ปานตะวัน
บทที่ ๑๙
ลูกแมวป่วย
ช่วงธันวาคมอากาศเย็นลงเล็กน้อย ลมหนาวพัดมาอยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อนจะจากไปแต่แค่นั้นก็มากพอจะทำให้ใครบางคนเป็นหวัดจนต้องนอนซมอยู่บนเตียง
“สามสิบเจ็ดองศา” ราเมศมองปรอทวัดไข้ในมือสลับกับปานตะวันที่นอนตาปรืออยู่บนเตียง พวงแก้มขาวของชายหนุ่มแดงก่ำเพราะพิษไข้ประกอบกับท่าทางอ่อนเพลียทำให้ราเมศขมวดคิ้วด้วยความหนักใจ
“ทำไมเป็นหนักขนาดนี้หือตะวัน”
“ตะวันก็...แค่ก....ก็ไม่รู้” คนป่วยพูดด้วยเสียงแหบแห้งพลางยันตัวมานั่งพิงหัวเตียงก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำมาจิบ ราเมศถอนหายใจ มือใหญ่ทาบลงบนหน้าผากของคนรัก
ตัวยังร้อนอยู่เลย
“พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้พักอยู่บ้าน”
“ก็เมื่อวานไม่เป็นหนักขนาดนี้ แค่จามเฉยๆ”
“ยังจะเถียงอีก! ก็ดื้อแบบนี้ไงมันถึงได้อาการหนักแบบนี้”
ชายหนุ่มผิวแทนขึงตาดุส่วนคนถูกดุก็ย่นคอลงเล็กน้อย ปานตะวันก้มหน้างุด เถียงไม่ออกเพราะรู้ดีว่าที่เป็นแบบนี้เพราะความดื้อด้านของตัวเองล้วนๆ
เรื่องของเรื่องก็คือเมื่อสี่วันก่อนหนูเจียของเขาไม่สบาย คงเป็นเพราะอากาศเย็นลง เด็กน้อยจามไม่ยอมหยุดจนคุณครูต้องโทรเรียกผู้ปกครองให้มารับกลับบ้านก่อนเวลา พอกลับมาถึงบ้านหนูเจียก็ไข้ขึ้นปานตะวันจึงต้องตื่นมาคอยเช็ดตัวและป้อนยาเป็นระยะ วันต่อมาหนูเจียก็หายเป็นปลิดทิ้งกลับไปกระโดดโลดเต้นได้เหมือนเดิม
ส่วนคุณน้าตะวันน่ะหรือ...กลายเป็นฝ่ายจามฮัดชิ่วไม่หยุดแทน
ปานตะวันคิดว่าตัวเองคงแค่เป็นภูมิแพ้นิดหน่อย เขาทานยาแก้แพ้แล้วก็ไปทำงานตามปกติ กลับมาก็อ่านหนังสือเตรียมสอบจนดึกดื่นเหมือนทุกคืน ทำแบบนี้อยู่สองวันโดยไม่ได้เอะใจเลยว่าร่างกายตัวเองกำลังประท้วงเพราะถูกใช้งานหนักเกินไป จากอาการหวัดเล็กน้อยที่นอนพักเดี๋ยวเดียวก็หายกลายเป็นว่าเขาไข้ขึ้นสูงแล้วก็วูบไปกลางที่ทำงาน ทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นร่วมถึงราเมศตกอกตกใจกันยกใหญ่
ราเมศรีบร้อนพาเขาไปที่โรงพยาบาลแล้วก็ได้รับคำตอบจากคุณหมอว่าปานตะวันเป็นไข้หวัดประกอบกับพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้อาการเพียบหนัก หลังจัดยาให้และกำชับอีกหลายหนว่าให้พักผ่อนให้เพียงพอ ทานยาให้ตรงเวลาและอย่าหักโหมร่างกายมากเกินไปคุณหมอก็ปล่อยปานตะวันกลับบ้าน
และเมื่อถึงบ้านราเมศก็จับเขาขึ้นเตียง เดี๋ยว! หยุด! ได้โปรดอย่าคิดไกล เพราะเหตุการณ์ที่ตามมาแม่งไม่ได้มีความโรแมนติกอะไรเลยนอกจากการสั่งพักงาน ให้นอนอยู่นิ่งๆ บนเตียง และคำบ่นยาวเหยียดชนิดที่ฟังแล้วอยากแกล้งตายไปให้รู้แล้วรู้รอด ปานตะวันทำหูดับไปตั้งแต่ห้านาทีแรกแล้ว
ส่วนราเมศหลังบ่นคนรักจนพอใจก็ประกาศด้วยสีหน้าถมึงทึงเหมือนยักษ์วัดแจ้งว่าจะมานอนค้างที่บ้านเรือนไทยเพื่อเฝ้าปานตะวัน
ตอนนี้เขาเลยไม่ต่างอะไรกับนักโทษกลายๆ
ปานตะวันไอแห้งๆ ออกมา ตอนนี้สภาพเขาแย่มาก ทั้งมึนหัว ครั่นเนื้อครั่นตัว ร้อนวูบไปหมด ขากลับจากโรงพยาบาลชายหนุ่มก็หลับยาวมาตลอดเพราะพิษไข้ ปานตะวันรู้ว่าเขาควรจะพักแต่จะให้นอนเฉยๆ มันก็น่าเบื่อนี่นา
แมวแสบของราเมศออกอาการงุ่นง่านจนเห็นได้ชัด เพราะร่างกายย่ำแย่ทำให้อารมณ์ของปานตะวันเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงตาม
“หลานอยู่ไหนครับ”
“อยู่ข้างนอก เข้ามาเดี๋ยวก็ติดหวัดอีก คราวนี้ไม่ต้องทำอะไรกันล่ะ ป่วยทั้งน้าทั้งหลาน”
“ตะวันอยากเจอหนูเจีย”
“ตอนนี้ไม่ได้ ต้องรอให้อาการดีขึ้นก่อนนะ” คนตัวโตเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไม่ต่างอะไรกับปลอบเด็กเล็กๆ “ทานข้าวก่อนเถอะ พี่ซื้อข้าวต้มกับน้ำเต้าหู้มาให้ แล้วจะได้ทานยา”
ราเมศวางถ้วยข้าวต้มปลาควันฉุยและแก้วน้ำเต้าหู้ลงที่โต๊ะ ปานตะวันเม้มริมฝีปาก เขายังไม่หิวและไม่อยากกินราเมศตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าเบาๆ ให้หายร้อนแล้วก็เอาช้อนไปจ่อปากอีกฝ่าย
“อ้าม”
“ไม่ใช่เด็กนะพี่เมศ”
พอเห็นคนผมน้ำตาลพูดเสียงขุ่นราเมศก็หัวเราะ “โอเคไม่แกล้งแล้วๆ ทานข้าวนะครับจะได้ทานยา”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลจนคนฟังใจอ่อน ริมฝีปากเล็กๆ อ้าออกรับข้าวต้มเข้าไป ราเมศลูบแก้มเขาเบาๆ พลางถาม “อร่อยไหม”
ลูกแมวป่วยส่ายหน้า ซุกแก้มร้อนเพราะพิษไข้เข้าหาฝ่ามือใหญ่ ไม่รู้ทำไมพอป่วยแล้วปานตะวันถึงได้รู้สึกว่าตัวเองอ่อนไหวง่ายเหลือเกิน เขาทั้งเหนื่อยทั้งเพลียจนไม่อยากทำอะไร อยากจะอ้อนเยอะๆ ให้ราเมศเป็นฝ่ายดูแล ตามใจ ซึ่ง...ก็ดูท่าจะได้ผลดี
“ไม่อร่อยเลยพี่เมศ ลิ้นคงเพี้ยนเพราะไม่สบาย”
“พี่รู้แต่ทานอีกนิดนะครับ ไม่งั้นจะไม่มีแรงนะ”
ราเมศพยายามหลอกล่อเด็กยี่สิบเอ็ดขวบตรงหน้าให้กินข้าวแต่เจ้าแมวแสบก็ดื้อดึงเสียเหลือเกิน ปานตะวันเม้มปาก เบือนหน้าหนีช้อนที่จ่อตามมาติดๆ
ราเมศลอบถอนหายใจ ชายหนุ่มวางถ้วยข้าวต้มลงจากนั้นก็ใช้สองมือกอบพวงแก้มนุ่มของปานตะวันไว้ บรรจงจูบลงที่สองข้างแก้ม
“ปานตะวัน” น้ำเสียงทุ้มเรียกชื่อของเขาอย่างนุ่มนวล ปลายนิ้วเกลี่ยผิวแก้มไปมาแผ่วเบา สายตาที่ราเมศจ้องมาเต็มไปด้วยความเอ็นดูและอ่อนหวานลึกซึ้ง
“ไม่ดื้อนะครับ” ตูม
แพ้...แพ้ราบคาบเลยครับ
สายตาแบบนั้น เสียงแบบนั้น คำพูดแบบนั้น....เล่นโจมตีกันขนาดนั้นแล้วจะให้เขา ‘ดื้อ’ ต่อไปได้ยังไง
“ยอมแล้ว...ครับ”
มุมปากคนตัวโตยกขึ้นเมื่อลูกแมวน้อยซุกตัวเข้าหาอ้อมแขนเขา ราเมศจูบหน้าผากปานตะวันพร้อมกับกอดร่างตคนรักไว้หลวมๆ
“เก่งมากครับ” ราเมศชม ชายหนุ่มหยิบถ้วยข้าวต้มขึ้นมาอีกรอบคราวนี้ปานตะวันยอมกินโดยไม่อิดออด ราเมศ หอมแก้มคนรักเป็นการให้รางวัล เขาหลุดขำเมื่อเห็นว่าแก้มของปานตะวันดูจะเป็นสีจัดมากขึ้นกว่าเดิม
คงไม่ใช่ว่าเขาทำให้แมวแสบไข้ขึ้นหนักกว่าเก่าหรอกนะ
“เก่งมาก กินเยอะๆ เลยนะ”
“แค่นี้เองครับ แค่กๆ”
คนทำเก่งไอออกมา ราเมศรีบส่งน้ำให้จิบพร้อมกับลูบหลังไปด้วย ปานตะวันหน้าแดงตาแดงปาดน้ำตาที่คลออยู่ป้อยๆ ท่าทางนั้นยิ่งทำให้ราเมศเอ็นดูอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก
แมวน้อยเอ๊ย
หลังกินข้าวต้มจนพร่องไปครึ่งชามปานตะวันก็อิ่ม ชายหนุ่มดื่มน้ำเต้าหู้จนหมดแก้วจากนั้นก็ทานยาตาม
“เด็กดี” “ฮื่อ”
“โอ๋ๆ มานี่มา”
ราเมศไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ด้วย สมัยก่อนตอนที่คบกันแฟนคนอื่นๆ ไม่มีใครกล้าอ้อนเขาขนาดนี้และเขาก็ไม่ชอบให้ใครมาอ้อนด้วย ถ้ามีใครพยายามจะกอดแขนหรือทำเสียงเล็กเสียงน้อยเขาคงขมวดคิ้วใส่ด้วยความรำคาญไปแล้ว ยิ่งกับเด็กแสบๆ นะ...อย่าว่าแต่อ้อน...ให้คุยกันโดยที่เขาไม่เผลอต่อยปากอีกฝ่ายได้ก็บุญโขแล้ว
แต่กับปานตะวัน...เจ้าแมวจอมแสบคนนี้ยกตัวเองมาอยู่เหนือกฎทุกอย่างที่เขาตั้งไว้
ราเมศชอบให้ปานตะวันต่อล้อต่อเถียง ส่งยิ้มซุกซนมาให้ ชอบให้ปานตะวันอ้อน เหมือนตอนนี้ที่อีกฝ่ายขยับตัวมานั่งอยู่บนตัก สองแขนสองขากอดรัดเขาไว้พลางซุกใบหน้าลงกับไหล่ เปลี่ยนสภาพจากลูกแมวไปเป็นลูกลิง
“ป่วยแล้วอ้อนนะเรา”
“ตะวันอยากอ้อนนี่นา” ตอนที่พูดแรงกอดก็เพิ่งมากขึ้น ปานตะวันนั่งซุกอยู่ท่านั้นจนกระทั่งลมหายใจสม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่าเจ้าตัวหลับไปแล้ว ราเมศจูบเส้นผมสีน้ำตาลหอมๆ ไปหนึ่งทีจากนั้นก็ค่อยๆ ปลดแขนขาเจ้าลูกลิงออก ลดร่างเล็กให้นอนราบลงบนเตียงแล้วห่มผ้าห่มให้
สีหน้าผ่อนคลายยามหลับของคนบนเตียงทำให้ราเมศเบาใจ
ทานยาแล้ว ได้นอนพักแล้ว เดี๋ยวก็กลับเป็นปกติ
ชายหนุ่มลูบผมคนรักไปอีกสองสามทีก่อนจะผละไปดูแลหลานชายที่ห้องนั่งเล่น
ปานตะวันตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนฟ้ามืด พอควานหาโทรศัพท์มาเปิดดูเวลาก็พบว่าสองทุ่มกว่าแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกมึนศีรษะเล็กน้อยแต่โดยรวมแล้วเขารู้สึกดีกว่าเมื่อกลางวันมากโข พอลองควานหาปรอทมาวัดไข้ตัวเองก็พบว่ายังมีไข้อยู่แต่ไม่ได้สูงเท่าเดิมแล้ว
ร่างในชุดเสื้อยืดกับกางเกงเจเจสีเขียวแปร๋นโซเซลุกจากเตียง ปานตะวันเดินเพลียๆ ออกจากห้องตรงไปที่ห้องนั่งเล่นซึ่งเขาได้ยินเสียงหัวเราะดังลอดมา ปานตะวันผลักประตูเปิดออกแล้วก็พบหลานชายของเขากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนตักราเมศ เสียงเจื้อยแจ้วของหนูเจียกังวานใสจนคนฟังอดอมยิ้มไม่ได้
“น้าตะวัน!” เสียงใสๆ ขาดหายเมื่อเจียหลินเงยหน้าขึ้นมาเห็นปานตะวันยืนกอดอกพิงกรอบประตูอยู่ หลานชายตัวน้อยและสมุนแมวอีกสองกระโดดลงจากโซฟา วิ่งดุ๊กๆ มาพันแข้งพันขาปานตะวัน
“ว่าไงครับหนูเจีย ทำออะไรอยู่” ปานตะวันวางมือลงบนศีรษะหลานชาย เด็กน้อยยิ้มกว้างจนตาหยี “หัดอ่านหนังสือคับ น้าตะวัน วันนี้หนูเจียอ่านจบตั้งเล่มนึงแล้วนะ!”
หนูเจียชูหนังสือนิทานให้ปานตะวันดู ชายหนุ่มหัวเราะก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นการไอจนตัวโยน ปานตะวันขมวดคิ้ว นึกรำคาญอาการคันในลำคอของตัวเองเหลือเกิน
“ไหวไหม” ราเมศเดินตรงเข้ามาวัดไข้ปานตะวัน คิ้วเข้มขมวดมุ่น นัยน์ตาสีนิลฉายแววดุเมื่อพบว่าตัวของอีกฝ่ายยังรุมๆ อยู่ “ยังไม่ดีขึ้นแล้วลุกขึ้นมาทำไม”
“ตะวันเหนียวตัว อยากอาบน้ำ”
ปานตะวันเอนตัวทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงไปที่ราเมศซึ่งพอเห็นท่าทางอ่อนเพลียของปานตะวันแล้วก็ดุต่อไม่ลง
“ไข้ยังไม่หาย เช็ดตัวก็พอนะ ไปแปรงฟันก่อนสิ เสร็จแล้วเดี๋ยวพี่เช็ดตัวให้”
“อื้ม”
“น้าตะวัน น้าตะวันยังไม่หายเหรอคับ” ยังไม่ทันได้เดินไปไหนหนูเจียก็ดึงขากางเกงน้าชายของตนไว้ สีหน้าเด็กชายเต็มไปด้วยความกังวล
“ครับ น้าตะวันยังไม่สบายอยู่เพราะงั้นคืนนี้หนูเจียต้องไปนอนกับน้าเมศที่อีกห้องหนึ่งนะครับ ไม่งั้นจะติดหวัดน้า”
“แต่ว่า...”
“หนูเจีย ไม่ดื้อนะครับ”
เจอประโยคไม้ตายนี้เข้าไปเจียหลินก็งับริมฝีปาก พยักหน้าอย่างจำยอม เด็กชายเดินไปเก็บข้าวของให้เรียบร้อยจากนั้นก็เดินตามน้าเมศเข้าห้องนอนไป ก่อนไปยังหันมาส่งสายตาละห้อยหาให้น้าตะวันอีก ปานตะวันยิ้มให้หลานพลางโบกมือบ๊ายบายให้
พอคล้อยหลังหนูเจียชายหนุ่มก็เดินเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัว พอกลับเข้ามาราเมศก็รออยู่พร้อมกะละมังและผ้าขนหนูแล้ว
“ถอดเสื้อสิ” ราเมศสั่ง ชายหนุ่มกำลังบิดผ้าขนหนูชุบน้ำอยู่ ปานตะวันกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์
“พี่เมศไม่ถอดให้เหรอ”
มือที่บิดผ้าอยู่ชะงัก นัยน์ตาสีนิลวาววับขึ้นมา “อยากให้ถอดให้?”
ปานตะวันยักคิ้ว ราเมศถอนหายใจกับคนป่วยที่แกล้งทำอวดเก่ง พักหลังปานตะวันชอบยั่วเขาทำนองนี้บ่อยๆ พูดทีเล่นทีจริงแต่พอเขาจะเอาจริงเข้าลูกแมวนี้ก็เผ่นแผล็วหนีไปได้ทุกครั้ง
ปากเก่งไปอย่างนั้นแหละเจ้าเด็กนี่น่ะ ถ้าเขาเอาจริงขี้คร้านจะร้องโวยวายไปวิ่งหนีไป
“อย่าท้าทายขีดจำกัดพี่ให้มากนักนะปานตะวัน” ราเมศสาวเท้าเข้าไปชิด ดึงเสื้อยืดย้วยๆ ออกจากศีรษะของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย ดวงตาของชายหนุ่มทำให้คนปากกล้าเริ่มกลัวขึ้นมา ปานตะวันผงะถอยหลังแต่ราเมศไวกว่า ชายหนุ่มผิวแทนคว้าร่างผอมของคนเบื้องหน้าเข้ามาชิด ไอร้อนผ่าวแทรกผ่านเสื้อผ้าที่กางกั้นอยู่ รวมถึงจังหวะหัวใจถี่รัวของพวกเขาทั้งคู่ด้วย
“นายรอดเพราะพี่ปล่อยให้นายรอดต่างหาก” ร่างในอ้อมแขนเริ่มดิ้นขลุกขลักแต่ราเมศที่หมั่นเขี้ยวคนในอ้อมกอดเป็นกำลังยิ่งรัดแน่นขึ้น
“พี่...พี่เมศ...ปล่อย”
“ถ้าพี่เอาจริง นายคิดว่าตัวเองจะรอดเหรอ”
ราเมศโน้มใบหน้าไปใกล้ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงห้ามของคนรัก
ปานตะวันหลับตาปี๋ ใบหูแดงแจ๋ คงคิดว่าเขาจะจูบ ราเมศหัวเราะในลำคอขณะแกล้งเฉียดริมฝีปากผ่านริมฝีปากปานตะวัน เขาสัมผัสได้ว่าร่างในอ้อมแขนกระตุกเบาๆ
“คิดเหรอว่าพี่จะจับนายไม่ได้ หืม เจ้าลูกแมวแสบ”
ชายหนุ่มจูบลงที่สันกรามของลูกแมว ได้ยินคนตรงหน้าส่งเสียงฮึดฮัดขู่ฟ่อราเมศจึงเลื่อนริมฝีปากลงมายังซอกคอพร้อมกับเน้นรอยจูบหนักๆ จนเกิดเป็นร่องรอยสีแดงที่ตัดกับผิวขาวของคนตรงหน้าจนเห็นได้ชัด
“พี่เมศ...ไม่..ไม่ได้”
“อะไรไม่ได้”
“อย่าจูบ....ตรงนั้น”
บริเวณลำคอเป็นจุดอ่อนของปานตะวันมาโดยตลอด เขาไม่ชอบให้ใครมาจับมาแตะ จั๊กจี้นี่ไม่ต้องพูดถึง
เมื่อครู่แค่ราเมศลากริมฝีปากผ่านความรู้สึกแปลกๆ ก็แล่นปราดไปทั้งร่าง ยิ่งพอร่างสูงจูบสร้างรอยคิสมาร์กปานตะวันก็ถึงกับเข่าอ่อน
“พี่เมศ อ๊ะ”
ฟันคมขบลงบนผิวเนื้อ ไม่ทิ้งร่องรอยไว้นอกจากกระตุ้นให้อุณหภูมิร่างกายสูงปรี๊ดแทบทะลุปรอท ปานตะวันนึกอยากเป็นลมให้มันรู้แล้วรอด เขาทั้งผลักทั้งดันคนตรงหน้าแต่ไอ้พี่เมศก็ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด แถมยังวกมาจูบเขาอีก แช่งให้ติดหวัดไปซะเลยดีไหม!
ปานตะวันครางในลำคอเมื่อปลายลิ้นอุ่นแทรกซึมเข้ามาในโพรงปาก จูบของราเมศร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ เสียงจูบผะแผ่วน่าอายทำให้ร่างกายของเขาเห่อแดงไปทุกส่วนสัด
“หายใจ ตะวัน”
ตอนที่ได้ยินคำสั่งนั้นปานตะวันถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังกลั้นหายใจ และพวกเขาสองคนมานั่งอยู่บนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้!
“พี่เมศ!” อารามตกใจทำให้ปานตะวันยกเท้าขึ้นถีบโดยอัตโนมัติแต่ราเมศไวกว่าเพราะชายหนุ่มเอียงหัวหลบแถมยังคว้าข้อเท้าของเขาไว้ได้พอดี
ตุบ
“เฮ้ย”
“กล้าถีบพี่เลยเหรอ สงสัยจะตามใจกันมากไปแล้วมั้ง”
คนตัวโตแกล้งคำราม ราเมศดึงข้อเท้าปานตะวัน พยายามไม่ใช้แรงมากไปจนทำให้อีกฝ่ายเจ็บแต่แรงพอจะทำให้อีกฝ่ายเสียหลักจนลงมานอนแผ่อยู่บนเตียง ร่างกายตึงแน่นด้วยมัดกล้ามตามไปคร่อมทับ ปานตะวันตาเหลือกรีบเอามือยันหน้าอีกฝ่ายไว้ทันที
“โอเคพี่เมศ ตะวันยอมแล้ว โว้ย คนป่วยอยู่ก็ยังจะแกล้งนะ รังแกคนไม่สบายมันบาปรู้หรือเปล่า”
นิ่งกันไปชั่วอึดใจร่างสูงใหญ่ที่ปั้นหน้าขรึมมาตลอดก็คลี่ยิ้ม ดึงข้อมือปานตะวันออกอย่างนุ่มนวล “เข็ดแล้วใช่ไหม”
“ครับ เข็ดแล้วครับ จะไม่แกล้งไม่อ่อยแล้วครับ”
“ก็ดี จำไว้เป็นบทเรียนล่ะ”
ราเมศลุกขึ้นนั่งหน้าตาเฉยประหนึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปานตะวันรีบตะกายตัวขึ้นนั่งแถมยังกระถดไปจนชิดหัวเตียงเรียกสายตาขบขันจากคนตัวโตได้เป็นอย่างดี
“จะไปไหน ไม่ทำอะไรแล้ว มานั่งนี่เร็วพี่จะได้เช็ดตัวให้”
นัยน์ตาสีน้ำตาลยังดูระวังระไว ไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะผีเข้านึกอยากปล้ำเขาขึ้นมาอีกหรือเปล่า
ราเมศที่รู้ทันความคิดแฟนเลยจัดการเขกหัวคนฟุ้งซ่านไปหนึ่งที
“ไม่แกล้งแล้วน่า นายไม่สบายอยู่ พี่ไม่นิยมรังแกคนป่วย”
“จริงนะ”
“สัญญาเลย มาเร็วแมวน้อย รีบเช็ดตัวให้เสร็จๆ ไปพี่จะได้ไปดูหลาน”
“โอ...เค”
ปานตะวันยอมคลานกลับมานั่งแปะอยู่ข้างราเมศ ยกมือยกไม้ให้อีกฝ่ายเช็ดตัวให้แต่โดยดี แม้จะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับสายตาวามวาวอันตรายดุจสิงโตจ้องตะครุบเหยื่อของอีกฝ่ายอยู่บ้างแต่สุดท้ายการเช็ดตัวก็ผ่านพ้นไปโดยไม่เกิดความสูญเสียใดๆ
ปานตะวันจัดการเปลี่ยนเป็นชุดนอนขณะที่ราเมศเอาอ่างใส่น้ำกับผ้าขนหนูไปเก็บ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยปานตะวันก็เตรียมตัวเข้านอน
“ขอบคุณนะครับพี่เมศ”
“ไม่เป็นไร นอนพักเยอะๆ นะจะได้หายไวๆ”
ปานตะวันพยักหน้ากำลังจะปีนขึ้นเตียงนอนแต่ราเมศก็เรียกเขาเอาไว้ก่อน พอหันไปมองด้วยแววตาแปลกใจชายหนุ่มผมดำก็เดินเข้ามาประชิดจากนั้นก็จัดการดึงตัวปานตะวันไปยืนอยู่หน้ากระจกเงา
“ตะวัน ดูนี่นะ”
ราเมศใช้มือดันให้ปานตะวันเอียงคอ ตอนแรกชายหนุ่มก็ไม่เข้าใจแต่เมื่อคนรักชี้ให้ดูอะไรบางอย่างใบหน้าติดหวานก็พลันซับสีแดงระเรื่อ
บนลำคอขาวผ่องของปานตะวันปรากฏรอยจูบสีแดงเด่นชัดตัดกับสีผิวอยู่หนึ่งรอย
เท่านั้นยังไม่พอ นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเป็นไข่ห่านเมื่อปลายนิ้วของคนรักเกี่ยวคอเสื้อเขาลงด้านหนึ่ง...เผยให้เห็นรอยแดงจากการจูบและรอยฟันอีกจำนวนหนึ่งอยู่บนลาดไหล่!
“ไอ้พี่เมศ!”
“ชู่ว์ เบาๆ สิ” ราเมศรีบตะครุบปากเอาไว้ทันที “เสียงดังขนาดนี้เดี๋ยวหนูเจียก็ตื่นหรอก”
ปานตะวันถลึงตาใส่อีกฝ่าย ทำมาเป็นดุแต่ไอ้เรื่องที่ทำไว้นี่มันไม่น่าโดนด่าเลยเนอะ
“แล้วพี่ทำ...ทำไอ้รอยพวกนี่เพื่อ!?”
ปานตะวันยอมลดเสียงลงแต่กระนั้นก็ยังส่งสายตาฟาดฟันให้อีกฝ่ายอยู่ดี ราเมศกระตุกยิ้มมุมปากที่ดูแล้วมันโคตรจะกวนประสาท ทำเอาคนมองถึงกับแก้มกระตุก
“เพื่อให้รู้ว่าคราวหน้าคราวหลังอย่าคิดจะลองดีถ้าไม่แน่จริง” พวกเขาสองคนสบตากันผ่านกระจก รอยยิ้มร้ายประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของราเมศทำให้ปานตะวันขนลุกเกรียว
ปลายนิ้วไล้ไปตามกรอบหน้าของปานตะวันเบาๆ เหมือนจะหยอกเอิน ขณะที่เสียงทุ้มกระซิบอยู่ริมหู
“นายคิดจริงๆ เหรอว่าพี่ไม่เคยนึกอยากทำ ‘อะไรๆ’ กับนายน่ะฮึ พี่เป็นคนนะตะวันไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหน”
ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเหมือนแมวกำลังตกใจ ยิ่งเห็นยิ่งน่าขย้ำในสายตาของคนสวมบทเป็นผู้ล่า
“หนนี้นายไม่สบายอยู่ดังนั้นพี่จะปล่อยไป...แต่ครั้งหน้าไม่อีกแล้วนะปานตะวัน”
แววตาคู่นั้นเหมือนจะเตือนเขาให้ระวังตัวให้ดี ถ้าไม่อยากถูกจับกิน
ปานตะวันอยากจะยกมือกุมขมับ เออเนอะ เห็นนิ่งๆ ไม่คิดว่าจะร้ายได้ขนาดนี้ ถามว่ากลัวกับขู่ไหม...ก็ไม่ เพราะตะวันรู้ว่าพี่เมศไม่มีทางรุนแรงกับเขาหรอก
จะให้นั่งนิ่งแล้วโดนข่มทับอยู่ฝ่ายเดียวก็ไม่ใช่นิสัยเขาเสียด้วย
ปานตะวันหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย อาศัยจังหวะที่ราเมศไม่ทันตั้งตัวประทับริมฝีปากลงที่ไหล่อีกฝ่ายบ้าง แต่เขาไม่ได้แค่จูบอย่างเดียวปานตะวันยังอ้าปากกัดจนขึ้นรอยฟันอีกต่างหาก!
“แหม...จะตั้งตารอเลยล่ะครับ”
ราเมศสาบานว่าในนาทีนี้ไม่มีอะไรที่เขาอยากทำมากไปกว่าจับปานตะวันกดลงกับเตียงแล้วจูบปิดปากช่างพูดช่างยั่วนั้นเสีย
แต่ยังก่อน
ไม่ใช่วันนี้
“ระวังให้ดีปานตะวัน พี่ไม่ปล่อยนายไปง่ายๆ แน่”
“งั้นก็มารอดูกันนะครับที่รักว่าใครจะคุมเกม”
เสียงทุ้มหัวเราะในลำคอก่อนที่ราเมศจะโน้มตัวลงจูบเบาๆ ที่ลาดไหล่ของคนตัวเล็กกว่า “เก่งจริงๆ ไอ้ลูกแมว ใครมันยังอ้อนพี่อยู่เมื่อตอนกลางวันนะ ไป ไปนอนเดี๋ยวนี้เลยก่อนที่พี่จะไม่รอวันอื่น”
“คร้าบ”
ปานตะวันยอมกลับขึ้นเตียงแล้วนอนเป็นเด็กดีให้อีกฝ่ายห่มผ้าจูบหน้าผากราตรีสวัสดิ์ให้เรียบร้อย
เอาตรงๆ เขาก็แอบรู้สึกว่าพี่เมศวันหนึ่งนี่เปลี่ยนอารมณ์ได้หลากหลายดีนะ เมื่อกี้ยังอยู่โหมดโหดบวกหื่นอยู่เลย มาคราวนี้องค์ออกก็กลับเป็นโหมดแฟนใจดียิ้มสวยในสามวิ
“ฝันดีตะวัน”
“ฝันดีครับพี่เมศ”
ปึง
ประตูห้องนอนปิดลงแล้ว ปานตะวันยังคงนอนลืมตาอยู่ในความมืด ชายหนุ่มนึกทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่กี่นาทีก่อนหน้า ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้ว่าแฟนของเขามันเสือแสร้งหลับชัดๆ ทำเป็นเก็บเขี้ยวเล็บแต่จริงๆ แล้วกลับพร้อมจะขย้ำเหยื่อตลอดเวลา
“หรือเราจะแกล้งมากไปกันนะ”
ปานตะวันแตะนิ้วไปตามซอกคอระเรื่อยมาจนไหล่ พลันคำพูด แววตาและริมฝีปากอุ่นที่กดลงบนผิวก็หวนคืนมา ร่างโปร่งยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปง ความร้อนแล่นริ้วไปตามใบหน้าแถมหัวใจก็ยังเต้นถี่ราวกับรัวกลอง
ให้ตาย คนอย่างปานตะวันจะไม่มีวันยอมแพ้พี่เมศเด็ดขาด ครั้งหน้าเขาจะต้องเป็นคนคุมเกมให้ได้!
แต่ครั้งนี้เขาป่วยอยู่...ขอเป็นฝ่ายถอยทัพก่อนแล้วกัน เฮ้อ
ชายหนุ่มสะบัดผ้าห่มออกแล้วตัดสินใจเดินไปล็อกประตูห้องทันที
ไม่ได้กลัวหรอกนะ เขาเรียกปลอดภัยไว้ก่อนต่างหากล่ะ!
*****************************************************
ลงมาให้เตรียมใจก่อนพาไปพบครอบครัวพี่เมศค่ะ ทุกคนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นะคะ ฮ่าๆ
อันนี้ออเดิร์ฟค่ะ น้ำจิ้มๆ เดี๋ยวตอนหน้าพาไปเจอครอบครัวจริงๆ แล้วววว ![:katai4:](https://thaiboyslove.com/webboard/Smileys/Smilies/katai4.gif)
ตอนนี้ก็ยังคงโปรยปรายความหวานค่ะ กักตุนเอาไว้เยอะๆ ให้น้ำตาลในเลือดมันทะลุลิมิตเลยค่ะ
เอาจริงๆ เขียนแล้วชอบใจในความอ้อนปนอ่อยของปานตะวันมาก พี่เมศก็ตามใจไปอีก เริ่มอิจฉาปานตะวันซะแล้วสิคะ
ฮ่าๆ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เราจะลุ้นตอนหน้าไปด้วยกัน จุ๊บๆ
ปล.ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ AzureDream นะคะ