ปานตะวัน
บทที่ ๓๐
แสงตะวันหลังม่านฝน
ปานตะวันทำตามที่ตัวเองตั้งใจไว้ได้ดี สมุดบันทึกทั้งสองเล่มตลอดสามเดือนตั้งแต่เริ่มรักษามาถูกเขาเติมเต็มด้วยข้อความมากมายในแต่ละวัน สมุดบันทึกธรรมดาถูกเขียนบ่อยมากกว่าสมุดบันทึกความสุขแต่ก็ความถี่ในการเขียนก็ไม่ได้ห่างกันขนาดนั้น
ปานตะวันพยายามอย่างยิ่งในการให้ความร่วมมือกับหมอ เขากลับมาบ้านเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม พยายามทำความเข้าใจกับอาการของตัวเองให้มากที่สุด รวมถึงจดบันทึกอาการหลังกินยาของตัวเองไว้ด้วย
เคยมีคนแถวบ้านพูดกับปานตะวันว่าอาการของปานตะวันเกิดจากจิตใจอ่อนแอ อีกฝ่ายแนะนำให้ปานตะวันไปเข้าวัดทำบุญ นั่งสมาธิ จิตใจจะได้สงบแถมยังมีการชักชวนให้ ชายหนุ่มนึกอยากจะถอนหายใจแรงๆ แต่สุดท้ายก็ได้แต่ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล พอเขาเอาเรื่องนี้มาบอกราเมศคนรักก็ลูบหัวเบาๆ แล้วพูดว่า
“เขาแนะนำเพราะหวังดี เขาแค่ยังไม่มีความเข้าใจเท่าไหร่ ตะวันอย่าหงุดหงิดเลยนะ”
“ตะวันไม่ได้หงุดหงิดสักหน่อย”
ปานตะวันงึมงำ นี่อะไร เห็นเขาเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ไปแล้วหรือไง
ตั้งแต่ทานยาที่ได้รับมา ปานตะวันรู้สึกว่าอารมณ์ของเขานิ่งมากขึ้น พออารมณ์นิ่งก็เริ่มใช้ชีวิตตามปกติได้มากขึ้น เขาไม่ได้ระเบิดอารมณ์เกรี้ยวกราดแบบเมื่อก่อนอีกแล้ว ถ้ารู้สึกได้ว่าอารมณ์ของตัวเองเริ่มดิ่งเมื่อไหร่ชายหนุ่มก็จะหันกลับไปเขียนบันทึก ระบายทุกอย่างลงไป
เมื่ออารมณ์ของเขาเริ่มนิ่งและเริ่มกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้แล้ว แม่ของเขาก็กลับไปหาพ่อเลี้ยงและน้องๆ แต่ปานตะวันไม่ได้รู้สึกว่าเขาและแม่ห่างเหินกันเช่นแต่ก่อนอีกต่อไปเพราะทุกสัปดาห์แม่จะส่งอีเมลล์มาหาเขา หนึ่งฉบับบ้าง สองฉบับบ้างตามแต่สะดวก ถามไถ่อาการเขาด้วยความเป็นห่วง บ้างวันก็สไกป์คุยกัน ถ้าเดือนไหนว่างแม่ก็จะมาเยี่ยมเขาประมาณหนึ่งสัปดาห์ ใช้เวลาด้วยกันสองคนแม่ลูก
เพราะการเอาใจใส่แบบนี้อาการของปานตะวันจึงค่อยๆ ดีขึ้น
ทุกครั้งที่ไปพบหมอ ปานตะวันจะเอาบันทึกของตัวเองไปด้วย ไม่รู้ทำไมแต่เขาอยากให้หมออ่านมัน อยากให้มีใครสักคนได้รับรู้ว่าจริงๆ แล้วในหัวเขามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง และคนที่เขาไว้ใจรองจากครอบครัวก็คือหมอ ส่วนราเมศ...ปานตะวันให้ราเมศดูแค่บันทึกความสุขเท่านั้น อีกเล่มเขาไม่เคยให้อ่านเพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องกังวลมากแน่ๆ
ราเมศเหนื่อยแล้ว ถึงจะไม่แสดงออกแต่ปานตะวันก็รู้ว่าราเมศกำลังล้ากับทุกสิ่งที่แบกรับอยู่
แต่ทุกครั้งที่กลับมาบ้าน อีกฝ่ายจะยิ้มให้เขาแล้วก็กอดเขาเอาไว้แน่น ทำให้ปานตะวันอุ่นใจและรู้สึกว่าอ้อมกอดของคนคนนี้คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
แม่ พี่เมศกับหนูเจียเป็นอีกแรงผลักดันที่ทำให้ปานตะวันค่อยๆ สามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้อีกครั้ง
“ดีแล้วที่ไม่หงุดหงิด” ราเมศดึงแก้มแมวเหมียวของเขาจนยืด ถุงทองกับขาวร้องเมี้ยวม้าวขออาหารอยู่แทบเท้าทำให้ปานตะวันต้องรีบเอาอาหารเทใส่ชามให้สมุนแมวทั้งสอง เมื่อจัดการแมวเสร็จก็เดินกลับมายืนข้างราเมศต่อ
อันที่จริงแล้วปานตะวันรู้ว่าคนอื่นๆ หวังดีกับเขาถึงได้แนะนำ คนอื่นเข้าใจว่าการเป็นโรคซึมเศร้าคือการที่จิตใจเข้มแข็งไม่พอถึงได้บอกให้ไปเข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่ปานตะวันไม่เห็นด้วย ลองนึกภาพง่ายๆ อย่างเช่นถ้าเป็นเมื่อหลายเดือนก่อนช่วงที่สภาพจิตใจเขาแย่มาก ดิ่งลงไปถึงจุดต่ำสุด ถ้าไปเข้าวัดตอนนั้นปานตะวันคิดว่าตัวเองอาจจะไปผูกคอตายในวัดแล้วก็ได้
เจ้าตัวร้ายในหัวเขามันคงกระซิบว่า เฮ้ ไหนๆ นายก็มาวัดแล้ว นี่ไง เป็นที่ตายที่สงบดีใช่ไหมล่ะ อะไรทำนองนี้แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าการทำจิตใจให้สงบไม่ช่วยอะไรหรอกนะ
“ตะวันคิดว่าการทำสมาธิอะไรพวกนี้ก็อาจจะมีส่วนช่วยได้นะ เพียงแต่ต้องทำคู่กัน ทำความเข้าใจโรคก่อน รักษาก่อนแล้วก็ไปเข้าวัดปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิด้วยความเข้าใจ มันคงจะช่วยเสริมกันได้ ถ้าไม่รู้อะไรเลยแค่ทำๆ ไปตามที่คนอื่นบอกยังไงก็ไม่หาย”
นอกจากโลกต้องเข้าใจผู้ป่วยแล้ว ผู้ป่วยก็ต้องเข้าใจโรคด้วยเมื่อกัน
“มันก็เหมือนสู้กับศัตรู รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งอะไรทำนองนี้แหละมั้ง”
แววตาของราเมศที่มองมามีความทึ่งเล็กน้อย ปานตะวันนึกว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปจึงกระแอมแก้เก้อ “อะไรเล่า ตะวันพูดอะไรผิดหรือไง”
“ก็ไม่ผิดหรอก แค่รู้สึกว่า...นายดูเปลี่ยนไปนะ”
“ดีขึ้นหรือแย่ลงล่ะ”
“ก็ต้องดีขึ้นอยู่แล้วสิ” ราเมศหัวเราะพลางขยี้เส้นผมนิ่มของคนรักอย่างเอ็นดู ปานตะวันเอนหัวหลบแล้วก็แยกเขี้ยวใส่เขา
“พอๆ เลิกแกล้งตะวันได้แล้ว รีบไปรับหลานกันดีกว่าครับ ไปช้าเดี๋ยวหนูเจียงอแงอีก”
“มาให้หอมก่อน”
ปานตะวันกลอกตา ราเมศเลยชนริมฝีปากกับแก้มของอีกฝ่ายดังจุ๊บเร็วๆ หนึ่งทีแล้วก็เดินยิ้มกริ่มลงไปด้านล่าง ทิ้งให้ปานตะวันยืนลูบแก้มอยู่คนเดียว
เพราะวันนี้ออกมารับหนูเจียเร็วกว่าเวลาปกติ ผลปรากฏคือตอนมาถึงชั้นเรียนยังไม่เลิก คุณน้าทั้งสองจึงต้องพากันไปนั่งรอในโรงอาหาร ระหว่างรอปานตะวันก็สังเกตว่ามีผู้ปกครองหลายคนไปมุงอยู่บริเวณหน้าห้องเรียนของหนูเจีย เพราะห้องของหนูเจียอยู่ชั้นล่างสุดทำให้มองเห็นได้จากบริเวณโรงอาหาร
“หืม มีอะไรกันน่ะ ทำไมทุกคนไปยืนออหน้าห้องกันแบบนั้น” ปานตะวันพูดพลางชะเง้อชะแง้คอยาว ราเมศจึงตอบกลับมาว่า “ลองไปดูกันไหม”
“เอาสิ”
กล่าวจบทั้งคู่ก็ตรงไปที่หน้าห้องเรียนของหนูเจีย ปานตะวันสะกิดถามคุณแม่คนหนึ่งว่า “มีอะไรกันหรือครับ ทำไมทุกคนมายืนมุงกันแบบนี้”
ผู้หญิงที่ถูกเรียกหันมามองจากนั้นก็ตอบกลับมายิ้มๆ “พอดีเด็กๆ เขากำลังอ่านเรียงความกันอยู่น่ะค่ะ”
“เรียงความ?”
ปานตะวันมองเข้าไปในห้องก็เห็นตัวอักษรขนาดใหญ่โชว์หราอยู่กลางกระดานเป็นประโยคว่า ‘สำหรับฉัน คุณพ่อและคุณแม่คือ...?’
“ดูเหมือนจะเป็นงานให้วาดรูประบายสีแล้วก็เขียนอธิบายประกอบน่ะค่ะ”
“งั้นเหรอครับ เอ แล้วหนูเจียจะพูดไปหรือยังน้า”
ปานตะวันเห็นเจียหลินยืดถือกระดาษจดๆ จ้องๆ อยู่ หนูน้อยยังไม่เห็นทั้งปานตะวันและราเมศ พอเพื่อนที่รายงานหน้าห้องพูดจบหนูเจียก็ยกมือโบกไปมากลางอากาศ คุณครูประจำชั้นพยักหน้าแล้วก็เรียกชื่อเด็กชายให้ออกไปหน้าชั้น หนูเจียยิ้มแป้นออกไป โชว์รูปครอบครัวที่วาดให้เพื่อนๆ ดู
รูปที่เจียหลินวาดเป็นรูปเนินหญ้าสีเขียว มีบ้านและดอกไม้ ข้างๆ มีผู้ชายตัวโตสองคนจับมือกัน ส่วนเด็กชายตัวเล็กขี่คอผู้ชายตัวโตคนหนึ่งอยู่ บนฟ้ามีพระอาทิตย์ ก้อนเมฆ นก และนางฟ้าที่ปานตะวันเดาว่าเป็นพี่จันทร์
“พี่เมศๆ ถ่ายวีดิโอเร็ว”
ปานตะวันเร่งราเมศยิกๆ
“รู้แล้ว แป๊บนึง”
ราเมศตบกระเป๋าหาโทรศัพท์ โชคดีที่หยิบออกมาทันตอนที่หนูเจียเริ่มอ่านออกเสียงพอดี
“ครอบครัวของหนูเจียมีกันห้าคน มีหนูเจีย น้าตะวัน น้าเมศ แล้วก็แมวอีกสองตัวชื่อถุงทองและขาว พวกเราอยู่ด้วยกันในบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ ส่วนคุณแม่ของหนูเจียชื่อแม่จันทร์ คุณแม่ไม่อยู่กับเราแล้ว ตอนนี้คุณแม่อยู่บนฟ้า เป็นนางฟ้า”
บรรดาผู้ปกครองลอบมองหน้ากันเล็กน้อยแต่หนูเจียยังคงอ่านต่อไปด้วยรอยยิ้มใสซื่อ
“สำหรับหนูเจีย แม่จันทร์คือคุณแม่ที่ใจดีที่สุดในโลก หนูเจียคิดถึงแม่จันทร์อยู่แต่หนูเจียไม่เหงาแล้วเพราะมีน้าตะวันกับน้าเมศอยู่ด้วยกัน น้าตะวันเป็นเหมือนแม่ น้าตะวันบอกว่าตัวเองทำหน้าที่แทนแม่ให้หนูเจียด้วย น้าตะวันทำงานบ้าน อ่านหนังสือให้หนูเจียฟังแล้วก็กอดหนูเจียจนหลับทุกคืน นอกจากนี้แล้วก็ยังทำหน้าที่พ่อด้วย น้าตะวันสอนหนูเจียว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ให้หนูเจียขี่คอ
ส่วนน้าเมศก็เป็นเหมือนคุณพ่อ น้าเมศทำอาหารอร่อย เป็นคนคอยทำกับข้าวให้หนูเจียกับน้าตะวันกิน เป็นคนเช็ดตัวตอนหนูเจียไม่สบาย น้าเมศบอกว่ารักหนูเจียมาก รักเหมือนลูกชายแท้ๆ หนูเจียก็รักน้าเมศมากเหมือนกัน หนูเจียชอบเวลาที่เราอยู่ด้วยกันสามคน สำหรับหนูเจียทั้งน้าเมศและน้าตะวันเป็นฮีโร่ คุณพ่อ และคุณแม่ของหนูเจียคับ”
เด็กชายยังเรียบเรียงคำพูดมาเขียนอธิบายไม่ค่อยเก่ง บางประโยคจึงวกวนไปมาแต่อารมณ์และความใสซื่อบริสุทธิ์ที่ส่งผ่านจากทุกตัวอักษรตรงเข้าไปในหัวใจของทุกคนได้ทันที
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวรอบห้องทำให้หนูเจียเขินจนแก้มแดง เด็กน้อยกวาดสายตาไปรอบๆ จนมาเจอราเมศและปานตะวันที่ยืนถ่ายวีดิโออยู่ หนูเจียที่รู้ตัวว่าถูกจับได้ก็ยกกระดาษบังหน้าตัวเองแล้ววิ่งกลับไปนั่งที่ทันที
เหลือเด็กอีกสองสามคนในห้องที่ยังไม่ได้รายงาน หลังจบการพูดหน้าชั้นคุณครูก็ปล่อยนักเรียนกลับบ้าน ราเมศกับปานตะวันยืนรอหนูเจียอยู่หน้าห้อง เด็กชายตัวน้อยเดินก้มหน้างุดมาหาคุณน้า ท่าทางเขินจนหูแดงก่ำทำให้หนูเจียดูน่าฟัดและน่าหมั่นเขี้ยวมาก
“ไหนๆ หนูน้อยคนเก่งของน้าตะวัน มาให้หอมหน่อยสิ”
“ฮื้อ น้าตะวัน”
แม้จะอิดออกแต่พอปานตะวันกางแขนเจียหลินก็พุ่งเข้าหาอีกฝ่ายทันที ลูกแมวเล็กและลูกแมวใหญ่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่หน้าห้อง พักนี้น้าตะวันดูเหมือนจะค่อยๆ กลับมาเป็นคนเดิมแล้ว เจียหลินดีใจเป็นที่สุด
“พอแล้วทั้งคู่เลย เดี๋ยวค่อยกลับไปกอดกันที่บ้าน”
ปานตะวันปล่อยหนูเจียให้ลงเดินกับพื้น คุณน้าทั้งสองจูงมือหลานชายคนล่ะข้างแล้วก็พากันเดินไปที่รถ ในสายตาของผู้ปกครองและคุณครูที่มองตามมา คนทั้งสามช่างเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเหลือเกิน
วันเวลาดำเนินต่อไป ในที่สุดบันทึกทั้งสองเล่มของปานตะวันก็มาถึงหน้าสุดท้าย
ชายหนุ่มปิดสมุดบันทึกเล่มแรกที่หน้ากระดาษภายในถูกเติมเต็มด้วยตัวอักษรลงอย่างนุ่มนวล เขาเก็บมันลงกล่องใส่ของ ในอนาคตหากวันใดปานตะวันย้อนกลับมาเปิดสมุดบันทึกเล่มนี้เขาคงภูมิใจที่ตัวเองมาได้ไกลและสามารถก้าวผ่านปัญหามาได้
จะว่าไปแล้วก็ใจหายนิดหน่อย สมุดทั้งสองเล่มนี้เป็นเหมือนเพื่อนแท้ตลอดระยะเวลาที่ปานตะวันเหมือนเดินอยู่ในอุโมงค์มืดสลัวยาวไกลไร้ทางออก พวกมันเป็นเพื่อนแท้ที่เขาระบายทุกสิ่งให้ฟัง เป็นเหมือนขอนไม้ให้ยึดเกาะ ตอนนี้กระดาษสมุดแผ่นสุดท้ายสิ้นสุดลงแล้ว ถ้านี่เป็นนิยายมันคงต้องปิดท้ายด้วยคำว่า ‘จบ’ หรือ ‘มีความสุขไปตลอดกาล’
แต่ชีวิตของปานตะวันไม่ใช่นิยาย
กระดาษหมดลงแต่ชีวิตยังดำเนินต่อไป
มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ปานตะวันยังคงต้องไปหาหมอและทานยาอย่างสม่ำเสมอ อารมณ์ของเขาเริ่มกลับเป็นปกติแล้วแต่บางครั้งเวลามีเรื่องอะไรมากระทบใจอย่างรุนแรงปานตะวันจะรู้สึกเศร้านานกว่าคนอื่น แต่ทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายเหมือนช่วงแรกอีกแล้ว พี่เมศอยู่ข้างเขา หนูเจียอยู่ข้างเขา แม่ กันต์ หลง และคนอื่นอีกมากมายเป็นกำลังใจให้เขา
ความสัมพันธ์กับแม่...ตอนนี้ไม่ได้เรียกว่าดีมากแต่ก็ไม่ได้เลวร้าย ปานตะวันเคยไปนั่งทานข้าวเย็นกับครอบครัวใหม่ของแม่หนหนึ่งหลังจากที่ไม่ได้ทำมานาน น้องสาวทั้งสองดูกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเข้าหาแต่พอเขายิ้มให้เด็กทั้งสองก็ยิ้มตอบ...เหมือนว่าสายสัมพันธ์จะเริ่มจากตรงนั้น กับพ่อเลี้ยงเขาก็พูดคุยด้วยแต่ไม่มาก แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือฝ่ายนั้นขอโทษเขาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่แสดงความเสียใจจากใจจริง ปานตะวันก็ยกโทษให้
พอมาคิดดูแล้วชายหนุ่มคิดว่าถึงแม่จะยังไม่ได้พบพ่อเลี้ยงตอนนั้นแต่ถึงยังไงความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ก็ง่อนแง่นอยู่ดี ตอนนั้นแม่คิดว่าทนได้แต่จริงๆ แล้วความอดทนของทุกคนย่อมมีขีดจำกัด สักวันหนึ่ง...ทั้งสองคนก็ต้องแยกทางกัน
หลังจากที่ปานตะวันยอมไปทานข้าวกับครอบครัวใหม่แม่ก็บินมาหาเขาบ่อยขึ้น อีกฝ่ายยังเอาสมุดบัญชีธนาคารมาให้ปานตะวันเล่มหนึ่งด้วย บอกว่าจริงๆ แล้วบัญชีนี้เจ้าตัวเปิดไว้ให้ปานตะวันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว...ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าปานตะวันตัดสินใจจะอยู่กับหนูเจีย แม่ฝากเงินให้เขาทุกเดือน บอกว่าเก็บไว้เป็นค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายในอนาคต ปานตะวันเอามันไปฝากไว้กับราเมศ ตอนนั้นแหละเขาถึงได้รู้อีกว่าจริงๆ แล้วหนูเจียยังได้รับเงินประกันอุบัติเหตุจากตอนที่พี่จันทร์เสียด้วย พี่เมศเป็นคนเก็บไว้อีกเหมือนกัน อีกฝ่ายรักษามันอย่างดีไว้ให้หลานชายเพียงคนเดียว
แต่ถึงจะมีเงินมากขนาดไหนปานตะวันก็ได้บทเรียนแล้วว่ามีได้ก็หมดได้ เขายังคงออกไปทำงาน ตั้งใจเรียนให้จบเก็บหอมรอมริบอย่างดีเพื่ออนาคต
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน...หลายสิ่งเกิดขึ้น หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงและดับสูญไป
ในกระแสแห่งกาลเวลาที่ไม่หยุดยั้งนี้ ปานตะวันพบว่าตัวเขาเติบโตขึ้นมาก
“ตะวัน เสร็จหรือยัง”
ประตูห้องนอนถูกเปิดออก ราเมศชะโงกหน้าเข้ามามองคนรักแล้วก็เห็นอีกฝ่ายยังนั่งจุ่มปุ๊กอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสืออยู่เลย
“ยังเก็บของไม่เสร็จอีกเหรอ”
“เสร็จแล้วครับ โทษที กำลังคิดอะไรเพลินไปหน่อย”
“หืม คิดอะไรล่ะ”
ชายหนุ่มผิวแทนเดินไปซ้อนหลังอีกฝ่าย ราเมศเห็นสมุดบันทึกทั้งสองเล่มของปานตะวันวางอยู่บนโต๊ะ สงสัยว่าอีกฝ่ายคงอ่านมันเพลิน ปานตะวันแหงนหน้ามองเขาแล้วก็ยิ้มบางๆ ออกมา “คิดว่าหลายอย่างนี่เปลี่ยนแปลงไปเยอะเลยนะ”
“นั่นสินะ” ชายหนุ่มรับคำ กวาดตามองไปรอบห้องที่ในอดีตเคยเป็นห้องนอนแขกสองห้องแต่ตอนนี้ถูกทุบรวมกันกลายเป็นห้องนอนใหญ่หนึ่งห้อง ราเมศกับปานตะวันนอนในห้องนี้ ส่วนห้องเดิมยกให้หนูเจีย เด็กน้อยที่ตอนนี้ขึ้นชั้นประถมแล้วแต่ก็ยังติดคุณน้าอยู่ ต้องไปอยู่ในห้องนอนด้วยจนเจียหลินหลับก่อนราเมศกับปานตะวันถึงจะกลับห้องตัวเองได้ “เปลี่ยนไปเยอะเลย บ้านหลังนี้ก็ด้วย”
“ใจหายเหมือนกันนะครับ”
“ยังไงทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนแปลง ว่าแต่สมุดน่ะหมดเล่มแล้วเหรอ”
“อื้ม เล่มนี้หมดแล้ว แต่เล่มนี้ยัง” ปานตะวันเคาะหน้าปกสมุดบันทึกความสุข “เหลืออีกสองสามหน้า กำลังคิดอยู่ว่าจะเขียนอะไรปิดท้ายดี”
“ไว้ค่อยกลับมาเขียนไหม ตอนนี้ไปทำธุระกันก่อน”
ปานตะวันพยักหน้าพลางลุกจากเก้าอี้ ตอนลงไปข้างล่างชายหนุ่มพบว่าหนูเจียรออยู่ที่รถแล้ว
จุดมุ่งหมายของพวกเขาวันนี้ก็คือวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก เพราะวันนี้เป็นวันพระ บรรดาคนที่มาทำบุญจึงค่อนข้างมาก หลังจากไหว้พระและถวายสังฆทานเสร็จปานตะวันกับราเมศก็พาหนูเจียลัดเลาะไปที่ริมกำแพงโบสถ์ก่อนจะหยุดอยู่หน้าช่องบรรจุอัฐิช่องหนึ่ง
บนหินอ่อนสีขาวมีรูปหญิงสาวคนหนึ่ง ดูอ่อนเยาว์และสดใส อายุที่สลักอยู่บนนั้นก็ยังไม่มาก ปานตะวันเหม่อมองชื่อที่ของผู้เป็นเจ้าของเถ้ากระดูกในช่องกำแพงนี้
‘จันทร์จ้าว’
“น้าตะวัน แม่จันทร์อยู่ที่นี่เหรอคับ”
“หืม ไม่ใช่หรอกครับหนูเจีย ตอนนี้แม่จันทร์อยู่บนฟ้า เป็นนางฟ้าไงครับ”
สายลมพัดให้ใบไม้เหนือศีรษะเสียดสีกัน ใบไม้แห้งบางใบร่วงโรงลงมา
“เดี๋ยวพี่ไปยืมไม้กวาดมาให้นะ”
ราเมศกระซิบเบาๆ แล้วก็จากไปพร้อมหนูเจีย เหลือเพียงปานตะวันอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งโดยไม่กลัวกางเกงจะเปื้อน เขามองจันทร์จ้าวที่ส่งยิ้มมาให้จากในรูปถ่าย
“พี่จันทร์เป็นไงบ้าง บนนั้นสบายดีหรือเปล่า ตะวันขอโทษนะที่วันนี้มาช้า ช่วงนี้มีเรื่องยุ่งๆ หลายเรื่องเลย” วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของจันทร์จ้าว ทุกวันครบรอบปานตะวันจะมาที่นี่ไม่เคยขาด “หนูเจียขึ้นชั้นประถมแล้วนะ หลานเรียนเก่ง อาจารย์ชมกันใหญ่เลย ชอบเล่นกีฬาด้วย เขาโตมาเป็นเด็กดี แข็งแรง ร่าเริง พี่ดีใจไหม? พี่จันทร์รู้ไหมว่าตะวันกำลังเรียนทำขนมไทยด้วยนะ หลงสอนให้ พอเรียนจบแล้วมีเงินมากพอตะวันจะเปิดร้านขนมไทยล่ะ ตอนแรกอาจทำใส่กล่องแล้วส่งตามร้านไปก่อน ฝีมือทำขนมตะวันดีขึ้นมากเลยนะ พี่เมศยังชมเลย พูดถึงพี่เมศนะตอนนี้ตะวันกับพี่ปรับปรุงบ้านแล้วด้วย เราย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว มีพ่อครัวประจำบ้านนี่มันดีจริงๆ ถึงจะดุไปบ้าง ขี้บ่นไปนิดแต่เรามีความสุขกันมากๆ เลยล่ะ ส่วนเรื่องแม่กับเรื่องอาการของตะวันพี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ อะไรๆ กำลังดีขึ้นแล้วล่ะ ตะวันจะก้าวต่อไปให้ได้ สัญญาเลย พี่จันทร์กับพ่อคอยดูจากบนนั้นก็พอ”
เสียงเหยียบใบไม้แห้งดังมาจากด้านหลัง ราเมศกลับมาพร้อมไม้กวาดทางมะพร้าวด้ามหนึ่ง ปานตะวันรับหน้าที่กวาดเศษใบไม้ออกจากหน้าช่องบรรจุอัฐิของพี่ ราเมศทำความสะอาดป้ายและแจกันใส่ดอกไม้กับกระถางธูป จากนั้นพวกเขาก็จัดดอกไม้สดที่เพิ่งซื้อใหม่ลงไป
ทั้งสามนั่งกันอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนที่ปานราเมศจะเป็นคนแรกที่ลุกขึ้น “กลับบ้านกันเถอะ”
หนูเจียเป็นคนที่สองที่กระโดดลุกตาม เด็กชายมองป้ายหินอย่างอาลัยเล็กน้อยแล้วก็วิ่งตามราเมศไป ส่วนปานตะวันเป็นคนสุดท้ายที่ลุกขึ้น ชายหนุ่มคลี่ยิ้มก่อนจะกล่าวอำลาพี่สาวของเขา
“ตะวันรักพี่จันทร์นะ พักผ่อนให้สบายนะครับ”
เวลาผันผ่าน หลายสิ่งเปลี่ยนแปลง แต่บางครั้งความรักที่สลักลึกในใจก็ยังไม่เปลี่ยนไป
พวกเขากลับมาถึงบ้านกันตอนบ่ายกว่าๆ ปานตะวันกำลังครุ่นคิดว่าบางทีเขาอาจจะเขียนเรื่องการไปวัดวันนี้ลงที่สมุดบันทึกหน้าสุดท้าย มันอาจจะไม่ใช่ความสุขทั้งหมดแต่ก็เป็นความทรงจำที่ดีควรค่าแก่การปิดท้ายสมุดบันทึกเล่มแรก
รถยนต์จอดนิ่งหน้าประตูรั้วที่ทาสีใหม่ ปานตะวันเป็นคนลงไปเปิดประตู ตอนนั้นเองที่เขาเห็นอะไรบางอย่างถูกติดอยู่เหนือกล่องรับจดหมายหน้าบ้าน
มันเป็นป้ายไม้ ติดตัวอักษรนูนสีทองเล่นหางเกี่ยวกระหวัดกันเป็นคำว่า ‘บ้านปานตะวัน’
“บ้าน...ปานตะวัน?”
“ชอบไหม พี่สั่งรุ่นน้องที่รู้จักกันทำให้ เพิ่งเอามาติดเมื่อเช้านี้เอง”
ราเมศลงตากรถมาตอนไหมไม่รู้ เข็นประตูเปิดเองเสร็จสรรพ ปานตะวันหันไปมองคนรักอย่างงุนงง
“ทำไมถึงต้องชื่อบ้านปานตะวันล่ะครับ”
“ก็เป็นชื่อที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นดีไม่ใช่เหรอ”
ฝ่ามือใหญ่ตบเบาๆ ลงที่ศีรษะ ปานตะวันเม้มริมฝีปาก ใบหูและสองแก้มร้อนผ่าว ชายหนุ่มเดินตามเข้าไป ช่วยยกของไปเก็บในบ้านจากนั้นก็โพล่งขึ้นมาว่า “ทุกคนไปถ่ายรูปกัน”
“หืม รูปอะไร”
“รูปครอบครัวไง อยู่ด้วยกันมาตั้งนานพวกเรายังไม่เคยถ่ายรูปครอบครัวหน้าบ้านเลยนี่นา”
“ถ่ายๆๆ น้าตะวันหนูเจียอยากถ่ายรูปครอบครัว”
หนูเจียตัวน้อยกระโดดดึ๋งมาตรงหน้า ชูไม้ชูมือแสดงความเห็น ราเมศที่เห็นสองแมวคึกคักแล้วก็ยิ้มออกมา ยอมเดินตามแมวใหญ่และแมวเล็กไปหน้าบ้าน
ปานตะวันใช้โทรศัพท์ถ่ายรูป ราเมศที่แขนยาวสุดรับหน้าที่ถือไม้เซลฟี่ไปทันที ปานตะวันจัดท่าทางให้ทุกคน จากในรูปแม้ไม่เห็นตัวบ้านเรือนไทยทั้งหมดแต่อย่างน้อยก็ติดป้ายบ้านตะวันมาเต็มๆ
“ทุกคนยิ้มเร็ว หนูเจียขยับมาตรงกลางหน่อย หนึ่ง สองงง”
รูปที่หนึ่ง รูปที่สอง รูปที่สาม ถ่ายไปสิบกว่ารูปจนพอใจแมวใหญ่และแมวเล็กก็พากันเดินขึ้นบ้าน ราเมศมองตามปานตะวันที่กำลังพริ้นท์รูปออกมาก่อนถามว่า
“จะเอาไปติดในสมุดบันทึกเหรอ”
“ครับ คิดว่าเป็นอะไรดีๆ ปิดท้ายน่ะ”
“แล้วจะเขียนอีกไหม”
“คิดว่าเขียนนะ ตะวันเสพติดการเขียนบันทึกไปแล้วล่ะ เล่มใหม่ก็ซื้อมาเตรียมแล้วด้วย”
“ดีแล้ว มีงานอดิเรกที่ทำแล้วสบายใจเพิ่มมาอีกอย่างก็ดี”
ปานตะวันหัวเราะออกมา รอยยิ้มนั้นแม้จะยังไม่สดใสเท่าวันเก่าแต่ราเมศก็ยังคงรักมัน แค่เป็นรอยยิ้มของปานตะวัน ไม่ว่าจะแบบไหนเขาก็รักทั้งนั้น
นั่งคุยกันได้ไม่ทันไรเจียหลินก็ร้องเรียกให้คุณน้าเมศไปทำข้าวไข่เจียวให้กิน สงสัยเจ้าตัวเล็กจะหิวมาก ราเมศขานรับหลานชายและก็ผละไป
ปานตะวันหยิบสมุดบันทึกความสุขออกมา ติดรูปครอบครัวที่ถ่ายลงไป รูปนั้นกินเนื้อที่เกือบครึ่งหน้ากระดาษ ชายหนุ่มเคาะปากกาลงกับโต๊ะแล้วก็เขียนถึงกิจกรรมวันนี้ พอเขียนเสร็จก็ยังเหลือบรรทัดอยู่อีกหลายบรรทัด ปานตะวันเดาะลิ้น
บรรทัดที่เหลืออยู่...จะเขียนอะไรดีนะ
ชายหนุ่มเอนหลังพิงเก้าอี้ กวาดตามองไปรอบๆ บ้าน แสงแดดอ่อนส่องลอดบานหน้าต่าง ขับให้เนื้อไม้ดูเปล่งประกาย สายลมอ่อนพัดโชยหอบเอากลิ่นหอมจากดอกไม้ในสวนให้ลอยมาด้วย ปานตะวันได้ยินเสียงหัวเราะของหนูเจียกับพี่เมศแว่วมาคลอไปกับเสียงกรุ๊งกริ๊งจากโมบายที่แขวนไว้ตรงระเบียง
ความสุข...เป็นแบบนี้เอง
ปานตะวันหยิบปากกาขึ้นมา ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นและเขาก็ไม่รอช้าที่จะถ่ายทอดมันลงไปในสมุดบันทึก
วันนี้กลับมาจากวัด มองเห็นป้ายหน้าบ้านถูกทำใหม่ พี่เมศสั่งทำป้าย ‘บ้านปานตะวัน’ ขึ้น เราก็ถามออกไปว่าทำไมต้องเป็นชื่อปานตะวัน เขาก็ตอบว่าเพราะฟังแล้วอบอุ่นดี บ้านปานตะวัน พอลองออกเสียงดูแล้วก็รู้สึกอุ่นใจจริงๆ นั่นแหละ คิดไปแล้วชื่อนี้ก็เหมาะกับบ้านหลังนี้ดี สถานที่นี้เหมือนกับดวงอาทิตย์สำหรับเรา ทุกครั้งที่กลับบ้านจะรู้ได้ว่ามีคนคอยอยู่พร้อมกับรอยยิ้ม มีคนที่เราเรียกได้เต็มปากว่าเป็นครอบครัวคอยกอดเราไว้ในวันที่เรามีปัญหา คอยหัวเราะไปด้วยกันในวันที่มีความสุข ที่นี่อบอุ่นแล้วก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
บันทึกดำเนินมาถึงหน้าสุดท้ายแล้ว เราอยากเก็บสิ่งดีที่สุดเอาไว้ปิดท้าย แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป เราไม่รู้หรอกว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะหวาดกลัว เสียน้ำตา สุข ทุกข์ หรือเศร้าแค่ไหน มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้...พรุ่งนี้ที่วันใหม่จะมาถึง พรุ่งนี้ที่หน้าแรกของสมุดบันทึกเล่มใหม่จะถูกเติมเต็ม ทุกอย่างที่คาดเดาไม่ได้กำลังมาแต่เราไม่กลัวอีกแล้วเพราะรู้ดีว่ามีคนอยู่ข้างกันเสมอ ปลายปากกาหยุดลงชั่วครู่เมื่อเหลือที่ว่างเพียงบรรทัดสุดท้าย จากนั้นชายหนุ่มก็ขยับมือขีดเขียนอีกครั้ง
สิ่งสุดท้ายที่อยากบอกคือตอนนี้เรามีความสุขมากในบ้านหลังนี้
สถานที่ที่ทำให้ความรักเติบโต งอกงาม และผลิบานจบ
(ทอล์คอยู่รีพลายถัดไปนะคะ)