูก แต่ยังไงก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้ ว่าเขาไม่ใช่พ่อแท้ๆของเด็กคนนั้น
“ยิ่งแล้วใหญ่เลย ควบสองตำแหน่งทั้งพ่อทั้งลุง แล้วจะไม่ให้พี่ส่งมันเรียนได้ไงฮึ ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า พี่รวยนะ ลืมแล้วเหรอ” ชายหนุ่มพูดแกมหัวเราะ ลุกขึ้นจากโต๊ะโอบไหล่บางพาเดินไปส่งที่ห้องนอนของเธอที่อยู่ตรงข้ามกัน มีประตูเชื่อมกับห้องนอนของลูกชาย
“ไม่ต้องคิดมาก รีบนอนซะ อ้อ พรุ่งนี้พี่ออกแต่เช้า เดี๋ยวหาข้าวกินเอง ไม่ต้องลุกขึ้นมาทำให้ เข้าใจหรือเปล่า” เขายีหัวหญิงสาวเบาๆอย่างเอ็นดู แล้วถอยออกมาจากห้องนอนของเธอ
หญิงสาวมองตามร่างที่ลับเข้าไปในห้องทำงานอีกครั้ง เหมือนทุกที พี่เตไม่เคยล่วงล้ำเข้าไปในห้องของเธอเลยแม้แต่ก้าวเดียว ทั้งๆที่ทุกคนเข้าใจว่าเราสองคนเป็นสามีภรรยากันและมีลูกเล็กๆหนึ่งคน
พี่เตก็ยังคงเป็นพี่เตคนเดิม สุภาพ อ่อนโยน ให้เกียรติเธอและมีน้ำใจเสมอต้นเสมอปลาย ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ อีกฝ่ายไม่เคยแสดงออกกับเธอเกินเลยกว่าสถานะพี่ชาย-น้องสาวเลยสักครั้ง
และคงไม่มีวันคิดด้วย ไม่เหมือนกับเธอ ที่ไม่ระวัง เผลอใจไป รู้ตัวอีกที ก็รักผู้ชายใจดีคนนั้น เกินคำว่า ‘พี่ชาย’ ไปแล้ว
ติณธรกลับเข้ามาในห้องทำงาน รอยยิ้มเมื่อครู่จางหายไปเหมือนไอน้ำถูกแดด เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างแรง เงยหน้าขึ้นจ้องมองเพดานห้องนิ่งอยู่อย่างนั้น
เสียงทุ้มนุ่มเมื่อกลางวันดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับแววตาฉงนสงสัยติดตา คิ้วเข้มเลิกขึ้นน้อยๆ เมื่อมองดูเขา
.....เขาจำเราไม่ได้จริงๆสินะ น่าขันที่เรากลับจำเขาได้ในทันทีที่เห็นเพียงแวบแรก.....
ได้ข่าวว่าเขาเรียนจบแล้ว ไม่นึกว่าจะกลับมาอยู่เมืองไทย หรือว่าเขาแค่กลับมาเยี่ยมบ้านกันแน่นะ ....รูปร่างสูง ช่วงบ่าและแผ่นอกใต้เสื้อเชิ้ตอย่างดีราคาแพง รวมถึงกางเกงและรองเท้าเข้าชุดกัน เนี้ยบกริบ ..ผู้ชายคนนั้นคงจะมีชีวิตที่ดีมากๆทีเดียว
อย่างน้อยก็คงจะดีกว่า จบเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่โรงพยาบาลชุมชนต่างจังหวัดในเขตทุรกันดารอย่างที่คนๆนั้นตั้งใจเอาไว้ตอนแรกแน่นอน
เตเปิดลิ้นชักอันล่างสุดออกมา ล้วงเข้าไปยังมุมที่ลึกที่สุด หยิบกล่องใบเล็กขึ้นมาเปิดดู ในนั้นมีนาฬิกาเรือนหนึ่งวางสงบนิ่งอยู่ สายหนังเริ่มเก่าจากการเก็บเอาไว้นาน หน้าปัดมีฝุ่นเกาะอยู่บางๆ เขาหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเบาๆ
ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับเจ้าตัวมากระซิบอยู่ข้างหูซ้ำไปมา
‘พี่ซื้อนาฬิกาให้ เพราะพี่จะได้ใช้เวลาร่วมกับนายได้ทุกวินาทีไงล่ะ เท่ห์มั้ย’
จำได้ว่าตอนนี้นั้นเขาหัวเราะแทบกลิ้งกับมุขเสี่ยวที่พี่ดิมสรรหามาเล่น หัวเราะกลบเกลื่อนความเขินและความดีใจที่อีกฝ่ายจำวันครบรอบ 4 ปีที่คบกันได้
‘เตจะใส่ทุกวันเลย’
‘จริงๆนะ ห้ามถอดเลยนะ’ อีกฝ่ายยิ้มหน้าบานเหมือนเด็กๆ รอยยิ้มนั้นยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเขา แม้ว่าจะผ่านมานานหลายปี
ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นคงจำแม้แต่ชื่อของเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ คงเพราะอุบัติเหตุในวันนั้น ก็ดีแล้วล่ะ ปล่อยให้เรื่องของเรากลายเป็นอดีตที่ถูกลืมไปดีกว่า
ชายหนุ่มเก็บนาฬิกาเรือนนั้นลงกล่องตามเดิม วางเอาไว้ในลิ้นชัก...ที่เดิมที่มันอยู่มาเกือบ 10 ปีอย่างทะนุถนอม
0000000000000000000000000000000
นายแพทย์หนุ่มถอดเน็กไทด์เขวี้ยงลงบนเตียงแรงๆ ระบายความหงุดหงิดที่เขารู้สาเหตุดีว่าอารมณ์ฉุนเฉียวทั้งหมดนี่เกิดจากอะไร
คนๆนั้น! เพราะได้เจอกับคนที่เขาเกลียดที่สุดในโลกนั่นอีกครั้ง
ใบหน้าเรียวหวาน รูปร่างเพรียวบาง ท่าทางซื่อๆ เหอะ! ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด อย่างกับเด็กหนุ่มเมื่อสิบปีก่อน ก้าวออกมาจากความทรงจำของเขางั้นแหละ
คนใจดำที่เขาอยากสาปแช่งทุกวัน แต่ก็ไม่ทำ ไม่ใช่ว่ากลัวอีกฝ่ายจะมีอันเป็นไปตามที่สาปแช่งหรอก แต่เขาเกลียดจนไม่อยากแม้แต่จะนึกถึงชื่อของไอ้เด็กนั่น
ยังมีหน้ามาลอยหน้าลอยตา จ้องหน้าเขาอีก
ยอมรับว่าเขาตกใจไม่น้อยที่จู่ๆก็ได้พบหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ทันตั้งตัว และยังต้องรับรู้อีกว่า ไอ้หมอนั่นแต่งงานแล้ว มีลูกโตตัวเบ้อเร่อ วิ่งได้ แถมมีเมียสวยอีกต่างหาก
ข่าวใหม่ที่ได้รู้ ทำเอาเขาอึ้งพูดไม่ออกไปชั่วครู่ ตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำเป็นจำไม่ได้หรอก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ราวกับว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขาก็ไม่อยากขัดศรัทธา
ก็ดีเหมือนกัน ต่างคนต่างอยู่เถอะ ตอนนี้เขาเป็นศัลยแพทย์หัวใจชื่อดังแล้ว จะไปสนอะไรกับไอ้เด็กนั่นล่ะ อย่างหมอนั่น...พวกอ่อนแอแบบนั้น...คงเป็นได้แต่ลูกน้อง โดนเขาใช้ทำงานหัวหมุนอยู่วันยันค่ำนั่นแหละ
หันรีหันขวางอยู่ครู่ใหญ่ โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีก รดิศก้าวเข้าไปรับ
“ฮัลโหล อ้อ เจ๊ส้มเหรอครับ ว่าจะไปวิ่งหน่อย ก็ได้ครับ เจอกันที่ฟิตเนสนะ” ชายหนุ่มไล่ความคิดไร้สาระจำพวก เด็กใจดำบางคนทิ้งไปจากสมอง เขารีบเปลี่ยนชุดออกกำลังกายแล้วขับรถจากคอนโดตรงไปที่ฟิตเนส ตามที่นัดแนะกับเพื่อนรุ่นพี่เอาไว้
พี่ส้มนั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้ว ข้างๆเธอมีผู้ชายรูปร่างอ้วนใหญ่นั่งอยู่ด้วย ท่าทางกำลังสนทนาอะไรกันอยู่อย่างสนุกสนาน เธอรีบแนะนำชายหนุ่มคนนั้นทันที
“ดิมจ้ะ นี่คุณโดม เป็นบก.นิตยสารเซเลปรายเดือน ที่พี่เคยให้สัมภาษณ์ไง คุณโดมเขาอยากสัมภาษณ์เธอหน่อยน่ะ”
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณหมอดิมครับ ผมชื่อดรงค์ครับ เรียกโดมเหมือนหมอส้มก็ได้”
“หวัดดีครับ เอ่อ สัมภาษณ์อะไรครับ คือผมไม่ถนัดเรื่องพวกนี้ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
“แหม เธอนี่ล่ะก็ อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธสิ นิตยสารของคุณโดมเขาขายดีมากนะ เธอจะยิ่งดังเลยล่ะ”
“แค่นี้ผมก็ผ่าไม่ไหวแล้ว แทบไม่มีวันหยุดเลยนะเจ๊ ผมไม่สะดวกจริงๆ คุณไปสัมภาษณ์คนอื่นเถอะนะ เรื่องของผมไม่มีอะไรหรอก” ศัลยแพทย์หนุ่มปฏิเสธอีกรอบ แต่บก.ไม่ยอมแพ้
“ถ้าเรื่องของคุณหมอ เรียกว่าไม่มีอะไรนะ ผมก็คงไม่รู้จะไปสัมภาษณ์ใครแล้วล่ะครับ สัมภาษณ์นิดเดียวครับ สั้นๆ แค่อยากให้คุณหมอเล่าให้ฟังถึงชีวิตที่นู่น การเรียน การทำงาน เผื่อว่าจะได้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนอ่านไงครับ แล้วก็จะแทรกความรู้ด้วยนิดหน่อย แบบเกี่ยวกับโรคหัวใจ คำแนะนำของคุณหมอ ขอเวลาคุณหมอนิดเดียว” เขาคะยั้นคะยอมาอีกหลายคำ จนชายหนุ่มต้องจำใจตกปากรับ เพราะเกรงใจเพื่อนรุ่นพี่ที่แนะนำด้วย
“ก็ได้ครับ แต่คงไม่ใช่วันนี้หรอกนะ ผมวิ่งเสร็จต้องกลับไปอยู่เวรต่ออีก” ชายหนุ่มรีบออกตัว
“ได้เลยครับ วันไหนแล้วแต่คุณหมอจะสะดวกเลย”
“ผมขอดูตารางก่อนนะ” คุณหมอหนุ่มล้วงสมาร์ทโฟนขึ้นมาเปิดปฏิทินดูตารางงาน ทุกช่องเต็มแน่น เพราะมีคนไข้ที่โน่นบินตามมาผ่าที่เมืองไทยด้วย ไหนยังจะคนไข้ใหม่ที่ได้ยินชื่อเสียงของเขา แห่กันมาตรวจจนหาเวลาว่างได้ยากเต็มที
“มีวันเสาร์หน้า ว่างตอนช่วงเที่ยงๆ สะดวกไหมครับ”
“ได้เลยครับผม ขอบคุณคุณหมอดิมมากนะครับ แล้วจะนัดเจอที่ไหนดีครับ”
“ขอเป็นที่ห้องทำงานผมที่โรงพยาบาล....จะได้ไหมครับ พอดีผมมีตารางผ่าต่อตอนบ่ายๆ ไม่อยากเดินทางไปไหน” ศัลยแพทย์หนุ่มบอกชื่อโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่เขาทำงานอยู่ พร้อมกับเขียนสลักหลังนามบัตรเอาไว้ให้
บรรณาธิการยิ้มกว้าง นัดหมายจนเสร็จเรียบร้อย ก็ขอตัวกลับออกมา โทรหาลูกน้อง....นักเขียนมือดีที่เขากำลังต้องการจะปั้นขึ้นมาเป็นรองบรรณาธิการ
“ฮัลโหล เตเหรอ ต้นฉบับใกล้เสร็จยัง เปล่าๆไม่ได้จะทวง คืองี้ พี่มีคอลัมน์พิเศษอยากให้นายช่วยเขียนให้หน่อย.....ใช่ๆ สัมภาษณ์คุณหมอ ที่เคยบอกวันนั้นนั่นแหละ คุณหมอรดิศ ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก เพิ่งกลับจากอเมริกา นัดเอาไว้วันเสาร์นี้นะ สัก 11 โมง ....เต...นายฟังพี่อยู่หรือเปล่า?” โดมทัก เมื่ออีกฝ่ายเงียบไป
“ฟังอยู่ครับ แต่พี่โดม วันเสาร์ผมไม่ว่าง......” ปลายสายพูดตะกุกตะกัก
“เห้ย งานนี้พี่ขอเถอะ พี่อยากให้ออกมาดีๆ นี่กว่าพี่จะติดต่อจนมาเจอตัวจริงได้นะ ออกแรงไปเยอะ ช่วยพี่หน่อยนะ พี่ชอบงานเขียนของนายจริงๆ พี่ไม่ไว้ใจคนอื่น”
“ตกลงครับ....ที่ไหนนะครับ” เสียงปลายสายเงียบไปครู่ ก่อนจะรับคำแผ่วเบา
โดมยิ้มกริ่ม ติณธรเป็นรุ่นน้องที่ว่าง่ายสำหรับเขาเสมอ ไม่รู้เลยว่าหลังจากวางสายไปแล้วนั้น ฝ่ายนั้นจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ หมดสมาธิทำงาน เพราะเอาแต่นับถอยหลัง ภาวนาให้เวลาผ่านไปช้าๆ ไม่อยากให้ถึงวันนั้น
00000000000000000000000000000000
“รอสักครู่นะคะ คุณหมอกำลังอยู่ในห้องผ่าตัดค่ะ” พยาบาลสาวสวยพูดยิ้มๆ เชิญให้เขานั่งรออยู่ข้างหน้าห้องทำงานของนายแพทย์หนุ่ม
คอลัมนิสต์หนุ่มพลิกดูนาฬิกานิดหนึ่ง บก.บอกเอาไว้แล้วว่าคุณหมอจะว่างตอนเที่ยงเท่านั้น คิวแน่นยิ่งกว่าดาราเสียอีก ก้มลงมอง ‘ของฝาก’ ในถุงกระดาษที่บก.ฝากให้เอามาให้ เห็นของข้างในก็เบ้ปาก
เหอะ....องุ่นนอกราคาแพง...ผลไม้ที่ผู้ชายคนนั้นเกลียดที่สุด แต่บก.ก็คงไม่รู้ และเขาก็ไม่คิดจะบอก
ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสายตาของใครคนหนึ่ง ที่เสร็จจากเคสผ่าตัดเร็วกว่าปกติ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างคุ้นตานั่งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องทำงาน
บ้าฉิบ....ไอ้หมอนั่นมาทำไมที่นี่นะ หรือว่าป่วยเลยมาโรงพยาบาล? แต่ท่าทางนั่งกัดเล็บแบบที่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังตกอยู่ในความกระวนกระวายใจอย่างหนักนั้น ทำให้คนแอบมองต้องขมวดคิ้ว
อดรนทนไม่ไหว ต้องออกไป ‘ถาม’ เสียให้รู้เรื่อง
นายแพทย์หนุ่มกระแอมเสียงนิดหน่อย เห็นอีกฝ่ายหันขวับมา เบิกตากว้าง ท่าทางตกใจราวกับเห็นเขาจะเข้ามาทำร้าย ก็นึกหงุดหงิดในใจยิ่งกว่าเดิม ทว่าพยายามกดเอาไว้ภายใต้ท่าทางสบายๆเป็นปกติ
เขาปั้นหน้า ยิ้มแย้มออกมา คล้ายกับว่าพบเข้าโดยบังเอิญ
“อ้าว คุณ...เอ่อ พ่อน้องเต้ใช่มั้ยครับ น้องเต้เป็นอะไรอีกเหรอ ถึงได้มารพ.” เขาพูดชื่อ ‘ลูกชาย’ ของฝ่ายนั้นอย่างแม่นยำคล่องแคล่ว เพราะบันทึกใส่สมองตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน
คนถูกทักหน้าซีดลงอีก แล้วกลับแดงก่ำ เขาพูดอึกอัก
“เอ้อ เปล่าครับ พอดีผม...ผม...มาจากนิตยสารเซเลปรายเดือนที่ติดต่อขอสัมภาษณ์คุณหมอน่ะครับ” คนฟังอึ้งไปครู่ แล้วก็ยิ้มรับออกมา
“อ้อ งั้นหรือครับ บังเอิญจังนะครับ คุณเป็นคนที่จะสัมภาษณ์ผมเหรอ วันนั้นบอกอ...คุณโดม ไม่เห็นบอก ดีครับ แล้วคุณชื่ออะไรเหรอ" เขาแกล้งถาม ทำหน้าซื่อ
นักเขียนหนุ่มมองหน้าเขา รู้สึกเจ็บขึ้นมาวูบ ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายความจำเสื่อมจากอุบัติเหตุครั้งนั้นก็เถอะ แต่ก็ไม่วายจุกแน่น เมื่อรู้ว่า เขาจำเราไม่ได้ ทั้งที่เรากลับจำเขาได้...ไม่เคยลืม
มันก็สมควรแล้ว กับสิ่งที่เขาทำกับอีกฝ่ายเอาไว้
“ผมชื่อติณธรครับ ตำแหน่งคอลัมนิสต์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ..คุณหมอรดิศ” เขากลั้นใจอยู่ครู่หนึ่ง พูดออกมาเรียบๆ
นายแพทย์หนุ่มยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มลึกสองข้างแก้ม ดวงตาคมเข้มคู่นั้นพราวระยับเมื่อตอบกลับมา
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณติณธร เรียกผมว่าหมอดิม ก็ได้ครับ เอ ทำไมผมคุ้นหน้าคุณจังเลย แน่ใจนะว่าเราไม่เคยเจอกันมาก่อน”
อีกฝ่ายยิ้มเจื่อนๆ
“สงสัยโบราณเรียกว่า ถูกชะตา” สำเนียงเยาะที่ซ่อนเอาไว้ภายใต้เสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีนั้น ทำให้คนฟังสะดุดหูนิดหนึ่ง นิดเดียวเท่านั้นแต่ก็ปล่อยผ่านไป ไม่ได้เอะใจเลยว่าอีกฝ่ายจะจำตนได้ทันทีตั้งแต่แรกเห็น
ก็เมื่อ 8 ปีก่อน เพื่อนของนายแพทย์หนุ่มส่งข่าวมาบอกว่า อีกฝ่ายความจำเสื่อมเนื่องจากศีรษะกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงตอนที่ถูกรถชน ส่งผลให้ฝ่ายนั้นลืมเรื่องของเราไปจนหมด จำไม่ได้เลยว่าเคยรู้จักคนที่ชื่อ เต มาก่อน
ลืมหมดทุกอย่างรวมถึงความรักที่เคยมีต่อกันด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องดี เพราะเขาในตอนนั้น ต้องการให้เรื่องระหว่างเรามันจบลงไปแบบนี้อยู่แล้ว
เกือบ 10 ปีที่ไม่มีการติดต่อกลับมาอีกเลย ทำให้เตเชื่อสนิทใจว่า อดีตคนรักของเขา คงจะลืมไปแล้วจริงๆ
..............................................................................................
มาอัพบทนำกับตอนเเรกค่ะ
เรื่องราวของแฟนเก่าที่กลับมาพบกันอีกครั้ง
ดราม่าโรเเมนติกนะคะ
เราอัพสลับกับเรื่องแอบลักษณ์นะคะ
แล้วเจอกันค่ะ
ถ้าชอบเรื่องนี่อย่าลืมเม้นท์+โหวตด้วยน้าา
