ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]  (อ่าน 135675 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ตกใจหมดเลย

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
ตะวันสุดยอดดดดดดด ตอกยังมนุษย์ป้าไปซะเงิบหงาย หึหึหึ (อินจากตอนที่แล้ว)
มีการชวนไปเปิดตัวที่บ้านนนนนนน น่อวววววว
ปล. ตะวันหึงฟรีเลยอ่ะ 55555

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
จำได้ว่าเมศยังมีความลับบางอย่างเกี่ยวกับจันทร์อยู่นิ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ตอนนี้มาอย่างไวเลยนะคะ หวังว่าแม่น้องน็อตจะจบจริงๆ ตอนหน้าตะวันจะได้ไปพบพ่อแม่พี่เมศแล้ววววววว ตื่นเต้นอ่ะ ไม่รู้พ่อแม่พี่เมศจะว่ายังไงบ้างนะนี่

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
ตะวันสู้ สู้  :กอด1:

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
ตอนแรกจะถามว่าพี่เมศชอบกินไอติมรสไร
แต่พอเห็นแค่จิบกาแฟ สงสัยพี่เขาไม่ชอบกินไอติมใช่ไหม 555
น้องเจียนี่ชอบรสเดียวกับเราเลย ช๊อคแลค 555+

ตอนหน้าเจอครอบครัวพี่เมศ แอบตื่นเต้นแทนตะวัน
แต่ดูจากที่คุยในไลน์ ครอบครัวนี้ต้องน่ารักมากๆ แน่

ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
 :impress2:ให้บอกความรู้สึกตอนนี้นะเหรอ  จะบอกว่า  "มดกัด"

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
จะเจอครอบครัวพี่แล้ว

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
พาไปให้พ่อแม่ดูตัวเลย อิอิ

ออฟไลน์ nottto

  • MaxNuzz
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
น่ารัก มีความเป็นครอบครัว รอนะแจ๊ะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เหมือนอ่านเรื่องนี้แล้วร้องไห้ตอนเว้นตอน เราอ่อนไหวกับเรื่องเด็ก  :hao5:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
เกือบแล้วคุณเมศ หึหึ

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
โอ้ยยยย

สนุกมากเลยค่ะ

ตามอ่านรอบเดียวเลย

สนุกจริงๆ

ชอบจุง

ลุ้นๆตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
รอตอนเปิดตัว  :กอด1:

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๑๙
ลูกแมวป่วย


        ช่วงธันวาคมอากาศเย็นลงเล็กน้อย ลมหนาวพัดมาอยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อนจะจากไปแต่แค่นั้นก็มากพอจะทำให้ใครบางคนเป็นหวัดจนต้องนอนซมอยู่บนเตียง
   
       “สามสิบเจ็ดองศา” ราเมศมองปรอทวัดไข้ในมือสลับกับปานตะวันที่นอนตาปรืออยู่บนเตียง พวงแก้มขาวของชายหนุ่มแดงก่ำเพราะพิษไข้ประกอบกับท่าทางอ่อนเพลียทำให้ราเมศขมวดคิ้วด้วยความหนักใจ
   
       “ทำไมเป็นหนักขนาดนี้หือตะวัน”
   
       “ตะวันก็...แค่ก....ก็ไม่รู้” คนป่วยพูดด้วยเสียงแหบแห้งพลางยันตัวมานั่งพิงหัวเตียงก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำมาจิบ ราเมศถอนหายใจ มือใหญ่ทาบลงบนหน้าผากของคนรัก
   
       ตัวยังร้อนอยู่เลย
   
       “พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้พักอยู่บ้าน”
   
       “ก็เมื่อวานไม่เป็นหนักขนาดนี้ แค่จามเฉยๆ”
   
       “ยังจะเถียงอีก! ก็ดื้อแบบนี้ไงมันถึงได้อาการหนักแบบนี้”
   
       ชายหนุ่มผิวแทนขึงตาดุส่วนคนถูกดุก็ย่นคอลงเล็กน้อย ปานตะวันก้มหน้างุด เถียงไม่ออกเพราะรู้ดีว่าที่เป็นแบบนี้เพราะความดื้อด้านของตัวเองล้วนๆ
   
       เรื่องของเรื่องก็คือเมื่อสี่วันก่อนหนูเจียของเขาไม่สบาย คงเป็นเพราะอากาศเย็นลง เด็กน้อยจามไม่ยอมหยุดจนคุณครูต้องโทรเรียกผู้ปกครองให้มารับกลับบ้านก่อนเวลา พอกลับมาถึงบ้านหนูเจียก็ไข้ขึ้นปานตะวันจึงต้องตื่นมาคอยเช็ดตัวและป้อนยาเป็นระยะ วันต่อมาหนูเจียก็หายเป็นปลิดทิ้งกลับไปกระโดดโลดเต้นได้เหมือนเดิม
   
        ส่วนคุณน้าตะวันน่ะหรือ...กลายเป็นฝ่ายจามฮัดชิ่วไม่หยุดแทน
   
        ปานตะวันคิดว่าตัวเองคงแค่เป็นภูมิแพ้นิดหน่อย เขาทานยาแก้แพ้แล้วก็ไปทำงานตามปกติ กลับมาก็อ่านหนังสือเตรียมสอบจนดึกดื่นเหมือนทุกคืน ทำแบบนี้อยู่สองวันโดยไม่ได้เอะใจเลยว่าร่างกายตัวเองกำลังประท้วงเพราะถูกใช้งานหนักเกินไป จากอาการหวัดเล็กน้อยที่นอนพักเดี๋ยวเดียวก็หายกลายเป็นว่าเขาไข้ขึ้นสูงแล้วก็วูบไปกลางที่ทำงาน ทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นร่วมถึงราเมศตกอกตกใจกันยกใหญ่
   
         ราเมศรีบร้อนพาเขาไปที่โรงพยาบาลแล้วก็ได้รับคำตอบจากคุณหมอว่าปานตะวันเป็นไข้หวัดประกอบกับพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้อาการเพียบหนัก หลังจัดยาให้และกำชับอีกหลายหนว่าให้พักผ่อนให้เพียงพอ ทานยาให้ตรงเวลาและอย่าหักโหมร่างกายมากเกินไปคุณหมอก็ปล่อยปานตะวันกลับบ้าน
   
       และเมื่อถึงบ้านราเมศก็จับเขาขึ้นเตียง เดี๋ยว! หยุด! ได้โปรดอย่าคิดไกล เพราะเหตุการณ์ที่ตามมาแม่งไม่ได้มีความโรแมนติกอะไรเลยนอกจากการสั่งพักงาน ให้นอนอยู่นิ่งๆ บนเตียง และคำบ่นยาวเหยียดชนิดที่ฟังแล้วอยากแกล้งตายไปให้รู้แล้วรู้รอด ปานตะวันทำหูดับไปตั้งแต่ห้านาทีแรกแล้ว
   
       ส่วนราเมศหลังบ่นคนรักจนพอใจก็ประกาศด้วยสีหน้าถมึงทึงเหมือนยักษ์วัดแจ้งว่าจะมานอนค้างที่บ้านเรือนไทยเพื่อเฝ้าปานตะวัน
   
       ตอนนี้เขาเลยไม่ต่างอะไรกับนักโทษกลายๆ
   
       ปานตะวันไอแห้งๆ ออกมา ตอนนี้สภาพเขาแย่มาก ทั้งมึนหัว ครั่นเนื้อครั่นตัว ร้อนวูบไปหมด ขากลับจากโรงพยาบาลชายหนุ่มก็หลับยาวมาตลอดเพราะพิษไข้ ปานตะวันรู้ว่าเขาควรจะพักแต่จะให้นอนเฉยๆ มันก็น่าเบื่อนี่นา
   
       แมวแสบของราเมศออกอาการงุ่นง่านจนเห็นได้ชัด เพราะร่างกายย่ำแย่ทำให้อารมณ์ของปานตะวันเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงตาม
   
       “หลานอยู่ไหนครับ”
   
       “อยู่ข้างนอก เข้ามาเดี๋ยวก็ติดหวัดอีก คราวนี้ไม่ต้องทำอะไรกันล่ะ ป่วยทั้งน้าทั้งหลาน”
   
       “ตะวันอยากเจอหนูเจีย”
   
        “ตอนนี้ไม่ได้ ต้องรอให้อาการดีขึ้นก่อนนะ” คนตัวโตเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไม่ต่างอะไรกับปลอบเด็กเล็กๆ  “ทานข้าวก่อนเถอะ พี่ซื้อข้าวต้มกับน้ำเต้าหู้มาให้ แล้วจะได้ทานยา”
   
        ราเมศวางถ้วยข้าวต้มปลาควันฉุยและแก้วน้ำเต้าหู้ลงที่โต๊ะ ปานตะวันเม้มริมฝีปาก เขายังไม่หิวและไม่อยากกินราเมศตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าเบาๆ ให้หายร้อนแล้วก็เอาช้อนไปจ่อปากอีกฝ่าย
   
       “อ้าม”
   
       “ไม่ใช่เด็กนะพี่เมศ”
   
       พอเห็นคนผมน้ำตาลพูดเสียงขุ่นราเมศก็หัวเราะ “โอเคไม่แกล้งแล้วๆ ทานข้าวนะครับจะได้ทานยา”
   
       น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลจนคนฟังใจอ่อน ริมฝีปากเล็กๆ อ้าออกรับข้าวต้มเข้าไป ราเมศลูบแก้มเขาเบาๆ พลางถาม “อร่อยไหม”
   
        ลูกแมวป่วยส่ายหน้า ซุกแก้มร้อนเพราะพิษไข้เข้าหาฝ่ามือใหญ่ ไม่รู้ทำไมพอป่วยแล้วปานตะวันถึงได้รู้สึกว่าตัวเองอ่อนไหวง่ายเหลือเกิน เขาทั้งเหนื่อยทั้งเพลียจนไม่อยากทำอะไร อยากจะอ้อนเยอะๆ ให้ราเมศเป็นฝ่ายดูแล ตามใจ ซึ่ง...ก็ดูท่าจะได้ผลดี
   
        “ไม่อร่อยเลยพี่เมศ ลิ้นคงเพี้ยนเพราะไม่สบาย”
   
       “พี่รู้แต่ทานอีกนิดนะครับ ไม่งั้นจะไม่มีแรงนะ”
   
         ราเมศพยายามหลอกล่อเด็กยี่สิบเอ็ดขวบตรงหน้าให้กินข้าวแต่เจ้าแมวแสบก็ดื้อดึงเสียเหลือเกิน ปานตะวันเม้มปาก เบือนหน้าหนีช้อนที่จ่อตามมาติดๆ
   
        ราเมศลอบถอนหายใจ ชายหนุ่มวางถ้วยข้าวต้มลงจากนั้นก็ใช้สองมือกอบพวงแก้มนุ่มของปานตะวันไว้ บรรจงจูบลงที่สองข้างแก้ม
   
        “ปานตะวัน” น้ำเสียงทุ้มเรียกชื่อของเขาอย่างนุ่มนวล ปลายนิ้วเกลี่ยผิวแก้มไปมาแผ่วเบา สายตาที่ราเมศจ้องมาเต็มไปด้วยความเอ็นดูและอ่อนหวานลึกซึ้ง
   
       “ไม่ดื้อนะครับ”
   
       ตูม
   
       แพ้...แพ้ราบคาบเลยครับ
   
       สายตาแบบนั้น เสียงแบบนั้น คำพูดแบบนั้น....เล่นโจมตีกันขนาดนั้นแล้วจะให้เขา ‘ดื้อ’ ต่อไปได้ยังไง
   
        “ยอมแล้ว...ครับ”
   
        มุมปากคนตัวโตยกขึ้นเมื่อลูกแมวน้อยซุกตัวเข้าหาอ้อมแขนเขา ราเมศจูบหน้าผากปานตะวันพร้อมกับกอดร่างตคนรักไว้หลวมๆ
   
       “เก่งมากครับ” ราเมศชม ชายหนุ่มหยิบถ้วยข้าวต้มขึ้นมาอีกรอบคราวนี้ปานตะวันยอมกินโดยไม่อิดออด ราเมศ หอมแก้มคนรักเป็นการให้รางวัล เขาหลุดขำเมื่อเห็นว่าแก้มของปานตะวันดูจะเป็นสีจัดมากขึ้นกว่าเดิม
   
       คงไม่ใช่ว่าเขาทำให้แมวแสบไข้ขึ้นหนักกว่าเก่าหรอกนะ
   
       “เก่งมาก กินเยอะๆ เลยนะ”
   
      “แค่นี้เองครับ แค่กๆ”
   
       คนทำเก่งไอออกมา ราเมศรีบส่งน้ำให้จิบพร้อมกับลูบหลังไปด้วย ปานตะวันหน้าแดงตาแดงปาดน้ำตาที่คลออยู่ป้อยๆ ท่าทางนั้นยิ่งทำให้ราเมศเอ็นดูอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก
   
      แมวน้อยเอ๊ย
   
      หลังกินข้าวต้มจนพร่องไปครึ่งชามปานตะวันก็อิ่ม ชายหนุ่มดื่มน้ำเต้าหู้จนหมดแก้วจากนั้นก็ทานยาตาม
   
      “เด็กดี”
   
        “ฮื่อ”
   
        “โอ๋ๆ มานี่มา”
   
        ราเมศไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ด้วย สมัยก่อนตอนที่คบกันแฟนคนอื่นๆ ไม่มีใครกล้าอ้อนเขาขนาดนี้และเขาก็ไม่ชอบให้ใครมาอ้อนด้วย ถ้ามีใครพยายามจะกอดแขนหรือทำเสียงเล็กเสียงน้อยเขาคงขมวดคิ้วใส่ด้วยความรำคาญไปแล้ว ยิ่งกับเด็กแสบๆ นะ...อย่าว่าแต่อ้อน...ให้คุยกันโดยที่เขาไม่เผลอต่อยปากอีกฝ่ายได้ก็บุญโขแล้ว
   
        แต่กับปานตะวัน...เจ้าแมวจอมแสบคนนี้ยกตัวเองมาอยู่เหนือกฎทุกอย่างที่เขาตั้งไว้
   
        ราเมศชอบให้ปานตะวันต่อล้อต่อเถียง ส่งยิ้มซุกซนมาให้ ชอบให้ปานตะวันอ้อน เหมือนตอนนี้ที่อีกฝ่ายขยับตัวมานั่งอยู่บนตัก สองแขนสองขากอดรัดเขาไว้พลางซุกใบหน้าลงกับไหล่ เปลี่ยนสภาพจากลูกแมวไปเป็นลูกลิง
   
       “ป่วยแล้วอ้อนนะเรา”
   
       “ตะวันอยากอ้อนนี่นา” ตอนที่พูดแรงกอดก็เพิ่งมากขึ้น ปานตะวันนั่งซุกอยู่ท่านั้นจนกระทั่งลมหายใจสม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่าเจ้าตัวหลับไปแล้ว ราเมศจูบเส้นผมสีน้ำตาลหอมๆ ไปหนึ่งทีจากนั้นก็ค่อยๆ ปลดแขนขาเจ้าลูกลิงออก ลดร่างเล็กให้นอนราบลงบนเตียงแล้วห่มผ้าห่มให้
   
        สีหน้าผ่อนคลายยามหลับของคนบนเตียงทำให้ราเมศเบาใจ
   
        ทานยาแล้ว ได้นอนพักแล้ว เดี๋ยวก็กลับเป็นปกติ
   
        ชายหนุ่มลูบผมคนรักไปอีกสองสามทีก่อนจะผละไปดูแลหลานชายที่ห้องนั่งเล่น
   
        ปานตะวันตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนฟ้ามืด พอควานหาโทรศัพท์มาเปิดดูเวลาก็พบว่าสองทุ่มกว่าแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกมึนศีรษะเล็กน้อยแต่โดยรวมแล้วเขารู้สึกดีกว่าเมื่อกลางวันมากโข พอลองควานหาปรอทมาวัดไข้ตัวเองก็พบว่ายังมีไข้อยู่แต่ไม่ได้สูงเท่าเดิมแล้ว
   
         ร่างในชุดเสื้อยืดกับกางเกงเจเจสีเขียวแปร๋นโซเซลุกจากเตียง ปานตะวันเดินเพลียๆ ออกจากห้องตรงไปที่ห้องนั่งเล่นซึ่งเขาได้ยินเสียงหัวเราะดังลอดมา ปานตะวันผลักประตูเปิดออกแล้วก็พบหลานชายของเขากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนตักราเมศ เสียงเจื้อยแจ้วของหนูเจียกังวานใสจนคนฟังอดอมยิ้มไม่ได้
   
        “น้าตะวัน!” เสียงใสๆ ขาดหายเมื่อเจียหลินเงยหน้าขึ้นมาเห็นปานตะวันยืนกอดอกพิงกรอบประตูอยู่ หลานชายตัวน้อยและสมุนแมวอีกสองกระโดดลงจากโซฟา วิ่งดุ๊กๆ มาพันแข้งพันขาปานตะวัน
   
        “ว่าไงครับหนูเจีย ทำออะไรอยู่” ปานตะวันวางมือลงบนศีรษะหลานชาย เด็กน้อยยิ้มกว้างจนตาหยี “หัดอ่านหนังสือคับ น้าตะวัน วันนี้หนูเจียอ่านจบตั้งเล่มนึงแล้วนะ!”
   
        หนูเจียชูหนังสือนิทานให้ปานตะวันดู ชายหนุ่มหัวเราะก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นการไอจนตัวโยน ปานตะวันขมวดคิ้ว นึกรำคาญอาการคันในลำคอของตัวเองเหลือเกิน
   
        “ไหวไหม” ราเมศเดินตรงเข้ามาวัดไข้ปานตะวัน คิ้วเข้มขมวดมุ่น นัยน์ตาสีนิลฉายแววดุเมื่อพบว่าตัวของอีกฝ่ายยังรุมๆ อยู่ “ยังไม่ดีขึ้นแล้วลุกขึ้นมาทำไม”
   
        “ตะวันเหนียวตัว อยากอาบน้ำ”
   
        ปานตะวันเอนตัวทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงไปที่ราเมศซึ่งพอเห็นท่าทางอ่อนเพลียของปานตะวันแล้วก็ดุต่อไม่ลง
   
        “ไข้ยังไม่หาย เช็ดตัวก็พอนะ ไปแปรงฟันก่อนสิ เสร็จแล้วเดี๋ยวพี่เช็ดตัวให้”
   
        “อื้ม”
   
         “น้าตะวัน น้าตะวันยังไม่หายเหรอคับ” ยังไม่ทันได้เดินไปไหนหนูเจียก็ดึงขากางเกงน้าชายของตนไว้ สีหน้าเด็กชายเต็มไปด้วยความกังวล
   
        “ครับ น้าตะวันยังไม่สบายอยู่เพราะงั้นคืนนี้หนูเจียต้องไปนอนกับน้าเมศที่อีกห้องหนึ่งนะครับ ไม่งั้นจะติดหวัดน้า”
   
       “แต่ว่า...”
   
       “หนูเจีย ไม่ดื้อนะครับ”
   
       เจอประโยคไม้ตายนี้เข้าไปเจียหลินก็งับริมฝีปาก พยักหน้าอย่างจำยอม เด็กชายเดินไปเก็บข้าวของให้เรียบร้อยจากนั้นก็เดินตามน้าเมศเข้าห้องนอนไป ก่อนไปยังหันมาส่งสายตาละห้อยหาให้น้าตะวันอีก ปานตะวันยิ้มให้หลานพลางโบกมือบ๊ายบายให้
   
       พอคล้อยหลังหนูเจียชายหนุ่มก็เดินเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัว พอกลับเข้ามาราเมศก็รออยู่พร้อมกะละมังและผ้าขนหนูแล้ว
   
      “ถอดเสื้อสิ” ราเมศสั่ง ชายหนุ่มกำลังบิดผ้าขนหนูชุบน้ำอยู่ ปานตะวันกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์
   
       “พี่เมศไม่ถอดให้เหรอ”
   
        มือที่บิดผ้าอยู่ชะงัก นัยน์ตาสีนิลวาววับขึ้นมา “อยากให้ถอดให้?”
   
       ปานตะวันยักคิ้ว ราเมศถอนหายใจกับคนป่วยที่แกล้งทำอวดเก่ง พักหลังปานตะวันชอบยั่วเขาทำนองนี้บ่อยๆ พูดทีเล่นทีจริงแต่พอเขาจะเอาจริงเข้าลูกแมวนี้ก็เผ่นแผล็วหนีไปได้ทุกครั้ง
   
       ปากเก่งไปอย่างนั้นแหละเจ้าเด็กนี่น่ะ ถ้าเขาเอาจริงขี้คร้านจะร้องโวยวายไปวิ่งหนีไป
   
       “อย่าท้าทายขีดจำกัดพี่ให้มากนักนะปานตะวัน” ราเมศสาวเท้าเข้าไปชิด ดึงเสื้อยืดย้วยๆ ออกจากศีรษะของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย ดวงตาของชายหนุ่มทำให้คนปากกล้าเริ่มกลัวขึ้นมา ปานตะวันผงะถอยหลังแต่ราเมศไวกว่า ชายหนุ่มผิวแทนคว้าร่างผอมของคนเบื้องหน้าเข้ามาชิด ไอร้อนผ่าวแทรกผ่านเสื้อผ้าที่กางกั้นอยู่ รวมถึงจังหวะหัวใจถี่รัวของพวกเขาทั้งคู่ด้วย
   
       “นายรอดเพราะพี่ปล่อยให้นายรอดต่างหาก” ร่างในอ้อมแขนเริ่มดิ้นขลุกขลักแต่ราเมศที่หมั่นเขี้ยวคนในอ้อมกอดเป็นกำลังยิ่งรัดแน่นขึ้น
   
       “พี่...พี่เมศ...ปล่อย”
   
        “ถ้าพี่เอาจริง นายคิดว่าตัวเองจะรอดเหรอ”
   
        ราเมศโน้มใบหน้าไปใกล้ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงห้ามของคนรัก
   
        ปานตะวันหลับตาปี๋ ใบหูแดงแจ๋ คงคิดว่าเขาจะจูบ ราเมศหัวเราะในลำคอขณะแกล้งเฉียดริมฝีปากผ่านริมฝีปากปานตะวัน เขาสัมผัสได้ว่าร่างในอ้อมแขนกระตุกเบาๆ
   
        “คิดเหรอว่าพี่จะจับนายไม่ได้ หืม เจ้าลูกแมวแสบ”
   
        ชายหนุ่มจูบลงที่สันกรามของลูกแมว ได้ยินคนตรงหน้าส่งเสียงฮึดฮัดขู่ฟ่อราเมศจึงเลื่อนริมฝีปากลงมายังซอกคอพร้อมกับเน้นรอยจูบหนักๆ จนเกิดเป็นร่องรอยสีแดงที่ตัดกับผิวขาวของคนตรงหน้าจนเห็นได้ชัด
   
       “พี่เมศ...ไม่..ไม่ได้”
   
       “อะไรไม่ได้”
   
       “อย่าจูบ....ตรงนั้น”
   
        บริเวณลำคอเป็นจุดอ่อนของปานตะวันมาโดยตลอด เขาไม่ชอบให้ใครมาจับมาแตะ จั๊กจี้นี่ไม่ต้องพูดถึง
   
        เมื่อครู่แค่ราเมศลากริมฝีปากผ่านความรู้สึกแปลกๆ ก็แล่นปราดไปทั้งร่าง ยิ่งพอร่างสูงจูบสร้างรอยคิสมาร์กปานตะวันก็ถึงกับเข่าอ่อน
   
        “พี่เมศ อ๊ะ”
   
         ฟันคมขบลงบนผิวเนื้อ ไม่ทิ้งร่องรอยไว้นอกจากกระตุ้นให้อุณหภูมิร่างกายสูงปรี๊ดแทบทะลุปรอท ปานตะวันนึกอยากเป็นลมให้มันรู้แล้วรอด เขาทั้งผลักทั้งดันคนตรงหน้าแต่ไอ้พี่เมศก็ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด แถมยังวกมาจูบเขาอีก แช่งให้ติดหวัดไปซะเลยดีไหม!
   
         ปานตะวันครางในลำคอเมื่อปลายลิ้นอุ่นแทรกซึมเข้ามาในโพรงปาก จูบของราเมศร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ เสียงจูบผะแผ่วน่าอายทำให้ร่างกายของเขาเห่อแดงไปทุกส่วนสัด
   
         “หายใจ ตะวัน”
   
         ตอนที่ได้ยินคำสั่งนั้นปานตะวันถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังกลั้นหายใจ และพวกเขาสองคนมานั่งอยู่บนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้!
   
         “พี่เมศ!” อารามตกใจทำให้ปานตะวันยกเท้าขึ้นถีบโดยอัตโนมัติแต่ราเมศไวกว่าเพราะชายหนุ่มเอียงหัวหลบแถมยังคว้าข้อเท้าของเขาไว้ได้พอดี
   
        ตุบ
   
        “เฮ้ย”
   
        “กล้าถีบพี่เลยเหรอ สงสัยจะตามใจกันมากไปแล้วมั้ง”
   
        คนตัวโตแกล้งคำราม ราเมศดึงข้อเท้าปานตะวัน พยายามไม่ใช้แรงมากไปจนทำให้อีกฝ่ายเจ็บแต่แรงพอจะทำให้อีกฝ่ายเสียหลักจนลงมานอนแผ่อยู่บนเตียง ร่างกายตึงแน่นด้วยมัดกล้ามตามไปคร่อมทับ ปานตะวันตาเหลือกรีบเอามือยันหน้าอีกฝ่ายไว้ทันที
   
        “โอเคพี่เมศ ตะวันยอมแล้ว โว้ย คนป่วยอยู่ก็ยังจะแกล้งนะ รังแกคนไม่สบายมันบาปรู้หรือเปล่า”
   
         นิ่งกันไปชั่วอึดใจร่างสูงใหญ่ที่ปั้นหน้าขรึมมาตลอดก็คลี่ยิ้ม ดึงข้อมือปานตะวันออกอย่างนุ่มนวล “เข็ดแล้วใช่ไหม”
   
        “ครับ เข็ดแล้วครับ จะไม่แกล้งไม่อ่อยแล้วครับ”
   
        “ก็ดี จำไว้เป็นบทเรียนล่ะ”
   
         ราเมศลุกขึ้นนั่งหน้าตาเฉยประหนึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปานตะวันรีบตะกายตัวขึ้นนั่งแถมยังกระถดไปจนชิดหัวเตียงเรียกสายตาขบขันจากคนตัวโตได้เป็นอย่างดี
   
        “จะไปไหน ไม่ทำอะไรแล้ว มานั่งนี่เร็วพี่จะได้เช็ดตัวให้”
   
        นัยน์ตาสีน้ำตาลยังดูระวังระไว ไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะผีเข้านึกอยากปล้ำเขาขึ้นมาอีกหรือเปล่า
   
        ราเมศที่รู้ทันความคิดแฟนเลยจัดการเขกหัวคนฟุ้งซ่านไปหนึ่งที
   
        “ไม่แกล้งแล้วน่า นายไม่สบายอยู่ พี่ไม่นิยมรังแกคนป่วย”
   
        “จริงนะ”
   
        “สัญญาเลย มาเร็วแมวน้อย รีบเช็ดตัวให้เสร็จๆ ไปพี่จะได้ไปดูหลาน”
   
        “โอ...เค”
   
        ปานตะวันยอมคลานกลับมานั่งแปะอยู่ข้างราเมศ ยกมือยกไม้ให้อีกฝ่ายเช็ดตัวให้แต่โดยดี แม้จะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับสายตาวามวาวอันตรายดุจสิงโตจ้องตะครุบเหยื่อของอีกฝ่ายอยู่บ้างแต่สุดท้ายการเช็ดตัวก็ผ่านพ้นไปโดยไม่เกิดความสูญเสียใดๆ
   
        ปานตะวันจัดการเปลี่ยนเป็นชุดนอนขณะที่ราเมศเอาอ่างใส่น้ำกับผ้าขนหนูไปเก็บ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยปานตะวันก็เตรียมตัวเข้านอน
   
        “ขอบคุณนะครับพี่เมศ”
   
       “ไม่เป็นไร นอนพักเยอะๆ นะจะได้หายไวๆ”
   
        ปานตะวันพยักหน้ากำลังจะปีนขึ้นเตียงนอนแต่ราเมศก็เรียกเขาเอาไว้ก่อน พอหันไปมองด้วยแววตาแปลกใจชายหนุ่มผมดำก็เดินเข้ามาประชิดจากนั้นก็จัดการดึงตัวปานตะวันไปยืนอยู่หน้ากระจกเงา
   
       “ตะวัน ดูนี่นะ”
   
        ราเมศใช้มือดันให้ปานตะวันเอียงคอ ตอนแรกชายหนุ่มก็ไม่เข้าใจแต่เมื่อคนรักชี้ให้ดูอะไรบางอย่างใบหน้าติดหวานก็พลันซับสีแดงระเรื่อ
   
        บนลำคอขาวผ่องของปานตะวันปรากฏรอยจูบสีแดงเด่นชัดตัดกับสีผิวอยู่หนึ่งรอย
   
        เท่านั้นยังไม่พอ นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเป็นไข่ห่านเมื่อปลายนิ้วของคนรักเกี่ยวคอเสื้อเขาลงด้านหนึ่ง...เผยให้เห็นรอยแดงจากการจูบและรอยฟันอีกจำนวนหนึ่งอยู่บนลาดไหล่!
   
        “ไอ้พี่เมศ!”
   
         “ชู่ว์ เบาๆ สิ” ราเมศรีบตะครุบปากเอาไว้ทันที “เสียงดังขนาดนี้เดี๋ยวหนูเจียก็ตื่นหรอก”
   
        ปานตะวันถลึงตาใส่อีกฝ่าย ทำมาเป็นดุแต่ไอ้เรื่องที่ทำไว้นี่มันไม่น่าโดนด่าเลยเนอะ
   
        “แล้วพี่ทำ...ทำไอ้รอยพวกนี่เพื่อ!?”
   
         ปานตะวันยอมลดเสียงลงแต่กระนั้นก็ยังส่งสายตาฟาดฟันให้อีกฝ่ายอยู่ดี ราเมศกระตุกยิ้มมุมปากที่ดูแล้วมันโคตรจะกวนประสาท ทำเอาคนมองถึงกับแก้มกระตุก
   
        “เพื่อให้รู้ว่าคราวหน้าคราวหลังอย่าคิดจะลองดีถ้าไม่แน่จริง” พวกเขาสองคนสบตากันผ่านกระจก รอยยิ้มร้ายประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของราเมศทำให้ปานตะวันขนลุกเกรียว
   
        ปลายนิ้วไล้ไปตามกรอบหน้าของปานตะวันเบาๆ เหมือนจะหยอกเอิน ขณะที่เสียงทุ้มกระซิบอยู่ริมหู
   
        “นายคิดจริงๆ เหรอว่าพี่ไม่เคยนึกอยากทำ ‘อะไรๆ’ กับนายน่ะฮึ พี่เป็นคนนะตะวันไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหน”
   
        ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเหมือนแมวกำลังตกใจ ยิ่งเห็นยิ่งน่าขย้ำในสายตาของคนสวมบทเป็นผู้ล่า
   
        “หนนี้นายไม่สบายอยู่ดังนั้นพี่จะปล่อยไป...แต่ครั้งหน้าไม่อีกแล้วนะปานตะวัน”
   
        แววตาคู่นั้นเหมือนจะเตือนเขาให้ระวังตัวให้ดี ถ้าไม่อยากถูกจับกิน
   
        ปานตะวันอยากจะยกมือกุมขมับ เออเนอะ เห็นนิ่งๆ ไม่คิดว่าจะร้ายได้ขนาดนี้ ถามว่ากลัวกับขู่ไหม...ก็ไม่ เพราะตะวันรู้ว่าพี่เมศไม่มีทางรุนแรงกับเขาหรอก
   
       จะให้นั่งนิ่งแล้วโดนข่มทับอยู่ฝ่ายเดียวก็ไม่ใช่นิสัยเขาเสียด้วย
   
        ปานตะวันหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย อาศัยจังหวะที่ราเมศไม่ทันตั้งตัวประทับริมฝีปากลงที่ไหล่อีกฝ่ายบ้าง แต่เขาไม่ได้แค่จูบอย่างเดียวปานตะวันยังอ้าปากกัดจนขึ้นรอยฟันอีกต่างหาก!
   
        “แหม...จะตั้งตารอเลยล่ะครับ”
   
         ราเมศสาบานว่าในนาทีนี้ไม่มีอะไรที่เขาอยากทำมากไปกว่าจับปานตะวันกดลงกับเตียงแล้วจูบปิดปากช่างพูดช่างยั่วนั้นเสีย
   
        แต่ยังก่อน
   
        ไม่ใช่วันนี้
   
        “ระวังให้ดีปานตะวัน พี่ไม่ปล่อยนายไปง่ายๆ แน่”
   
        “งั้นก็มารอดูกันนะครับที่รักว่าใครจะคุมเกม”
   
        เสียงทุ้มหัวเราะในลำคอก่อนที่ราเมศจะโน้มตัวลงจูบเบาๆ ที่ลาดไหล่ของคนตัวเล็กกว่า “เก่งจริงๆ ไอ้ลูกแมว ใครมันยังอ้อนพี่อยู่เมื่อตอนกลางวันนะ ไป ไปนอนเดี๋ยวนี้เลยก่อนที่พี่จะไม่รอวันอื่น”
   
        “คร้าบ”
   
       ปานตะวันยอมกลับขึ้นเตียงแล้วนอนเป็นเด็กดีให้อีกฝ่ายห่มผ้าจูบหน้าผากราตรีสวัสดิ์ให้เรียบร้อย
   
       เอาตรงๆ เขาก็แอบรู้สึกว่าพี่เมศวันหนึ่งนี่เปลี่ยนอารมณ์ได้หลากหลายดีนะ เมื่อกี้ยังอยู่โหมดโหดบวกหื่นอยู่เลย มาคราวนี้องค์ออกก็กลับเป็นโหมดแฟนใจดียิ้มสวยในสามวิ
   
       “ฝันดีตะวัน”
   
       “ฝันดีครับพี่เมศ”
   
       ปึง
   
        ประตูห้องนอนปิดลงแล้ว ปานตะวันยังคงนอนลืมตาอยู่ในความมืด ชายหนุ่มนึกทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่กี่นาทีก่อนหน้า ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้ว่าแฟนของเขามันเสือแสร้งหลับชัดๆ ทำเป็นเก็บเขี้ยวเล็บแต่จริงๆ แล้วกลับพร้อมจะขย้ำเหยื่อตลอดเวลา
   
        “หรือเราจะแกล้งมากไปกันนะ”
   
        ปานตะวันแตะนิ้วไปตามซอกคอระเรื่อยมาจนไหล่ พลันคำพูด แววตาและริมฝีปากอุ่นที่กดลงบนผิวก็หวนคืนมา ร่างโปร่งยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปง ความร้อนแล่นริ้วไปตามใบหน้าแถมหัวใจก็ยังเต้นถี่ราวกับรัวกลอง
   
        ให้ตาย คนอย่างปานตะวันจะไม่มีวันยอมแพ้พี่เมศเด็ดขาด ครั้งหน้าเขาจะต้องเป็นคนคุมเกมให้ได้!
   
         แต่ครั้งนี้เขาป่วยอยู่...ขอเป็นฝ่ายถอยทัพก่อนแล้วกัน เฮ้อ
   
         ชายหนุ่มสะบัดผ้าห่มออกแล้วตัดสินใจเดินไปล็อกประตูห้องทันที
   
         ไม่ได้กลัวหรอกนะ เขาเรียกปลอดภัยไว้ก่อนต่างหากล่ะ!

*****************************************************

ลงมาให้เตรียมใจก่อนพาไปพบครอบครัวพี่เมศค่ะ ทุกคนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นะคะ ฮ่าๆ
อันนี้ออเดิร์ฟค่ะ น้ำจิ้มๆ เดี๋ยวตอนหน้าพาไปเจอครอบครัวจริงๆ แล้วววว :katai4:
ตอนนี้ก็ยังคงโปรยปรายความหวานค่ะ กักตุนเอาไว้เยอะๆ ให้น้ำตาลในเลือดมันทะลุลิมิตเลยค่ะ
เอาจริงๆ เขียนแล้วชอบใจในความอ้อนปนอ่อยของปานตะวันมาก พี่เมศก็ตามใจไปอีก เริ่มอิจฉาปานตะวันซะแล้วสิคะ
ฮ่าๆ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เราจะลุ้นตอนหน้าไปด้วยกัน จุ๊บๆ

ปล.ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ AzureDream นะคะ


ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ยังจะซ่า

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
ลูกแมวตัวโตรีบหายเร็วๆนะ  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ทำเป็นซ่าาาา อิอิ

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ชอบเรื่องนี้มากเลยยยย สอนใจดี ได้ข้อคิด ตัวละครก้ดี สนุกด้วยยย
หนูเจียน่ารักกก อยากอ่านคู่เกล้ากับหนูเจียยย
ชอบที่ตะวันค่อยๆโตขึ้น เป็นเด็กดีและพยายามมากเลย นับถือ
พี่เมศก็เป็นผู้ใหญ่ ขี้แกล้งนิดๆ แต่น่ารักกกกกก ชอบเรื่องนี้มากเลยน้าาาา

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แมวขี้ยั่ว (ให้อยากแล้วจากไป ฮา)

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ตะวันขี้อ่อย :hao6:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
อื้อหือออ อ้อนขนาดนี้ ขอกลับบ้านเถอะ มาเป็นเพื่อนเล่นกะแมวที่บ้าน

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
ตะวันอ้อนจัง :mew1:

ออฟไลน์ Pisoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ไล่ตามอ่านทันแล้ว หนูเจียน่ารักมาก  :katai2-1:

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #269 เมื่อ01-07-2017 20:45:34 »

ปานตะวัน
บทที่ ๒๐
Tulips


         พอถึงช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ ร้านอาหารของราเมศก็ปิดชั่วคราวเพื่อให้บรรดาพนักงานกลับบ้านรวมถึงตัวราเมศที่วางแผนจะพาปานตะวันกับหนูเจียไปเยี่ยมครอบครัวด้วย โชคดีที่ทั้งแมวเล็กและแมวใหญ่ของเขาหายจากอาการป่วยทันก่อนถึงวันเดินทาง ทริปครั้งนี้จึงราบรื่นไร้ปัญหา
   
        ก่อนวันเดินทางปานตะวันเอาเจ้าขาวและถุงทองไปฝากไว้กับชนกันต์ แล้วก็กลับมานั่งจัดของอยู่กับราเมศ ตอนที่พับเสื้อของตัวเองและหนูเจียลงกระเป๋าชายหนุ่มพลันตระหนักได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะได้เดินทางไปเที่ยวค้างคืนด้วยกัน
   
        ส่วนวันปีใหม่...ปีนี้เป็นปีที่สองแล้วสินะที่จะได้ฉลองร่วมกัน
   
        ปีที่แล้วพวกเขาเพิ่งจะรู้จักกัน ยังไม่สนิทใจมากจึงไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าทำสุกี้กินกันง่ายๆ สามคนแล้วก็ส่งหนูเจียเข้านอน ปีนี้คงเรียกได้ว่าเป็นปีแรกที่จะได้ฉลองด้วยกันอย่างจริงจัง
   
         เวลา...ผ่านไปไวจริงๆ เลยนะ...รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นครอบครัวเดียวกันไปซะแล้ว
   
         ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ปานตะวันกับหนูเจียเปิดใจให้กัน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ราเมศขยับเข้ามาในชีวิตมากขนาดนี้ พอรู้ตัวอีกทีคนสามคนที่เคยคิดมาก่อนว่าไม่มีทางเข้ากันได้ก็พลันกลมกลืนเข้าด้วยกัน จากคนแปลกหน้าก็กลายเป็นคนสำคัญที่ปานตะวันยอมทุ่มเททุกอย่างให้และเรียกว่าครอบครัวได้อย่างเต็มปาก
   
        ช่วงเวลาที่ผ่านมาแม้ไม่ยาวนานนักแต่ก็ล้ำค่าและสอนอะไรเขามากมาย
   
        ปานตะวันเคยสงสัยว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กับการที่เราจะเปิดใจให้คนคนหนึ่งเข้ามาในชีวิต บางคนพูดว่ายิ่งใช้เวลาน้อยความสัมพันธ์ก็ยิ่งฉาบฉวยแต่ปานตะวันไม่คิดแบบนั้น
   
        กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์นั่นก็จริง...แต่เรื่องราวที่เราจับมือกันก้าวผ่านมานั้นก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
   
        บางคนพบกันเพียงแค่เดือนหรือสองเดือนแต่ถ้าสิ่งที่พวกเขาฝ่าฟันมามันมีพลังมากพอจะทำให้พวกเขาแน่ใจว่าคนข้างกายคือคนที่ใช่แล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นคำว่ายิ่งเวลาสั้นความสัมพันธ์ยิ่งฉาบฉวยก็ไม่ใช่ความจริงไปเสียทั้งหมด
   
        เหมือนกับพวกเขาสามคน
   
        นัยน์ตาสีน้ำตาลที่จ้องมองราเมศกับหนูเจียเล่นด้วยกันทอแววอ่อนโยน เมื่อทั้งคู่หันมาสบตาปานตะวันก็ยิ้มให้ รอยยิ้มหวานๆ ของเขาดึงดูดให้ทั้งหลานชายและคนรักตรงเข้ามากอดหมับทันที
   
        ตอนที่จมอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของคนทั้งคู่...ปานตะวันนึกถึงความปรารถนาของตัวเอง
   
        ไม่ว่าจะปีนี้ ปีหน้า หรือปีไหนๆ ก็ขอให้ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้
   
        ตลอดไป   
   
        สนามบินเชียงใหม่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ปานตะวันต้องคอยจับมือเล็กๆ ของหนูเจียเอาไว้เพื่อไม่ให้หลานชายวิ่งหายไป หนูเจียดูจะตื่นเต้นกับสถานที่แปลกใหม่และการนั่งเครื่องบินครั้งแรกในชีวิตมาก ดวงตากลมโตแป๋วแหววมองคนนักท่องเที่ยวที่หิ้วกระเป๋าเดินทางผ่านไปมาอย่างสนอกสนใจ
   
        ตอนแรกเจียหลินอยากออกสำรวจสถานที่ไม่คุ้ยเคยนี้มากๆ แต่น้าตะวันขู่ว่าถ้าหนูเจียวิ่งซนไปทั่วจะถูกคนแปลกหน้าจับใส่กระเป๋าเดินทางแล้วส่งไปต่างประเทศนั่นแหละเด็กน้อยถึงได้ยอมอยู่นิ่งๆ
   
         เจียหลินเดินตามน้าตะวันต้อยๆ เด็กชายสังเกตว่าวันนี้น้าตะวันของเขาดูจะแต่งตัวดีเป็นพิเศษแถมยังออกอาการตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา มือของน้าที่จับเขาเอาไว้เย็นเฉียบแล้วก็สั่นน้อยๆ
   
         หรือน้าตะวันจะตื่นเต้นที่ได้ขึ้นเครื่องบินเหมือนหนูเจียนะ?
   
        คิดๆ แล้วก็ไม่น่าใช่...น้าตะวันบอกว่าตัวเองขึ้นเครื่องบินบ่อยนี่นา แล้วน้าตะวันตื่นเต้นอะไรกันหว่า
   
         ระหว่างที่สมองน้อยๆ พยายามหาคำตอบให้ตัวเองเจียหลินก็ตัวลอยหวือไปอยู่ในอ้อมแขนของราเมศที่อุ้มหนูเจียมือหนึ่ง หิ้วกระเป๋าอีกมือหนึ่ง
   
         “ผมถือกระเป๋าให้ไหมพี่เมศ” ปานตะวันเสนอความช่วยเหลือแต่ราเมศส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร นายถือใบนั้นไปนั่นแหละดีแล้ว พี่ไม่หนักหรอกอีกเดี๋ยวก็ถึงรถแล้ว นู่นไง มีคนมารับเราแล้ว”
   
          ราเมศพูดพลางพลางพยักเพยิดให้ปานตะวันมองดูรถตู้สีขาวที่ด้านข้างมีตัวอักษรสีดำติดไว้ว่า
   
          ‘บ้านพักอ้อมกอดดาว’
   
          “บ้านพักอ้อมกอดดาว?”
   
          “อื้ม รีสอร์ตของพ่อแม่พี่เอง”
   
           ปานตะวันหันขวับไปมองราเมศคอแทบเคล็ด ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าครอบครัวพี่เมศทำรีสอร์ต! แล้วนี่ลูกชายไปทำร้านอาหารทำไมตั้งไกลในกรุงเทพฯเนี่ย
   
          ชายหนุ่มผมน้ำตาลคิดจะอ้าปากถามแต่ปรากฏว่าพวกเขาเดินมาถึงรถตู้แล้ว คนขับรถร่างผอมแห้งอายุราวๆ สักห้าสิบยิ้มอวดฟันขาวให้ราเมศพร้อมกับยกมือไหว้ชายหนุ่มแถมยังเลยมาไหว้ปานตะวันด้วย ทำเอาเขายกมือไหว้พร้อมกล่าวสวัสดีแทบไม่ทัน
   
          “คุณเมศ สวัสดีครับ”
   
         “สวัสดีครับน้าเจิด หนูเจียสวัสดีน้าเจิดเร็วครับ”
   
        ราเมศบอกให้หลานชายในอ้อมแขนสวัสดีอีกฝ่าย หนูเจียพนมมือไหว้อย่างน่ารักแล้วก็ส่งยิ้มอายๆ ให้จากนั้นเด็กตัวน้อยก็หันหน้าซุกอกราเมศด้วยไม่ชินกับคนแปลกหน้า
   
        “แหม นี่คุณหนูเจียที่เขาเล่ากันสินะครับ น่ารักจริงๆ ด้วย” ปานตะวันรู้สึกสะดุดหูที่น้าเจิดเรียกหนูเจียว่าคุณหนูแล้วยังพูดเหมือนรู้จักเจียหลินมาก่อนอีก ราเมศหันมาเห็นสายตาสงสัยใคร่รู้ของปานตะวันเข้าพอดีเลยอธิบายว่า
   
        “พี่ส่งรูปหนูเจียไปให้ที่บ้านดูตั้งแต่ตอนแกคลอดแล้ว ทุกคนรู้จักเจียหลินกันทั้งนั้นแหละ”
   
       “อ้อ แบบนี้นี่เอง”
   
       ปานตะวันพยักหน้า ตอนนั้นเองที่น้าเจิดเบนความสนใจกลับมาที่เขา “แล้วคุณคนนี้คือ...”
   
        “น้าเจิดนี่ปานตะวัน เป็นน้าชายของเจียหลินครับ ตะวันนี่น้าเจิดเป็นคนขับรถที่รีสอร์ต ถ้าอยากไปเที่ยวไหนก็บอกน้าเจิดได้ เขาพาไปได้หมดแหละ”
   
        ปานตะวันยิ้มกว้างให้น้าเจิด ดวงตาเป็นประกาย “งั้นแบบนี้ตะวันคงต้องไปขอคำแนะนำในการท่องเที่ยวจากน้าเจิดแล้วล่ะ เอาแบบหยุดยาวนี้เที่ยวให้ทั่วเลยได้ไหมครับ”
   
        ชายสูงวัยหัวเราะกับท่าทางกระตือรือร้นของคนหนุ่ม “แหม ได้สิครับ ผมพาไปได้หมดล่ะถ้าคุณเมศเขาอนุญาตให้คุณตะวันออกไปกับผมน่ะนะ”
   
       ว่าแล้วก็เหลือบมองคุณเมศของตัวเองอย่างรู้ทัน ราเมศเลิกคิ้วกับสายตานั้น
   
       อย่าบอกนะว่า...
   
       “นี่รู้กันหมดแล้ว?”
   
       ข้อความไม่มีหัวไม่มีท้ายแต่เจิดก็แปลมันออก เขาหัวเราะในลำคอก่อนตอบ “ไม่กี่คนหรอกครับแค่ผม คนครัว คนสวน ป้าแม่บ้านเท่านั้นเอง”
   
       “ก็คนงานทุกคนเลยไม่ใช่หรือไง” ราเมศกลอกตา “ใครไปบอกล่ะ ขอเดาว่ายัยมิ้นต์ใช่ไหมครับน้าเจิด”
   
       “ครับผม”
   
       “มันน่าหาอะไรมาอุดปากจริงๆ”
   
       “แต่ทุกคนก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะครับ อย่าคิดมากเลย” เจิดพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปช่วยปานตะวันยกกระเป๋าไปเก็บที่ท้ายรถ เขาดูกระฉับกระเฉงและแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกันอยู่มากโข
   
       เมื่อเก็บของและทุกคนขึ้นนั่งประจำที่เรียบร้อยปานตะวันก็สะกิดราเมศแล้วกระซิบถามว่า
   
       “พี่เมศคุยอะไรกันเหรอ ใครรู้เรื่องอะไรหมดแล้ว”
   
        ราเมศหยิกแก้มคนรักเบาๆ อย่างเอ็นดู เขายิ้มบางๆ ก่อนตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก อย่าใส่ใจเลย”
   
        ปานตะวันเอียงคอแต่สุดท้ายก็ยักไหล่ ถ้าพี่เมศบอกว่าไม่ต้องใส่ใจก็แปลว่าไม่มีอะไรสำคัญหรอกมั้ง ชายหนุ่มปัดความสงสัยก่อนหน้านี้ทิ้งไปทันทีพร้อมกับเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา
   
        “แล้วสรุปพี่เมศจะอนุญาตให้ตะวันไปเที่ยวไหม”
   
        “หืม” ราเมศครางรับในลำคอ อ้อ เหมือนตอนแรกน้าเจิดจะแกล้งแซวว่าแกพาตะวันไปได้ทุกที่ถ้าเขาอนุญาตนี่นะ แหม เขาก็ไม่ได้หวงแฟนขนาดนั้นเสียหน่อย ปานตะวันโตแล้วดูแลตัวเองได้แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะห้ามไม่ให้ไปเที่ยวนี่นา
   
        “ไปได้ถ้าพี่ไปด้วย”
   
        “แล้วถ้าพี่เมศไม่ว่างล่ะ”
   
        “ก็รอจนกว่าพี่จะว่างสิ”
   
        “ตะวันกับหลานไปกันสองคนไม่ได้เหรอ”
   
        “ไม่ได้ครับ”
   
        “ไหงงั้นอ่ะ!”
   
        ปานตะวันทำปากคว่ำ ดูแล้วน่าดึงมาฟัดจูบแรงๆ
   
        ราเมศหนีบปากอีกฝ่ายแล้วตอบว่า “ก็มากันสามคน นายจะทิ้งพี่แล้วหนีไปเที่ยวกับหลานสองคนได้ยังไง” ได้ยินดังนั้นแล้วคนกลัวไม่ได้เที่ยวจึงรีบยกเหตุผลมาพูดว่า “ก็แล้วถ้าสี่วันนี้พี่เมศไม่ว่างเลยล่ะ ตะวันไม่ต้องนอนหง่าวอยู่แต่ในรีสอร์ตเหรอ”
   
       “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” ราเมศขยี้ผมลูกแมวน้อยของตนอย่างเอ็นดู “พี่บอกว่าพานายมาเที่ยวก็คือมาเที่ยว สี่วันนี้จะไปไหนก็ไป เที่ยวให้หมดแรงไปเลยดีไหม”
   
        นัยน์ตาสีน้ำตาลเปล่งประกายวิบวับ ปานตะวันพยักหน้ารัวๆ ก่อนหันไปพูดเสียงเล็กเสียงน้อยกับหลานชายที่ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
   
        เจิดมองภาพคุณราเมศที่เขาเห็นมาแต่เล็กแต่น้อยด้วยแววตายินดี
   
        คุณเมศคงไม่รู้ว่าตัวเองเปลี่ยนไปมาก...ทั้งสีหน้าเคร่งขรึมและแววตาเฉยชาหายไปจนสิ้น แทนที่ด้วยรอยยิ้มกว้างและนัยน์ตาสีนิลอบอุ่นอ่อนโยนแบบที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
   
         คุณเมศที่ปกติจะทำหน้านิ่งเฉยตอนนี้กลับยิ้มกว้างแล้วก็หัวเราะเสียงดังไปกับมุกตลกที่คุณปานตะวันเล่น จากนั้นชายหนุ่มตัวโตก็รวบตัวทั้งหลานและน้าชายขึ้นมาหอมแก้มคนละที
   
         ภาพสะท้อนจากกระจกมองหลังที่เจิดเห็นคือภาพครอบครัวแสนอบอุ่นที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
   
         คุณปานตะวันคงจะสำคัญกับคุณมากจริงๆ สินะครับคุณเมศ ถ้าเขาทำให้คุณมีความสุขได้ถึงขนาดนี้ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปห้าม
   
         ใครก็ตามที่ทำให้คุณมีความสุขและมีชีวิตที่ดี ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เพศไหน อายุเท่าไหร่พวกเราก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้น ขอแค่คนคนนั้นมอบความสุขให้คุณได้พวกเราก็พร้อมจะต้อนรับเขาสู่ครอบครัวของเราอย่างไม่ลังเลเลย
   
        นั่งรถมาได้สักพักหนูเจียตัวน้อยก็หลับปุ๋ยอยู่บนตัก ปานตะวันเองก็ชักตาปรือ ราเมศเห็นดังนั้นจึงหยิบหมอนรองคอส่งให้คนตัวเล็ก
   
        “อีกไกลไหมพี่เมศ”
   
        “ก็อีกสักพัก นอนไปเถอะ ถึงแล้วจะปลุก”
   
        “งั้นตะวันนอนก่อนนะ”
   
        เจ้าตัวเล็กอ้าปากหาวแล้วก็หลับตาลง ไม่นานก็กรนฟี้ตามหลานชายไป ราเมศหัวเราะในลำคอเบาๆ ระหว่างที่นั่งพิจารณาใบหน้ายามหลับของหนูเจียและปานตะวัน
   
        สองคนนี้เหมือนกันหลายอย่าง คนทั้งคู่อาจไม่รู้ตัวแต่ราเมศรู้
   
        ปานตะวันกับหนูเจียเวลาเจอสถานที่แปลกใหม่หรืออะไรที่น่าสนใจก็จะตาเป็นประกายระยิบระยับ รอยยิ้มกว้างจนตาหยีก็คล้ายกัน ส่วนตอนนอนหลับ สีหน้าผ่อนคลายและสงบสุขแบบนี้ก็ยังแลดูคล้ายกัน
   
        จันทร์...เธอคงจะดีใจสินะถ้ารู้ว่าลูกชายเธอเหมือนน้องของเธอมากกว่าที่คิดแบบนี้
   
        “อื้ม” ปานตะวันขยับตัวซุกเข้าหาราเมศในขณะที่หนูเจียเองก็พลิกตัวตะแคงข้าง มือเล็กๆ กำชายเสื้อชายหนุ่มไว้ไม่ปล่อย กลายเป็นว่าทั้งแมวเล็กแมวใหญ่พากันซุกตัวเข้าหาเขาดูน่ารักน่าเอ็นดูทั้งคู่
   
        “คุณนั่งสบายไหมครับคุณเมศ ไม่เมื่อยเหรอ”
   
         “ไม่เมื่อยหรอกครับลุงเจิด” ราเมศลูบแก้มหนูเจียสลับกับลูบผมปานตะวัน “นานๆ ทำหน้าที่เป็นหมอนแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
   
         รถตู้สีขาวจอดสนิทเมื่อมาถึงรีสอร์ต ราเมศเขย่าปลุกทั้งหนูเจียและปานตะวันให้ลุกขึ้น ปานตะวันสะดุ้งตื่น ตอนแรกนึกหงุดหงิดที่โดนกวนแต่เมื่อนึกได้ว่าตัวเองมารีสอร์ตของพี่เมศไม่ได้นอนอยู่บ้านที่กรุงเทพฯแล้วก็รีบลูบหน้าลูบตาเรียกสติ
   
         ตอนนี้ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอมชมพู แสงแดดอ่อนแรงลงเมื่อดวงตะวันใกล้ลาลับของฟ้า สายลมเย็นสดชื่นพัดผ่านให้สบายเนื้อสบายตัว ตอนนี้พวกเขายืนอยู่ด้านหน้าอาคารขนาดเล็กสำหรับติดต่อเรื่องห้องพัก ปานตะวันอาศัยจังหวะที่ราเมศหายเข้าไปด้านในมองสำรวจสถานที่รอบๆ
   
         รีสอร์ตของครอบครัวราเมศมีพื้นที่อยู่บนภูเขา พื้นที่บ้านพักแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งซ้ายเป็นบ้านพักหลังเล็กชั้นเดียวปลูกสร้างจากไม้สำหรับนักท่องเที่ยวที่มากันจำนวนไม่เยอะ หน้าบ้านมีระเบียงกว้างแขวนกระถางดอกไม้หลากสี บางบ้านมีกังหันลมอยู่บนหลังคา มีบ้านอยู่สี่ห้าหลังที่ด้านล่างส่วนหลังที่เหลือปลูกอยู่สูงขึ้นไป ปานตะวันเห็นบันไดหินที่ทอดยาวนำไปสู่บ้านพักแต่ละหลัง
   
          ฝั่งขวาเป็นบ้านหลังใหญ่สามชั้นปลูกติดกันอยู่สามหลัง ทุกหลังทาสีเหลืองนวลตา ห้องพักโซนนี้มีไว้สำหรับครอบครัวหรือกรุ๊บทัวร์ขนาดใหญ่ ตรงส่วนที่เป็นโค้งของตัวยูมีอาคารไม้ดูแล้วคงเป็นที่สำหรับรับประทานอาหาร
   
        แต่สิ่งพิเศษที่ดึงดูดความสนใจของปานตะวันมากที่สุดคือสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ตรงกลางระหว่างอาคารทั้งสาม ดอกไม้หลากสีสันที่บัดนี้เริ่มหุบกลีบแล้วแต่ก็ยังคงความสวยงามเอาไว้ ที่ใจกลางสวนมีน้ำพุหินอ่อน และม้านั่งยาวรวมถึงศาลาสำหรับนั่งพักด้วย
   
        ดูหรูเอาเรื่องอยู่เหมือนกันแฮะ ตอนแรกคิดว่าคงเป็นรีสอร์ตเล็กๆ ที่บรรยากาศดูอบอุ่นเสียอีก
   
        เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดโคมไฟหน้าบ้านพักและไฟประดับในสวนก็ถูกเปิดทำให้รีสอร์ตแห่งนี้สว่างไสวสวยงามจับตา
   
        “น้าตะวัน ที่นี่สวยมากเลย” หนูเจียมองไฟสีส้มในสวนด้วยความชอบใจ ปานตะวันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดหลาน
   
        “นั่นสิครับหนูเจีย ที่นี่สวยมากเลย”
   
        “สวยแล้วชอบไหม”
   
        เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของราเมศที่ก้าวมาประชิด เจียหลินวิ่งไปพันแข้งพันขาราเมศทันที
   
        “หนูเจียชอบคับน้าเมศ!”
   
         ราเมศหัวเราะก่อนจูบลงที่แก้มนิ่มเป็นรางวัล ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนรักแล้วเอ่ยถามอีกรอบว่า “หลานชอบ แล้วตะวันชอบไหม”
   
         ปานตะวันมองไปรอบๆ อีกครั้งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “ชอบมากเลยครับ!”
   
        “ดีแล้ว มาเถอะ เอากระเป๋าไปเก็บกัน”
   
         ราเมศพาปานตะวันกับเจียหลินไปขึ้นรถ น้าเจิดกลับมาประจำที่แล้วก็ขับพาทั้งสามอ้อมไปอีกทาง ปานตะวันเอียงคอมองอย่างสงสัยเมื่อเส้นทางนั้นอ้อมไปที่ด้านหลังของรีสอร์ต
   
         ที่ด้านหลังของรีสอร์ตมีเรือนกระจกขนาดใหญ่ ดอกไม้ต้นไม้ภายในเรือนกระจกดูเขียวชอุ่มร่มรื่น ถัดจากเรือนกระจกไปคือรั้วสีขาวและซุ้มประตูซึ่งมีป้ายยินดีต้อนรับแขวนไว้ น้าเจิดขับผ่านซุ้มประตูนั้นเข้าไป ทางโรยกรวดนำไปสู่บ้านไม้ทรงโมเดิร์นสองชั้นที่หันหลังให้กับขุนเขาใหญ่
   
         “พี่เมศ ที่นี่คือ...”
   
        “บ้านพี่เอง”
   
        พระ-เจ้า!
   
        ปานตะวันอ้าปากค้างกับคำตอบที่ได้รับ บ้านของราเมศไม่ได้ใหญ่โตอะไรแต่ลักษณะการออกแบบบ้านให้สวยสะดุดตานั่นต่างหากที่ทำให้ปานตะวันตะลึง ไหนจะสนามและสวนที่เป็นระเบียบเรียบร้อยนั่นอีก ดูก็รู้ว่าได้รับการดูแลอย่างดี
   
        “พ่อพี่เป็นสถาปนิก บ้านหลังนี้กับรีสอร์ตพ่อก็ออกแบบเอง” ราเมศพูดให้ปานตะวันฟัง เขาจูงหลานชายและคนรักเข้าไปในบ้านขณะที่น้าเจิดและคนสวนตรงมาช่วยหิ้วสัมภาระ
   
       นี่มันคุณชายของจริงเลยนี่หว่า
   
        “แล้ว...ในเมื่อมีบ้านใหญ่ขนาดนี้ มีธุรกิจมั่นคงดีแล้วทำไมพี่ถึงลงไปทำร้านอาหารที่กรุงเทพฯล่ะ ถ้าอยากเป็นพ่อครัวก็ทำงานให้รีสอร์ตตัวเองก็ได้นี่”

(มีต่อค่ะ)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด