ปานตะวัน
บทพิเศษที่ ๒
Tired
ปานตะวันเข้าใจดีว่าคนเราทุกคนย่อมมีช่วงเวลาที่รู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยล้าจนอยากจะเมินหน้าใส่ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ เขาเองก็รู้สึกแบบนั้นอยู่บ่อยๆ ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่เขาเหนื่อยคนที่เข้ามากอดปลอบและให้กำลังใจจะเป็นราเมศ
พี่เมศของเขามีขีดความอดทนที่สูงเกินมนุษย์ธรรมดา เหนื่อยก็ไม่เคยบ่น ล้าก็ไม่เคยแสดงอาการให้เห็น ไม่เคยเอาความหงุดหงิดใจมาลงกับคนที่บ้านเลยสักครั้งจนปานตะวันแอบคิดเล่นๆ ว่าบางทีพี่เมศของเขาอาจเป็นคนเหล็กที่แข็งแกร่ง อดทนได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ปานตะวันเชื่อมั่นว่าไม่ว่าไฟจะไหม้หรือฟ้าจะถล่มพี่เมศก็จะยังคงเข้มแข็งได้เสมอ
เขาเคยคิดแบบนั้นมาตลอดจนกระทั่งวันนี้
“พี่เมศ”
ตีสองสี่สิบนาทีแล้วแต่ไฟในห้องนั่งเล่นยังเปิดอยู่ ปานตะวันที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นกลางดึกเมื่อไม่พบคนรักนอนอยู่ข้างๆจึงออกมาตามหาแล้วก็พบอีกฝ่ายนั่งหน้าเครียดอยู่บนโซฟายาวตัวโปรด ตรงหน้ามีสมุดบัญชี โน้ตบุ๊กที่เปิดหน้าจอค้างอยู่ที่หน้าเพจแนะนำร้านอาหาร สีหน้าของราเมศตอนที่เลื่อนอ่านข้อความบนเพจสลับกับหันมามองบัญชีดูไม่สู้ดีเท่าใดนัก
ปานตะวันเดินไปทิ้งตัวนั่งข้างๆ คนรักอย่างแผ่วเบา
“อ้าวตะวัน นอนไม่หลับเหรอ” ราเมศหันมามองคนรักอย่างแปลกใจ “หรือว่าออกมาเข้าห้องน้ำ”
“ตื่นมาแล้วไม่เห็นพี่เมศเลยออกมาตามหา แล้วนี่ทำอะไรอยู่ครับ ทำไม่ถึงยังไม่นอน”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
ไม่มีอะไรก็คือมีอะไรแน่ๆ ปานตะวันถือวิสาสะชะโงกหน้าไปดูข้อความในเพจแนะนำร้านอาหารที่เปิดค้างอยู่แล้วก็มุ่นคิ้วเมื่อพบว่าเนื้อหาล่าสุดที่ผู้ดูแลเพจเขียนนั้นเกี่ยวกับร้านอาหารของราเมศแต่เนื้อหานั้นค่อนข้างเป็นไปในทางลบ ยิ่งอ่านยิ่งตงิดใจจนสุดท้ายปานตะวันก็ต้องคว้าเอาโน้ตบุ๊กมาวางบนตัก เลื่อนอ่านอย่างจริงจัง
คำวิจารณ์จากเจ้าของเพจนั้นเขียนไว้ว่าร้านอาหารของพี่เมศนั้นพนักงานบริการแย่ ดูไม่เต็มใจจะบริการแถมยังมีการนินทาลูกค้าให้เจ้าตัวได้ยินอีก รสชาติอาหารก็งั้นๆ ไม่สมราคา ครึ่งหลังๆ ดูจะเอาอารมณ์ตัวเองมาปนหลายส่วน
เมื่ออ่านจบปานตะวันก็ยังไม่พูดอะไร ชายหนุ่มหันไปสบตากับราเมศที่มองมาด้วยสีหน้าหนักใจอยู่ก่อนแล้ว
“ที่ทำให้พี่กังวลจนนอนไม่หลับคือเรื่องนี้เหรอครับ”
“จะว่างั้นก็ได้”
“อะไรทำให้พี่ใส่ใจกับคำวิจารณ์นี้มากกว่าคำวิจารณ์อื่นเหรอครับ ปกติตะวันเห็นพี่อ่านๆ แล้วก็เอามาปรับปรุงแต่ไม่เคยเห็นพี่เก็บมาคิดมากแบบนี้เลยสักครั้ง”
ทำงานบริการ จะไม่ใส่ใจเรื่องคำวิจารณ์เลยก็ไม่ได้ แน่นอนว่าราเมศเป็นพวกเปิดกว้างเรื่องนี้ ชายหนุ่มรับฟังทุกความคิดเห็นแต่คำวิจารณ์ก็มีหลายรูปแบบ บางคนติเพื่อก่อ บางคนก็ชมเชย บางคนก็ช่างจับผิด บางคนก็ด่าแค่เอาสนุกหรือด่าเพราะหมั่นไส้ คำวิจารณ์ไหนที่ราเมศเห็นว่าไม่มีประโยชน์ชายหนุ่มก็จะเมินไป อ่านแต่คำวิจารณ์ที่นำมาปรับปรุงฝีมือและร้านของตนได้
ชายหนุ่มรับฟังคำวิจารณ์แต่ไม่เคยเก็บมันมาทำให้ตัวเองไม่สบายใจแบบครั้งนี้
“พี่เมศ พักนี้ที่ร้านมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
เพราะต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ ปานตะวันเลยได้หยุดพักงาน เขาได้ยินมาว่าตอนที่ตัวเองหยุดพี่พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งก็ขอลาออกกลับไปแต่งงานที่บ้านเกิด ส่วนอีกคนหนึ่งขอลาออกไปทำงานที่อื่นทำให้ทางร้านอาหารขาดคน ปานตะวันรู้ว่าราเมศประกาศรับสมัครพนักงานเสิร์ฟและได้เด็กใหม่มาสองคน แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับร้านอาหารอีก ตอนที่กลับมาบ้านราเมศก็ไม่ได้พูดถึงชายหนุ่มจึงคิดว่าทุกอย่างราบรื่นดี
“พี่เมศ พี่เล่าให้ผมฟังได้ทุกเรื่องนะ”
ปานตะวันแตะท่อนแขนสีน้ำผึ้งของคนรักเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าเขายังอยู่ตรงนี้ พูดตามตรงพอเห็นสีหน้าไม่สบายใจของราเมศแบบนี้แล้วเขาก็รู้สึกหนักใจตามไปด้วย ไหนจะสมุดบัญชีที่เห็นแวบๆ นั่นอีก ปานตะวันรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าคำวิจารณ์นี่แน่
หรือว่าเพราะเพจนี้ทำให้ลูกค้าหายรายได้หดกันนะ
ชายหนุ่มผมน้ำตาลเฝ้ารอคำตอบแต่เมื่อเห็นคนรักยังปิดปากเงียบก็ได้แต่ถอนหายใจ
นี่ล่ะนะพี่เมศของเขา พร้อมจะช่วยเหลือและให้คำปรึกษาคนอื่นทุกเมื่อแต่พอเป็นเรื่องของตัวเองแล้วกลับปิดปากเงียบ
เมื่อไม่ได้คำตอบปานตะวันจึงยอมถอยให้ก่อนก้าวหนึ่ง
“พี่เมศศศ”
ปานตะวันลากเสียงยาว ทำหน้ายู่ยี่น่าขันใส่คนรัก ได้ผล ราเมศที่มองใบหน้าตลกๆ ของเขาหลุดยิ้มออกมาจนได้
“ทำหน้าอะไรของนายเนี่ยไอ้เด็กแสบ”
“เลียนแบบพี่เมศ เครียดจนหน้าย่น”
“เดี๋ยวจะโดน”
“กลัวที่ไหนล่ะ”
ปานตะวันแลบลิ้น ผลจากการทำทะเล้นใส่ผู้ชายหน้าดุคือโดนมือใหญ่ของอีกฝ่ายยันหน้าผากไว้แล้วก็ออกแรงผลักจนหน้าหงาย ปานตะวันที่ตั้งตัวไม่ทันบ่นอุบอิบทันใด
“เล่นแรงเป็นบ้า”
“ให้เอาคืนละกัน”
“ขอต่อยสักทีได้ไหม”
“แลกกับจูบสิบที?”
“เพ้อเจ้อละ”
ว่าเสร็จก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายหายเครียดแล้ว ปานตะวันหัวเราะในลำคอจากนั้นก็ยืดตัวไปจูบริมฝีปากคนรักแผ่วๆ หนึ่งทีจากนั้นก็เอื้อมมือไปปิดโน้ตบุ๊ก เก็บข้าวเก็บของให้คนรัก
“กลับไปนอนดีกว่าครับพี่เมศ ตอนนี้เป็นเวลาพักผ่อนนะ เรื่องเครียดๆ ไว้คิดต่อพรุ่งนี้ก็ได้”
“เอางั้นเหรอ”
“คิดตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรนอกจากเครียดมากขึ้น ไปนอนเถอะครับ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ อะไรที่ตะวันช่วยได้ก็จะช่วยนะ คืนนี้พักผ่อนก่อนเถอะครับ”
ปานตะวันกางแขนกอดคนรัก
“ตะวันอยู่ข้างพี่เสมอนะ”
หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ปานตะวันก็พยายามสังเกตท่าทีของราเมศให้มากขึ้น ชายหนุ่มพบว่าสองสามวันนี้คนรักดูเหน็ดเหนื่อยมากกว่าปกติแต่พอเข้าไปถามอะไรอีกฝ่ายก็มักจะส่งยิ้มกลับมาให้แล้วก็ตอบว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี
ไอ้นิสัยที่ปกป้องคนอื่นแต่ไม่ยอมให้ใครมาปกป้องนี่ทำให้ปานตะวันอยากตีพี่เมศของเขาเสียจริงๆ
สุดท้ายปานตะวันก็อดรนทนไม่ไหว ต้องโทรไปหาชนกันต์ เรียกอีกฝ่ายมาที่บ้านทันที ฝ่ายนั้นก็เป็นเพื่อนที่ดี หลังวางสายไม่นานก็โผล่มานั่งทำหน้าทำตากวนประสาทอยู่ที่ห้องนั่งเล่นในบ้านของปานตะวันแล้ว
“แล้วที่เรียกกูมาหานี่มีอะไร” ชนกันต์เลิกคิ้วขณะมองสีหน้าไม่สู้ดีของเพื่อนสนิท “ทำหน้าเหมือนคนโดนทิ้ง”
“กูอยากปรึกษามึงเรื่องพี่เมศ”
“สรุปเขานอกใจมึงเหมือนที่กูคิดไว้จริงๆ เรอะ”
“เชี่ยนี่ปากหมาเดี๋ยวปั๊ดชกให้ปากแตก”
ชนกันต์หัวเราะร่า ไม่ได้สลดใจที่โดนด่าแต่อย่างใด ปานตะวันกลอกตาวนเป็นเลขแปดจากนั้นก็กล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นี่กูไม่ได้ล้อเล่นนะเว้ย กูกลุ้มใจเรื่องพี่เมศมากจริงๆ”
พอเห็นเพื่อนจริงจังชนกันต์จึงกระแอมแล้วปรับเขาสู่โหมดจริงจังตาม
“ไหนว่ามาซิ”
ปานตะวันรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนรักฟังทันที พอฟังจบชนกันต์ก็ลูบคางครุ่นคิด ปานตะวันที่ต้องการยืนยันความร้ายแรงของเรื่องนี้จึงหยิบโทรศัพท์มาเข้าเพจวิจารณ์อาหารแล้วก็ส่งให้ดู
“เอาจริงๆ ตามความคิดของกูคือจะโทษคนเขียนเพจก็ไม่ได้ทั้งหมด เรื่องมันเริ่มจากพนักงานทำตัวไม่ดี”
“กูรู้ แต่พี่เมศดูเครียดมาก”
“เออเข้าใจ มีคนแชร์ออกไปเยอะอยู่ แต่กระแสยังไม่ถึงขั้นย่ำแย่นะ มีพวกลูกค้าประจำหรือคนที่ลองมากินหลายคนออกมาเขียนแก้ต่างให้ด้วยว่าอาหารอร่อย พนักงานคนอื่นก็บริการดี น่ารัก ไม่ได้มีแต่ด้านลบอย่างเดียว”
“กระแสช่วงนี้เหมือนจะดีขึ้นแล้วนะ ช่วงแรกเห็นว่าลูกค้าหายไปเยอะอยู่” ปานตะวันถอนหายใจ “แต่กูว่ามันน่าจะมีเรื่องอื่นด้วย ไม่ใช่แค่เรื่องนี้อย่างเดียว”
ชนกันต์มองเพื่อนด้วยความเข้าใจ คบกันมานานทำไมจะไม่รู้ว่าที่ไอ้ตะวันมานั่งกลุ้มอยู่ทุกวันนี้เพราะมันเป็นห่วงพี่เมศ ยิ่งพี่เมศกลับมาด้วยท่าทางเหนื่อยๆ แล้วมันช่วยอะไรไม่ได้ไอ้ตะวันก็ยิ่งคิดมาก ส่วนพี่เมศที่ไม่ยอมบอกอะไรมันก็คงคิดว่าไม่อยากเพิ่มเรื่องไม่เป็นเรื่องให้ปานตะวันกลุ้มใจ ชนกันต์คิดว่าพี่เมศรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ หากเหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ มีหรือจะไม่ปรึกษาคนในครอบครัว ตอนนี้ฝ่ายนั้นคงแค่เหนื่อยกับการสะสางปัญหาเฉยๆ
“กูกลุ้มใจว่ะกันต์” ปานตะวันเอนตัวพิงผนัง “พี่เมศช่วยกูมาตั้งเยอะตั้งแยะ แล้วดูดิ พอพี่เขาเหนื่อยกูกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย”
“มึงคิดมากไป”
ชนกันต์ลุกไปเทน้ำส้มก่อนจะแกะขนมที่ซื้อติดมือมาใส่จานให้เพื่อน
“กูรู้แต่มันห้ามไม่ได้นี่หว่า กูอยากช่วยพี่เขาบ้าง”
“ไอ้แมวแสบ แค่มึงกับหลานรอพี่เขาอยู่ที่นี่ก็เป็นการช่วยเหลือมากแล้วไม่รู้เหรอ”
“มึงหมายความว่าไง” ปานตะวันขมวดคิ้ว ในขณะที่ชนกันต์ยิ้มนิดๆ “เวลากลับบ้านแล้วเจอคนที่เรารักคอยให้กำลังใจอยู่มันเป็นเรื่องดีมากเลยไม่ใช่เหรอ เชื่อกูเถอะตะวัน มึงกับหนูเจียคือส่วนสำคัญที่ทำให้พี่เขาเข้มแข็งมาจนถึงทุกวันนี้”
ชนกันต์กลับไปแล้ว ส่วนปานตะวันก็ไปรับหลานชายกลับจากโรงเรียนตามปกติแต่ภายในหัวของเขายังมีบทสนทนาที่คุยค้างไว้กับชนกันต์วนเวียนอยู่
แค่มีเขากับหนูเจียอยู่ก็ทำให้พี่เมศหายเหนื่อยได้แล้วอย่างนั้นหรือ
ปานตะวันนึกทบทวนประโยคนั้นแล้วก็ไพล่นึกไปถึงตอนที่ตัวเองตอนกำลังย่ำแย่ ตอนนั้นเพราะคนในครอบครัวคอยช่วยเหลือเขาถึงผ่านมาได้ อ้อมกอดของคนในครอบครัวทำให้เรื่องราวร้ายๆ และความเหนื่อยยากบรรเทาลง
บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่ชนกันต์ต้องการจะสื่อก็ได้
พี่เมศแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว สิ่งที่ชายหนุ่มต้องการคือ ‘แรงใจ’ และคนที่จะทำหน้าที่นั้นได้ดีที่สุดก็มีเพียงเขาและหนูเจียเท่านั้น คิดได้ดังนั้นปานตะวันจึงเอื้อมมือไปอุ้มหลานชายตัวกลมที่นอนพังพาบวาดรูปอยู่บนพื้นขึ้นมาหอมแก้มก่อนจะเอ่ยว่า
“หนูเจียครับ”
“คับน้าตะวัน”
“วันนี้น้าตะวันคิดอะไรสนุกๆ ได้ เราสองคนมาทำเรื่องเซอร์ไพรส์น้าเมศกันดีไหมครับ”
พอได้ยินคำว่าสนุกกับคำว่าน้าเมศ ดวงตากลมแป๋วก็เปล่งประกายทันที หนูเจียยิ้มจนแก้มพอง พยักหน้าหงึกหงัก “ดีคับ! หนูเจียเอาด้วยๆๆ”
“งั้นเริ่มจากทำอะไรดีน้า” ปานตะวันเดินไปเปิดตู้เย็นในครัวเพื่อสำรวจวัตถุดิบ วันนี้เขาตั้งใจจะเอาใจพี่เมศให้เต็มที่ ทำให้อีกฝ่ายหายเหนื่อยให้ได้ เริ่มจากการทำกับข้าวรอคนรักกลับบ้าน
“ไข่เจียวคับ! หนูเจียอยากตีไข่”
“ได้ งั้นไข่เจียวเนอะ”
ปานตะวันหยิบไข่ไก่ออกจากตู้เย็นจากนั้นก็ตอกไข่ใส่ถ้วยพลาสติกให้หนูเจีย เด็กชายตัวเล็กวิ่งดุ๊กๆ ไปหยิบเก้าอี้ไม้เตี้ยๆ มาเพื่อเอามาต่อขา พอขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ขอบเคาน์เตอร์ครัวก็อยู่ตรงไหปลาร้าหนูเจียพอดี เด็กชายหยิบชามมาถือแล้วก็เริ่มตีไข่อย่างขะมักเขม้น
“ระวังเลอะนะหนูเจีย”
“คับผม”
ระหว่างที่หนูเจียตีไข่ปานตะวันก็รื้อเอามะเขือเทศ มันฝรั่ง หอมใหญ่และน่องไก่สดออกมาเตรียมทำซุป ชายหนุ่มยังคิดจะทำผัดผักบุ้งไฟแดงกับปลาสามรสที่ราเมศชอบกินด้วย วันนี้ชายหนุ่มจะเพิ่มเมนูของหวานเข้าไปให้คนรักกับหลานชายด้วย ปานตะวันเชื่อว่าของหวานช่วยให้หายเหนื่อยได้
ปานตะวันเริ่มจากการทำขนมหวานก่อน ชายหนุ่มเลือกขนมถ้วยเป็นเมนูวันนี้ ในบรรดาขนมที่หลงสอนทำ เขามั่นใจฝีมือการทำขนมถ้วยของตัวเองที่สุดแล้ว
ชายหนุ่มเริ่มจากผสมส่วนที่เป็นหน้าขนมก่อน จากนั้นก็นำไปกรองผ่านตะแกรงเตรียมไว้แล้วจึงกลับมาทำส่วนที่เป็นตัวขนม
“น้าตะวัน อันนี้อะไรคับ”
หนูเจียตัวน้อยทำจมูกฟุดฟิดเหนือถ้วยใส่น้ำที่มีกลิ่นหอมหวาน ปานตะวันลูบผมหลานชายแล้วตอบว่า “น้ำลอยดอกมะลิครับหนูเจีย น้าตะวันจะผสมน้ำลอยดอกมะลิลงในขนมนี้จะได้มีกลิ่นหอม”
ปานตะวันผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันอย่างคล่องแคล่วแล้วก็นำไปกรองผ่านตะแกรง หนูเจียมองน้าตะวันจัดการกับถ้วยใส่ขนม เทส่วนผสมใส่ถ้วยแล้วก็นำไปนึ่งจากนั้นก็ยกลงจากเตา พักไว้แป๊บหนึ่งแล้วก็เทส่วนหน้าขนมลงไป ยกกลับไปนึ่งอีกรอบ ท่าทางของน้าตะวันคล่องแคล่วลื่นไหลจนหนูเจียมองเพลิน
เด็กชายคิดว่าตัวเองโชคดีมากๆ น้าเมศทำกับข้าวอร่อยส่วนน้าตะวันทำขนมอร่อย น้ากันต์ก็ใจดีซื้อของกินมาให้ บางวันน้าหลงมาหาพร้อมขนมไทยเต็มมือยิ่งดีเข้าไปใหญ่
มิน่า...น้าๆ ที่รู้จักเขาถึงได้ชอบล้อว่าเขาจะต้องกลายเป็นเด็กอ้วน แต่หนูเจียไม่อ้วนหรอกนะ! เพราะน้าตะวันพาเขาไปเรียนว่ายน้ำ เรียนเทควันโด พาออกกำลังตลอด หนูเจียตัวน้อยที่โดนขุนด้วยของกินจึงกลายเป็นเด็กที่ดูมีน้ำมีนวลมีแก้มยุ้ยๆ ให้พี่ๆ ฟัดกันเล่นสนุกแต่ไม่ได้อ้วนกลม
“เสร็จแล้ว” น้าตะวันพูดอย่างยินดีเมื่อขนมสุกได้ที่ พอยกออกมากลิ่นหอมก็โชยมาแตะจมูกจนชักจะหิว น้าตะวันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะบอกว่ารออีกสักหน่อยนะจะรีบไปทำกับข้าวให้
เพราะน้าเมศเลิกงานดึก หนูเจียเลยจะได้กินข้าวก่อนใครเพื่อน ปานตะวันทำข้าวไข่เจียวราดซอสมะเขือเทศให้อีกฝ่ายกิน แล้วก็แถมขนมถ้วยให้สองถ้วย พอดูให้เด็กน้อยกินอิ่มชายหนุ่มก็หันกลับมาทำอาหารคาวรอคนรัก ส่วนหนูเจียก็ไปแปรงฟันรอ
ปานตะวันจัดการกับข้าวด้วยตัวคนเดียวอยู่นาน ทำไมทำมาก็ใกล้ได้เวลาเลิกงานของราเมศพอดี เขาโทรหาอีกฝ่ายก็พบว่ากำลังเก็บร้าน น้ำเสียงพี่เมศดูเพลียมากจริงๆ จนปานตะวันต้องเร่งมือทำสิ่งที่วางแผนไว้ให้เสร็จโดยเร็ว
ราเมศถอนหายใจหลังกดวางสายจากคนรัก ชายหนุ่มจัดการไล่เช็กความเรียบร้อยของหน้าต่าง ประตู เมื่อเห็นว่าปิดสนิทเรียบร้อยแล้วจึงเดินไปปิดไฟ ปิดร้าน
“ร้านเรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะพี่เมศ งั้นหนูกลับบ้านแล้วนะคะ”
“อื้ม ขอบคุณมากนะน้องพีช”
พนักงานเสิร์ฟหญิงที่ชื่อพีชยิ้มให้ก่อนจะเดินไปซ้อนท้ายจักรยานยนต์ที่แฟนหนุ่มขี่มารอรับ ราเมศยืนส่งรุ่นน้องไปจนลับตาก่อนจะเดินไปขึ้นรถตัวเองบ้าง วันนี้วันศุกร์แล้ว ในที่สุดเขาก็รู้สึกเหมือนได้พักหลังจากเผชิญเรื่องวุ่นมาทั้งสัปดาห์
ต้นตอของปัญหาทั้งหลายแหล่ก็รวมอยู่ที่พนักงานใหม่คนหนึ่ง ตั้งแต่รับเด็กคนนี้เข้ามาก็เกิดปัญหาได้ไม่หยุดหย่อน อีกฝ่ายไม่มีใจบริการลูกค้า พูดจาห้วนๆ ไม่ไพเราะแล้วยังชอบทำผิดพลาดบ่อยๆ ตอนแรกราเมศคิดว่าเด็กคนนี้คงเป็นเหมือนปานตะวันช่วงแรกที่ยังไม่ชินงานจึงยังไม่ได้ไล่ออก ทำเพียงเรียกไปตำหนิและสอนงานให้เท่านั้นแต่ยิ่งเวลาผ่านก็ยิ่งรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่คิดพัฒนาตัวเองเลย เป็นอย่างไรก็ยังคงเป็นแบบนั้น จดหมายจากลูกค้าในกล่องร้องเรียนเรื่องเด็กคนนี้เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ราเมศจึงขู่จะไล่อีกฝ่ายออก ทางนั้นก็ตกใจหน้าตาตื่น รับปากแล้วรับปากอีกว่าจะไม่ทำ จะปรับปรุงตัวแต่ก็เป็นเพียงลมปาก
ที่แย่ที่สุดคือวันที่นักเขียนเพจแนะนำอาหารมาที่ร้านเขา คนไปรับออเดอร์คือเด็กคนนี้ ไม่รู้ว่าไปรับอาหารอีท่าไหนทางลูกค้าถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขียนวิจารณ์ร้านเขาลงเพจซะเละเทะไม่เหลือชิ้นดี นับแต่วันนั้นยอดลูกค้าก็ลดลง แม้ไม่มากแต่ไม่ส่งผลดีในระยะยาว ราเมศที่เห็นท่าไม่ดีจึงปรึกษาหุ้นส่วน พวกเขาตรวจสอบไปตรวจสอบมาก็พบว่าเด็กคนนี้นอกจากทำตัวไม่ดีจนลูกค้าร้องเรียนบ่อยๆ แล้วยังแอบขโมยเงินอีกด้วย
สุดท้ายราเมศก็ตัดสินใจไล่เด็กนั่นออก ส่วนลูกค้าที่หายไปเขาก็กำชับพนักงานให้บริการคนที่เข้ามาให้ดีรวมถึงคิดโปรโมชั่นดึงดูด อาทิตย์นี้ลูกค้าจึงเริ่มกลับมาหนาแน่นร้านเหมือนปกติ
ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อฝ่ารถติดกลับถึงบ้านแล้วในที่สุด เหนื่อยกายเหนื่อยใจจนอยากล้มตัวลงนอนใจจะขาด ทว่าพอก้าวขึ้นไปบนเรือนไทย กลิ่นอาหารหอมฟุ้งก็ทำให้ตาสว่าง
“เซอร์ไพรส์” ปานตะวันโผล่หน้าออกมาต้อนรับ ในขณะที่หนูเจียในชุดนอนลายเป็ดเหลืองวิ่งหน้าขาวเพราะถูกปะแป้งมาหาเช่นกัน
“น้าเมศคับ กลับมาแล้วเหรอ”
“ครับคนเก่ง น้าเมศมาแล้ว”
ราเมศหอมแก้มยุ้ยของหลานชายไปหลายทีก่อนจะเดินหอมคนรักที่ยืนรออยู่ด้วยเช่นกัน ปานตะวันหอมแก้มเขาตอบก่อนจะส่งผ้าขนหนูสะอาดผืนหนึ่งมาให้ “เช็ดหน้าเช็ดตาสิพี่เมศ ดูเหนื่อยๆ ตะวันเลยเตรียมไว้ให้”
ผ้าขนหนูฟูนุ่มผืนนั้นหอมกลิ่นมะลิจางๆ พอยกขึ้นเช็ดตามใบหน้าและลำคอก็ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นจริงๆ เมื่อเช็ดหน้าเช็ดตาเสร็จทั้งครอบครัวก็เดินไปที่ห้องครัว ราเมศที่ได้กลิ่นอาหารอยู่แล้วจึงถามขึ้นว่า
“วันนี้ทำกับข้าวเองหมดเลยเหรอ”
“ใช่แล้ว พี่เมศกลับมาจะได้ไม่เหนื่อยไง”
“มีอะไรบ้างล่ะนั่น” เดินเข้ามาในครัวก็เห็นกับข้าวเต็มโต๊ะ มีแต่ของโปรดเขาทั้งนั้น “ไข่เจียว อันนี้หนูเจียช่วย ซุปไก่ ปลาสามรสแล้วก็ผัดผักบุ้งไฟแดง”
“ทำไมทำเยอะแยะขนาดนี้ ฉลองเนื่องในโอกาสอะไรเหรอ”
“ไม่ใช่ในโอกาสอะไรทั้งนั้นแหละ” ปานตะวันตอบพลางคดข้าวหอมมะลิร้อนๆ ใส่จานให้ราเมศ “ตะวันแค่อยากทำให้ มากินข้าวกันเถอะ”
มื้ออาหารนั้นราเมศถูกบริการอย่างดี ปานตะวันกับเจียหลินเอาอกเอาใจเขาสารพัด ตักกับข้าวใส่จานให้ไม่ขาด พอกินจนอิ่มชายหนุ่มก็เตรียมตัวจะไปล้างจานแต่ปานตะวันบอกว่าไม่ต้อง คนรักเก็บกวาดแล้วก็จูงมือล้างชายไปช่วยกันทำความสะอาดจานชามทั้งหมดจนเรียบร้อยทิ้งให้ราเมศยืนมองตาปริบๆ
“ทำไมวันนี้ดูเอาใจพี่กันจัง ทั้งนายทั้งหลานเลย”
ตอนที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ด้วยกันปานตะวันก็ไปยกขนมถ้วยกับชามาให้ดื่ม ราเมศที่ทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหวจึงหันไปถามแล้วก็ได้รับคำตอบมาเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
ปานตะวันลุกขึ้นยืน เดินอ้อมไปด้านหลังโซฟา ลงมือบีบนวดที่บ่าคนรัก ส่วนหนูเจียก็บีบไปตามท่อนขาคุณน้า มือเล็กๆ เดี๋ยวก็บีบ เดี๋ยวก็ทุบแล้วก็เปลี่ยนเป็นกดๆ ตรงนั้นทีตรงนี้ที ท่าทางสนุกสนาน
“ไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า ทำดีกลบเกลื่อนเหรอ”
“โห พูดแบบนี้นี่มันน่าเลิกทำให้ไหม” ปานตะวันแยกเขี้ยว “คนเขาเห็นพี่เหนื่อยหรอกถึงได้ทำให้ อยากให้กลับบ้านมาแล้วผ่อนคลาย” ปลายนิ้วของปานตะวันกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วของราเมศแล้วก็ออกแรงนวดคลึงให้หัวคิ้วคลายออกจากกัน
“รู้ตัวไหมครับว่าอาทิตย์นี้พี่ขมวดคิ้วเกือบตลอดเวลาเลย” ปานตะวันโอบบ่าราเมศไว้หลวมๆ จากนั้นก็ใช้แก้มขาวๆ ของตัวเองเบียดคลอเคลียกับแก้มสากๆ ของอีกฝ่าย
“ตะวันกับหลานเป็นห่วงนะ อยากให้พี่สบายใจขึ้นเวลากลับบ้าน อย่างน้อยก็อยากให้ผ่อนคลายเวลากลับบ้าน”
ราเมศเบือนหน้าไปจูบแก้มคนรักหนักๆ ก่อนที่ปานตะวันจะย้ายมานั่งข้างกันบนโซฟา ชายหนุ่มผิวแทนอุ้มหนูเจียมานั่งบนตัก เด็กน้อยกอดคุณน้าหนุบหนับเป็นการให้กำลังใจ เห็นดังนั้นราเมศจึงรวบตัวปานตะวันมากอดด้วย กลายเป็นทั้งสามคนตระกองกอดกันอยู่บนโซฟา
“ขอบคุณนะตะวัน หนูเจีย”
“ไม่เป็นไรครับ พวกเรารักพี่นะ”
“หนูเจียก็รักน้าเมศน้า”
ริมฝีปากได้รูปของปานตะวันประทับลงที่แก้มข้างขวาของราเมศส่วนปากเล็กๆ ของหนูเจียประทับลงที่แก้มซ้าย เสียงจุ๊บเบาๆ ทำให้ราเมศหัวเราะออกมา
ความหนักใจความไม่สบายใจที่เผชิญมาตลอดอาทิตย์สลายหายไปในวินาทีนั้น
*********************************************
สวัสดีค่า เรากลับมาแล้ววว หายหน้าหายตาไปนาน กลับมาคราวนี้ก็มาพร้อมกับตอนพิเศษน่ารักๆ ของครอบครัวแมวค่ะ
ตอนนี้เขียนขึ้นเพราะอยากแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเออ พี่เมศนี่ไม่ใช่คนเหล็กนะ (แม้ในเรื่องพี่แกจะแบกทุกอย่างไว้กับตัว
ก็ตาม) พี่เมศก็เป็นคนธรรมดา เหนื่อยเป็น ท้อเป็น แต่การที่ปานตะวันกับหนูเจียอยู่ที่บ้าน คอยให้กำลังใจ ก็ทำให้พี่เมศหายเหนื่อยได้
คนเราย่อมมีช่วงเวลาที่ท้อมากๆ ใช่ไหมคะ ถ้าเวลานั้นมาถึงเราก็คงจะอยากพัก และสถานที่ที่เติมพลังให้เราได้ดีที่สุดก็คืออ้อมกอดของคนที่เรารักนั่นเอง ตอนพิเศษนี้ก็เลยเกิดขึ้นมา หวังว่าโมเม้นต์หวานๆ ของครอบครัวปานตะวันจะช่วยฮีลลิ่งทุกคนให้พร้อมเผชิญหน้ากับวันจันทร์นะคะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน ยังรักและคิดถึงกันเน้อ หากใครอยากพูดคุยกับเราสามารถส่งข้อความมาคุยเล่นกันได้ที่เพจ AzureDream นะคะ พบกันใหม่ในตอนพิเศษต่อไป รักนะจุ๊บๆ