จับมือ
ร้อยวันพันชาตินานน๊าน เสี่ยถึงจะชวนเขามางานเลี้ยงขนาดใหญ่แบบนี้ซักที เขาที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเสี่ยมาสองปีก็เพิ่งได้มีโอกาสออกงานใหญ่ๆ กับเขาเป็นครั้งแรก ซึ่งงานนี้ก็ไม่พ้นงานการกุศลของพวกไฮโซไฮซ้อ คุณหญิงคุณนายทั้งหลายต่างก็ใส่เครื่องประดับมาอวดกันจนแพรวพราว ถ้าเป็นสาวๆ หน่อยก็จะใส่ส้นสูงในชุดราตรีเปิดเว้าตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย บางคนก็ใส่กระโปรงยาวแต่แหวกขาซะสูงปรี๊ด เขาที่ถูกเสี่ยทิ้งไว้หลังจากเจอเพื่อนกลุ่มใหญ่ เลยยืนถือแก้วไวน์เหล่สาว เก๊กหล่ออยู่ที่ข้างกำแพง
แหม เขาไม่ใช่พวกสมัยนิยมหรือพวกหัวเก่าอะไรแบบนั้นหรอกนะ แต่ไอ้คำว่าศิลปะหรือแฟชั่นน่ะ มันไม่ได้เข้ามาอยู่ในหัวเขาเลยซักนิด สิ่งที่เข้ามาในหัวเขาน่ะมีแต่...
กระโปรงนั่นน่าจะแหวกข้างสูงขึ้นมาอีกนิด ไม่ก็ หลังน่ะไม่ต้องเอาผ้าซีทรูมาปิดก็ได้ เอาแบบเปิดให้เห็นเนื้อกันไปเล๊ย แล้วเวลาก้าวขาเดินน่ะ อื้อฮื้อ~
แม่เจ้าโว้ยยยย ไม่ใช่ว่าเขาจะลามกหรอกนะ แต่ขาขาวๆ สวยๆ เรียวๆ นั่นน่ะเห็นแล้วอารมณ์พุ่งปรี๊ด อยากจะทำเหรียญตกซัก 100 เหรียญ แล้วค่อยๆ เก็บ ค่อยๆ เก็บ ไปทีละเหรียญๆ อื้อหือออ แค่คิดเลือดกำเดาก็จะพุ่ง อยากพุ่งไปเก็บเหรียญแล้วแอบมองจริงโว้ย!
แต่ก็นะ
ได้แต่คิดแต่ทำไม่ได้!
เขาที่มีลูกหนึ่ง ผัว เอ๊ย สามีหนึ่งเลยได้แต่ยลขาขาวๆ สวยๆ ของสาวไฮไซที่ไม่ได้นุ่งน้อยห่มน้อย มองอาหารตาที่โชว์วาบหวิวพอให้หัวใจคนหนุ่มได้กระชุ่มกระชวยหัวใจ ส่วนบรรดาแม่แก่... แค่กๆๆ หมายถึงบรรดาคุณหญิงคุณนายที่มาประมูลเครื่องเพชรเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้า เขาก็มองเลยผ่านไป
จะว่าไปการช่วยเหลือเด็กกำพร้าแบบนี้ เขาว่ามันก็เป็นตัวอย่างที่ดีต่อสังคมนะ ถึงใครบางคนจะบอกว่าเอาหน้า แถมเงินส่วนนี้ยังสามารถเอามาหักภาษีได้ แต่ก็เพราะมีคุณหญิงคุณนายอวดรวยพวกนี้นี่แหละ เด็กน้อยด้อยโอกาสถึงได้มีกินมีใช้ เขาเองก็คอยไปทำบุญที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่บ่อยๆ (เพราะตัวเองบริจาคเลือดไม่ได้) พอเห็นเด็กตัวเล็กๆ ถูกพ่อแม่ทิ้ง อยู่รวมๆกันหลายคนเข้า เขาก็ได้แต่นึกสงสาร
เมืองไทยไม่ได้เปิดให้ทำแท้งเสรี แต่เด็กไทยก็ท้องก่อนแต่งกันเยอะ คนที่ตั้งท้องด้วยความไม่ได้ตั้งใจก็มีอยู่มาก จะทำแท้งก็ถูกด่าหาว่าเลว แต่พอมีลูก บางคนก็จำเป็นต้องเอามาทิ้งเพราะความไม่พร้อม เด็กคนหนึ่งพอเกิดออกมาแล้ว ไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็ต้องกินต้องใช้ แล้วกับคนที่ไม่พร้อมที่จะเลี้ยงดู แค่ทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดไปวันๆ ยังทำได้ยาก แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาเลี้ยงลูก
เขาที่มีน้องพระเพื่อนเป็นเหมือนลูกสาวอยู่หนึ่งคนนี่รู้ดีเลยว่า การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตมาเป็นคนดี ร่างกายแข็งแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี(ตามสภาพกระเป๋าตังค์) เขาบอกได้เลยว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถึงจะมีคนเถียงว่าคนจนเลี้ยงลูกได้ดีมีถมไป แต่เราก็ไม่คงปฎิเสธไม่ได้ว่ามีเงินมากก็ย่อมมีกว่าไม่มี เพราะงั้นถ้ามีโอกาส เขาก็มักจะเอาเงินกับพวกเสื้อผ้าไปบริจาคที่สถานสงเคราะห์อยู่บ่อยๆ เด็กพวกนี้จะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขเพิ่มขึ้นมาอีกนิด ส่วนใครจะทำแท้ง ใครจะท้องแล้วทิ้ง เรื่องพวกนี้คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของรัฐบาล ขืนเขาคิดเยอะ ก่อดราม่า เดี๋ยวศพจะไม่สวย แล้วไม่มีคนเลี้ยงพระเพื่อนซะเปล่าๆ
สู้เขาเอาเวลาอิสระอันน้อยนิดมาส่องสาวๆ สวยๆ เยียวยาหัวใจดีกว่า ดูอย่างคนนั้นสิ ชุดราตรีสีดำยาว แขนเสื้อก็ยาวแต่เปิดหลังจนเกือบจะถึง ตื๊ด โอยย หลังเรียบเนียนจนอยากเห็นด้านหน้า อยากดูสิว่าหน้าตาคุณเธอจะแหล่มขนาดไหน จะสวยเนียนเหมือนแผ่นหลังที่ไร้รอยไฝฝ้าบ้างไหม สาวเจ้าขายาว หุ่นก็ดี เขาชะโงกหน้าออกไปดู อยากเห็นดวงหน้าน้องนวลให้เป็นบุญตาซักนิดสิ...
แต่....
เอิ่ม...
_๊าคคคคคมาก!!! หลังยี่สิบ หน้าหกสิบห้า! ถ้าป้าจะดูแลกระดูกสันหลังกับแผ่นหลังดีขนาดนี้ ป้าเอาเงินไปทำโบท็อกบ้างเถอะครับ! ฟิลเลอร์น่ะฉีดเข้าไปเยอะๆ อย่าปล่อยให้หน้าเหี่ยวจนเห็นริ้วรอยกับถุงใต้ตาเสียสายตาหมด วุ้ย!
คิก..ป๊าดดดด ใครบังอาจมาหัวเราะการส่องสาว(แก่) ตรูฟร๊ะ!
เขาหันขวับไปทางต้นเสียงทันที กะเตรียมสาดเหล้าใส่เต็มที่ ตูมีแก้วแชมเปญอยู่ในมือนะเห็นไหม ขืนพูดจาไม่ถูกหูเดี๋ยวปั๊ดสาดแชมเปญใส่เสื้อ คนที่มางานนี้ส่วนใหญ่รวยๆ กันทั้งนั้น เพราะงั้นสูทมันต้องเป็นสูทสั่งตัดราคาแพงแต่ไม่ทนการกัดกร่อนของเหล้าแชมเปญแน่นอน! (อันธพาล...)
แต่...
แต่พอหันไปทางทำไมไม่เจอใครเลยแฮะ เขากะพริบตาปริบๆ แอบขนลุกอยู่หน่อยๆ เพราะกลัวจะเจอผีอำกลางโรงแรม แต่พอกดสายตาลงอีกนิดเพราะเห็นปลายผม(หัว)ดำๆ
ชัดเลย...
พี่พี!
เฮ้ยยย เผื่อใครจะจำพี่พีไม่ได้ พี่แกคือแขกรับเชิญที่เคยออกโรงมาแล้วตอนบทที่สิบเจ็ด พี่พีแกเป็นแฟนกับคุณเพ้นท์ ส่วนคุณเพนท์คือคุณชายที่รวยเป็นอันดับต้นๆ ในกลุ่มคนทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คุณเพ้นท์แกทำตั้งแต่เก็งกำไรขายที่ดินรวมไปจนถึงการรับเหมาก่อสร้าง ตึกใหญ่ๆ ในเมืองกรุงที่เห็นก็เป็นฝีมือพี่แกที่ไปดีลงานมาทั้งนั้น แม้แต่พวกโครงการบ้านระดับ Hi-End ทั้งในและต่างจังหวัด ต่างก็ได้บริษัทพี่แกเป็นคนจัดการ พี่แกรับทำตั้งแต่ออกแบบ ตกแต่ง วางผัง ไปจนถึงก่อสร้าง งานที่ออกมาแต่ละก็งานสวยนิ้ง จนใครหลายคนชื่นชอบและบอกกันปากต่อปากโดยเฉพาะชาวต่างชาติ
ดังนั้นบริษัทเสี่ยที่เป็นบริษัทนำเข้าและส่งออกวัสดุจำพวกชิ้นส่วนก่อสร้าง (พวกโครงเหล็กที่มีความทันสมัยเหมาะกับการสร้างตึกสูงๆ ที่ต้องอาศัยความแข็งแรงเป็นพิเศษอะไรแบบนี้) เลยต้องดีลติดต่อค้าขายกับบริษัทคุณเพ้นท์อยู่บ่อยๆ เรียกว่าคุณเพ้นท์เป็นหนึ่งในลูกค้าระดับเอ็กครูซีฟหรือ VIP เลยก็ว่าได้
เขาเห็นพี่พียืนหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ เลยว่าจะวางแผนจีบแกซักหน่อย... อะไรนะ นอกใจ จะตะโกนฟ้องเสี่ย?
ปัทโธ่ มันใช่ที่ไหนกันเล่า! ของแบบนี้เขาเรียกกันว่าการรีมายด์(Reminds) เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางด้านการค้า พูดง่ายๆ แบบเจาะจงกว่านั้นอีกหน่อยก็คือ การรีมายด์เปรียบเสมือนการบอกเตือนให้ลูกค้ายังจำได้ว่า เฮ้ ยังมีบริษัทนี้อยู่นะ อย่าลืมฉันแล้วไปซื้องานกับบริษัทอื่นเลยนะ
ทุกวันนี้การค้า ไม่ว่าตลาดไหนต่างก็มีคู่แข่งกันทั้ง โดยเฉพาะกลุ่มตลาดที่แม้แต่เศรฐกิจจะชะลอตัวแต่ก็ยังมีความมั่นคง ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาแบ่งเนื้อแซนด์วิช การรีมายด์ลูกค้าจึงเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยดึงฐานลูกค้าเอาไว้ ส่วนวิธีการรีมายด์ก็มีหลายแบบ แต่หลักๆ ก็คือการทักทาย ชวนพูดคุยเรื่องที่เกี่ยวกับองค์กรและให้ความสำคัญกับลูกค้า
หรือพูดง่ายๆ กว่านั้นก็คือนอกจากการเสนอขาย การบริการหลังการขายก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไม่ใช่ว่าพอขายของเสร็จก็พร้อมเฉดหัวลูกค้าทิ้ง ลูกค้าคือคนสำคัญ (แต่ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า) ถ้าหากอยากให้ลูกค้าทำการค้ากับเรานานๆ เรายิ่งต้องมี service mind* (การรีมายด์ก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนนี้) มีการติดสินบนทางด้านจิตใจกับลูกค้า ทั้งการพูดจาดีๆ เพราะๆ เอาอกเอาใจ ลูกค้าจะได้เกิดความประทับใจและจดจำแต่ภาพลักษณ์ดีๆ ของบริษัทหรือสินค้า หรือถ้าอย่างขี้โกงหน่อย ลูกค้าคนไหนมีลูกมีเมีย(หรือมีผัว) แล้ว บางทีเราก็ต้องคอยเทคแคร์คนกลุ่มนี้ด้วย เพราะคนใกล้ตัวหรือคนคู่เรียงเคียงหมอน คนกลุ่มนี้ บางทียังมีอิทพลต่อกันตัดสินใจของลูกค้า มากกว่าโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมซะอีก
เหมือนอย่างบริษัทเสี่ยเองก็มีการกันเงินส่วนหนึ่งออกมาไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพราะนอกจากการพาลูกค้าไปหาอะไรกิน(ระหว่างตกลงทำสัญญา) บางทีเราจะอาจจะต้องมีของฝาก มีของขวัญชิ้นเล็กๆ เป็นของติดไม้ติดมือ หรือในกรณีคู่ค้าเป็นผู้ชายเราก็อาจจะพาเขาไปออกรอบตีกอล์ฟ ลงอ่างอาบอบนวด (แค่กๆ) ซึ่งเงินที่จ่ายไปในส่วนนี้เราก็จะเอามาทบกับต้นทุนบวกกับกำไรอีกที...
แหม วงการธุรกิจ อะไรก็เป็นเงินเป็นทองล่ะนะ เราอาจจ่ายน้อยเพื่อเอาใจลูกค้าไปก่อน รอจนลูกค้าติดใจเราค่อยไปค่อยขูดรีด เอ๊ย ไม่ใช่ หมายถึงตกลงราคากันอีกที ลูกค้าได้ความประทับใจ เราได้กำไรจากการขาย วิน-วินกันทั้งฝ่ายเลยเนอะ (เหรอ)
ดังนั้นเขาที่ยืนว่างอยู่พอดีเลยกะถือโอกาสฝึกการรีมายด์ไปในตัว เพราะปกติในงานเลี้ยงแบบนี้ถ้าเสี่ยไม่ดึงตัวเขาไปแนะนำกับคนอื่นก่อน นอกจากยืนรอนิ่งๆ เขาก็ทำอะไรอื่นอีกไม่ได้ พวกคนรวยก็มีอีโก้แบบคนรวยที่จะไม่สนใจคนนอก ยิ่งกับคนที่ไม่รู้จัก... หรือพูดให้หนักกว่านั้นก็คือคนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ถ้าไม่มีคนแนะนำก่อนก็อย่าหวังเลยว่าจะมีคนอื่นมาคุยด้วย
อ่อ ยกเว้นแต่ว่าคุณหล่อรวยหรือไม่ก็สวยแบบดาวค้างฟ้า อย่างนั้นไม่ต้องมีภูมิหลังอะไรมาก ขอแค่มีเงินกับหน้าตาที่ดี คนอื่นก็อยากจะมาคุย
ส่วนตัวเขา... เอาเป็นว่าเขาไม่หลงตัวเองว่าหล่อหรือรวย เขาแค่มีหุ่นที่ดี(เสี่ยออกจะชมบ่อย) แต่หุ่นเขามันดันอยู่ใต้ร่มผ้า จะให้เปิดพุงโชว์ซิกพร้อมกับผิวสีแทนสุดเด่นก็ใช่ที่ ดังนั้นกับพี่พีที่เคยคุยกันมาก่อน ถ้าเขาเดินเข้าไปทัก พี่แกก็คงจำเขาได้แหละมั้ง
" ผมพระแพงครับ จากบริษัทเหมยฮัว"
แนะนำตัวเสร็จก็ยื่นนามบัตรไปให้แบบเนียนๆ พี่พียิ้มยาหยี วางส้อมที่ถืออยู่ลงบนจานเค้กแล้วรับนามบัตรไปจากมือเขา
" พีครับ เป็นเภสัชกร ขอโทษทีนะ ผมไม่มีนามบัตร แค่ตามแฟนมาหาอะไรกิน เรา... มาคนเดียวเหรอ"
พี่พีกวาดตาขึ้นๆ ลงๆ ดูท่าพี่พีจะจำไม่ได้แฮะว่าเราเคยเจอกัน ดีนะเขาไม่ออกตัวแรง ไม่งั้นคงหน้าแตกดังโพละ
พี่แกกวาดมองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า เหมือนกับกำลังประเมินว่าเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า มันจะมาหลอกจีบไหม แล้วที่สำคัญ ไอ้นี่มันต้องเรียกพี่หรือน้อง
ปัทโธ่... ก็ใครใช้ให้พี่พีหน้าเด็กเล่า!
“ เราเคยเจอกันมาก่อนที่สวนสาธารณะไงครับ เมื่อห้าปีก่อน ที่พี่พาหมาไปเดินเล่น ผมเป็นรุ่นน้องมหาลัยเดียวกับพี่พีไง”
“ อ๋อออออออออออ” อ๋อออออ นี่คือนึกออกแล้ว!
“ ขอโทษนะ พี่นึกไม่ออก พอดีพี่จำหน้าคนไม่ค่อยเก่งน่ะ” พี่พีว่าแล้วเราะแฮะๆ
“.…”
แล้วพี่จะอ๋อทำไมตั้งยาววะ!
แต่ก็นั่นแหละ ลูกค้าคือพระเจ้า (ไหนเมื่อกี้ว่าไม่ใช่?) ต่อให้ลูกค้ากวน_ีนมาเราก็ทำได้แต่หัวเราะรับ เขายืนคุยกับพี่พีสลับกับช่วยพี่แกรำลึกความจำ ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง พี่แกถึงได้ร้องอ๋อออกมาอีกรอบ
“ อ๋ออออออ อ๋อๆๆๆ พี่นึกออกแล้ว เราที่เคยเข้าไปเล่นกับหมาพี่ตั้งแต่ตอนโน้นใช่ไหม ขอโทษนะที่ตอนนั้นแฟนพี่เสียมารยาท พอดีช่วงนั้นมีเรื่องขึ้นนิดหน่อย แฟนพี่เลยขี้ระแวง เราเป็นไงบ้าง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ดู.... สูงขึ้น?”
เปล่าครับ พี่เตี้ยลงต่างหาก....
มันใช่ที่ไหนกันเล่า! ก็ใครใช้ให้พี่พีสูงแค่ร้อยหกสิบตื๊ด แถมเวลาใส่สูทผูกไทด์ ต่อให้เขาสูงอยู่แล้ว แต่เพื่อเสริมบุคลิกภาพ เสี่ยเลยสั่งให้เขาซื้อรองเท้าคู่ใหม่มา รองเท้าคู่นี้ส้นไม่สูงมาก แต่พอมายืนเทียบกับพี่พีแล้ว... อืมมม พี่ตัวเล็กลงเยอะนะ
“ พี่พีกินอะไรหรือยังครับ ไปนั่งหาอะไรกินด้วยกันไหม ผมยืนจนขาแข็งแล้วเนี่ย”
เขาชวนพี่พีคุยเรื่องอื่น ไม่คุยต่อเรื่องความสูง
และขอย้ำว่า นี่ไม่ใช่การจีบหรือการขายอ้อย! เขาแค่หาเรื่องชวนพี่พีคุยเพราะดูพี่พีเป็นคนชอบกิน (ดูจากร่องรอยอาหารที่อยู่ในจานก็รู้)
ปกติงานเลี้ยงแบบนี้เขาเรียกว่างานกินทิ้ง อาหารบุฟเฟ่ห์ อร่อยๆ หรูๆ นอกจากตอนเริ่มงาน ช่วงหลังๆ ก็ค่อยมีใครไปหยิบทาน ส่วนใหญ่จะกังวลเรื่องกลิ่นปาก ไม่ก็พุงยื่น(กรณีผู้หญิง) แถมการกินไปคุยไป ถ้าไม่ใช่คนที่สนิทกัน มันก็จะดูไม่ค่อยดี ดังนั้นเพื่อความหล่อ สวย และดูดี คนส่วนใหญ่เลยเลือกที่จะถือแค่แก้วเครื่องดื่มไม่ก็แก้วเชมเปญ มีแค่เด็กๆ กันคนที่ไม่เป็นที่สนใจของชาวบ้านเท่านั้นแหละที่จะมานั่งกิน
ส่วนเขา... เขาหาอะไรกินรองท้องไปตั้งแต่ตอนเริ่มงานแล้ว งานนี้เสี่ยพาเขามาแค่เปิดหูเปิดตา ไม่ได้ตั้งใจพาเขามาแนะนำตัว พอเสี่ยเจอกลุ่มเพื่อน เสี่ยก็หายต๋อมไปกับกลุ่มเพื่อนสนิทแล้วบอกให้เขารออยู่แถวๆ นี้ เขาที่ยืนหัวโด่ เหล่สาว มาพักใหญ่ตอนนี้ก็เริ่มท้องร้องจ๊อกๆ
พี่พีที่ไม่มีใคร(ไม่มีแฟนคอยอยู่คุม) พอเห็นเขาเอามือลูบท้องประกอบท่าทาง พี่แกก็ทำตัวเป็นรุ่นพี่มหาลัยที่ดี เดินตามเขามาที่โต๊ะบุฟเฟต์ ชี้แนะนำอาหารอันนั้นอันนี้ ส่วนตัวเองเลือกหยิบแต่เค้ก
พอเราสองคนตักอาหารมาได้เต็มสองจาน เราสองคนก็รีบเข้ายึดโต๊ะของคนที่เพิ่งลุกออกไปทันที งานเลี้ยงบุปเฟต์ส่วนใหญ่จะมีโต๊ะกับเก้าอี้ให้นั่งแค่ไม่กี่ที ถ้าไม่ใช่ที่นั่ง VIP ก็จะไม่มีที่ประจำ ต้องทนยืนขาแข็งกันไป
“ เมื่อกี้เราว่า เรามาจากบริษัทอะไรนะ” พี่พีถามแล้วเริ่มจิ้มเค้กเข้าปาก ส่วนเขาก็เริ่มกินปาม่าแฮมดูบ้าง อร่อยจัง~
“ เหมยฮัวครับ ขายพวกเหล็กสำหรับก่อสร้างอะไรเงี้ย”
เขากับพี่พีนั่งคุยไปกินไป บริกรที่คอยโฉบไปโฉบมาก็ถามเขากับพี่พีว่าอยากดื่มอะไรไหม เขาที่เลิกดื่มเหล้าไปแล้ว(ถ้าไม่จำเป็น) แต่พอเห็นพี่พีสั่งพวกค็อกเทลมาดื่มเขาก็สองจิตสองใจ ลูกค้าดื่ม แต่เราไม่ดื่มคงดูไม่ดีค่อยมั้ง เพราะงั้นเขาเลยสั่งค็อกเทลมั่วๆ ตามพี่พีไปตามเรื่องราว กะว่าแค่จิบๆ คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
“ เหรอ ทำงานมากี่ปีล่ะ งานหนักไหม”
เราสองคนนั่งกินไปคุยกันอย่างถูกคอ เหล้าค็อกเทลที่ว่าจะแค่จิบๆ แปบๆ ก็หมดสองแก้วแล้ว พี่พีที่กำลังเริ่มแก้วสาม พอเริ่มเมา พี่แกก็เริ่มจิ้มเค้กในจานตัวเองส่งมาป้อนถึงปากเขา ปกติเขาไม่ค่อยชอบกินเค้ก โดยเฉพาะกับพวกเค้กชอคโกเลต แต่เค้กที่พี่ป้อนมา มันเป็นเค้กผลไม้รสออกเปรี้ยวหน่อยๆ เหมาะกับรสชาติของค็อกเทล เขาอ้าปากกินเพลินแบบไม่รู้ตัวจนพี่พีหัวเราะคิกคัก เราคุยกันตั้งแต่เรื่องสมัยเรียนมาจนเรื่องงานในปัจจุบัน พี่พีรับปากเขาว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็จะบอกคุณเพ้นท์ให้
“ คราวหลังถ้าเจอกันในงานเรามาชวนพี่คุยอีกก็ได้ เราคุยสนุกดี ปกติพี่อยู่แปบๆ แปบเดียวก็หนีขึ้นนอนแล้ว”
พี่พีว่าแล้วยิ้มตาหยี มือหนึ่งของพี่พียกแก้วที่สี่ขึ้นดื่ม ส่วนอีกมือป้อนเค้กใส่ปากเขา พี่พีสลับส้อมที่ใช้ป้อนเค้กแบ่งเป็นของเขากับของพี เขาอ้าปากกินต่อ แต่ก็กะว่าจะกินเป็นคำสุดท้ายเพราะว่าเริ่มอิ่มแล้ว
แต่อนิจจา...
พระเจ้าช่วยกล้วยทอด!
“ น้องพี”
เสียงนรกดังมาจากด้านหลังด้านพี่พี เขาที่เพิ่งรับเค้กเข้าปากเกือบจะติดคอตาย หลักฐานคาตา... คุณเพ้นท์ยิ้มเรียกพี่พี แต่ตาสายตาของคุณเพ้นท์นี่จ้องเขาอย่างกับงูจ้องงับหัวลูกอ๊อด!
พุทโธ...
งานนี้เขาไม่ผิดนะ เขาแค่เผลอกินไปเพราะมีคนป้อน!
“ พี่เพ้นท์คุยงานเสร็จแล้วเหรอครับ”
ไอ้นี่ (เปลี่ยนสรรพนาม) ก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าแฟนตัวเองกำลังงับหัวชาวบ้าน พี่พีหันไปคุยกับคุณเพ้นท์เหมือนกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา สายตาคุณเพ้นท์อ่อนโยนลง จนวูบหนึ่งเขารู้สึกอิจฉาพี่พีขึ้นมานิดๆ
คุณเพ้นท์ผู้แสนใจดี(เฉพาะกับแฟนตัวเอง) พอได้ยินคำถามก็ยกมือขึ้นจับแก้มจับหน้าผากพี่พีเหมือนกำลังวัดอุณหภูมิ เสียงทุ้มหล่อถามพี่พีอย่างอ่อนโยนว่า หนาวหรือเปล่าครับ ง่วงนอนไหม พี่บอกแล้วใช่ไหมครับว่าอย่าดื่มเยอะ
“ พีกินไปแค่สองแก้วเอ๊งงงงง”
เสียงสูงเชียว...
แต่สองคูณสองเป็นสี่ จะว่าพี่พีโกหกก็ไม่ได้
“ แล้วนี่.... กำลังคุยใครครับ”
คุณเพ้นท์ตวัดตาฉับ หันกลับมาสนใจเขาบ้าง อุณหภูมิในดวงคุณเพ้นท์ลดลงเหมือนสัตว์เลือดเย็นจนเขาตัวสั่นหงึกๆ แต่ก่อนที่เขากำลังจะอ้าปากแนะนำตัวและเตรียมตัวหาทางชิ่งหนี จู่ๆ ก็มีมือใหญ่ๆ อีกมือมาตบปุบนไหล่เขา เขาสะดุ้งจนตัวโยนเพราะนึกว่าบอร์ดี้การ์ดของคุณเพ้นท์จะลากเขาไปฆ่า เขาจำได้นะว่า เมื่อห้าปีก่อนพี่แกมีบอร์ดี้การ์ดด้วย
" คุณเพ้นท์ นี่ผู้ช่วยคนใหม่ของผมเอง ชื่อพระแพง พระแพง นี่คุณเพ้นท์ทำความรู้จักกันเอาไว้สิ" เสียงเสี่ยดังขึ้นมาแทนเสียงมัจุราชจากความตาย เขาสะกดหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นกระหน่ำให้เต้นเบาลง มีเสี่ยมาช่วยงานนี้เขายังมีโอกาสรอด เขาส่งยิ้มไปให้คุณเพ้นท์ตามมารยาทและกำลังจะลุกขึ้นเพื่อสวัสดี แต่เสี่ยดันกดบ่าของเขาไว้ เขาเลยได้แต่ยิ้มเก้อ ยกมือไหว้คุณเพ้นท์ทั้งที่ยังนั่งอยู่แบบนั้น
“ สวัสดีครับ ผมพระแพง...”
ทักทายยังไม่ทันจบประโยค คุณเพ้นท์ก็จ้องเสี่ยหนึ่งแวบแบบที่ไม่คิดจะสนใจเขา สายตาของคุณเพ้นท์ตอนที่มองเสี่ย เรียกว่าไม่อยากจะเสวนายังน้อยไป คุณเพ้นท์ตัดสนทนาของเขาโดยก้มหน้าลงไปคุยกับพี่พี พี่พีพยักหน้ารับ ก่อนหันกลับมาบอกเขาว่า พี่ขอตัวกลับก่อนนะ
“ ไว้วันหลังเจอกันนะ”
ชาตินี้ชีวิตนี้ อย่าเจอกันอีกจะดีกว่ามากครับ ผมไม่อยากจะโดนแฟนขี้หวงของพี่งับหัวหรอกนะ!
แต่ก็นั่นแหละ...
ได้แต่คิดแต่ก็ไม่เคยได้พูด!
เขายิ้มแหยๆ ให้พี่พีแทนการโบกมือบ๊าบบาย รอคุณเพ้นท์บอกลาเสี่ยตามมารยาท(ใช้เวลาสามวินาที) คุณเพ้นท์ก็พาพี่พีลุกออกจากโต๊ะ วันนี้คุณเพ้นท์ใส่สูทขาวรองเท้าสีดำ เวลาคุณเพ้นท์เดินกับพี่พี แผ่นหลังของคุณเพ้นท์ดูเหมือนกับกำลังปกป้องพี่พีอยู่นิดๆ
พี่พีเองก็เหมือนจะเคยชินกับการปกป้องแบบนี้ ทั้งสองคนเดินคุยกัน จับมือกัน คุยกันกะหนุงกะหนิงและหัวเราะให้กันโดยไม่แคร์สายตาใคร ความอิจฉาผุดขึ้นมาในหัวใจของเขาอีกครั้ง คุณเพ้นท์กับพี่พี... ทั้งสองคนเป็นผู้ชาย แต่สองคนนี้ก็รักกันอย่างเปิดเผย ไม่เหมือนเสี่ยกับเขา
" กล้ามากนะ คิดยังไงถึงได้ไปจีบเด็กนั่น หา!"
เสี่ยกระซิบเสียงคำรามจนเขาหลุดออกจากภวังค์ แต่พอเขาใช้หน้ามึนๆ เอ๋อๆ หันกลับไปมอง เสี่ยก็ยิ้มหวานเหี้ยมเกรียม(?) เปลี่ยนจากจับไหล่เขามาบิดหูเขาแทน
" เสี่ยเจ็บบบบบบ เจ็บบบบบบ เจ๊บบบบบบบบบบบ”
คราวนี้ต่อให้ไม่มีสติ ปัญญาเขาก็ต้องเกิดล่ะวะ นี่มันที่สาธารณะนะ เสี่ยอย่ามาบิดหูกันเซ่!
“ ผมเปล่านะ!”
เขาปฏิเสธเสียงเบา อยู่ในที่สาธารณะ อยากโวยวายแต่ก็ได้แต่ส่งเสียงกระซิบ
รอจนเสี่ยดึงจนหูเขาจนพอใจ เสี่ยถึงได้ยอมปล่อยมือออกแล้วลากเขากลับขึ้นห้องพักที่จองไว้ก่อนล่วงหน้า คืนนี้เขากับเสี่ยตกลงกันไว้แล้วว่าจะพักกันที่โรงแรม วันนี้เป็นวันศุกร์ และเขาก็เอาน้องพระเพื่อนไปฝากไว้ที่บ้านพ่อกับเสี่ยแล้ว เขากับเสี่ยที่ไม่ได้เอาท์ดอร์กันมานานเลยกะ.... อะแฮ่ม เพิ่มรสชาติให้กับชีวิตคู่ที่นี่
" ผมเปล่าจีบซักหน่อย” เขาเถียงข้างๆ คู่ๆ นั่งหน้าหงิก ปล่อยให้เสี่ยถอดเสื้อนอกออกเอง สายตาเขาวนๆ เวียนๆ อยู่ที่มือเสี่ยมาตั้งแต่ตอนเดินออกมาจากห้องจัดงานแล้ว ดูท่าเขาคงจะเมาค๊อกเทลแล้ว เขาถึงได้นึกน้อยใจ อยากให้เสี่ยจับมือเขา แบบที่คุณเพ้นท์จับมือพี่พีบ้าง
เสี่ยถอนหายใจ พอเห็นเขาหน้าบูดเป็น_ูดลิง เสี่ยก็เดินตรงเข้ามาหาถามว่าเขาเมาแล้ว?
ปกติเวลาเขาเมา ความงี่เง่าของเขาจะเพิ่มขึ้นมาประมาณยี่สิบเปอร์เซ็นต์ และเสี่ยเองที่อยู่กับเขามานานก็พอจะรู้ว่าเขามีนิสัยแบบนี้ เขาพยายามสะกดความน้อยใจของตัวเองลงท้อง นานๆ จะได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันโดยไม่มีลูกมาขวาง เขาไม่อยากให้ความงี่เง่าของตัวเองมาพาลใส่เสี่ยจนเสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ
อีกอย่าง เขากับเสี่ยอยู่ด้วยกันมาแล้วห้าปี นิสัยเสี่ยเป็นยังไงก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ เสี่ยไม่มีทางแนะนำเขาออกนอกหน้านอกจากเรื่องงาน และถึงเสี่ยจะไม่ปิดบัง แต่เสี่ยก็จะไม่ประกาศให้ใครรู้
เขาเก็บกลืนความเสียใจของตัวเองลงคอ ปลอบใจตัวเองว่า แค่นี้ก็ดีขนาดไหนแล้ว ถึงชีวิตคู่ของเขากับเสี่ยจะไม่ได้จิ๊จ๊ะสวีทหวานเหมือนกับคู่ของใครคนอื่น แต่เรื่องที่เสี่ยอ่อนโยน ดูแลเอาใจใส่และมีเวลาให้กับเขามากขึ้นในทุกๆ ปี แค่นี้ก็น่าจะพอบอกได้แล้วว่าเสี่ยเห็นเขาเป็นคนสำคัญ แม้จะไม่ใช่ที่สุด แต่ได้แค่นี้ เขาก็ควรพอใจแล้ว
แต่ก็ด้วยเพราะความเมาและความน้อยใจที่เก็บเต็มพุง ถึงจะไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่พอเสี่ยลากเขาไปอาบน้ำ เขาก็เข้าโรมรันพันตูกับเสี่ยอย่างไม่ยอมให้เอาเสี่ยให้เอาแต่ใจ
เขาใช้ปากให้เสี่ยผ่านสายน้ำ ดูดและขบเบาๆ จนของๆ เสี่ยเต้นตุบอยู่ในปาก จัดการใส่ถุงยางให้เสี่ยและตัวเอง และพอเสี่ยเริ่มมีอารมณ์ เขาก็จัดการออนท็อปเสี่ยไปสองรอบ
“ อารมณ์ไม่ดี?
เสี่ยถามเสียงหอบตอนที่เขายังขยับตัวอย่างเมามัน เขาไม่ตอบคำถามเสี่ย แต่ถอนตัวออกก่อนกดตัวลงไปใหม่ลึกๆ เอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อยเพื่อรับรู้ถึงตัวตนของเสี่ยที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นมา
เสี่ยหรี่ตาลง ประคองหนั่นสะโพกของเขาไว้ แล้วชี้นำให้เขาส่ายเอวเป็นวงกลม เขาทำตามที่เสี่ยสั่งการ หนุนเอวตัวเอง เอียงตัวไปด้านหลัง จนลูกชายเสี่ยโดนจุดของเขาอยู่บ่อยครั้ง
มีอะไรกันมาห้าปี ยางอายในเรื่องบนเตียง ปลิวหายไปจากสมองเขาไปนานแล้ว ยิ่งรวมกับความเมา เขายิ่งอ้าขาออกและยิ่งส่งเสียงคราง รอจนเสี่ยทนไม่ไหวอยากกลับมาเป็นฝ่ายนำ เสี่ยก็สวนแทงขึ้นมา ดันตัวเขาลงกับที่นอน ลูบลูกชายเขาที่บวมเป่งจนจะปริแตก ก่อนกดเข่าเขาแนบอก แล้วโน้มตัวลงมาเพื่อจูบปากเขา
“ เด็กขี้อิจฉาเอ๊ย”
เสี่ยกระซิบล้อข้างใบหู แล้วเปลี่ยนเอามือทั้งสองข้างที่จับเข่าเขาอยู่มาประสานมือกับเขาแทน
ปกติเวลามีอะไรกันเขากับเสี่ยก็จับมือกันบ้าง แต่น้อยมากที่จะประสานมือกันแบบนี้
เขากำมือเสี่ยที่ประสานลงมาแน่นจนขึ้นข้อขาว กดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาคืนกลับบ่อ แล้วอ้าปากส่งเสียงคราง
รอจนเสี่ยโหมแรงลงมาในจังหวะสุดท้ายเพื่อพาเขาขึ้นไปสู่จุดสุดยอด เขาหลับตาปี๋ แอ่นสะโพกขึ้น และตอดรัดของๆ เสี่ยที่ขยับเข้าออกอยู่ภายใน
เสี่ยกดมือเขาจนจมลงกับที่นอน สาวเข้าสาวออก ใส่จังหวะลงมา ก่อนกดลงมาเน้นๆ ในจังหวะสุดท้าย
“ เสี่ย... เสี่ย... อ๊าาาาา!”
>>ต่อด้านล่าง<<