ตอนที่ 7วันนี้ไอ้โซลมาถึงก่อนผม
นักแสดงทุกคนอยู่ในชุดนักศึกษา ผมกับไอ้โซลยืนอยู่ข้างกัน ก้มหน้าพนมมือฟังพราหมณ์ทำพิธี ผมไม่ถูกกับกลิ่นธูปเท่าไหร่ จริงๆ ไม่ถูกกับกลิ่นควันทุกชนิดเลยหายใจลำบากไปบ้างแต่สุดท้ายพิธีก็จบลง
มีนักข่าวมาทำข่าว ถ่ายรูปและสัมภาษณ์พวกผม ส่วนใหญ่เป็นนักแสดงหน้าใหม่กันแทบทั้งหมด มีตัวประกอบอยู่ไม่กี่คนที่เคยเห็นหน้าค่าตาทางทีวีบ้าง อย่างคนที่ต้องแสดงเป็นน้ำ เธอชื่อหนิง เป็นผู้หญิงที่ไอ้พระเอกในเรื่องจะใช้มาประชดผม เธอเคยผ่านผลงานการแสดงมาบ้าง ผมนึกว่าจะหยิ่งๆ ถือตัว แต่เปล่าเลย พอได้คุยแล้วถึงรู้ว่าเธอเหมือนกับกิ๋ง...
หมายถึงเป็นผู้หญิงที่เข้ากับผู้ชายได้เป็นอย่างดี
นักข่าวก็สัมภาษณ์ทั่วไป ว่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร รับบทเป็นอะไร เห็นว่าผมกับไอ้โซลอยู่มหา’ลัยเดียวกันด้วย...บลาบลาบลา
แน่นอนว่าผมเกร็ง คนหน้าใหม่อื่นๆ ก็คงจะเหมือนกัน ยกเว้นแต่หนิงล่ะมั้งที่อาจชินกับไมค์และกล้องพวกนี้แล้ว
ผมก็ตอบไปตามคำถาม รู้สึกเสียงสั่นเล็กน้อยเหมือนเวลาออกไปพรีเซ้นท์งานหน้าห้อง...แต่ดูเหมือนนี่จะยิ่งกว่าพรีเซ้นท์งาน
มือไอ้โซลแตะอยู่ที่ด้านหลังของผม...ตบเบาๆ เหมือนให้รู้ว่ามันอยู่ตรงนี้ ไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่ต้องซีเรียสอะไรด้วย...นั่นทำให้ผมคลายอาการตื่นเต้นไปได้พอสมควร
แต่มันก็เป็นสัมภาษณ์ธรรมดาๆ จริงๆ แหละครับ พี่นักข่าวบางคนยังถามขำๆ ด้วยซ้ำไปว่าผมกับไอ้โซลจะคบกันจริงๆ ได้หรือเปล่า
ผมหัวเราะไปตามน้ำ ถ้าเป็นเพื่อนถามประโยคนี้ก็คงพ่นคำหยาบใส่ไม่ก็ยืนกรานเด็ดขาดว่าไม่ แต่อาจเป็นเพราะเราต้องสร้างกระแส หรือเพราะความขี้เล่นของไอ้โซล...ทำให้มันตอบนักข่าวคนนั้นกลับไปว่า...
“เป็นเรื่องของอนาคตครับ”แหม พ่อดาราใหญ่
พอเห็นไอ้โซลเล่นด้วย พี่ๆ ก็ได้ใจกันใหญ่
“คุณพระเอกว่ามาอย่างนี้” หันไปทางเฟิร์สบ้าง “แล้วคุณพระรองล่ะคะ?”
คนถูกถามอมยิ้ม และตอบออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล...
“อยากให้มีวันนั้นเหมือนกันครับ”เกิดเสียงฮือฮาพร้อมกับเสียงโห่แซวจากทั้งนักข่าวและนักแสดงคนอื่น ผมยิ้มค้าง หัวเราะแหะๆ ไปด้วยเล็กน้อย...ก็แค่ตั้งตัวไม่ทันตั้งแต่ไอ้โซลพูดแล้ว จะพูดอะไรก็น่าจะเตี๊ยมกันก่อน
มันน่าจับสองคนนี้ไปอยู่ด้วยกันซะให้เข็ด
ไม่ชอบขี้หน้ากันแทบตาย...แต่ทีอย่างนี้ล่ะร่วมด้วยช่วยกันสร้างกระแสดีจริงเชียว!
****
ผมอยากกลับบ้าน
เมื่อวานเพิ่งสอบเสร็จแถมยังกลับบ้านดึก วันนี้ก็ตื่นเช้า อีกไม่กี่วันเริ่มถ่าย นั่นหมายความว่าผมมีเวลาพักผ่อนน้อยนิดมากสำหรับปิดเทอมครั้งนี้
...แต่ผมกลับบ้านไม่ได้
เฟิร์สชวนไปดูหนังเรื่องเดียวกับที่ไอ้จั๊มพ์ชวน ผมเลยบอกไปตามตรงว่าผมดูมาแล้ว แต่เฟิร์สบอกว่างั้นเราไปดูเรื่องอื่นกันก็ได้
“ก็บอกไปเลยสิว่าพี่ —” ผมปรายตามองคนพูด ไอ้โซลเลยเงียบ มันไม่ค่อยจะเก็บอาการ แล้วตรงนี้คนเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมด คงไม่ดีที่จะมีใครมาเห็นว่านักแสดงไม่ถูกกันทั้งที่ยังไม่เริ่มเปิดกล้องเลยด้วยซ้ำ
“ว่าไงซีน”
ผมไม่ใช่คนที่ปฏิเสธเก่งอะไร น้ำเสียงที่เฟิร์สใช้ไม่มีการบังคับ แต่หมอนี่ดูอยากให้ผมไปด้วยมากๆ ซะจนผมเกรงใจ
ผมอึกอัก ใจมันไปอยู่บ้านแล้วแต่ทางนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง
“เมื่อกี้ผมแค่จะบอกพี่ว่าอย่าลืมนัดของเรานะครับ” คนที่เด็กที่สุดในนี้พูดขึ้นอีกครั้ง ผมทำหน้างง นัดอะไรอีก “ซ้อมไงครับ เดี๋ยวก็เริ่มถ่ายแล้วนะ”
แล้วผมก็เข้าใจทันทีว่ามันต้องการจะทำอะไร
เฟิร์สไม่สนใจไอ้โซล แม้ผมจะแอบเห็นว่าเขาหายใจเข้าลึกๆ เหมือนพยายามระงับอารมณ์ก็เถอะ แต่ก็ยังส่งยิ้มให้ผมเหมือนเดิม
“ซีนมีนัดแล้วเหรอเนี่ย”
ไอ้โซลเปิดมาขนาดนี้แล้วผมก็ต้องตามน้ำใช่ไหม…
“อ..อื้ม โทษทีนะ”
“กี่โมงล่ะ หนังสองชั่วโมงเอง”
เด็กตัวสูงข้างๆ ทำท่าดูนาฬิกา “อีกชั่วโมงก็ถึงเวลานัดแล้วครับ”
เฟิร์สจ้องหน้าเหมือนรอเอาคำตอบจากผมเท่านั้นซึ่งผมทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ กลับไป เรื่องซ้อมอะไรนี่ก็เออออไปตามเด็กนั่น ผมจะไปรู้ได้ไงว่าต้องตอบไปว่าอะไรมั่ง เผื่อตอบผิดก็ถูกจับได้น่ะสิ
“จริงๆ เรานัดกัน —”
“ถามซีน”
ไม่บ่อยนักที่เฟิร์สจะแสดงอาการออกมา แต่ไอ้โซลก็ไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังดูสนุกซะอีก
“..ก็ตามนั้นแหละ” ผมตัดสินใจพูดออกไป ยังไงผมก็เป็นคนกลาง ถ้าปล่อยให้สองคนนี้คุยกันมันคงได้แลกกันสักหมัด ไอ้โซลกวนตีนน้อยที่ไหน
แต่นั่นยิ่งทำให้เด็กตัวสูงนี่ได้ใจ มันเดินเข้าไปหาเฟิร์ส ถึงแม้ว่าคนตรงทางเดินจะน้อยลงแล้วแต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครอยู่เลย กล้องวงจรปิดก็มี ผมเลยคว้าแขนมันเอาไว้ จะเริ่มถ่ายอยู่แล้ว จะมามีเรื่องกันไม่ได้นะเว้ย!
“ได้ยินแล้วนะครับ ว่าพี่ซีนไม่ว่าง”
มันยิ้ม...
“...เพราะผมจองไว้แล้ว”แต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เฟิร์สกำมือแน่น
ผมดึงไอ้โซลมายืนข้างๆ บอกขอโทษเฟิร์สไปอีกครั้งแล้วรีบพาไอ้โซลออกมา ดูมันจะสนุกมากที่ยั่วโมโหเฟิร์สได้สำเร็จ เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เห็นเฟิร์สเก็บอาการไม่อยู่อย่างนี้
“ไม่ต้องมายิ้ม มึงนี่แม่ง”
“ผมช่วยพี่นะ หรืออยากไปกับไอ้นั่น?”
“ก็ไม่ แต่เรียกเฟิร์สดีๆ ดิ เขาเป็นพี่มึงนะ”
เด็กตรงหน้ากรอกตา “เฮ้อ ทำดีแล้วไม่เห็นจะชมกันมั่ง”
“โกหกไม่ใช่เรื่องดีซะหน่อย”
“นี่อยากไปดูหนังกับไอ้นั่นจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย”
“อยากหรือไม่อยากแล้วมึงจะโมโหทำไม”
เรายืนกันอยู่ในลานจอดรถ ไอ้โซลเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ผมรู้ว่ามันไม่ชอบที่ผมคุยกับเฟิร์สนัก แต่มันอายุเท่าไหร่แล้ว ผมไม่ใช่เด็กประถมนะที่ถ้าเพื่อนไม่ชอบใครแล้วเราต้องไม่ชอบไปด้วยน่ะ
ผมกอดอกมองคนตรงหน้า สูดกลิ่นธูปเป็นชั่วโมงทำเอาผมปวดหัวแล้วยังต้องมาลำบากใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก
ปล่อยให้ลานจอดรถเงียบอยู่อย่างนั้นเกือบนาที ก่อนที่เสียงถอนหายใจดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงทุ้มที่อ่อนลงกว่าเดิม
“ผมเห็นพี่ปฏิเสธแล้วมันยังตื้อผมเลยช่วย แต่พี่พูดเหมือนผมทำผิด”
มันไม่ได้ทำผิด แต่ก็ไม่ถูกซะทีเดียว
ไอ้โซลอาจไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ผมกับเฟิร์สเราคุยกันปกติ เขาออกจะดีกับผมมากด้วยซ้ำ นั่นทำให้ผมเกรงใจและพยายามรักษาน้ำใจเฟิร์ส
ผมไม่ได้อยากทำให้ใครเสียความรู้สึก
“ก็ไปโกหกแบบนั้น กูแค่รู้สึกผิด”
เอาเข้าจริง ถึงแม้ผมจะไม่ชอบวิธีการนี้เท่าไหร่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว จริงๆ มีอีกทางคือพูดตรงๆ ไปเลยว่าผมไม่อยากไปไหนมาไหนกับคนที่เพิ่งรู้จัก แต่นั่นแหละ ใครจะไปทำ
“แค่นั้น?”
“อืม”
“แค่รู้สึกผิด?”
“ก็เออน่ะสิ”
“ไม่ได้อยากไปกับมัน?”
“เออออออ” ผมลากเสียงยาว จนคนที่ยืนพิงรถผมอยู่หลุดยิ้มออกมา
“บอกให้เรียกเฟิร์สดีๆ ไง”
แล้วมันก็หุบยิ้ม เปลี่ยนเรื่องทันที
“ผมมีวิธีทำให้พี่หายรู้สึกผิดนะ”
ผมเลิกคิ้ว “ยังไง”
“ทำให้เรื่องโกหกกลายเป็นเรื่องจริงไงครับ”
ผมกดปลดล็อครถ ไอ้โซลถอยออกมาเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูรถให้ผมพร้อมกับผายมือ เห็นผมทำหน้าเอือมๆ ก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดีต่างกับเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าลิบลับ
“กูไม่มีอารมณ์ซ้อมหรอกนะ”
“แค่เราอยู่ด้วยกันก็พอ คนอื่นไม่รู้หรอกว่าเราซ้อมหรือไม่ซ้อม”
ตั้งแต่เริ่มเรื่องมาผมปฏิเสธอะไรได้มั่งเนี่ย?
แต่เหตุผลของมันก็เข้าท่าอยู่เหมือนกัน แล้วผมก็ขี้เกียจเถียงแล้วด้วย
“ไปบ้านกูนะ”
“แน่นอนสิครับ J”
ผมไม่น่าเออออไปกับมันตั้งแต่ทีแรกเลยนะว่าไหม?
****
“ปิ๊กมี่!”
“ปิ๊กมี่!”
เจ้าของชื่อเอียงคอมอง ทำหน้างง มันไม่ได้ไม่รู้จักชื่อตัวเองหรอก แต่มันไม่รู้จักคนตรงหน้าต่างหาก
“เฮ้ มาเล่นกันหน่อย”
ไอ้โซลแทบจะนอนราบไปกับพื้น ทุ่มสุดตัวเพื่อเรียกเจ้าหมาขาสั้นของผมให้เข้าไปหา มันมองมนุษย์ที่ไม่คุ้นหน้าแต่ท่าทางเป็นมิตร ขาสั้นๆ ก้าวออกไปข้างหน้าเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็หันกลับมาหมอบลงตรงขาผมเหมือนเดิม
“ไม่เอาน่าเตี้ย”
คนที่หมาไม่เล่นด้วยโอดครวญ
“ทำไมหมาพี่ทำงี้กับผมอ่ะ”
“ก็มันไม่รู้จักมึง”
ผมกดเปลี่ยงช่องไปเรื่อยๆ โซฟาข้างตัวยุบลงเมื่อไอ้คนบนพื้นถอดใจ
“เป็นหมาควรจะเข้ากับคนง่ายนะปิ๊กมี่” ผมเหลือบมองคนข้างๆ เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ คนอย่างมันคงมีแต่ผู้หญิงวิ่งเข้าหา แต่ตอนนี้กลับโดนหมาเมิน
ไม่ใช่แค่ไอ้โซลหรอก พวกเพื่อนผมก็เคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่พอปิ๊กมี่เริ่มคุ้นเคยมันก็ยอมให้เล่นด้วย
“มาบ่อยๆ เดี๋ยวมันก็วิ่งเข้าหามึงเอง”
ผมหยุดช่องไว้ที่สารคดีสัตว์โลก จ้องเพนกวินตัวอ้วนๆ ในจออยู่แต่หางตาก็แอบเห็นว่าไอ้คนข้างๆ นั่งหันหน้ามาทางผม
“อะไร”
“ถือว่าเป็นคำชวนนะครับ”
เสียงถอนหายใจของผมทำให้มันหัวเราะน้อยๆ ก่อนที่มันจะขยับไปนั่งดูทีวีตรงๆ
เจ้าตัวสี่ขาลุกขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มันเอาเท้าข้างนึงวางบนเท้าผมแล้วเขี่ยเบาๆ
“หิวเหรอ”
มันมองตาแป๋ว แต่ท่าทางนิ่งเฉยของผมคงทำให้มันรู้ว่าผมปฏิเสธ มันเลยร้องครางหงิงๆ อย่างน่าสงสาร
ปิ๊กมี่ขี้อ้อน ซึ่งบางทีผมก็ใจอ่อน พอน้ำหนักขึ้นก็ยิ่งต้องใจแข็งเป็นสองเท่า ให้กินพร่ำเพื่อไม่ได้ แต่ดูท่าวันนี้ลูกอ้อนจะเยอะผิดปกติ
หงิง ๆ ๆ ๆ ~
“ผมว่าให้มันกินนิดนึงก็ได้น่า”
แถมมีคนให้ท้ายด้วย
“นะครับ”
“อยู่ในครัว ตู้ขวาสุด ชั้นล่าง ห้ามให้หมดซอง”
“ผมป้อนได้เหรอ”
“อืม ลองดู”
ตอบส่งๆ ไป จริงๆ ผมแค่ขี้เกียจลุกไปเท่านั้นเอง ไม่รู้ปิ๊กมี่จะยอมกินของจากมือคนอื่นไหม เพราะไม่เคยให้คนที่เพิ่งมาบ้านให้อาหารหมาตัวเอง
ไอ้โซลเดินกลับมาพร้อมกับสแน็คแบบแท่ง ปิ๊กมี่มองตามซองขนมในมือคนแปลกหน้า ทำท่าเหมือนอยากจะลุกเข้าไปหาแต่ก็ลังเล
“มาเร็วเตี้ย”
“ไปกินสิ ไอ้นั่นไม่กัดหรอก” ผมว่ายิ้มๆ ลูบหัวมันเบาๆ
“ใช่ ไม่กัดแกหรอก แต่อยากกัดเจ้าของ”
“มึงเป็นหมาเหรอ”
“คนก็กัดได้จมเขี้ยวนะครับ อย่าดูถูกเชียว” ริมฝีปากหยักยกยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยว ผมจิ๊ปากหันกลับมามองจอสี่เหลี่ยมอย่างเดิม ไม่สนใจไอ้คนที่กำลังพยายามใช้ขนมล่อหมาต่อ ก่อนจะลองใช้ลิ้นแตะฟันตัวเองดูบ้าง
ผมก็มีเขี้ยวเหมือนกันเถอะ! กัดมากัดกลับก็ได้นะเว้ย!
เจ้าตัวสี่ขายืนขึ้นหลังจากนั่งมองผมด้วยสายตาออดอ้อนอยู่นานแต่ไม่เป็นผล มันก้าวไปหาไอ้โซลทีละนิด...ทีละนิด ไอ้โซลคุกเข่าลงกับพื้นยื่นแท่งขนมออกมาข้างหน้า เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อว่าปิ๊กมี่จะเข้าไปกินหรือเปล่า
ปิ๊กมี่ดมนิดๆ ผมหลุดขำเมื่อพอมือไอ้โซลขยับมันก็ตกใจถอยออกมา
นับว่าเป็นคนที่มีความพยายามสูงอยู่เหมือนกัน หรือไม่วันนี้ม้าก็อาจลืมให้อาหารปิ๊กมี่ ไอ้โซลลองยื่นขนมออกไปข้างหน้าอีกครั้ง รออยู่อย่างนั้นนิ่งๆ จนผมแอบเมื่อยแทน จมูกยาวๆ เข้าไปดมฟุตฟิตลองเชิง ก่อนมันจะอ้าปากงับขนมเข้าปาก
คนบนพื้นร้องเยสออกมาเบาๆ ไม่กล้าส่งเสียงดังเพราะกลัวหมาเตลิด มันป้อนขนมชิ้นต่อไปอย่างใจเย็น ระยะห่างระหว่างคนกับหมาก็หดสั้นลงมาเรื่อยๆ โดยที่หมาผมไม่น่าจะรู้ตัวว่าถูกลวงเข้าให้แล้ว
ผมยิ้มออกมาบางๆ เมื่อไอ้โซลเงยหน้าขึ้นมองผมขณะที่มือข้างหนึ่งป้อนขนม มืออีกข้างก็ลูบหัวมันไปด้วย
มันเป็นคนแรกที่เข้าหาปิ๊กมี่ได้เร็วมาก
หรือเพราะหมาผมตะกละ เขาเอาขนมมาล่อหน่อยก็คล้อยตามแล้ว...ไม่ได้การ ต้องจับมาสั่งสอนกันใหม่
เสียงแจ้งเตือนในโทรศัพท์ทำให้ผมละสายตาออกมา เป็นแจ้งเตือนจากแอพอินสตาแกรมที่ผมไม่ได้อัพเดตมาสักระยะหนึ่ง
พอเห็นชื่อคนที่มารัวไลค์รูปก็ทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดไป
เฟิร์สจะเชื่อไหมนะ...ถ้าเขารู้ความจริงคงจะเสียความรู้สึกมาก มันเหมือนผมรังเกียจเขายังไงยังงั้น
“แค่เราอยู่ด้วยกันก็พอ คนอื่นไม่รู้หรอกว่าเราซ้อมหรือไม่ซ้อม”คำพูดของไอ้โซลก็เข้าที แต่เฟิร์สจะรู้ได้ไงว่าเราอยู่ด้วยกัน...
คิดได้อย่างนั้นผมเลยกดเข้ากล้องแล้วเล็งไปทางไอ้คนที่กำลังเล่นกับหมา เผลอแป๊บเดียวปิ๊กมี่ก็ยอมให้มันกอดรัดขนาดนั้นแล้วเหรอเนี่ย...
sscene หมาใคร ทำไมใจง่าย
รูปเห็นหน้าไอ้โซลชัดมาก ไม่จำเป็นต้องแท็กเลย อัพปั๊บก็มีคนมาไลค์ปุ๊บ คอมเม้นท์เด้งขึ้นมาเร็วมากแต่ผมไม่ได้สนใจ พอเห็นชื่อเฟิร์สมากดไลค์ผมก็กดออกจากแอพ...เท่านี้ก็เรียบร้อย
ผมล้มตัวลงนอนราบไปกับโซฟา หาวออกมาทีนึง ในทีวีกลายเป็นเรื่องของสัตว์ประเภทอื่นไปแล้ว ผมเลยวางสายตาไปที่ไอ้คนบนพื้นที่กลายเป็นเพื่อนเล่นคนใหม่ของหมาผมแทน
“เล่นด้วยง่ายอยู่นี่หว่า”
ไอ้โซลพึมพำพลางเกาพุงมันไปด้วย
“ไม่เหมือนเจ้าของ”
ลดเสียงในทีวีเสร็จก็วางรีโมทลงกับเสียงดังเพื่อให้คนบนพื้นรู้ว่าผมได้ยินที่มันพูด
ไอ้โซลหัวเราะเหมือนรู้อยู่แล้ว มันป้อนขนมให้ปิ๊กมี่อีกชิ้นก่อนจะลุกขึ้น
“พอแล้ว พี่ซีนไม่ให้กินหมด”
ภาพสุดท้ายที่เห็นคือหมาขาสั้นของผมเดินตามเพื่อนใหม่ไป
กับไอ้โซลทำไมใจง่ายอย่างนี้นะปิ๊กมี่...****
ผมขยับตัวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกตัว รอบกายเงียบสงัดจนได้ยินเสียงรถยนต์ที่กำลังถอยเข้ามาในบ้าน ป๊ากับม้าคงเพิ่งกลับมา อะไรสักอย่างบนตัวผมให้ความรู้สึกอบอุ่น ทั้งยังมาพร้อมกับกลิ่นโคโลญที่ผมคุ้นเหลือเกิน
พอลุกขึ้นนั่งเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ก็ตกลงไปอยู่ที่ตัก คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมันพาดอยู่บนเบาะในรถของไอ้โซล...ทำไมมันชอบทำตัวเป็นคนดีนักนะ...
“ทำไมไม่ชวนโซลอยู่ทานข้าวด้วยล่ะลูก น่าจะแนะนำให้ม้ากับป๊ารู้จักบ้าง”
“ม้ารู้ได้ไงว่ามันมาบ้าน”
“ก็น้องเพิ่งกลับไปเมื่อกี้นี้เอง”
“ผมเผลอหลับอ่ะ”
ม้าเดินเข้ามาหอมแก้มอย่างที่ชอบทำ ถามไถ่ถึงงานบวงสรวงวันนี้และปิดท้ายด้วยการให้ชวนไอ้โซลมาทานข้าวที่บ้านในครั้งหน้า
ผมนอนลงอีกครั้ง เอาเสื้อกันหนาวตัวใหญ่มาคลุมไว้เหมือนเดิม...จะว่าไปแล้วมันก็อุ่นดี ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ค แจ้งเตือนขึ้นเยอะมากผมเลยกดปิดแจ้งเตือนไป แล้วผมก็ต้องตกใจเพราะรูปที่ผมลงคอมเม้นท์เกือบพัน...
HH5555 พี่โซลลลล กรี้ดดดดดดดด
mammp พี่อยู่ด้วยกันเหรอคะ
DINGDDO ผู้ชายหล่อกับหมา ละมุนอะไรอย่างนี้ <3<3<3
oohhoo บ้านพี่ซีน!!!
Cat_kuki กรี้ดสลบไปหลายรอบ T////T รอดูอยู่นะคะ
Tim_01 @sscene มันไปบ้านมึงบ่อยขนาดไหน ทำไมเล่นกับปิ๊กมี่ได้แล้ว
HH_shhhh ดีกับจัยยยยย อยากดูซีรีย์แล้วว
Jumper ครุ่นครีส
F4444_ ครุ่นครีสด้วยคล
ผมอ่านไล่มาเรื่อยๆ ก็มาทำนองเดียวกันหมด แค่อยู่ด้วยกันก็ดีใจขนาดนี้เลยเหรอ แล้วถ้าพวกเขารู้ว่าผมไปคอนโดมันตั้งบ่อยล่ะ อีกอย่างที่ผมอัพเพราะให้เฟิร์สเห็นว่าผมอยู่กับไอ้โซลจริงๆ เฉยๆ ไหนจะพวกเพื่อนนี่อีก เดี๋ยวผมค่อยไปตอบพวกมันในไลน์กลุ่มก็แล้วกัน
ผมไม่สามารถอ่านทุกคอมเม้นท์ได้เพราะมันเยอะมาก แต่ผมมาสะดุดอยู่ที่คอมเม้นท์นึง
Jubu_96 ถ่ายกันไปถ่ายกันมา น่าร้ากกกก
ลางสังหรณ์ผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ อะไรคือถ่ายกันไปมา แต่พอกดเข้าไปดูในไอจีไอ้โซลเท่านั้นแหละ...รู้เรื่อง
เหมือนมันจะถ่ายปิ๊กมี่ที่นอนหมอบอยู่ข้างโซฟา แต่มันติดผมที่นอนอยู่บนโซฟามาด้วย ดีหน่อยที่มีเสื้อกันหนาวของมันที่คลุมตัวผมเอาไว้อยู่ แล้วส่วนหนึ่งของเสื้อบังหน้าผมเอาไว้ครึ่งนึง ไม่งั้นน่าเกลียดตาย
Soul_kr น่ารัก
ผมเม้มปาก เอาหน้าซุกลงกับเสื้อกันหนาวตัวใหญ่โดยไม่รู้ตัว คอมเม้นท์ของมันพุ่งพรวดมากกว่าของผมอีก อาจเพราะใครหลายคนกำลังจับคู่ให้เราอยู่เลยคิดว่าแคปชั่นนั่นหมายถึงผมล่ะมั้ง ทั้งๆ ที่มันหมายถึงหมาที่นอนจ้องไอ้คนถ่ายตาแป๋วนั่นต่างหาก!
แต่ที่ไหนก็คงไม่คึกคักเท่าในทวิตเตอร์ พวกเธอแคปหน้าจอที่ผมกับไอ้โซลอัพแล้วโพสคู่กัน...
@tingjating
อยากชมเค้าตรงๆ แล้วป๊อด งั้นทำเป็นชมหมาเนียนๆ แล้วกันเนอะ #fof #โซลซีน
@mini_jj
เราโคตรเชียร์คู่นี้ #โซลซีน น่ารักมากกกก อยากดูเร็วๆๆ #fof
@ishipyounaokay
เห็นเพื่อนพี่ซีนเม้นแซวในไอจีพี่ซีนด้วย ยังไงคะยังไง!!!!??? #fof #โซลซีน
@mousesassy
ในเรื่องยังไม่เริ่ม แต่ในชีวิตจริงเค้าไปกันถึงไหนแล้วคะเนี่ย #โซลซีน
@ppero_o
พี่ซีนไม่อัพตั้งนาน อัพล่าสุดอัพรูปโซลซะงั้น ฟหกาดทฟสสฟวหากทดหกาวฟส #fof #โซลซีน
@PPPETERB
แคปชั่นเต็มๆ อาจจะเป็น...หมาน่ารักแต่พี่ซีนอ่ะน่าเลิฟ #fof #โซลซีน
@ahhhhaaaa
@PPPETERB หรือจะเป็น...หมาน่ารักแต่พี่ซีนอ่ะน่ากิน— แค่กก #โซลซีน
@oohhoo
นั่นบ้านพี่ซีนแล้วก็หมาพี่ซีนค่ะ!! เราส่องจากในบ้าน พี่โซลน่าจะมาตั้งแต่บวงสรวงเสร็จแล้วเพิ่งกลับไปตอนเย็น T////////////T #fof #โซลซีน
@kungpeuak
เรือแล่นไวอะไรอย่างนี้ #fof #โซลซีนน้องอู้วหูวอยู่แถวบ้านผมจริงๆ เหรอเนี่ย!!
แต่ถ้าเห็นแค่ภายนอกคงไม่เป็นอะไรหรอก ถ้าไม่เอากล้องส่องทางไกลส่องเข้ามาดูในบ้านว่าผมทำอะไรบ้างน่ะนะ น้องเขาคงไม่ทำอย่างนั้นใช่ไหม...?
ผมเพิ่งรู้ว่าแค่นี้ก็ทำให้พวกเธอมีความสุขกันได้ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ตั้งใจด้วยซ้ำ ที่ผมทำไปกลายเป็นว่าเป็นการสร้างกระแสไปแบบไม่รู้ตัว…ผมว่าไอ้โซลก็น่าจะคิดแบบนั้น
มันทำให้ทุกคนคาดหวังมากขึ้นด้วยใช่หรือเปล่า...เรื่องที่อยากให้ผมกับไอ้โซลคบกันจริงๆ
ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่การสร้างกระแส
มันคือการตลาด
...ซึ่งไม่ต่างจากการโกหกเลยสักนิดเดียว...
****
โอ๋เอ๋นะคะคนน่ารัก
เดี๋ยวก็ไม่ต้องโกหกแล้ว...เพราะเราจะทำให้พี่สมยอมอิน้องเอง!!
---------------------
ตอบคอมเม้นท์
ม เป็นอักษรต่ำ ซึ่งจะไม่ใช้วรรณยุกต์ตรีกับจัตวา ม้า เฉยๆ อาจดูแปลกเพราะส่วนใหญ่อาจชินกับ ม๊า 5555
หม่าม้า อย่างงี้น่าจะดูคุ้นกว่าเนอะ แต่ให้ซีนเรียกหม่าม้าดูแบ๊วไปเราเลยให้เรียกม้าเฉยๆ 555
แต่ก็ขอบคุณที่บอกนะคะ มีอะไรก็สามารถบอกกันได้เลยค่ะ ^ ^/
---------------------
อาทิตย์หน้าจะอัพเป็นตอนพิเศษวันวาเลนไทน์นะคะ โฮะๆ
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ด้วยค่ะ *โค้ง*