ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]  (อ่าน 150611 ครั้ง)

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
โอ๊ยยย บีบหัวใจมาก

สงสารปานตะวัน ผ่านมาได้แล้ว ยังมีมารมาตามหลอกหลอนอีก โชคดีที่แค่โดนซ้อม ไม่ถึงขั้นสุด ปวดใจจริงๆ
โชคดีที่มีบอดี้การ์ดหลงมาช่วยทัน แต่คนชั่วก็คือคนชั่วเนาะ ไม่เข็ด

ตอนนี้ปานตะวันคงคิดว่าเมศรับไม่ได้แน่เลย แต่หนีไปแบบนี้ อย่าไปเจอมารระหว่างทางเลยนะ

ราเมศปกป้องได้ดี ดูแลได้ดี แต่คนเราก็พลาดได้ อยากรู้เพราะจะได้ปกป้องถูก แต่ก็ดันเป็นความลับที่ไม่อยากเปิดเผย

เข้าใจราเมศเลย คงหงุดหงิด ขัดใจ มาประจวบเหมาะอะไรแบบนี้
ปานตะวัน ต่อไปถ้ากลัวราเมศจะเกลียด ก็กลับไปในห้องนะ ปิดขังก็ได้ อย่าออกไปแบบนี้เลย กังวลจังเลย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ยังดีกว่าที่เราคิดไว้ เรื่องสกปรกที่ว่าเราคิดไปถึงตะวันโดนขายเพื่อใช้หนี้หรือไม่ก็โดนขมขื่นหรือขายยาซะอีก แต่แบบนี้ก็แย่เหมือนกัน หวังว่าพี่เมศจะมีวิธีเอาคืนแบบจัดเต็มกับไอ้เลวนั้นแบบที่ไม่ต้องเสียเงินและให้มันไม่กล้ากลับมาอีก ไม่อยากต้องให้พี่เมศมาเสียเงินให้มันไปจ่ายเงินกู้เลย ปล่อยให้แม่งโดนเสี่ยเงินกู้จับไปแล้วควักตับ ไต ขายจ่ายหนี้ซะจริง เลวเกินบรรยายหลอกคนไปเรื่อยแบบนี้เมื่อไหร่กรรมมันจะสนองซะที หวังว่าจะเร็วๆ นี้นะคะที่กรรมจะสนองไอ้เลวนี่

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
แบบ เรากลัว ตะวันเป็นอันตราย ตอบจากใจ

โดนจับตัวแน่ ๆ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เห้อออ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
 :ling3: :ling3: :ling3:

เข้มแข็งไว้นะตะวันผ่านมันไปให้ได้  :m19: :m19:

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๒๕
เด็กหลงทาง
       


        เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่สองสามครั้งก่อนจะตัดเข้าสู่ระบบฝากข้อความอัตโนมัติ ราเมศสบถอย่างหัวเสียเมื่อความพยายามครั้งที่สิบของเขาสูญเปล่า
   
       เมื่อสิบนาทีก่อนปานตะวันหายตัวออกไปจากบ้าน ขับรถเตลิดออกไปไหนก็ไม่รู้แถมยังไม่รับโทรศัพท์ไม่ว่าราเมศจะเพียรโทรไปมากแค่ไหนก็ตาม เพราะหนูเจียร้องไห้ทำให้ราเมศผ่อนฝีเท้าและเกิดอาการห่วงหน้าพะวงหลัง ชั่วเสี้ยวนาทีสั้นๆ ปานตะวันก็หนีออกไปจนได้
   
      หายออกไปในความมืดตอนเที่ยงคืนเกือบๆ ตีหนึ่ง ในสภาพที่จิตใจบอบช้ำและไม่รู้ว่าตอนนี้จะเจ็บปวดสักแค่ไหน ภาพใบหน้านองน้ำตาของปานตะวันยังติดตาเขาอยู่เลย ชายหนุ่มผมดำร้อนใจจนแทบบ้า หลังปลอบหนูเจียเสร็จเขาจึงกลับมาโทรหาตะวันแต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับสายราเมศจึงยิ่งสติหลุด โทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดของตัวเอง
   
      ถ้าหากเขารอบคอบกว่านี้อีกสักนิด...หรือถ้าหากเขาตัดสินใจไม่เปิดไฟล์นั่นขึ้นดู ตะวันที่ตื่นมากลางดึกก็คงไม่เห็นและทุกอย่างก็จะไม่กลายเป็นแบบนี้
   
       เป็นความผิดของเขาเอง เป็นเขาที่ผิดสัญญา
   
        ราเมศกดโทรออกไปที่เบอร์ของปานตะวันอีกครั้ง มือของเขาเริ่มสั่นระริก ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่จิตใจก็ยิ่งแย่ลง
   
        [ไม่มีการตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก กรุณาฝากข้อความหลังได้ยินเสียงสัญญาณ]
   
        ติ๊ด
   
        ราเมศกดตัดสายทันใด ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาหนึ่งนาฬิกายี่สิบนาที เขาจะทำอย่างไรดี ดึกขนาดนี้แถมยังไม่มีรถ จะออกไปตามหาตะวันได้ที่ไหน...แล้วที่สำคัญคือเด็กคนนั้นไปไหน!
   
        ทำยังไงดี...ในเวลาแบบนี้ปานตะวันจะไปที่ไหน...หรือว่าออกไปพึ่งใคร
   
        จริงสิ ชนกันต์ไง!
   
        ชื่อแรกที่แวบเข้ามาในหัวของราเมศคือชื่อของเพื่อนสนิทของปานตะวัน มีความเป็นไปได้สูงว่าปานตะวันจะไปหาชนกันต์เพราะฝ่ายนั้นเป็นคนที่รู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับตะวันและธีร์เป็นอย่างดีแถมยังเป็นคนช่วยเหลือปานตะวันเอาไว้ด้วย ไม่แปลกที่กันต์จะถูกมองเป็นที่พึ่งในยามนี้
   
       ราเมศไม่รอช้ารีบต่อสายหากันต์ทันที โชคดีที่เขาเมมเบอร์อีกฝ่ายไว้ในเครื่อง
   
        รอบแรกโทรไปไม่รับสาย ราเมศโทรซ้ำอีกหน รออยู่นานจนนึกว่าสายจะตัดแต่สุดท้ายก็มีคนรับ
   
        [ฮัลโหล]
   
        น้ำเสียงของปลายสายแหบพร่าและฟังดูห้วนสั้น แหงล่ะ เป็นใครโดนโทรมาปลุกตอนตีหนึ่งครึ่งแบบนี้ย่อมอารมณ์เสียด้วยกันทั้งนั้น
   
        “กันต์ นี่พี่เมศเองนะ”
   
        น้ำเสียงร้อนรนของราเมศทำให้ชนกันต์ตื่นเต็มตา ตอนแรกเขานึกรำคาญไอ้คนที่โทรมาไม่รู้เวล่ำเวลาคนนี้เหลือเกิน หลับตาควานหาโทรศัพท์มากดรับโดยไม่ได้ดูชื่อคนโทรเข้า แต่เมื่อได้ยินเสียงและข้อความจากอีกฝ่ายชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้ว เอาโทรศัพท์มาดูชื่อคนโทร
   
        ราเมศจริงๆ ด้วย
   
        สังหรณ์บางอย่างในตัวกันต์เริ่มลั่นระฆังเตือน พี่เมศโทรมาหาเขาดึกดื่นด้วยน้ำเสียงแบบนี้มีอยู่เรื่องเดียว...
   
        “กันต์ ตะวันอยู่กับกันต์หรือเปล่า”
   
        นั่นไงล่ะ!
   
        คราวนี้แม้แต่ชนกันต์ก็เริ่มลนลานขึ้นมาแล้ว ชายหนุ่มกระโดดลุกจากเตียงไปเปิดไฟ หนีบโทรศัพท์คุยกับราเมศไปด้วยระหว่างเปลี่ยนชุด
   
        [ไม่อยู่ครับพี่ เกิดอะไรขึ้น  ไอ้ตะวันไปไหน]
   
        “เรื่องมันยาว แต่เอาเป็นว่าตอนนี้สภาพจิตใจของตะวันกำลังแย่มาก เขาขับรถหายออกไปไหนไม่รู้ พี่โทรไปก็ไม่รับโทรศัพท์”
   
       [เชี่ยเอ๊ย!]
   
       “เขาไม่ได้ไปหานายเหรอ”
   
       [ตอนนี้ผมอยู่ที่หอครับ เขาไม่ได้มาที่นี่] ชนกันต์อยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัย ช่วงเสาร์อาทิตย์ถึงจะกลับบ้าน [บางทีตะวันอาจไปบ้านผม ถ้าเป็นระยะทางจากบ้านผมไปบ้างพี่มันจะใกล้กว่าขับมาที่หอ เดี๋ยวผมจะโทรถามแม่ดู พี่เมศลองนึกสิครับว่าตะวันมีใครให้ไปหาอีกบ้าง]
   
        “ตอนนี้ที่พี่นึกออกก็มีแต่นายเนี่ย เขาไม่มีเพื่อนสนิทที่ไหนอีกแล้ว...ที่สนิทรองมาจากนี้หน่อยก็เห็นจะเป็นหลง คนที่ตะวันไปทำงานพิเศษด้วย”
   
        [มีเบอร์ไหมครับ]
   
        “มี พี่เคยเมมเบอร์เขาไว้”
   
        [โทรหาเลยครับพี่เมศ เดี๋ยวผมจะรีบโทรหาแม่แล้วจะติดต่อไปนะครับ]
   
        “โอเค”
   
        ราเมศกดวงสายแล้วโทรหาหลงด้วยใจระทึก รอบนี้เขาไม่ต้องโทรซ้ำและน้ำเสียงของปลายสายก็ฟังดูดีกว่าตอนชนกันต์รับสายมากโข
   
        [สวัสดีครับ นั่นใครครับ] ราเมศได้ยินเสียงทุ้มพร่าอีกเสียงถามแทรกเข้ามาจากทางปลายสายว่าใครโทรมา เขารีบล่ำละลักพูดออกไป
   
        “หลงใช่ไหมครับ พี่ชื่อราเมศ เป็นแฟนของตะวันนะครับ ตอนนี้ตะวันอยู่กับหลงหรือเปล่า”
   
        [ครับ? ไม่อยู่นะครับพี่ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ] หลงถามกลับด้วยน้ำเสียงกังวล ราเมศจึงรีบเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง เมื่อฟังจบคนทางปลายสายเห็นได้ชัดว่าตื่นเต็มตา [พี่เมศนึกไม่ออกจริงๆ เหรอครับว่ามีใครที่ตะวันจะไปหาได้อีก หรือมีที่ไหนที่เขาจะไปได้]
   
        “ไม่...พี่นึกไม่ออกเลย” ตอนนี้ราเมศอยากร้องไห้ขึ้นมาแล้วจริงๆ ปานตะวันกำลังทำให้เขากลัวแทบบ้า ในสมองผุดความคิดเลวร้ายร้อยแปดอย่างขึ้นมา
   
        ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เขาถึงได้นึกไปถึงตอนที่จันทร์จ้าวตาย
   
        ตอนนั้นหญิงสาวก็ขับรถออกไปแบบนี้...บอกว่าเดี๋ยวกลับมา แต่สุดท้ายรถของเธอก็ประสบอุบัติเหตุ ราเมศคิดว่าจันทร์จ้าวน่าจะฆ่าตัวตายเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
   
         เหตุการณ์นี้กำลังเกิดกับปานตะวันงั้นหรือ
   
         หัวใจพลันบีบรัดอย่างเจ็บปวด ไม่...เขาไม่ยอมเด็ดขาด!
   
        [พี่เมศครับ เดี๋ยวหลงจะไปหาที่บ้านนะครับ ระหว่างนี้ให้พี่โทรหาตะวันไปเรื่อยๆ นะครับ]
   
        “ได้ ตกลง ขอโทษด้วยนะน้องหลงที่ทำให้เดือดร้อนแบบนี้”
   
        [ไม่เป็นไรหรอกครับ ตะวันก็เป็นเพื่อนหลงเหมือนกัน]
   
        หลงวางสายไปแล้ว ราเมศโทรหาชนกันต์และได้ความว่าปานตะวันไม่ได้ไปที่บ้านของเขา ตอนนี้กันต์เองก็กำลังตรงมาที่บ้านของราเมศเช่นกัน
   
        ระหว่างรอคนทั้งคู่ราเมศก็กระหน่ำโทรหาปานตะวันซ้ำๆ แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิมคือปานตะวันไม่รับสายจนชายหนุ่มจนปัญญา
   
       “พระเจ้า...ตะวัน...นายกำลังจะทำให้พี่เป็นบ้าแล้วนะ”
   
        ราเมศเสียงสั่น ความรู้สึกหวาดกลัวกัดกินใจของเขาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แค่คิดว่าเขาจะได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวร้าย แค่คิดว่าข้างกายจะไม่มีเด็กคนนั้นอีกแล้วราเมศก็เจียนคลั่ง
   
        เป็นความผิดของเขาเองที่ปกป้องปานตะวันไม่ได้
   
        ถ้าเขาไม่หวั่นไหวไปกับคำพูดธีร์ล่ะก็...ถ้าเขาไม่รับแฟลชไดรฟ์อันนั้นมา...
   
        จันทร์จ้าว...เธอเห็นพวกเราหรือเปล่า ได้โปรดเถอะนะ ได้โปรดคุ้มครองน้องชายของเธอด้วย...ได้โปรดให้ฉันช่วยพาเขากลับมาอย่างปลอดภัยด้วยเถอะ
   
         เสียงรถยนต์ดังขึ้นที่หน้าบ้าน ราเมศรีบร้อนลงไปเปิดประตูรั้ว ชนกันต์ขับรถเข้ามาด้านใน ไม่นานหลังจากนั้นรถยนต์สีดำคันหนึ่งก็แล่นมาจอดริมกำแพงไม่ไกลจากบ้านเขานัก คนที่ก้าวลงมาคือหลงกับชายหนุ่มผมทองอีกหนึ่งคน ราเมศเปิดประตูรั้วให้ทั้งสองคนเข้ามาจากนั้นก็เดินนำแขกยามวิกาลเข้าไปในบ้านแล้วเล่าสถานการณ์ทั้งหมดให้ฟังด้วยความร้อนใจ
   
        เมื่อฟังจบชนกันต์ก็สบถคำหยาบคายออกมาไม่หยุด สีหน้าคับแค้นราวกับอยากจะฆ่าใครสักคนให้ตาย
   
        “ไอ้เหี้ยธีร์ ว่าแล้วเชียวว่ากลับมาคราวนี้แม่งต้องไม่ได้มาดี”
   
        “แล้วทีนี้เราจะทำยังไงกันดี ตะวันหายออกไปไหนก็ไม่รู้แบบนี้” หลงเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล  “โทรหาก็ไม่ติดใช่ไหมพี่เมศ"

       “ไม่ติดเลย”
   
       ทุกคนจมลงสู่ความเงียบพลางนึกถึงคำถามที่ไร้คำตอบ แต่แล้วตอนนั้นเองจู่ๆ หลงก็โพล่งขึ้นมาว่า “มีใครพอจะรู้บ้างไหมครับว่าบ้านของแฟนเก่าปานตะวันอยู่ที่ไหน ที่อยู่ปัจจุบันตอนนี้น่ะครับ”
   
       “ผมรู้” ชนกันต์ตอบ ตั้งแต่เขารู้ว่าธีร์กลับมาชายหนุ่มก็แอบไปตามหาที่อยู่ของไอ้หมอนี่เอาไว้ ปรากฏว่ามันพักอยู่ไม่ไกลจากพวกเขามากนัก “นายคิดว่าตะวันจะไปหาธีร์เหรอ ทำไมล่ะ”
   
       หลงเพ่งมองลายไม้บนพื้น สีหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “หลงลองคิดในมุมของตะวันดู...ถ้ามีคนอัดวีดิโอแบบนั้นของหลงเอาไว้แล้วส่งให้แฟนคนปัจจุบันดู...ถ้าเป็นตัวหลงอาจจะหาทางอื่น แต่ด้วยนิสัยใจร้อนของตะวันบวกกับเรื่องนี้เป็นแผลในอดีตที่ไม่อยากให้ถูกขุดคุ้ยของเขาแล้ว หลงคิดว่าวีดิโอที่ธีร์ส่งให้พี่เมศเป็นตัวจุดชนวนที่แรงพอจะทำให้ความโกรธทั้งหมดระเบิดขึ้น”
   
        “แล้วยังไงต่อ”
   
       “ความโกรธพวกนั้นน่ะ...แรงพอจะทำให้คิดฆ่าคนได้เลยนะครับ”
   
        ประโยคนั้นของหลงทำให้ราเมศใจหายวูบ ตอนนั้นเองที่เด็กผิวแทนซ้ำกลับมาด้วยอีกหนึ่งประโยค “แถมพี่เมศพูดเองว่าตอนนี้สภาพจิตใจปานตะวันไม่มั่นคงมาก แฟนเก่าคนนี้ตะวันคงแค้นพอสมควร จิตใจของเขาโกรธ หวาดกลัว สับสน ตีรวนกัน คนเปราะบางทางอารมณ์แบบนี้ยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่นะครับ”
   
        ราเมศตัวชาเหมือนถูกแช่แข็งในขณะที่ชนกันต์โวยวายออกมา “งั้นเราก็ยิ่งต้องรีบไม่ใช่เหรอ ไปกันเถอะครับพี่เมศ แต่ในขณะที่กำลังจะวิ่งลงจากเรือนราเมศก็พูดขึ้นมาว่า “แล้วเจียหลินล่ะ”
   
        หลานหลับอยู่ในห้อง ทิ้งให้อยู่คนเดียวก็ไม่ได้ จะกระเตงไปด้วยกันก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่
   
        เห็นท่าทีห่วงหน้าพะวงหลังของราเมศแล้วหลงก็กล่าวขึ้นว่า “พี่เมศไปเถอะครับ เดี๋ยวหลงกับพี่คุณจะช่วยดูแลน้องให้”
   
       “แต่ว่า...จะดีเหรอ”
   
       “รีบไปเถอะครับ หลงติดต่อไปหาพวกบอดี้การ์ดที่ประจำอยู่ตอนกลางคืนแล้วด้วย เดี๋ยวให้พวกเขาช่วยหาอีกแรง” มือบางรุนหลังเขาไปทางประตู กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นี่ไม่ใช่เวลามาโอ้เอ้นะครับ พี่ต้องรีบไปหาตัวตะวันนะครับ”
   
       “น้องหลง ขอบคุณมากนะ”
   
       ราเมศเอ่ย สำหรับคนไม่ได้สนิทหรือเกี่ยวข้องกันลึกซึ้ง ความช่วยเหลือขนาดนี้ถือว่ามากมายเหลือเกิน หลงคลี่ยิ้มน้อยๆ ให้ราเมศแล้วก็พูดว่า
   
       “หลงบอกแล้วว่าตะวันเป็นเพื่อนหลงเหมือนกัน หลงเองก็เป็นห่วงไม่แพ้ใคร ฝากพี่เมศพาเพื่อนของหลงกลับมาอย่างปลอดภัยด้วยนะครับ”
   
        นัยน์ตาสีนิลฉายประกายจริงจังหนักแน่นดุจหินผาขณะหันกลับมาตอบ ราวกับว่าคำพูดนั้นเป็นคำสัญญาที่ให้กับหลงและเป็นประโยคสาบานที่ราเมศให้กับตนเอง
   
        “พี่จะพาปานตะวันกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”
   
         ในขณะที่ด้านราเมศวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อตามหาตัวคนรัก ทางด้านปานตะวันกลับสงบนิ่งกว่านั้นมาก แต่มันเป็นความสงบราบเรียบคล้ายกับท้องทะเลที่คลื่นลมสงบก่อนพายุใหญ่จะมา
   
        ปานตะวันหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบนาทีก่อน
   
        จู่ๆ เขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ฝันร้าย...ปานตะวันคิดว่าแบบนั้น แต่เขาจำความฝันไม่ได้เลยสักนิด สิ่งที่เหลืออยู่คือความรู้สึกไม่สงบ มีบางสิ่งรบกวนจิตใจเขาอยู่ตลอดเวลาและมันก็รุนแรงขึ้นทุกขณะ สุดท้ายปานตะวันก็ทนนอนต่อไปไม่ไหว เขาติดสินใจจะไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย แต่เมื่อพลิกดูข้างกายก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นร่างของคนรักเหมือนเช่นทุกวัน
   
        พี่เมศไปห้องน้ำหรือเปล่านะ?
   
        ปานตะวันขมวดคิ้วน้อยๆ ขณะเดินไปยังห้องน้ำแต่ชายหนุ่มก็ต้องประหลาดใจมากกว่าเดิมเมื่อพบว่าราเมศไม่อยู่ที่นั่น ปานตะวันล้างหน้าจนรู้สึกตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย พอวนกลับมาที่ห้องก็ไม่เห็นราเมศชายหนุ่มจึงเดินไปที่ห้องนั่งเล่นแล้วก็เป็นดังคาด
   
        ประตูเปิดแง้มอยู่ มีแสงไฟลอดออกมา ปานตะวันแอบดูตรงรอยแยกของบานประตูก็เห็นคนรักนั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ตอนแรกเขาตั้งใจจะเข้าไปแกล้งอีกฝ่ายสักหน่อยว่าแอบลุกมาเปิดคอมทำไมดึกดื่นป่านนี้ แต่ฝีเท้าของเขาเป็นอันต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยดังมา
   
       ‘ถอดเสื้อออก!’
   
       ‘ไม่...อึก...ไม่เอานะ’
   
        ปานตะวันตัวชา หัวใจหล่นหายไปในหลุมดำว่างเปล่า โลกใต้เท้าถูกเขย่าจนตัวเอียงวูบ
   
         เสียง...เสียงนั่น...เสียงของหัวหน้าพวกแก๊งทวงหนี้!
   
        ปานตะวันแน่ใจว่าตนไม่ได้หูฝาดหรือฟังผิด เสียงนั่น...จะผ่านไปกี่สิบปีเขาก็ไม่มีวันลืม เสียงที่หลอกหลอนเขาอยู่ทุกคืนในความฝัน ชายหนุ่มหอบหายใจ อยากหายตัวออกไปจากตรงนั้นแต่แค่แรงจะก้าวถอยหลังยังไงไม่มี ปานตะวันยืนนิ่ง เสียงที่ดังจากเครื่องคอมพิวเตอร์อันที่จริงแล้วเบาแสนเบา แต่ท่ามกลางราตรีที่เงียบสนิทนี้บทสนทนา เสียงอ้อนวอนและเสียงสะอื้นไห้ของเขาเหมือนจะดังขึ้นมาเป็นพิเศษ
   
        ไม่สิ...หรือว่ามันดังมาจากในหัวเขากันแน่นะ
   
        “ฮึก”
   
        ปานตะวันกัดริมฝีปาก หยดน้ำตามากมายทิ้งตัวผ่านพวงแก้ม ชายหนุ่มเหมือนหวนกลับไปในช่วงเวลานั้น เวลาที่มีเพียงเขาอยู่คนเดียว หวาดกลัวและอับอายแทบขาดใจ
   
        กึก
   
        ในที่สุดก็ขยับตัวได้แม้จะยังสั่นอยู่ ปานตะวันถอยหลังออกห่างจากประตูไป หนึ่งก้าว สองก้าว จนในที่สุดก็กลับไปถึงห้องนอนจนได้ ในหัวของเขามีความคิดหนึ่งวนเวียนอยู่
   
        ราเมศไปเอาคลิปนั่นมาจากไหน?
   
        อันที่จริงแล้วคำตอบก็ง่ายนิดเดียว...จะเป็นใครถ้าไม่ใช่ธีร์
   
        ปานตะวันกำหมัดแน่น น่าแปลกที่ตอนนี้เขาควรจะโกรธจนระเบิดทุกอย่างออกมาแต่ความรู้สึกในใจยังคงไม่ปะทุ มันปั่นป่วนอยู่ข้างใต้...รอเวลา
   
       ชายหนุ่มคว้าโทรศัพท์แล้วก็กุญแจรถที่ราเมศวางทิ้งไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินอย่างเงียบเชียบไปที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง อีกไม่นานคลิปนั่นก็จะจบแล้ว ปานตะวันได้ยินเสียงพวกแก๊งทวงหนี้ข่มขู่เป็นครั้งสุดท้าย เขาหลับตาจำได้ว่าตนเองในช่วงเวลานั้นเจ็บปวดแค่ไหน ร้องเรียกคนที่ไม่มีวันได้ยินและไม่มีวันยื่นมือมาช่วย
   
       ธีร์

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
        ปานตะวันในคลิปพร่ำหาธีร์...ส่วนปานตะวันตัวจริงก็เผยอริมฝีปากขึ้น ขยับเป็นคำพูดแผ่วเบา
   
        พี่เมศ
   
        ไม่ว่าจะในอดีตหรือตอนนี้สิ่งเดียวที่ปานตะวันต้องการก็คือ...
   
       ช่วยด้วย
   
        ...ใครสักคน...
   
        ได้โปรด หันมามองที
   
        ปานตะวันแตะบานประตู บานพับส่งเสียงเอี๊ยด ราเมศสะดุ้งเฮือกแล้วรีบหันขวับกลับมา วินาทีที่เห็นหน้าคนรักปานตะวันก็รู้สึกว่าภูเขาไฟในใจของเขาเดือดระอุ เตรียมพร้อมจะปะทุออกมา ชายหนุ่มหันหลังวิ่งลงจากเรือน เขาได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อดังมาจากด้านหลังแต่ปานตะวันก็ไม่ได้หันกลับไป
   
          เรื่องดำเนินมาถึงจุดที่เขาไม่สามารถหันหลังกลับ ปานตะวันรู้สึกเหมือนคนกำลังจมน้ำ อึดอัด ทรมาน และเหนื่อยล้าเกินกว่าจะตะกายเข้าหาฝั่ง
   
         ถ้าธีร์ต้องการจะพบเขานัก เขาก็จะไปหาอีกฝ่ายก็ได้
   
        ไปเพื่อจบเรื่องทั้งหมด
   
        ปานตะวันกดเบอร์โทรศัพท์โทรหาอีกฝ่าย ตลกดีที่เห็นเบอร์ของอีกฝ่ายแค่ครั้งเดียวแต่ตัวเลขพวกนั้นกลับติดตา ชายหนุ่มกดโทรอยู่สองสามครั้งปลายสายก็รับ ประโยคหยาบคายดังมาเป็นชุด ปานตะวันจ้องตรงไปข้างหน้าด้วยสีหน้าและแววตาราบเรียบราวกับไม่มีความรู้สึกใดๆ
   
       “มึงเป็นคนเอาคลิปนั่นให้พี่เมศใช่ไหมธีร์”
   
        เมื่อได้ยินเสียงของปานตะวันธีร์ก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกระหยิ่มยิ้มย่อง
   
        [ใช่ เห็นแล้วล่ะสิ]
   
        “มึงต้องการอะไร”
   
        [ถ้าไม่อยากให้คลิปนั่นขึ้นไปอยู่บนเว็บก็เอาเงินมา]
   
        “เท่าไหร่”
   
        ธีร์แปลกใจที่ปานตะวันดูว่าง่ายผิดปกติ แต่เมื่อคิดว่าคงจะทะเลาะกับราเมศมาแล้วหมดหนทางจนต้องรีบโทรมาต่อรองกับเขาชายหนุ่มก็พูดจำนวนเงินออกไปอย่างย่ามใจ
   
        [ห้าหมื่น]
   
        “ตกลง”
   
        [หึ ว่าง่ายแบบนี้สิค่อยน่ารักหน่อย มึงจะเอาเงินมาให้กูวันไหนดีน้า พรุ่งนี้ ตกลงไหม ถ้าไม่ได้เงินภายในพรุ่งนี้คลิปมึงจะว่อนไปทั่วแน่]
   
        “ไม่ต้องถึงพรุ่งนี้หรอก กูเอาให้ตอนนี้เลยก็ได้ มึงบอกที่อยู่มา”
   
         [เห รีบร้อนขนาดนั้นเชียว]
   
        “ถ้ากูเอาให้แล้วก็ถือว่าจบกัน มึงต้องหายออกไปจากชีวิตกู”
   
        [แน่นอน]
   
        ธีร์พูดด้วยน้ำเสียงลิงโลดแล้วก็บอกที่อยู่ของตัวเองไป ปานตะวันนัดให้อีกฝ่ายเดินออกมารอที่หน้าปากซอยเข้าหอพัก พอโทรหาธีร์เสร็จชายหนุ่มก็วางโทรศัพท์ไว้แต่วินาทีต่อมามันก็สั่นขึ้นอีก คนโทรเข้ามาคือราเมศ ปานตะวันใจกระตุกแต่ก็ไม่ได้รับสาย
   
       พี่เมศยังคงโทรมา มีช่วงหนึ่งที่หายไปแต่หลังจากนั้นก็กลับมาโทรต่อ
   
        ปานตะวันข่มใจไม่ให้กดรับสาย เขายังไม่พร้อม ปานตะวันรู้ดีว่าถ้าหากกดรับสายไปพี่เมศจะต้องมาตามเขากลับบ้านแน่ๆ แต่ถ้ากลับไปแล้วต้องเจอกับน้ำเสียงผิดหวัง เจ็บปวด หรือถ้อยคำตัดพ้อมากมายแล้วล่ะก็...เขาขอไม่รับสาย ไม่กลับบ้านเสียดีกว่า
   
       ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจุดหมาย ปานตะวันมองเห็นเงาของธีร์ใต้แสงไฟ ชายหนุ่มขับรถไปจอดเทียบ ลดกระจกหน้าต่างลงแล้วพูดว่า
   
       “ขึ้นมา”
   
       “เราจะไปไหน”
   
       “ไปเอาเงินเพิ่ม เงินที่กูกดมาไม่พอ” แน่นอนว่าประโยคนั้นปานตะวันโกหก เขาไม่ได้กดเงินมาเลยต่างหาก “กูบอกไอ้กันต์ให้เตรียมเงินไว้ให้แล้ว”
   
        “แหม ชนกันต์นี่ยังเหมือนเดิมเลยนะ เพื่อนตายว่างั้น ฮ่าๆ”
   
        ปานตะวันไม่ตอบ เขากดล็อกประตูรถแล้วก็ขับไปเรื่อยๆ ท้องถนนยามนี้ว่างเปล่า ภายในรถมีแต่ความเงียบ เงียบจนเสียงสั่นของโทรศัพท์ดังก้อง ธีร์เองก็สังเกตได้ไม่ยาก
   
        “เฮ้ สุดที่รักโทรตามแน่ะ” ถ้อยคำนั้นเยาะหยันกันไม่ผิดแน่ “ไม่รับสายเหรอ”
   
        “ไม่ต้องหรอก”
   
        “ทำไม เขาทนไม่ไหวหรือไงที่เมียถูกผู้ชายลูบนู่นคลำนี่มาก่อน”
   
         สีหน้าของปานตะวันยังคงราบเรียบ ธีร์ไม่ได้สังเกตเลยว่าข้อนิ้วที่กำพวงมาลัยอยู่เกร็งแน่นจนซีดขาว แถมรถก็เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ
   
        “นี่เขาทิ้งมึงแล้วสินะ”
   
         “มึงจงใจให้เป็นแบบนั้นใช่ไหม” เสียงของปานตะวันเริ่มสั่น ธีร์ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งสนุก “ใช่สิ ไม่งั้นกูจะเอาคลิปไปให้มันทำไม ตอนแรกก็กะจะให้พวกมึงทะเลาะกันแล้วเดี๋ยวมึงก็จะกลับมาหากูแต่ตอนนี้กูคงไม่ต้องรอนานขนาดนั้นแล้ว ฮึ”
   
         “มึงไม่เคยรักกูเลยสินะ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว”
   
        “โอ๋ๆ ทำไมจะไม่รักล่ะครับตะวัน ธีร์รักตะวันนะ...” น้ำเสียงอ่อนหวานแต่คำพูดเชือดเฉือน ไม่ต่างอะไรกับลูกกวาดเคลือบยาพิษ
   
       “มึงเป็นกระเป๋าเงินที่ดีที่สุดในโลกของกูเลยล่ะ”
   
        วินาทีนั้น ภูเขาไฟแห่งความโกรธในใจพลันปะทุออกมาอย่างรุนแรง
   
        ปานตะวันโกรธจนตัวสั่น เหมือนกับว่าเขารอเวลาทุกอย่าง เก็บกักทุกอย่างเอาไว้มานานก็เพื่อวันนี้
   
        “มึงก็เอาไปหมดทุกอย่างแล้วไม่ใช่หรือไง! ชีวิตกู อนาคตกู มึงเอาไปเกือบหมด ตอนนี้ยังจะอยากได้อะไรอีก ไอ้สารเลว มึงกลับมาทำไม! ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นแล้วแท้ๆ มึงยังจะกลับมาพังชีวิตกูอีกทำไม! กูไปทำอะไรให้มึงนักเหรอมึงถึงต้องจองล้างจองผลาญกูขนาดนี้!”
   
        ความรัก อนาคต ครอบครัว ความฝัน
   
        ผู้ชายคนนี้พังทุกอย่างไปหมดแล้ว
   
        ไม่เหลืออะไรแล้ว
   
        “มึงอยากได้นักใช่ไหมเงินน่ะ...ได้...ให้พ่อให้แม่มึงเผาส่งไปให้ใช้ในนรกก็แล้วกัน!”
   
        ปานตะวันเหยียบคันเร่งจนแทบมิด ตัวเลขความเร็วพุ่งทะลุร้อย
   
        “เชี่ย ตะวัน...ตะวัน...มึงทำเหี้ยอะไรเนี่ย”
   
        ธีร์ตัวเกร็ง เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ ปานตะวันหลังจากที่ระเบิดคำพูดออกไปแล้วพลันเงียบกริบ ดวงตาขุ่นมัวจ้องไปด้านหน้าไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนความเร็วลงเลย

       “ตะวัน...มึง...ไอ้เหี้ย จอดรถให้กูลงเดี๋ยวนี้”
   
       “มึงอยากรีบไปเอาเงินไม่ใช่เหรอ กูก็รีบให้มึงแล้วนี่ไง”
   
        ปานตะวันตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชา เขาไม่กลัวเลยสักนิดว่าจะพุ่งไปชนใครหรือจะรถคว่ำตายกลางทางหรือเปล่าชายหนุ่มไม่กลัว...อย่างน้อยถ้าจะตาย เขาก็จะลากไอ้ธีร์ไปลงนรกด้วยกัน
   
       ความตาย...นั่นสินะ บางทีเขาคงตัดสินใจได้แบบนี้ตั้งแต่ออกจากบ้านมาแล้ว
   
       เรื่องทั้งหมดสำหรับตะวันมีทางออกแค่ทางนี้ทางเดียว
   
        เขาไม่กล้ากลับไปสู้หน้าราเมศ ไม่กล้ากลับไปสู้หน้าใคร แผลในใจถูกฉีกออกจนเลือดสดๆ ไหลทะลัก ความรู้สึกเศร้าและโกรธแค้นหลอมรวมกันกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเขาในตอนนี้
   
        เขามีครอบครัวแล้ว มีบ้าน มีความรัก
   
       แต่ทุกอย่างกลับพังลง แต่จะโทษใครได้นอกจากตัวเอง
   
       ทำตัวโง่เง่า ทำตัวไร้ค่าเองไม่ใช่หรือ
   
       เป็นลูกที่ดีก็ไม่ได้ เป็นน้าที่ดีไม่ได้ เป็นแฟนที่ดีก็ไม่ได้ เป็นตัวเองที่ดียังทำไม่ได้เลย
   
       ตัวตนที่ไร้ค่าแบบนี้จะอยู่ไปทำไม...สู้ตายไปเลยเสียยังดีกว่า ตายไป...แล้วก็ลากไอ้สารเลวข้างกายนี่ลงนรกไปด้วยกัน
   
       “ไอ้เหี้ย กูบอกให้จอด!”
   
        “กลัวนักก็กระโดดลงไปสิ”  ปานตะวันปลดล็อกรถให้ “แต่ความเร็วระดับนี้ศพมึงจะสวยไหมนี่กูไม่รู้นะ”
   
        ธีร์หน้าซีดเผือด ตอนแรกเขาคิดว่าปานตะวันแค่ล้อเล่น แต่จากแววตาและท่าทางของอีกฝ่ายยามนี้มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยสักนิดเดียว
   
        ชิบหายแล้ว
   
        “มึง..ทำแบบนี้มึงก็ไม่รอดเหมือนกันแหละวะ มึง..มึง”
   
       “แล้วใครบอกว่ากูกลัวตาย”
   
       “มึงมันบ้า! ปล่อยกู! จอด จอดเดี๋ยวนี้!”
   
       ความตายอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก ธีร์ลนลานหาทางรอด ในตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ของปานตะวันสั่น เบอร์คนโทรเข้ามาคือราเมศ หนุ่มตี๋เหมือนเห็นแสงสว่างทีปลายอุโมงค์ เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายแล้วก็กดเปิดสปีกเกอร์โฟน
   
       [ตะวัน! กันต์เขารับสายแล้ว ตะวัน ตอนนี้อยู่ที่ไหน]
   
       เอี๊ยด
   
       เสียงยางรถเสียดสีกับพื้นถนนดังเสียดหู ปานตะวันเบิกตากว้าง สติคล้ายไม่อยู่กับตัว ธีร์ภาวนาให้ราเมศเรียกสติอีกฝ่ายกลับมาได้โดยเร็วไม่งั้นพวกเขาสองคนได้กลายเป็นศพกันไปทั้งคู่แน่ๆ!
   
        [ตะวัน...ตะวัน นายได้ยินพี่ใช่ไหม]
   
        น้ำเสียงที่ดังออกมาไม่ได้ตัดพ้อ ดุดัน หรือว่าเย็นชา ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่น้ำเสียงที่แฝงความสงสาร หากแต่เป็นน้ำเสียงอ่อนโยน นุ่มนวล และขอร้อง
   
       [ตะวัน อยู่ที่ไหน เดี๋ยวพี่จะไปรับ]
   
       “ฮึก...”
   
       ถนนเบื้องหน้าพร่ามัวลงช้าๆ เพราะหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอในดวงตา ความเร็วของรถยนต์ลดลงเรื่อยๆ จนอยู่ในระดับปกติ
   
        ปานตะวันส่งเสียงสะอื้นออกมา สุดท้ายรถยนต์ที่แล่นด้วยความเร็วก็ค่อยๆ ช้าลงแล้วก็เข้าจอดที่ข้างทาง เมื่อรถจอดสนิทธีร์ก็โยนโทรศัพท์ของปานตะวันทิ้งแล้วรีบตะกายลงจากรถ สีหน้าลนลานราวกับกลัวว่าถ้าไม่รีบลงตอนนี้ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าปานตะวันจะกลายเป็นบ้าขึ้นมาอีก
   
       แต่ตอนนั้นปานตะวันไม่สนใจอะไรเลย เขาประคองโทรศัพท์ขึ้นมาเหมือนของล้ำค่าแล้วกระซิบ
   
       “พี่เมศ”
   
        [ตะวัน!]
   
       “พี่เมศ ตะวันอยากกลับบ้าน”
   
       [อยู่ที่ไหนเด็กดี เดี๋ยวพี่จะไปรับ]
   
       “ไม่รู้สิ” เขาขับรถเป็นบ้าเป็นหลังออกมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ที่ไหน ดวงตาสีน้ำตาลเลื่อนลอยขณะที่น้ำเสียงเหมือนคนละเมอ “ตะวันหลงทาง”
   
       หลงทางในเขาวงกตวกวนไร้ทางออก มืดมิด โดดเดี่ยวและน่าหวาดกลัว
   
       [มีสถานที่ที่เป็นจุดเด่นอะไรบ้างไหม]
   
       คราวนี้เป็นเสียงของชนกันต์ น้ำเสียงร้อนรนและสั่นพร่าเหมือนคนจะร้องไห้ [มึง..มึงอยู่เฉยๆนะตะวัน ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวจะไปรับแล้ว]
   
       “ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นี่ที่ไหน....อยากกลับบ้านแล้ว”
   
       [ได้...ได้...อยู่ตรงนั้นนะ พวกกูกำลังรีบไป อยู่ตรงนั้น]
   
       “อื้ม”
   
        [ตะวันอย่าวางสายนะ สังเกตรอบๆ ด้วย อธิบายรายละเอียดของสถานที่หน่อย]
   
        ปานตะวันมองไปรอบๆอย่างเชื่องช้า ร่างกายพลันไร้เรี่ยวแรง พยายามบอกทุกสิ่งที่เป็นจุดเด่นได้ เขารออยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ไม่รู้ ไม่ได้สนใจ ร่างกายเขาพลันหนักอึ้ง อ่อนล้า พลังงานมหาศาลที่ขับเคลื่อนอย่างบ้าคลั่งหายวับไป เหลือเพียงหลุมลึกว่างเปล่าในใจ
   
       ปานตะวันหลับตา รู้สึกเหมือนตัวเองจมลง ดิ่งลงไปในความมืด และไม่มีแม้แต่ความคิดจะตะกายขึ้นมา
   
       ในที่สุดประตูฝั่งคนขับก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงทุ้มอันคุ้นเคยเรียกชื่อเขา
   
       “ปานตะวัน!”
   
       อ่า...ในที่สุด...พี่เมศก็หาเขาพบ
   
       ราเมศรีบปลดเข็มขัดนิรภัยออก ทันใดนั้นร่างโปร่งของปานตะวันก็เอนตัวเข้ามาหาเขา ชายหนุ่มรีบประคองร่างนั้นไว้ ปานตะวันตรงหน้าเหมือนหุ่นกระบอกเชือกขาด ท่าทางอ่อนล้าและหมดแรง
   
       “พี่เมศ”
   
       “ครับ พี่เอง เด็กดี” ราเมศลูบใบหน้าคนรัก มือของเขาสั่นเทา ปานตะวันเบียดตัวซุกเข้ามา “ตะวันอยากกลับบ้าน”
   
       “ครับ เรากลับบ้านกันเถอะนะ พี่เมศจะพาตะวันกลับบ้านเอง”
   
       อ้อมแขนนั้นอ่อนโยนเหมือนที่เป็นมาตลอด พอถูกกอดไว้หัวใจที่ไร้ความรู้สึกก็ค่อยๆ กลับมามีชีวิต แต่ครั้งนี้สิ่งแรกที่ผุดขึ้นไม่ใช่ความดีใจแต่เป็นความกลัว
   
       ปานตะวันยึดชายเสื้อราเมศไว้ กระบอกตาร้อนผ่าว
   
       “พี่เมศ...ตะวันกลัว...เมื่อกี้...ตะวันคิดจะฆ่าธีร์...แล้วก็ฆ่าตัวตายไปด้วย กลัว...ฮึก...กลัว”
   
       เขากลัวความรู้สึกแบบนี้ มันเหมือนกับว่าตอนนั้นเขาไม่เกรงกลัว ไม่หวั่นไหวกับการพาตัวเองไปตายเลย มันนิ่ง ว่างเปล่า ความคิดด้านลบในตอนนั้นทำให้ปานตะวันสูญเสียความเป็นตัวเองไป ชายหนุ่มเริ่มกลัวตัวเองขึ้นมา วันนี้เขาไร้ความรู้สึกกับความคิดที่จะฆ่าคน แม้คนคนนั้นจะเป็นธีร์แต่นั่นก็คือฆ่าคนเลยนะ! แล้ววันหน้าถ้าอารมณ์เขาไม่นิ่งอีกล่ะ ถ้าเขามีความคิดจะฆ่าคนอื่นอีกล่ะ คนใกล้ตัวเขา...คนในครอบครัว
   
        “ไม่...พี่เมศอย่ามาใกล้ตะวัน ฮึก ไม่ปลอดภัย..ตะวันตอนนี้ไม่ปลอดภัย”
   
       ยิ่งพูดน้ำตาก็ยิ่งทะลัก ยิ่งร่ำร้องอ้อมกอดนั้นก็ยิ่งรัดแน่น
   
       ราเมศเจ็บปวดที่เห็นคนรักเป็นแบบนี้ แต่เขาปล่อยปานตะวันไปไม่ได้ ชายหนุ่มกอดร่างเล็กๆ นั้นไว้แน่น ปานตะวันดิ้นอยู่ครู่หนึ่งก็หมดแรงแต่เสียงสะอื้นและน้ำตายังไม่หายไป
   
      น้ำใสๆ พวกนั้นกลั่นมาจากความเจ็บปวดในหัวใจ ไหลทะลักออกมาราวกับจะไม่มีวันหมดสิ้น
   
      จมดิ่งลงไปอีกแล้ว...คราวนี้เหมือนกับว่าแม้แต่แสงสว่างแม้เพียงน้อยนิดก็ส่องลงมาไม่ถึง
   
      ปานตะวันรู้สึกว่าบางสิ่งในตัวเขากำลังปริร้าว
   
      แล้วก็แตกสลาย

*****************************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
โอ้ยยยยยยยยยยยยย

สงสารตะวัน

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
หายใจไม่ออก

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ไม่เป็นไรนะตะวัน กลับสู่อ้อมอกคนที่รักแล้ว ให้ความรักเยียวยาทุกสิ่ง
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
สงสารน้อง พี่เมษช่วยน้องด้วย  :sad4:

ออฟไลน์ Pisoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สงสารตะวัน  :hao5:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
รู้สึกโล่งอกไปนิกหน่อย

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ตะวันนนนนน หนูยังมีพี่เมศ หนูเจีย และเพื่อนๆ ที่รักและเป็นห่วงหนูอยู่นะคะ ส่วนไอ้ตัวเหี้ยนั่นเราว่าไม่รอดมือของบอดี้การ์ดพี่คุณหรอกค่ะ หวังว่าโดนไปคราวนี้คงจะไม่กลับมายุ่งกับตะวันอีกนะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
สงสารปานตะวัน หนักหน่วงมากกก
น้องต้องเจอเรื่องแย่ๆ รู้สึกแย่ๆขนาดนี้ ฮรือออ
ตะวันต้องเข้มแข็งนะ ตะวันมีพี่เมศ มีหนูเจีย มีกันต์ มีหลง
ทุกคนรักและเป็นห่วงปานตะวันนะ โอ๋เอ๋นะคนดี ; w ;

ออฟไลน์ nottto

  • MaxNuzz
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
รอนะครับ

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ตะวันต้องดีขึ้นสิ มีพี่เมศกับหนูเจียอยู่ด้วย

ออฟไลน์ ShadeoftheMoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
 :เฮ้อ:พูดไม่ออกน้ำตาไหล

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ 26
ที่ปลายสุดของอุโมงค์


       เสียงรถยนต์ที่แล่นเข้ามาจอดในบริเวณบ้านทำให้หลงที่นั่งหลับอยู่บนโซฟาสะดุ้งตื่น ร่างเล็กปรือตาขึ้นแล้วก็เห็นคนรักของตนยืนอยู่ริมหน้าต่าง
   
       “พวกเขากลับมาแล้วเหรอครับ”
   
       “อื้ม มาแล้วล่ะ”
   
        หลงขยับตัวเล็กน้อย ตอนนี้ที่ห้องนั่งเล่นของบ้านเรือนไทยไม่ได้มีแต่เขากับคนรักเท่านั้นแต่บนตักของหลงยังมีร่างป้อมของเด็กน้อยที่ชื่อเจียหลินหลับซบอยู่ด้วย ใบหน้าของเด็กน้อยยังเปื้อนคราบน้ำตาอยู่เลย
   
        “ต้องปลุกไหม” ชายหนุ่มผมทองพยักเพยิดมาทางเจียหลิน หลงส่ายหน้า กระซิบตอบกลับไปว่า “ให้แกนอนไปนั่นแหละดีแล้วครับ นี่ก็เพิ่งร้องไห้จนเพลียหลับไปเอง”
   
        หลังจากที่พวกราเมศออกไปตามหาปานตะวัน หลงกับพี่คุณก็อาสาอยู่เฝ้าบ้านและดูแลเจียหลินให้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ห่วงเพื่อนแต่จะให้ทิ้งเด็กไว้ที่บ้านคนเดียวก็ไม่ได้ อุ้มพาไปตามหาปานตะวันด้วยก็ไม่ใช่ความคิดที่ดี ดังนั้นจึงต้องมีคนหนึ่งเฝ้าเอาไว้ เหตุการณ์หลังจากราเมศออกจากบ้านไปประมาณสิบนาทีคือสิ่งยืนยันว่าหลงคิดถูกที่อาสาอยู่โยงให้
   
        เจียหลินสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกอีกแล้ว คราวนี้เหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นใคร เรียกหาน้าเมศและน้าตะวันหลายหนก็ไม่มีใครตอบ เด็กน้อยเลยแผดเสียงร้องไห้ขึ้นตอนนั้นด้วยความตกใจกลัว พี่คุณเป็นคนแรกที่วิ่งเข้าไปหา หนูเจียเจอหน้าอีกฝ่ายแค่ไม่กี่หนเท่านั้น ไม่คุ้นชินและจำไม่ได้ก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม ฝรั่งผมทองจำต้องล่าถอยเพราะยิ่งเขยิบไปใกล้หนูเจียก็ยิ่งกลัว สุดท้ายก็เป็นหลงที่ตรงเข้าไปปลอบ
   
        เจียหลินคุ้นกับหลงแล้วแต่ก็ยังไม่ชอบใจอยู่ดีที่คนเข้ามาหาไม่ใช่น้าตะวันและน้าเมศ เด็กชายอยากได้อ้อมกอดอุ่นๆ ของน้าชายทั้งสองมากอดปลอบมากกว่าอ้อมกอดของคนแปลกหน้า
   
        “น้า...ฮึก...น้าตะวันไปไหนคับน้าหลง แล้วทำไมน้าหลงมาอยู่ที่นี่”
   
        หลงที่ช้อนอุ้มเจ้าตัวน้อยเข้ามาในอ้อมกอดมองพี่คุณอย่างลำบากใจแวบหนึ่งแล้วก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
   
        “น้าตะวันกับน้าเมศออกไปข้างนอกครับ เดี๋ยวก็กลับแล้วล่ะ น้าตะวันวานให้น้าหลงมาช่วยเฝ้าหนูเจียครับ”
   
        “หนูเจียอยากหาน้าตะวัน...ฮึก...น้าตะวันไปไหน หนูเจียจะหาน้าตะวัน”
   
        “น้าหลงรู้แล้วๆ เดี๋ยวน้าตะวันก็กลับแล้วครับ หนูเจียรออีกนิดนะ” ชายหนุ่มผิวแทนใช้ชายแขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้เด็กน้อยอย่างอ่อนโยน เจียหลินสะอื้นฮัก เด็กชายไม่ได้ตะเบ็งเสียงร้องไห้แล้วแต่หยดน้ำตาก็ยังร่วงพรูไม่หยุด
   
       “ให้น้าหลงกล่อมนอนไหมครับ” หลงวางร่างเล็กๆ ลงบนเตียง ห่มผ้าให้ หนูเจียส่ายหน้า สองมือเล็กๆ กำเสื้อคุณน้าหลงไว้
   
       “น้าหลงจะออกไปรอน้าตะวันใช่ไหมคับ”
   
      “ใช่ครับ หนูเจียไม่ต้องห่วง น้าเมศโทรบอกน้าหลงแล้วว่ากำลังจะกลับ” ประโยคหลังหลงโกหก แต่ก็เพื่อความสบายใจของเด็กน้อย ไม่อย่างนั้นหนูเจียคงไม่ยอมนอน
   
       “หนูเจียจะออกไปรอด้วยคับ”
   
       “ไม่เป็นไรหรอกครับ หนูเจียนอนอยู่ที่นี่เถอะนะ ถ้าน้าตะวันกลับมาน้าหลงจะเดินมาเรียกนะครับ”
   
       “ไม่..ไม่เอาคับ! หนูเจียจะรอด้วย”
   
        หลงเม้มปากแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ชายหนุ่มยอมตามใจเด็กชายด้วยการอุ้มร่างเล็กๆ มานั่งกับตัวเองที่โซฟา
   
        ตอนแรกหนูเจียก็นั่งจ้องประตูเขม็งแต่สักพักดวงตากลมก็เริ่มหรี่ปรือ เด็กชายตื่นมาร้องไห้กลางดึกตั้งสองสามรอบทำให้เพลียมาก ไม่นานร่างเล็กก็ฟุบหลับไปบนตักของหลง จากนั้นคุณน้าหลงที่เพลียไม่ต่างกันก็เผลอหลับไปอีกคนจนกระทั่งได้ยินเสียงรถยนต์เมื่อครู่นี้นี่แหละ
   
        “พี่จะลงไปดูนะ” พี่คุณพูดก่อนจะเดินลงจากเรือนไปส่วนหลงก็ขยับตัวอุ้มเด็กน้อยวางลงบนโซฟา หนูเจียหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราวไปแล้ว หลงห่มผ้าให้เด็กน้อย จูบลงที่พวงแก้มนุ่มเบาๆ แล้วก็ตามคนรักลงไปด้านล่าง
   
        ข้างๆ รถยนต์สองคันมีเงาคนคุ้นเคยยืนคุยกันอยู่ หลงเห็นปานตะวันได้ทันที ชายหนุ่มยิ้มออกมาด้วยความโล่ง อก แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้และกำลังจะอ้าปากร้องทักเขาก็เห็นถึงความผิดปกติของปานตะวันได้
   
       ปานตะวันอยู่ในอ้อมกอดของราเมศ ไม่เงยหน้ามองใคร ไม่พูดกับใครทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ทำให้รู้ว่าคนตรงหน้ายังมีสติคือเสียงสะอื้นเบาๆ ที่ลอดออกมาเป็นระยะ
   
       “ตะวัน” หลงแตะแขนเพื่อนพร้อมกับเรียกชื่อแต่ปานตะวันกลับสะดุ้งเฮือกเหมือนถูกไฟช็อต ร่างโปร่งเบียดเข้าหาราเมศมากขึ้นไปอีกคล้ายกับว่าหวาดกลัวการสัมผัส หลงชักมือกลับมา รู้สึกใจเสียเล็กน้อย
   
       “ขอโทษด้วยนะแล้วก็ขอบคุณมากที่ช่วยดูแลหนูเจียให้” ราเมศพึมพำ มือยังลูบหลังลูบศีรษะคนรักอยู่เรื่อยๆ นัยน์ตาสีนิลของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าโศก หลงยิ้มให้กำลังใจ “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ ตะวันกลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว”
   
       “พี่พาตะวันขึ้นบ้านก่อนนะ พวกเธอก็มาด้วยกันเถอะ ไปนอนพักสักหน่อย”
   
       “ครับ เดี๋ยวจะตามไป”
   
        คล้อยหลังราเมศกับปานตะวันหลงกับคุณก็หันมาหาชนกันต์ทันที ชายหนุ่มที่ถูกจ้องถอนหายใจ ยกมือลูบหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน
   
        “เป็นคืนที่หนักน่าดูเลย”
   
        “อื้ม แล้วตะวันเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
   
        “ไม่แน่ใจเหมือนกัน...แต่ฟังจากที่มันเล่ากระท่อนกระแท่นมาตลอดทางกลับบ้านก็คือตะวันขับรถออกไปจากบ้าน โทรหาไอ้ธีร์แล้วก็หลอกมันมาขึ้นรถ ตั้งใจจะขับรถให้ชนไม่ก็ให้รถคว่ำจะได้ตายกันไปทั้งคู่”
   
         หลงเบิกตากว้าง แม้จะตรงกับที่ตัวเองสันนิษฐานอยู่บ้างแต่ไม่คิดว่าตะวันจะยอมตายไปด้วยกันแบบนั้น
   
        “แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ ไอ้ธีร์นี้ไปได้ กูกับพี่เมศขับรถวนอยู่ตั้งนานกว่าจะเจอมัน พอเจอมันก็เอาแต่กอดพี่เมศแน่น ไม่ยอมให้ใครแตะตัว ไม่ยอมพูดอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากอยากกลับบ้าน”
   
       “งั้นเหรอ...นี่คงเป็นคืนที่หนักสำหรับตะวันมากเลยนะ” หลงพึมพำด้วยความกังวล “พรุ่งนี้จะเป็นยังไงนะ”
   
       “นั่นสิ กูว่าพรุ่งนี้กูจะโดดเรียนมาเฝ้ามัน กูสังหรณ์ใจไม่ดีเลย ไม่อยากให้อยู่คนเดียว”
   
        “อื้ม...พรุ่งนี้หลังกลับจากมหา’ลัย หลงจะแวะเข้ามาดูอีกทีแล้วกัน แต่วันนี้คงกลับบ้านก่อน”
   
        “ขอบใจมากนะ”
   
         ชนกันต์ตบไหล่หลงแล้วก็หันไปยกมือไหว้ขอบคุณพี่คุณ ทั้งสามเดินกลับขึ้นไปบนเรือน ปานตะวันไม่อยู่แล้วเหลือแต่หนูเจียที่นอนหลับอยู่บนโซฟากับราเมศที่นั่งหน้าเครียดอยู่คนเดียวเท่านั้น
   
        “พี่เมศ หลงกับพี่คุณกลับก่อนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะแวะมาใหม่” หลงเอ่ยลาคนอายุมากกว่า อีกฝ่ายหันมาพยักหน้าให้พร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณมากนะ”
   
        เมื่อหลงกับคุณจากไปราเมศก็หันมาหากันต์ “คืนนี้ค้างนี่ใช่ไหมกันต์ เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหมหรือจะไปนอนเลย”
   
        “ผมขอตัวไปนอนเลยแล้วกันครับ”
   
        “โอเค ขอโทษด้วยนะที่ทำให้ลำบาก”
   
        “ไม่เป็นไรครับ”
   
        ชนกันต์ตอบรับเบาๆ แต่ตอนที่ชายหนุ่มกำลังจะก้าวออกไปจากห้องนั่งเล่นนั้นเองเขาก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ กันต์หันกลับมาด้วยสีหน้าลำบากใจแล้วพูดว่า “พี่เมศ...พี่เห็นคลิปนั่นแล้วใช่ไหมครับ”
   
        “เห็นแล้วล่ะ”
   
        “แล้วพี่...” ยังรับไอ้ตะวันได้อยู่ใช่ไหม ยังไม่ได้รังเกียจมันใช่หรือเปล่า
   
         “พี่ยังเหมือนเดิม” สายตาที่กันต์มองมายังคงเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ ราเมศจึงย้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่บอกแล้วไงว่าอดีตของตะวันจะเป็นยังไงพี่ก็รับได้ทั้งนั้น เพราะตอนนี้เขาเป็นปานตะวันที่พี่รักมากที่สุด”
   
        ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นราเมศก็จะไม่ปล่อยมือเด็ดขาด
   
         แม้ว่าวันพรุ่งนี้ที่กำลังมาถึงจะดูไม่ง่ายดายก็ตาม
   
         ชายหนุ่มผิวแทนอุ้มหลานชายเดินช้าๆ ไปที่ห้องนอนของตน เขาแตะมือที่ลูกบิดประตูแล้วเปิดออกเบาๆ ในห้องนั้นมืดสนิท หนูเจียในอ้อมแขนครางอืออา ราเมศวางเจียหลินลงบนเตียงแล้วก็หันกลับมามองร่างของคนรักที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่พื้น
   
        “ตะวัน”
   
        ราเมศแตะแขนปานตะวันอย่างแผ่วเบา เขามองใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัดนักแต่ก็รับรู้ได้ว่าตอนนี้ปานตะวันคงไม่อยากให้ใครเห็นสีหน้าตนเองเท่าไหร่
   
       “นอนเถอะ คืนนี้เหนื่อยแล้ว”
   
       “ครับ”
   
        น้ำเสียงแหบพร่าตอบกลับมา ปานตะวันเขยิบตัวลงนอนแต่คราวนี้เจ้าตัวไม่ได้หันกลับมาเบียดหรือกอดราเมศอีกแล้ว ปานตะวันนอนตะแคงหันหน้าออกจากราเมศ ทิ้งให้คนรักมองแผ่นหลังงองุ้มของตนด้วยสายตาเศร้าใจ
   
       วันต่อมาคือวันที่ราเมศและชนกันต์ภาวนาให้ตะวันกลับเป็นเหมือนเดิมและขอให้ทุกอย่างเป็นเพียงฝันร้าย แต่รอยแผลที่ถูกสร้างไว้คงกว้างเกินกว่าจะสมานติดได้ในคืนเดียว ปานตะวันที่ตื่นนอนสายที่สุดในบ้านจึงยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น
   
        ชายหนุ่มผมน้ำตาลเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน ใบหน้าของปานตะวันดูซีดเซียว ขอบตาคล้ำ ไหล่ก็ลู่ลง บุคลิกที่เคยดูร่าเริงกระปรี้กระเปร่าก็หายวับไปแล้วถูกแทนที่ด้วยการก้มหน้าก้มตา เหม่อลอยอยู่ตลอดเวลา และมีสีหน้าอมทุกข์ ไม่ว่าชนกันต์หรือราเมศจะชวนคุยอย่างไรปานตะวันก็จะตอบแค่สั้นๆ หรือบางทีก็ไม่ตอบเลย
   
       “น้าตะวัน กินอันนี้น้า หนูเจียให้น้าตะวัน กินเยอะๆ จะได้แข็งแรงนะคับ” เด็กชายตัวน้อยเองก็ดูออกว่าน้าตะวันของตัวเองแปลกไปจากปกติเลยขยันเอาใจคุณน้าให้มากขึ้น เจียหลินไม่ดื้อไม่งอแงเลย เขาทำตัวเป็นเด็กดีเพื่อที่ว่าน้าตะวันของเขาจะได้ไม่เหนื่อยมาก ระหว่างทานมื้อเช้าเด็กชายก็ตักนู่นตักนี่ใส่จานของคุณน้าตลอด
   
       “น้าตะวัน อ้ามมม”
   
        มุมปากของปานตะวันยกขึ้นเล็กน้อยก่อนที่เขาจะอ้าปากรับเอาไส้กรอกทอดที่หนูเจียจิ้มมาป้อนถึงปากเข้าไปกิน ดวงตาที่ไร้ประกายและว่างเปล่าพลันกลับมามีร่องรอยของความสดใสอีกครั้ง แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็ทำให้ชายหนุ่มสองคนที่ลอบสังเกตอยู่โล่งใจขึ้น
   
       “อร่อยไหมคับ!”
   
       “อร่อยครับ”
   
       “งั้นน้าตะวันกินเยอะๆ เลยน้า หนูเจียให้หมดเลย”
   
       ปานตะวันส่ายหน้า ชายหนุ่มจูบหน้าผากหลานชายไปหนึ่งทีแล้วพูดว่า “ไม่ล่ะครับหนูเจีย น้าตะวันอิ่มแล้ว หนูเจียกินเถอะ กินเยอะๆ เลยนะจะได้โตไวๆ”
   
       เจียหลินมีสีหน้าลังเลแต่ก็ยอมตกลง ปานตะวันลุกจากโต๊ะ ยกจานและแก้วน้ำของตนไปวางลงในอ่างล้างจาน
   
       “อิ่มแล้วเหรอตะวัน เอาน้ำส้มสักแก้วไหม” ราเมศถาม ปานตะวันส่ายหน้า “ไม่ล่ะครับพี่ อิ่มแล้วจริงๆ”
   
       “งั้นวันนี้จะอยู่บ้านไหมหรือว่า...”
   
        “ตะวันจะออกไปทำงาน ส่วนกันต์ก็ไม่ต้องอยู่เฝ้าหรอก ไปเรียนเถอะ”
   
       “แต่...”
   
       “ไม่เป็นไร...กูโอเค มึงไปเถอะ”
   
       ราเมศขมวดคิ้ว ชายหนุ่มก้าวไปประชิดตัวคนรัก “แน่ใจนะว่าไหว สีหน้าดูไม่ดีเลย” ว่าพลางยกมือจะแตะที่หน้าผาก ทันใดนั้นเองที่ปานตะวันผงะถอยหลังพร้อมกับปัดมือของราเมศออกดังเพี๊ยะ
   
       ทั้งห้องถูกปกคลุมด้วยความเงียบในพริบตา
   
       ปานตะวันมีสีหน้าแตกตื่น เขาเบิกตากว้างมองราเมศแล้วก็หันกลับมามองมือตัวเอง ความเจ็บและชาเล็กๆ ที่เกิดจากกันปัดมือราเมศออกยังคงอยู่
   
       มือข้างนั้นสั่นระริก สั่น...พอๆ กับหัวใจ
   
       นี่เขาทำอะไรลงไป
   
       “พี่เมศ ขอโทษ...ตะวันไม่ได้...ไม่ได้ตั้งใจ”
   
        ปานตะวันละล่ำละลักพูดออกมา เขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แต่ตอนนั้นที่ราเมศยื่นมือออกมาจู่ๆ ภาพในความทรงจำก็พลันผุดขึ้นมาซ้อนทับ ภาพของชายกักขฬะหลายคนที่ยื่นมือหยาบกร้านมาหาเขา จิกผม ตบตี และสัมผัสอย่างหยาบโลนไปทั่วร่างกาย
   
         ภาพนั้นดูชัดเจนเสียจนปานตะวันเผลอเบี่ยงตัวหนีแล้วก็ปัดมือออกตามสัญชาตญาณ แต่แล้วนาทีต่อมาเขาก็พบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นราเมศ เป็นคนรักของเขา คนรักที่วิ่งพล่านไปทั่วตอนตีหนึ่งตีสองเพื่อตามหาและพาเขากลับบ้าน
   
        นี่เขาทำอะไรลงไป ปานตะวัน...กลายเป็นอะไรไปแล้ว
   
       “ขอโทษ...ขอโทษ...ขอโทษ”
   
       “พี่รู้แล้ว...ไม่เป็นไร” ราเมศยิ้ม สีหน้าและแววตายังคงอ่อนโยนแต่คราวนี้เขาไม่แตะต้องตัวปานตะวันอีกแล้ว “ตะวันจะไปทำงานใช่ไหม ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวพี่จะไปส่งหลานเอง”
   
      “ค...ครับ”
   
       จบคำพูดนั้นปานตะวันก็รีบออกจากห้องไป ราเมศถอนหายใจ พิงเคาน์เตอร์ครัวด้วยท่าทางอ่อนล้า เมื่อครู่ตอนโดนปัดมือออกเขายอมรับว่าเจ็บ
   
       ไม่ใช่ที่มือ...แต่เป็นที่ใจ
   
       “น้าเมศ” หนูเจียในชุดนักเรียนปีนลงจากเก้าอี้แล้วก็เดินเตาะแตะมากระตุกชายขากางเกงเขา เด็กชายเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด “น้าตะวันเป็นอะไรไปคับ”
   
        “น้าตะวันแค่รู้สึกไม่ดีน่ะครับหนูเจีย” ราเมศฝืนยิ้มออกมา
   
        “น้าเมศเจ็บหรือเปล่า”
   
        “ไม่เจ็บมากหรอกครับ” ชายหนุ่มโกหก เจียหลินเม้มริมฝีปากแล้วก็กอดราเมศแน่น วันนี้เด็กชายรู้สึกได้ถึงบรรยากาศผิดปกติจากคนรอบๆ ตัวมาตั้งแต่เช้าแล้ว มันหดหู่ เหนื่อยอ่อนแล้วก็ทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก
   
        หนูเจียไม่เข้าใจหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาไม่อยากให้น้าตะวันมีสีหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้แบบนั้นแล้วก็ไม่อยากให้น้าเมศฝืนยิ้มทั้งที่ทุกข์ใจแบบนี้
   
        เด็กชายกอดราเมศเอาไว้แน่นแล้วก็อยากวิ่งไปกอดน้าตะวันด้วย น้าตะวันเคยสอนเขาว่ากอดกันจะทำให้รู้สึกดี เจียหลินจึงอยากกอดทั้งสองคนเอาไว้...เผื่อว่าบรรยากาศสดใสที่หายไปจะกลับคืนมา
   
       ปานตะวันรู้ดีว่าตอนนี้มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับเขา...ในหัวเขา
   
       ชายหนุ่มรู้สึกว่าวันทั้งวันช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน ร่างกายและจิตใจของเขาหนักอึ้งเกือบตลอดเวลา ปานตะวันรู้สึกเหนื่อย หมดแรง ในจิตใจของเขายังคงมีแต่ความรู้สึกของเมื่อคืนอยู่เต็มไปหมด คืนที่เขาปรารถนาจะฆ่าใครอีกคนให้ตาย คืนที่เขารู้สึกหลงทางและจมดิ่งลงในโลกมืดมิดไร้แสงสว่าง
   
        ในใจของชายหนุ่มมีแต่ความกลัวและความเหนื่อยล้า
   
        เขารู้สึก...ว่าตัวเองไม่เหมือนเดิม มันเหมือนกับว่าเขาแตกสลายไปแล้วและจะไม่มีทางกลับมาเป็นปานตะวันของเจียหลินและราเมศได้อีก
   
        ปานตะวันไม่รู้ว่าทั้งสองคนยังต้องการเขาอยู่หรือเปล่าด้วย
   
        ราเมศ...หลังจากเห็นคลิปนั่น ความรู้สึกของเขาไม่มีทางเหมือนเดิมได้ตลอดไปหรอก ยิ่งถูกทำเหมือนรังเกียจแบบเมื่อเช้าด้วยแล้ว ตอนนี้คงกำลังโกรธและหงุดหงิดอยู่แน่ๆ ส่วนหนูเจีย ปานตะวันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กชายจะทนกับน้าที่แผ่รังสีหดหู่ไปได้อีกนานแค่ไหน
   
        ทำไมถึงกลับเป็นเหมือนเดิมไม่ได้นะ แค่ทำเป็นลืมไปก็ได้แล้วแท้ๆ แค่ทำเป็นลืม...
   
        ลืมไม่ได้
   
        ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังเข้ามาเหมือนคลื่นยักษ์จนตั้งรับไม่ทัน ปานตะวันตอนนี้เหมือนหุ่นกระบอกเชือกขาด เหมือนคอมพิวเตอร์ที่พังแล้ว ทุกอย่างรวนไปหมด มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายให้คนนอกเข้าใจและยากจะดิ้นรนจนหลุดพ้น
   
        ชีวิต...ยากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ
   
       ชายหนุ่มคิดอย่างเลื่อนลอย ปานตะวันเก็บจานชามและแก้วน้ำของลูกค้าที่กินเสร็จแล้วไปไว้ที่บริเวณทำความสะอาด ระหว่างที่กำลังเช็ดโต๊ะนั่นเอง โทรทัศน์ในร้านก็กำลังแสดงภาพผู้ประกาศข่าวสาวสวยกำลังอ่านข่าว เนื้อหาของข่าวสะดุดหูปานตะวันเข้าอย่างจัง

        ‘เช้านี้เวลาประมาณเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาทีมีการพบศพชายหนุ่มคนหนึ่งในห้องพัก จากการสอบถามผู้ที่พักอาศัยในชั้นสี่และห้องข้างเคียงได้ความว่าช่วงเวลาประมาณหกโมงเช้ามีเสียงดังมาจากห้องพักของผู้ตาย แต่พวกตนไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะผู้ตายชอบพาเพื่อนฝูงมาที่ห้องแล้วก็ส่งเสียงดัง บางครั้งก็มีเสียงทะเลาะกันกับหญิงสาวหรือชายหนุ่มซึ่งคาดว่าเป็นคนรักของของผู้ตายดังมาให้ได้ยินเป็นประจำ ดังนั้นผู้ที่ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทจึงทำเพียงแค่นำเรื่องลงไปแจ้งผู้ดูแลหอพักเท่านั้น
   
        จากปากคำของผู้ดูแลหอพักซึ่งเป็นผู้พบศพเล่าว่าตนขึ้นมาหาผู้ตายที่ห้องเพื่อจะตักเตือนเช่นทุกครั้ง แต่เรียกอยู่นานผู้ตายก็ไม่เปิดประตู เมื่อลองขยับลูกบิดดูก็พบว่าไม่ได้ล็อกตนจึงเปิดประตูเข้าไปแล้วก็พบศพผู้ตายนอนอยู่กลางห้องข้าวของในห้องพังเสียหาย’
   
        ปานตะวันละสายตาจากโต๊ะไม้ขึ้นไปดูที่จอโทรทัศน์ วินาทีนั้นชายหนุ่มถึงกับตัวชา หัวใจคล้ายถูกแช่แข็งไป
   
       ‘ผู้ตายชื่อนายธีรเทพ อายุ 22 ปี อาศัยอยู่คนเดียว สภาพศพถูกของมีคมแทงเข้าตามร่างกายยี่สิบสี่แผล ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการฆาตกรรมซึ่งสาเหตุมาจากการทวงหนี้...’
   
        ภาพใบหน้าในกรอบเล็กๆ บนจอนั่นคือรูปของธีร์...ปานตะวันแน่ใจว่าหูไม่ฝาด ธีรเทพคือชื่อจริงของชายหนุ่ม
   
        ตายแล้ว...งั้นหรือ เหมือนโชคชะตาเล่นตลกเลยนะ เมื่อคืนเขายังพามันไปด้วยกัน...หวังให้ตาย ใครจะไปรู้ว่ามันจะรอดกลับไปเพื่อไปถูกฆ่าที่ห้องพักตัวเอง
   
        เขาเหม่อมองผู้ประกาศข่าวสาวรายงานข่าวต่อไป ในใจของปานตะวันตอนนี้ไม่มีความสงสาร ความเสียใจหรือความกลัวเลย กับผู้ชายคนนี้ คนที่ขยี้ชีวิตเขาจนยับเยินปานตะวันไม่มีความสงสารหรือเวทนาให้เลย
   
         ความรู้สึกในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียว...คือความโล่งใจ
   
         ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก รู้ดีว่าตัวเองไม่ควรเกิดความรู้สึกแบบนี้ เขาไม่มีสิทธิ์คิดว่าใครควรตายหรือไม่ควรตายแต่ชายหนุ่มก็อดรู้สึกโล่งใจไม่ได้
   
        จะไม่ต้องเจอกันอีกแล้ว จะไม่ต้องถูกตามจองเวรแล้ว
   
        จบลงแล้วจริงๆ
   
        ตอนที่คิดอย่างนี้ออกมา ส่วนหนึ่งในหัวเขาพลันรู้สึกขยะแขยงตัวเอง
   
       ต้องเป็นคนจิตใจเหี้ยมโหดขนาดไหนถึงเฉยชากับการตายของคนคนหนึ่งได้ขนาดนี้แถมยังรู้สึกโล่งใจอีก
   
        ถัดจากความรู้สึกขยะแขยงคือความกลัว ปานตะวันกำมือชื้นเหงื่อแน่น เขารีบหลบออกไปที่หลังร้าน กอดตัวเองไว้ แผ่นหลังแนบกับกำแพงเย็นเฉียบ
   
        เขาเป็นอะไรไป...เกิดอะไรขึ้น..ทำไมถึงไม่เหมือนเดิม
   
       ทำไมถึงบิดเบี้ยวไปได้มากขนาดนี้
   
        กลัว...ความคิดของตัวเอง
   
        ร่างกายสกปรกยังไม่พอ...จิตใจก็ยังตกต่ำไปด้วยงั้นหรือ
   
        ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม กลัว กลัว กลัว กลัว กลัว
   
        ปานตะวันกัดริมฝีปากจนเลือดซิบ เขาคู้ตัวอยู่ตรงนั้น อยากจะปกป้องตัวเองจากสิ่งที่ตามหลอกหลอนแต่ก็ทำไม่ได้...จะปกป้องได้อย่างไรเมื่อสิ่งนั้นมันอยู่ข้างในตัวเขาเอง
   
        ความทรงจำพวกนั้น อดีตที่ฝังอยู่ หรือแม้กระทั่งความคิดเลวร้ายทุกอย่างถูกกลบฝังอยู่ในตัวเขา....มาแสนนาน เมื่อได้เจอธีร์  อีกฝ่ายก็ทำหน้าที่เหมือนเป็นกุญแจปลดล็อกด้านมืดในตัวปานตะวันออกมา
   
        “ฮึก...ทำไม....” ปานตะวันกระซิบด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดรวดร้าว “ทำไมคนที่ตายถึงไม่เป็นเราด้วย”
   
        เขาเกลียดตัวเองเหลือเกิน ความรู้สึกว่าตนนั้นสกปรกเกินกว่าจะให้คนอื่นมาแตะต้องทวีมากขึ้น มากขึ้นแล้วก็มากขึ้น
   
        ไม่หายไป...ไม่มีทางหาย
   
        ค่ำวันนี้มื้อเย็นอึดอัดกว่าทุกวัน ราเมศลอบสังเกตคนรักไปด้วยทานอาหารไปด้วย เขาเห็นข่าวของธีร์แล้ว หลงเองก็โทรมาหาเขาแล้วเช่นกัน เจ้าตัวบอกว่าตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้เป็นคนรู้จักของพี่คุณ เขาจะรวบตัวคนร้ายมาให้ได้ พวกมันจะได้ไม่มาสร้างความเดือดร้อนให้ทีหลัง หลงคิดว่าบางทีธีร์อาจจะบอกที่อยู่ปานตะวันให้กับพวกทวงหนี้เผื่อไว้ในกรณีที่มันไม่มีเงินแล้วเตรียมหนีเหมือนครั้งก่อน ได้ยินแบบนั้นราเมศก็ร้อนใจ เขาอยากให้จับคนพวกนั้นให้ได้เร็วๆ หลานชายและคนรักจะได้ปลอดภัยเสียที
   
       นับตั้งแต่รู้ข่าวราเมศก็กังวลเกี่ยวกับท่าทางของปานตะวันมาตลอด แต่ตอนนี้เขาพบแล้วว่าปานตะวันมีสีหน้าและท่าทางนิ่งเฉยคล้ายกับคนที่ตายไปไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเองเลยแม้แต่น้อย แววตาว่างเปล่าแห้งแล้วเหมือนคนไร้จิตวิญญาณทำให้เขารู้สึกใจคอไม่ดี หนูเจียเองก็รู้สึกได้เหมือนกัน น้าตะวันแตกต่างจากเมื่อเช้า...คราวนี้ไม่ว่าหนูเจียจะเข้าหาแค่ไหนอีกฝ่ายก็มักจะถอยหนี ไม่ยอมให้กอดหรือหอมอีก
   
        เหมือนว่าปานตะวันกำลังเว้นระยะห่างระหว่างพวกเรา
   
        “ตะวัน” ราเมศตัดสินใจได้แล้วว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง เขาเรียกคนรักเอาไว้หลังตัวเองส่งหนูเจียเข้านอนเสร็จ “มาคุยกันหน่อยได้ไหม”
   
       “ครับ”
   
       ปานตะวันทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่นตามคำบอกของเขา ราเมศขยับเข้าไปใกล้ ตะวันก็ถอยหนี ท่าทางนั้นทำให้ชายหนุ่มปวดใจ
   
       “ตะวัน...เห็นข่าวของธีร์แล้วใช่ไหม”
   
       “เห็นแล้วครับ”
   
       “แล้ว...” รู้สึกยังไงบ้าง ราเมศกลืนคำถามนั้นลงไป เขาเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยคำถามใหม่ออกมาเบาๆ “ทำไมวันนี้ถึงไม่พูดกับพี่เลยล่ะ ตะวันยังรู้สึกไม่ดีอยู่อีกเหรอ”
   
      “ไม่...ผมเปล่า...มันก็แค่...”
   
       “ปานตะวัน” ราเมศขยับเข้าไปใกล้ คนรักก็ถอยหนีออกไปอีกจนกระทั่งแผ่นหลังติดกับที่วางแขนของโซฟา “มีอะไรหรือเปล่า บอกพี่ได้นะ รู้ใช่ไหมว่าบอกพี่ได้ทุกอย่างเลย”
   
      “รู้ครับ แต่ว่าตะวัน...”
   
       ราเมศทาบมือลงที่ข้างแก้มของคนรัก เขาโน้มตัวไปแตะริมฝีปากที่หน้าผากของอีกฝ่าย พรมจูบลงมาถึงพวงแก้มเหมือนเช่นทุกครั้งที่จะปลอบใจปานตะวัน
   
       ปกติแล้วการกระทำแบบนี้ของราเมศจะทำให้ตะวันรู้สึกดีและอบอุ่นใจ แต่กับครั้งนี้จู่ๆ ร่างกายสูงใหญ่ของคนรักก็ถูกซ้อนทับด้วยภาพของหัวหน้าแก็งทวงหนี้ ฝ่ามือที่สัมผัสอย่างอ่อนโยนปลุกเอาความทรงจำเลวร้ายว่าร่างกายนี้เคยถูกคนอื่นจับอย่างหยาบคายมาแล้วขนาดไหน
   
       “ไม่...ออกไป...ออกไปนะ”

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
       “ตะวัน?”
   
        ราเมศผละออกมาเห็นคนรักมีสีหน้าแตกตื่น ดวงตาสีน้ำตาลของปานตะวันดูล่องลอย มองมาที่เขา...แต่ไม่ได้เห็นตัวเขา
   
        “อย่าเข้ามานะ...อย่าเข้ามา!”
   
        “ปานตะวัน!”
   
        ราเมศจับใบหน้าของปานตะวันไว้ เขาไม่สนใจกำปั้นหนักๆ ที่ไล่ทุบไปที่ร่างกายเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเขย่าตัวคนรัก เรียกชื่ออีกฝ่ายซ้ำๆ
   
       “ตะวัน มองพี่ นี่พี่เมศเอง”
   
        “พี่...เมศ”
   
       “ครับ ใช่แล้ว เด็กดี ไม่ร้องนะ”
   
       ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยที่เคยสดใสบัดนี้มีแต่ความร้าวรานฉายออกมา “พี่เมศ” ปานตะวันสะอื้น เขาร้องไห้ไปแล้วกี่ครั้งก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าตัวเองอ่อนแอลงทุกทีๆ
   
       “ตะวันกลัว...เมื่อกี้...ตะวันไม่ได้เห็นพี่ ตะวันเห็นเป็นพวกแก๊งทวงหนี้ มันกำลังจะมาจับตัวตะวัน”
   
      “ไม่มีแก๊งทวงหนี้ที่ไหนหรอกครับ ตะวันปลอดภัยแล้วนะ อยู่กับพี่ตะวันจะไม่เป็นไร”
   
       ปานตะวันส่ายหน้า กระถดหนี ร่างเล็กๆ กอดเข่า โยกตัวไปมา “อย่าจับตะวันนะพี่เมศ...จับ...ไม่ได้นะ”
   
       “ทำไมล่ะครับ”
   
       “เพราะตอนพี่จับ..ตะวันจะนึกถึงแต่เรื่อง...เรื่องคืนนั้น แล้วก็รู้ตัวว่าตะวันสกปรก...ฮึก...สกปรกมากแค่ไหน ถ้าจับพี่เมศก็จะสกปรกไปด้วย”
   
       “ไม่จริงหรอกนะ ตะวัน ไม่จริงเลย”
   
       ราเมศไม่เคยรู้สึกอยากจะร้องไห้เท่านี้มาก่อน ปานตะวันตอนนี้ดูเหมือนลูกสัตว์ที่บาดเจ็บ อยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่เข้าไปปลอบประโลมไม่ได้ ชายหนุ่มยื่นมือเข้าไปหาแต่ก็ถูกปัดออกมาเหมือนเมื่อเช้า
   
       “ตะวันขอโทษ ตะวันไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษ” ปานตะวันร้องไห้โฮ น้ำตาอาบแก้ม ร่างเล็กจับมือของตัวเองข้างที่ปัดมือราเมศทิ้งเอาไว้แน่น “ขอโทษครับ ขอโทษ พี่เมศ ตะวันไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ อย่า...อย่าเกลียดตะวันเลยนะ”
   
        ราเมศสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาหลับตาลงเพื่อรวบรวมสติ จากนั้นก็ฝืนยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ปานตะวันเกลียดตัวเองมากขึ้นที่ทำให้คนรักแสดงสีหน้าแบบนี้
   
        “ไม่เป็นไร พี่ไม่เกลียดตะวันหรอก ขอโทษนะที่กดดันมากไป ไปนอนเถอะ”
   
       ราเมศลุกขึ้นยืนแล้วออกเดินไปทางห้องนอนแต่ปานตะวันไม่ได้เดินตาม อีกฝ่ายหยุดยืนนิ่งแล้วก้มหน้าพูดเสียงแผ่วว่า “ตะวันขอแยกห้องนอนนะครับ”
   
        ราเมศกำมือแน่น จำใจพยักหน้า “อื้ม ฝันดีนะ”
   
        “ครับ”
   
        ปานตะวันมองแผ่นหลังกว้างของคนรัก เขารู้ว่าพี่เมศเจ็บปวด ปานตะวันรู้ดีว่าเขาเป็นต้นเหตุของมัน ชายหนุ่มก้าวถอยหลังออกไปช้าๆ เมื่อเดินไปถึงห้องนอนสำหรับแขกจู่ๆ เขาก็นึกถึงแผนการปรับปรุงบ้านหลังนี้ที่เคยพูดกับราเมศไว้ขึ้นมา
   
        จะยังได้ทำร่วมกันอยู่อีกไหมนะ
   
        พี่เมศ...จะทนตะวันไปได้ถึงแค่ไหน
   
        ไม่อยากเป็นแบบนี้เลย ไม่อยากมีความคิดงี่เง่านี่อยู่ในหัว ไม่ชอบอารมณ์ของตัวเองที่ขึ้นๆ ลงๆ จนคนอื่นเสียใจ ไม่ชอบที่เป็นต้นเหตุให้คนอื่นทุกข์ ไม่ชอบร่างกายที่ไม่เป็นไปตามคำสั่งแบบนี้ ความเปราะบางของอารมณ์เหมือนจะเพิ่มขึ้นทุกที
   
        ทรมานจังเลย พี่เมศ...ช่วยที
   
        หลายวันต่อจากนั้นอาการของปานตะวันก็ดูจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มเริ่มเก็บตัว ไม่รับโทรศัพท์จากเพื่อนหรือคนอื่น แม้แต่ชนกันต์ปานตะวันก็ไม่ยอมรับสาย ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าเวลาเคลื่อนผ่านไปช้ามากในแต่ละวัน และทุกๆ นาทีที่ต้องเผชิญคือความทรมาน
   
        ปานตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นก้อนพลังงานด้านลบที่เดินได้ เขาเว้นระยะห่างจากคนรอบข้าง เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง แม้แต่หนูเจียและราเมศก็ได้เจอกันแค่ตอนทานอาหารเท่านั้น ปานตะวันถูกราเมศพักงาน อยู่แต่กับบ้าน ชายหนุ่มเริ่มนอนทั้งวัน รู้สึกเบื่อหน่ายง่วงซึมตลอดเวลา ไม่อยากออกไปพบผู้คนแต่ก็ไม่ชอบเวลาอยู่คนเดียวเช่นกัน ทุกครั้งที่นั่งเงียบๆ ในห้อง ความทรงจำเลวร้ายก็จะผุดขึ้นมา หลอกหลอนทั้งยามหลับและยามตื่น
   
        อารมณ์ของปานตะวันขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา บางครั้งเขาก็หงุดหงิดตัวเองที่อ่อนแอขนาดนี้ เวทนาตัวเองจนอยากจะให้ตายๆ ไปซะจะได้จบเรื่อง บางครั้งชายหนุ่มก็เหม่อลอยทั้งวัน นิ่ง เงียบ ไม่พูดจากับใครเลย เขาไม่ชอบตัวเองในตอนนี้เลยจริงๆ มันรู้สึกไร้ค่าจนน่าสมเพช
   
       ปานตะวันรู้สึกว่าการตื่นมาในตอนเช้าเป็นเรื่องที่ทรมานที่สุด ตื่นมา..เพื่อรู้สึกเศร้าและว่างเปล่า
   
       “ตะวัน” วันนี้พี่เมศก็มาปลุกเช่นเคย ชายหนุ่มผิวแทนจะอยู่นอกห้อง เคาะเรียกจนกว่าปานตะวันจะยอมลุก “ตะวัน ตื่นได้แล้วเด็กดี เช้าแล้วนะครับ”
   
       น้ำเสียงของพี่เมศยังอบอุ่น อ่อนโยน ปานตะวันโหยหาอ้อมกอดนั้นแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับการถูกรักโดยคนที่แสนดีขนาดนี้
   
       เด็กดีงั้นเหรอ ไม่ใช่หรอก ปานตะวันไม่ใช่เด็กดีของพี่เมศอีกแล้ว
   
       “ตะวัน...ออกมาสิ วันนี้มีคนมาหานะ”
   
        คนมาหา? ใคร?
   
       “ตะวันต้องเซอร์ไพรส์แน่เลย มาเถอะ”
   
       ปานตะวันลุกจากเตียงอย่างเชื่องช้า ชายหนุ่มเปิดประตูออกไปแล้วก็เจอราเมศยืนอยู่นอกห้อง ร่างสูงใหญ่เบี่ยงตัวให้ปานตะวันเดินออกไปโดยไม่สัมผัสตัวกัน
   
       กี่วันแล้วนะที่ไม่ได้กอด ไม่ได้แตะต้องกันเลย
   
      ราเมศพาปานตะวันไปที่ห้องครัว ที่โต๊ะกินข้าวมีร่างคุ้นตาของผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ หนูเจีย เมื่อเห็นเธอปานตะวันก็พูดออกมาด้วยท่าทางตกใจว่า “แม่”
   
       เสียงสั่นพร่าของปานตะวันเรียกให้รุ่งฟ้าเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่คล้ายคลึงกันกับปานตะวันไหวระริกเมื่อเห็นสภาพของลูกชาย
   
       “ตะวัน...ทำไมถึงได้...” ทำไมถึงได้มีสภาพแบบนี้
   
       รุ่งฟ้าแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเองเมื่อเห็นร่างของปานตะวัน ดวงตากลมที่เคยเปล่งประกายสดใสบัดนี้หม่นหมองและดูไร้ซึ่งจิตวิญญาณ ร่างของปานตะวันดูเล็กลงกว่าครั้งล่าสุดที่เธอได้พบ ลูกชายของเธอผ่ายผอมลงมากทีเดียว
   
       “แม่มาได้ยังไง”
   
       รุ่งฟ้าเหลือบมองราเมศแวบหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็เป็นคำตอบให้ปานตะวันได้แล้ว
   
       “พี่บอกแม่เหรอ”
   
       ปานตะวันหันไปหาคนรัก เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว สีหน้าแสดงความขุ่นเคืองออกมาอย่างไม่ปิดบัง ใช่ ปานตะวันโกรธ แค่เดินเข้ามาในครัวแล้วเห็นหน้าของแม่ เห็นแววตาตกใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าเจือความสงสารเขาก็ยิ่งโกรธ
   
       ในหัวใจอึดอัดจนแทบทนไม่ไหว บางสิ่ง...อาจจะเป็นภูเขาไฟลูกสุดท้ายในตัวที่สงบนิ่งมานานพลันขยับไหว
   
       “พี่เรียกคุณรุ่งฟ้ามาเอง” ราเมศเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
   
       ตั้งแต่วันที่ปานตะวันปฏิเสธการให้ราเมศสัมผัสตัวด้วยเหตุผลว่ามันปลุกเอาความทรงจำแย่ๆ ออกมาและทำให้ปานตะวันรู้สึกว่าตัวเขาเองสกปรก ราเมศก็รู้ได้ทันทีว่าคนรักของเขากำลังอาการไม่ดี ชายหนุ่มตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับคุณรุ่งฟ้าเพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ อย่างน้อยก็ใหญ่สำหรับคนใกล้ชิด เมื่อคุณรุ่งฟ้าได้รับเมลของเขาเธอก็ตอบกลับมาว่าจะกลับไทยให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
   
       ราเมศรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างรุ่งฟ้ากับปานตะวันไม่ค่อยดีนัก แต่แม่ลูกกัน อย่างน้อยก็ต้องมีสิ่งพิเศษเชื่อมกันเอาไว้ บางทีรุ่งฟ้าอาจเจาะเข้าไปหลังกำแพงที่ปานตะวันสร้างไว้ได้สำเร็จ
   
       “ทานข้าวเช้ากันดีกว่านะ”
   
       เมื่อบรรยากาศในครัวชักเริ่มอึดอัดราเมศจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขาเดินไปเลื่อนเก้าอี้ให้ปานตะวัน ก่อนจะตักข้าวต้มกุ้งหอมฉุยใส่ถ้วยมาให้
   
       “ทานเยอะๆ เลยนะ พี่ทำไว้เยอะมากเลย”
   
       “ขอบคุณครับ”
   
       ปานตะวันตักข้าวต้มในถ้วยขึ้นมาเป่าเบาๆ หนูเจียตัวน้อยเห็นคุณน้ายอมออกจากห้องมากินข้าวแล้วก็ดีใจ รีบตักกุ้งในถ้วยตัวเองใส่ในถ้วยปานตะวันทันที
   
       “น้าตะวันกินเยอะๆ น้า จะได้แข็งแรง หนูเจียให้กุ้งหมดเลย”
   
       “ขอบคุณครับหนูเจีย แต่ไม่ต้องตักมาให้ทั้งหมดหรอก หนูเจียเองก็ต้องกินเยอะๆ เหมือนกัน”
   
       “อื้อ หนูเจียจะกินให้ตัวโตๆ แล้วก็จะดูแลน้าตะวันเองคับ!”
   
        หลายวันมานี้หนูเจียกลุ้มใจมาก เด็กชายไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเท่าพวกผู้ใหญ่แต่ก็เดาได้ว่าน้าตะวันกำลังเศร้าและมีเรื่องไม่สบายใจ น้าตะวันไม่กลับมานอนกอดหนูเจีย ไม่มาเล่านิทานให้ฟัง ไม่ยอมหอม ไม่ยอมอุ้ม พักหลักๆ จะได้เจอกันเฉพาะตอนมื้อเช้ากับมื้อเย็นเท่านั้น แถมน้าตะวันยังกินน้อยมากๆ ทำให้ผอมลงๆ
   
        พอเขาไปถามน้าเมศ น้าเมศก็บอกว่าน้าตะวันไม่สบาย ต้องการพักผ่อน เจียหลินอย่าเพิ่งเข้าไปกวนเลย เด็กชายตัวเล็กจึงต้องเก็บแผนการมากมายที่อยากทำกับน้าตะวันเอาไว้กับตัวไปก่อน เจียหลินไม่เข้าไปกวนน้าตะวันเลย เขายอมเป็นเด็กดี กินข้าวเยอะๆ ทำการบ้าน แล้วก็ไม่ดื้อไม่ซน น้าเมศบอกว่าทำแบบนี้จะช่วยให้น้าตะวันหายเร็วขึ้น
   
       เจียหลินเป็นเด็กดีแล้วแต่น้าตะวันก็ยังไม่หายป่วยสักที
   
       หรือว่าเขายังดีไม่มากพอนะ
   
       มีหลายครั้งที่เจียหลินคิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆ ของคุณน้า เด็กชายมักจะเดินเงียบๆ ไปนั่งกอดเข่าอยู่หน้าห้องของปานตะวัน เอาหลังพิงบานประตูเย็นเฉียบไว้แล้วก็นั่งอยู่แบบนั้นนานหลายสิบนาที
   
       แต่ไม่ใช่แค่เจียหลินเท่านั้นที่ทำแบบนี้ ตอนกลางคืนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจียหลินสะดุ้งตื่นมากลางดึก เขาไม่เห็นหน้าเมศอยู่ในห้อง ตอนแรกเด็กชายก็จะร้องไห้แต่นึกขึ้นได้ว่าถ้าร้องไห้ตอนนี้จะไปกวนน้าตะวันที่กำลังหลับ หนูเจียเลยอุดปากตัวเอง รวบรวมความกล้าลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปในบ้านมืดๆ ตามลำพัง
   
       สองเท้าเล็กๆ พาร่างของเด็กชายมาหยุดที่หน้าห้องนอนของปานตะวัน และที่หน้าประตูบานนั้น ที่เดียวกับที่เจียหลินชอบนั่งมีร่างสูงใหญ่ของน้าเมศปรากฏอยู่
   
      น้าเมศนั่งชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่ง เอนหลังพิงประตู เหม่อมองไปไกลแสนไกล อีกฝ่ายไม่รับรู้ถึงการมาถึงของหนูเจียเลยด้วยซ้ำ
   
       เจียหลินยืนนิ่งอยู่ในเงามืด นาน...จนได้ยินเสียงร้องไห้
   
       เสียงร้องไห้เสียงหนึ่งดังมาจากในห้อง ส่วนเสียงร้องไห้อีกเสียงต้องขยับเข้าไปจนชิดถึงจะได้ยิน
   
       น้าตะวันร้องไห้เหมือนคนจะขาดใจอยู่ข้างใน ส่วนอีกฝั่งของประตูน้าเมศกัดริมฝีปากพยายามมกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้แต่ก็ทำได้ไม่สำเร็จ
   
      เจียหลินเดินลากผ้าห่มเข้าไปใกล้น้าเมศแล้วก็นั่งลงข้างๆ เบียดซุกตัวในอ้อมกอด
   
       รอคอยให้ความมืดอันยาวนานผ่านพ้นไปด้วยกัน
   
        “อร่อยไหมครับหนูเจีย” เสียงทุ้มของน้าเมศทำให้หนูเจียที่เหม่อลอยอยู่สะดุ้งเฮือก หลุดออกจากภวังค์ความคิด เด็กชายกะพริบดวงตากลมสองสามครั้งก่อนพยักหน้าหงึกหงัก
   
        “อร่อยคับ”
   
       “เจียหลินลองกินอันนี้” รุ่งฟ้ารีบพูดก่อนจะตักกับข้าวอย่างหนึ่งใส่ลงในถ้วยข้าวต้มหนูเจีย “อันนี้ก็อร่อยนะ”
   
       “ขอบคุณคับคุณย่า” หนูเจียตักกับข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ อันที่จริงแล้วเด็กชายไม่ชอบกับข้าวชนิดนี้เท่าไหร่ แต่คุณย่าตักมาให้ จะไม่กินก็ไม่ได้ ต่อหน้าคุณย่าฟ้าหนูเจียรู้สึกเกร็งมากกว่าอยู่กับคุณย่าราตรี “อร่อยคับ”
   
       “งั้นเหรอ ดีเลย งั้นตะวันกินด้วยสิ”
   
       รุ่งฟ้าตักอาหารใส่ถ้วยข้าวต้มของลูกชายแล้วก็ตักมาเพิ่มให้หนูเจียด้วย ปานตะวันขมวดคิ้ว มองการกระทำของมารดาด้วยสายตาแปลกๆ แต่กระนั้นเขาก็ยอมกินทุกอย่างที่แม่ตักมาให้
   
        จะว่าไป...ครั้งสุดท้ายที่ได้กินข้าวกับแม่แล้วอีกฝ่ายตักกับข้าวให้มันเมื่อไหร่กันนะ
   
        “ตะวันเอาเพิ่มไหม” พี่เมศถามขึ้นเมื่อเห็นข้าวต้มในถ้วยปานตะวันพร่องไปจนเกือบหมด “เดี๋ยวพี่ไปตักให้”
   
       “ไม่เป็นไรเมศ เดี๋ยวป้าทำเอง”
   
        รุ่งฟ้ารีบยกถ้วยข้าวต้มของปานตะวันขึ้นมา ทำท่าจะเดินไปตักให้แต่ลูกชายของหล่อนกลับเอ่ยห้ามด้วยน้ำเสียงกร้าว “ไม่ต้องครับ ตะวันอิ่มแล้ว”
   
       “อิ่มแล้วหรือ ทานอีกสักหน่อยสิ ลูกผอมไปมากเลยนะ”
   
       “ผมอิ่มแล้วจริงๆ ครับ”
   
       “งั้นเหรอ...โอเค”
   
       รุ่งฟ้าหน้าเสียเมื่อน้ำเสียงและท่าทางของลูกชายเย็นชา เธอเดินกลับมาที่โต๊ะแล้วก็วางถ้วยข้าวต้มลงที่เดิม บรรยากาศกลับมาอึดอัดอีกครั้ง รุ่งฟ้าเหลือบตามองราเมศ ชายหนุ่มมีสีหน้ากลัดกลุ้มไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่
   
       “ตะวัน วันนี้วันหยุด ลูกอยากไปไหนไหม”
   
       “ไม่ครับ ตะวันอยากอยู่บ้าน”
   
        “แม่ว่านานๆ ทีเราน่าจะพาหนูเจียไปเที่ยวกันนะ หนูเจียอยากไปเที่ยวไหมครับ ไปสวนสนุกหรือสวนน้ำ หรือ...”
   
        “งั้นแม่ก็พาหลานไปเถอะครับ ตะวันไม่อยากไป”
   
        ปานตะวันสวนกลับ เขากัดริมฝีปากเมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอขึ้นเสียงใส่มารดาไปแล้ว สีหน้าเสียใจของแม่ทำให้เขารู้สึกผิด
   
        รู้สึกแย่พอๆ กับที่รู้สึกโกรธเลย
   
        อารมณ์รุนแรงปั่นป่วนอยู่ในใจ ตั้งแต่ตอนเห็นหน้าแม่ ตอนที่อีกฝ่ายพยายามตักอาหารให้ ชวนไปเที่ยวข้างนอก ทำดีกับหนูเจีย
   
        ปานตะวันไม่เข้าใจว่าจะทำแบบนั้นทำไม สงสารเหรอ สมเพชเหรอ หรือรู้สึกผิด
   
        ไม่รู้หรือไงว่ายิ่งทำดีกับเขาปานตะวันก็ยิ่งสมเพชตัวเอง
   
        “แล้ว...ตะวันอยากทำอะไร”
   
        “นอนเงียบๆ คนเดียว” เขาลุกพรวดขึ้น “อิ่มกันแล้วใช่ไหมครับ เดี๋ยวตะวันจะล้างจาน”
   
        “ไม่ต้องๆ เดี๋ยวแม่ทำให้”
   
        ทำให้?
   
         ปานตะวันรู้สึกเหมือนเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ เส้นด้ายแห่งความอดทนที่ถูกขึงจนตึงอยู่ในหัวพลันสะบั้นขาด
   
        “เพื่ออะไรครับ?” ชายหนุ่มหันไปมองหน้าแม่บังเกิดเกล้า ดวงตาของคุณรุ่งฟ้าเบิกกว้าง เธอเผลอริมฝีปาก “ลูกว่าอะไรนะ?”
   
       “ผมถามว่าแม่ทำแบบนี้เพื่ออะไร!!”
   
        เสียงตวาดของเขาทำให้หนูเจียสะดุ้งเฮือก ราเมศตรงเข้ามาปลอบเขาแต่ปานตะวันสะบัดอีกฝ่ายออก เขายังพูด พูดสิ่งที่สะสมเป็นตะกอนอยู่ในใจออกไป
   
        “แม่กลับมาทำไม กลับมาทำดีกับผมเพื่ออะไร สงสารเหรอ สมเพชเหรอที่ผมเป็นแบบนี้ เป็นไอ้เด็กใจแตกที่ผลกรรมจากอดีตกำลังย้อนมาทำร้าย เสียใจเหรอที่เห็นผมอยู่ในสภาพนี้ เสียใจทำไมในเมื่อแม่ทิ้งผมไปตั้งหลายปีแล้ว!”
   
        “ตะวัน...แม่..แม่”
   
         “ผมรู้ว่าแม่ไม่ต้องการผม ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ทิ้งผมไว้กับพ่อ พาผมไปด้วยทำไมในเมื่อสุดท้ายแม่ก็จะมีครอบครัวใหม่ พี่ชายคนโตงั้นเหรอ คุณพ่อใหม่งั้นเหรอ บ้านหลังใหญ่ที่ต่างประเทศงั้นเหรอ ผมไม่ได้ต้องการ! แม่ไม่เคยถามผมเลยว่าผมต้องการอะไร ผมแค่อยากอยู่กับแม่ อยากให้แม่กอด อยากให้แม่ชมเวลาทำดี อยากให้แม่ทำแบบเมื่อกี้! ตักอาหารให้ ชวนไปเที่ยว! อยากให้แม่ทำมันทุกวันเหมือนเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่มาทำเพราะสงสารเสียใจที่ลูกชายแม่กำลังจะกลายเป็นผีตายซาก!”
   
        ปานตะวันหอบหายใจ เขาโกรธจนสะบัดมือเหวี่ยงจานชามและแก้วน้ำลงจากโต๊ะ เสียงแก้วแตกดังเพล้งเสียดแทงอยู่ในหู คลอมากับเสียงร้องไห้  ปานตะวันหันไปมองหนูเจีย เด็กชายเบิกตาโต ตกใจกลัวจนน้ำตาร่วง ทำท่าจะตะกายลงจากเก้าอี้ ราเมศที่กลัวหนูเจียจะเหยียบเศษแก้วบนพื้นรีบวิ่งเข้าไปอุ้มหลานทันที
   
        นัยน์ตาสีน้ำตาลของปานตะวันเบนกลับมาที่คุณรุ่งฟ้า
   
        แม่ของเขา...แม่ที่ปานตะวันคิดมาตลอดว่าเข้มแข็งบัดนี้ยืนกัดริมฝีปากน้ำตาไหลพราก แต่แววตาที่มองเขาก็ยังคงไม่ใช่แววตาโกรธขึ้งหากแต่เป็นแววตาแสดงความสงสารและเสียใจ
   
         “แม่ขอโทษ ขอโทษนะตะวัน”
   
        “ขอโทษ?” ปานตะวันถามกลับด้วยน้ำเสียงสูง “แม่ขอโทษทำไม ขอโทษไปแม่ก็เอาเวลาที่เสียไปกลับมาไม่ได้ จะขอโทษทำไมในเมื่อสุดท้ายแล้วแม่ก็จะยังทำเหมือนเดิม แม่ยังจะเลือกเขา! ทิ้งตะวันไว้ที่นี่แล้วก็หนีไปเสวยสุขกับสามีใหม่ของแม่ ครอบครัวสุขสันต์สิใช่ไหม มีความสุขมากเลยสินะ แม่รู้ไหมว่าตะวันโดดเดี่ยวแค่ไหน!”
   
       ชายหนุ่มปาดน้ำตาบนใบหน้าของตัวเองออกอย่างแรง เขาเห็นเงาตัวเองสะท้อนในดวงตาของแม่ สีหน้าเกรี้ยวกราดแบบนั้นไม่ใช่เขาเลย
   
        เงาสะท้อนนั้นเป็นของใครอีกคนที่ปานตะวันไม่รู้จัก
   
        “ที่ตะวันเลือกรักไอ้ธีร์ เลือกจะเชื่อคำหวานโง่ๆ ของมัน เลือกจะหลับหูหลับตา เพราะตะวันอยากได้ความรักแม่เข้าใจไหม ตะวันอยากรู้ว่าการถูกรักมันเป็นยังไง! ความรู้สึกอบอุ่นจากการถูกคนอื่นกอดมันเป็นยังไง แต่สุดท้ายมันก็ไม่จริง แม่กลับมาเพราะสงสาร เสียใจใช่ไหม แม่รู้ไหมว่ายิ่งแม่ทำดีตะวันก็ยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ตะวันไม่อยากให้แม่มาสงสาร มาทำดี มาเห็นใจ เพราะว่า...เพราะตะวันรู้สึกว่ามันปลอม...”
   
        “แม่ทิ้งตะวันไว้คนเดียวตั้งหลายปี คนที่ทำให้ตะวันกลายเป็นแบบนี้ก็แม่นั่นแหละ!”
   
       รุ่งฟ้าหลับตา กล้ำกลืนหยดน้ำตาลงไป สิ่งที่ปานตะวันพูดใส่หน้าเธอคือเรื่องจริง เธอเอื้อมมือไปหาปานตะวัน อยากจะดึงลูกชายมากอดแต่เขาก็ถอยหนี รุ่งฟ้าขยับยิ้มขื่น
   
       ทิ้งเขาไว้นานเกินไปจนแม้แต่ตอนนี้...ตอนที่คิดได้ ก็สายเกินกว่าจะดึงปานตะวันเข้ามากอดแล้ว
   
        แค่กอดยังทำไม่ได้เลย
   
       เธอคิดมาตลอดว่าลูกชายเธอเข้มแข็งและสามารถอยู่คนเดียวได้ แต่ปานตะวันตรงหน้าคือคำตอบว่าเธอคิดผิดทุกอย่าง เขาเปราะบางและกำลังพังทลายลงมา
   
       คนที่เป็นจุดเริ่มต้นของรอยร้าวนั้นคือเธอเอง
   
        ถ้าเธอใส่ใจเขามากกว่านี้ ทำหน้าที่ของแม่ได้ดีกว่านี้ ปานตะวันก็คงจะโตมาเป็นเด็กที่มีความสุข
   
        “แม่ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ”
   
        ปานตะวันซบหน้าลงกับฝ่ามือก่อนจะหันหลังวิ่งออกไปทันที
   
        “ตะวัน!”
   
        ราเมศรีบวางหลานชายลงบนเก้าอี้ กำชับไม่ให้ลงมาจนกว่าเขาจะกลับมาเก็บเศษแก้วจนหมดจากนั้นก็วิ่งตามปานตะวันออกไป
   
        ภายในห้องเหลือเพียงรุ่งฟ้ากับหลานชายเท่านั้น หล่อนปาดน้ำตาอย่างยากเย็น เดินไปหยิบเอาถุงพลาสติกมาเก็บเศษจานและแก้วที่แตกไปอย่างช้าๆ ฉับพลันดวงตาก็เหลือบไปเห็นเศษแก้วน้ำที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแก้วสีม่วงลายแมวมาก่อน
   
       ปานตะวันชอบแมว สมัยเด็กเจ้าตัวร่ำร้องอยากจะเลี้ยงแมวเสมอ ไหนจะตุ๊กตาแมว การ์ตูนที่มีแมว
   
        ตอนนี้เจ้าตัวก็ยังชอบอยู่สินะ...แต่ในห้องจะยังเหลือตุ๊กตาแมวหรือการ์ตูนที่มีแมวอยู่หรือเปล่า รุ่งฟ้าพลันนึกได้ว่าหลังจากที่ย้ายไปอยู่กับสามีใหม่ที่ต่างประเทศเธอก็ไม่ค่อยได้คุยกับปานตะวันอย่างจริงจังอีกเลย ทุกครั้งที่เจอหน้ากันปานตะวันมักจะนั่งกินอาหารเงียบๆ แล้วก็ปล่อยให้เธอ สามีและลูกสาวอีกสองคนคุยกัน
   
        บางเรื่องเขาก็ไม่รู้ บางเรื่องเขาก็ไม่ได้สนใจ
   
        ความรู้สึกนั้นคงไม่ต่างอะไรกับการเป็นคนนอกเลยสินะ
   
        ‘ที่ผมเป็นแบบนี้เพราะแม่นั่นแหละ!’
   
        ถ้าเธอรักเขามากกว่านี้อีกสักนิด ปานตะวันก็คงไม่ต้องไปยุ่งกับไอ้สารเลวนั่น ถ้าเธอ...ย้อนเวลากลับไปได้ เธอจะกอดเขาไว้ให้แน่นๆ แล้วก็บอกว่าเธอรักเขาแค่ไหน
   
        ตลกดีที่เธอบอกรักลูกสาวอีกสองคนได้แทบทุกวี่ทุกวันแต่กับปานตะวัน...เธอรักเขา แต่ครั้งสุดท้ายที่แสดงให้เขารู้มันเมื่อไหร่กันนะ ความทรงจำรางเลือนเต็มที
   
       “ฮึก...แม่ขอโทษนะ...ตะวัน แม่ขอโทษ”
   
        รุ่งฟ้าไม่รู้จะพูดอะไรได้อีกนอกจากคำๆ นี้
   
        ทางด้านปานตะวันเขาไม่ได้หนีเตลิดออกจากบ้านแบบหนที่แล้วแต่วิ่งเข้าห้องนอนตัวเอง ราเมศตามมาทัน ชายหนุ่มเห็นบานประตูเปิดแง้มไว้เล็กน้อย
   
        ราเมศไม่ได้ก้าวเข้าไปแต่เลือกที่จะนั่งลงเอาหลังพิงประตูไว้
   
        “ตะวัน อยู่หรือเปล่า” เขารู้ว่าลูกแมวของเขานั่งอยู่อีกฟากของประตูนี่เอง “อยู่ครับ” น้ำเสียงอู้อี้ตอบกลับมา ราเมศผ่อนลมหายใจเล็กน้อย
   
        “ตะวันเลวมากใช่ไหมพี่เมศ เป็นลูกแท้ๆ แต่กลับพูดแบบนั้นกับแม่” ปานตะวันสะอื้นไปพูดไป “ตะวันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ตะวันโกรธแล้วก็คุมตัวเองไม่ได้ พี่เมศ ตะวันไม่ชอบตัวเองตอนนี้เลยเพราะตะวันทำให้ใครต่อใครเสียใจไปหมด ทั้งพี่ ทั้งหนูเจีย ทั้งแม่”
   
        “มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอกนายรู้ใช่ไหม”
   
        “ทำไมมันถึงจะไม่ใช่ความผิดของตะวันล่ะ! มันก็ความผิดของตะวันทั้งนั้นแหละ ไอ้เรื่องที่ตะโกนใส่แม่ไปน่ะมันก็แค่ข้ออ้าง ถ้าตะวันมีสติแล้วก็คิดเป็นจะโง่จนโดนหลอกได้ยังไง ตะวันผิดเอง ตะวันโง่เอง แล้วก็เห็นแก่ตัว คิดแต่จะให้แม่อยู่กับตัวเอง ไม่อยากให้แม่มีความสุขกับครอบครัวใหม่ ตะวันเป็นคนไม่ดี และคนไม่ดีก็จะต้องอยู่คนเดียว”
   
        “...”
   
       “พี่เมศ ตะวันรู้สึกแย่มากๆ เหมือนกับว่าทุกวันตื่นมาเพื่อจะเจอกับความเหงา ว่างเปล่าแล้วก็ความคิดเศร้าๆ ในหัว เหมือนกับว่ามีแค่ตะวันบนโลกใบนี้”
   
        ปานตะวันรู้สึกเหมือนเขากำลังวิ่งอยู่ในอุโมงค์ที่ทอดยาว กำลังเหนื่อยล้าและหมดแรง เขากัดฟันวิ่งแล้วก็วิ่ง
   
         เพื่อจะพบว่าที่ปลายสุดของอุโมงค์ไม่มีแสงสว่างใดรอคอยอยู่

*********************************************************

ในที่สุดระเบิดเวลาลูกสุดท้ายก็ระเบิดออกในตอนนี้เอง เราว่าหลายคนน่าจะรู้แล้วล่ะว่าปานตะวันเป็นอะไร
เขียนไปแล้วเราก็สงสารปานตะวันเหมือนกันนะคะ
จากตอนแรกๆ คือภาพลักษณ์ของเด็กวัยรุ่นที่ทำอะไรเองไม่ได้เลยมาจนถึงตอนนี้
ยิ่งเขียนยิ่งรู้สึกว่าปมในใจของปานตะวันมันเยอะมาก และที่ใหญ่ที่สุดคือปมเรื่องความรัก
การที่เขาเข้าหาธีร์ ยอมทำทุกอย่าง บางคนอาจจะมองว่ามันโง่แล้วก็ไร้สาระ ทำไมคิดเองไม่ได้ แต่ถ้าคิดในมุมกลับว่า
ปานตะวันโหยหาความรักเสมอ เขาอยากเป็นที่ต้องการของใครสักคน พอเจอคนที่(แกล้ง)มอบความรักให้เต็มที่
ปานตะวันเลยตกหลุมไปซะเต็มเปา ถามว่าแล้วชนกันต์ล่ะ? คำตอบคือสำหรับตะวันกันต์เป็นเพื่อน แต่เพื่อนก็ไม่เหมือนแฟน
ตอนนั้นคือตะวันต้องการคนที่รักเขา ใช้เวลาทั้งหมดกับเขา แต่กันต์ก็มีสังคมอื่นๆ ของตัวเอง ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด
ตะวันเลยรู้สึกว่ากันต์เป็นแค่เพื่อน แต่ธีร์คือคนที่พึ่งพาได้ รักได้ เป็นของเขาคนเดียวอะไรแบบนี้

พออ่านตอนนี้หลายคนอาจจะไม่ชอบคุณแม่รุ่งฟ้า ทั้งมีชู้(พ่อเลี้ยงตะวัน) ทิ้งตะวันไว้คนเดียวอีก
สาเหตุหลักๆ ที่ตะวันขาดความอบอุ่นก็มาจากคุณแม่ ถ้าเธอรักหรือดูแลตะวันดีกว่านี้เขาก็คงจะไม่เป็นแบบนี้
(อย่างมากก็กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจเฉยๆ แล้วก็มาเจอพี่เมศจับดัดนิสัย ฮาาา)
แต่ว่าที่เธอทำแบบนั้นมันก็มีสาเหตุเหมือนกันซึ่งจะเฉลยในตอนหน้าค่ะ

หลายคนอาจเริ่มคิดแล้วว่าเมื่อไหร่จะจบดราม่าาา เราเขียนเองก็อึดอัดเองเหมือนกันค่ะ โฮฮฮฮ
แต่เรามีข่าวดีคือออ นี่เป็นโค้งสุดท้ายของดราม่าแล้วค่ะ! เราจะหลุดจากอุโมงค์มืดๆ นี่กันแล้ว เฮ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ รักทุกท่านมากๆ เลย คิดเห็นยังไงมาแชร์กันได้เต็มที่เลยนะคะ พบกันใหม่ตอนหน้า จุ๊บๆ


ปล. มีเรื่องหนึ่งที่เราอยากถามท่านผู้อ่านทุกคนก็คือ คุณคิดว่าจะช่วยตะวันแก้ไขปัญหานี้ยังไงดี คือหลังจากที่เขียนตอนนี้
เราอยากแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้อ่านมากๆ ทั้งนิสัยของปานตะวัน ปมปัญหาและวิธีการแก้ไข ทุกท่านแสดงความคิดเห็น
ได้เต็มที่เลยนะคะ อยากแลกเปลี่ยนความคิดกับทุกคนมากๆ


ปล. 2 สามารถติดตามข่าวสาร หลังไมค์มาเม้านิยายกับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ

ปล. 3 เนื่องจากนี่เป็นดราม่าโค้งสุดท้าย เรามีเรื่องอยากแจ้งว่า...ปานตะวันใกล้จบแล้วนะคะ ฮิ้ววววว

ปล. 4 ทอล์คยาวมาก เก็บกด ตอนที่แล้วไม่ได้ทอล์คอะไรเลยเพื่อรักษาบรรยากาศหน่วงๆ ฮาาาาา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด