ตอนที่ 17หลังจากเอาของที่ซื้อจากซุปเปอร์มาร์เก็ตมาเก็บไว้ที่ห้องไอ้โซล พวกเราก็มาถึงบ้านผมในตอนบ่ายกว่าๆ
ผมใช้เวลาแทบทั้งบ่ายขลุกอยู่กับปิ๊กมี่ ไอ้โซลหลับอยู่โซฟาหน้าทีวี หมาผมตัวอ้วนขึ้นกว่าเดิม เดาได้เลยว่าม้าต้องตามใจเพราะทนลูกอ้อนของมันไม่ได้แน่ๆ
“มือๆ เก่งมาก” เขย่าขาหน้ามันเบาๆ ใช้การลูบหัวแทนการให้ขนม ได้ยินเสียงหัวเราะจากทางด้านหลัง หันไปก็เจอไอ้โซลยืนถือโทรศัพท์จ่อมาทางนี้
“แอบถ่ายอีกแล้วไอ้บ้านี่”
มันยิ้ม ไม่พูดอะไร หัวมันยุ่งนิดหน่อยแต่เหมือนกำลังยืนถ่ายแบบอยู่ดี กดๆ อะไรในโทรศัพท์สักแป๊บก็เดินมานั่งลงบนพื้นหญ้าข้างๆ ผม
“ตั้งแต่มาถึงก็ไม่สนใจผมเลยนะ”
“มึงก็นอนตั้งแต่มาถึงเหมือนกันนั่นแหละ”
เรากินข้าวกันมาจากข้างนอก ถึงบ้านผมก็พุ่งเข้าหาหมาตัวเอง มันก็พุ่งเข้าโซฟาหลับเป็นตายเลย ปกติทำงานก็ได้นอนน้อยแล้ว เมื่อคืนเหมือนมันจะนอนไม่ค่อยหลับด้วย คงเพราะกังวลเรื่องพีม
ตอนนี้เวลาเย็นๆ แสงแดดอ่อนลงมาก ปิ๊กมี่หยุดเล่นแล้วหมอบลงข้างๆ แทน
“ตอนนี้ไม่นอนแล้ว”
“คุยด้วยอยู่นี่ไง” ผมว่า แต่ตามองจอโทรศัพท์ไปด้วย ไอ้โซลไม่ได้ลงรูปที่ถ่ายผมเมื่อสักครู่ก็เลยโล่งไป แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าไอ้น้องกันบอกในรับแอดมันในเฟสบุ๊ค
คำขอเป็นเพื่อน
Krittin Rojjanakornkul“นี่มึงเหรอ”
“พี่เพิ่งเข้าเหรอเนี่ย ผมขอไปเกือบปี”
“เปล่า แค่ไม่รับคนไม่รู้จัก”
“ตอนนี้ต้องรับแล้วล่ะเพราะผมเป็นมากว่าคนรู้จักแล้ว”
ผมมุ่ยหน้า...รู้แล้วเว้ย!
เมื่อกี้เลื่อนคำขอเป็นเพื่อนลงมาดูกลับเห็นไอ้โซลซะอย่างนั้น เฟสบุ๊คผมมีเพื่อนไม่ถึงห้าร้อยคน เลือกรับแต่คนที่รู้จักกันจริงๆ เพราะอย่างนั้นถึงไม่แปลกเลยที่ผมไม่ได้กดรับไอ้โซลเป็นเพื่อน แต่พอเห็นชื่อแล้วก็คิดขึ้นได้ว่า kr ก็คือชื่อกับนามสกุลมันนี่หว่า นึกว่าตั้งอย่างนั้นเพราะอยากพรีเซนความหล่อเกาหลีของตัวเอง จะว่าไปตอนนั้นก็อคติกับมันพอสมควร
ไม่ใช่แค่ไอ้โซลกับไอ้น้องกัน แต่ยังมีพวกเพื่อนมันคนอื่นอีกด้วย
คำขอเป็นเพื่อน
Kanta Gun
Peerapong S. Ball
Miki Miki
Tei Thitikornผมกดรับเพื่อนมันทุกคน ไม่ถึงสองนาทีแจ้งเตือนก็เด้งขึ้น ไอ้น้องกันโพสหน้าวอลผมเลย
Kanta Gun
10 กรกฎาคม เวลา 16:58 น. YouTube
รับแอดผมแล้ว ฮือๆๆๆ
[คนน่ารักมักใจร้าย – Basketband]ไอ้น้องกันโพสลิ้งค์เพลงที่พวกเพื่อนไอ้โซลร้องในวันนั้นที่ใต้ตึกคณะสถาปัตย์ฯ ผมกำลังจะพิมพ์ตอบแต่มีคอมเมนท์หนึ่งเด้งขึ้นมาก่อน
Krittin Rojjanakornkul -*-“เชี่ยกัน แม่ง” คนข้างๆ สบถออกมา “พี่ยิ้มอะไรครับ”
“เครียดอะไรเล่า นี่เพื่อนมึงนะ”
“มันกวนตีน”
ที่ไอ้น้องกันโพสผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก รู้ว่ามันก็เล่นไปอย่างนั้นเอง
“ฝาก” วางโทรศัพท์ตัวเองไว้บนตักมัน อีกคนหน้าติดจะบึ้งหน่อยๆ ผมเลยผลักหัวมันไปทีหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบสายจูงปิ๊กมี่อยู่หลังบ้าน
ผมจูงมันมาที่สวนสาธารณะของหมู่บ้าน มีคนอยู่ประปราย ไม่เยอะเท่าไหร่ซึ่งถือว่าดี แล้วส่วนมากก็เป็นผู้สูงอายุกับเด็กที่ออกมาเดินเล่นกัน
“อย่าให้ใกล้เด็กมากนะ จับไว้ดีๆ” ผมกำชับ ไอ้โซลอาสาจะพาปิ๊กมี่วิ่งเล่น ผมเริ่มชักจะเหนื่อย เล่นกับมันตลอดบ่ายเลยอยากนั่งอยู่เฉยๆ แทน
ปิ๊กมี่ไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน มันเลยไม่คุ้นกับคนเท่าไหร่นัก ถ้าเจอผู้ใหญ่อย่างไอ้โซลมันจะไม่เข้าใกล้ แต่ถ้าเจอเด็กตัวเล็กๆ มันจะวิ่งเข้าใส่ทันที
“คุณชายมีอะไรจะบัญชาอีกไหมครับ”
ผมถลึงตาใส่ ไอ้โซลหัวเราะร่วน กระตุกสายจูงเล็กน้อย ปิ๊กมี่หันมามองผม ดูอาลัยอาวรณ์ ผมเลยตบก้นมันไปเบาๆ “ไปกับโซลนะ อย่าดื้อ”
พอหนึ่งคนกับหนึ่งตัววิ่งออกไป ผมเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วก็เห็นว่าผมไม่ต้องตอบไอ้น้องกันแล้วแล้ว
Kanta Gun อย่ามายุ่งกับโพสนี้ กูจะคุยกับพี่ซีนโว้ย
Miki Miki ไอ้กัน 5555555
Peerapong S. Ball ขอบคุณพี่ซีนที่รับแอดครับ
Tim PK พวกเชี่ยอะไรกับเพื่อนกูเนี่ย
Kanta Gun @Tim PK ผมชอบเพื่อนพี่ครับ
Scene W. หยุดได้แล้ว เดี๋ยวกูบล็อกให้หมด
Kanta Gun ไม่หยุด แน่จริงมึงให้พี่เขาพิมพ์เอง!!มีเพื่อนไอ้โซลอีกหลายคนที่ส่งคำขอเป็นเพื่อนมาเพิ่ม ผมจำชื่อไม่ได้เท่าไหร่แต่จำหน้าได้เลยกดรับเอาไว้ทั้งหมด แล้วก็โทรไปบอกม้าว่าซื้อวัตถุดิบอาหารเย็นวันนี้มาแล้วก่อนจะเก็บเครื่องมือสื่อสารใส่กระเป๋า มองดูผู้คนเดินเล่น ไม่ก็พูดคุยกัน
บรรยากาศสบายๆ พาให้ใจผมนิ่งลงบ้าง แต่ละวันใช้เวลาไปกับการเร่งรีบ ตื่นเช้า ทำงานจนเช้า ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วไปหมด รวมถึงคนที่กำลังแกล้งหมาผมอยู่ไกลๆ โน่นด้วย...
แต่นั่น...ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ได้ใช้เวลาในการซึมซับความรู้สึกเหล่านั้น
ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นเมื่อไอ้โซลมองมาทางนี้ โบกมือให้ ก่อนจะเดินตามแรงกระตุกของสัตว์เลี้ยงของผม
คุณป้าที่อยู่บ้านใกล้ๆ เดินมาทัก บอกว่าดังใหญ่แล้ว ผมโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน คิดไม่ถึงว่าคุณป้าจะดูซีรีส์แนวนี้ด้วย ผมนั่งคุยไปเรื่อยเปื่อย สักพักแกก็ขอตัวกลับบ้านก่อน ผมไม่ได้ดูที่ตัวเองแสดงเลยสักตอน ที่จริงหาเวลาดูได้แต่เลือกไม่ดูมากกว่า แค่เช็คมอนิเตอร์ตอนถ่ายเสร็จก็เขินจะแย่แล้ว
ไอ้โซลวนรอบสวนไปสามรอบเห็นจะได้ มันเดินเหงื่อซกกลับมาต่างกับปิ๊กมี่ที่ยังอเลิร์ทอยู่ อีกคนปล่อยหมาวิ่งมาหาผม ส่วนมันทรุดตัวนั่งลงข้างๆ
“อะไร แค่นี้ทำเหนื่อย”
“หมาพี่วิ่งไม่หยุด” มันหอบ ใช้หลังมือเช็ดเหงื่อที่หยดลงมา “ขาสั้นๆ แท้ๆ”
“โฮ่ง!”
“ด่ามันเลย”
“มันชมผมหรอก”
“ฟังรู้เรื่องด้วย ตัวนี้พันธุ์อะไรวะเนี่ย”
“พันธุ์ดีนะครับ อยากเลี้ยงไหมล่ะ”
“เลี้ยงไม่น่าเชื่อง เปลืองข้าวเปล่าๆ”
ไอ้โซลหัวเราะในลำคอ “ใช่ครับ พันธุ์นี้รู้สึกจะชอบคิดไม่ซื่อกับเจ้านาย”
เห็นไหม ไม่น่าเลี้ยงจริงๆ ด้วย!
“กลับบ้านดีกว่า ม้าน่าจะถึงแล้วแหละ”
ผมลุกขึ้น ไอ้โซลก็ลุกตาม มันยิ้มๆ ไม่ได้ว่าอะไร ปิ๊กมี่ขยับตัวดุ๊กดิ๊ก เหมือนอยากจะเล่นต่อไม่ก็รำคาญอะไรสักอย่างผมเลยคิดว่าเป็นปลอกคอ
“เพราะอ้วนไงเลยเป็นแบบนี้ ต้องพาไปว่ายน้ำด้วยแล้ว” พอถอดปลอกคอออกให้มันก็สะบัดหัว ดูสบายขึ้นเยอะ คึกกว่าเดิมอีก
เราเดินกลับกันแบบไม่รีบเร่งอะไร ม้าเพิ่งโทรมาบอกว่าถึงบ้านแล้วก็จะลงมือทำอาหารไว้รอ ปิ๊กมี่วิ่งอ้อมหน้าอ้อมหลัง มันไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอก ผมเลยมองตามมันตลอด
“ทำไมไม่อุ้มมันเลยล่ะครับ” ไอ้โซลพูดขึ้น มันคงรู้ว่าผมเป็นห่วง “ผมอุ้มให้ไหม”
“อย่าเลย มันหนักจะตาย”
เมื่อกี้มันก็พาหมาผมไปวิ่งเล่นแล้ว ไม่อยากให้มันเหนื่อยเพิ่ม ผมจับตามองมันอยู่ตลอดเลยคิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก จนกระทั่งมันเห็นหมาตัวอื่นอยู่ฝั่งตรงข้าม อะไรไม่รู้ทำให้มันพุ่งออกไปทันที ถึงแม้มันจะอยู่ในสายตาผมตลอดก็จริง แต่ผมห้ามมันเอาไว้ไม่ทัน
“ปิ๊กมี่!” รถยนต์คนหนึ่งตรงมาทางนี้ ผมจะวิ่งออกไปแต่โดนไอ้โซลคว้าตัวเอาไว้ก่อน เสียงล้อเบียดถนนดังจนต้องยกมือปิดหู ใจผมหล่นวูบ ตั้งสติได้ก็ดันตัวไอ้โซลออก ทรุดลงกับพื้นอ้าแขนรับปิ๊กมี่ที่วิ่งหูตกเข้ามาหา
ผมเอ่ยขอโทษออกไปเสียงสั่น คนขับรถคือสามีของคุณป้าแถวบ้าน โชคดีที่เขาไม่ว่าอะไรและเบรกได้ทัน
สัตว์เลี้ยงในอ้อมกอดครางหงิง ผมกอดมันแน่น ผมแทบไม่เคยปล่อยมันออกนอกบ้าน แต่ยังกล้าเอาสายจูงออก คิดแต่ว่ามันอยู่ในสายตาคงไม่เป็นอะไร ไม่คิดเลยว่าจะจับมันเอาไว้ทันหรือเปล่า ผิดเพราะผมสะเพร่าเอง ไม่คิดให้รอบคอบ
เหตุการณ์นี้ทำเอาผมใจสั่นไม่หาย ผมกัดปาก น้ำตารื้นขึ้นมาจนได้ เมื่อกี้อีกแค่นิดเดียว...ผมก็จะได้ลิ้มรสความรู้สึกของการสูญเสียสิ่งที่รักไปแล้ว
“ไม่เป็นอะไรแล้ว” สัมผัสบางเบาวางลงบนศีรษะก่อนจะเลื่อนลงมาโอบที่หัวไหล่ ใจมันก็เต้นแรงไม่ต่างกัน “แต่อย่าพุ่งออกไปแบบนั้นอีกนะครับ”
“..ขอโทษ” ผมเอ่ยเสียงเบา
ไอ้โซลลูบหลังใหญ่ พึมพำว่าไม่เป็นอะไรแล้ว...ไม่เป็นอะไรแล้วอยู่อย่างนั้น...ปลอบทั้งคนปลอบทั้งหมา...
...
พอถึงบ้านก็ยังไม่ปล่อยมันไปไหน ป๊าม้ารู้เรื่องก็มาช่วยปลอบ ที่จริงผมก็ปลอบตัวเองไปด้วย สักพักปิ๊กมี่ก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม ผมเลยรู้สึกดีขึ้น จะเข้าไปช่วยม้าทำกับข้าวแต่โดนไล่ออกมา บอกให้อยู่เป็นเพื่อนไอ้โซล
ไอ้โซลนั่งคุยกับป๊าหน้าตาเฉย ดูจะเข้ากันได้ดี ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะป๊าม้าของผมใจดีอยู่แล้ว
“แล้วจะทำงานในวงการต่อเลยไหมจ๊ะ” ม้าถามขึ้นระหว่างกินข้าว แน่นอนว่าไม่ได้ถามผม เพราะม้าคงรู้คำตอบอยู่แล้ว
ไอ้โซลเหลือบมองผมนิดหน่อย “ก็...ดูก่อนครับ”
“หืม ตอนนี้เรียนอะไรน่ะเรา” ป๊าถาม “แล้วทำไมถึงมาแสดงล่ะ”
“ผมเรียนสถาปัตย์ฯ ครับ พอดีพี่ปุ้ยขอผมเลยลองเล่นดู”
“นึกว่าเรียนเกี่ยวกับการแสดงซะอีก” ม้าว่า ตักกับข้าวใส่จานมัน “ถ้าชอบก็ดีเลยนะ โซลขึ้นกล้องมากๆ”
“ใช่ แสดงดีกว่าซีนด้วย”
“อ้าว ป๊า”
“ก็เราไม่ชอบให้ชมไม่ใช่เหรอ” ป๊าถามหน้าตาย ตอนที่ซีรีส์ออนแอร์ไป ม้าน่ะโทรชมแต่ป๊าน่ะแซว!
“แล้วแต่ป๊าเลย” ผมมุ่ยหน้า ก้มหน้าก้มตาจัดการข้าวตรงหน้าต่อ อีกสามคนที่นั่งร่วมโต๊ะหัวเราะร่วน
“เฮียได้ทักมาหรือเปล่า ตอนที่ม้าบอกว่าซีนได้แสดงนะโมโหใหญ่ บอกว่าซีนทำไม่ได้หรอก ตอนนี้เป็นไง ลูกม้าทำดีเหมือนม้าสมัยสาวๆ ไม่มีผิด” หน้าตาม้าดูสะใจ ตอนนั้นเฮียโวยวายจริงจังว่าไม่ให้ผมแสดง แต่ผมรับปากไปแล้ว แคสก็แล้ว ก็เลยเลยตามเลย
“วิดีโอคอลมาแต่ผมไม่ได้รับ ไลน์ไปก็ไม่ยอมตอบ” ตอนแรกที่ได้แสดงเฮียก็อยากให้ถอนตัวแต่เจอม้าดราม่าใส่เข้าไปเฮียก็จอด ไม่ได้อะไรกับผมอีก จนซีรีส์ออนแอร์ไปเนี่ยก็เหมือนจะตึงๆ ใส่ผมอีกรอบ “ถ้าเฮียโกรธผม ใครจะรับผิดชอบ”
“คัทจะโกรธเราทำไม ไม่มีเหตุผล เดี๋ยวม้าจัดการเอง”
ไม่ได้ช่วยให้ผมสบายใจขึ้นเลย ส่วนมากเฮียจะแค่เป็นห่วงซะมากกว่า ไม่เคยได้โกรธจริงๆ หรอก แต่ผมก็ไม่อยากให้เฮียทำหน้าโหดอยู่ดีแม้จะชินแล้วก็เถอะ
“โซลล่ะมีพี่น้องหรือเปล่า”
“ผมลูกคนเดียวครับ”
“เหงาไหม” ม้าถามเหมือนผมเปี๊ยบ อาจเพราะขนาดผมมีเฮียคัท ตอนเด็กๆ ถ้าเฮียไม่อยู่สภาพผมยังกับเด็กถูกทิ้ง หงอยเหงาดูน่าสงสารมากจนม้ายังแอบคิดว่าจะมีน้องอีกคนเพิ่มเพื่อให้มาเล่นกับผมดีหรือเปล่า
“นิดหน่อยครับ ตอนนี้มีพี่ซีน ไม่เหงาแล้ว” ผมถลึงตามองมัน แต่มันกลับทำแค่นั่งกินข้าวต่อเหมือนไม่ได้ตอบอะไรที่ผิดสังเกต
“ดีแล้ว ดูแลกันไปเนอะ”
“ครับ” มันรับคำก่อนจะแอบหันมายักคิ้วให้ผมทีหนึ่งด้วย
กวนตีน!
“แล้วมาเล่นแนวนี้แฟนเราไม่ว่าเหรอ”
“แค่ก!”
“ซีน ม้าเคยบอกให้กินช้าๆ ไง” ม้าว่าไม่จริงจังนัก ยื่นกระดาษทิชชู่ให้
ก็ดูสิ ป๊าถามอะไรออกมาก็ไม่รู้!
“ไม่ว่าหรอกครับ” ไอ้พระเอกตอบกลั้วหัวเราะ มือยังคงลูบหลังให้ผมอยู่
“มันเป็นงาน ก็ดีแล้วที่เขาเข้าใจ”
ผมลอบถอนหายใจที่ป๊าไม่ได้ถามอะไรต่อ...แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาทั้งที่ที่นี่คือบ้านผมแท้ๆ
สองทุ่มกว่าๆ ผมยังไม่อยากกลับเลยบอกไอ้โซลให้นอนที่นี่มันซะเลย เล่นกับปิ๊กมี่ย่อยอาหารสักพักก็ขึ้นไปอาบน้ำ จัดการตัวเองเรียบร้อยก็ไปค้นเอาเสื้อผ้าเฮียคัทวางเตรียมไว้ให้มันเพราะตัวเท่าๆ กัน
ระหว่างที่มันอาบน้ำผมก็ไปเล่นในห้องม้า กลับมาก็เห็นมันอาบน้ำเสร็จแล้ว
“นี่ชุด น่าจะใส่ได้นะ” ผมหยิบเสื้อมาสะบัดออก พยายามเมินไอ้ท่อนบนบ่อยเปลือยๆ นั่น ลองเอาเสื้อทาบที่ตัวมันดู
“ใส่ให้หน่อยสิครับ”
“ใช่เรื่องไหม” ผมยัดเสื้อให้มัน มันรับเอาไว้โยนไปที่เตียงเหมือนเดิม
“พี่ชายพี่ดุเหรอ”
ผมคิดนิดนึงก่อนจะสั่นหัว “ไม่นะ ถามทำไม”
“จะได้เตรียมตัวไว้ เผื่อไม่ยอมยกน้องชายให้” มันอมยิ้ม “มีน้องแบบนี้ไม่หวงไม่รู้จะว่ายังไง”
“กูเป็นผู้ชายนะเว้ย” มาหงมาหวงอะไรเล่า ผมเดินเลี่ยงไปอีกทาง หยิบผ้าผืนเล็กให้มัน “เช็ดหัวซะ ใส่เสื้อผ้าเร็วๆ ด้วย โชว์อยู่ได้”
“ผมพาหมาพี่วิ่งรอบสวนเลยนะ เหนื่อยจะตาย ไม่มีแรงแล้ว”
“ถ้ามึงไม่ยอมใส่เสื้อผ้ากูจะไปนอนห้องม้— เฮ้ย!”
ผมถูกดึงเข้าไปหา ช่วงเอวถูกรัดเอาไว้แน่น
“มึงทำอะไร นี่ในบ้านกูนะ!”
“ชู่ว เบาสิครับ เดี๋ยวก็ได้ฝากตัวเป็นลูกเขยวันนี้ซะหรอก”
ผมดิ้น แต่ดิ้นยังไงก็ไม่หลุด แม่งเป็นงูหลามกลับชาติมาเกิดเหรอ
“ปล่อยสิวะ—”
ฟอด“โซล!” ผมตะโกนลั่น ดิ้นพล่านยิ่งกว่าเดิม
“ไม่มีกลิ่นบุหรี่แล้ว พี่ไม่มีข้อแก้ตัวแล้วนะครับ”
“แต่นี่มัน...อื้อ!”
ฟอด“ดิ้นแล้วผ้าเช็ดตัวหลุดไม่รู้ด้วยนะ”
นั่นทำให้ผมชะงัก ลืมไปว่าทั้งตัวมันมีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวแล้วตอนนี้ตัวผมก็แนบไปกับตัวมันเต็มๆ
“ม...มึงก็ปล่อยสิ”
“หอมผมคืนก่อน”
“ปล่อยก่อน”
“พี่จะชิ่งแน่ๆ”
“ห...เห็นกูเป็นคนยังไง ปล่อยก่อนแล้วจะทำ” แม่งรู้ทัน! ผมพยายามทำหน้าตาให้น่าสงสารที่สุด แต่มันส่ายหน้า
“วันนี้ผมหัวใจจะวายรู้ไหม”
“ขอโทษแล้วไง!”
“ไม่ให้อภัยครับ” ไอ้โซลก้มหน้าลงมาแต่ผมเบี่ยงหน้าหลบ ใช้มือปิดปากมันเอาไว้ แต่สัมผัสหยุ่นนุ่มกลับประทบลงบนฝ่ามือแทน รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าช็อตไปทั่วร่าง ผมเลยรีบชักมือออก
ฟอด“โซล พอแล้ว” เริ่มกลายเป็นโอดครวญ หน้าร้อนจนจะไหม้ ทำอะไรไม่ได้สักอย่างนอกจากขอร้องมันอย่างเดียว
“ผมบอกว่าให้ทำยังไง”
ใครจะไปกล้าทำวะ แค่นี้ก็จะแย่แล้ว มันก็ทำเอาผมหัวใจจะวายเหมือนกันนั่นแหละ! ผมหนีปัญหาโดยการซบลงกับไหล่มันซะเลย…แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังตามมาหอมอีกอยู่ได้
จมูกโด่งกดลงบนแก้มผมซ้ำๆ ย้ำอยู่อย่างนั้นจนต้องหดคอหนี
“อื้อออ” ผมอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ เยอะไปแล้วนะเว้ย
ก๊อกๆเสียงเคาะประตูทำเอาผมสะดุ้ง มองหน้าไอ้โซลเลิ่กลั่ก แต่มันทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ
“ซีน”
“ม...ม้า ม้ามา!” ผมว่าเสียงกระซิบ ร้อนรนจะออกจากวงแขนนี้แต่ไอ้โซลก็ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้และไม่ยอมปล่อย
ก๊อกๆ“นอนแล้วเหรอลูก”
“ยังครับ”
“ไอ้บ้าโซล!”
“งั้นม้าเข้าไปนะ”
ผมปิดปากมันเอาไว้ไม่ทัน เอี้ยวตัวไปมองที่ประตูเห็นลูกบิดหมุนกำลังจะเปิดออก ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยตัดสินใจเหยียบเท้ามันไปเต็มแรง
“โอ๊ย!”
“ทำอะไรกันอยู่ อ้าว โซลเป็นอะไรล่ะลูก”
ผมถอยห่างจากไอ้บ้านั่นห้าก้าว ส่งยิ้มให้ม้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “มันเตะขอบเตียงอะม้า โง่เนอะ”
“ว่าน้อง” ม้าดุไม่จริงจังพลางยื่นขวดน้ำให้ “เอาน้ำขึ้นมาให้ ดึกๆ จะได้ไม่ต้องลงไปข้างล่าง”
“ขอบคุณครับ”
“แล้วเราเป็นอะไร หน้าแดงคอแดง ไม่สบายหรือเปล่า”
“เปล่า!” ผมยกมือปิดหน้าตัวเอง “เมื่อกี้ผมทาครีมแล้ว...ถ...ถูหน้าแรงไปหน่อย”
“ค่อยๆ ทาสิ ไหนม้าดูซิ” ม้าเอื้อมมาลูบแก้มผมเบาๆ ผมเลยก้มตัวลงไปซบที่ไหล่ผู้หญิงตรงหน้า กอดเอวอวบๆ ไว้ ได้ยินไอ้คนที่ลุกขึ้นไปนั่งบนเตียงหลุดขำก็ตวัดสายตามองมันเคืองๆ ยังมีหน้ามาขำอีก!
“อ้อนเป็นเด็ก อายน้องบ้างไหมเนี่ย”
ผมสั่นหัว อยากตะโกนออกไปว่ามันเพิ่งรังแกลูกม้า!
“ม้าจะไปนอนแล้ว นี่ก็รีบๆ นอนซะนะ” สักพักม้าก็ผละออก แต่ผมยังกอดเอาไว้แน่น
“จะไปแล้วเหรอม้า”
ผมมองตาละห้อย ม้าคิดว่าผมคงอ้อนทั่วๆ ไปเลยแค่หยิกแก้มเบาๆ แล้วออกไปจากห้อง
“ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะ ก็พี่บอกเองว่าถ้าสูบบุหรี่ก็ไม่ต้องเข้าใกล้ นี่ผมไม่มีกลิ่นบุหรี่แล้วแสดงว่าเข้าใกล้ได้”
ผมยกมือปิดแก้มที่ร้อนขึ้นมาอีกรอบ คำพูดของผมแม่งเหมือนกฎหมายที่มีช่องโหว่ แล้วดูท่ามันจะหาทางซอกแซกเอาประโยชน์เข้าตัวเองจนได้
“พอเลยนะ”
“ที่จริงก็ยังไม่พอเท่าไหร่”
“กูจะไปนอนห้องม้าจริงๆ ด้วย”
มันหัวเราะ “กลัวอะไรกันครับ”
“ไม่รู้แหละ แต่มึงห้าม...ห้ามทำแบบนี้ไปอีกนานๆ เลย”
ไอ้โซลโคลงศีรษะก่อนจะพยักหน้าอย่างจำยอม “ก็ได้ครับ มานอนเถอะ ผมไม่แกล้งแล้ว”
ผมขยับเข้าไปใกล้เตียงเมื่อเห็นมันแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว สอดตัวเข้าไปใต้ผ้านวมผืนใหญ่ ไอ้โซลนั่งเช็คโทรศัพท์นิดหน่อยก่อนจะเดินไปปิดไฟ ผมยังไม่ได้ปิดตาลง ในความมืดเห็นเงาตะคุ่มๆ กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ ไม่ทันฉุกใจอะไรก็โดนมันรวบเอาไว้ทั้งตัว...อีกแล้ว!
ฟอด“ฝันดีครับ”
“มึงรับปากไปแล้วไง!”
“ผ่านไปห้านาทีแล้ว คิดเป็นวินาทีก็สามร้อยวิเลยนะครับ ยังไม่นานพออีกเหรอ” แม้ทั้งห้องจะมืดแต่ผมกลับรู้สึกได้ว่ามันถามหน้าซื่อ พร้อมหัวเราะในลำคอแบบน่าถีบมาก
“งั้นห้ามเข้ามาใกล้หนึ่งอาทิตย์!”
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ” มันส่ายหน้า ดวงตาผมเริ่มปรับแสงได้ เห็นมันยกยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยว “อีกอย่างลืมไปแล้วเหรอว่าพรุ่งนี้เราต้องถ่ายฉากอะไร”
ผมอ้าปากค้าง เถียงไม่ออก
ไอ้โซลลูบหัวผมเบาๆ กดจมูกลงมาอีกรอบหนึ่ง “สุดท้ายแล้วครับ กลัวแก้มพี่ช้ำ”
แล้วนี่ยัง...ไม่ช้ำอีกเหรอวะ!?
-
คนน้องได้ไปกี่ฟอด...(10 คะแนน)
ฮี่ๆๆๆๆๆๆ
ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ค่ะ ^ ^
#ข้างหลังฉาก #โซลซีน