คนดีผีคุ้ม
พระแพงลาบวช
ครั้งนี้เขากับพระแพงไม่ได้ทะเลาะกัน แต่ปีนี้แพงอายุ 25 เป็นปีเบญจเพส
แพงเป็นชาวไทยพุทธเต็มตัว ไม่ได้งมงายแต่ก็ไม่เคยลบหลู่กับเรื่องแบบนี้ แพงมาขอเขาลากลับบ้านเป็นเวลาสี่เดือนเพื่อบวชให้ครบหนึ่งพรรษา
ปกติทุกๆ ปีก็จะมีคนมาขอลาบวชอยู่แล้ว สามวันบ้าง ห้าวันบ้าง ตามแต่สะดวก เขาเองก็ไม่ได้อะไรกับประเพณีนิยมอย่างนี้ เพียงแต่สี่เดือน... มันออกจะนานเกินไปหน่อยไหม
" ทำไมต้องลาต้องลาตั้งสี่เดือน"
" บวชทั้งทีก็ต้องบวชให้ครบพรรษาสิเสี่ย ยายผมสั่งไว้ บวชไม่ครบพรรษา*ก็ไม่ต้องบวช เปลืองผ้าเหลือง"
ตอนคุยเรื่องนี้กับแพง เขาเองก็อยากจะสวนไปว่า งั้นก็ไม่ต้องบวชสิ คนไทยบางคนบวชตามประเพณีนิยม บวชสามวันเจ็ดวันยังไม่ทันเข้าถึงรสพระธรรมก็สึกออกมาแล้ว แต่กับแพง... เกิดแพงบวชไม่สึกจะทำยังไง
" แล้วใครจะดูพระเพื่อน"
" เสี่ยก็ดูพระเพื่อนไปสิ พ่อแม่ก็เสี่ยก็อยู่ ถ้าเสี่ยยุ่ง ผมเอาพระเพื่อนไปฝากลุงกับป้าเลี้ยงก็ได้"
ขอย้ำอีกครั้งว่า เขาไม่ได้ทะเลาะกับแพง เพียงแต่ช่วงนี้แพงหงุดหงิดหัวเสียง่าย เห็นว่าทำอะไรไม่ได้ก็ไม่ได้ดั่งใจ แผ่นผ้ากอซที่อยู่บนหัวแพงตอนนี้ก็ใช่ เห็นว่าแฟ้มตกใส่เมื่อเช้า เขามองแพงบ่นหงุงหงิงๆ ปากแบะเล่นกับพระเพื่อน ปกติแพงเป็นเด็กว่าง่าย แต่ลองแพงพูดมาขนาดนี้ แสดงว่าตัดสินใจแล้ว
" มีอะไรอยากให้ช่วยก็บอกแล้ว"
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น ในวันที่แพงบวชเขาเองก็ไปร่วมพิธี งานบวชของแพงมีคนร่วมงานไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นพวกเพื่อนๆ ในจังหวัดที่ว่างงานพอดี ญาติแพงก็มีลุงกับป้า และพี่อีกสองคน เขาไม่เป็นคนร่วมตัดผมนาค ลุงแพงเองก็ไม่ได้กล่าวห้าม เพียงแต่เขารู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร
ทางพระพุทธศาสนา ห้ามคนเป็นกะเทยหรือรักร่วมเพศเข้าบวช แต่เรื่องนี้เขากับลุงแพง และแพงเองก็เคยถกกันแล้ว แพงเป็นชายแท้ หัวใจก็เป็นผู้ชาย ถึงรักชอบอยู่กับเขา มีลูกด้วยกันหนึ่งคนคือพระเพื่อน แต่ในความจริงแล้ว ตามหลักพุทธศาสนา สาเหตุที่เมื่อก่อนห้ามคนกลุ่มนี้บวช เขาว่าน่าจะเป็นความไม่เข้าใจของคนสมัยก่อน จากที่เขาหาข้อมูลมา หลักใหญ่ในความที่ห้ามคนกลุ่มนี้ เป็นเพราะคนสมัยก่อนคิดว่าคนกลุ่มนี้มักมากทางเพศ หากบวชหรืออุปสมบทไป จะลากิจทางกามไม่ได้ และบางส่วนก็มองว่าคนที่เป็นพวกรักร่วมเป็นพวกมีบาปมาตั้งแต่ชาติปางก่อน
แต่กับแพง... เขาอยู่กับแพงมานาน จนเกือบจะเรียกได้ว่าอยู่กินกันอย่างผัวเมีย แพงไม่ได้เป็นคนมักกามในกามแบบนั้น ไม่เคยประพฤติผิดในศีลข้อที่ร้ายแรง ศีลห้า...คนไทยก็ผิดศีลกันอยู่เป็นนิตย์ พวกที่หนีอาญาแล้วออกบวชเพื่อหลบหนีความผิดก็มีกันให้เห็นอยู่บ่อยๆ ดังนั้นการที่แพงบวช เขาจึงไม่ออกจากปากห้าม ลุงแพงเอง... ถึงจะสองจิตสองใจ แต่ในแง่ของญาติผู้ใหญ่ที่เลี้ยงดูแพงมา ก็คงอยากเห็นหลานคนนี้ออกบวชทดแทนคุณให้พ่อแม่
" ยัยนางมาเห็นคงดีใจ" ลุงของแพงว่าพลางปาดน้ำตา
นางคือชื่อของแม่แพง เห็นว่ามาจากคำว่า พระนาง ยายของแพงชอบดูลิเก แล้วก็เจอกับตาของแพงตอนนั้น พอมีลูกสาวเลยให้ชื่อพระนาง ส่วนลูกชายชื่อพระนาย
....ตั้งง่ายดีน่ะนะ
หลังจากงานเลี้ยงพระใหม่จบลง เขาก็ให้พระเพื่อนไปลากลับ ฉายาทางธรรมของแพงคือ ฐิตฺธมฺโม แปลว่าผู้มีธรรมตั้งมั่น ซึ่งเขาว่าชื่อนี้ก็เหมาะสมกับแพงดี
แต่ที่เกริ่นมา เนื้อหาของตอนนี้ไม่ได้เกี่ยวกับพระแพง เอ่อ หลวงแพงแต่อย่างใด แต่เกี่ยวกับพระเพื่อน ตอนที่แพงลาบวชพระเพื่อนแค่สองขวบ แพงเลี้ยงพระเพื่อนมาตั้งแต่เกิด และพระเพื่อนก็ติดแพงมาก วันๆ เรียกหาแต่พ่อแพง พ่อแพงคะอย่างนั้น พ่อแพงคะอย่างนี้ ก่อนนอนก็ต้องให้พ่อแพงพาเข้านอน ตื่นมาต้องให้พ่อแพงช่วยอาบน้ำ ถึงจะมีพี่เลี้ยงสองคน แต่ส่วนใหญ่เรื่องส่วนตัวของพระเพื่อน แพงก็จะลงมือทำเอง
ครั้งนี้แพงลาบวชสี่เดือน... เขาบอกพระเพื่อนไปตามจริงว่าแพงลาบวชหรือเรียกง่ายๆ ว่าพ่อแพงติดธุระ
ปกติพ่อแพงกับเขาก็มัก “ติดธุระ” กับบ่อยๆ จนต้องพาพระเพื่อนไปฝากที่บ้านพ่อแม่อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว และพ่อแม่เขาที่มีหลานอยู่คนเดียวแถมมีพี่เลี้ยงคอยช่วยดูแล ดังนั้นถ้าเอาไปฝากแค่สองสามวัน พ่อแม่เขาก็ยังดูแลไหว พระเพื่อนเองก็จะยังไม่งอแงหรือสร้างปัญหามาก
แต่พอถึงวันที่สี่แล้ว ถ้าเขากับพ่อแพงยังไม่ไปรับ แค่นั้นล่ะเป็นเรื่องทุกที ถึงพระเพื่อนจะไม่ได้งอแงถึงขั้นออกอาละวาดหรือทำลายข้าวของ แต่คำว่า “พ่อแพงอยู่ไหน” “ทำไมป๊ายังไม่มารับ” คำพูดแบบเด็กๆ ที่ถามซ้ำไปซ้ำมา แถมข้าวไม่ยอม กินได้นม แค่นี้ก็ทำให้พ่อกับแม่เขาที่เห่อหลานเป็นพักๆ ถึงกับอารมณ์ไม่ดี
พ่อแม่เขายังต้องออกงานสังคม ถ้าหลานงอแงบ่อยๆ ก็ปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ ดังนั้นระหว่างเรา… เขากับแพงและพ่อกับแม่ จึงมีข้อตกลงที่รู้กันโดยไม่ต้องบอกคือ เอาหลานมาฝากได้แต่มากสุดจะรับฝากแค่สามวันเท่านั้น
มาครั้งนี้พระเพื่อนอายุสองปี พูดจากันรู้เรื่องขึ้นมาหน่อย พอพ่อแพงบอกพระเพื่อนว่าจะไปออกบวชซักสี่เดือน... ไม่รู้ว่าเพราะสัญชาติของเด็กหรือยังไง พระเพื่อนงอแงไปสามวันสามคืนเกาะพ่อแพงแจบอกว่าตัวเองกำลังจะถูกทิ้ง
ไอ้เรื่องที่พระเพื่อนคิดว่าตัวเองจะถูกทิ้ง เรื่องนี้เขาเองก็เคยคุยกับแพงตอนหลังอยู่เหมือนกันว่าทำไมพระเพื่อนถึงพูดแบบนี้ เขากับแพงเลี้ยงลูกแบบคนสมัยใหม่ คือพูดคุยกันตรงๆ พูดจากันด้วยเหตุผล ไม่เคยโกหกหรือขู่ให้พระเพื่อนกลัว
รอจนเขากับแพงค่อยๆ ซักไซ้ไล่เลียง ในที่สุดพระเพื่อนก็ยอมบอกว่าตอนออกไปเที่ยวกับคุณย่า เพื่อนๆ คุณย่าเคยพูดแบบนี้
ตอนนั้นความโกรธของเขาพุ่งสูง ไม่ต้องพูดถึงแพงที่อยากจะศีลขาดถึงขั้นฆ่าคนตาย
ปากคนยิ่งกว่าปากกา เขาที่อยู่ในสังคมแบบนี้มานานใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องแบบนี้ แต่กับเด็กที่อายุแค่ไม่กี่ปี ไม่ว่าพระเพื่อนจะเกิดมาด้วยวิธีใด เขาจะมีรสนิยมแบบไหน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นจะมายุ่ง
วันนั้นเขากับแพงเลยต้องปรับความเข้าใจกัยพระเพื่อนอยู่นาน ว่าไม่ว่ายังไงพระเพื่อนก็จะไม่ถูกทิ้ง พระเพื่อนที่กำลังถือ Peppa pig (ตุ๊กตาหมูเน่า) ร้องไห้จนตาบวม ในสุดก็ยอมเข้าใจ กะพริบตาปริบๆ แล้วถามว่า “สี่เดือน นานขนาดไหนคะ”
แน่นอนว่าพระเพื่อนไม่ได้พูดเต็มประโยคแบบนี้ แต่ใจความหลักๆ เท่าที่เด็กสองขวบอยากรู้ก็คือ เมื่อไหร่พ่อแพงถึงจะกลับมารับ
คราวนี้ล่ะงานยาก เด็กสองขวบย่อมไม่เข้าเรื่องเวลา เขากับแพงมองหน้ากัน ก่อนที่แพงจะรีบเปิดกูเกิ้ล หาข้อมูลอยู่นาน ในสุดก็ได้คำตอบให้กับพระเพื่อนว่า พ่อแพงติดธุระสำคัญ แต่ป๊าอธิปยังอยู่ เวลาสี่เดือนไม่นาน พระเพื่อนอยู่เล่นกับป๊าอธิปก่อนนะ
….คำตอบนี้ เหมือนจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด แต่เขากับแพงเป็นพ่อแม่มือใหม่ ขอแค่ไม่โกหก ค่อยๆ คุยกันจนเข้าใจ พระเพื่อนที่เป็นเด็กเข้าใจอะไรง่ายๆ เลยถามเขาประมาณว่า “ป๊าจะดูแลน้องเพื่อน เล่นกับน้องเพื่อน เหมือนที่พ่อแพงทำใช่คะ”
----------------ชับ ชับ ชับ----------------
ตอนนี้เสี่ยมีความเป็นพ่อมากขอบอก><