“ตะวัน?”
ราเมศผละออกมาเห็นคนรักมีสีหน้าแตกตื่น ดวงตาสีน้ำตาลของปานตะวันดูล่องลอย มองมาที่เขา...แต่ไม่ได้เห็นตัวเขา
“อย่าเข้ามานะ...อย่าเข้ามา!”
“ปานตะวัน!”
ราเมศจับใบหน้าของปานตะวันไว้ เขาไม่สนใจกำปั้นหนักๆ ที่ไล่ทุบไปที่ร่างกายเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเขย่าตัวคนรัก เรียกชื่ออีกฝ่ายซ้ำๆ
“ตะวัน มองพี่ นี่พี่เมศเอง”
“พี่...เมศ”
“ครับ ใช่แล้ว เด็กดี ไม่ร้องนะ”
ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยที่เคยสดใสบัดนี้มีแต่ความร้าวรานฉายออกมา “พี่เมศ” ปานตะวันสะอื้น เขาร้องไห้ไปแล้วกี่ครั้งก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าตัวเองอ่อนแอลงทุกทีๆ
“ตะวันกลัว...เมื่อกี้...ตะวันไม่ได้เห็นพี่ ตะวันเห็นเป็นพวกแก๊งทวงหนี้ มันกำลังจะมาจับตัวตะวัน”
“ไม่มีแก๊งทวงหนี้ที่ไหนหรอกครับ ตะวันปลอดภัยแล้วนะ อยู่กับพี่ตะวันจะไม่เป็นไร”
ปานตะวันส่ายหน้า กระถดหนี ร่างเล็กๆ กอดเข่า โยกตัวไปมา “อย่าจับตะวันนะพี่เมศ...จับ...ไม่ได้นะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“เพราะตอนพี่จับ..ตะวันจะนึกถึงแต่เรื่อง...เรื่องคืนนั้น แล้วก็รู้ตัวว่าตะวันสกปรก...ฮึก...สกปรกมากแค่ไหน ถ้าจับพี่เมศก็จะสกปรกไปด้วย”
“ไม่จริงหรอกนะ ตะวัน ไม่จริงเลย”
ราเมศไม่เคยรู้สึกอยากจะร้องไห้เท่านี้มาก่อน ปานตะวันตอนนี้ดูเหมือนลูกสัตว์ที่บาดเจ็บ อยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่เข้าไปปลอบประโลมไม่ได้ ชายหนุ่มยื่นมือเข้าไปหาแต่ก็ถูกปัดออกมาเหมือนเมื่อเช้า
“ตะวันขอโทษ ตะวันไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษ” ปานตะวันร้องไห้โฮ น้ำตาอาบแก้ม ร่างเล็กจับมือของตัวเองข้างที่ปัดมือราเมศทิ้งเอาไว้แน่น “ขอโทษครับ ขอโทษ พี่เมศ ตะวันไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ อย่า...อย่าเกลียดตะวันเลยนะ”
ราเมศสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาหลับตาลงเพื่อรวบรวมสติ จากนั้นก็ฝืนยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ปานตะวันเกลียดตัวเองมากขึ้นที่ทำให้คนรักแสดงสีหน้าแบบนี้
“ไม่เป็นไร พี่ไม่เกลียดตะวันหรอก ขอโทษนะที่กดดันมากไป ไปนอนเถอะ”
ราเมศลุกขึ้นยืนแล้วออกเดินไปทางห้องนอนแต่ปานตะวันไม่ได้เดินตาม อีกฝ่ายหยุดยืนนิ่งแล้วก้มหน้าพูดเสียงแผ่วว่า “ตะวันขอแยกห้องนอนนะครับ”
ราเมศกำมือแน่น จำใจพยักหน้า “อื้ม ฝันดีนะ”
“ครับ”
ปานตะวันมองแผ่นหลังกว้างของคนรัก เขารู้ว่าพี่เมศเจ็บปวด ปานตะวันรู้ดีว่าเขาเป็นต้นเหตุของมัน ชายหนุ่มก้าวถอยหลังออกไปช้าๆ เมื่อเดินไปถึงห้องนอนสำหรับแขกจู่ๆ เขาก็นึกถึงแผนการปรับปรุงบ้านหลังนี้ที่เคยพูดกับราเมศไว้ขึ้นมา
จะยังได้ทำร่วมกันอยู่อีกไหมนะ
พี่เมศ...จะทนตะวันไปได้ถึงแค่ไหน
ไม่อยากเป็นแบบนี้เลย ไม่อยากมีความคิดงี่เง่านี่อยู่ในหัว ไม่ชอบอารมณ์ของตัวเองที่ขึ้นๆ ลงๆ จนคนอื่นเสียใจ ไม่ชอบที่เป็นต้นเหตุให้คนอื่นทุกข์ ไม่ชอบร่างกายที่ไม่เป็นไปตามคำสั่งแบบนี้ ความเปราะบางของอารมณ์เหมือนจะเพิ่มขึ้นทุกที
ทรมานจังเลย พี่เมศ...ช่วยที
หลายวันต่อจากนั้นอาการของปานตะวันก็ดูจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มเริ่มเก็บตัว ไม่รับโทรศัพท์จากเพื่อนหรือคนอื่น แม้แต่ชนกันต์ปานตะวันก็ไม่ยอมรับสาย ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าเวลาเคลื่อนผ่านไปช้ามากในแต่ละวัน และทุกๆ นาทีที่ต้องเผชิญคือความทรมาน
ปานตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นก้อนพลังงานด้านลบที่เดินได้ เขาเว้นระยะห่างจากคนรอบข้าง เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง แม้แต่หนูเจียและราเมศก็ได้เจอกันแค่ตอนทานอาหารเท่านั้น ปานตะวันถูกราเมศพักงาน อยู่แต่กับบ้าน ชายหนุ่มเริ่มนอนทั้งวัน รู้สึกเบื่อหน่ายง่วงซึมตลอดเวลา ไม่อยากออกไปพบผู้คนแต่ก็ไม่ชอบเวลาอยู่คนเดียวเช่นกัน ทุกครั้งที่นั่งเงียบๆ ในห้อง ความทรงจำเลวร้ายก็จะผุดขึ้นมา หลอกหลอนทั้งยามหลับและยามตื่น
อารมณ์ของปานตะวันขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา บางครั้งเขาก็หงุดหงิดตัวเองที่อ่อนแอขนาดนี้ เวทนาตัวเองจนอยากจะให้ตายๆ ไปซะจะได้จบเรื่อง บางครั้งชายหนุ่มก็เหม่อลอยทั้งวัน นิ่ง เงียบ ไม่พูดจากับใครเลย เขาไม่ชอบตัวเองในตอนนี้เลยจริงๆ มันรู้สึกไร้ค่าจนน่าสมเพช
ปานตะวันรู้สึกว่าการตื่นมาในตอนเช้าเป็นเรื่องที่ทรมานที่สุด ตื่นมา..เพื่อรู้สึกเศร้าและว่างเปล่า
“ตะวัน” วันนี้พี่เมศก็มาปลุกเช่นเคย ชายหนุ่มผิวแทนจะอยู่นอกห้อง เคาะเรียกจนกว่าปานตะวันจะยอมลุก “ตะวัน ตื่นได้แล้วเด็กดี เช้าแล้วนะครับ”
น้ำเสียงของพี่เมศยังอบอุ่น อ่อนโยน ปานตะวันโหยหาอ้อมกอดนั้นแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับการถูกรักโดยคนที่แสนดีขนาดนี้
เด็กดีงั้นเหรอ ไม่ใช่หรอก ปานตะวันไม่ใช่เด็กดีของพี่เมศอีกแล้ว
“ตะวัน...ออกมาสิ วันนี้มีคนมาหานะ”
คนมาหา? ใคร?
“ตะวันต้องเซอร์ไพรส์แน่เลย มาเถอะ”
ปานตะวันลุกจากเตียงอย่างเชื่องช้า ชายหนุ่มเปิดประตูออกไปแล้วก็เจอราเมศยืนอยู่นอกห้อง ร่างสูงใหญ่เบี่ยงตัวให้ปานตะวันเดินออกไปโดยไม่สัมผัสตัวกัน
กี่วันแล้วนะที่ไม่ได้กอด ไม่ได้แตะต้องกันเลย
ราเมศพาปานตะวันไปที่ห้องครัว ที่โต๊ะกินข้าวมีร่างคุ้นตาของผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ หนูเจีย เมื่อเห็นเธอปานตะวันก็พูดออกมาด้วยท่าทางตกใจว่า “แม่”
เสียงสั่นพร่าของปานตะวันเรียกให้รุ่งฟ้าเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่คล้ายคลึงกันกับปานตะวันไหวระริกเมื่อเห็นสภาพของลูกชาย
“ตะวัน...ทำไมถึงได้...” ทำไมถึงได้มีสภาพแบบนี้
รุ่งฟ้าแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเองเมื่อเห็นร่างของปานตะวัน ดวงตากลมที่เคยเปล่งประกายสดใสบัดนี้หม่นหมองและดูไร้ซึ่งจิตวิญญาณ ร่างของปานตะวันดูเล็กลงกว่าครั้งล่าสุดที่เธอได้พบ ลูกชายของเธอผ่ายผอมลงมากทีเดียว
“แม่มาได้ยังไง”
รุ่งฟ้าเหลือบมองราเมศแวบหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็เป็นคำตอบให้ปานตะวันได้แล้ว
“พี่บอกแม่เหรอ”
ปานตะวันหันไปหาคนรัก เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว สีหน้าแสดงความขุ่นเคืองออกมาอย่างไม่ปิดบัง ใช่ ปานตะวันโกรธ แค่เดินเข้ามาในครัวแล้วเห็นหน้าของแม่ เห็นแววตาตกใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าเจือความสงสารเขาก็ยิ่งโกรธ
ในหัวใจอึดอัดจนแทบทนไม่ไหว บางสิ่ง...อาจจะเป็นภูเขาไฟลูกสุดท้ายในตัวที่สงบนิ่งมานานพลันขยับไหว
“พี่เรียกคุณรุ่งฟ้ามาเอง” ราเมศเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
ตั้งแต่วันที่ปานตะวันปฏิเสธการให้ราเมศสัมผัสตัวด้วยเหตุผลว่ามันปลุกเอาความทรงจำแย่ๆ ออกมาและทำให้ปานตะวันรู้สึกว่าตัวเขาเองสกปรก ราเมศก็รู้ได้ทันทีว่าคนรักของเขากำลังอาการไม่ดี ชายหนุ่มตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับคุณรุ่งฟ้าเพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ อย่างน้อยก็ใหญ่สำหรับคนใกล้ชิด เมื่อคุณรุ่งฟ้าได้รับเมลของเขาเธอก็ตอบกลับมาว่าจะกลับไทยให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
ราเมศรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างรุ่งฟ้ากับปานตะวันไม่ค่อยดีนัก แต่แม่ลูกกัน อย่างน้อยก็ต้องมีสิ่งพิเศษเชื่อมกันเอาไว้ บางทีรุ่งฟ้าอาจเจาะเข้าไปหลังกำแพงที่ปานตะวันสร้างไว้ได้สำเร็จ
“ทานข้าวเช้ากันดีกว่านะ”
เมื่อบรรยากาศในครัวชักเริ่มอึดอัดราเมศจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขาเดินไปเลื่อนเก้าอี้ให้ปานตะวัน ก่อนจะตักข้าวต้มกุ้งหอมฉุยใส่ถ้วยมาให้
“ทานเยอะๆ เลยนะ พี่ทำไว้เยอะมากเลย”
“ขอบคุณครับ”
ปานตะวันตักข้าวต้มในถ้วยขึ้นมาเป่าเบาๆ หนูเจียตัวน้อยเห็นคุณน้ายอมออกจากห้องมากินข้าวแล้วก็ดีใจ รีบตักกุ้งในถ้วยตัวเองใส่ในถ้วยปานตะวันทันที
“น้าตะวันกินเยอะๆ น้า จะได้แข็งแรง หนูเจียให้กุ้งหมดเลย”
“ขอบคุณครับหนูเจีย แต่ไม่ต้องตักมาให้ทั้งหมดหรอก หนูเจียเองก็ต้องกินเยอะๆ เหมือนกัน”
“อื้อ หนูเจียจะกินให้ตัวโตๆ แล้วก็จะดูแลน้าตะวันเองคับ!”
หลายวันมานี้หนูเจียกลุ้มใจมาก เด็กชายไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเท่าพวกผู้ใหญ่แต่ก็เดาได้ว่าน้าตะวันกำลังเศร้าและมีเรื่องไม่สบายใจ น้าตะวันไม่กลับมานอนกอดหนูเจีย ไม่มาเล่านิทานให้ฟัง ไม่ยอมหอม ไม่ยอมอุ้ม พักหลักๆ จะได้เจอกันเฉพาะตอนมื้อเช้ากับมื้อเย็นเท่านั้น แถมน้าตะวันยังกินน้อยมากๆ ทำให้ผอมลงๆ
พอเขาไปถามน้าเมศ น้าเมศก็บอกว่าน้าตะวันไม่สบาย ต้องการพักผ่อน เจียหลินอย่าเพิ่งเข้าไปกวนเลย เด็กชายตัวเล็กจึงต้องเก็บแผนการมากมายที่อยากทำกับน้าตะวันเอาไว้กับตัวไปก่อน เจียหลินไม่เข้าไปกวนน้าตะวันเลย เขายอมเป็นเด็กดี กินข้าวเยอะๆ ทำการบ้าน แล้วก็ไม่ดื้อไม่ซน น้าเมศบอกว่าทำแบบนี้จะช่วยให้น้าตะวันหายเร็วขึ้น
เจียหลินเป็นเด็กดีแล้วแต่น้าตะวันก็ยังไม่หายป่วยสักที
หรือว่าเขายังดีไม่มากพอนะ
มีหลายครั้งที่เจียหลินคิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆ ของคุณน้า เด็กชายมักจะเดินเงียบๆ ไปนั่งกอดเข่าอยู่หน้าห้องของปานตะวัน เอาหลังพิงบานประตูเย็นเฉียบไว้แล้วก็นั่งอยู่แบบนั้นนานหลายสิบนาที
แต่ไม่ใช่แค่เจียหลินเท่านั้นที่ทำแบบนี้ ตอนกลางคืนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจียหลินสะดุ้งตื่นมากลางดึก เขาไม่เห็นหน้าเมศอยู่ในห้อง ตอนแรกเด็กชายก็จะร้องไห้แต่นึกขึ้นได้ว่าถ้าร้องไห้ตอนนี้จะไปกวนน้าตะวันที่กำลังหลับ หนูเจียเลยอุดปากตัวเอง รวบรวมความกล้าลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปในบ้านมืดๆ ตามลำพัง
สองเท้าเล็กๆ พาร่างของเด็กชายมาหยุดที่หน้าห้องนอนของปานตะวัน และที่หน้าประตูบานนั้น ที่เดียวกับที่เจียหลินชอบนั่งมีร่างสูงใหญ่ของน้าเมศปรากฏอยู่
น้าเมศนั่งชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่ง เอนหลังพิงประตู เหม่อมองไปไกลแสนไกล อีกฝ่ายไม่รับรู้ถึงการมาถึงของหนูเจียเลยด้วยซ้ำ
เจียหลินยืนนิ่งอยู่ในเงามืด นาน...จนได้ยินเสียงร้องไห้
เสียงร้องไห้เสียงหนึ่งดังมาจากในห้อง ส่วนเสียงร้องไห้อีกเสียงต้องขยับเข้าไปจนชิดถึงจะได้ยิน
น้าตะวันร้องไห้เหมือนคนจะขาดใจอยู่ข้างใน ส่วนอีกฝั่งของประตูน้าเมศกัดริมฝีปากพยายามมกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้แต่ก็ทำได้ไม่สำเร็จ
เจียหลินเดินลากผ้าห่มเข้าไปใกล้น้าเมศแล้วก็นั่งลงข้างๆ เบียดซุกตัวในอ้อมกอด
รอคอยให้ความมืดอันยาวนานผ่านพ้นไปด้วยกัน “อร่อยไหมครับหนูเจีย” เสียงทุ้มของน้าเมศทำให้หนูเจียที่เหม่อลอยอยู่สะดุ้งเฮือก หลุดออกจากภวังค์ความคิด เด็กชายกะพริบดวงตากลมสองสามครั้งก่อนพยักหน้าหงึกหงัก
“อร่อยคับ”
“เจียหลินลองกินอันนี้” รุ่งฟ้ารีบพูดก่อนจะตักกับข้าวอย่างหนึ่งใส่ลงในถ้วยข้าวต้มหนูเจีย “อันนี้ก็อร่อยนะ”
“ขอบคุณคับคุณย่า” หนูเจียตักกับข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ อันที่จริงแล้วเด็กชายไม่ชอบกับข้าวชนิดนี้เท่าไหร่ แต่คุณย่าตักมาให้ จะไม่กินก็ไม่ได้ ต่อหน้าคุณย่าฟ้าหนูเจียรู้สึกเกร็งมากกว่าอยู่กับคุณย่าราตรี “อร่อยคับ”
“งั้นเหรอ ดีเลย งั้นตะวันกินด้วยสิ”
รุ่งฟ้าตักอาหารใส่ถ้วยข้าวต้มของลูกชายแล้วก็ตักมาเพิ่มให้หนูเจียด้วย ปานตะวันขมวดคิ้ว มองการกระทำของมารดาด้วยสายตาแปลกๆ แต่กระนั้นเขาก็ยอมกินทุกอย่างที่แม่ตักมาให้
จะว่าไป...ครั้งสุดท้ายที่ได้กินข้าวกับแม่แล้วอีกฝ่ายตักกับข้าวให้มันเมื่อไหร่กันนะ
“ตะวันเอาเพิ่มไหม” พี่เมศถามขึ้นเมื่อเห็นข้าวต้มในถ้วยปานตะวันพร่องไปจนเกือบหมด “เดี๋ยวพี่ไปตักให้”
“ไม่เป็นไรเมศ เดี๋ยวป้าทำเอง”
รุ่งฟ้ารีบยกถ้วยข้าวต้มของปานตะวันขึ้นมา ทำท่าจะเดินไปตักให้แต่ลูกชายของหล่อนกลับเอ่ยห้ามด้วยน้ำเสียงกร้าว “ไม่ต้องครับ ตะวันอิ่มแล้ว”
“อิ่มแล้วหรือ ทานอีกสักหน่อยสิ ลูกผอมไปมากเลยนะ”
“ผมอิ่มแล้วจริงๆ ครับ”
“งั้นเหรอ...โอเค”
รุ่งฟ้าหน้าเสียเมื่อน้ำเสียงและท่าทางของลูกชายเย็นชา เธอเดินกลับมาที่โต๊ะแล้วก็วางถ้วยข้าวต้มลงที่เดิม บรรยากาศกลับมาอึดอัดอีกครั้ง รุ่งฟ้าเหลือบตามองราเมศ ชายหนุ่มมีสีหน้ากลัดกลุ้มไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่
“ตะวัน วันนี้วันหยุด ลูกอยากไปไหนไหม”
“ไม่ครับ ตะวันอยากอยู่บ้าน”
“แม่ว่านานๆ ทีเราน่าจะพาหนูเจียไปเที่ยวกันนะ หนูเจียอยากไปเที่ยวไหมครับ ไปสวนสนุกหรือสวนน้ำ หรือ...”
“งั้นแม่ก็พาหลานไปเถอะครับ ตะวันไม่อยากไป”
ปานตะวันสวนกลับ เขากัดริมฝีปากเมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอขึ้นเสียงใส่มารดาไปแล้ว สีหน้าเสียใจของแม่ทำให้เขารู้สึกผิด
รู้สึกแย่พอๆ กับที่รู้สึกโกรธเลย
อารมณ์รุนแรงปั่นป่วนอยู่ในใจ ตั้งแต่ตอนเห็นหน้าแม่ ตอนที่อีกฝ่ายพยายามตักอาหารให้ ชวนไปเที่ยวข้างนอก ทำดีกับหนูเจีย
ปานตะวันไม่เข้าใจว่าจะทำแบบนั้นทำไม สงสารเหรอ สมเพชเหรอ หรือรู้สึกผิด
ไม่รู้หรือไงว่ายิ่งทำดีกับเขาปานตะวันก็ยิ่งสมเพชตัวเอง
“แล้ว...ตะวันอยากทำอะไร”
“นอนเงียบๆ คนเดียว” เขาลุกพรวดขึ้น “อิ่มกันแล้วใช่ไหมครับ เดี๋ยวตะวันจะล้างจาน”
“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวแม่ทำให้”
ทำให้?
ปานตะวันรู้สึกเหมือนเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ เส้นด้ายแห่งความอดทนที่ถูกขึงจนตึงอยู่ในหัวพลันสะบั้นขาด
“เพื่ออะไรครับ?” ชายหนุ่มหันไปมองหน้าแม่บังเกิดเกล้า ดวงตาของคุณรุ่งฟ้าเบิกกว้าง เธอเผลอริมฝีปาก “ลูกว่าอะไรนะ?”
“ผมถามว่าแม่ทำแบบนี้เพื่ออะไร!!” เสียงตวาดของเขาทำให้หนูเจียสะดุ้งเฮือก ราเมศตรงเข้ามาปลอบเขาแต่ปานตะวันสะบัดอีกฝ่ายออก เขายังพูด พูดสิ่งที่สะสมเป็นตะกอนอยู่ในใจออกไป
“แม่กลับมาทำไม กลับมาทำดีกับผมเพื่ออะไร สงสารเหรอ สมเพชเหรอที่ผมเป็นแบบนี้ เป็นไอ้เด็กใจแตกที่ผลกรรมจากอดีตกำลังย้อนมาทำร้าย เสียใจเหรอที่เห็นผมอยู่ในสภาพนี้ เสียใจทำไมในเมื่อแม่ทิ้งผมไปตั้งหลายปีแล้ว!”
“ตะวัน...แม่..แม่”
“ผมรู้ว่าแม่ไม่ต้องการผม ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ทิ้งผมไว้กับพ่อ พาผมไปด้วยทำไมในเมื่อสุดท้ายแม่ก็จะมีครอบครัวใหม่ พี่ชายคนโตงั้นเหรอ คุณพ่อใหม่งั้นเหรอ บ้านหลังใหญ่ที่ต่างประเทศงั้นเหรอ ผมไม่ได้ต้องการ! แม่ไม่เคยถามผมเลยว่าผมต้องการอะไร ผมแค่อยากอยู่กับแม่ อยากให้แม่กอด อยากให้แม่ชมเวลาทำดี อยากให้แม่ทำแบบเมื่อกี้! ตักอาหารให้ ชวนไปเที่ยว! อยากให้แม่ทำมันทุกวันเหมือนเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่มาทำเพราะสงสารเสียใจที่ลูกชายแม่กำลังจะกลายเป็นผีตายซาก!”
ปานตะวันหอบหายใจ เขาโกรธจนสะบัดมือเหวี่ยงจานชามและแก้วน้ำลงจากโต๊ะ เสียงแก้วแตกดังเพล้งเสียดแทงอยู่ในหู คลอมากับเสียงร้องไห้ ปานตะวันหันไปมองหนูเจีย เด็กชายเบิกตาโต ตกใจกลัวจนน้ำตาร่วง ทำท่าจะตะกายลงจากเก้าอี้ ราเมศที่กลัวหนูเจียจะเหยียบเศษแก้วบนพื้นรีบวิ่งเข้าไปอุ้มหลานทันที
นัยน์ตาสีน้ำตาลของปานตะวันเบนกลับมาที่คุณรุ่งฟ้า
แม่ของเขา...แม่ที่ปานตะวันคิดมาตลอดว่าเข้มแข็งบัดนี้ยืนกัดริมฝีปากน้ำตาไหลพราก แต่แววตาที่มองเขาก็ยังคงไม่ใช่แววตาโกรธขึ้งหากแต่เป็นแววตาแสดงความสงสารและเสียใจ
“แม่ขอโทษ ขอโทษนะตะวัน”
“ขอโทษ?” ปานตะวันถามกลับด้วยน้ำเสียงสูง “แม่ขอโทษทำไม ขอโทษไปแม่ก็เอาเวลาที่เสียไปกลับมาไม่ได้ จะขอโทษทำไมในเมื่อสุดท้ายแล้วแม่ก็จะยังทำเหมือนเดิม แม่ยังจะเลือกเขา! ทิ้งตะวันไว้ที่นี่แล้วก็หนีไปเสวยสุขกับสามีใหม่ของแม่ ครอบครัวสุขสันต์สิใช่ไหม มีความสุขมากเลยสินะ แม่รู้ไหมว่าตะวันโดดเดี่ยวแค่ไหน!”
ชายหนุ่มปาดน้ำตาบนใบหน้าของตัวเองออกอย่างแรง เขาเห็นเงาตัวเองสะท้อนในดวงตาของแม่ สีหน้าเกรี้ยวกราดแบบนั้นไม่ใช่เขาเลย
เงาสะท้อนนั้นเป็นของใครอีกคนที่ปานตะวันไม่รู้จัก
“ที่ตะวันเลือกรักไอ้ธีร์ เลือกจะเชื่อคำหวานโง่ๆ ของมัน เลือกจะหลับหูหลับตา เพราะตะวันอยากได้ความรักแม่เข้าใจไหม ตะวันอยากรู้ว่าการถูกรักมันเป็นยังไง! ความรู้สึกอบอุ่นจากการถูกคนอื่นกอดมันเป็นยังไง แต่สุดท้ายมันก็ไม่จริง แม่กลับมาเพราะสงสาร เสียใจใช่ไหม แม่รู้ไหมว่ายิ่งแม่ทำดีตะวันก็ยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ตะวันไม่อยากให้แม่มาสงสาร มาทำดี มาเห็นใจ เพราะว่า...เพราะตะวันรู้สึกว่ามันปลอม...”
“แม่ทิ้งตะวันไว้คนเดียวตั้งหลายปี คนที่ทำให้ตะวันกลายเป็นแบบนี้ก็แม่นั่นแหละ!” รุ่งฟ้าหลับตา กล้ำกลืนหยดน้ำตาลงไป สิ่งที่ปานตะวันพูดใส่หน้าเธอคือเรื่องจริง เธอเอื้อมมือไปหาปานตะวัน อยากจะดึงลูกชายมากอดแต่เขาก็ถอยหนี รุ่งฟ้าขยับยิ้มขื่น
ทิ้งเขาไว้นานเกินไปจนแม้แต่ตอนนี้...ตอนที่คิดได้ ก็สายเกินกว่าจะดึงปานตะวันเข้ามากอดแล้ว
แค่กอดยังทำไม่ได้เลย
เธอคิดมาตลอดว่าลูกชายเธอเข้มแข็งและสามารถอยู่คนเดียวได้ แต่ปานตะวันตรงหน้าคือคำตอบว่าเธอคิดผิดทุกอย่าง เขาเปราะบางและกำลังพังทลายลงมา
คนที่เป็นจุดเริ่มต้นของรอยร้าวนั้นคือเธอเอง
ถ้าเธอใส่ใจเขามากกว่านี้ ทำหน้าที่ของแม่ได้ดีกว่านี้ ปานตะวันก็คงจะโตมาเป็นเด็กที่มีความสุข
“แม่ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ”
ปานตะวันซบหน้าลงกับฝ่ามือก่อนจะหันหลังวิ่งออกไปทันที
“ตะวัน!”
ราเมศรีบวางหลานชายลงบนเก้าอี้ กำชับไม่ให้ลงมาจนกว่าเขาจะกลับมาเก็บเศษแก้วจนหมดจากนั้นก็วิ่งตามปานตะวันออกไป
ภายในห้องเหลือเพียงรุ่งฟ้ากับหลานชายเท่านั้น หล่อนปาดน้ำตาอย่างยากเย็น เดินไปหยิบเอาถุงพลาสติกมาเก็บเศษจานและแก้วที่แตกไปอย่างช้าๆ ฉับพลันดวงตาก็เหลือบไปเห็นเศษแก้วน้ำที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแก้วสีม่วงลายแมวมาก่อน
ปานตะวันชอบแมว สมัยเด็กเจ้าตัวร่ำร้องอยากจะเลี้ยงแมวเสมอ ไหนจะตุ๊กตาแมว การ์ตูนที่มีแมว
ตอนนี้เจ้าตัวก็ยังชอบอยู่สินะ...แต่ในห้องจะยังเหลือตุ๊กตาแมวหรือการ์ตูนที่มีแมวอยู่หรือเปล่า รุ่งฟ้าพลันนึกได้ว่าหลังจากที่ย้ายไปอยู่กับสามีใหม่ที่ต่างประเทศเธอก็ไม่ค่อยได้คุยกับปานตะวันอย่างจริงจังอีกเลย ทุกครั้งที่เจอหน้ากันปานตะวันมักจะนั่งกินอาหารเงียบๆ แล้วก็ปล่อยให้เธอ สามีและลูกสาวอีกสองคนคุยกัน
บางเรื่องเขาก็ไม่รู้ บางเรื่องเขาก็ไม่ได้สนใจ
ความรู้สึกนั้นคงไม่ต่างอะไรกับการเป็นคนนอกเลยสินะ
‘ที่ผมเป็นแบบนี้เพราะแม่นั่นแหละ!’
ถ้าเธอรักเขามากกว่านี้อีกสักนิด ปานตะวันก็คงไม่ต้องไปยุ่งกับไอ้สารเลวนั่น ถ้าเธอ...ย้อนเวลากลับไปได้ เธอจะกอดเขาไว้ให้แน่นๆ แล้วก็บอกว่าเธอรักเขาแค่ไหน
ตลกดีที่เธอบอกรักลูกสาวอีกสองคนได้แทบทุกวี่ทุกวันแต่กับปานตะวัน...เธอรักเขา แต่ครั้งสุดท้ายที่แสดงให้เขารู้มันเมื่อไหร่กันนะ ความทรงจำรางเลือนเต็มที
“ฮึก...แม่ขอโทษนะ...ตะวัน แม่ขอโทษ”
รุ่งฟ้าไม่รู้จะพูดอะไรได้อีกนอกจากคำๆ นี้
ทางด้านปานตะวันเขาไม่ได้หนีเตลิดออกจากบ้านแบบหนที่แล้วแต่วิ่งเข้าห้องนอนตัวเอง ราเมศตามมาทัน ชายหนุ่มเห็นบานประตูเปิดแง้มไว้เล็กน้อย
ราเมศไม่ได้ก้าวเข้าไปแต่เลือกที่จะนั่งลงเอาหลังพิงประตูไว้
“ตะวัน อยู่หรือเปล่า” เขารู้ว่าลูกแมวของเขานั่งอยู่อีกฟากของประตูนี่เอง “อยู่ครับ” น้ำเสียงอู้อี้ตอบกลับมา ราเมศผ่อนลมหายใจเล็กน้อย
“ตะวันเลวมากใช่ไหมพี่เมศ เป็นลูกแท้ๆ แต่กลับพูดแบบนั้นกับแม่” ปานตะวันสะอื้นไปพูดไป “ตะวันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ตะวันโกรธแล้วก็คุมตัวเองไม่ได้ พี่เมศ ตะวันไม่ชอบตัวเองตอนนี้เลยเพราะตะวันทำให้ใครต่อใครเสียใจไปหมด ทั้งพี่ ทั้งหนูเจีย ทั้งแม่”
“มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอกนายรู้ใช่ไหม”
“ทำไมมันถึงจะไม่ใช่ความผิดของตะวันล่ะ! มันก็ความผิดของตะวันทั้งนั้นแหละ ไอ้เรื่องที่ตะโกนใส่แม่ไปน่ะมันก็แค่ข้ออ้าง ถ้าตะวันมีสติแล้วก็คิดเป็นจะโง่จนโดนหลอกได้ยังไง ตะวันผิดเอง ตะวันโง่เอง แล้วก็เห็นแก่ตัว คิดแต่จะให้แม่อยู่กับตัวเอง ไม่อยากให้แม่มีความสุขกับครอบครัวใหม่ ตะวันเป็นคนไม่ดี และคนไม่ดีก็จะต้องอยู่คนเดียว”
“...”
“พี่เมศ ตะวันรู้สึกแย่มากๆ เหมือนกับว่าทุกวันตื่นมาเพื่อจะเจอกับความเหงา ว่างเปล่าแล้วก็ความคิดเศร้าๆ ในหัว เหมือนกับว่ามีแค่ตะวันบนโลกใบนี้”
ปานตะวันรู้สึกเหมือนเขากำลังวิ่งอยู่ในอุโมงค์ที่ทอดยาว กำลังเหนื่อยล้าและหมดแรง เขากัดฟันวิ่งแล้วก็วิ่ง
เพื่อจะพบว่าที่ปลายสุดของอุโมงค์ไม่มีแสงสว่างใดรอคอยอยู่
*********************************************************
ในที่สุดระเบิดเวลาลูกสุดท้ายก็ระเบิดออกในตอนนี้เอง เราว่าหลายคนน่าจะรู้แล้วล่ะว่าปานตะวันเป็นอะไร
เขียนไปแล้วเราก็สงสารปานตะวันเหมือนกันนะคะ
จากตอนแรกๆ คือภาพลักษณ์ของเด็กวัยรุ่นที่ทำอะไรเองไม่ได้เลยมาจนถึงตอนนี้
ยิ่งเขียนยิ่งรู้สึกว่าปมในใจของปานตะวันมันเยอะมาก และที่ใหญ่ที่สุดคือปมเรื่องความรัก
การที่เขาเข้าหาธีร์ ยอมทำทุกอย่าง บางคนอาจจะมองว่ามันโง่แล้วก็ไร้สาระ ทำไมคิดเองไม่ได้ แต่ถ้าคิดในมุมกลับว่า
ปานตะวันโหยหาความรักเสมอ เขาอยากเป็นที่ต้องการของใครสักคน พอเจอคนที่(แกล้ง)มอบความรักให้เต็มที่
ปานตะวันเลยตกหลุมไปซะเต็มเปา ถามว่าแล้วชนกันต์ล่ะ? คำตอบคือสำหรับตะวันกันต์เป็นเพื่อน แต่เพื่อนก็ไม่เหมือนแฟน
ตอนนั้นคือตะวันต้องการคนที่รักเขา ใช้เวลาทั้งหมดกับเขา แต่กันต์ก็มีสังคมอื่นๆ ของตัวเอง ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด
ตะวันเลยรู้สึกว่ากันต์เป็นแค่เพื่อน แต่ธีร์คือคนที่พึ่งพาได้ รักได้ เป็นของเขาคนเดียวอะไรแบบนี้
พออ่านตอนนี้หลายคนอาจจะไม่ชอบคุณแม่รุ่งฟ้า ทั้งมีชู้(พ่อเลี้ยงตะวัน) ทิ้งตะวันไว้คนเดียวอีก
สาเหตุหลักๆ ที่ตะวันขาดความอบอุ่นก็มาจากคุณแม่ ถ้าเธอรักหรือดูแลตะวันดีกว่านี้เขาก็คงจะไม่เป็นแบบนี้
(อย่างมากก็กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจเฉยๆ แล้วก็มาเจอพี่เมศจับดัดนิสัย ฮาาา)
แต่ว่าที่เธอทำแบบนั้นมันก็มีสาเหตุเหมือนกันซึ่งจะเฉลยในตอนหน้าค่ะ
หลายคนอาจเริ่มคิดแล้วว่าเมื่อไหร่จะจบดราม่าาา เราเขียนเองก็อึดอัดเองเหมือนกันค่ะ โฮฮฮฮ
แต่เรามีข่าวดีคือออ นี่เป็นโค้งสุดท้ายของดราม่าแล้วค่ะ! เราจะหลุดจากอุโมงค์มืดๆ นี่กันแล้ว เฮ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ รักทุกท่านมากๆ เลย คิดเห็นยังไงมาแชร์กันได้เต็มที่เลยนะคะ พบกันใหม่ตอนหน้า จุ๊บๆ
ปล. มีเรื่องหนึ่งที่เราอยากถามท่านผู้อ่านทุกคนก็คือ คุณคิดว่าจะช่วยตะวันแก้ไขปัญหานี้ยังไงดี คือหลังจากที่เขียนตอนนี้
เราอยากแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้อ่านมากๆ ทั้งนิสัยของปานตะวัน ปมปัญหาและวิธีการแก้ไข ทุกท่านแสดงความคิดเห็น
ได้เต็มที่เลยนะคะ อยากแลกเปลี่ยนความคิดกับทุกคนมากๆ
ปล. 2 สามารถติดตามข่าวสาร หลังไมค์มาเม้านิยายกับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ
ปล. 3 เนื่องจากนี่เป็นดราม่าโค้งสุดท้าย เรามีเรื่องอยากแจ้งว่า...ปานตะวันใกล้จบแล้วนะคะ ฮิ้ววววว
ปล. 4 ทอล์คยาวมาก เก็บกด ตอนที่แล้วไม่ได้ทอล์คอะไรเลยเพื่อรักษาบรรยากาศหน่วงๆ ฮาาาาา