ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]  (อ่าน 135303 ครั้ง)

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ชอบกันต์อะ เพื่อนที่ดี
 :hao5:

เอาใจช่วยตะวันน้าาาา

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
กอดตะวันแน่นๆๆๆๆ :กอด1:

ออฟไลน์ WaterProof

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มาแล้วววววววว  :pig4:

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
กอดหนูเจีย

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
เรื่องร้ายๆจงพ้นไป ชิ่วๆๆๆๆ
//หันไปซดมาม่าให้หมดชาม!...//

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
สงสารตะวันมาก ดีที่ยอมไปหาหมอ ดีที่เปิดใจ
ทุกคนก็เป็นห่วงมาก และก็เป็นกำลังใจได้ดีมาก

ลุ้นตะวันมากค่ะ

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๓๐
แสงตะวันหลังม่านฝน


         ปานตะวันทำตามที่ตัวเองตั้งใจไว้ได้ดี สมุดบันทึกทั้งสองเล่มตลอดสามเดือนตั้งแต่เริ่มรักษามาถูกเขาเติมเต็มด้วยข้อความมากมายในแต่ละวัน สมุดบันทึกธรรมดาถูกเขียนบ่อยมากกว่าสมุดบันทึกความสุขแต่ก็ความถี่ในการเขียนก็ไม่ได้ห่างกันขนาดนั้น
   
        ปานตะวันพยายามอย่างยิ่งในการให้ความร่วมมือกับหมอ เขากลับมาบ้านเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม พยายามทำความเข้าใจกับอาการของตัวเองให้มากที่สุด รวมถึงจดบันทึกอาการหลังกินยาของตัวเองไว้ด้วย
   
        เคยมีคนแถวบ้านพูดกับปานตะวันว่าอาการของปานตะวันเกิดจากจิตใจอ่อนแอ อีกฝ่ายแนะนำให้ปานตะวันไปเข้าวัดทำบุญ นั่งสมาธิ จิตใจจะได้สงบแถมยังมีการชักชวนให้ ชายหนุ่มนึกอยากจะถอนหายใจแรงๆ แต่สุดท้ายก็ได้แต่ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล พอเขาเอาเรื่องนี้มาบอกราเมศคนรักก็ลูบหัวเบาๆ แล้วพูดว่า
   
        “เขาแนะนำเพราะหวังดี เขาแค่ยังไม่มีความเข้าใจเท่าไหร่ ตะวันอย่าหงุดหงิดเลยนะ”
   
        “ตะวันไม่ได้หงุดหงิดสักหน่อย”
   
        ปานตะวันงึมงำ นี่อะไร เห็นเขาเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ไปแล้วหรือไง
   
        ตั้งแต่ทานยาที่ได้รับมา ปานตะวันรู้สึกว่าอารมณ์ของเขานิ่งมากขึ้น พออารมณ์นิ่งก็เริ่มใช้ชีวิตตามปกติได้มากขึ้น เขาไม่ได้ระเบิดอารมณ์เกรี้ยวกราดแบบเมื่อก่อนอีกแล้ว ถ้ารู้สึกได้ว่าอารมณ์ของตัวเองเริ่มดิ่งเมื่อไหร่ชายหนุ่มก็จะหันกลับไปเขียนบันทึก ระบายทุกอย่างลงไป
   
        เมื่ออารมณ์ของเขาเริ่มนิ่งและเริ่มกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้แล้ว แม่ของเขาก็กลับไปหาพ่อเลี้ยงและน้องๆ แต่ปานตะวันไม่ได้รู้สึกว่าเขาและแม่ห่างเหินกันเช่นแต่ก่อนอีกต่อไปเพราะทุกสัปดาห์แม่จะส่งอีเมลล์มาหาเขา หนึ่งฉบับบ้าง สองฉบับบ้างตามแต่สะดวก ถามไถ่อาการเขาด้วยความเป็นห่วง บ้างวันก็สไกป์คุยกัน ถ้าเดือนไหนว่างแม่ก็จะมาเยี่ยมเขาประมาณหนึ่งสัปดาห์ ใช้เวลาด้วยกันสองคนแม่ลูก
   
        เพราะการเอาใจใส่แบบนี้อาการของปานตะวันจึงค่อยๆ ดีขึ้น
   
        ทุกครั้งที่ไปพบหมอ ปานตะวันจะเอาบันทึกของตัวเองไปด้วย ไม่รู้ทำไมแต่เขาอยากให้หมออ่านมัน อยากให้มีใครสักคนได้รับรู้ว่าจริงๆ แล้วในหัวเขามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง และคนที่เขาไว้ใจรองจากครอบครัวก็คือหมอ ส่วนราเมศ...ปานตะวันให้ราเมศดูแค่บันทึกความสุขเท่านั้น อีกเล่มเขาไม่เคยให้อ่านเพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องกังวลมากแน่ๆ
   
        ราเมศเหนื่อยแล้ว ถึงจะไม่แสดงออกแต่ปานตะวันก็รู้ว่าราเมศกำลังล้ากับทุกสิ่งที่แบกรับอยู่
   
        แต่ทุกครั้งที่กลับมาบ้าน อีกฝ่ายจะยิ้มให้เขาแล้วก็กอดเขาเอาไว้แน่น ทำให้ปานตะวันอุ่นใจและรู้สึกว่าอ้อมกอดของคนคนนี้คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
   
         แม่ พี่เมศกับหนูเจียเป็นอีกแรงผลักดันที่ทำให้ปานตะวันค่อยๆ สามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้อีกครั้ง
   
        “ดีแล้วที่ไม่หงุดหงิด” ราเมศดึงแก้มแมวเหมียวของเขาจนยืด ถุงทองกับขาวร้องเมี้ยวม้าวขออาหารอยู่แทบเท้าทำให้ปานตะวันต้องรีบเอาอาหารเทใส่ชามให้สมุนแมวทั้งสอง เมื่อจัดการแมวเสร็จก็เดินกลับมายืนข้างราเมศต่อ
   
       อันที่จริงแล้วปานตะวันรู้ว่าคนอื่นๆ หวังดีกับเขาถึงได้แนะนำ คนอื่นเข้าใจว่าการเป็นโรคซึมเศร้าคือการที่จิตใจเข้มแข็งไม่พอถึงได้บอกให้ไปเข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่ปานตะวันไม่เห็นด้วย ลองนึกภาพง่ายๆ อย่างเช่นถ้าเป็นเมื่อหลายเดือนก่อนช่วงที่สภาพจิตใจเขาแย่มาก ดิ่งลงไปถึงจุดต่ำสุด ถ้าไปเข้าวัดตอนนั้นปานตะวันคิดว่าตัวเองอาจจะไปผูกคอตายในวัดแล้วก็ได้
   
        เจ้าตัวร้ายในหัวเขามันคงกระซิบว่า เฮ้ ไหนๆ นายก็มาวัดแล้ว นี่ไง เป็นที่ตายที่สงบดีใช่ไหมล่ะ อะไรทำนองนี้แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าการทำจิตใจให้สงบไม่ช่วยอะไรหรอกนะ
   
        “ตะวันคิดว่าการทำสมาธิอะไรพวกนี้ก็อาจจะมีส่วนช่วยได้นะ เพียงแต่ต้องทำคู่กัน ทำความเข้าใจโรคก่อน รักษาก่อนแล้วก็ไปเข้าวัดปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิด้วยความเข้าใจ มันคงจะช่วยเสริมกันได้ ถ้าไม่รู้อะไรเลยแค่ทำๆ ไปตามที่คนอื่นบอกยังไงก็ไม่หาย”
   
         นอกจากโลกต้องเข้าใจผู้ป่วยแล้ว ผู้ป่วยก็ต้องเข้าใจโรคด้วยเมื่อกัน
   
         “มันก็เหมือนสู้กับศัตรู รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งอะไรทำนองนี้แหละมั้ง”
   
         แววตาของราเมศที่มองมามีความทึ่งเล็กน้อย ปานตะวันนึกว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปจึงกระแอมแก้เก้อ “อะไรเล่า ตะวันพูดอะไรผิดหรือไง”
   
       “ก็ไม่ผิดหรอก แค่รู้สึกว่า...นายดูเปลี่ยนไปนะ”
   
        “ดีขึ้นหรือแย่ลงล่ะ”
   
        “ก็ต้องดีขึ้นอยู่แล้วสิ” ราเมศหัวเราะพลางขยี้เส้นผมนิ่มของคนรักอย่างเอ็นดู ปานตะวันเอนหัวหลบแล้วก็แยกเขี้ยวใส่เขา
   
        “พอๆ เลิกแกล้งตะวันได้แล้ว รีบไปรับหลานกันดีกว่าครับ ไปช้าเดี๋ยวหนูเจียงอแงอีก”
   
        “มาให้หอมก่อน”
   
        ปานตะวันกลอกตา ราเมศเลยชนริมฝีปากกับแก้มของอีกฝ่ายดังจุ๊บเร็วๆ หนึ่งทีแล้วก็เดินยิ้มกริ่มลงไปด้านล่าง ทิ้งให้ปานตะวันยืนลูบแก้มอยู่คนเดียว
   
       เพราะวันนี้ออกมารับหนูเจียเร็วกว่าเวลาปกติ ผลปรากฏคือตอนมาถึงชั้นเรียนยังไม่เลิก คุณน้าทั้งสองจึงต้องพากันไปนั่งรอในโรงอาหาร ระหว่างรอปานตะวันก็สังเกตว่ามีผู้ปกครองหลายคนไปมุงอยู่บริเวณหน้าห้องเรียนของหนูเจีย เพราะห้องของหนูเจียอยู่ชั้นล่างสุดทำให้มองเห็นได้จากบริเวณโรงอาหาร
   
        “หืม มีอะไรกันน่ะ ทำไมทุกคนไปยืนออหน้าห้องกันแบบนั้น” ปานตะวันพูดพลางชะเง้อชะแง้คอยาว ราเมศจึงตอบกลับมาว่า “ลองไปดูกันไหม”
   
        “เอาสิ”
   
         กล่าวจบทั้งคู่ก็ตรงไปที่หน้าห้องเรียนของหนูเจีย ปานตะวันสะกิดถามคุณแม่คนหนึ่งว่า “มีอะไรกันหรือครับ ทำไมทุกคนมายืนมุงกันแบบนี้”
   
        ผู้หญิงที่ถูกเรียกหันมามองจากนั้นก็ตอบกลับมายิ้มๆ “พอดีเด็กๆ เขากำลังอ่านเรียงความกันอยู่น่ะค่ะ”
   
        “เรียงความ?”
   
        ปานตะวันมองเข้าไปในห้องก็เห็นตัวอักษรขนาดใหญ่โชว์หราอยู่กลางกระดานเป็นประโยคว่า ‘สำหรับฉัน คุณพ่อและคุณแม่คือ...?’
   
        “ดูเหมือนจะเป็นงานให้วาดรูประบายสีแล้วก็เขียนอธิบายประกอบน่ะค่ะ”
   
        “งั้นเหรอครับ เอ แล้วหนูเจียจะพูดไปหรือยังน้า”
   
        ปานตะวันเห็นเจียหลินยืดถือกระดาษจดๆ จ้องๆ อยู่ หนูน้อยยังไม่เห็นทั้งปานตะวันและราเมศ พอเพื่อนที่รายงานหน้าห้องพูดจบหนูเจียก็ยกมือโบกไปมากลางอากาศ คุณครูประจำชั้นพยักหน้าแล้วก็เรียกชื่อเด็กชายให้ออกไปหน้าชั้น หนูเจียยิ้มแป้นออกไป โชว์รูปครอบครัวที่วาดให้เพื่อนๆ ดู
   
        รูปที่เจียหลินวาดเป็นรูปเนินหญ้าสีเขียว มีบ้านและดอกไม้ ข้างๆ มีผู้ชายตัวโตสองคนจับมือกัน ส่วนเด็กชายตัวเล็กขี่คอผู้ชายตัวโตคนหนึ่งอยู่ บนฟ้ามีพระอาทิตย์ ก้อนเมฆ นก และนางฟ้าที่ปานตะวันเดาว่าเป็นพี่จันทร์
   
        “พี่เมศๆ ถ่ายวีดิโอเร็ว”
   
        ปานตะวันเร่งราเมศยิกๆ
   
        “รู้แล้ว แป๊บนึง”
   
        ราเมศตบกระเป๋าหาโทรศัพท์ โชคดีที่หยิบออกมาทันตอนที่หนูเจียเริ่มอ่านออกเสียงพอดี
   
       “ครอบครัวของหนูเจียมีกันห้าคน มีหนูเจีย น้าตะวัน น้าเมศ แล้วก็แมวอีกสองตัวชื่อถุงทองและขาว พวกเราอยู่ด้วยกันในบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ ส่วนคุณแม่ของหนูเจียชื่อแม่จันทร์ คุณแม่ไม่อยู่กับเราแล้ว ตอนนี้คุณแม่อยู่บนฟ้า เป็นนางฟ้า”
   
        บรรดาผู้ปกครองลอบมองหน้ากันเล็กน้อยแต่หนูเจียยังคงอ่านต่อไปด้วยรอยยิ้มใสซื่อ
   
        “สำหรับหนูเจีย แม่จันทร์คือคุณแม่ที่ใจดีที่สุดในโลก หนูเจียคิดถึงแม่จันทร์อยู่แต่หนูเจียไม่เหงาแล้วเพราะมีน้าตะวันกับน้าเมศอยู่ด้วยกัน น้าตะวันเป็นเหมือนแม่ น้าตะวันบอกว่าตัวเองทำหน้าที่แทนแม่ให้หนูเจียด้วย น้าตะวันทำงานบ้าน อ่านหนังสือให้หนูเจียฟังแล้วก็กอดหนูเจียจนหลับทุกคืน นอกจากนี้แล้วก็ยังทำหน้าที่พ่อด้วย น้าตะวันสอนหนูเจียว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ให้หนูเจียขี่คอ
   
        ส่วนน้าเมศก็เป็นเหมือนคุณพ่อ น้าเมศทำอาหารอร่อย เป็นคนคอยทำกับข้าวให้หนูเจียกับน้าตะวันกิน เป็นคนเช็ดตัวตอนหนูเจียไม่สบาย น้าเมศบอกว่ารักหนูเจียมาก รักเหมือนลูกชายแท้ๆ หนูเจียก็รักน้าเมศมากเหมือนกัน หนูเจียชอบเวลาที่เราอยู่ด้วยกันสามคน สำหรับหนูเจียทั้งน้าเมศและน้าตะวันเป็นฮีโร่ คุณพ่อ และคุณแม่ของหนูเจียคับ”
   
        เด็กชายยังเรียบเรียงคำพูดมาเขียนอธิบายไม่ค่อยเก่ง บางประโยคจึงวกวนไปมาแต่อารมณ์และความใสซื่อบริสุทธิ์ที่ส่งผ่านจากทุกตัวอักษรตรงเข้าไปในหัวใจของทุกคนได้ทันที
   
        เสียงปรบมือดังเกรียวกราวรอบห้องทำให้หนูเจียเขินจนแก้มแดง เด็กน้อยกวาดสายตาไปรอบๆ จนมาเจอราเมศและปานตะวันที่ยืนถ่ายวีดิโออยู่ หนูเจียที่รู้ตัวว่าถูกจับได้ก็ยกกระดาษบังหน้าตัวเองแล้ววิ่งกลับไปนั่งที่ทันที
   
        เหลือเด็กอีกสองสามคนในห้องที่ยังไม่ได้รายงาน หลังจบการพูดหน้าชั้นคุณครูก็ปล่อยนักเรียนกลับบ้าน ราเมศกับปานตะวันยืนรอหนูเจียอยู่หน้าห้อง เด็กชายตัวน้อยเดินก้มหน้างุดมาหาคุณน้า ท่าทางเขินจนหูแดงก่ำทำให้หนูเจียดูน่าฟัดและน่าหมั่นเขี้ยวมาก
   
        “ไหนๆ หนูน้อยคนเก่งของน้าตะวัน มาให้หอมหน่อยสิ”
   
       “ฮื้อ น้าตะวัน”
   
       แม้จะอิดออกแต่พอปานตะวันกางแขนเจียหลินก็พุ่งเข้าหาอีกฝ่ายทันที ลูกแมวเล็กและลูกแมวใหญ่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่หน้าห้อง พักนี้น้าตะวันดูเหมือนจะค่อยๆ กลับมาเป็นคนเดิมแล้ว เจียหลินดีใจเป็นที่สุด
   
       “พอแล้วทั้งคู่เลย เดี๋ยวค่อยกลับไปกอดกันที่บ้าน”
   
       ปานตะวันปล่อยหนูเจียให้ลงเดินกับพื้น คุณน้าทั้งสองจูงมือหลานชายคนล่ะข้างแล้วก็พากันเดินไปที่รถ ในสายตาของผู้ปกครองและคุณครูที่มองตามมา คนทั้งสามช่างเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเหลือเกิน
   
       วันเวลาดำเนินต่อไป ในที่สุดบันทึกทั้งสองเล่มของปานตะวันก็มาถึงหน้าสุดท้าย
   
        ชายหนุ่มปิดสมุดบันทึกเล่มแรกที่หน้ากระดาษภายในถูกเติมเต็มด้วยตัวอักษรลงอย่างนุ่มนวล เขาเก็บมันลงกล่องใส่ของ ในอนาคตหากวันใดปานตะวันย้อนกลับมาเปิดสมุดบันทึกเล่มนี้เขาคงภูมิใจที่ตัวเองมาได้ไกลและสามารถก้าวผ่านปัญหามาได้
   
        จะว่าไปแล้วก็ใจหายนิดหน่อย สมุดทั้งสองเล่มนี้เป็นเหมือนเพื่อนแท้ตลอดระยะเวลาที่ปานตะวันเหมือนเดินอยู่ในอุโมงค์มืดสลัวยาวไกลไร้ทางออก พวกมันเป็นเพื่อนแท้ที่เขาระบายทุกสิ่งให้ฟัง เป็นเหมือนขอนไม้ให้ยึดเกาะ ตอนนี้กระดาษสมุดแผ่นสุดท้ายสิ้นสุดลงแล้ว ถ้านี่เป็นนิยายมันคงต้องปิดท้ายด้วยคำว่า ‘จบ’ หรือ ‘มีความสุขไปตลอดกาล’
   
        แต่ชีวิตของปานตะวันไม่ใช่นิยาย
   
        กระดาษหมดลงแต่ชีวิตยังดำเนินต่อไป
   
        มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ปานตะวันยังคงต้องไปหาหมอและทานยาอย่างสม่ำเสมอ อารมณ์ของเขาเริ่มกลับเป็นปกติแล้วแต่บางครั้งเวลามีเรื่องอะไรมากระทบใจอย่างรุนแรงปานตะวันจะรู้สึกเศร้านานกว่าคนอื่น แต่ทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายเหมือนช่วงแรกอีกแล้ว พี่เมศอยู่ข้างเขา หนูเจียอยู่ข้างเขา แม่ กันต์ หลง และคนอื่นอีกมากมายเป็นกำลังใจให้เขา
   
        ความสัมพันธ์กับแม่...ตอนนี้ไม่ได้เรียกว่าดีมากแต่ก็ไม่ได้เลวร้าย ปานตะวันเคยไปนั่งทานข้าวเย็นกับครอบครัวใหม่ของแม่หนหนึ่งหลังจากที่ไม่ได้ทำมานาน น้องสาวทั้งสองดูกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเข้าหาแต่พอเขายิ้มให้เด็กทั้งสองก็ยิ้มตอบ...เหมือนว่าสายสัมพันธ์จะเริ่มจากตรงนั้น กับพ่อเลี้ยงเขาก็พูดคุยด้วยแต่ไม่มาก แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือฝ่ายนั้นขอโทษเขาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่แสดงความเสียใจจากใจจริง ปานตะวันก็ยกโทษให้
   
        พอมาคิดดูแล้วชายหนุ่มคิดว่าถึงแม่จะยังไม่ได้พบพ่อเลี้ยงตอนนั้นแต่ถึงยังไงความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ก็ง่อนแง่นอยู่ดี ตอนนั้นแม่คิดว่าทนได้แต่จริงๆ แล้วความอดทนของทุกคนย่อมมีขีดจำกัด สักวันหนึ่ง...ทั้งสองคนก็ต้องแยกทางกัน
   
        หลังจากที่ปานตะวันยอมไปทานข้าวกับครอบครัวใหม่แม่ก็บินมาหาเขาบ่อยขึ้น อีกฝ่ายยังเอาสมุดบัญชีธนาคารมาให้ปานตะวันเล่มหนึ่งด้วย บอกว่าจริงๆ แล้วบัญชีนี้เจ้าตัวเปิดไว้ให้ปานตะวันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว...ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าปานตะวันตัดสินใจจะอยู่กับหนูเจีย แม่ฝากเงินให้เขาทุกเดือน บอกว่าเก็บไว้เป็นค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายในอนาคต ปานตะวันเอามันไปฝากไว้กับราเมศ ตอนนั้นแหละเขาถึงได้รู้อีกว่าจริงๆ แล้วหนูเจียยังได้รับเงินประกันอุบัติเหตุจากตอนที่พี่จันทร์เสียด้วย พี่เมศเป็นคนเก็บไว้อีกเหมือนกัน อีกฝ่ายรักษามันอย่างดีไว้ให้หลานชายเพียงคนเดียว
   
        แต่ถึงจะมีเงินมากขนาดไหนปานตะวันก็ได้บทเรียนแล้วว่ามีได้ก็หมดได้ เขายังคงออกไปทำงาน ตั้งใจเรียนให้จบเก็บหอมรอมริบอย่างดีเพื่ออนาคต
   
       กาลเวลาเคลื่อนผ่าน...หลายสิ่งเกิดขึ้น หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงและดับสูญไป
   
        ในกระแสแห่งกาลเวลาที่ไม่หยุดยั้งนี้ ปานตะวันพบว่าตัวเขาเติบโตขึ้นมาก
   
        “ตะวัน เสร็จหรือยัง”
   
        ประตูห้องนอนถูกเปิดออก ราเมศชะโงกหน้าเข้ามามองคนรักแล้วก็เห็นอีกฝ่ายยังนั่งจุ่มปุ๊กอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสืออยู่เลย
   
        “ยังเก็บของไม่เสร็จอีกเหรอ”
   
       “เสร็จแล้วครับ โทษที กำลังคิดอะไรเพลินไปหน่อย”
   
       “หืม คิดอะไรล่ะ”
   
        ชายหนุ่มผิวแทนเดินไปซ้อนหลังอีกฝ่าย ราเมศเห็นสมุดบันทึกทั้งสองเล่มของปานตะวันวางอยู่บนโต๊ะ สงสัยว่าอีกฝ่ายคงอ่านมันเพลิน ปานตะวันแหงนหน้ามองเขาแล้วก็ยิ้มบางๆ ออกมา “คิดว่าหลายอย่างนี่เปลี่ยนแปลงไปเยอะเลยนะ”
   
        “นั่นสินะ” ชายหนุ่มรับคำ กวาดตามองไปรอบห้องที่ในอดีตเคยเป็นห้องนอนแขกสองห้องแต่ตอนนี้ถูกทุบรวมกันกลายเป็นห้องนอนใหญ่หนึ่งห้อง ราเมศกับปานตะวันนอนในห้องนี้ ส่วนห้องเดิมยกให้หนูเจีย เด็กน้อยที่ตอนนี้ขึ้นชั้นประถมแล้วแต่ก็ยังติดคุณน้าอยู่ ต้องไปอยู่ในห้องนอนด้วยจนเจียหลินหลับก่อนราเมศกับปานตะวันถึงจะกลับห้องตัวเองได้  “เปลี่ยนไปเยอะเลย บ้านหลังนี้ก็ด้วย”
   
        “ใจหายเหมือนกันนะครับ”
   
        “ยังไงทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนแปลง ว่าแต่สมุดน่ะหมดเล่มแล้วเหรอ”
   
        “อื้ม เล่มนี้หมดแล้ว แต่เล่มนี้ยัง” ปานตะวันเคาะหน้าปกสมุดบันทึกความสุข “เหลืออีกสองสามหน้า กำลังคิดอยู่ว่าจะเขียนอะไรปิดท้ายดี”
   
        “ไว้ค่อยกลับมาเขียนไหม ตอนนี้ไปทำธุระกันก่อน”
   
        ปานตะวันพยักหน้าพลางลุกจากเก้าอี้ ตอนลงไปข้างล่างชายหนุ่มพบว่าหนูเจียรออยู่ที่รถแล้ว
   
        จุดมุ่งหมายของพวกเขาวันนี้ก็คือวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก เพราะวันนี้เป็นวันพระ บรรดาคนที่มาทำบุญจึงค่อนข้างมาก หลังจากไหว้พระและถวายสังฆทานเสร็จปานตะวันกับราเมศก็พาหนูเจียลัดเลาะไปที่ริมกำแพงโบสถ์ก่อนจะหยุดอยู่หน้าช่องบรรจุอัฐิช่องหนึ่ง
   
       บนหินอ่อนสีขาวมีรูปหญิงสาวคนหนึ่ง ดูอ่อนเยาว์และสดใส อายุที่สลักอยู่บนนั้นก็ยังไม่มาก ปานตะวันเหม่อมองชื่อที่ของผู้เป็นเจ้าของเถ้ากระดูกในช่องกำแพงนี้
   
       ‘จันทร์จ้าว’
   
        “น้าตะวัน แม่จันทร์อยู่ที่นี่เหรอคับ”
   
        “หืม ไม่ใช่หรอกครับหนูเจีย ตอนนี้แม่จันทร์อยู่บนฟ้า เป็นนางฟ้าไงครับ”
   
        สายลมพัดให้ใบไม้เหนือศีรษะเสียดสีกัน ใบไม้แห้งบางใบร่วงโรงลงมา
   
        “เดี๋ยวพี่ไปยืมไม้กวาดมาให้นะ”
   
        ราเมศกระซิบเบาๆ แล้วก็จากไปพร้อมหนูเจีย เหลือเพียงปานตะวันอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งโดยไม่กลัวกางเกงจะเปื้อน เขามองจันทร์จ้าวที่ส่งยิ้มมาให้จากในรูปถ่าย
   
       “พี่จันทร์เป็นไงบ้าง บนนั้นสบายดีหรือเปล่า ตะวันขอโทษนะที่วันนี้มาช้า ช่วงนี้มีเรื่องยุ่งๆ หลายเรื่องเลย” วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของจันทร์จ้าว ทุกวันครบรอบปานตะวันจะมาที่นี่ไม่เคยขาด “หนูเจียขึ้นชั้นประถมแล้วนะ หลานเรียนเก่ง อาจารย์ชมกันใหญ่เลย ชอบเล่นกีฬาด้วย เขาโตมาเป็นเด็กดี แข็งแรง ร่าเริง พี่ดีใจไหม? พี่จันทร์รู้ไหมว่าตะวันกำลังเรียนทำขนมไทยด้วยนะ หลงสอนให้ พอเรียนจบแล้วมีเงินมากพอตะวันจะเปิดร้านขนมไทยล่ะ ตอนแรกอาจทำใส่กล่องแล้วส่งตามร้านไปก่อน ฝีมือทำขนมตะวันดีขึ้นมากเลยนะ พี่เมศยังชมเลย พูดถึงพี่เมศนะตอนนี้ตะวันกับพี่ปรับปรุงบ้านแล้วด้วย เราย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว มีพ่อครัวประจำบ้านนี่มันดีจริงๆ ถึงจะดุไปบ้าง ขี้บ่นไปนิดแต่เรามีความสุขกันมากๆ เลยล่ะ ส่วนเรื่องแม่กับเรื่องอาการของตะวันพี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ อะไรๆ กำลังดีขึ้นแล้วล่ะ ตะวันจะก้าวต่อไปให้ได้ สัญญาเลย พี่จันทร์กับพ่อคอยดูจากบนนั้นก็พอ”
   
       เสียงเหยียบใบไม้แห้งดังมาจากด้านหลัง ราเมศกลับมาพร้อมไม้กวาดทางมะพร้าวด้ามหนึ่ง ปานตะวันรับหน้าที่กวาดเศษใบไม้ออกจากหน้าช่องบรรจุอัฐิของพี่ ราเมศทำความสะอาดป้ายและแจกันใส่ดอกไม้กับกระถางธูป จากนั้นพวกเขาก็จัดดอกไม้สดที่เพิ่งซื้อใหม่ลงไป
   
        ทั้งสามนั่งกันอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนที่ปานราเมศจะเป็นคนแรกที่ลุกขึ้น “กลับบ้านกันเถอะ”
   
       หนูเจียเป็นคนที่สองที่กระโดดลุกตาม เด็กชายมองป้ายหินอย่างอาลัยเล็กน้อยแล้วก็วิ่งตามราเมศไป ส่วนปานตะวันเป็นคนสุดท้ายที่ลุกขึ้น ชายหนุ่มคลี่ยิ้มก่อนจะกล่าวอำลาพี่สาวของเขา
   
        “ตะวันรักพี่จันทร์นะ พักผ่อนให้สบายนะครับ”
   
        เวลาผันผ่าน หลายสิ่งเปลี่ยนแปลง แต่บางครั้งความรักที่สลักลึกในใจก็ยังไม่เปลี่ยนไป
   
       พวกเขากลับมาถึงบ้านกันตอนบ่ายกว่าๆ ปานตะวันกำลังครุ่นคิดว่าบางทีเขาอาจจะเขียนเรื่องการไปวัดวันนี้ลงที่สมุดบันทึกหน้าสุดท้าย มันอาจจะไม่ใช่ความสุขทั้งหมดแต่ก็เป็นความทรงจำที่ดีควรค่าแก่การปิดท้ายสมุดบันทึกเล่มแรก
   
        รถยนต์จอดนิ่งหน้าประตูรั้วที่ทาสีใหม่ ปานตะวันเป็นคนลงไปเปิดประตู ตอนนั้นเองที่เขาเห็นอะไรบางอย่างถูกติดอยู่เหนือกล่องรับจดหมายหน้าบ้าน
   
        มันเป็นป้ายไม้ ติดตัวอักษรนูนสีทองเล่นหางเกี่ยวกระหวัดกันเป็นคำว่า ‘บ้านปานตะวัน’
   
        “บ้าน...ปานตะวัน?”
   
        “ชอบไหม พี่สั่งรุ่นน้องที่รู้จักกันทำให้ เพิ่งเอามาติดเมื่อเช้านี้เอง”
   
        ราเมศลงตากรถมาตอนไหมไม่รู้ เข็นประตูเปิดเองเสร็จสรรพ ปานตะวันหันไปมองคนรักอย่างงุนงง
   
        “ทำไมถึงต้องชื่อบ้านปานตะวันล่ะครับ”
   
        “ก็เป็นชื่อที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นดีไม่ใช่เหรอ”
   
        ฝ่ามือใหญ่ตบเบาๆ ลงที่ศีรษะ ปานตะวันเม้มริมฝีปาก ใบหูและสองแก้มร้อนผ่าว ชายหนุ่มเดินตามเข้าไป ช่วยยกของไปเก็บในบ้านจากนั้นก็โพล่งขึ้นมาว่า “ทุกคนไปถ่ายรูปกัน”
   
        “หืม รูปอะไร”
   
        “รูปครอบครัวไง อยู่ด้วยกันมาตั้งนานพวกเรายังไม่เคยถ่ายรูปครอบครัวหน้าบ้านเลยนี่นา”
   
        “ถ่ายๆๆ น้าตะวันหนูเจียอยากถ่ายรูปครอบครัว”
   
         หนูเจียตัวน้อยกระโดดดึ๋งมาตรงหน้า ชูไม้ชูมือแสดงความเห็น ราเมศที่เห็นสองแมวคึกคักแล้วก็ยิ้มออกมา ยอมเดินตามแมวใหญ่และแมวเล็กไปหน้าบ้าน
   
        ปานตะวันใช้โทรศัพท์ถ่ายรูป ราเมศที่แขนยาวสุดรับหน้าที่ถือไม้เซลฟี่ไปทันที ปานตะวันจัดท่าทางให้ทุกคน จากในรูปแม้ไม่เห็นตัวบ้านเรือนไทยทั้งหมดแต่อย่างน้อยก็ติดป้ายบ้านตะวันมาเต็มๆ
   
        “ทุกคนยิ้มเร็ว หนูเจียขยับมาตรงกลางหน่อย หนึ่ง สองงง”
   
        รูปที่หนึ่ง รูปที่สอง รูปที่สาม ถ่ายไปสิบกว่ารูปจนพอใจแมวใหญ่และแมวเล็กก็พากันเดินขึ้นบ้าน ราเมศมองตามปานตะวันที่กำลังพริ้นท์รูปออกมาก่อนถามว่า
   
        “จะเอาไปติดในสมุดบันทึกเหรอ”
   
        “ครับ คิดว่าเป็นอะไรดีๆ ปิดท้ายน่ะ”
   
        “แล้วจะเขียนอีกไหม”
   
        “คิดว่าเขียนนะ ตะวันเสพติดการเขียนบันทึกไปแล้วล่ะ เล่มใหม่ก็ซื้อมาเตรียมแล้วด้วย”
   
        “ดีแล้ว มีงานอดิเรกที่ทำแล้วสบายใจเพิ่มมาอีกอย่างก็ดี”
   
        ปานตะวันหัวเราะออกมา รอยยิ้มนั้นแม้จะยังไม่สดใสเท่าวันเก่าแต่ราเมศก็ยังคงรักมัน แค่เป็นรอยยิ้มของปานตะวัน ไม่ว่าจะแบบไหนเขาก็รักทั้งนั้น
   
        นั่งคุยกันได้ไม่ทันไรเจียหลินก็ร้องเรียกให้คุณน้าเมศไปทำข้าวไข่เจียวให้กิน สงสัยเจ้าตัวเล็กจะหิวมาก ราเมศขานรับหลานชายและก็ผละไป
   
        ปานตะวันหยิบสมุดบันทึกความสุขออกมา ติดรูปครอบครัวที่ถ่ายลงไป รูปนั้นกินเนื้อที่เกือบครึ่งหน้ากระดาษ ชายหนุ่มเคาะปากกาลงกับโต๊ะแล้วก็เขียนถึงกิจกรรมวันนี้ พอเขียนเสร็จก็ยังเหลือบรรทัดอยู่อีกหลายบรรทัด ปานตะวันเดาะลิ้น
   
        บรรทัดที่เหลืออยู่...จะเขียนอะไรดีนะ
   
        ชายหนุ่มเอนหลังพิงเก้าอี้ กวาดตามองไปรอบๆ บ้าน แสงแดดอ่อนส่องลอดบานหน้าต่าง ขับให้เนื้อไม้ดูเปล่งประกาย สายลมอ่อนพัดโชยหอบเอากลิ่นหอมจากดอกไม้ในสวนให้ลอยมาด้วย ปานตะวันได้ยินเสียงหัวเราะของหนูเจียกับพี่เมศแว่วมาคลอไปกับเสียงกรุ๊งกริ๊งจากโมบายที่แขวนไว้ตรงระเบียง
   
        ความสุข...เป็นแบบนี้เอง
   
        ปานตะวันหยิบปากกาขึ้นมา ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นและเขาก็ไม่รอช้าที่จะถ่ายทอดมันลงไปในสมุดบันทึก
   
        วันนี้กลับมาจากวัด มองเห็นป้ายหน้าบ้านถูกทำใหม่ พี่เมศสั่งทำป้าย ‘บ้านปานตะวัน’ ขึ้น เราก็ถามออกไปว่าทำไมต้องเป็นชื่อปานตะวัน เขาก็ตอบว่าเพราะฟังแล้วอบอุ่นดี บ้านปานตะวัน พอลองออกเสียงดูแล้วก็รู้สึกอุ่นใจจริงๆ นั่นแหละ คิดไปแล้วชื่อนี้ก็เหมาะกับบ้านหลังนี้ดี สถานที่นี้เหมือนกับดวงอาทิตย์สำหรับเรา ทุกครั้งที่กลับบ้านจะรู้ได้ว่ามีคนคอยอยู่พร้อมกับรอยยิ้ม มีคนที่เราเรียกได้เต็มปากว่าเป็นครอบครัวคอยกอดเราไว้ในวันที่เรามีปัญหา คอยหัวเราะไปด้วยกันในวันที่มีความสุข ที่นี่อบอุ่นแล้วก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
   
        บันทึกดำเนินมาถึงหน้าสุดท้ายแล้ว เราอยากเก็บสิ่งดีที่สุดเอาไว้ปิดท้าย แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป เราไม่รู้หรอกว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะหวาดกลัว เสียน้ำตา สุข ทุกข์ หรือเศร้าแค่ไหน มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้...พรุ่งนี้ที่วันใหม่จะมาถึง พรุ่งนี้ที่หน้าแรกของสมุดบันทึกเล่มใหม่จะถูกเติมเต็ม ทุกอย่างที่คาดเดาไม่ได้กำลังมาแต่เราไม่กลัวอีกแล้วเพราะรู้ดีว่ามีคนอยู่ข้างกันเสมอ

   
        ปลายปากกาหยุดลงชั่วครู่เมื่อเหลือที่ว่างเพียงบรรทัดสุดท้าย จากนั้นชายหนุ่มก็ขยับมือขีดเขียนอีกครั้ง
   
        สิ่งสุดท้ายที่อยากบอกคือตอนนี้เรามีความสุขมากในบ้านหลังนี้
   
        สถานที่ที่ทำให้ความรักเติบโต งอกงาม และผลิบาน


จบ
(ทอล์คอยู่รีพลายถัดไปนะคะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
Talk with Me

      จบแล้ววววว จบไปอีกหนึ่งเรื่องแล้วววววว ตอนที่พิมพ์คำว่าจบลงไปก็รู้สึกโล่งอกปนเหงาๆ (เหมือนทุกครั้ง 55555) จากตรงนี้ พอหันกลับไปมองสามสิบตอนที่ผ่านมาก็รู้สึกว่าโอ้โห ทำไมมันยาวกว่าที่วางพล็อตไว้เยอะเลย ตอนแรกมีแค่สิบห้าตอนเอง...

       ปานตะวันถูกวางพล็อตขึ้นมาบนธีม "ครอบครัว" และ "อบอุ่น" เรายึดสองคำนี้เป็นแกนหลักในการแต่งมาตลอดเพื่อไม่ให้ตัวเองก่อมาม่าชามโตขึ้นมา (ลูบหน้า) ในที่สุดก็เขียนจบโดยไม่หลุดธีมค่ะ น้ำตาจะไหล ฮ่าๆ เพราะเป็นธีมครอบครัวเนื้อเรื่องเลยอาจจะไม่มีจุดหวือหวาหรือบู๊แหลกลาญอะไร เราเขียนโดยพยายามเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวในเรื่องมากกว่า ตั้งใจไว้ว่าสิ่งที่ต้องเห็นคือพัฒนาการของตัวละคร สิ่งที่ได้ออกมาเลยกลายเป็นนิยายเส้นเรื่องเรียบๆ หนึ่งเรื่อง ฮ่าๆ อย่าตีเราเลยนะคะ T_T

        สำหรับเรื่องนี้สิ่งที่เราภูมิใจมากที่สุดคือตัวปานตะวันเองค่ะ จากจุดเริ่มต้นที่เราเขียนให้ตะวันเป็นเด็กวัยรุ่นเหลวไหลหนึ่งคน ไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น จนมาถึงตอนสุดท้าย ปานตะวันโตขึ้น เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น เข้าใจตัวเองมากขึ้น เขากำลังเติบโตและมาไกลจากจุดเริ่มต้นมาก สิ่งนี้ทำให้เรารู้สึกดีใจกับเขามากจริงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างปานตะวันกับคนรอบข้างเองก็พัฒนาขึ้นมาก ที่เด่นๆ เลยคือปานตะวันกับหนูเจีย จากน้าหลานสองคนที่คิดว่าจะลงรอยกันไม่ได้ ปานตะวันก็ปรับตัวอย่างมากเพื่อหลานชายของเขาจนตอนนี้ติดหนุบหนับกันไปแล้ว เวลาเขียนสองคนนี้อยู่ด้วยกันเรารู้สึกเหมือนได้รับการเยียวยาจริงๆ ค่ะ น่าร้ากกกก

       ตัวละครต่อมาคือพี่เมศ พี่เมศเป็นพระเอกที่จืดจางที่สุดในบรรดาพระเอกทั้งสามเรื่องแล้วค่ะ... Orz แต่ในด้านความอึดและความเสียสละ เรายกให้พี่เมศไม่แพ้ใครเลย ตอนแรกหลายคนอาจไม่ชอบพี่เมศเพราะเปิดมาดูไร้เหตุผลแบบสุดกู่ แถมยังดุอีก จะดุอะไรนักหนา 55555 แต่เขียนไปเรื่อยๆ แล้วเราก็พบว่าตอนที่ตะวันลำบาก ไม่มีครั้งไหนเลยที่พี่เมศไม่อยู่กับปานตะวัน เขาแบกรับหลายๆ อย่างเอาไว้ ทั้งหลานชาย ร้านอาหารของเขา ค่าใช้จ่ายในบ้านหลายๆ อย่างพี่เมศก็ช่วยออก เขาเป็นเสาหลักที่เข้มแข็งมากๆ คนหนึ่ง ถ้าตะวันไม่มีเขาก็คงจะหลงไปไหนต่อไหนแล้ว  พี่เมศรักตะวันกับหนูเจียมากจริงๆ ค่ะ และเพราะรักถึงได้ทุ่มเทมากมาย ถึงจะไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยหวาน แต่เขาก็แสดงออกด้วยการเทคแคร์ ดูแล เป็นคนดีมากๆ เลยนะคะ ขอโทษด้วยที่ทำพี่หายไปบ่อยๆ กอดพี่เมศแน่นๆ ร้อยที

        ตัวละครที่สามที่อยากพูดถึงงง คนนี้ไม่พูดไม่ได้ หนูเจียยยยย เจียหลินน้อยๆ ของคนอ่าน ลูกแมวน้อยขี้อ้อน แก้มป่อง น่ารักน่าฟัดเป็นที่สุด เราอยากเขียนนิยายที่มีเด็กในเรื่องมานานแล้ว หนูเจียเกิดมาเพื่อให้เรื่องนี้มีความเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์มากขึ้น เป็นตัวละครสำคัญเลยค่ะ เทบทให้จนทำพี่เมศหายบ่อยๆ 555555 ตรงนี้อยากเม้าท์นิดนึงว่าชื่อเจียหลินเนี่ยจริงๆ มาจากชื่อกล้วยไม้ค่ะ แคทลียาเจียหลิน อ่านชื่อแล้วชอบมากกกกก หยิบมาตั้งชื่อหนูน้อยซะเลย เอาจริงๆ เรื่องนี้ถ้าไม่มีหนูเจียมันจะไม่มคีความคืบหน้าอะไรเลย หนูเจียทำให้ปานตะวันกับราเมศเข้าหากัน (โซ่ทองคล้องใจ แค่กๆ) ทำให้ปานตะวันเปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นเด็กน้อยขี้อ้อนที่ส่งผลกับคนรอบข้างมากๆ และทำให้คนเขียนหลงมากด้วย (ฟัด)

           เอาจริงๆ นอกจากปมตัวละครที่เคลียร์ไปหมดแล้วบางปมเราก็ยังเหลือทิ้งไว้ เช่น ปมจองตะวันกับแม่ตะวัน เราไม่ได้เขียนให้กลับมารักกันหวานชื่นร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะเรารู้ว่าในความเป็นจริงมันยากที่เป็นแบบนั้น ทุกคนต้องใช้เวลาปรับตัว ปานตะวันกับแม่ก็เช่นกัน หลายคนอาจมองว่าคุณแม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่สามีใหม่มากกว่าลูก เธอเป็นคนหนึ่งที่ทำผิดพลาด แต่เราคิดคิดว่าหลายๆคนในชีวิตก็ล้วนเคยทำผิดพลาด เธอเห็นแก่ตัวเพราะความรัก พอมาช่วงหลังๆ รู้สึกตัวและคิดได้เธอจึงกลับมาเพื่อลูกของเธอ คุณแม่รักปานตะวันนะคะไม่ใช่ไม่รัก แต่ด้วยความที่เธอเป็นสาวมั่น เชื่อตัวเองมากเกินไปและชอบคิดแทนคนอื่น มาเจอกับปานตะวันวัยกำลังพยศ ทั้งคู่ก็เหมือนน้ำกับน้ำมัน เข้ากันไม่ได้เลย หาเหตุผลต่างๆ นาๆ เข้าข้างตัวเองแล้วก็แตกกันไปคนล่ะทาง พอโตมาก็เข้าหน้ากันไม่ค่อยติดแล้ว แต่พอปานตะวันลำบากเธอก็กลับมาหาลูกทันที ุุถึงตอนนี้แม่ลูกก็เปิดใจให้กันมากขึ้นแล้วล่ะค่ะ :)

          สำหรับปานตะวันแล้วนิยายเรื่องนี้ค่อนข้างราบเรียบ มันเกิดจากแนวคิดที่ว่า "คนไม่เอาไหนคนหนึ่ง ถ้าเขาอยากกลับตัวเพื่อเลี้ยงเด็กอีกคนให้โตมาเป็นคนดี เขาจะทำได้แค่ไหนนะ" "เป็นครอบครัว ก็ต้องผ่านทุกข์สุขไปด้วยกัน" ปานตะวันเป็นนิยายที่พยายามเขียนนออกมาอบอุ่นละมุนให้มากที่สุด บางตอนอาจจะน่าเบื่อไปหรือเรียบไป เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ

          สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ ขอขอบคุณทุกคอมเม้นท์ คำแนะนำ คำติ คำชม ขอบคุณทุกคนจริงๆ ขอบคุณที่พาให้นิยายเรื่องนี้มาถึงตอนจบไปพร้อมกับเรา ขอบคุณจริงๆ ค่ะ  :กอด1: :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
มีความสุขกับทั้ง 3 คนของบ้านปานตะวันค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ WaterProof

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ยังไม่อ่านค่ะ ขอเม้นท์ก่อนนนนนน ดีใจมาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-08-2017 21:14:15 โดย WaterProof »

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
 :pig4: :pig4: :pig4: จบลงอย่างสวยงามและอบอุ่น ขอบคุณมากนะคะที่แต่งเรื่องน่ารักๆและอบอุ่นหัวใจมาให้อ่านกัน ออกจะเหงาๆอยู่สักหน่อยไม่ได้อ่านหนูเจียแล้ว รอคอยเรื่องต่อไปนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ประทับกับเรื่องนี้มากๆค่ะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ประทับใจค่ะ ประทับใจกับความอดทนและพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างตะวันของพี่เมศมากๆ อยากบอกว่าอยากมีแฟนแบบพี่เมศจริงๆ ค่ะ ประทับใจในตัวตะวันที่พร้อมสู้และปรับปรุงตัวให้ดีทั้งๆ ที่ตัวเองก็เพิ่งผ่านอุปสรรคที่หนักหนามากแต่ก็ไม่ทิ้งหนูเจียไปตั้งแต่ตอนต้นที่เพิ่งรู้จักกับหนูเจีย ประทับใจกับหนูเจียที่เข้มแข็งและพร้อมที่จะรับรู้และปรับตัวเมื่อรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้ใหญ่ พยามยามทำตัวเป็นเด็กดีไม่สร้างปัญหา และพร้อมที่จะทำความเข้าใจและปรับตัว หนูเจียเป็นเด็กที่ฉลาดและเข้มแข็งมากๆ จริงๆ ค่ะ

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ขอบคุณครับ
เป็นนิยายที่อ่านแล้วรู้สึก 'จริง' มากๆ ครับ มีความมืดมนเล็กๆ ที่แฝงมาในเรื่องแต่นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ต้องพบเจอและผ่านมันไปให้ได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ Pithchayoot

  • พิชญ์ชยุตม์
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ตะวันกับพี่เมศจบซะแล้วอะ ฮรืออออ
ขอบคุณที่แต่งนะคะ เป็นเรื่องที่ดีมากเลย
ได้ข้อคิดอะไรหลายอย่างจากตัวละคร
เป็นเรื่องที่รู้สึกว่าเรียลมาก ตัวละครน่ารักมาก มีมิติ
ชอบปานตะวันที่ค่อยๆเติบโต ปรับตัวเองให้ดีขึ้น
อดีตที่น้องมีมันแย่แต่น้องก็ทำใจผ่านมันไปได้ ถึงจะเกือบแย่มาก็ตาม
พี่เมศก็เป็นคนรักที่ดีมาก หนูเจียก็เป็นเด็กน่ารัก ส่วนตัวชอบกันต์มากเลย
ทุกคนเป็นกำลังใจ เป็นครอบครัวที่อบอุ่นของปานตะวัน
เรื่องนี้เป้นเรื่องที่ดีมากจริงๆค่ะ เราชอบมากเลย
 :bye2: :pig4: :กอด1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เรารักนิยายเรื่องนี้มากกกกกก พี่เมศเป็นพระเอกที่หาที่ติอะไรไม่ได้เลย เป็นคนที่ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเขาก็จะสามารถปกป้องเราและพาเราผ่านเรื่องแย่ๆไปได้ ส่วนปานตะวันเป็นเด็กที่เข้มแข็งมากเลยนะ เราเอ็นดูมากกก ตะวันโตขึ้นจากตอนแรกจริงๆค่ะ ส่วนหนูเจียน่ารักมากกก เราชอบความเป็นเด็กสมวัยของหนูเจีย ไม่ได้โดดเด่นอะไรขึ้นมาเกินกว่าความเป็นเด็ก น่าเอ็นดูมากก อยากฟัดดดดดด เรารักหนูเจียยยยยยยย สุดท้ายขอบคุณคนเขียนมากนะคะ ที่เขียนนิยายแบบนี้มาให้อ่านกัน เป็นกำลังใจให้และจะติดตามเรื่องต่อๆไปค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
อยากให้เขียนเรืองของหนูเจียกับน้องเกล้าตอนโตจัง แอบจิ้นคู่นี้ตั้งแต่เด็ก  :laugh:  :o8:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เรืองนี้ไม่ราบเรียบนะ มีขรุขระระหว่างบ่อยมาก จนปานตะวันเป๋ไปหลายรอบ

เป็นเรื่องทั่วไปที่เกิดขึ้นได้ในสังคมตอนนี้ แต่มันยากสำหรับคนที่ต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้
เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ปลอบก็ไม่ได้ ปล่อยก็ยิ่งไม่ได้

ปานตะวันเป็นอะไรที่ตอกย้ำความสัมพันธ์ของครอบครัว ของคนรัก กับความฝังใจที่ร้ายแรง
เป็นแผลใจที่ลบยาก แถมไม่เคยได้รักษา เรื้อรังยาวนาน พอต้องมาเจอเรื่องเดิมอีกจะปะทุก็ไม่แปลก

แต่ในวันนี้ อย่างน้อยสิ่งที่ปานตะวันคิด และเป็นแผลมานาน มันได้แก้ไข ปานตะวันเปิดใจ ให้ความร่วมมือกับหมอ
เรื่องทุกอย่างเลยดีขึ้น ถึงจะไม่ทั้งหมดก็เหอะ แต่ทำให้ปานตะวันไม่คิดจะหายไป ไม่คิดจะตาย แล้วเริ่มมีความสุข
อยู่ด้วยความเข้าใจ แล้วมองอะไรกว้างมากขึ้น ช่วยปานตะวันได้เยอะ

ราเมศมีความอดทนดี อดทนมาก ถึงจะเจ็บแต่ก็ไม่เคยให้ใครเห็น เก็บซ่อนไว้ทั้งหมด เพื่อให้ปานตะวันกับหนูเจียไม่เคว้ง
พยายามในสิ่งที่ทำได้ ในสิ่งที่ควรทำ ไม่ล้ำมากไป จนเกินต่อต้าน แล้วยังทำให้แม่เข้าใจ เปิดใจที่จะเข้าหา
อยู่เคียงข้างตลอด ราเมศเป็นคนดีคนหนึ่ง อบอุ่น ดูแล ปกป้อง

หนูเจีย เด็กน้อยทำโลกสดใส ทำให้น้าตะวันยิ้มได้บ้างในวันที่ไม่มีใครทำได้

ครอบครัวแค่เข้าใจ แล้วไม่ทิ้งกัน มันช่วยได้หลายอย่าง จริง ๆ

ชนกันต์เป็นเพื่อนที่ดีมากจริงๆ เป็นคนที่ไม่ทิ้ง ไม่ทำลาย เพื่อนแท้ช่วยเหลือทุกอย่างแม้ในยามที่หมดทาง

ขอบคุณคนแต่งมากนะคะ เรื่องนี้มีจุดพีคหลายจุด และปมก็ได้แก้ไปเยอะ
ต่อไปปานตะวันก็เริ่มใช้ชีวิตที่สดใสขึ้น คิดลบน้อยลง พยายามมากขึ้น

ออฟไลน์ Graydaiiz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
นักเขียนเขียนได้ดีมากกก!  :-[ :impress2: อ่านแล้วเข้าใจง่ายและสนุก Storyline ก็ดี ชอบมากๆเลยค่ะ

ขอบคุณมากๆ นะค่าที่แต่งเรืองน้ารักๆให้เราได้อ่าน ดรามาไม่เยอะ มีพอประมาณ ดีต่อใจคนอ่านจริงๆ พอคิดว่าเรื่องจบลงแล้วก็ใจหาย... พี่ตะวัน น้องเจีย แมวเหมียวของเรา !!! เราคิดถึงแล้วเนี่ย  :hao5:

บอกได้เลยว่าชอบตัวละครทุกตัว และชอบมากกกกเลยที่นัดเขียนปะติดปะต่อเรื่องราวในเรื่องนี้กับเรื่องอื่นๆที่เคยเขียนมาในเรื่อง ขอบคุณที่นำน้องหลงและคุณมาให้เราได้ฟินกันอีกนิดอีกหน่อย

มาให้ความสุขกับเราอีกน่า เราจะรอติดตามงานต่อๆไปนะกร้าบบบบ  :katai2-1:

ออฟไลน์ guppa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
ชอบการเดินเรื่องและสร้างตัวละครนะคะ  ทุกตัวละครมีแบล๊คกราวมีมิติไม่มากแต่มันเป็นอะไรที่ไม่เวอร์จนเกินไปและดูเรียลดี  เป็นส่วนผสมที่ลงตัวดีคะ  ไม่มาก ไม่ค่อย เกินไป   ถือว่าทำได้ดีมากคะ  ถึงแม้ว่าเรื่องจะไม่หวือหวามากแต่อ่านดีก็ได้แง่คิด

อะไรดีดีเยอะนะคะ  เหมือนอารมณ์อ่านเรื่องชีวิตครอบครัวในสังคมปัจจุบันที่เกิดขึ้นจริงได้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด