#ตอนที่หก
เวลาเกือบๆสี่โมงเย็นเป็นช่วงที่รถค่อนข้างติดพอสมควร กว่าจะเคลื่อนตัวได้แต่ละครั้งก็กินเวลาไปหลายนาที ในทุกๆครั้งที่ต้องมาติดแหงกอยู่บนถนนที่มีรถติดยาวเหยียดขนาดนี้เขามันจะคิดว่ามันน่าเบื่อและพานให้ต้องรู้สึกหงุดหงิดอยู่ร่ำไป แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้…
บรรยากาศในรถดูผ่อนคลายเพราะยุทธนาเลือกที่จะเปิดเพลงคลอเบาๆ เด็กน้อยของเขานั่งพิงเบาะตาปรือคล้ายจะหลับมิหลับแหล่ บอกให้หลับไปเลยก็งอแงพึมพำบอกไม่เอาจะไปนอนที่ห้องทีเดียว เขาไม่ได้ว่าอะไรต่อ แค่ลดแอร์ลงเมื่อเห็นอีกคนยกแขนขึ้นมากอดตัวเองไว้ จากนั้นก็ขับรถเงียบๆปล่อยให้ในรถคลอไปด้วยเสียงเพลงเบาๆและเสียงลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกอย่างสม่ำเสมอของคนที่ยืนกรานว่าจะไม่ยอมหลับในทีแรก…
รถจอดลงหน้าหอของเดือนสิบได้ซักพักแล้วแต่เจ้าตัวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น และแน่นอนว่าเขาเองก็ไม่คิดที่จะปลุก เสียงผ่อนลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอแผ่นอกสะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงเพลียไม่น้อย แน่ล่ะ… กว่าจะเดินซื้อของให้เขาเสร็จก็ปาไปตั้งสองชั่วโมงกว่า ไอ้ตอนนั้นเขาก็รู้สึกดีจนลืมนึกไปว่าน้องจะเหนื่อย
ปลายนิ้วค่อยๆแตะลงระหว่างคิ้วที่ดูเหมือนจะย่นเข้าหากันหน่อยๆ คลึงเบาๆกระทั่งมันคลายออกจากกัน แต่แทนที่เขาจะถอนปลายนิ้วออกมาด้วย กลับเคลื่อนมันไปที่ผิวแก้มเนียนเกลี่ยเบาๆจนคนหลับครางฮือด้วยรำคาญที่ถูกรบกวนเวลานอน เปลือกตาที่ปิดสนิทขยับยุกยิกก่อนจะค่อยๆลืมขึ้นในที่สุด
ยุทธนาไม่ได้ละมือออกในทันที ปลายนิ้วยังคงเกลี่ยไปมาอยู่ที่ผิวแก้มนิ่ม มองสบกับดวงตากลมโตที่เบิกขึ้นนิดๆอย่างตกใจคล้ายพึ่งได้สติ หยักยิ้มบางใส่ตาใสๆนั่นก่อนจะเลื่อนมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มอย่างเอ็นดู
“ขี้เซา”
ตากลมกระพริบปริบๆเหมือนสติสตังพึ่งกลับมาครบถ้วนก็ตอนได้ยินเสียงเขา ตากลมหลุบต่ำ มือเรียวยกขึ้นถูปลายจมูกที่เริ่มกลายเป็นสีเรื่อเบาๆคล้ายกำลังเก้อเขิน
“เอ่อ.. ถึงหอแล้ว ผมลงก่อนนะครับ ขอบคุณมากๆที่วันนี้พาไปเลี้ยงข้าว” พูดทั้งที่ยังก้มหน้า
“ขอบคุณอะไรกันพี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณเรา อุตส่าห์ลำบากเดินซื้อของเป็นเพื่อนจนเหนื่อยขนาดนี้” คนเป็นน้องเงยหน้าขึ้นมามอง ส่ายหน้าปฏิเสธจนผมฟุ้ง
“ไม่ลำบากหรอกครับ ก็.. เพลินดี”
“พูดงี้เดี๋ยวคราวหน้าพาไปอีกดีไหม ฮึ” น้ำเสียงหยอกเย้าจนไม่รู้ว่าคนพูดพูดจริงหรือเล่น เดือนสิบเลยทำได้แค่ยิ้มแหยไปให้
เป็นการแบ่งรับแบ่งสู้ ตากลมวูบไหวเมื่ออีกฝ่ายยื่นมือมาขยี้ผมเขาอีกครั้ง
“น่ารัก” เสียงหัวเราะในลำคอราวกับเอ็นดูกันนักหนาจนชักเริ่มเขิน
“ขี้แกล้งว่ะ เอามือออกไปเลยผมจะลงแล้ว” เดือนสิบย่นจมูกใส่พลางจับมือที่ยังยุ่งกับผมเขาไม่หยุดออก
ร่างสูงเหมือนจะชะงักไปเมื่อเห็นเดือนสิบทำแบบนั้น มองมือเล็กๆทั้งสองข้างที่กอบกุมรอบข้อมือเขาเอาไว้ ถึงจะแค่ครู่เดียวแล้วปล่อยออก.. ยุทธนาก็เหมือนจะรู้สึกใจเต้นขึ้นมาซะอย่างนั้น
ใจเต้น…. เพียงแค่น้องเป็นฝ่ายสัมผัสตัวเขาก่อน
“สิบ”
“ครับ?” คนถูกเรียกชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูหันกลับมามอง
“พรุ่งนี้.. ไปเรียนพร้อมกันนะ”
“….”
“….”
“ผมมีเรียนเก้าโมงนะครับ อย่าสายล่ะ” ว่าจบโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบอะไรกลับมาอีกเดือนสิบก็ลงจากรถแล้วรีบวิ่งขึ้นหอโดยไม่หันกลับมามอง เลยไม่รู้ว่าไอ้คนที่นั่งอยู่ในนั้นกำลังยิ้มกว้างขนาดไหน
.
.
.
“มีอะไรปิดบังกูอยู่ใช่ไหม ช่วงนี้มึงดูแปลกๆไปนะ” ไอ้ปืนเอ่ยขึ้นระหว่างที่พวกเขากำลังนั่งกินข้าวอยู่ในโรงอาหารคณะ
“ไม่นี่ ก็ปกติ” แสร้งทำเป็นสนใจกับอาหารตรงหน้าเลี่ยงสายตาที่จ้องมาอย่างจับผิด ไอ้ปืนส่งเสียงเหอะในลำคอก่อนจะพาดแขนโอบไหล่เขาแล้วชี้มือไปยังจุดที่ใครคนหนึ่งกำลังยืนซื้อข้าวอยู่จนเดือนสิบต้องมองตามอย่างช่วยไม่ได้
“นั่นก็ปกติด้วยงั้นสิ มานั่งกินข้าวด้วยทุกวันแถมยังจ้องมึงจนแทบจะแดกแทนข้าวงี้? ปกติมากเลยเนอะ เหอะ! จะเล่าเองหรือต้องให้กูเค้นบอกมา!”
ไอ้ปืนมันก็พูดเกินไปถึงพี่ยุทธจะชอบมองเขาจริงแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นจ้องจนแทบจะกินอย่างที่มันว่าซะหน่อย เดือนสิบย่นจมูก จับแขนมันออกจากบ่าแล้วถอนหายใจเฮือก ยกแก้วชาเย็นขึ้นดูดคล้ายประวิงเวลาจนไอ้ปืนเร่งอีกรอบถึงได้ยอมเปิดปาก
“ก็เขาบอกว่าขอโอกาส”
“โอกาส?” ไอ้ปืนเลิกคิ้ว
“ก็ขอดูแลกูไรงี้อ่ะ”
“สรุปคือพี่มันจีบมึง?” พยักหน้าหงึกหงักยอมรับแต่โดยดี พอดีกับที่สายตาเหลือบไปเห็นคนที่กำลังยืนต่อแถวซื้อข้าวซึ่งหันมองมาทางเขาพอดี อีกฝ่ายคลี่ยิ้มบางส่งมาให้เดือนสิบเลยต้องยิ้มตอบกลับไป
“ส่งยิ้มเล็กยิ้มน้อยให้กันขนาดนี้ไม่ใช่แค่จีบแล้วมั้งกูว่า มึงชอบพี่มันเข้าแล้วใช่ไหม?” ถึงกับหันขวับมามองเพื่อนสนิทตาโต
“บ้าแล้ว! กูยังไม่ได้ชอบซักหน่อย ก็.. ก็พี่เขายิ้มมากูก็ต้องยิ้มตอบเป็นธรรมดาป่ะละ จะให้หน้าบึ้งรึไง เสียมารยาทตายเลย”
ไอ้ปืนทำหน้าไม่เชื่อ
“คบกันมาเกือบปี พึ่งรู้ว่าเพื่อนกูเป็นคนมีมารยาทดีขนาดนี้เนอะ” เดือนสิบย่นจะมูกใส่เพื่อนสนิท ฟังดูก็รู้ว่ามันแขวะ แต่เพราะไม่อยากเถียงต่อ รู้ว่าเถียงไปยังไงก็เข้าตัวเลยปล่อยผ่าน พอดีกับที่ร่างสูงของรุ่นพี่ร่วมคณะเดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามกับเขา รวมถึงเพื่อนสนิทอีกสองคนของพี่มันด้วย
ตั้งแต่วันที่ไปเดินห้างด้วยกันนี่ก็เข้าวันที่สามแล้วที่เดือนสิบมีเพื่อนร่วมโต๊ะเพิ่มขึ้นมาเป็นรุ่นพี่ร่วมคณะทั้งสามคน ยุทธนาไม่ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่ากำลังตามจีบเขา แต่การที่อีกฝ่ายคอยเทคแคร์เขาด้วยการกระทำเล็กๆน้อยๆอย่างการยื่นทิชชู่ให้เวลาเดือนสิบเหงื่อออก หรือตักกับข้าวในจานของตัวเองมาให้เขาแถมยังคะยั้นคะยอให้กินทางสายตาและคำพูดธรรมดาๆอย่าง ‘อร่อย’ แบบที่ไม่เคยทำให้ใครมาก่อนก็ทำให้คนอื่นดูออกได้ไม่ยาก
“เอ้อ เห็นว่าสิบจะให้ไอ้ยุทธมันติวเทอร์โมให้หรอ ต้นเดือนนี้ก็เริ่มสอบแล้วใช่ไหมจะเริ่มติวกันวันไหนล่ะ” ปกรณ์ถามขึ้น เล่นเอาไอ้ปืนหันขวับมาจ้องเขาแทบจะทันที สีหน้ามันแสดงออกชัดเจนมากว่า ‘ทำไมกูถึงไม่รู้เรื่อง’ จนเดือนสิบต้องยิ้มเจื่อนไปขัดตาทัพแล้วหันกลับมาตอบรุ่นพี่
“ก็ถ้าพี่ยุทธว่างก็คงเป็นเสาร์อาทิตย์นี้แหละครับ”
“ได้สิพี่ว่าง” คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาตอบ
“ทำไมกูไม่เห็นรู้ว่ามึงจะให้พี่ยุทธติวให้” ไอ้ปืนพูดด้วยท่าทีสบายๆ แต่น้ำเสียงกลับฟังดูคาดคั้นจนรู้สึกได้
“ก็มันลืม.. แต่กูก็ตั้งใจไว้แล้วนะว่าจะชวนมึงไปติวด้วยกันอ่ะ ไปนะ” ช่วงท้ายแอบใส่น้ำเสียงอ้อนมันไปด้วย ไอ้ปืนนิ่งไปครู่ก่อนจะถอนหายใจพรืด เอื้อมมือมาโยกหัวเขาเบาๆ
“เออ คิดว่ากูจะปล่อยมึงไปกับ’คนไม่สนิท’คนเดียวหรือไง” ย้ำชัดตรงคำว่าคนไม่สนิทก่อนจะปรายตามองไปทางยุทธนาที่มองมาอยู่ก่อนแล้วเป็นนัยย์ว่า ‘ผมหมายถึงพี่นั่นแหละ’ จนอีกฝ่ายถึงกับคิ้วกระตุก
“แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าสนิท” คนถูกพาดพิงเอ่ยทะลุกลางปล้องเรียกสายตาแปดคู่ให้หันไปมองอย่างอึ้งๆ แต่ตาคมๆกลับจับจ้องอยู่ที่ดวงตาคู่เดียวของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน
“…..”
“…..”
“…..”
แดกจุดกันเป็นแถวไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง เดือนสิบได้แต่มองคนตรงหน้าตาปริบๆ จะให้ตอบว่ายังไงดีล่ะ และในระหว่างที่สมองน้อยๆกำลังคิดหาคำตอบอยู่ ปกรณ์ที่เห็นท่าไม่ดีก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“เชี่ยยุทธ มึงก็ไปถามอะไรแบบนั้นเล่า! ดูดิ๊น้องมันเขินจนพูดไม่ออกหมดแล้วเนี่ย” คนพูดไม่ออกเริ่มหลุกหลิก พอหาทางออกไม่ได้ก็หันมาสะกิดเพื่อนสนิทที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้างๆคล้ายขอความช่วยเหลือ ซึ่งไอ้ปืนก็ช่างเป็นเพื่อนที่ดีเหลือเกิน
“ก็แบบนี้อ่ะพี่ถึงจะเรียกว่าสนิท” ว่าจบมันก็คว้าคอเขาหมับก่อนจะกดจมูกหนักๆลงมาที่แก้มจนเกิดเสียงดังฟอด เดือนสิบตกใจจนแทบจะโวยมันออกมาแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเสียงกระซิบเบาๆบอกว่าให้นิ่งไว้ ไอ้ปืนค้างอยู่ในท่านั้นชั่วครู่แล้วผละออก มันยิ้มร้ายมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเพื่อนสนิทอย่างเหนือกว่า
หึ! ทั้งที่แววตาดูโกรธจนแทบระเบิดร่างเขาให้เป็นจุนขนาดนั้นแท้ๆแต่ก็ยังวางท่านิ่งเฉยเก็บอาการได้เป็นอย่างดี ก็นับว่าเป็นคนมีความอดทนสูงพอสมควร
จริงๆก็ไม่ได้อยากจะปีนเกลียวรุ่นพี่หรืออะไรหรอก ยังไงยุทธนาก็เป็นคนที่เขาให้ความนับถือพอสมควร แต่จะให้ทำเป็นไม่สนใจปล่อยให้อีกฝ่ายแทะโลมเพื่อนเขาทางสายตาอย่างสบายใจเฉิบมันก็ใช่เรื่อง ดูแลมันมาตั้งนานจะให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาแย่งไป
เฉยๆได้ไง มันต้องมีบททดสอบกันหน่อย
อีกอย่าง… ไอ้ปืนก็แค่อยากจะเห็นคนนิ่งๆหลุดมาดบ้างเท่านั้นเอง
เดือนสิบปั้นหน้าไม่ถูกกับบรรยากาศที่ดูเหมือนจะมาคุขึ้นชั่วขณะ ส่วนไอ้คนสร้างเรื่องก็ทำเป็นไม่สนใจก้มหน้าก้มตากินข้าวจนเขาต้องบิดต้นขามันแรงๆอย่างหมั่นไส้ ไอ้ปืนสะดุ้งนิดๆก่อนจะปัดมือเขาออกอย่างไม่สนใจ ฮึ! ฝากไว้ก่อนเถอะ
คาดโทษเพื่อนสนิทเสร็จก็ต้องสะดุ้งเมื่อหันมาสบเข้ากับตาคมกล้าที่จ้องอยู่ ถึงท่าทางจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเดือนสิบก็พอจะมองออกว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจมากๆ ด้วยความที่ไม่รู้จะทำยังไงเพราะตัวช่วยก็ช่วย (สร้างเรื่อง) ไปแล้ว เลยได้แต่ทำหน้าหงอยๆขอโทษขอโพยอีกฝ่ายในใจ
“ชาเย็นหน่อยไหมครับ อร่อยนะ” เลื่อนแก้วชาเย็นของตัวเองไปตรงหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่มองอย่างลุ้นๆ
ท่าทางที่แสดงออกราวกับกำลังบอกว่า ‘ง้อนะ’ ของคนตรงหน้าทำให้ยุทธนาผ่อนลมหายใจ ตาคมอ่อนแสงลงอย่างเห็นได้ชัดเหลือบมองแก้วน้ำที่ถูกเลื่อนมาวางตรงหน้าสลับกับหน้าใสๆของคนให้อยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยกมันขึ้นมาดื่มในที่สุด คนให้ถึงได้ยิ้มออก …ตาเป็นประกายเชียวล่ะ
จะทำให้หลงไปถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้บรรยากาศที่เหมือนจะผ่อนคลายลงทำให้อีกสองคนที่นั่งลุ้นอยู่พลอยหายใจหายคอโล่งไปด้วย ปกรณ์กับศิลาลอบยิ้มอย่างรู้กันกับท่าทางของเพื่อนสนิท คันปากอยากล้อมันชิบหายแต่ต้องเก็บอาการไว้ก่อนเพราะเกรงว่าจะทำลายบรรยากาศสีชมพูอมม่วงที่มันอุตส่าห์สร้างขึ้น เห็นแบบนี้ไอ้ป้องก็รู้เวลานะเออ!
นอกจากสองหน่ออย่างปกรณ์กับศิลา คนที่อยากล้อเพื่อนสนิทใจแทบขาดก็คงเป็นไอ้ปืนนี่แหละ ทำเป็นบอกว่ายังไม่ชอบเขา แต่เชื่อเถอะว่าไอ้ท่าทางแบบนี้ถ้าไม่ใช่คนที่เดือนสิบแคร์จริงๆคงไม่มีทางได้เห็นหรอก!
.
.
.
วันเสาร์สีม่วงโรงอาหารคณะเป็นสถานที่นัดติวที่พวกเขาตกลงกันไว้ ไอ้ปืนมารับเดือนสิบไปมหา’ลัยพร้อมกันตอนเก้าโมง คนในโรงอาหารมีบ้างประปรายซึ่งส่วนมากก็มานั่งจับกลุ่มติวกันทั้งนั้น เขากับยุทธนาไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากนอกจากเอ่ยทักทายกันธรรมดา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ค่อยแสดงออกเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ส่วนอีกหนึ่งคงเป็นเพราะไอ้ปืนที่ทำตัวเหมือนปลิงเกาะติดเขาแจ แถมยังชวนเดือนสิบคุยตลอดเวลาที่กินข้าวจนไม่มีเวลาไปสนใจพี่มัน
รู้ว่าไอ้ปืนมันจงใจแกล้งไม่ให้เขาได้มีโอกาสสนใจอีกฝ่าย บ่อยครั้งที่เดือนสิบมองหน้านิ่งๆคล้ายไม่พอใจของพี่มันแล้วได้แต่ขอโทษขอโพยอยู่ในใจอย่างรู้สึกผิด ซึ่งดูเหมือนยุทธนาเองก็เข้าใจดี เพราะพี่มันส่งยิ้มบางๆตอบมาทุกครั้งราวกับบอกว่าไม่เป็นไร
หลังจากกินข้าวเสร็จยุทธนาก็เริ่มแจกชีทให้น้องๆ จากที่ตอนแรกคิดว่าจะติวกันแค่สามคนก็ดันมีเพื่อนเข้ามาร่วมด้วยอีกหลายคน ซึ่งคนติวก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่ชีทแบบทดสอบที่เตรียมมามันไม่พอเลยต้องให้คนไปถ่ายเอกสารเพิ่ม เดือนสิบรู้สึกแปลกๆนิดหน่อยกับการรวมกลุ่มติวกับเพื่อนหลายๆคน มันไม่ใช่ความรู้สึกอึดอัด แต่มันแปลกตรงที่เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรแถมยังสนุกไปกับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่นๆอย่างที่ไม่เคยทำ
เสียงทุ้มเอ่ยอธิบายเนื้อความในหนังสือด้วยโทนเสียงเรียบเรื่อย ภาษาพูดไม่เป็นทางการและเข้าใจง่ายทำให้คนฟังต่างก็ฟังอย่างตั้งใจ ไหนจะใบหน้าหล่อเหลาที่ถึงแม้จะติดเย็นชาไปซักหน่อยแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันน่ามอง พออธิบายจบก็ลงมือทำโจทย์ให้ดูเป็นตัวอย่าง จากนั้นก็ปล่อยให้น้องๆปีหนึ่งได้ลองทำเองข้อไหนทำไม่ได้ค่อยให้น้องถาม
ยุทธนามองรุ่นน้องเกือบสิบคนที่ลงมือทำโจทย์ที่เข้าให้อย่างตั้งใจ แต่คนที่ให้ความสนใจเป็นพิเศษยังคงเป็นคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา เดือนสิบเป็นคนหัวไวเพียงเขาอธิบายนิดหน่อยก็จับจุดและทำเองได้ หรือถ้าข้อไหนที่ไม่เข้าใจน้องก็จะลองทำด้วยตัวเองจนถึงที่สุดแล้วถึงมาถามความเห็นเขาทีหลัง พอเขาอธิบายก็ตั้งใจฟังและพยักหน้าหงึกหงักไปด้วย น่าเอ็นดูจนบ่อยครั้งเผลอลืมตัวเลื่อนมือไปขยี้กลุ่มผมนุ่นๆนั่น
“วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวพี่จะให้โจทย์ไปลองทำดู ได้ไม่ได้ก็ขอให้ลองทำก่อนอย่าลอกเพื่อนเข้าใจใช่ไหม” ยุทธนาไล่สายตามองรุ่นน้องร่วมคณะเกือบสิบคนที่ตอบรับอย่างแข็งขัน
“งั้นก็แยกย้ายได้ พรุ่งนี้เก้าโมงที่เดิมถ้าใครอยากมาติวอีกก็มาได้”
“ขอบคุนครับ/ขอบคุณค่ะ” เขารับไหว้รุ่นน้อง จนทุกคนเริ่มทยอยลุกไปจนหมดถึงได้หันกลับมาสนใจคนที่นั่งจ้องเขาตาแป๋ว ซึ่งตอนนี้ข้างกายไร้ผู้พิทักษ์
“ไง เหนื่อยไหม” เดือนสิบส่ายหน้า รวบสมุดปากกาเข้ากระเป๋า
“พี่ล่ะครับเหนื่อยไหม” ยุทธนายิ้มบาง
“จะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยถ้าได้คนไปกินข้าวเป็นเพื่อน” เดือนสิบย่นจมูก มองคนหน้านิ่งที่ดูจะไม่นิ่งทุกครั้งที่คุยกับเขาอย่างหมั่นไส้
“งั้นก็ไปกันครับ หิวจะแย่”
“แล้วนี่ผู้พิทักษ์เราไปไหนซะล่ะ ทำไมถึงปล่อยให้มากับพี่ได้” ยุทธนาถามขึ้นระหว่างขับรถ ถ้อยคำเรียกขานเพื่อนสนิททำเอาเดือนสิบถึงกับหลุดขำ แต่ก็ไม่วายเล่นไปกับอีกฝ่าย
“ผู้พิทักษ์อะไรกันครับ ไอ้ปืนมันเป็นผู้ปกครองผมต่างหาก”
“งั้น.. ถ้าพี่จะมาเป็นแฟนสิบ ก็ต้องขออนุญาตผู้ปกครองเราก่อนรึเปล่า” คนโดนเล่นกลับถึงกับเหวอปั้นหน้าไม่ถูก เสียงหัวเราะหึๆจากคนข้างๆยิ่งทำให้สองแก้มรู้สึกร้อนผ่าว
“ขี้แกล้งว่ะ” ได้แต่บ่นเพราะไม่รู้จะทำยังไง
“ก็ทำตัวให้น่าแกล้ง” คนขี้แกล้งไม่ว่าเปล่ายังเลื่อนมามาโยกหัวเขาไปมาอีกต่างหาก
“ผมเปล่า”
“น่ารัก”
“พี่ยุทธ!” เดือนสิบมองอีกฝ่ายเคืองๆ ดูก็รูว่าโมโหกลบเกลื่อน
“ครับ!” ทว่าคนถูกมองกลับยิ้มรับอย่างไม่สะทกสะท้าน มันน่าตีซักป้าบจริงๆให้ตายเถอะ อยู่ต่อหน้าคนอื่นดูเป็นคนนิ่งๆแท้ๆ
“ไม่คิดมาก่อนเลยว่าพี่จะเป็นคนขี้แกล้งขนาดนี้” บ่นอุบ
“พี่ก็ไม่คิดมาก่อนว่าเราจะเป็นคนน่ารักขนาดนี้”
“พี่ยุทธ! หยุดเลย เลิกแกล้งผมแล้วหันไปขับรถดีๆเดี๋ยวนี้เลย” พอเถียงต่อไม่ได้ก็หันมานั่งกอดอกฉับ ตากลมมองตรงแสร้งทำเป็นไม่สนใจคนข้างๆที่ส่งเสียงหัวเราะหึๆราวกับอารมณ์ดีนักหนา
“มีคนบอกว่า เด็กผู้ชายถ้าชอบใครก็จะชอบแกล้งคนๆนั้นด้วยรู้หรือเปล่า”
เดือนสิบยังคงทำเป็นไม่สนใจ แม้จะอยากตะโกนใส่อีกฝ่ายดังๆว่า ‘แล้วตัวเองเป็นเด็กรึไงเล่า!!’ แค่ไหนก็เถอะ
“เงียบแปลว่ารู้…” ยุทธนาเหลือบมองคนหน้าหงิกทั้งที่แก้มขึ้นสีแดงเรื่ออย่างน่ารักน่าชังอย่างเอ็นดู อยากแกล้งต่อเพื่อยืนยันความ’ชอบ’ของตัวเองอีกซักหน่อยแต่ไม่เอาดีกวา หน้าแดงหูแดงไปหมดขนาดนี้ถ้าแกล้งต่อเดี๋ยวระเบิดตัวเองไปล่ะแย่เลย
ยังไงเขาก็ยังไม่อยากเป็นหม้ายทั้งที่ยังจีบไม่ติดหรอกนะ
ยุทธนาเลี้ยวรถเข้ามาจอดหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัยเขาเท่าไหร่นัก ตัวร้านอยู่ห่างจากถนนใหญ่ราวห้าสิบเมตรเปิดโล่งรับลมเย็น
“อ้าวยุทธ.. จะมาไม่โทรบอกพี่ล่ะจะได้ให้คนทำกับข้าวไว้รอ” คนที่เอ่ยทักทายยุทธนาอย่างสนิทสนมเป็นผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาสะสวย ผมยาวถึงกลางหลังถูกมัดรวบไว้กันเกะกะ ท่าทางคล่องแคล่วดูทะมัดทะแมง
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่นาว ผมรอได้” ยุทธนาว่ายิ้มๆก่อนจะหันมาหาเดือนสิบ มือหนาแตะที่เอวเขาเบาๆ “นี่เดือนสิบครับ”
คนถูกแนะนำแบบไม่ทันได้ตั้งตัวยิ้มเขินก่อนจะยกมือไหว้อย่างงงๆ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากเจ้าของร้านคนสวย
“น่าตาน่าเอ็นดูเชียว”
“ขอบคุณครับ” ยิ้มเขินทำตัวไม่ถูก เพราะไม่บ่อยนักที่จะได้ยินคำพูดทำนองนี้จากคนไม่รู้จัก
“พี่ชื่อนาวนะจ๊ะเป็นพี่สะใภ้ยุทธ เดือนสิบทำตัวตามสบายเลยนะอยากกินอะไรสั่งเลยเดี๋ยวมื้อนี้พี่เลี้ยงเอง แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจด้วยคิดซะว่าพี่เป็นพี่สาวเราอีกคนก็แล้วกันเนอะ” คนพูดไม่พูดเปล่ายื่นมือมาดึงแก้มเขาจนยืดอีกต่างหาก
เดือนสิบได้แต่ยิ้มแหยหันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆกันคล้ายขอความช่วยเหลือ ยุทธนามองท่าทางของอีกฝ่ายยิ้มๆก่อนจะพยักหน้าให้เป็นเชิงว่ายอมๆตอบตกลงไปเถอะ ด้วยรู้ว่านิสัยของพี่สะใภ้เป็นยังไง ถึงจะไม่ได้สนิทกันมากนักแต่ก็พอรู้มาบ้างว่าอีกฝ่ายเอาแต่ใจไม่ใช่เล่น
“งั้นก็รบกวนด้วยนะครับ” เดือนสิบตอบรับในที่สุด
“ฮึ่ยย น่ารักจริงๆเชียว” เจ้าของร้านคนสวยยิ้มกว้าง บอกพนักงานให้มารับออเดอร์จากพวกเขาก่อนจะเดินผละไปเมื่อเห็นว่ามีลูกค้ากลุ่มใหม่เข้ามา
“ผมพึ่งรู้ว่าพี่ยุทธมีพี่ชายด้วย” เดือนสิบเอ่ยทำลายความเงียบระหว่างนั่งรออาหารที่สั่งไป อีกอย่างคือเขาอยากหาเรื่องคุยเพื่อหลบเลี่ยงตายิ้มๆของอีกฝ่ายที่จ้องกันไม่เลิกนี่ด้วย
“เรารู้สิแปลก ขนาดเพื่อนในห้องยังไม่มีใครรู้เลย”
“พวกพี่ป้องพี่หินก็ด้วยหรอครับ” ยุทธนาส่ายหน้า
“เว้นพวกมันสองคนไว้แล้วกัน” เดือนสิบพยักหน้าหงึกหงัก “แล้วเราล่ะมีพี่น้องรึเปล่าหรือว่าลูกคนเดียว” ยุทธนาถามกลับบ้าง
“มีน้องชายคนหนึ่งครับ ตอนนี้อยู่ปวชสาม”
“เรียนช่างหรอ”
“ครับช่างกลเหมือนกัน” ยุทธนาพยักหน้ารับ เอ่ยถามต่อเรียบเรื่อยพยายามไม่ให้น้องรู้สึกว่าเขากำลังซักประวัติ
“ดีเลยสิ จบแล้วจะมาเรียนที่กรุงเทพฯเหมือนกันรึเปล่าล่ะ”
“ไม่รู้สิครับ ดูเหมือนมันไม่ค่อยอยากมาเท่าไหร่”
ยุทธนาพยักหน้ารับแต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่ออาหารที่สั่งไปก็เริ่มทยอยมาเสิร์ฟบทสนทนาเลยจบลงแค่นั้น
“อันนี้อร่อย”
เดือนสิบเหลือบมองคนที่ตักนั่นตักนี่ให้เขาชิมไม่หยุด ซึ่งครั้งนี้เสียงทุ้มเอ่ยประโยคเดียวกันเป็นรอบที่สามตั้งแต่อาหารมาเสิร์ฟ
“ขอบคุณครับ แต่พี่ยุทธกินเองบ้างเถอะไม่ต้องดูแลผมดีขนาดนี้ก็ได้” เดือนสิบว่ายิ้มๆ ถึงจะรู้สึกดีไม่น้อยที่อีกฝ่ายคอยเอาใจ แต่ความรู้สึกเก้อเขินมันมีมากกว่า
“ไม่ได้สิ ดูแลไม่ดีเดี๋ยวโดนหักคะแนนขึ้นมาทำไง” คนโดนหยอดย่นจมูก
“ไม่หักหรอกครับ เพราะตอนนี้ยังไม่มีคะแนนให้หัก” ยุทธนามองคนเขินที่ยักคิ้ววางท่าอย่างผู้เหนือกว่ายิ้มๆ
“งี้ก็แย่เลยสิ ดูแลดีขนาดนี้ยังไม่มีคะแนนสงสัยคงต้องไปช่วยอาบน้ำทาแป้งแล้วส่งเข้านอนด้วยซะล่ะมั้ง” แกล้งโอดทั้งที่หน้าเกลื่อนพรายด้วยรอยยิ้ม จนเดือนสิบชักเริ่มหมั่นไส้ขึ้นมาตงิด แล้วคำพูดคำจานั่นใช่คนที่ชอบวางท่านิ่งๆแน่หรอ
“พอเลยๆเลิกเล่นแล้วตั้งใจทานได้แล้วครับ”
“ตักให้พี่บ้างสิ” คนช่างเอาใจเหมือนจะอยากโคฟเวอร์คนเป็นง่อยขึ้นมา
“เรื่องอะไรล่ะครับ ตักให้ผมได้ก็ต้องตักให้ตัวเองได้สิ”
“ใจร้ายว่ะ”
เดือนสิบส่งเสียงหึขึ้นจมูก แต่ก็ยอมตักเนื้อปลาจากถ้วยต้มยำใส่จานของคนที่แกล้งทำเป็นน้อยอกน้อยใจจนน่าหมั่นไส้
“น่ารักแล้วยังใจดีอีก” พอทำให้แล้วก็มาแกล้งให้ได้เขินอีก มันน่าไหมเนี่ย
“กินไปเลย”
“รู้ป่ะเนี่ยว่าทำให้คนเขาหลงจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”
ไม่รู้! ไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ!
ยุทธนามองคนขยันเขินที่หน้าแดงหูแดงจนกลัวว่าจะระเบิดตัวเองไปซะก่อนยิ้มๆ ไม่ว่าจะพูดอะไรจะทำอะไรเขาก็มองว่ามันน่ารักน่าเอ็นดูไปเสียหมด
ดูท่าว่าเขาจะหลงคนตรงหน้าจนแทบจะบ้าแล้วจริงๆนั่นแหละ*****
ขอบคุณทุกคนที่รออิพี่กับน้องสิบขอรับ
ตอนที่แล้วมีแต่คนว่าพี่มันร้าย ตอนนี้มันร้ายกว่า และตอนหน้าๆมันจะยิ่งร้ายค่ะ