ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]  (อ่าน 150401 ครั้ง)

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ตะวันสู้ๆ นะยังมีพี่เมศอยู่ข้างๆ นะ อะไรที่ไม่ดีอย่าเก็บมาคิดให้ทรมานตัวเองเลย

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ตกใจหมดเลย

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๒๓
คนแปลกหน้า


        กลิ่นอาหารหอมฟุ้งเป็นกลิ่นแรกที่โชยมาแตะจมูกเมื่อก้าวขึ้นเรือนไทย ปานตะวันได้ยินเสียงราเมศกับหนูเจียพูดคุยกันดังมาจากในห้องครัว ชายหนุ่มกำลังจะเดินเข้าไปหาแต่แล้วก็พลันชะงักฝีเท้าหยุดอยู่ตรงหน้าประตู
   
        ในกรอบสายตาคือภาพชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คาดผ้ากันเปื้อนกำลังหั่นผักอยู่โดยมีเด็กชายตัวเล็กยืนอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก สองมือเกาะของเคาน์เตอร์ยาว ดวงตากลมแป๋วมองน้าชายทำอาหารอย่างตั้งอกตั้งใจ หนูเจียเป็นเด็กช่างสงสัย ดังนั้นตลอดเวลาที่ราเมศทำกับข้าวหลานชายก็จะถามนู่นถามนี่ไม่หยุด คนรักของเขาก็พยายามตอบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พอมองรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนทั้งคู่แล้วหัวใจที่หวาดหวั่นมาตลอดของปานตะวันก็พลันสงบลง
   
        “กลับมาแล้วครับ”
   
        เสียงของเขาแผ่วเบาแต่คนสองคนในห้องครัวก็ได้ยิน
   
        หนูเจียกระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งมาหาปานตะวันที่ย่อตัวลงแล้วกางแขนรับร่างน้อยๆ ที่กระโดดเข้ามาในอ้อมกอด
   
         เจียหลินหัวเราะคิกคักแล้วจูบแก้มคุณน้าไปสองที ส่วนราเมศก็เอียงหน้ามามองเขาเล็กน้อย “กลับมาแล้วเหรอ ทำไมไวจัง ตอนแรกนึกว่าจะไปนานกว่านี้”
   
         “พอดีธุระเสร็จไวน่ะครับ”
   
         ปานตะวันตอบขณะนั่งยองให้หลานชายปีนป่ายตามตัว อืม...เขาว่าหนูเจียหนักขึ้นนิดหน่อยแฮะ อีกไม่กี่เดือนคงอุ้มไม่ไหวแล้ว
   
        “เหรอ แล้วของที่ไปเอาเป็นอะไรล่ะ”
   
        “อ๋อ...” ปานตะวันเงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็ตอบว่า “หนังสือเก่าน่ะครับ แต่ตะวันไม่อ่านแล้วก็เลยให้กันต์ไป”
   
        “งั้นเหรอ”
   
         ราเมศรับคำและทันใดนั้นที่ซุปในหม้อบนเตาพลันเดือดปุดๆ ราเมศจึงถูกเบนความสนใจไปทันที ปานตะวันลอบถอนหายใจ ที่โกหกออกไปไม่ใช่เพราะต้องการปิดบังเรื่องจดหมายหรือหวั่นไหวกับแฟนเก่า ธีร์เป็นคนที่ปานตะวันเคยหลงรักมากจนถึงขั้นโง่งมก็จริงแต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
   
        เขาปิดบัง...เพราะไม่อยากขุดคุ้ยอดีต
   
        เขาปิดบัง...เพราะราเมศกับหนูเจียสำคัญสำหรับเขามาก ปานตะวันไม่อยากให้ทั้งคู่ยุ่งเกี่ยวกับคนแบบนั้น
   
       และเหนือสิ่งอื่นได้คือเขากลัว กลัวว่าถ้าทั้งคู่รู้เรื่องธีร์แล้วมันเปิดเผยเรื่องราวเก่าๆ ของเขา ทั้งหนูเจียและราเมศจะรังเกียจและรับไม่ได้
   
       ปานตะวันไม่อยากถูกทิ้งอีกแล้ว
   
       “น้าตะวัน กลิ่นอะไรคับ?” หนูเจียที่ปีนตัวปานตะวันอยู่ย่นจมูกก่อนจะดมฟุดฟิดตามเสื้อของคุณน้า “กลิ่น? อ๋อ กลิ่นควันรถน่ะครับ”
   
       เจียหลินเอียงคอ เด็กชายไวต่อความรู้สึกคนอื่นและสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของปานตะวันได้ เสื้อของน้าตะวันเหม็นกลิ่นคล้ายกลิ่นควัน แถมตาของน้าก็ยังบวมแดงอีกด้วย
   
       ไหนจะบรรยากาศอึมครึมนี่อีก ไม่เหมือนน้าตะวันที่แสนจะร่าเริงเลยสักนิด
   
       เด็กชายกอดคอปานตะวันเอาไว้ เบียดแก้มกลมนิ่มเข้ากับแก้มของปานตะวัน “น้าตะวันไม่เป็นไรใช่ไหมคับ ทำไมน้าตะวันดูเศร้าจัง”
   
       ประโยคนั้นของหนูเจียดึงความสนใจของราเมศให้กลับมาอยู่ที่ปานตะวันอีกครั้ง ดวงตาคมสีนิลพิจารณาคนรักอย่างถี่ถ้วนขึ้น
   
       จริงด้วย ปานตะวันดูแปลกไป
   
       “เป็นอะไรหรือเปล่าตะวัน” ราเมศคุกเข่าลงตรงหน้าชายหนุ่มผมน้ำตาล “นายดูไม่โอเคเลย”
   
       “ตะวัน...ตะวันแค่เหนื่อยน่ะครับ” ขนาดรอยยิ้มก็ยังดูฝืดฝืน “ขอไปอาบน้ำก่อนแล้วเดี๋ยวจะลงมากินข้าวเย็นนะครับพี่เมศ”
   
       “อื้ม ไปเถอะ หนูเจียมานี่เร็ว ให้น้าตะวันไปอาบน้ำก่อน”
   
       “คับ”
   
       เจียหลินผละออกจากปานตะวันด้วยสีหน้าลังเล เด็กชายลูบดวงตาบวมช้ำของคุณน้าเบาๆ หนูเจียคงรู้แล้วว่าเขามีเรื่องไม่สบายใจ สัมผัสของเด็กเล็กๆ ต่อการเปลี่ยนแปลงบางทีก็ไวจนน่ากลัว
   
        “น้าตะวันไม่เป็นไรครับ” เขาจูบเบาๆ ลงกลางฝ่ามือหลานชายก่อนจะปล่อยให้อีกฝ่ายเดินไปหาราเมศ ปานตะวันเดินไปยังห้องอาบน้ำ เขาเอนหลังพิงประตูก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
   
       วันต่อมาปานตะวันรู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองดีขึ้นกว่าเมื่อคืนเล็กน้อยแต่ความไม่สบายใจก็ยังคงอยู่ ชนกันต์ส่งข้อความถามไถ่มาเป็นระยะซึ่งปานตะวันก็ตอบได้แค่ว่าตัวเองไม่เป็นไร เขาพูดคำนั้นซ้ำๆ กับตัวเองกับคนอื่นราวกับว่ายิ่งพูดมันได้เยอะเท่าไหร่หัวใจและสมองก็จะเชื่อว่าไม่เป็นไรจริงๆ...
   
       วันนี้ชนกันต์รู้สึกไม่ดี พูดตามตรงคือเขารู้สึกไม่ดีตั้งแต่วันที่เขากับปานตะวันพบธีร์ที่หอพักเก่าแล้ว
   
       ชนกันต์เป็นห่วงเพื่อนสนิท
   
       เขารู้ว่าเรื่องของธีร์เป็นเรื่องละเอียดอ่อนต่อปานตะวันมาตลอด อาการหายใจหอบที่มันเป็นบนรถยิ่งย้ำชัดถึงความจริงของนี้ ปานตะวันไม่เคยหลุดพ้นจากฝันร้ายเลยสักครั้งเดียว
   
        หลังเลิกงานชนกันต์ก็ส่งข้อความไปหาเพื่อน บอกว่าจะเข้าไปกินข้าวที่ร้านของแฟนมัน พี่เมศทำอาหารอร่อย ราคาก็ไม่แพงมากทำให้ชนกันต์ชอบร้านของพี่เมศเป็นพิเศษ ถึงขั้นเคยเอาไปแนะนำเพื่อนร่วมงานคนอื่นด้วยซ้ำ ก่อนไปชายหนุ่มแวะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านแล้วก็ซื้อผลไม้กับขนมติดไม้ติดมือไปด้วยเพื่อเอาไปฝากหนูเจีย
   
        “วันนี้ไม่อยู่ทานข้าวบ้านเหรอลูก” แม่ชะโงกหน้าเข้ามาตอนที่เขาเพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อเสร็จพอดี
   
        “วันนี้กันต์ว่าจะไปหาไอ้ตะวันน่ะแม่”
   
         “อ๋อ งั้นเอาคุ้กกี้บนหลังตู้เย็นไปให้ตะวันด้วยสิ แล้วก็บอกด้วยว่าแม่คิดถึง มาหากันบ้าง”
   
         “คร้าบ”
   
         ชนกันต์ตอบรับยิ้มๆ
   
        แม่ของเขาชอบปานตะวัน แทบจะนับเป็นลูกชายอีกคนได้ด้วยซ้ำ เพราะช่วงปลายปีสองหลังจากมันถูกรีไทร์ออกจากมหา’ลัยแล้วยังต้องเข้ารับการบำบัดอาการติดเหล้า ติดการพนัน ด้วยความเป็นห่วงเขาเลยให้มันมาอยู่ที่บ้านด้วย แม่เขาก็รู้เรื่องทุกอย่าง เธอไม่เพียงไม่ต่อว่าแต่ยังช่วยหยิบยื่นความช่วยเหลือให้อีก
   
        ปานตะวันชอบอ้อนผู้หญิงคราวแม่ มันทั้งพูดเก่งทั้งช่างประจบเอาใจ ชนกันต์คิดว่าสาเหตุน่าจะมาจากการที่อีกฝ่ายไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากแม่แท้ๆ
   
        เพื่อนเขาคนนี้โหยหาความรัก มันต้องการการถูกรักจากใครสักคนและต้องการทุ่มเทความรักให้กับคนคนหนึ่งอย่างที่มันไม่เคยได้รับมาก่อน
   
       มันต้องการ ‘บ้าน’ ของตัวเองมาโดยตลอด
   
      ดังนั้นตอนที่มันเจอกับธีร์ ชายหนุ่มหน้าตาดี ปากหวานและช่างเอาใจก็ล่อลวงไอ้ตะวันได้ไม่อยาก เพื่อนเขาตกลงไปในหลุมกับดักที่ถูกขุดขึ้น แรกๆ ไอ้ธีร์ก็ดีหรอก ชนกันต์เลยไม่ได้สนใจ จนช่วงหลังๆ ที่ปานตะวันเริ่มมาขอยืมเงินเขา ตอนแรกเขาก็ให้ พอหลังๆ เขาก็เริ่มซักไซ้ว่าเงินหายไปไหนหมด
   
       ปรากฏว่าเป็นไอ้ธีร์ที่เอาไป...เงินเป็นหมื่นในแต่ละเดือนละลายหายไปกับน้ำเมาและวงพนัน
   
        ชนกันต์จำได้ว่าเขาด่าปานตะวันแรงมาก ด่าแรงจนมันร้องไห้ จับตัวมันเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอนแล้วก็ตะคอกว่าโง่หรือไง ไม่มีตาดูเหรอว่ามันแค่หลอกใช้
   
        ‘มันไม่เคยรักมึง!’
   
        เขาจำได้ว่าตอนหลุดประโยคนี้ออกไปสีหน้าของปานตะวันเหมือนคนที่โลกถล่มลงมากองตรงหน้า
   
        แววตาของมันเลื่อนลอย...แล้วก็ว่างเปล่า
   
        ‘กูรู้แล้ว’ มันพูดแบบนั้น เสียงแผ่วเบาปานจะขาดใจ ‘แต่กูไปไม่ได้’
   
       ‘ทำไมวะ ทำไมถึงยังต้องโง่อยู่ให้มันหลอกด้วย! มันเอาเงินมึงไปเท่าไหร่แล้วตะวัน ไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้ชีวิตมึงแย่แค่ไหน’
   
       ‘แต่กูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมัน’
   
       ‘มันจะอยู่ไม่ได้ได้ยังไง มึงอยู่มายี่สิบปีก่อนเจอมันนะโว้ย’
   
       ‘มึงไม่เข้าใจหรอกว่ายี่สิบปีที่ผ่านมามันทรมานแค่ไหน’ ปานตะวันลูบใบหน้าตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน ‘ความเหงาที่ผ่านมามันทรมาน ตอนนี้คำโกหกก็ทรมานกู...แต่มันยังสวยงามกว่าความจริงที่ว่าบนโลกนี้ไม่มีใครรักกูเลยสักคนเดียวมากนัก’
   
       กอดตัวเองไม่เคยอุ่น...มันทรมาน
   
       ดังนั้นปานตะวันจึงยินยอมจะอยู่ในอ้อมกอดของธีร์ต่อไป แม้เขาจะรู้ว่าทุกสิ่งเป็นแค่ภาพลวงตาก็ตาม
   
        บทสนทนาในวันนั้นติดอยู่ในใจชนกันต์มาโดยตลอด แม้จะหงุดหงิดและโมโหมากแค่ไหนเขาก็ยังทนอยู่ ในเมื่อเขาทั้งด่าทั้งเตือนแต่ปานตะวันไม่เลือกเดินออกมาเองเขาจะทำอะไรได้
   
        จนในที่สุดเหตุการณ์ที่นำไปสู่การแตกหักก็มาถึง
   
         ชนกันต์เป็นคนรับปานตะวันที่มีสภาพเหมือนแมวจรจัดกลับเข้าบ้าน ให้ข้าวให้น้ำ แล้วก็ให้ความรักกับมัน...มิตรภาพของพวกเขาจึงลึกซึ้งกว่าที่คนภายนอกเห็นมากนัก
   
        ติ๊ง!
   
        นั่น พอนึกถึงก็ส่งข้อความมาเลย ตายยากชะมัด
   
       Pantawan : อยากกินส้ม แวะซื้อส้มมาให้ด้วย 19:20 PM
   
        คุณกันต์เอง : ครับๆ 19:20 PM read
   
       Pantawan : จะถึงยัง? 19:20 PM
   
       คุณกันต์เอง : เพิ่งออกจากบ้านอ่ะ 19:21 PM read
   
       คุณกันต์เอง : สติ๊กเกอร์แลบลิ้นหัวเราะ 19:21 PM read
   
       Pantawan : ให้ไวเลย  19:21 PM
   
       ชนกันต์เดินไปที่รถ วางกล่องขนมและของฝากไว้ที่เบาะหลัง ชายหนุ่มฮัมเพลงคลอกับวิทยุเบาๆ ตอนที่ขับรถออกจากหมู่บ้านกันต์สังเกตว่ามีรถยนต์สีขาวคันหนึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากทางเข้านัก ชายหนุ่มมองผ่านไปครั้งหนึ่งแล้วก็ยักไหล่ ไม่ได้สนใจอะไรอีก
   
       หลังจากที่รถของกันต์ออกจากหมู่บ้านไปไม่นานนัก เจ้าของรถยนต์สีขาวที่นั่งนิ่งมานานก็ขยับกายแล้วขับรถยนต์ของตนตามไปห่างๆ
   
        ชายหนุ่มตามติดอีกฝ่ายมาสักพักแล้ว
   
        เขารู้ว่าชนกันต์กับปานตะวันยังติดต่อกันอยู่...แต่วันนั้นที่หอพักตอนเขาออกมาช้าไป กันต์กับปานตะวันก็ขับรถออกไปก่อน
   
        น่าเจ็บใจ คลาดกันไปอย่างน่าเจ็บใจที่สุด
   
        เขาไม่เจอปานตะวันอีกเลย คนคนนั้นเปลี่ยนเบอร์ เปลี่ยนที่อยู่ ไม่มีใครที่พอจะติดต่อได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกทางที่ค่อนข้างยุ่งยากคือตามสะกดรอยชนกันต์ เขาเฝ้ารออย่างอดทนและหวังว่าคนตรงหน้าจะพาเขาไปถึงตัวเป้าหมายได้ในที่สุด
   
        ปานตะวัน...ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อหาตัวนายให้เจอ นายหลบฉันไม่ได้ตลอดไปหรอก
   
        ไม่มีทาง
   
         ชนกันต์มาถึงร้านตอนสองทุ่ม ตอนที่เขาเข้าไปในร้านปานตะวันกำลังเช็ดโต๊ะอยู่ พอเห็นขันก็ตรงเอาผ้าไปเก็บแล้วก็ควักกระดาษจดกับปากกาออกมาจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อน
   
         “จะกินอะไรครับคุณลูกค้า”
   
       “หือ ทำไมกูรู้สึกว่าประโยคมึงมันแปลกๆ ว่ะ”
   
       “อย่ายืดยาดน่า”
   
        ชนกันต์กลอกตา ดีนะที่ตอนนี้ในร้านมีลูกค้าน้อย นอกจากเขาแล้วก็มีคู่ชายหญิงอีกคู่นั่งอยู่ในสุด คงไม่ได้ยินที่ปานตะวันพูด ไม่งั้น... “พูดแบบนี้กับลูกค้ามึงโดนเอาโพสต์ด่าลงเน็ตได้เลยนะ”
   
        ชนกันต์บ่นขณะวางถุงของฝากไว้ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “เอากะเพราไข่เยี่ยวม้าแล้วก็โค้กขวดหนึ่ง”
   
        “โอเค รอแป็บ”
   
        คนผมน้ำตาลเดินเอาเมนูไปส่งให้ในครัวแล้วก็กลับมาพร้อมแก้วใส่น้ำแข็งและขวดโค้ก ปานตะวันเทเครื่องดื่มใส่แก้วให้เขาจากนั้นก็หยิบถุงของฝากขึ้นมาดู
   
        “แม่กูฝากคุกกี้มาให้ด้วยแล้วเขาก็บอกว่าไปหากันบ้าง คิดถึง”
   
        “ขอบคุณคุณแม่ด้วยนะมึงแล้วก็เดี๋ยวว่างๆ กูแวะเข้าไป ไปได้เจอนานแล้ว คิดถึงเหมือนกัน”
   
         คุณแม่ของชนกันต์ใจดีกับเขามาก แม้จะเป็นคนเข้มงวดและระเบียบจัดนิดหน่อยแต่ก็รักและเป็นห่วงเขาไม่ต่างอะไรกับลูกแท้ๆ
   
        คุณแม่ของกันต์เป้นอีกคนหนึ่งที่ช่วยให้เขาผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาได้
   
        อดีตที่พักนี้กลับมาหลอกหลอนเขาบ่อยในความฝัน
   
        “ว่าแต่พักนี้มึงสบายดีไหม” ชนกันต์มองสีหน้าอิดโรยและใต้ตาดำคล้ำของปานตะวันด้วยความเป็นห่วง ฝ่ายตรงข้ามหลบตาเขา “ก็สบายดีแต่อ่านหนังสือหนักไปหน่อย”
   
        “โกหก”
   
        ไม่ต้องมีความสามารถอ่านใจชนกันต์ก็รู้ว่าปานตะวันโกหก จริงอยู่ที่ว่าพักหลังเขาเห็นท่าทางเหนื่อยล้าและขอบตาดำเป็นแพนด้าจากปานตะวันบ่อยๆ แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน ปกติถึงจะเหนื่อยหรืออดนอนแค่ไหนแต่แววตาของเพื่อนเขาก็จะยังคงสดใสและฉายประกายความสุขเสมอ
   
        แต่ครั้งนี้นัยน์ตาสีน้ำตาลของตะวันหม่นแสง กันต์มองเห็นแววความกลัวและความเจ็บปวดซุกซ่อนอยู่ในนั้น
   
       ปานตะวันกัดริมฝีปากเมื่อถูกจับได้ เขาก้มหน้าลง บีบมือของตัวเองและโยกตัวไปมาน้อยๆ เป็นอาการที่เจ้าตัวเผลอทำออกมาเวลามีเรื่องทุกข์ใจมากๆ
   
       “ตะวัน...ปานตะวัน”
   
        เสียงเรียกของชนกันต์ไกลออกไปทุกที ปานตะวันเหมือนหลุดออกจากห้วงเวลาปัจจุบันแล้วลอยละล่องไปในอดีต เสียงของเพื่อนที่เรียกชื่อเขาถูกแทนที่ด้วยเสียงของธีร์
   
        “ตะวัน”
   
        อย่านะ....อย่าเรียกชื่อนั้น ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากฟัง
   
        “ธีร์ชอบรอยยิ้มของตะวันจัง”
   
        เลิกพ่นคำโกหกออกมาสักที!
   
         “ตะวันรักธีร์ไหม”
   
        เกลียด...เกลียดจนอยากจะฆ่าให้ตาย หายไปสิ ช่วยหายตัวไปสักที ทำไมกัน...ทั้งที่ไม่ได้นึกถึงมานานขนาดนั้นแล้วแท้ๆ ทำไมถึงยังโผล่เข้ามาในหัวเขาอีก!
   
         ทำไมความเจ็บปวดถึงยังฝังแน่นอยู่แบบนี้กันนะ?

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
       “ธีร์รักตะวันนะ”
   
        รักเหรอ...
   
       “เชื่อใจกันหรือเปล่า”
   
        “กูเกลียดมึง”
   
       “ตะวัน!”
   
        เสียงทุ้มที่ตะคอกอยู่ตรงหูทำให้ปานตะวันสะดุ้ง ถูกกระชากกลับมาสู่โลกแห่งความจริง ปานตะวันหอบหายใจ ฝ่ามือเย็นเฉียบชื้นเหงื่อ เขามองไปรอบๆ อย่างงุนงงแล้วก็พบกับชนกันต์ที่ยืนค้ำหัวอยู่ด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
   
        “กันต์...มึงเป็นอะไร?”
   
        “กูต้องถามมึงมากกว่า” ชนกันต์กระชากเสียง ท่าทางกระวนกระวายกึ่งตกใจมากกว่าจะโกรธ “มึงเงียบไป ถามอะไรก็ไม่ตอบเอาแต่ก้มหน้าแล้วก็กัดเล็บ!”
   
        ปานตะวันชะงักก่อนจะก้มมองมือตัวเองทันที
   
       จริงด้วย เล็บของเขามีร่องรอยกัดจริงๆ
   
       ไม่เห็นรู้ตัวเลย...เมื่อกี้เขามัวแต่นึกถึง...ไม่สิ มันไม่เรียกนึกถึง เสียงในความทรงจำเหล่านั้นจู่ๆ ก็ดังขึ้นมาในหัวเขาเลยต่างหาก
   
       ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่
   
        ความจริงที่ว่าเขาหลุดจากการเป็นตัวเองไปชั่วครู่นั่นทำให้เขากลัวจนตัวสั่น
   
       ผู้ชายคนนั้นยังควบคุมเขาได้งั้นเหรอ ทำไมล่ะ ไม่นะ...ไม่เอา!
   
       “ตะวัน มึงโอเคนะ” ชนกันต์จับมือเพื่อนเอาไว้ มือของปานตะวันเย็นมากแล้วก็เกร็งมาก ท่าทางของอีกฝ่ายดูไม่ดีเลยจริงๆ
   
      “กู...”
   
       “มีอะไรอยากจะเล่าหรือเปล่า”
   
       “ไม่มี...อันที่จริงก็มี”
   
        ปานตะวันสูดลมหายใจเขาลึกๆ มือของเขาสั่นระริก แต่ตอนที่จะอ้าปากพูดนั้นเองพวกเขาสองคนก็ถูกขัดจังหวะโดยพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งที่นำกะเพราไข่เยี่ยวม้าของชนกันต์มาเสิร์ฟให้ เธอวางจานลงบนโต๊ะแล้วก็มองพวกเขาอย่างสงสัยแวบหนึ่งก่อนผละไป
   
       ปานตะวันมองตามหลังเพื่อนร่วมงานคนนั้นจนแน่ใจว่าเธอไปพ้นรัศมีการได้ยินแล้วเขาจึงหันกลับมาพูดสิ่งที่ค้างไว้ต่อ
   
       “พักนี้กูนอนไม่หลับ”
   
       ชนกันต์พยักหน้า เริ่มจ้วงข้าวในจานใส่ปาก ชายหนุ่มกินไปฟังเพื่อนเล่าไป
   
      “ฝันร้ายถึงเรื่องตอนอยู่กับธีร์บ่อยๆ”
   
      พักหลังมานี้ปานตะวันสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อยครั้ง ความทรงจำในอดีตวนกลับมาในรูปความฝัน บางครั้งก็ฝันเห็นตอนบอกรัก บางครั้งก็ฝันเห็นตอนจูบกัน บางครั้ง...ก็ฝันถึงช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ความเจ็บปวดในฝันสมจริงเหลือเกิน บางครั้งปานตะวันที่รู้สึกแย่มากจนนอนต่อไม่ลงก็จะลุกออกมาร้องไห้คนเดียว
   
       เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ปานตะวันกลัวช่วงเวลากลางคืน กลัวการนอนหลับ
   
        เวลาเดียวที่เขาสามารถพักผ่อนได้ดีที่สุดคือตอนที่ราเมศมาค้างด้วย แค่ได้กอดอีกฝ่ายไว้ ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นนั้นความกลัวและความหนักใจที่ทับถมมาหลายวันก็ดูจะมลายหายไป
   
       แต่ราเมศก็ไม่ได้มาค้างทุกวัน ปานตะวันรู้ว่าแค่เขาเอ่ยปากขอร้องอีกฝ่ายก็จะต้องมาแน่นอน แต่เขากลัว...ว่าถ้าคืนไหนเขาฝันร้ายจนเผลอกรีดร้องหรือละเมอออกมา ราเมศจะล่วงรู้ถึงความลับของเขา
   
       แค่คิด...หัวใจก็บีบรัดอย่างเจ็บปวดแล้ว
   
       “ไปหาหมอไหมมึง กูว่าอาการมึงไม่ดีแล้วนะ ถ้าพักผ่อนไม่เพียงพอแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ร่างกายมึงจะรับไม่ไหว”
   
       “กูรู้แต่...”
   
        แต่ถ้าเขากลับไปหาหมอตอนนี้ก็เท่ากับยอมรับว่าผู้ชายคนนั้นยังมีอิทธิพลต่อตัวเขาอยู่...ปานตะวันไม่อยากยอมรับ เขาแสร้งทำเป็นเข้มแข็งมาตลอด แกล้งทำเป็นว่าตัวเองไม่เคยมีบาดแผลใดๆ ทั้งสิ้น แต่ความรู้สึกของเขาบ่งบอกว่าปราการที่เขาสร้างไว้กำลังพังทลาย ปานตะวันเกลียดการพ่ายแพ้...โดยเฉพาะการแพ้ให้กับผู้ชายคนนั้น
   
       “ไม่มีอะไรมากหรอกมึง ก็แค่ความกลัวเฉยๆ น่ะ เดี๋ยวพอนานไปก็หายเอง”
   
       ชนกันต์มีสีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน
   
       “แล้วได้บอกพี่เมศหรือเปล่า”
   
       “บอก...แต่ไม่ทั้งหมด” ปานตะวันยกมือลูบหน้าด้วยท่าทางอ่อนล้า “เขารู้แค่ว่ากูเป็นเด็กใจแตก ติดเหล้า ติดแฟนจนทำชีวิตตัวเองพังแค่นั้น” ริมฝีปากได้รูปเผยอขึ้น ปานตะวันนิ่งไปชั่วอึดใจแล้วก็เปล่งเสียงออกมา “เขายังไม่รู้ส่วนที่เลวร้ายที่สุด”
   
       “งั้นเหรอ”
   
       “ไม่ต้องรู้แหละดีแล้ว ไม่ต้องรู้อะไรทั้งนั้น”
   
       “กูว่าทางที่ดีมึงควรบอกพี่เขานะ ให้รู้จากปากมึงดีกว่าไปรู้เอง”
   
        ชนกันต์กำลังจะพูดต่อแต่ก็หยุดทันเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อน ปานตะวันในตอนนี้ดูอ่อนแอจนไม่น่าเชื่อ เหมือนแก้วที่กำลังจะแตกสลายอย่างไรอย่างนั้น ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มร่างสูงเงียบปาก
   
        สภาพจิตใจของปานตะวันในตอนนี้เหมือนกับปราสาทที่สร้างจากไพ่ ฐานเริ่มไม่มั่นคง ปราสาทบอบบางทั้งหลังก็เริ่มง่อนแง่น
   
        ถ้าดึงไพ่ที่ใช้เป็นฐานออกหรือแตะผิดใบแล้วล่ะก็...ปราสาททั้งหลังต้องพังลงมาแน่ๆ
   
        แล้วหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อ เขาไม่อยากคิดเลยจริงๆ
   
        เพราะเพื่อนรักแสดงอาการว่าไม่อยากคุยถึงหัวข้อนี้แล้วชนกันต์เลยเปลี่ยนเรื่อง เขาพูดไปกินไปลอบสังเกตท่าทางเพื่อนไป ปานตะวันอือออรับคำบ้าง แต่ดูท่าแล้วคงไม่ได้ฟังมากกว่า สุดท้ายชายหนุ่มเลยหยุดพูด นั่งกินข้าวไปเรื่อยๆ จนหมดจาน
   
        “อิ่มแล้วเหรอ”
   
         เมื่อเขารวบช้อน คนฝั่งตรงข้ามที่นั่งนิ่งเป็นหุ่นมานานก็ขยับตัว หยิบชามและแก้วน้ำของเขาไปเก็บจากนั้นก็เอาผ้ามาเช็ดโต๊ะให้
   
        “จะกลับหรือยัง”
   
        “อื้ม จะกลับแล้วล่ะ”กันต์ว่าพลางพลิกดูนาฬิกา ใกล้จะสองทุ่มครึ่งแล้ว ในร้านไม่มีลูกค้าเหลืออยู่เลยยกเว้นเขา
   
        “งั้นเดี๋ยวกูไปส่งที่รถ”
   
        ปานตะวันรับเงินมาจากเพื่อนแล้วเอาไปให้ที่เคาน์เตอร์เก็บเงิน ชายหนุ่มมองเห็นหนูเจียฟุบหลับอยู่บนสมุดนิทาน ปานตะวันเดินอ้อมไปฉีดสเปรย์กันยุงลงที่ขาหลานชายแล้วก็จูบพวงแก้มนุ่มหยุ่นไปหนึ่งที
   
         เมื่อคิดเงินเสร็จเรียบร้อยปานตะวันก็เดินไปส่งชนกันต์ที่รถ ก่อนจากกันเพื่อนเขาก็วางมือแหมะลงบนหัวแล้วก็ขยี้ผมของเขาเบาๆ
   
        “มีอะไรโทรหากูเข้าใจนะ แล้วก็พี่เมศน่ะมึงวางใจเขาได้นะตะวัน ไม่สบายใจก็ปรึกษาเขาเถอะ พี่เขาเป็นคนในครอบครัวไม่ใช่เหรอ”
   
        “ครอบครัว...”
   
        ปานตะวันเอ่ยทวน นัยน์ตากลมกะพริบปริบๆ คล้ายคนเพิ่งมีสติรู้ตัว   
   
        “ใช่”
   
        “เพราะเป็นครอบครัวไง...กูถึงไม่อยากให้เขาเจ็บปวดเพราะกู ผลจากการกระทำโง่ๆ ตอนนั้น ให้มีกูคนเดียวที่รับมันไว้ก็พอแล้ว”
   
        ปานตะวันผลักเพื่อนไปที่รถเบาๆ “มึงไปเถอะ ถึงบ้านแล้วบอกด้วย ขับรถดีๆ นะ”
   
        ชนกันต์ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ยินยอมล่าถอย เขารู้สึกพ่ายแพ้ชอบกล
   
        “อืม บายมึง”
   
        “บาย”
   
       เมื่อรถของชนกันต์เคลื่อนออกไปชายหนุ่มผมน้ำตาลก็กลับเข้าไปด้านในเพื่อช่วยคนอื่นปิดร้าน วันนี้ตะวันเป็นเวรทิ้งขยะ เขาเลยหอบเอาถุงดำใบใหญ่ออกจากร้าน เดินเลยไปหน่อยก็จะมีถังขยะใบใหญ่ตั้งไว้ ปานตะวันมัดปากถุงให้เรียบร้อยแล้วก็ทิ้งขยะลงในถัง เขาปัดมือตัวเองสองสามทีแล้วก็เดินกลับไปที่ร้าน ทันใดนั้นเองที่เขาเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนเงยหน้ามองป้ายชื่อร้านอยู่
   
       คิ้วเรียวขมวดมุ่น แสงไฟในร้านดับลงเกือบหมดแล้วแถมป้าย Close ก็ถูกนำมาแขวนเรียบร้อย เขาน่าจะรู้สิว่าร้านปิดแล้ว แต่ทำไมถึงยังยืนนิ่งอยู่แบบนั้นนะ   
   
       “ขอโทษนะครับคุณแต่ว่าร้านอาหารของเราปิดแล้วครับ ไม่ทราบว่าคุณมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า”
   
        ปานตะวันตัดสินใจส่งเสียงทักออกไป
   
        ชายคนนั้นไหวไหล่เล็กน้อย เขายังยืนนิ่งอยู่กับที่ก่อนจะค่อยๆ หันกลับมา...แม้ว่าความมืดจะทำให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มไม่ชัดแต่ปานตะวันแน่ใจว่าเขาไม่มีทางจำคนผิด
   
        ใบหน้าคุ้นเคยที่เห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อชายคนนั้นก้าวเข้ามาใกล้ ปานตะวันเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ร่างกายนิ่งค้างราวถูกสาป ชายหนุ่มขยับเท้าถอยหลังแต่ก็หนีไม่พ้นแขนยาวที่คว้าเขาไปไว้ในอ้อมกอด ปานตะวันได้กลิ่นคล้ายน้ำหอมฉุนจมูกจากอีกฝ่าย ลมหายใจอุ่นรินรดอยู่ข้างหูและน้ำเสียงคุ้นเคยที่กระซิบว่า
   
        “ธีร์คิดถึงตะวันจัง”
   
         ประโยคนั้นราวกับลูกระเบิดที่โยนลงกลางใจ ปานตะวันหอบหายใจถี่รัวแต่สิ่งที่ทะลักทลายในอกไม่ใช่ความรัก...
   
        หากแต่เป็นความเกลียดชังและความกลัว
   
        “ปล่อยกู!”
   
        ร่างโปร่งผลักอีกฝ่ายออก แรงที่ไม่น้อยทำให้ธีร์ถึงกับเซถลา ถ้าปานตะวันไม่ได้ตาฝาดเขาเห็นแววโกรธขึ้งผุดขึ้นบนดวงหน้านั้นแต่เพียงพริบตาเดียวก็หายไป
   
        “ตะวัน ธีร์ขอโทษ มันไม่แปลกที่ตะวันจะโกรธธีร์แต่ธีร์ขอโอกาสอธิบายได้ไหม”
   
        “อธิบาย?” ปานตะวันริมฝีปากสั่นระริก “กับเรื่องเหี้ยๆ ที่มึงทำทั้งหมดนั่นน่ะเหรอ”
   
        “ใช่...ธีร์กลับมาขอโอกาส มาขออธิบายให้ตะวันเข้าใจว่าเรื่องวันนั้นธีร์ไม่ได้ตั้งใจ ธีร์...ธีร์ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้น ธีร์เสียใจจริงๆ ตะวันยกโทษให้ธีร์ได้ไหม” ถ้าธีร์เป็นนักแสดงปานตะวันคงมอบออสการ์ให้เพราะอีกฝ่ายช่างดูอินกับบทที่ตัวเองเล่นเหลือเกิน หน้ากากสำนึกเสียใจที่เลือกมาสวมก็ดูเนียนดี แต่ปานตะวันเคยเผชิญกับธาตุแท้อันต่ำตมของผู้ชายคนนี้มาแล้ว เขาจึงไม่เชื่อสิ่งที่อีกฝ่ายพูดหรือแสดงเลยสักอย่าง
   
        “ธีร์ยังรักตะวันอยู่นะ”
   
        รัก? คำนี้อีกแล้วเหรอ
   
        ปานตะวันยืนนิ่ง คนรักเก่าที่เห็นเช่นนั้นก็นึกว่าเขาใจอ่อนแล้วจึงยิ้มหวานแล้วเดินเข้ามาใกล้ ลูบแก้มแล้วสวมกอดเขาอย่างแผ่วเบา
   
        “ตะวันก็ยังรักธีร์อยู่ใช่ไหมล่ะ ธีร์ขอโทษ ธีร์สำนึกผิดแล้ว เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะครับ”
   
        ริมฝีปากของปานตะวันเหยียดออกเป็นรอยยิ้มบิดเบี้ยว “รัก?” ชายหนุ่มพ่นคำๆ นั้นออกมาราวกับมันเป็นคำหยาบคายบาดลิ้น น้ำเสียงของปานตะวันขึ้นจมูกและเย็นชา “ไปเอาความมั่นหน้านั้นมาจากไหนไม่ทราบ แล้วก็อย่ามาแตะตัวกู”
   
         ปึก
   
        ร่างสูงของแฟนเก่าถูกปานตะวันผลักออกเป็นรอบที่สองแถมคราวนี้คนผมน้ำตาลยังกระแทกกำปั้นเข้าที่แก้มของอีกฝ่ายไปหนักๆ หนึ่งที
   
        “ขยะแขยง”
   
        จริงๆ ก็อยากจะตามไปซ้ำมากกว่านี้แต่ปานตะวันรู้สึกหมดแรงขึ้นมา ร่างกายของเขาสั่นระริก ไม่ได้พูดเล่นนะที่ว่าขยะแขยง แค่เห็นหน้าไอ้หมอนี่ชายหนุ่มก็อยากจะหันไปโก่งคออ้วกแล้ว
   
        “ตะวัน...ทำไม”
   
        “รักกูเหรอธีร์? หรือว่ารักเงินของกู? ไม่มีผู้หญิงหรือผู้ชายคนอื่นให้เกาะแล้วล่ะสิถึงซมซานกลับมา” ปานตะวันแค่นหัวเราะ “บอกไว้ก่อนนะว่าตอนนี้กูก็ไม่มีเงินเหมือนกัน ไม่มีอะไรให้มึงปอกลอกแล้วล่ะ แต่ถึงมีก็ไม่ให้ ชีวิตกูดีแล้วที่ไม่มีมึง พูดขนาดนี้ก็รีบๆ ไสหัวไปสักที”
   
        สีหน้าตกใจของธีร์ทำให้ปานตะวันรู้สึกสะใจ อีกฝ่ายเคยชินกับเขาในโหมดว่าง่าย พูดคำไหนก็ทำตามมาตลอด นึกๆ ดูแล้วมันก็เลี้ยงเขาไว้จนเชื่องเหมือนหมาโง่ๆ หนึ่งตัวไม่มีผิด
   
        “อย่ามายุ่งกับกู อย่ามายุ่งกับคนรอบตัวกู ไปให้พ้นๆ จะไปตายที่ไหนก็ไป!”
   
        “ตะวัน ธีร์ขอโอกาสนะ แค่อีกครั้งเดียว ขอให้ธีร์พิสูจน์ตัวเองนะ”
   
        ปานตะวันก้าวถอยหลัง ตอนนี้เขาอยากหายตัวไปจากที่นี่ใจจะขาด ถึงภายนอกจะพูดจาด้วยถ้อยคำร้ายกาจและแสร้งทำเป็นเก่งมากแค่ไหนแต่เขารู้ดีว่าความอ่อนแอภายในมีมากกว่า ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกความกล้า
   
        ธีร์เขยิบมาใกล้หนึ่งก้าว ปานตะวันก็ถอยไปหนึ่งก้าว
   
        “ตะวันก็รู้ว่าไม่มีใครรักตะวันเท่ากับธีร์แล้ว ตะวันก็พูดเองด้วยนี่ว่าหาแฟนแบบธีร์ไม่ได้อีกแล้ว”
   
       “ไม่มีใครรักกูเท่ามึง?” ปานตะวันถามเสียงสูง ไหนจะพูดอีกว่าหาคนดีกว่านี้ไม่ได้
   
       ตอนที่เขายังเยาว์กว่านี้ โง่เขลากว่านี้ ปานตะวันก็คิดจริงๆ นั่นแหละ โลกทั้งใบของเขามีแค่ธีร์และปานตะวันในตอนนั้นก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร แต่เมื่อมองย้อนกลับไปจากจุดที่เขายืนอยู่ชายหนุ่มก็ได้พบว่าโลกของตนนั้นแคบเพียงใด
   
       เขามาไกลทีเดียวและจะไม่หวนกลับไปอยู่ในกรงคับแคบอีก
   
       “คนที่รักกูมากกว่ามึงมีเยอะแยะไป...และกูหาพวกเขาเจอแล้ว”
   
       ความรักของธีร์เทียบกับราเมศและหนูเจียไม่ได้ด้วยซ้ำ เทียบกับกันต์ไม่ได้ ไม่น่าเสียเวลากับคนแบบนี้เลยจริงๆ
   
       “ลาก่อน อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลยนะ”
   
         “เดี๋ยวตะวัน!”
   
       ธีร์ทำท่าจะตรงเข้ามาคว้าแขนปานตะวันไว้แต่เขาก็ต้องถอยไปเมื่อร่างสูงใหญ่ของราเมศโผล่เข้ามาขวางหน้า สีหน้าถมึงทึงของชายหนุ่มทำให้ธีร์ชะงัก ร่างกายของอีกฝ่ายก็ใหญ่กว่าและสูงกว่าหนุ่มหัวเกรียนเลยจำต้องก้าวถอยหลังด้วยท่าทางไม่เต็มใจ
   
        “คุณลูกค้า” ราเมศเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ร้านของเราปิดแล้วครับ”
   
        “มึงเป็นใคร ถอยไป!”
   
        คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ ราเมศเห็นธีร์กับปานตะวันยืนเถียงกันอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ตอนแรกเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายเป็นลูกค้าธรรมดาเลยไม่ได้ออกมาพูดอะไร แต่เมื่อผ่านไปเกือบสิบห้านาทีคนทั้งคู่ก็ยังคุยกันไม่เสร็จแถมสีหน้าปานตะวันก็ดูแย่ลงเรื่อยๆ ชายหนุ่มเลยออกมาจัดการด้วยตัวเอง
   
        นัยน์ตาสีนิลเหลือบไปด้านหลังก็พบว่าปานตะวันยืนหลบอยู่ด้วยสีหน้าโล่งใจ
   
        “ผมเป็นเจ้าของร้าน ขอโทษด้วยนะครับแต่ตอนนี้ร้านเราปิดแล้ว”
   
        นัยน์ตาตี่ๆ ของธีร์ฉายประกายเกรี้ยวกราด ชายหนุ่มตะคอกเสียงดัง “แล้วใครสนว่าร้านมึงปิดหรือเปิด! กูจะคุยกับปานตะวัน ให้เขามาคุยกูเดี๋ยวนี้”
   
        กับปานตะวัน? พูดเหมือนรู้จักกันมาก่อนเลยแฮะ
   
        ราเมศเก็บความสงสัยไว้ในใจ ตอนนี้เขาต้องไล่ผู้ชายคนนี้ออกไปให้พ้นร้านให้ได้ก่อน “คุณครับ ขอโทษด้วยแต่ตะวันคงไม่อยากคุยกับคุณสักเท่าไหร่ ใช่ไหมตะวัน”
   
       ประโยคท้ายหันไปพูดกับปานตะวัน คนผมน้ำตาลพยักหน้า ราเมศหันกลับมามองธีร์ด้วยสีหน้านิ่งเฉยหากดวงตากลับสื่อความว่า ‘เห็นไหมล่ะ’
   
       “แล้วรู้จักกันเหรอ” ราเมศเอ่ยถามอีก ปานตะวันเม้มริมฝีปากแล้วก็พูดว่า “ก็ไม่เชิงรู้จักครับ”
   
       “ถ้าอย่างนั้นเป็นอะไรกัน”
   
      นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมามองแวบหนึ่งแล้วก็หลบไป ปานตะวันเบียดตัวเข้าหาราเมศ สองมือกำเสื้อชายหนุ่มแน่นคล้ายจะยึดเป็นที่พึ่ง
   
       “ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว แค่คนแปลกหน้า”
   
       เท่านั้นเอง

****************************************************

จู่ๆ เนื้อเพลงท่อนหนึ่งก็แวบขึ้นมา Said that we're not lovers, we're just strangers
สงสารตะวันเหมือนกัน น้องดูเหมือนจะรับไม่ไหวมากขึ้นทุกที แถมธีร์ยังเป็นคนกุมความลับของปานตะวันไว้อีก
จากตรงนี้เราจะเห็นกันแล้วว่าธีร์มีผลกระทบในแง่ลบกับปานตะวันหนักมาก แถมยังตื๊ออีก
:hao5: ตอนนี้สภาพจิตใจปานตะวันถือได้ค่อนข้างเปราะบางทีเดียว ปานตะวันจะเป็นยังไง ธีร์จะมาไม้ไหน
แล้วเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปติดตามได้ตอนหน้านะคะ อาจจะอัพวันศุกร์ไม่ก็เสาร์นี้ ช่วงนี้ก็จะขยันหน่อยๆ
ฮาาาา ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ พบกันใหม่ตอนต่อไปค่า

ปล. ทุกคนสามารถพูดคุย ติดตามข่าวสารนิยายกับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ จุ๊บๆ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ต้องประมาณว่าเอาตะวันไปขายแทนการใช้หนี้แน่เลย
สงสารตะวันนะ แต่บอกพี่เมศเถอะ เราเชื่อว่าพี่ต้องเขาใจ ตะวันเครียดจนใกล้บ้าเข้าไปทุกที

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ตะวันของพี่! ฮรือออ ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง ไม่ต้องคิดมากนะ ไม่ต้องกลัวนะ
ลืมๆมันไปเลย ไม่ต้องไปคิดถึงมัน ไม่ต้องไปกลัว ไม่ต้องไปสนใจ!!!
ตะวันมีพี่เมศ มีหนูเจีย มีกันต์อยู่ ทุกคนรักตะวันหมดเลยยย

ธีร์แม่งงงง ออกไปไกลๆตะวันเลย อย่ามาใกล้น้องนะ!!
 :m31:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ตะวันเข้มแข็งนะครับ  พี่เมศจะช่วยให้ผ่านพ้นไปได้จ้า

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
อย่าบอกนะว่าไอ้ชั่วนั่นขายตะวันใช้หนี้อ่ะ ถ้าใช่ก็โคตรชั่วเลยอ่ะ ดีแล้วที่ตะวันรอดจากคนแบบนี้มาได้ แล้วนี่จะกลับมาอีกทำไม ไปแล้วทำไมไม่ไปลับยังจะกลับอีกทำไม ตะวันบอกพี่เมศเถอะเราว่าพี่เมศรับได้นะ แต่ถ้าตะวันไม่บอกเราว่าพี่เมศมีโกรธและน้อยใจแน่ๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
กลั้นหายใจอ่านเลย

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Pisoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สงสารตะวัน ธีจะไปตายที่ไหนก็ไปเลย  :katai4: //อินมากกกก

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
สงสารตะวัน มีอะไรคุยกับพี่เมศนะ อย่าเก็บไว้คนเดียว

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ดราม่าเบอร์ไหน จะได้เตรียมใจถูก งื้อออ

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
สงสารตะวัน :m15:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
สงสารตะวันจัง :mew2:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ตะวันนนน บอกพี่เมศดีกว่า อย่าจัดการด้วยตัวเอง

สู้ ๆ น้าาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
ตะวัน สู้ สู้ พี่เมศ หนูเจีย อยู่ข้างๆตะวันนะ   :m15:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๒๔
รอยแผล


         มื้อค่ำระหว่างราเมศกับปานตะวันคืนนี้เงียบเป็นพิเศษเพราะคนที่มักจะเล่านู้นเล่านี้ด้วยน้ำเสียงร่าเริงเสมอวันนี้กลับเงียบขรึม ก้มหน้าก้มตาทานข้าวและเหม่อลอยคล้ายตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง เมื่อทานอาหารเสร็จราเมศก็เป็นฝ่ายเก็บล้าง เขาไล่ปานตะวันไปอาบน้ำและอุ้มหลานชายที่หลับพับคาโซฟาให้เข้านอน
   
        หลังล้างจานเสร็จราเมศก็ตั้งใจว่ากลับบ้านแต่พอคิดถึงท่าทีแปลกๆ ของปานตะวันแล้วเขาก็เปลี่ยนใจค้างที่บ้านเรือนไทย
   
        ดูท่าแล้วคืนนี้พวกเขาคงมีเรื่องคุยกันเยอะทีเดียว
   
        ราเมศพอจะมองออกว่าผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นรู้จักกับปานตะวันและมีเรื่องต้องคุยกัน ท่าทางดึงดันจะเข้าหาทำให้รู้ว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ปานตะวันดูไม่อยากคุยด้วยสักเท่าไหร่ ตอนแรกราเมศตั้งข้อสันนิษฐานว่าเป็นเพื่อนแต่ท่าทางของผู้ชายคนนั้นดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่
   
        เจ้าหนี้หรือ? แต่ชนกันต์เคยบอกว่าเขาช่วยเคลียร์หนี้ให้ตะวันหมดแล้วนี่นา
   
        เด็กน้อยของเขาเองก็ไม่ได้ไปสร้างหนี้สินอะไรเพิ่มแล้วด้วย
   
        ชายหนุ่มขมวดคิ้ว สมองอันชาญฉลาดเริ่มโยงเหตุผลต่างๆ เข้าด้วยกันทีละเล็กทีละน้อยจนในที่สุดก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าจะเข้าเค้าที่สุดออกมา
   
        แฟนเก่า
   
        ราเมศคิดว่าตัวเลือกนี้มีความเป็นไปได้ที่สุด
   
        ปานตะวันหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงแฟนเก่ามาตลอด มันเป็นหัวข้อเปราะบางที่เจ้าตัวรวมถึงคนใกล้ชิดหลีกเลี่ยง ถ้าราเมศจำไม่ผิดปานตะวันเล่าว่าอีกฝ่ายไปสร้างหนี้สินไว้จำนวนมากแล้วก็หนีหายไปโดยทิ้งปานตะวันเอาไว้คนเดียว เจอแบบนี้เป็นใครก็คงจะเกลียด
   
        แต่ท่าทางของปานตะวันมันมากกว่าความเกลียด คนปกติธรรมดาถ้าอยู่ในอารมณ์เกลียดแฟนเก่าอย่างมากก็จะด่าหรือทำเป็นเมินไปเสีย
   
        แต่ของปานตะวันมันคือการที่ไม่อยากมองหน้า ไม่อยากได้ยินเสียง ท่าทางยามเผชิญหน้ากันก็ดูเกร็งจนน่าประหลาด แววตาคู่นั้นบอกชัดถึงความตระหนก
   
        เกลียดจนถึงขั้นกลัวผสมปนเปไปกับความโกรธแค้น
   
        นี่เป็นครั้งแรกที่ราเมศเห็นปานตะวันมีอารมณ์ด้านลบรุนแรงถึงขนาดนี้
   
         แผลใจของเด็กคนนั้นต้องลึกสักแค่ไหนกันนะ? แล้วเรื่องในอดีตเป็นมาอย่างไร ตะวันต้องการความช่วยเหลือจากเขาหรือเปล่า เรื่องพวกนี้มานั่งคิดเองเออเองไปก็ไม่ช่วยอะไร สิ่งเดียวที่ทำได้คือเปิดอกคุยกันตรงๆ เท่านั้น
   
         คิดได้ดังนั้นราเมศจึงเดินตรงไปที่ห้องนอน เขาคิดว่าปานตะวันคงนอนเฝ้าเจียหลินอยู่ แต่เมื่อแง้มประตูดูก็พบหลานชายตัวน้อยนอนหลับอยู่บนเตียงคนเดียว ไร้เงาของน้าชายอย่างที่คิดไว้ ราเมศขมวดคิ้วก่อนจะเดินไปดูที่ห้องน้ำก็ไม่พบ
   
        งั้นก็เหลือแค่ที่เดียวที่น่าจะไป
   
        ชานระเบียงกว้างส่องสว่างจากหลอดไฟที่เปิดไว้ สายลมยามค่ำคืนหอบเอากลิ่นดอกราตรีโชยมาให้ชื่นใจ ปานตะวันนั่งอยู่คนเดียวบนระเบียงกว้าง แผ่นหลังและไหล่ที่เคยเหยียดตรงบัดนี้ลู่ลงราวกับเจ้าของมันแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ
   
        “ขอนั่งด้วยได้ไหม” เสียงทุ้มของราเมศที่จู่ๆ ก็ดังผ่านความเงียบทำให้คนที่นั่งทอดอารมณ์อยู่ถึงกับสะดุ้ง ปานตะวันหันมามองเขาแวบหนึ่งแล้วก็พยักหน้า ราเมศทรุดตัวลงนั่งข้างๆ คนรัก เขาจำได้ว่าที่นี่เคยเป็นที่ที่เขากับปานตะวันออกมายืนดื่มเบียร์แล้วก็ดูพระจันทร์ด้วยกัน
   
       ชายหนุ่มแหงนหน้ามองฟ้า วันนี้เมฆครึ้ม ท้องฟ้ามืดสนิท ไร้แสงจันทร์และแสงดาว
   
       “ออกมานั่งทำอะไรตรงนี้” ปานตะวันยังไม่ได้ตอบในทันที อีกฝ่ายเหม่อลอยอยู่พักหนึ่งถึงตอบกลับมาว่า “มานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะครับ”
   
       “เกี่ยวกับเรื่องของผู้ชายที่มาหาที่ร้านเหรอ”
   
        ราเมศไม่ใช่พวกอ้อมค้อม เขาถามเข้าประเด็นทันที ปานตะวันเองก็คิดไว้อยู่แล้วว่าคงถึงเวลาต้องคุยกันเลยออกมานั่งเตรียมใจแล้วก็คิดหาคำตอบดีๆ ให้ราเมศ แต่ไม่รู้ทำไมยามนี้ถึงได้เกิดกลัวขึ้นมา
   
        “ก็...ใช่ครับ”
   
        คนรักของเขาก้มหน้า ดวงตาหลุบต่ำทำให้ไม่เห็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน แต่ถึงไม่เห็นราเมศก็รู้ว่าปานตะวันใช้ความพยายามมากจริงๆ กับการพูดเรื่องนี้
   
        ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งดึงคนรักให้ขยับมานั่งใกล้กันอย่างนุ่มนวล ปานตะวันทิ้งพิงแผ่นอกกว้าง พอได้อยู่ในอ้อมกอดที่คุ้นเคยหัวใจก็สงบลง
   
        “ผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนเก่าใช่หรือเปล่า”
   
        ร่างในอ้อมกอดเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย ปานตะวันสูดลมหายใจเข้าก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า “ใช่ครับ”
   
        “คนที่บอกว่าสร้างหนี้ไว้แล้วก็หนีหายไปใช่ไหม”
   
        “ครับ”
   
        ปานตะวันพลิกตัว วาดแขนกอดรอบเอวสอบแล้วก็ซุกหน้าลงกับอกราเมศ คนรักเองก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะเขาโดยอัตโนมัติ
   
        “เขาอยากกลับมาคืนดีเหรอ”
   
       “อื้ม”
   
       เดาไว้ไม่ผิดเลยจริงๆ ราเมศพ่นลมหายใจออกมาพลางกระชับร่างในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น “แล้วตอบไปว่ายังไง”
   
       “ก็ต้องไม่ตกลงอยู่แล้วสิ”
   
        เจ้าลูกแมวแสบดูฉุนเล็กน้อย เงยหน้ามาสบตาเขาด้วยดวงตากลมโตวาววับ “ใครจะอยากกลับไปหาคนแบบนั้น ถามแบบนี้หมายความว่าไง ไม่เชื่อใจตะวันเหรอ”
   
        “เปล่าสักหน่อย” ราเมศปลอบอย่างใจเย็น “แค่อยากรู้”
   
         พอได้ฟังคำตอบคนที่แยกเขี้ยวขู่ฟ่อในอ้อมแขนก็สงบลงเล็กน้อย ปานตะวันพึมพำว่าอ้อเสียงเบาแล้วก็ทิ้งตัวลงกอดเขาต่อ เริ่มเข้ามาออดอ้อนคลอเคลียอีกครั้ง
   
        “ปฏิเสธเด็ดขาดใช่ไหม”
   
       “ใช่สิ”
   
       “แล้วทำไมถึงยังไม่สบายใจอยู่อีก”
   
       “ก็ตะวันไม่อยากให้เขาเข้ามายุ่ง ไม่อยากให้เจอกับพี่เมศและหนูเจีย”
   
       ในที่สุดก็สามารถพูดออกไปจนได้ เขานึกถึงสิ่งที่ชนกันต์บอกเอาไว้ว่าให้พูดสิ่งที่อยู่ในใจกับพี่เมศ จะอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัวและมีแค่ปานตะวันที่อธิบายความในใจของตนได้ดีที่สุด
   
       “ไม่อยากให้เขามาเล่าว่าเมื่อก่อนตะวันนิสัยไม่ดีขนาดไหน ไม่อยากให้พวกพี่รู้ด้านแย่ๆ” ยิ่งพูดเสียงยิ่งแผ่วลง ปานตะวันกอดราเมศแน่นขึ้นราวกับกลัวว่าในนาทีใดนาทีหนึ่งเขาจะผลักตนออก “ตะวันอยากให้หนูเจียจำตะวันว่าเป็นน้าที่ใจดี ยิ้มเก่งแล้วก็รักหนูเจียมากๆ อยากให้พี่เมศจำตะวันในภาพของเด็กดีที่ตั้งใจทำงาน ตั้งใจเรียน ไม่ใช่เด็กที่มีแต่กลิ่นเหล้าทั้งตัว เอาแต่นอนอยู่ในห้องที่เกลื่อนด้วยขวดเหล้าแล้วก็...แล้วก็หลอกเอาเงินจากแม่ไปให้แฟน”
   
      “ตะวัน”
   
       “อย่าเกลียดตะวันเลยนะ...ฮึก...ขอโทษที่เป็นเด็กไม่ดี”
   
        ราเมศไม่รู้ว่าประโยคนั้นปานตะวันพูดกับใคร กับเขา...หรือกับตัวเอง
   
        ปานตะวันน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ใส่ใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ตัวของตะวันในอดีตจะเลวร้ายแค่ไหน เกเรอย่างไรราเมศไม่สนใจเพราะเขาไม่รู้จักปานตะวันคนนั้น เขารู้จักแต่เด็กตรงหน้าที่มีความพยายามล้นเหลือจนเขาหลงรักคนนี้เท่านั้น
   
       ราเมศเองก็มีอดีตที่ฝังใจ แต่เขาเลือกที่จะก้าวเดินต่อไปและเก็บอดีตนั้นไว้เป็นบทเรียน
   
        ปานตะวันเองก็คงพยายาม...แต่ส่วนหนึ่งของชายหนุ่มยังคงติดอยู่ตรงนั้น...จมอยู่ในอดีต ต้องทำยังไงถึงจะช่วยออกมาได้นะ
   
        “เมื่อก่อนตะวันก็เป็นเด็กไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ” ราเมศพูด ปานตะวันเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ “แต่เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน เกิดขึ้นแล้ว จบไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ที่สำคัญปานตะวันที่อยู่ตรงหน้าพี่ก็ไม่ใช่เด็กไม่ดีคนนั้นแต่เป็นปานตะวันคนใหม่ไม่ใช่เหรอ”
   
         อา...เจ้าลูกแมวน้ำตาร่วงผล็อยๆ แล้ว
   
        ราเมศทั้งสงสารทั้งเอ็นดู เขาเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
   
        “พี่ไม่สนใจหรอกว่าตะวันเมื่อก่อนจะเป็นยังไง ไม่ว่าแฟนเก่าคนนั้นจะเล่าอะไรมาพี่ก็รับได้ทั้งนั้นแหละ”
   
        “จริงเหรอครับ?”
   
        “จริงสิ”
   
        ปานตะวันเผยอริมฝีปากเหมือนจะพูดบางอย่างออกมาแต่ก็ไม่ได้พูด ชายหนุ่มกอดราเมศแน่นขึ้นแล้วก็เริ่มร้องไห้ จากเสียงสะอื้นแผ่วๆ ก็กลายเป็นหอบสะอื้นจะตัวโยน
   
        ตะวันขอโทษนะพี่เมศ ตะวันยังมีอีกเรื่องที่ไม่บอกพี่
   
         ถึงจะพูดว่ารับได้ก็เถอะ...แต่เรื่องนั้นมันมากเกินไป ตะวันไม่รู้ว่าพี่จะรับได้จริงๆ อย่างที่พูดไหม ตะวันขอโทษ ขอโทษจริงๆ เด็กไม่ดีคนนี้สำนึกผิดกับทุกอย่างที่ทำแล้ว
   
         ขอโทษ ขอโทษจริงๆ
   
         ขอโทษที่บอกไม่ได้ ตะวันไม่อยากให้อดีตของตะวันย้อนกลับมาทำร้ายพี่ ทำร้ายหนูเจีย
   
        ความผิดพลาดและผลที่ตามมา...ปานตะวันจะเป็นผู้รับมันไว้ทั้งหมดเอง
   
        “ฮึก...แค่กๆ”
   
        ปานตะวันร้องไห้จนสำลัก ไม่ได้ร้องจนหน้าดำหน้าแดงแบบนี้มานานแล้ว รู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกยังไงก็ไม่รู้
   
       “ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ” ราเมศลูบหลังคนรักไปพลางเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายไปพลาง เขาคิดไม่ผิดจริงๆ ถึงนิสัยจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้นแต่ปานตะวันก็ยังคงมีส่วนที่เป็นเด็กน้อยอยู่ด้วย มุมที่ขาดความรักและโหยหาการเอาใจใส่ มุมที่เอาแต่ใจและดื้อดึงเล็กๆ
   
        ปานตะวันเอาเสื้อเขามาเช็ดน้ำตาเฉยเลยแต่ราเมศก็แค่ยิ้มๆ
   
        ชายหนุ่มประคองแก้มคนรักแล้วก้มลงแตะริมฝีปากลงที่เปลือกตาทั้งสองข้างเป็นการปลอบประโลม
   
       ราเมศกอดปานตะวันนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งจนคนในอ้อมแขนหยุดร้องไห้เขาจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ดีขึ้นหรือยัง”
   
       “นิดหน่อยแล้วครับ” เสียงที่ตอบกลับมาอู้อี้ “ร้องไห้จนปวดตาไปหมดเลย”
   
       “งั้นกลับไปนอนไหม”
   
       ปานตะวันพยักหน้าแต่ยังไม่ยอมลุก ทำตัวเป็นลูกลิงให้ราเมศอุ้มกระเตงไปถึงห้อง
   
        “คืนนี้ค้างไหม” ปานตะวันคว้าชายเสื้อเขาไว้ตอนที่ราเมศปล่อยให้อีกฝ่ายลงยืน “ถ้าค้างผมจะได้ปูฟูก” ถึงจะถามคำถามให้เขาเป็นฝ่ายตัดสินใจแต่แววตาที่มองมากลับสื่อว่า ‘ค้างนะ ค้างที่นี่นะพี่เมศ นะๆๆๆ’
   
         ขนาดนี้แล้วราเมศจะไม่ตามใจอีกฝ่ายได้ยังไง
   
         “ค้าง เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อน”
   
        “อื้อ”
   
        ปานตะวันเดินไปหยิบฟูก หมอน และผ้าห่มออกมาจากตู้เก็บของในห้องส่วนราเมศก็ตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบชุดของตนออกมา เขามาค้างที่นี่บ่อยเสียจนในห้องน้ำมีแปรงสีฟันของเขาส่วนในตู้เสื้อผ้าของที่นี่ก็มีชุดของเขาเก็บอยู่ จะว่าไปพักหลังชีวิตเขาวนเวียนกับบ้านเรือนไทยมากกว่าบ้านตัวเองเสียอีก บางทีราเมศมาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเดือนเลยก็มี เขาจะกลับไปทำความสะอาดบ้านตัวเองช่วงเย็นๆ แล้วก็เดินกลับมา
   
       จริงๆ ก็แอบคิดนะว่าถ้าจะอยู่ที่นี่บ่อยกว่าอยู่บ้านตัวเองแบบนี้...บ้านหลังตรงข้ามก็น่าจะขายทิ้งไม่ก็ปล่อยให้เช่าไปเลย
   
       นี่ไม่ใช่หนแรกที่เขาคิดเรื่องย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านเรือนไทยแบบถาวรแต่เห็นปานตะวันไม่พูดอะไรราเมศเลยคิดว่าอีกฝ่ายสะดวกใจในแบบที่เป็นอยู่มากกว่าอยู่ตัวติดกันยี่สิบสี่ชั่วโมง
   
       “พี่เมศ”
   
       ราเมศสะดุ้งน้อยๆ พอได้ยินเสียงปานตะวันเขาถึงได้รู้ตัวว่าตนนั่งเหม่ออยู่หน้าตู้เสื้อผ้ามาตั้งนาน ปานตะวันตอนนี้ปูฟูกเสร็จแล้วและกำลังทำสีหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เช่นกัน
   
       “มีอะไรเหรอ”
   
       “พี่คิดว่า...” ปานตะวันเม้มริมฝีปาก ท่าทางลังเลอยู่นานก่อนจะเปล่งเสียงออกมาแผ่วเบา...แต่เพราะภายในห้องไม่มีเสียงใดนอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศราเมศจึงได้ยินชัดเจน “ห้องนี้แคบเกินไปสำหรับสามคนหรือเปล่า”
   
        ราเมศคงเผยสีหน้างุนงงออกไปชัดเจนปานตะวันเลยอธิบายเพิ่ม
   
        “ผมว่าห้องนี้อาจจะเล็กไปสำหรับสามคนก็ได้ นอนพื้นบ่อยๆ จะปวดหลังเอาใช่ไหมล่ะ ถ้าพี่เมศ...จะย้ายมาเราอาจจะต้องมีการปรับปรุงห้องนิดหน่อย” พูดจบปานตะวันก็หันไปสบตาคนรัก วิธีพูดของเขาเป็นการบอกใบ้กลายๆ ว่าอยากให้ราเมศย้ายมาอยู่ด้วยกัน ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวแล้วว่าจะตอบรับอย่างไร
   
        ราเมศนิ่งอยู่นานจนปานตะวันใจแป้ว
   
       “แต่ว่าถ้ามันไม่สะดวกก็ไม่...”
   
        “พี่คิดว่าถ้าอยากได้ห้องกว้างๆ เราน่าจะทุบห้องนอนแขกอีกสองห้องมารวมกัน” ราเมศพูดขัดปานตะวัน เป็นประโยคที่ทำให้คนฟังใจเต้นแรง “แต่พอโตแล้วเดี๋ยวหนูเจียก็ต้องแยกห้อง เก็บห้องนี้ไว้ให้เขาน่าจะดี ตอนนี้เรายังต้องนอนกับเขา พี่ว่าถ้าเราไม่อยากนอนพื้นก็ซื้อเตียงใหม่ก็ได้พื้นที่ในห้องจะลดลงแต่ว่าก็ไม่ได้ถึงขั้นทำอะไรไม่สะดวก”
   
        “อะ..อื้อ”
   
        “แล้วก็บ้านอีกหลังพี่ว่าจะปล่อยให้เช่า คงต้องรัดกุมเรื่องผู้เช่าหน่อยแต่ก็ดีกว่าปล่อยไว้เฉยๆ”
   
        ปานตะวันพยักหน้ารับ ในขณะที่ราเมศเริ่มพูดไปเรื่อยๆ ถึงแผนการใช้เงินในอนาคต การทำบัญชีครอบครัวและอื่นๆ อีกมากมาย ลามไปจนถึงค่าใช้จ่ายของเจียหลินตอนเข้ามหาลัย
   
        ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ปานตะวันรู้ว่าผู้ชายคนนี้วางแผนในการอยู่ร่วมกันมานานแล้ว
   
        “แล้วก็ต้องคิดเรื่องค่าเรียนพิเศษ...หือ...ตะวันเป็นอะไรหรือเปล่า” ราเมศเอ่ยอย่างแปลกใจเมื่อปานตะวันขยับมากอดเขาเอาไว้จากด้านหลัง หน้าผากมนซบลงที่แผ่นหลังกว้าง
   
        “เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไร” ปานตะวันพึมพำ
   
        “ก็แค่คิดว่า...ได้วางแผนอนาคตร่วมกันแบบนี้แล้วมันดีจริงๆ”
   
        ‘การวางแผนสำหรับอนาคต’ ราเมศพบว่าหัวข้อนี้มีประโยชน์มากกว่าที่เขาคิด การได้พูดมันออกไปทำให้เขาได้เข้ามาอยู่ในบ้านเรือนไทยร่วมกับสองน้าหลานอย่างเป็นทางการ ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านตัวเองกับบ้านเรือนไทยอีก และเพราะการย้ายบ้านค่อนข้างวุ่นวาย ปานตะวันกับราเมศตกลงกันว่าจะขนย้ายข้าวของกันเองทำให้กินเวลาและกินแรงค่อนข้างนาน รวมถึงหลังย้ายเข้ามาพวกเขาก็ต้องช่วยกันทำความสะอาดบ้านหลังเดิมของราเมศเพื่อเตรียมปล่อยให้เช่า เริ่มพูดคุยถึงการตกแต่งบ้านเรือนไทยใหม่ มีเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นที่ต้องซื้อเพิ่ม จัดการสวนแล้วก็พูดคุยเรื่องการเก็บเงินก้อนหนึ่งไว้ให้หนูเจีย
   
        เรื่องมากมายที่มีให้จัดการในช่วงนี้ทำให้ปานตะวันเลิกคิดเรื่องแฟนเก่าที่ราเมศมารู้เอาทีหลังว่าชื่อธีร์ไปได้ ตัวเขาถูกหัวข้อการย้ายบ้านเบี่ยงเบนความสนใจไปอย่างสมบูรณ์ พอเลิกกังวลสุขภาพจิตก็ดีขึ้น ชนกันต์ที่แวะมาหายังมาแอบกระซิบกับราเมศว่าช่วงนี้สีหน้าท่าทางของปานตะวันดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
   
        ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้คนดีใจที่สุดก็ย่อมไม่พ้นตัวราเมศเอง พอถึงช่วงวันเสาร์ที่ปานตะวันได้หยุดชายหนุ่มจึงพาคนรักไปเดินห้างเพื่อซื้อของเข้าบ้านต่อจากนั้นก็แวะไปดูเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติมอีกเล็กน้อย
   
        “พี่เมศ ตู้แบบนี้ดีไหม”
   
        ปานตะวันที่กำลังจดๆ จ้องๆ ตู้ไม้ใบหนึ่งส่งเสียงเรียกราเมศ  ชายหนุ่มที่ยืนมองลิ้นชักสีฟ้าลายหนูแฮมสเตอร์ตัวกลมอยู่กับหลานชายจึงจูงมือหนูเจียเดินมาตามเสียงเรียก
   
        ตู้ที่ปานตะวันให้ความสนใจอยู่เป็นตู้ไม้สักสำหรับวางหนังสือ ประตูตู้เป็นกระจกใส ขนาดค่อนข้างใหญ่ ปานตะวันคะเนแล้วน่าจะใส่หนังสือของราเมศได้หมด
   
        “ตั้งไว้ในห้องนั่งเล่นก็ดีนะ” ราเมศเองก็เห็นด้วย ชายหนุ่มเลยก้มลงยิ้มให้หลานชายที่ยืนเกาะขากางเกงอยู่พลางถามความเห็นสมาชิกคนสุดท้ายในบ้าน “หนูเจียว่าไงครับ ชอบไหม?”
   
        เจียหลินเอียงคอ ในสายตาเด็กน้อยแล้วตู้ไม้แบบนี้ดูจืดชืดน่าเบื่อ สู้ตู้สีสันสดใสเหมือนลูกกวาดหรือตู้หลายการ์ตูนอีกฝั่งก็ไม่ได้ เด็กน้อยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ส่ายหน้าวืด “หนูเจียไม่ชอบตู้นี้”
   
        “แล้วหนูเจียชอบตู้ไหนครับ” ปานตะวันถาม นิ้วชี้ป้อมๆ ของเจียหลินชี้ไปที่ตู้ลิ้นชักสีเหลืองอ๋อยลายหมีพูห์แล้วก็พูดว่า “หนูเจียชอบแบบนั้นคับ!”
   
        ราเมศกับปานตะวันหัวเราะขึ้นพร้อมกัน พวกเขาลูบหัวหนูเจียกันคนละทีแล้วก็ตกลงกันว่าจะเอาตู้ใบนี้แหละเป็นตู้ใส่หนังสือ ราเมศเช็คดูราคาแล้วก็ไปติดต่อกับพนักงานส่วนปานตะวันก็จูงหลานชายไปดูของอย่างอื่นต่อ เมื่อราเมศทำธุระเสร็จพวกเขาก็เตรียมตัวกลับบ้าน ส่วนตู้ไม้ที่เพิ่งสั่งซื้อทางร้านจะนำมาส่งให้ทีหลัง
   
       ตลอดทางกลับภายในรถเต็มไปด้วยเสียงร้องเพลงของหนูเจียและปานตะวัน ราเมศอมยิ้ม รู้สึกโล่งใจที่คนรักกลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง แต่บรรยากาศดีๆ ก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อคนทั้งคู่มองเห็นร่างคุ้นตายืนดักรออยู่ที่หน้าบ้านเรือนไทย
   
       “นั่นมัน...” ปานตะวันขมวดคิ้ว ท่าทางเคร่งเครียด รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้า ฝ่ายราเมศเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
        ธีร์ที่เห็นรถกระบะคุ้นตาขับเข้ามาใกล้ก็จำได้ทันทีว่าเป็นรถของราเมศ คืนนั้นที่ร้านอาหารหลังจากทะเลาะกับปานตะวันเสร็จเขาก็กลับไปขึ้นรถแล้วขับหนีออกไป แต่ชายหนุ่มไม่ได้ไปไหนไกล ยังคงวนเวียนอยู่แถวนั้นรอจนอดีตคนรักเลิกงานจากนั้นก็แอบสะกดรอยตามมาจนถึงบ้านใหม่หลังนี้
   
       วันนี้เขาตั้งใจจะมาพบปานตะวัน ตอนเช้าไปหาที่ร้านแต่ก็ไม่เจอจึงย้อนกลับมาที่นี่ก็ไม่เจออีก ธีร์ตัดสินใจยืนรอหน้าบ้าน ไม่ว่ายังไงวันนี้เขาก็ต้องคุยกับปานตะวันให้ได้
   
      “เอาไงดีตะวัน” ราเมศเห็นอีกฝ่ายขยับตัวหันหน้ามาทางรถแล้ว ชายหนุ่มยังไม่ปลดล็อกประตูรถ ทั้งสองฝ่ายนิ่งเพื่อจ้องดูท่าทีกันและกัน สุดท้ายก็เป็นปานตะวันที่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
   
      “หนูเจียครับ ปีนไปเบาะหลังเร็ว แล้วก็อย่าเพิ่งเปิดประตูรถออกไปจนกว่าน้าเมศจะบอก เข้าใจไหม” เจียหลินแม้ไม่เข้าใจแต่ก็ยอมทำตามที่บอกแต่โดยดี ปานตะวันปลดเข็มขัดนิรภัยออกแต่ยังไม่ทันได้เอื้อมมือไปเปิดประตูมือใหญ่ของราเมศก็จับข้อมือเขาเอาไว้ก่อน
   
       “จะทำอะไร” นัยน์ตาสีนิลสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลของคนรัก ปานตะวันส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ต้องห่วงครับ ไม่ได้จะทำอะไรรุนแรงหรอก แค่จะลงไปเปิดประตูรั้ว”
   
       “แล้วต่อจากนั้น?”
   
       “ก็อาจจะคุยกันนิดหน่อย พี่เมศพาหนูเจียเข้าบ้านไปก่อนเลย”
   
       ราเมศยังคงลังเลด้วยความเป็นห่วงแต่เพราะปานตะวันเลื่อนมือมาบีบกระชับฝ่ามือเขาเบาๆ เป็นเชิงให้ไว้ใจชายหนุ่มจึงยอมพยักหน้าตกลง เขาเฝ้ามองปานตะวันก้าวลงจากรถ แน่ล่ะว่าธีร์พอเห็นปานตะวันก็ปรี่เข้ามาทันที คนรักของเขาเบี่ยงตัวหลบมือของอีกฝ่ายอย่างว่องไว ไม่ยอมให้ธีร์ถูกเนื้อต้องตัวเด็ดขาด
   
       ปานตะวันเปิดประตูรั้วก่อนจะหันมาส่งสายตาให้ราเมศขับรถเข้าไป จากนั้นเขาก็เลื่อนประตูรั้วปิดอย่างรวดเร็ว กั้นสายตาธีร์ออกจากโลกของเขา
   
        เมื่อประตูรั้วปิดสนิทปานตะวันก็พ่นลมหายใจออกมา ชายหนุ่มเอนหลังพิงประตูรั้ว ยกมือกอดอกแล้วจับจ้องคนรักเก่าด้วยสายตามั่นคงกว่าเดิม
   
        การได้พูดคุยกับราเมศถึงเรื่องธีร์ทำให้ปานตะวันมีความกล้ามากขึ้น แผลใจของเขายังไม่หายไปและชายหนุ่มก็ยังรู้สึกผิดที่ปกปิดความลับอีกอย่างไว้จากราเมศ แต่บัดนี้ทั้งสองสิ่งกลับไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนอย่างตอนแรกอีกแล้ว แน่ล่ะว่าความกลัวยังอยู่ เพียงแต่พวกมันลดน้อยลง
   
        “แล้วต้องการอะไร” ปานตะวันเปิดฉากยิงคำถาม ธีร์ที่ได้ยินดังนั้นก็ยกยิ้มมุมปาก “ไม่ต้อนรับแฟนเก่าขนาดนั้นเลยเหรอ”
   
        “กับคนอย่างมึงนี่จำเป็นด้วยเหรอ มาทำไมที่นี่ ไสหัวไป ไม่ต้อนรับ”
   
        ถ้อยคำห้วนสั้นไม่รักษามารยาททำให้ธีร์โกรธ แต่ครั้งนี้เขาคุมอารมณ์ได้ดีกว่าเดิม ชายหนุ่มไม่ได้อาละวาดโวยวาย เขาเพียงแต่ยืนนิ่งๆ แล้วก็พูดต่อ
   
       “แค่อยากมาดูว่าตอนนี้ตะวันเป็นยังไงหลังจากไม่มีธีร์”
   
       “ก็ดีกว่าตอนมีมึงเยอะ ไม่เห็นเหรอ” ปานตะวันยักไหล่ ท่าทางยียวน
   
       “นั่นสินะ น่าอิจฉาจริงๆ เลย”
   
        ธีร์เหยียดยิ้ม นี่ไม่ใช่ภาพที่เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นจากคนรักเก่า การที่ธีร์กลับมาหาปานตะวัน...ก็เหมือนอย่างที่อีกฝ่ายพูดใส่หน้าไว้ตอนแรก
   
        ไม่มีคนอื่นให้เกาะแล้ว
   
        คู่ขาคนอื่นๆ ไม่ว่าจะหญิงหรือชายถ้าไม่สลัดเขาทิ้งก็สิ้นเนื้อประดาตัวด้วยกันหมด ตอนนี้ธีร์กำลังเดือดร้อนเรื่องเงินอย่างหนัก หลังจากเลิกกับปานตะวันไปเขาก็หายเข้ากลีบเมฆ ทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ แต่สันดานแย่ๆ ยังไงก็แก้ไม่หาย หลังจากย้ายที่อยู่และเก็บตัวเงียบจากเจ้าหนี้เดิมสักพักธีร์ก็เริ่มกลับมากินเหล้าและเล่นการพนันใหม่ เงินจากแฟนคนอื่นถูกละลายไปกับสองสิ่งนี้ไม่ต่างกับตอนอยู่กับปานตะวัน เมื่อเงินจากคู่ขาไม่พอธีร์ก็เริ่มกู้ยืมเงิน แต่คราวนี้ไม่เหมือนคราวปานตะวัน คนอื่นไม่ได้โง่ให้เขาหลอก ถ้าไม่ไหวตัวทันว่าถูกแมงดาเกาะแล้วทิ้งไปก่อนจะหมดตัว คนอื่นๆ ก็ล้วนใช้วิธีเดียวกับเขา
   
        หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
   
       ธีร์เริ่มเคว้งคว้าง เขาไม่มีทางรับมือกับหนี้สินที่เพิ่มขึ้นได้ทัน สุดท้ายเมื่ออับจนหนทางชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นในห้วงความคิด
   
       ‘ปานตะวัน’
   
       กระเป๋าเงินที่ดีที่สุดสำหรับเขา
   
       ปานตะวันเป็นแฟนที่ธีร์คบด้วยนานที่สุด เรื่องนิสัยก็ส่วนหนึ่ง อีกฝ่ายโหยหาความรักดังนั้นจึงควบคุมง่าย แค่ป้อนคำหวาน ทำเป็นป้อยอหน่อยก็ตกเป็นลูกไก่ในกำมือ ขออะไรก็สรรหามาให้เกือบทุกอย่าง เขาไม่รู้ว่าช่วงเวลาเกือบสองปีที่หายไปปานตะวันจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแต่ธีร์เชื่อว่าโดยเนื้อแท้แล้วอีกฝ่ายก็ยังเป็นคนเดิม เขาคิดง่ายๆ ว่าต่อให้ตะวันจะโกรธสักแค่ไหนแต่ถ้าเขาทำดีและขยันพูดคำรักกล่อมอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ใจอ่อนเอง
   
        แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้ว่าตัวเองพลาดไปก็คือเมื่อกลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง ปานตะวันในตอนนี้ไม่ใช่คนอ่อนต่อโลกที่ต้องการความรักอย่างหน้ามืดตามัวคนนั้นอีกแล้ว เหมือนกับว่าชายหนุ่มถูกเติมเต็มเรียบร้อย ท่าทีที่แสดงออกต่อเขาจึงมีแต่ความโกรธแค้นหาได้มีความเสียใจเสียดายอยู่ในนั้นไม่
   
       ปานตะวันพูดถูก ชีวิตของอีกฝ่ายตอนนี้ดีกว่าตอนที่มีธีร์เยอะดังนั้นธีร์จึงอิจฉา...อิจฉาที่คนซึ่งเคยอยู่ในสถานะต่ำกว่าเขาวันนี้พอสลัดหลุดออกไป แทนที่จะอยู่ไม่ได้หรือกระเสือกกระสนอยากให้เขากลับมามันกลับมีชีวิตที่ดีพร้อม มีบ้าน มีเงิน มีรถ มีทุกสิ่งที่เขาไม่มี!
   
       ชายหนุ่มรู้สึกอิจฉาและเจ็บแค้นจนหัวใจแทบมอดไหม้
   
        ดูท่าแล้วแผนการคงไม่สำเร็จลงโดยง่าย โดยเฉพาะเมื่อปานตะวันมีคนใหม่แล้ว ไอ้ผู้ตัวโตหน้าดุคนนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นมัน เสร่อมาขวางหน้า!
   
        “มีบ้าน มีรถ ไม่ต้องทนในห้องเช่าแคบๆ ดีใช่ไหมล่ะ”
   
        “ดี”
   
       “ไหนจะมีแฟนใหม่แล้วอีก ไวจังเลยนะ”
   
       “ก็ไม่รู้จะเสียเวลาให้กับคนเลวๆ อย่างมึงไปอีกทำไม”
   
       ธีร์กำหมัดแน่น ขบฟันกรอดส่วนปานตะวันก็ตั้งป้อมระแวงเต็มที่ ถ้าธีร์จะทำร้ายร่างกายเขาปานตะวันก็พร้อมจะลงมือกลับทันที
   
       “ไม่รักธีร์แล้วใช่ไหม” เขาตัดสินใจยิงคำถามนี้ออกไป ปานตะวันที่อยู่ตรงหน้าไม่แสดงท่าทีหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
   
       “ไม่ได้รักแล้ว ไม่สิ ไม่ได้รักมาตั้งแต่แรกแล้ว ระหว่างเรามันคือความหลง”
   
        ประโยคนั้นหนักแน่นมั่นคง แผนการดึงปานตะวันกลับมาโดยทำให้อีกฝ่ายหันมารักเขาเหมือนเดิมดูจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
   
        “ไม่มีโอกาสครั้งที่สองแล้วใช่ไหม”
   
        “มึงอยากได้อะไรธีร์ เงินเหรอ คราวนี้ไปติดหนี้ไว้เท่าไหร่ล่ะ สามหมื่น? ห้าหมื่น? รู้อะไรไหม ไม่ต้องมายุ่งกับกูหรอก กูไม่ให้มึง แม้แต่สตางค์เดียวก็ไม่มีให้”
   
        ปานตะวันเหยียดยิ้ม หันหลังไปเปิดประตูรั้วเตรียมเดินเข้าบ้าน หนุ่มตี๋ตรงไปคว้าไหล่อีกฝ่ายไว้ทันที ปานตะวันที่ถูกแตะตัวสะบัดไหล่ออกแล้วหันหน้ามาซัดหมัดใส่อีกฝ่ายเข้าที่จมูกเต็มๆ ธีร์เซถอยหลัง จมูกเจ็บแปล็บก่อนจะเริ่มชาแล้วก็ปวดหนึบ พอเอามือออกก็พบว่ามีของเหลวสีแดงติดมือมาด้วย
   
        “อ้าว จมูกจริงเหรอ กูนึกว่ามึงทำดั้งมา อะไรวะคิดว่าจะได้ต่อยคนจนจมูกเบี้ยวซะอีก” ถ้อยคำจิกกัดนั้นทำให้เส้นความอดทนขาดผึง ธีร์สบถคำหยาบคายมากมาย เขาพุ่งเข้ามาพลางเงื้อหมัดขึ้น เตรียมจะชกปานตะวันให้หน้าหันแต่ทันใดนั้นปานตะวันก็ถูกดึงหลบไป หมัดของธีร์พลาดเป้า ร่างกายของเขาเสียสมดุลจนเซไปด้านหน้า จังหวะนั้นเองที่ใครบางคนคว้าข้อมือเขาไว้แล้วจับพลิกไขว่ไปด้านหลัง ทั้งตัวถูกกดติดกำแพงด้วยแรงมหาศาล
   
        กร๊อบ
   
       “อ๊ากกก”
   
       ธีร๋ร้องลั่นเมื่อนิ้วมือของตนถูกจับแล้วกดแรงๆ ราวกับคนทำต้องการจะหักนิ้วของเขาทั้งหมด!
   
       “ไอ้เหี้ย ปล่อยสิวะ ไอ้สัตว์ สารเลว!”
   
        “มึงด่าตัวเองทำไมกัน” ปานตะวันแสยะยิ้ม เดินมากระซิบข้างหูเขาและเพราะปานตะวันอยู่ตรงหน้านี่เองทำให้ธีร์รู้ว่าคนที่จู่มโจมเขาเป็นคนอื่น
   
        ใคร!
   
        ปึง
   
        ศีรษะของเขาถูกกระแทกเข้ากับกำแพง เลือดสดๆ ไหลออกมาจากแผลแตก จากนั้นก็มือแข็งแรงราวคีมเหล็กคู่หนึ่งก็เลื่อนมาที่ลำคอแล้วบีบแน่น ธีร์สำลัก อีกฝ่ายไม่ได้ออกแรงเต็มที่แต่บีบๆ คลายๆ ราวกับหยอกล้อ เป็นการทรมานที่ไม่สิ้นสุด
   
        “เก็บเลยไหม” เสียงแหบห้าวไม่คุ้นหูเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง คงเป็นคนที่จับเขาไว้ ไม่ใช่ราเมศแน่ๆ พอได้ยินคำว่า ‘เก็บ’ ธีร์ก็ตาเหลือก ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่น แต่ดูจากการลงมือแล้วน่าจะเอาจริง
   
        “ทำแบบนั้นจะยุ่งยากเกินไปน่ะสิครับ ช่างเถอะ ปล่อยไป”
   
       “ปล่อย? แบบนั้นจะไม่สร้างปัญหาที่หลังหรือครับ”
   
        เสียงที่ไม่คุ้นดังขึ้นอีก คนพวกนี้มีกี่คนกันแน่! แล้วปานตะวันไปรู้จักได้ยังไง
   
        “ช่างมันเถอะ เจอแบบนี้ไปคงไม่กล้าโผล่หัวมาอีกแล้ว”
   
         จบประโยคนี้แรงมหาศาลที่ล็อกตัวเขาอยู่ก็หายไป ธีร์อ้าปากหอบหายใจ ร่วงลงไปกองกับพื้น หน้าผากมีแผลแตกเลือดกำเดาก็ยังไหลไม่หยุด สองแขนชาหนึบไม่อาจขยับจากการถูกจับไพล่หลัง สภาพตอนนี้ดูไม่ได้เลยจริงๆ
   
         ชายหนุ่มพลิกตัวกลับมาก็เห็นเงาคนสองคนค้ำหัวอยู่ เขามองหน้าพวกนั้นไม่ชัดเพราะแสงที่ส่องย้อนมาแต่ธีร์จำน้ำเสียงโหดเหี้ยมที่กระซิบอยู่ใกล้ๆ ได้เป็นอย่างดี
   
        “ไสหัวไป อย่าให้กูรู้ว่ามึงโผล่มาแถวนี้อีก ไม่อย่างนั้นกูจะหักกระดูกมึงเป็นท่อนๆ จำใส่หัวไว้ซะ” ไม่พูดเปล่า อีกฝ่ายยังสาธิตด้วยการจับข้อมือเขาขึ้นแล้วก็บิด ธีร์กรีดร้องจนเสียงแหบกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ผู้ชายแปลกหน้าคงเล่นสนุกกับเขาอีกนานถ้าไม่ใช่เพราะจู่ๆ เสียงปริศนาที่สองพลันแทรกขึ้นมาว่า
   
       “พอแล้วครับ”
   
        เท่านั้นเองชายคนนั้นก็ถอยกลับออกไป ธีร์กระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน สายตาของเขาพร่าเบลอไปหมดแต่ยังมองเห็นชายแปลกหน้าได้ชัด พวกมันมีกันสองคน คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ หน้าดุ มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าในขณะที่คนข้างๆ ตัวเล็กกว่า เส้นผมสีดำกับนัยน์ตาสีนิลอมโศก ท่าทางของทั้งคู่ดูแล้วไม่เหมือนอันธพาลข้างถนน สีหน้าว่างเปล่าเย็นชา แต่เมื่อธีร์ขยับเข้าใกล้ปานตะวันก้าวหนึ่งชายหน้าโหดก็ขยับเข้ามาขวางด้วยความเร็วที่น่าตกใจ
   
        ธีร์รีบถอยออกมา เขาไม่สู้ ไม่ไหวหรอกกับคนแบบนี้
   
        เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่ตะโกนพูดกับปานตะวันทั้งๆ อย่างนั้น
   
        “มึงจำเอาไว้เลยนะ มึงทำกูเท่าไหร่กูจะคืนกลับไปเป็นสิบเท่า!” เขาก้าวถอยหลัง เดินหนีจากไปแต่ก้าวไปได้ประมาณสองก้าวก็หยุดแล้วหมุนตัวกลับมา แผนการบางอย่างวาบขึ้นในหัว ธีร์แสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม
   
        “รักมันมากเหรอตะวัน ไอ้ผู้ชายคนนั้นน่ะ แล้วมันรักมึงได้เท่าที่มึงรักมันหรือเปล่า รับได้เหรอกับเรื่องสมัยก่อนของมึง รับได้เหรอกับแฟนที่เคยติดเหล้าติดการพนัน รับได้เหรอกับเรื่อง ‘สกปรก’ ที่เคยทำไว้”
   
        คำว่าสกปรกที่ธีร์เน้นย้ำทำให้ปานตะวันสะดุ้ง
   
        “เล่าให้มันฟังหรือยังล่ะกับเรื่องทั้งหลายแหล่ที่มึงทำไว้น่ะปานตะวัน ถ้ายัง...ก็แน่ใจเหรอว่าเมื่อถึงวันที่มันรู้ความจริงแล้วมันจะยังอยู่ข้างมึง”
   
        ธีร์พูดไว้เท่านี้ เขาหย่อนระเบิดลูกโตทิ้งท้ายแล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเงาหลังคนคนนั้นหายลับไปชายร่างยักษ์ที่บังตัวปานตะวันก็ถอยออก ท่าทางข่มขวัญเมื่อครู่หายไปจนหมด
   
        “คุณโอเคนะ” หนุ่มผมดำที่อายุดูไล่เลี่ยกับปานตะวันเดินเข้ามาหาพลางแตะแขนเขาเบาๆ ปานตะวันที่ยืนเหม่อโดยมีประโยคของธีร์วนเวียนอยู่ในสมองสะดุ้งเฮือกเหมือนโดนไฟช็อต หนุ่มผมดำคนนั้นจึงชักมือกลับแล้วกล่าวขอโทษเบาๆ ด้วยท่าทางสุภาพ
   
       “ไม่ๆ ไม่ต้อวขอโทษหรอก ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ” ปานตะวันก้มหัวให้คนผมดำแล้วก็ยกมือไหว้ชายหน้าโหดที่มีแผลเป็น
   
      “เรื่องเล็กน้อย” อีกฝ่ายกล่าว หนุ่มผมดำนัยน์ตาโศกส่งถุงกระดาษมาให้ปานตะวันสองถุง ด้านในเป็นกล่องใส่ขนมไทยจำพวกทองหยิบ ฝอยทอง ขนมชั้น ส่วนอีกถุงมีกล้วยบวชชีกับบัวลอยมัดมาอย่างละสามถุง “นี่หลงฝากมาให้ครับ”
   
       “อ๋อ ลำบากพวกคุณแล้ว ขอบคุณมากนะครับทั้งเรื่องขนมแล้วก็เรื่องผู้ชายคนเมื่อกี้ด้วย”
   
        เมื่อครู่เขาคิดว่าตัวเองจะโดนต่อยเสียแล้ว แต่โชคดีที่คนทั้งคู่โผล่มาช่วยไว้ทัน สองคนนี้เป็นบอดี้การ์ดของหลง ปานตะวันเคยเจอบ้างสองสามครั้ง ตอนแรกเขาตกใจที่เพื่อนอายุเท่ากันและท่าทางดูธรรมดาคนนั้นถึงกับต้องมีบอดี้การ์ดส่วนตัว หลงพูดแค่ว่าเหตุการณ์หลายๆ อย่างบีบให้ต้องเป็นแบบนั้นไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม
   
       ปานตะวันเคยเจอหน้าบอดี้การ์ดทั้งสองอยู่บ้างแต่ไม่ได้สนิทกัน เรียกว่าไม่เคยพูดกันเลยน่าจะถูกกว่า
   
       “เขาสร้างความลำบากให้คุณหรือเปล่าครับ”
   
       ปานตะวันยิ้มเจื่อน เอาจริงๆ ถ้าเป็นเขาเจอเข้าไปแบบเมื่อกี้ก็คงไม่กล้าโผล่มาวอแวแล้ว แต่ประโยคทิ้งท้ายที่ธีร์พูดทำให้เขาไม่แน่ใจ
   
       “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
   
       “เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรอยากให้ช่วยก็บอกได้นะครับ หลงเป็นห่วงคุณ เขาเห็นคุณดูไม่ค่อยสบายใจก็เลยกังวล” ได้ยินแบบนี้แล้วก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา ปานตะวันยิ้มให้ทั้งคู่แล้วก็พูดว่า “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ฝากขอบคุณหลงด้วยแล้วก็บอกเขาว่าตอนนี้สบายดีแล้ว จะกลับไปตั้งใจทำงาน”
   
        คนผมดำพยักหน้า คลี่ยิ้มบางเบามาให้หนึ่งที
   
        “เอ่อ พวกคุณจะเข้าไปกินน้ำในบ้านก่อนไหมครับ หิวหรือเปล่า”
   
        “ไม่เป็นไรครับ เราจะกลับกันแล้ว”
   
        ว่าจบบอดี้การ์ดทั้งสองก็กล่าวลา ปานตะวันยืนส่งคนทั้งคู่ไปจนลับสายตา ก่อนที่เขากำลังจะเข้าบ้านชายหนุ่มอดมองกลับไปทางที่ธีร์หายตัวไปไม่ได้ ในใจเกิดความรู้สึกหวั่นเกรง
   
       ไม่รู้ว่าธีร์พูดเล่นหรือเอาจริง...แต่เรื่อง ‘สกปรก’ ในอดีตนั้นได้โปรดอย่าให้มีใครขุดคุ้ยมันขึ้นมาเลย
   
       พอกลับเข้ามาในบ้าน ราเมศก็ตรงเข้ามาถามไถ่ทันที
   
       “เขาทำอะไรตะวันหรือเปล่า”
   
       “เปล่าครับ” ปานตะวันส่ายหน้า “แค่มาคุยด้วยเฉยๆ”
   
       “แล้วคุยอะไรกัน”
   
       ปานตะวันเหลือบตามองหนูเจีย เด็กชายหันมองมาทางนี้อยู่ก่อนแล้วด้วยท่าทางสงสัย ถึงจะยังเด็กแต่หนูเจียฉลาดมาก ปานตะวันไม่อยากให้หลานมารับรู้เรื่องนี้เขาจึงเดินพูดกับเด็กน้อยว่า
   
       “เดี๋ยวน้าตะวันกับน้าเมศจะเข้าไปช่วยกันทำกับข้าวในครัว หนูเจียนั่งดูทีวีอยู่ที่นี่นะครับ”
   
       “คับ” ข้างหนูเจียมีขาวกับถุงทองนอนหมอบอยู่ สมุนแมวทั้งสองตามเด็กชายต้อยๆ ไม่มีห่าง หนูเจียกะพริบดวงตากลมโตมองปานตะวันด้วยท่าทางใสซื่อ “น้าตะวัน คนเมื่อกี้ใครเหรอคับ”
   
      “คนไหนครับ”
   
       “ผู้ชายแปลกๆ ที่รออยู่หน้าบ้านเรา”
   
       นั่นไงล่ะ หนูเจียเป็นเด็กช่างสังเกต ช่างซักถาม มีหรือจะไม่สงสัย ปานตะวันซ่อนแววกังวลเอาไว้ ชายหนุ่มลูบผมหลานชายพลางตอบว่า “คนแปลกหน้าน่ะ ไม่รู้จักหรอก เขามาผิดบ้านเฉยๆ”
   
       “อ๋อ”
   
       ได้ยินคำตอบดังนี้หนูเจียก็หมดความสงสัย เด็กชายหันไปเล่นกับลูกน้องของตัวเองแทนส่วนปานตะวันกลับมาหาราเมศ ทั้งคู่หลบเข้าไปในครัว เริ่มรื้อของมาทำอาหารเย็นพลางพูดคุยไปด้วย
   
       “เขามาคุยเรื่องเดิมๆ ขอคืนดีอะไรแบบนี้”
   
       “ตื๊อไม่เลิกขนาดนี้ให้พี่ออกไปจัดการให้ไหม”
   
      “ไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ คงไม่มาวุ่นวายแล้วล่ะ” ราเมศเลิกคิ้ว ปานตะวันเลยกล่าวต่อ “บอดี้การ์ดของหลงเอาขนมมาส่ง เห็นตอนหมอนั่นกำลังจะต่อยตะวันพอดีเลยเข้ามาช่วย หัวแตกกับข้อมือมือเคล็ดไปขนาดนั้นแล้วคงไม่วกกลับมาอีก”
   
       ปึง
   
       ราเมศกระแทกมีดอีโต้ลงบนเขียง ดวงตาสีนิลฉายแววขุ่นเคือง “ต่อย? ไหนบอกแค่คุยกันอย่างเดียวไง” ปานตะวันรู้ว่าตัวเองพลาดแล้ว พอเผลอหลุดส่วนหนึ่งออกมาก็จำต้องสารภาพให้หมด ชายหนุ่มจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่คุยกับธีร์อย่างละเอียด ตัดออกไปแค่ประโยคสุดท้ายที่คนรักเก่าทิ้งไว้เท่านั้น
   
       พอฟังจบคนรักตัวใหญ่ก็สบถออกมา “พี่น่าจะลงไปด้วย”
   
      “ไม่เป็นไรหรอกครับ จบไปแล้วล่ะ ตะวันต่อยมันเลือดกำเดาไหลด้วยนะแต่มันทำอะไรตะวันไม่ได้สักแผล”
   
       “ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนมาช่วยนายก็โดนต่อยเหมือนกัน ระวังตัวให้มากกว่านี้หน่อยสิ!”
   
       คนกำลังยืดพอโดนดุก็สะดุ้ง ก้มหน้างุด ราเมศที่รู้ตัวว่าเพิ่งเล่นบทโหดไปกระแอมเล็กน้อย ปรับอารมณ์ให้ลดลง “ขอโทษ...พี่แค่เป็นห่วง”
   
       “ผมรู้”
   
         พวกเขาสองคนทำอาหารด้วยกันเงียบๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็ปานตะวันก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน “พี่เมศ ตะวันขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม” เจ้าของเสียงนุ่มที่เอ่ยประโยคนี้วางอุปกรณ์ทำครัวในมือลงก่อนจะหันมาจ้องราเมศด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เชื่อใจตะวันได้ไหม เชื่อได้หรือเปล่าว่าทุกสิ่งที่ตะวันทำลงไปมีเหตุผล”
   
         “หมายความว่ายังไง มีอะไรที่พี่ยังไม่รู้อีกหรือเปล่า”
   
         ริมฝีปากของปานตะวันสั่นระริก เขาหลุบตาลง พยักหน้า
   
       “ทำไมถึงไม่บอก”
   
        “ไม่อยากบอก” ไม่ใช่บอกไม่ได้แต่ไม่อยากบอก ราเมศรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเจ็บแปล็บ ชาหนึบ ทำไมถึงไม่บอก เพราะไม่ไว้ใจกันหรือว่าเป็นเพราะอย่างอื่น
   
        “ไม่ใช่ไม่ไว้ใจพี่หรือพี่ไม่สำคัญพอนะ” ปานตะวันที่อ่านสีหน้าคนรักได้รีบพูดดัก ชายหนุ่มจับแก้มราเมศเอาไว้ บังคับให้จ้องตากับเขา “แต่มันเป็นอดีตที่ตะวันไม่อยากเก็บมานึกถึงอีกแล้ว ไม่อยากให้รู้เพราะว่า...มันจะทำให้พี่มองตะวันไม่เหมือนเดิม”

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
        “ไม่เชื่อกันขนาดนั้นเลยเหรอ”
   
        “บอกว่าไม่ใช่ไง! แค่...มันผ่านไปแล้ว อยากฝังมันไว้ตรงนั้น”
   
        ราเมศถอนหายใจ รู้สึกว่าคนรักช่างขี้โกงและเอาแต่ใจเหลือเกิน มาพูดว่าอยากให้เชื่อใจแต่กลับไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้นจนถึงขนาดต้องมาขอร้องให้เขาสัญญา ใจหนึ่งก็ไม่อยากยอมรับหรอกแต่อีกใจก็รู้ดีว่าถ้าบีบปานตะวันมากไปกว่านี้คงไม่เป็นผลดี
   
        หลังใคร่ครวญทุกอย่างอยู่ในหัวครู่หนึ่งราเมศดึงมือปานตะวันที่กุมแก้มเขาอยู่ออกมา ชายหนุ่มจับมือคู่นั้นไว้ ปานตะวันมือใหญ่ตามแบบฉบับของผู้ชายทั่วๆ ไปแต่ขนาดมือก็ยังเล็กกว่าเขานิดหน่อย ไม่รู้ทำไมยามนี้ความคิดที่ว่าสองมือคู่นี้กำลังพยายามแบกรับอะไรที่เกินตัวอยู่ถึงผุดขึ้นมา
   
        สิ่งที่นายต่อสู้ด้วยอยู่คือตัวตนในอดีตใช่หรือเปล่า
   
        สิ่งที่นายพยายามแบกรับไว้คือผลจากความผิดพลาดที่ตอนนี้กำลังจะย้อนกลับมาทำร้ายใช่ไหม นายพยายามแบกมันไว้คนเดียว โดยกันคนสำคัญคนอื่นออกนอกวงไปเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบแต่วิธีนี้มันทำให้นายเหนื่อยล้ายิ่งกว่าเดิม เจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม
   
       เด็กโง่
   
       เป็นเด็กที่ชอบคิดอะไรเกินตัวเสียจริง
   
       แล้วเขาจะปล่อยให้เด็กที่มีนิสัยแบบนี้ไปเผชิญกับปัญหามากมายด้วยตัวคนเดียวได้ยังไง
   
        “เข้าใจแล้ว” ในที่สุดราเมศก็ตอบตกลง เขาจูบลงกลางฝ่ามือของปานตะวันเบาๆ “พี่ตามใจนายมากไปแล้วจริงๆ นะ” ประโยคท้ายบ่นพึมพำกับตัวเองแต่ปานตะที่อยู่ใกล้ขนาดนี้มีหรือจะไม่ได้ยิน หากเป็นยามปกติเขาคงโวยวายไปแล้วแต่ตอนนี้นอกจากจะไม่เถียงกลับปานตะวันยังกอดหมับเข้าที่เอวสอบ ซุกหน้าลงกับเสื้อราเมศ พูดเสียงอู้อี้ว่า “ขอบคุณครับ แล้วก็สัญญานะว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นพี่ต้องเชื่อใจตะวัน ต้องไม่เปลี่ยนไป”
   
       “ครับ สัญญา” ราเมศเว้นจังหวะไปเล็กน้อย “แล้วถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นล่ะ”
   
       “ลืมเรื่องนี้ไปซะ”
   
       “เอาแต่ใจอะไรอย่างนี้นะ”
   
       “ขอโทษแต่ขอเอาแต่ใจหน่อยนะ”
   
       เขาตามใจจนติดนิสัยแล้วสินะ...แต่สัญญาไปแล้วก็ขัดอะไรไม่ได้อีก ราเมศพยักหน้าตกลง คนทั้งคู่จึงแยกย้ายกันไปทำอาหารตามเดิม
   
       หลังจากที่ธีร์มาดักรอปานตะวันที่หน้าบ้านก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เหตุการณ์ทุกอย่างดูสงบสุขจนราเมศเริ่มผ่อนคลายส่วนปานตะวันก็คิดไปว่าบางทีธีร์อาจจะกลัวคำขู่ของสองบอดี้การ์ดนั่นจนไม่กล้าโผล่หน้ามาแล้ว หลังระแวดระวังอยู่สองสามวันปานตะวันก็ปักใจเชื่อว่าทุกอย่างคงจบลงด้วยดี
   
      แต่ชายหนุ่มคงไม่รู้ว่าชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
   
      วันนี้พอใกล้ช่วยบ่ายสามโมงครึ่งอันเป็นเวลาที่หนูเจียจะเลิกเรียนปานตะวันก็ถอดผ้ากันเปื้อนออก เตรียมตัวไปรับหลานชายที่โรงเรียน ระหว่างทางพวกเพื่อนร่วมงานคนอื่นฝากเงินไปซื้อของกินกระจุกกระจิกกันเต็มไปหมด ปานตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเบ๊หิ้วของกินกลายๆ
   
       “พี่เมศ ตะวันไปรับหนูเจียนะ” ปานตะวันเดินไปบอกคนรักที่ควบตำแหน่งหัวหน้าด้วย ราเมศพยักหน้ารับ “ขับรถระวังๆ นะ”
   
       “ครับผม”
   
       ปานตะวันรับคำแล้วก็ออกไป ราเมศมองส่งคนรักเล็กน้อยแล้วก็กลับมาจัดการรายการอาหารที่เหลืออยู่ เมื่อทำงานเสร็จพนักงานหญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับพูดว่า “พี่เมศคะ มีคนมาหาพี่ค่ะ”
   
        “ใครเหรอ”
   
       “เป็นผู้ชาย ตัวสูงๆ บอกว่าชื่อธีร์”
   
       ชื่อแฟนเก่าของปานตะวันทำให้ราเมศชะงัก อีกฝ่ายมีธุระอะไรถึงมาหาเขาโดยตรง “มาหาพี่แน่ใช่ไหม ไม่ได้มาถามหาปานตะวันเหรอ” เขาถามเพื่อความแน่ใจ พนักงานคนนั้นส่ายหน้า “มาหาพี่แน่ๆ ค่ะ”
   
       “งั้นบอกเขาว่ารอเดี๋ยว”
   
      ยามนี้ลูกค้าไม่มาก พ่อครัวอีกสองคนก็เหลือเฟือราเมศจึงถอดผ้ากันเปื้อน ล้างไม้ล้างมือให้เรียบร้อยแล้วออกไปพบอีกฝ่าย
   
      ธีร์ไม่ได้เข้ามาในร้านแต่ยืนรออยู่ด้านนอก ราเมศถึงกับตกใจเมื่อพบว่าสภาพหน้าอีกฝ่ายดูยับเยินเหมือนไปมีเรื่องกับใครมา ทันใดนั้นเขานึกขึ้นได้ว่าปานตะวันบอกว่าบอดี้การ์ดของหลงจับธีร์โขกหัวกับกำแพงแล้วก็ทำท่าจะหักมือเขา แต่นี่มันดูแย่กว่าที่ตะวันเล่ามาก ที่แก้มกับที่ตามีรอยช้ำขนาดใหญ่ สภาพนี้บอกว่าโดนรุมซ้อมก็ไม่แปลกใจ
   
       สงสัยเจ้าลูกแมวนั่นจะเล่าไม่หมด
   
       “คุณมีธุระอะไร” เมื่อเจอหน้ากันราเมศก็เปิดฉากถาม เขาไม่ต้องการเสียเวลากับคนคนนี้ ธีร์เองก็เข้าใจ “ผมต้องการมาคุยกับคุณเรื่องปานตะวัน”
   
       “ตะวันทำไม”
   
       “คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับเขามากน้อยแค่ไหน รู้หรือเปล่าว่าเขาเคยทำอะไร” ธีร์ประเมินท่าทางของราเมศ “ผู้ชายคนนั้นไม่ได้น่ารักเหมือนหน้าตาหรอกนะ รู้อดีตของเราหรือเปล่า”
   
       น้ำเสียงเยาะเย้ยทำให้ราเมศไม่พอใจแต่ชายหนุ่มก็ยังคงมีท่าทีเรียบเฉย “รู้ แล้วก็รู้ด้วยว่าคุณเคยทำอะไรไว้กับเขา เป็นหนี้เยอะนี่ใช่ไหม แล้วก็หนีไป ทิ้งให้เขารับผิดชอบทุกอย่างคนเดียว”
   
       “เขาเล่าแบบนั้นเหรอ แหม ทำให้ตัวเองดูน่าสงสารเหลือเกินนะ หนี้นั่นเป็นความรับผิดชอบร่วมกันต่างหาก ส่วนหนึ่งตะวันก็เป็นคนกู้ เหล้า การพนัน มันผ่านมาหมดแล้ว เงินที่แม่มันส่งมาให้ทุกเดือนคุณคิดว่าจะพอหรือไง” ริมฝีปากสีคล้ำของธีร์เหยียดเป็นรอยยิ้ม “มันหลอกคุณอยู่นะไม่รู้เหรอ มันจะเอาปอกลอกคุณไปจนกว่าจะหมดตัวนั่นแหละ”
   
       “แหม แฟนเก่าแบบคุณก็เลยอุตส่าห์มาเตือนงั้นสิ เป็นคนดีจริงๆ” ราเมศหัวเราะ “แต่ผมรวย ไม่เป็นไรหรอก มีให้เขาได้เรื่อยๆ นั่นแหละ”
   
       พูดตามตรงที่บ้านเขาก็ไม่ได้ถือว่าร่ำรวย เป็นครอบครัวที่มีกินมีใช้แบบไม่ขาดมือมากกว่า ไม่รวยแต่ก็ไม่จนอะไรราวๆ นั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ราเมศพูดจาใหญ่โตอะไรแบบนี้เพื่ออวดฐานะทางบ้านกับคนอื่น
   
       “เหอะ รักมันมากขนาดนั้นเลยหรือไง”
   
       ธีร์หรี่ตา ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนคล้ายกับไม่ใส่ใจว่าปานตะวันในอดีตจะเป็นอย่างไรทำให้แผนการแรกที่ธีร์คิดว่าต้องล้มเหลว แผนแรกของเขาคือการมาตามง้อปานตะวันแต่ก็ไม่ได้ผล ชายหนุ่มจึงเข้าหาทางราเมศแทน เดิมทีเขาตั้งใจจะมาพูดเพื่อสร้างความสงสัยในใจเล็กๆ ให้ราเมศ ปลูกต้นแห่งความไม่เชื่อใจเอาไว้ ถ้าราเมศสงสัยมากๆ ขุดคุ้ยอดีตลงไปมากๆ จนไปแตะโดนจุดที่ไม่ควรเข้า ทั้งคู่ก็จะเลิกกัน...แล้วตะวันก็จะซมซานมากอดขาเขาเหมือนเช่นเคย
   
        แต่ยามนี้นอกจากจะไม่สนใจแล้วไอ้ผู้ชายตัวใหญ่คนนี้ยังมีหน้ามาพูดอวดรวยกับเขาคล้ายว่าการให้ปานตะวันมาอยู่ด้วยไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย ฝ่ายนั้นจะเอาเงินไปมากเท่าไหร่ก็ไม่สน!
   
       ธีร์กัดฟัน เขาเหลือสองแผนการสุดท้าย
   
      “แล้วมันรักคุณเท่าที่คุณรักมันหรือเปล่า มันเคยเล่า ‘ความลับ’ ให้คุณฟังบ้างไหม เกี่ยวกับเรื่องที่มันทำมาในอดีตน่ะ”     ราเมศชะงักและธีร์ก็สังเกตได้ เขาแสยะยิ้ม “ไม่เคยสินะ”
   
       “คุณต้องการอะไร”
   
        ธีร์ไม่ตอบคำถาม เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเป้ที่ตนนำติดมือมาด้วย สิ่งที่หยิบออกมาคือแฟลชไดรฟ์หนึ่งอัน ธีร์ส่งมันให้ราเมศ
   
        “เอาไปสิ”
   
        “นี่อะไร”
   
        “ลองเปิดดู แล้วคุณจะรู้เอง”
   
        “ทำไมผมต้องเปิด”
   
        “ไม่อยากรู้เหรอว่าความลับของปานตะวันคืออะไร” หนุ่มหน้าตี๋พูดเนิบๆ “พอเปิดดูแล้วก็ติดต่อมาหาผม” เขาทิ้งเบอร์โทรศัพท์ให้อีกฝ่าย ลอบยิ้มอยู่ในใจเมื่อมองสีหน้าของราเมศ ธีร์เห็นแววหวั่นไหวผ่านดวงตาคู่นั้น
   
        เขาหว่านเมล็ดแห่งความคลางแคลงลงในใจราเมศ เมื่อชายหนุ่มเปิดดูสิ่งที่อยู่ในแฟลชไดรฟ์ เจ้าเมล็ดนั่นก็จะแตกหน่ออ่อน ผลิใบแล้วก็เติบโต แล้วคนทั้งคู่ก็จะแยกกันในที่สุด แผนนี้อาจกินเวลาสักหน่อยแต่ถ้ามันสำเร็จธีร์แน่ใจว่าจะได้ปานตะวันคืน...แต่ถ้าไม่เขาก็มีแผนสุดท้าย
   
       ชายหนุ่มหมุนกายเดินกลับไปที่รถ ราเมศยังคงยืนที่เดิม พิจารณาอุปกรณ์เล็กๆ บนฝ่ามือด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ธีร์ไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาต้องการมีแค่ปานตะวัน
   
       หืม ทำไมเขาถึงต้องพยายามดึงตัวแฟนเก่ากลับมาขนาดนี้น่ะหรือ?
   
       รัก? ไม่ใช่หรอก ไม่ได้รัก เขาไม่ได้รักปานตะวันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
   
       สาเหตุที่เขาต้องการตัวปานตะวันก็เพราะ...
   
       ความคิดของเขาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์ ธีร์สบถรัวๆ เมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้าแต่จะไม่รับก็ไม่ได้ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง
   
       “สวัสดีครับ”
   
       [ไอ้ธีร์ มึงจำได้ไหมว่าวันนี้วันอะไร]
   
       น้ำเสียงของปลายสายห้วนสั้น เกรี้ยวกราดและแสลงหูยิ่งนัก ธีร์เม้มริมฝีปาก เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นตามไรผม “จำได้ครับ ผมกำลังหาอยู่ ขอ...ขอเวลาอีกสักนิด”
   
       [ขอเวลา? มึงพูดแบบนี้มาหลายหนแล้วนะไอ้ธีร์!]
   
        “ผมทราบครับ แต่คราวนี้ผมจะได้เงินแล้วจริงๆ ถ้าเสี่ยให้เวลาผมรับรองจะหามาคืนให้ทั้งต้นทั้งดอกแน่นอนครับ”
   
       [เฮอะ ที่ได้ช้าขนาดนี้เพราะตอนนี้มึงตกใครไม่ได้เลยล่ะสิไอ้หมาขี้เรื้อนเอ๊ย]
   
       ธีร์กัดฟันกรอด มือกำพวงมาลัยแน่นจนข้อนิ้วเป็นสีขาว หากแต่น้ำเสียงที่พูดออกไปยังฟังดูนอบน้อมทั้งที่ในใจเขาสาปแช่งให้อีกฝ่ายไปลงนรกให้หมด ทั้งไอ้เสี่ยสารเลวที่ปล่อยเงินกู้กับลูกน้องเฮงซวยของมันด้วย!
   
       “ได้โปรดเถอะครับ คราวนี้ได้แน่ๆ ผมขอเวลาสักหน่อย สักสามเดือน”
   
        [หนึ่งอาทิตย์]
   
        “อะ...อะไรนะครับ!? เร็วขนาดนั้น”
   
        [กูให้เวลาหนึ่งอาทิตย์! ถ้าไม่จ่ายมึงคงรู้นะจะเจออะไร]
   
        “ครับ”
   
        อีกฝ่ายกดตัดสายไปอย่างว่องไว ธีร์สบถคำหยาบคายออกมาลั่นรถก่อนจะเขวี้ยงโทรศัพท์ไปที่เบาะข้างคนขับ
   
       ถ้าเป็นแบบนี้เขาก็เหลือตัวเลือกเดียว...เขารอไม่ได้แล้ว
   
        ทางด้านปานตะวันหลังรับหนูเจียเสร็จและแวะซื้อของที่ทุกคนต้องการก็รีบตรงกลับร้าน ช่วงเย็นวันนี้ลูกค้าคึกคักชายหนุ่มจึงรีบเอาของไปเก็บแล้วก็กลับมาทำงาน ส่วนหนูเจียก็ไปประจำที่ที่หลังเคาน์เตอร์ วิ่งไปวิ่งมาไม่หยุดจนถึงสองทุ่มกว่าลูกค้าถึงได้บางตาลง พอถึงเวลาเลิกงานปานตะวันที่เหนื่อยสายตัวแทบขาดลากสังขารของตัวเองไปช่วยพี่ๆ เก็บร้านจนเรียบร้อย จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
   
       พอกลับบ้านราเมศกับปานตะวันก็ช่วยกันทำอาหาร ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างปกติสุข
   
       ตอนเที่ยงคืนครึ่งที่ทุกคนหลับกันหมดแล้วราเมศลืมตาโพลงในความมืด เขาค่อยๆ พลิกตัวไปมองปานตะวันที่นอนอยู่ข้างกัน ชายหนุ่มผมน้ำตาลหลับตาพริ้มลมหายใจสม่ำเสมอ ราเมศขยับตัวลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ อาศัยเวลาอยู่พักหนึ่งเพื่อให้สายตาชินกับความมืดจากนั้นชายหนุ่มก็ลุกออกจากห้องไป
   
       ที่ห้องนั่งเล่นของบ้านมีคอมพิวเตอร์อยู่เครื่องหนึ่ง ราเมศเปิดเครื่อง เสียบแฟลชไดรฟ์ รอคอยด้วยหัวใจหนักอึ้ง แฟลชไดรฟ์อันนี้มีไฟล์วิดิโออยู่แค่ไฟล์เดียว มือที่จับอยู่บนเม้าส์เกร็งแน่น ไม่รู้ทำไมเขาถึงสังหรณ์ใจไม่ดีเลย
   
       ‘ไม่อยากรู้เหรอ...ความลับของปานตะวันน่ะ’
   
       อยากรู้สิ...แต่เด็กคนนั้นบอกกันให้เชื่อใจ การทำแบบนี้แปลว่าเขาผิดคำสัญญาหรือเปล่านะ?
   
       ถ้าปานตะวันกลัวการที่เขาจะล่วงรู้...แล้วมันดีหรือเปล่าถ้าเขาจะเปิดวิดิโอนี้
   
       ราเมศเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ปานตะวันขอให้เขาสัญญาเพราะกลัวเขาจะเปลี่ยนไปแต่ราเมศแน่ใจว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยน
   
       เขาแค่อยากรู้เพื่อที่จะปกป้องปานตะวันได้เท่านั้น
   
       ราเมศเม้มริมฝีปาก ตัดสินใจกดเปิดไฟล์วิดิโอนั้น
   
        ตอนแรกหน้าจอที่ปรากฏมืดสนิท จากนั้นก็มีเสียงคนพูดและเสียงขยับอะไรบางอย่าง มือที่บังกล้องอยู่ถูกดึงกลับไปเผยให้เห็นคนห้าคนจับกลุ่มกันอยู่
   
        ราเมศใจหายวูบ
   
        คนที่อยู่ตรงกลางคือปานตะวัน
   
        สภาพของปานตะวันดูแย่มาก...แล้วก็ดูไม่คล้ายปานตะวันตอนนี้เอาเสียเลย ในคลิปผมของปานตะวันยาวประบ่าและกระเซอะกระเซิง ใบหน้าเขียวช้ำเต็มไปด้วยร่องรอยการถูกทำร้าย อีกฝ่ายถูกชายฉกรรจ์อีกสามคนจับตัวไว้ ส่วนชายคนที่ถอยหลับออกไปจากกล้องก็หันมาแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม
   
       ชายคนนั้นจิกผมปานตะวันขึ้นมาพลางพูดว่า ‘เอ้าถ่ายดีๆ ล่ะ อย่าให้สั่นนะมึง’
   
       ราเมศขบฟันกรอดแต่ก็ยังดูต่อไป
   
       ผู้ชายคนที่กระชากผมปานตะวันอยู่หัวเราะแล้วก็หันมาพูดกับกล้องว่า ‘ไหนตอบเขาไปสิคนสวย มึงชื่ออะไร’ ปานตะวันหอบหายใจ เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ‘ปานตะวัน’
   
        ‘แล้วแฟนมึงล่ะ’
   
        ‘ธีร์’
   
        ‘มึงรู้ไหมว่าทำไมวันนี้มึงมีสภาพนี้ ช่วยบอกผู้ชมของเราหน่อย เขาจะได้ไม่คิดว่าพวกกูเป็นพวกใจร้ายรังแกคนไม่มีทางสู้’
   
        ‘พวกเรา...อึก...’
   
        ‘พูดดังๆ!’
   
        ร่างของปานตะวันสะดุ้งเพราะเสียงตะคอกนั้น หยดน้ำตาเริ่มกลิ้งไปตามแก้มบวมช้ำและห้อเลือดแต่ในที่นั้นไม่มีใครสงสารชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย ทุกคนเมื่อเห็นว่าปานตะวันร้องไห้ก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
   
        นัยน์ตาสีน้ำตาลเงยสบกล้อง คล้ายกับกำลังมองตรงมา...ราเมศมองเห็นสายตาอ้อนวอน เจ็บปวด และสัญญาณขอความช่วยเหลือที่ถูกส่งมาให้ วูบหนึ่งเขาคิดว่ามันถูกส่งมาถึงเขา...แต่เปล่าเลย
   
        สายตานั้นถูกส่งไปให้ธีร์ต่างหาก
   
        ช่วยด้วย
   
        ริมฝีปากแห้งแตกขยับเบาๆ เป็นคำนี้
   
        ‘กูสั่งให้มึงพูด!’
   
        กำปั้นหนักๆ ซัดเข้าที่แก้มซ้ายปานตะวัน ใบหน้านั้นสะบัดตามแรงชก บนพื้นปรากฏหยดเลือดสีเข้ม ราเมศกำที่วางแขนเก้าอี้แน่น
   
        เขาโกรธ...โกรธมาก ขณะเดียวกันก็เจ็บปวดมาก
   
        ‘พวกเรา...ติดหนี้...ห้าหมื่น’ น้ำเสียงปานตะวันกระท่อนกระแท่น ‘เราไม่มีเงินจ่าย’
   
        ‘กูให้เวลามึงกี่วัน’
   
        ‘สามเดือน’
   
        ‘มึงบอกจะจ่าย’
   
        ‘ครับ’
   
        ‘แล้วไหนเงิน’
   
       ‘ไม่...ไม่มี...อึก’
   
       ‘คนผิดสัญญาก็ต้องถูกทำโทษใช่ไหม’
   
       ชายคนนั้นย่อตัวลง ลูบใบหน้าปานตะวัน ท่าทีอ่อนโยนแต่แววตาโหดเหี้ยม พรรคพวกอีกสองสามคนที่ล็อกตัวปานตะวันอยู่ก็หัวเราะลั่น
   
       ‘อืม ทำโทษอะไรดีนะ มึงก็มีสภาพแบบนี้แล้ว มากไปเดี๋ยวจะตายเอา พวกกูขี้เกียจยุ่งยาก’ ร่างสูงใหญ่เดินวนรอบตัวปานตะวันราวกับนักล่าเตรียมขย้ำเหยื่อ ‘แฟนมึงนี่ก็ดีนะไอ้ตะวัน ตัวเองหนีหายหัวหนีไป ทิ้งมึงไว้ให้มีสภาพแบบนี้’
   
       ปานตะวันเบิกตากว้างเผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา
   
       ‘ก็ถือว่ามึงซวยเองที่มีแฟนเหี้ยๆ แบบนี้’
   
       คนพูดถ่มน้ำลายลงตรงพื้นเบื้องหน้าปานตะวัน จากนั้นหมัดอีกหนึ่งหมัดก็ซัดเข้าที่ท้องจนร่างผอมบางตัวงอ ร่วงลงไปกองกับพื้น
   
       ‘อึก...แค่ก’
   
       ‘ถอดเสื้อมันออก’
   
       ‘ไม่...อึก...ไม่เอานะ’
   
       ร่างที่พื้นพยายามคลานหนีแต่ก็ถูกลากตัวกลับมา ทั้งมือทั้งเท้าระดมเตะต่อยไปตามตัวพร้อมๆ กับที่ถูกกระชากเสื้อและกางเกงออกไปด้วย สุดท้ายร่างขาวนั้นก็เปลือยเปล่านอนขดอยู่เป็นกุ้งแทบเท้าคนทั้งสี่
   
       ชายฉกรรจ์อีกสองคนหิ้วปีกปานตะวันขึ้นมาจับมือไพล่หลัง
   
       ‘ถ่ายคลิปนี้แล้วส่งให้แฟนมึงดูดีกว่า ดีไหม ดูให้ดีนะไอ้ธีร์ ดูว่าพวกกูทำอะไรกับที่รักของมึง’
   
        จบประโยคนั้นปานตะวันก็กลายเป็นกระสอบทรายมนุษย์ ถูกซ้อมจนเยินไปทั้งตัว แต่คนพวกนั้นไม่ได้แค่ซ้อม พวกมันยังจับ ลูบคลำไปทั้งร่าง ปานตะวันพยายามหาโอกาสเงยหน้ามองกล้อง ขยับปากเรียกชื่อธีร์แล้วก็ขอความช่วยเหลือ ดวงตาคู่นั้นสิ้นหวังลงทุกที
   
        ‘ฮ่าๆๆ พวกมึงดู มันกลัวจนฉี่ราดเลยว่ะ’
   
        หนึ่งในกลุ่มคนที่จับตัวปานตะวันอยู่พูดขึ้น ร่างนั้นอ่อนปวกเปียกไปหมด สีหน้าที่เดิมทีมีแววสิ้นหวังฉายอยู่บัดนี้ราบเรียบพอๆ กับดวงตาคู่นั้น
   
       ว่างเปล่า...เหมือนไม่สนอีกแล้วว่าตัวเองจะตายหรือไม่ตาย
   
       ฝ่ามือพวกนั้นบางทีก็ลูบไล้อยู่บนเรือนร่าง บางคนก็ขบกัดไปตามผิวขาวจนห้อเลือดแล้วก็ตวัดมือตบ บางคนก็ประเคนหมัดเข้าใส่ ไม่ได้ถูกข่มขืน...แต่ก็อดสูไม่ต่างกันเลย
   
       เสียงสะอื้นไห้ เสียงอ้อนวอนดังไม่ขาดจนในที่สุดคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก็พูดขึ้นว่า ‘พอแล้ว เดี๋ยวมันตาย’ร่างของปานตะวันถูกโยนลงไปกองกับพื้นเหมือนขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง ชายร่างสูงมองเหยียด
   
        ‘มึงจำไว้นะ ถ้าหนหน้ามึงเบี้ยวไม่จ่ายเงินอีกคลิปนี่จะได้ส่งถึงแค่ไอ้ธีร์เท่านั้นแต่มันจะขึ้นไปอยู่บนเว็บโป๊เลยล่ะ ฮ่าๆ กูว่าพวกโรคจิตชอบแนวรุนแรงคงมีไม่น้อย’
   
       ‘ขอโทษ...อึก...ครับ...ได้โปรด...ได้โปรด ขอเวลาอีกสักนิด เราจะหามาคืนให้’
   
       ปานตะวันคลานไปเกาะขาอีกฝ่ายแต่ก็ถูกเตะออก
   
       ราเมศจับจ้องที่ใบหน้าของชายหนุ่ม ร่างนั้นนอนอยู่กับพื้น ดวงตาไร้แววมีน้ำตาหลั่งรินออกมาไม่ขาดสาย ริมฝีปากบางขยับเป็นคำๆ หนึ่ง   
   
       ธีร์...ช่วยด้วย
   
       จนถึงตอนนี้ก็ยังร้องเรียก...คนที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น
   
       มัวแต่เรียกหาคนที่ไม่มีวันได้ยิน
   
       ภาพสุดท้ายก่อนวีดิโอนี้จะจบลงคือใบหน้านองน้ำตาที่ถูกซูมเข้าไปจนเห็นทุกรอยแผลได้ชัดเจนของปานตะวัน
   
       ราเมศกดปิดวิดิโอ ดึงแฟลชไดรฟ์ออก จากนั้นก็ทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้ยกมือปิดเปลือกตาอย่างอ่อนล้า เพราะแบบนี้สินะ ปานตะวันถึงได้ไม่อยากให้เขารู้ สภาพน่าอดสูเช่นนั้นเป็นใครก็คงอยากจะลืม อยากจะลบทิ้งไปจนวันตาย
   
       เอี๊ยด
   
       เสียงบานพับประตูลั่นเบาๆ แต่ท่ามกลางความเงียบเช่นนี้ราเมศกลับได้ยินมันชัดเจน เขารีบหันกลับไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว...แล้วก็ทันเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตานั้นหันกลับไป
   
       “ตะวัน!” ราเมศตะโกนเรียกชื่อคนรัก เขาไล่ตามอีกฝ่ายไปแต่ก็ไม่ทัน ปานตะวันหนีหายลงจากเรือนไป เห็นหลังไวๆ อยู่ด้านล่าง
   
       “ตะวันรอเดี๋ยว!” ราเมศกำลังจะวิ่งลงจากเรือน ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงร้องไห้ของหลานชายดังมาจากในห้อง หนูเจียคงฝันร้ายแล้วตื่นมากลางดึก ไม่เจอผู้ใหญ่รอบตัวเลยปี่แตก
   
       โธ่เว้ย จะประจวบเหมาะอะไรขนาดนี้
   
       ช่วงนาทีที่เขาลังเลแล้วเผลอชะลอฝีเท้า ปานตะวันก็สตาร์ตรถแล้วบึ่งออกจากบ้านไปแล้ว เสียงเร่งเครื่องยนต์แผดก้องในยามราตรีก่อนที่แสงไฟจากรถยนต์จะค่อยๆ ลับตาไป

*******************************************************

สวัสดีค่าทุกคนนน (ค่อยๆ หลบออก) อย่าเพิ่งขว้างปาข้าวของกันนะคะ ;w; ฮือออออ
ตอนนี้ยอมรับว่าตัดค้างอย่างแรง วอนทุกคนใจเย็นๆ และอย่าเพิ่งตีเรา ตอนที่เราเขียนบทนี้ยอมรับเลยว่ามันหนักมาก
 :hao5: ขอให้ทุกคนช่วยเป็นกำลังใจให้ปานตะวันผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ด้วยนะคะ กอดดดด ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
พบกันใหม่ตอนต่อไปนะคะ จุ๊บ  :กอด1:

ปล. มีใครเดาได้บ้างว่าบอดี้การ์ดที่โผล่มาเป็นใครรร
ปล 2 ติดตามข่าวสารนิยายและเม้าท์กับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ

ออฟไลน์ pooinfinity

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-3
นี้ถ้ามุดจอคอมไปตีได้นี้จะตีให้น่วมเลยอ่ะ น้องตะวันจะเป็นไงบ้างเนี่ยยยย ฮืออออออออออออ

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
แงงงงงงง ไอเชี้ยธีร์ ไอเลวววว สงสารตะวันฮืออออพี่เมศนะพี่เมศ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แผนสุดท้ายของไอ้ธีร์คืออะไร
ตะวันเตลิดไปแล้วเนี่ย จะเป็นอันตรายไหม
รอตอนต่อไปค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด