-23-
วันสอบไฟนอลใกล้เข้ามาทุกที นั่นหมายความว่าใกล้เวลาที่ผมจะต้องไปฝึกงานแล้ว หลังจากสอบเสร็จผมจะมีเวลาประมาณเกือบหนึ่งเดือนในการพักผ่อนก่อนจะต้องไปฝึกงานเต็มเทอม ผมคิดไว้แล้วว่าจะใช้ช่วงหยุดปลายปีนี้ไปเยี่ยมแม่ใหญ่ แต่มีปัญหาอยู่อย่าง…
วันที่ผมสอบเสร็จและจะเดินทาง โซโล่ต้องอยู่ต่ออีกหนึ่งอาทิตย์เพื่อสอบปฏิบัติตัวสุดท้าย
“อย่าทำหน้าบึ้งสิครับ”ผมว่าแล้วยื่นมือไปจิ้มแก้มหมาหน้าบึ้งที่กำลังกอดอก ใบหน้านิ่งๆแสดงออกว่าไม่พอใจชัดเจน
“ทำไมต้องสอบไม่พร้อมกันด้วย”
“ทำไงได้ล่ะครับ โซก็ตามพี่ไปทีหลังก็ได้นี่นา”
“ผมไม่อยากให้กีตาร์ไปคนเดียว”
ผมถอนหายใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร รู้ดีว่าอีกคนเป็นห่วงมากแค่ไหน ถ้าเป็นเขาต้องเดินทางไกลๆคนเดียวผมก็คงเป็นห่วงไม่แพ้กัน
“พี่ไม่เป็นไรหรอกครับ”ผมพูดด้วยความมั่นใจ แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่เชื่อเท่าไหร่
“กีตาร์”โซโล่ถอนหายใจ ปลดสายคาดนิรภัยออก รวมถึงยื่นมือมาปลดให้ผมด้วย ดีที่กระจกรถมืดสนิทคนข้างนอกเลยมองไม่เห็นข้างใน
“ครับ”
“รู้ตัวหรือเปล่าว่าชอบห่วงคนอื่น…”โซโล่ถามด้วยสีหน้าจริงจัง เห็นใบหน้านั้นแล้วผมก็นิ่งไป ดูเหมือนผมจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ยิ่งเป็นคนใกล้ชิดก็ยิ่งห่วง จะพยายามช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้ เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว คงเพราะในสถานรับเลี้ยงผมเป็นพี่ใหญ่เลยคอยดูแลคนอื่นจนชิน
“รู้ครับ”
“แล้วรู้ตัวหรือเปล่า…ว่ากีตาร์ไม่ค่อยห่วงตัวเอง”
“…”
ผมพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรออกไปดี จะบอกว่าไม่ใช่ก็พูดได้ไม่เต็มปาก จะหาเหตุผลอะไรมาพูดก็ดูว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออก
“กีตาร์บอกให้ผมดูแลตัวเอง แล้วกีตาร์ล่ะ...ถึงจะไม่ได้ละเลยตัวเอง แต่พอเป็นเรื่องแบบนี้กีตาร์ชอบคิดว่าจะไปเผชิญกับมันเองตลอด…”โซโล่จ้องหน้าผมนิ่ง ไม่มีวี่แววของการล้อเล่น “ลืมไปหรือเปล่าว่าสี่ปีมานี้กีตาร์เอาแต่เรียนกับทำงาน ยังไม่เคยไปไหนไกลๆคนเดียวเลยสักครั้ง…แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมห่วงได้ยังไง”
“คือพี่…”จริงๆก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำเสียงหงอหรอก แต่พอโดนพูดเสียงนิ่งใส่ด้วยความเป็นห่วงแล้วก็เป็นไปเอง
ที่โซโล่พูดมาก็จริงทุกอย่าง ผมไม่เคยไปไหนไกลๆคนเดียว นั่งรถอะไรก็ไม่เป็นเท่าไหร่ ถึงจะไม่เคยละเลยตัวเองแต่ก็เป็นคนประเภท ‘ถึงเวลาก็ทำได้เอง’ จริงๆนั่นแหละ
“ถ้ากีตาร์นั่งรถเลย ขึ้นผิดที่ เดินทางผิดสายจะทำยังไง โทรศัพท์ก็ไม่มีเน็ต ผมจะให้เปิดก็บอกว่าเปลือง”
ก็แถวมหา’ลัยมันมีไวไฟอยู่แล้ว…
“ผมอยากเอาแต่ใจตัวเองด้วยการบอกให้รอผมสอบเสร็จแทบตาย แต่ก็อยากให้กีตาร์มีเวลาอยู่กับคุณแม่เยอะๆ”
น่ารัก…
“ผมรู้ว่ากีตาร์เป็นผู้ชาย แถมยังโตแล้วด้วย แต่มันก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี…”
จริงๆก็ดีใจที่ห่วง…
“เลิกทำหน้าหงอยได้แล้ว…”เสียงหัวเราะหึหึมาพร้อมกับมือที่ยื่นมาบีบแก้มผมเบาๆ อยากจะบอกว่าไม่ได้ทำหน้าหงอย แต่พอเห็นประกายตาขบขันของอีกคนก็พูดไม่ออก
“แล้ว…”ผมมองหน้าคนที่เลิกคิ้วรอฟัง “เราจะแก้ปัญหานี้ยังไงดีครับ”
“หืม…”
“เราจะทำยังไงให้วินวินทั้งคู่ดี”
ทำยังไงให้ผมได้ไปตามกำหนดการเดิมเพื่ออยู่กับแม่ใหญ่นานๆ แต่ในทางกลับกันก็ไม่ต้องทำให้โซโล่เป็นห่วงเรื่องการเดินทางด้วย…
“ก็โซเปิดประเด็น…เพราะงั้นก็หาทางแก้ให้พี่เลย”ผมว่าแล้วโยนขี้ให้คนที่นั่งกระพริบตาปริบๆ
“กีตาร์…”โซโล่ส่ายหน้า หัวเราะเบาๆแล้วดึงตัวผมไปกอด “น่ารัก”
“พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”ถึงจะว่าแบบนั้นแต่ผมก็ยกมือกอดกลับด้วยรอยยิ้ม รู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้คนๆนี้
“ก่อนออกมาผมคุยกับเจย์”โซโล่ผละออกแต่ยังไม่ได้กลับไปนั่งที่เดิม เขายกมือข้างหนึ่งลูบแก้มผมเบาๆเหมือนที่ชอบทำ
“คุยอะไรกันครับ”
“เจย์บอกว่าจะไม่ติดต่อกับพ่อ…จะถือว่ามาเที่ยวพักผ่อน”
“หมายความว่า…”
“ให้เจย์ไปเป็นเพื่อนกีตาร์ก่อนนะ…แล้วผมจะรีบตามไป”
“ถ้าคุณเจย์ยินดี พี่ก็ไม่มีปัญหาครับ”ผมรับคำด้วยความเต็มใจ มีเพื่อนไปด้วยก็ดีเหมือนกัน แถมคุณเจย์ยังได้ไปพักผ่อนด้วย
พอได้ยินผมตอบโดยไม่ลังเลเจ้าหมาก็ยกยิ้มพอใจ กดจูบเบาๆที่หน้าผากผมแล้วผละออก
“ตั้งใจเรียนนะ”
“เราบอกตัวเองดีกว่าไหม”ผมหัวเราะ บีบแก้มสองข้างของคนที่บอกให้ตั้งใจเรียนด้วยความหมั่นไส้
“ขี้ฟ้อง…”โซโล่บ่นเบาๆ ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าเจ้าตัวหมายถึงใคร เวลาเจอเก้าทีไรเจ้าเด็กแสบมาฟ้องตลอดว่าเจ้าหมานี่ชอบหลับในห้องเรียน ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ทั้งที่ตอนกลางคืนก็หลับสนิทตลอดแท้ๆ
“ฟ้องดีแล้ว โซนอกลู่นอกทางจะได้มีคนบอกพี่”ผมอมยิ้มรอดูปฏิกิริยาของอีกคน แต่พอได้เห็นรอยยิ้มมุมปากนั่นแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองพลาดไป
หมาหน้านิ่งหัวเราะหึหึ ขยับหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกชนกัน
“ทั้งรักทั้งหลงขนาดนี้จะนอกลู่นอกทางได้ยังไง”
“…”
ปัง!
“กีตาร์!”
ผมสะดุ้งเฮือก หันไปมองคนที่เปิดประตูรถตามลงมาด้วยใบหน้าร้อนผ่าว
“เขินจนลืมกระเป๋าเลยเหรอ”คำพูดแซวพร้อมมือที่ชูกระเป๋าให้ดูนั่นทำให้หน้าที่ร้อนอยู่แล้วร้อนหนักกว่าเดิม แถมยังมี…
สายตาหลายสิบคู่ของคนหน้าคณะที่มองมาเป็นแถบอีก
“ขี้แกล้ง”ผมจิ้มอกคนที่ยื่นกระเป๋ามาให้ไปหนึ่งที จากนั้นก็รีบคว้ากระเป๋ามาแล้ววิ่งหลบสายตารอบด้านเข้าตึกเรียนอย่างรวดเร็ว
หมาอะไร…นอกจากหน้านิ่งแล้วยังหน้าด้านอีก
“เพื่อนกีล์ ไปทำวีรกรรมอะไรไว้หน้าคณะวะ”
ผมไม่ตอบคำถามของไวน์แต่เลือกที่จะฟุบหน้าลงกับโต๊ะหนีมันแทน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโทรศัพท์ที่ต่อไวไฟโดยอัตโนมัตินี่สั่นเพราะอะไร หนีไม่พ้นเพจเดิมเพิ่มเติมคือโดนแซวหนักขึ้น
คิดว่ารู้สถานะกันแล้วจะเลิกสนใจ…แต่กลายเป็นโดนสนใจมากกว่าเดิมอีก
“มาเป็นคลิปยังจะถามมันอีกทำไม”
“อะไรนะ”ผมยกหัวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดเบียร์ อะไรคือมาเป็นคลิป…
“ก็คลิปไง…ตั้งแต่มึงลงจากรถยันวิ่งเข้าตึกอะ”มันว่าแล้วยื่นโทรศัพท์มาจ่อหน้าผมด้วยรอยยิ้มแซว “กูนี่อยากขอกล้องมาก ชัดโคตร…ชัดจนเห็นมึงหน้าแดงอะ เป็นประเด็นไปหมดแล้วเนี่ย”
“ประเด็นอะไรวะ”ผมถาม รับโทรศัพท์มันมาเปิดดูแล้วก็พบว่าคลิปมันชัดอย่างที่ว่าจริงๆ แต่พอเห็นแคปชั่นแล้วก็ว่าคนถ่ายไม่ลง
น่ารักจังเลยอ่าคู่นี้ พี่กีล์หน้าแดงน่ารักมากๆเลยค่ะ โซโล่ยิ้มด้วยอ่า ฮือออ
ผมเองก็ไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แถมเจ้าหมาก็ไม่เคยแคร์อยู่แล้วด้วย อีกอย่าง…
ดันมีฉากที่หมาหน้านิ่งยิ้มจริงๆ แบบนี้…แล้วจะขอให้ลบได้ยังไง
“เดี๋ยวกีล์…นั่นโทรศัพท์กู มึงจะเซฟทำไม”
ลืมตัว…
ผมรีบส่งโทรศัพท์ให้มัน ฟุบหน้าลงกับโต๊ะเหมือนเดิม พยายามไม่สนใจสายตาที่พุ่งมาจากรอบห้อง นั่นล่ะ…ไม่ใช่แค่เพื่อนสองสามตัวข้างๆ แต่ดูเหมือนจะรอบห้องจริงๆ
ไอ้พวกนี้ก็อยากรู้ไปทั่ว ถึงจะไม่ได้หันหน้ามามอง แต่หูนี่เหมือนมีที่รับสัญญาณอันโตๆโผล่ออกมา
“เข้าเรื่องจริงจังก่อน…สรุปพวกมึงฝึกไหนวะ”ไอ้โนว์ถามด้วยเสียงเคร่งเครียด ผมเลยยืดตัวตรงจริงจังไปกับมันด้วย ปกติมันไม่ใช่พวกมีสาระหรือจริงจัง ถ้ามาแนวนี้คงเครียดจริงๆ
“กูที่เดิม ในจังหวัดนี่ล่ะ”ไอ้ไวน์ตอบ มันยักไหล่ชิวๆ ดูเหมือนมันจะเป็นคนแรกที่ติดต่อไปที่ที่สนใจแล้วได้งานไวที่สุดในภาคผม
“มึงก็ได้ที่แล้วไม่ใช่เหรอ”ผมหันไปถามไอ้โนว์ จำได้ว่าวันนั้นอาจารย์เรียกมันไปคุยอยู่
“ก็ได้แล้วแหละ”มันว่า แต่หน้าตานี่บูดเหมือนไม่พอใจ “แต่มันไกลว่ะ…ไกลจากซัน”
“สรุปที่มึงเครียดเพราะต้องไกลเมีย”ไอ้ไวน์ถาม มือนี่ยกขึ้นมาเตรียมพร้อมเรียบร้อย
“เออ”
“ไอ้ควาย!”ไวน์ว่าเสียงดังแล้วก็ดึงหัวคนที่ทำตัวห่อเหี่ยวแรงๆหนึ่งที “ไอ้กีล์กับไอ้เบียร์ไปต่างจังหวัด กูยังไม่เห็นพวกมันว่าอะไรสักคำ”
“ห่ากูเจ็บ!”โนว์ปัดมือเพื่อนออกแล้วนั่งหน้ามุ่ย บางทีผมก็สงสัยว่าคนอย่างซันชอบมันลงได้ยังไง…จะบอกว่าหล่อก็ไม่ใช่เพราะมันออกไปทางน่ารักน่าถีบ เอาตรงๆซันยังใช้คำว่าหล่อได้มากกว่ามันเยอะเลย
“ไม่ต้องด่ากูทางสายตาเลยไอ้กีล์!”มันหันมาชี้หน้าผมเหมือนรู้ทัน “แล้วสรุปพวกมึงไปฝึกไหน ใช่ที่จารย์นพแนะนำให้ปะ”
“กูตกลงแล้ว ส่วนกีล์มันกำลังตัดสินใจ”
“นั่นมันภูเก็ตเลยไม่ใช่เหรอวะ”
นั่นล่ะปัญหา…
เมื่อสองสามวันก่อนอาจารย์นพซึ่งเป็นอาจารย์ในภาคติดต่อมาหาผมกับเบียร์ อยากให้พวกผมไปฝึกที่บริษัทต่างชาติที่เข้ามาเปิดใหม่ที่ภูเก็ต ดูเหมือนทางนั้นเขายื่นเรื่องขอรับนักศึกษามาทางนี้ด้วยตัวเอง อาจารย์แกไม่อยากให้เสียโอกาสเพราะบริษัทนั้นเป็นบริษัทใหญ่ ผมกับเบียร์ที่ดูจะคะแนนสูงสุดในภาคเลยได้รับเลือกก่อน
ใจจริงผมก็อยากปฏิเสธอยู่เหมือนกัน เพราะผมไม่คิดจะไปทำงานต่อที่นั่นอยู่แล้ว มันไกลเกินไป ผมคิดไว้ว่าถ้าไม่ได้ทำงานในจังหวัดนี้ ผมก็อยากจะไปทำงานในจังหวัดที่ใกล้กับแม่ใหญ่มากกว่า
ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับบริษัทRKนี่เท่าไหร่ รู้แค่เป็นบริษัทของเจ้าของกิจการโรงแรมและที่พักระดับโลก ดูเหมือนจะขยายฐานมาที่ไทยแล้วก็กำลังจะมาตั้งบริษัทแม่ที่นี่ ใครจะไปคิดว่าบริษัทระดับนั้นจะยื่นเรื่องขอตัวเด็กฝึกงานด้วยตัวเอง…
“ถ้ามึงไปฝึกไกลแบบนั้น…แล้วคนที่บ้านอะ”โนว์มันหันมาถามผม แน่นอนว่าคนที่บ้านที่มันว่าไม่ได้หมายถึงครอบครัว เพื่อนผมทุกคนรู้ดีว่าผมเป็นเด็กกำพร้าและอยู่คนเดียวมาตลอด…จนไม่กี่เดือนก่อนที่มีหมาบอกให้ย้ายไปอยู่ด้วยกันนั่นล่ะ
“ถ้ากูไป โซเข้าใจอยู่แล้ว…”ใช่ โซโล่เข้าใจผมอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นเรื่องอนาคตหรืออะไรแบบนี้เจ้าหมานั่นยิ่งเข้าใจแน่นอน…แต่กลายเป็นผมเองที่กังวล
นี่คืออีกเหตุผลที่ทำให้ผมอยากปฏิเสธ…ไม่ใช่แค่โซโล่ที่ไม่อยากห่างจากผม แต่ผมเองไม่อยากห่างจากเขาเหมือนกัน
“กูก็เครียดว่ะ ซันมันเต็มใจให้กูไปก็จริง แต่กลายเป็นกูไม่อยากไปเสียเอง”โนว์ว่าแล้วถอนหายใจ ดูเหมือนเรื่องที่มันคิดจะไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ “ทำไงได้วะ…ก็ต้องทนไป”
“นั่นสินะ”
“ถ้าเกิดคนของมึงไม่อยากให้ไป มึงจะทำยังไงวะกีล์”
เรื่องนั้น…
“กู…”
“ทำไมไปฝึกงานไกลขนาดนั้นล่ะ”เสียงอ่อยๆของหมาหน้านิ่งทำให้ผมใจเสีย ยังไม่ทันได้พูดอะไรมือที่ถือแก้วคู่ก็วางแก้วลงกับโต๊ะแล้วเดินไปนั่งที่โซฟากลางห้อง ผมรีบวางแก้วลายเดียวกันลงแล้วเดินตามไปนั่งข้างๆ
“พี่ยังไม่ได้ตัดสินใจครับ”ผมรีบพูด ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากให้อีกคนคิดมากทั้งที่ตัวเองก็มีเหตุผลแท้ๆ “พี่ว่าจะลองดูในจังหวัดก่อน ที่นั่นไว้เป็นตัวเลือกสุดท้าย…”
“กีตาร์…”โซโล่หันหน้ามาหาผมแล้วยิ้มบางๆ “ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ไม่ต้องรีบพูดก็ได้”
“ก็พี่…ไม่อยากให้โซคิดมาก”
“แค่นั้นเองเหรอ”
“ก็…”ผมมองหน้าเขา พอได้เห็นใบหน้าที่เหมือนกำลังรอคอยแล้วสุดท้ายก็ยอมพูดออกไปตามความจริง “พี่ก็ไม่อยากห่างโซด้วย”
“ผมก็ไม่อยากห่าง”เจ้าหมายิ้มน้อยๆก่อนจะหลับตาลง ถอนหายใจแผ่วเบา “แต่ก็เข้าใจ”
“โซ…”
“ถ้าที่นั่นไม่น่าสนใจ กีตาร์คงไม่เก็บเอามาคิดด้วยซ้ำ…แสดงว่าต้องมีอะไรดีใช่ไหม”
“ครับ…”ผมยอมรับเสียงค่อย จับมืออีกคนมาวางไว้บนตักแล้วอธิบายต่อ “อาจารย์พี่อยากให้พี่กับเบียร์ไปฝึกที่นี่ ทางนั้นเขายื่นเรื่องขอรับคนไปฝึกเอง เป็นบริษัทใหญ่จากต่างประเทศที่เข้ามาเปิดใหม่ที่ไทย ที่สำคัญดูเหมือนกำลังจะกลายเป็นบริษัทแม่ด้วย พี่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยื่นเรื่องขอเด็กฝึกงานจากที่นี่ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากจริงๆ ถ้าได้ฝึกงานที่นี่ตอนหางานน่าจะหาได้ง่าย”
โซโล่เงียบไป เขาหรี่ตาลงเหมือนกำลังคิดหรือสงสัยอะไรบางอย่าง พอเห็นคิ้วที่ขมวดนั่นผมก็รีบเขย่ามืออีกคนเบาๆให้หันมามองแล้วพูดต่อ
“แต่พี่ไม่ได้คิดจะทำงานที่นั่นอยู่แล้วนะครับ…พี่ไม่อยากทำงานไกลๆ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากอยู่ในจังหวัดหรืออยู่ใกล้ๆแม่ใหญ่มากกว่า”
“ผมเข้าใจ”
“แต่พี่…”
“กีตาร์”โซโล่เรียกเสียงอ่อนแต่หนักแน่น “ผมเข้าใจจริงๆ”
“…”
“ปกติก็เป็นคนใจเย็น…แล้วทำไมตอนนี้ถึงดูลนลานนัก”
ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าบึ้ง เผลอบีบมืออีกคนแรงๆด้วยความหงุดหงิด รู้แล้วยังจะถามอีก…
“ก็โซสำคัญ…”
“ครับ…”โซโล่หัวเราะ “กีตาร์ก็สำคัญเหมือนกัน”
“…”
“เพราะงั้นผมถึงบอกว่าเข้าใจ ผมรู้ว่ากีตาร์อยากไปฝึกงานที่นั่น ถ้ามันมีโอกาสที่ดีกว่าผมก็ไม่ห้ามหรอก ตกลงกับอาจารย์ไปเถอะ”
ผมยิ้มรับ รู้สึกเหมือนคำพูดที่เบียร์มันพูดทิ้งไว้ก่อนแยกกันวนเวียนอยู่ในหัวเต็มไปหมด
‘พวกมึงควรจะดีใจมากกว่าที่คนที่อยู่ข้างๆเข้าใจ…เขาต้องใช้ความอดทนแค่ไหนกับการยอมให้มึงห่างตัวไป รู้แล้วก็อย่าเสือกคิดเยอะแล้วตั้งใจทำให้ดีๆสิวะ’
ไม่ใช่ว่าเขาอยากให้ไป…แต่เพราะเข้าใจเรา เพราะงั้นต้องทำให้ดี อย่าให้เขาผิดหวัง
จะได้รีบกลับมาหากันไวๆ
“โซจะไม่เป็นไรแน่นะครับ”ผมถามย้ำด้วยความไม่มั่นใจ โซโล่ทำหน้าเหมือนโดนดูถูกแล้วยื่นมือมาดึงแก้มผม
“ผมไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ…ไม่เป็นอะไรหรอก”
แต่พี่เป็น…
“แล้วถ้าเกิดผมบอกว่าไม่อยากให้ไป กีตาร์จะทำยังไง”
ผมมองใบหน้าของคนที่กำลังเลิกคิ้วรอคำตอบแล้วก็ยิ้มบางๆ รู้สึกเหมือนคำตอบที่บอกเพื่อนไปชัดเจนยิ่งกว่าเดิมเสียอีกเมื่อมาอยู่ต่อหน้าเจ้าตัวแบบนี้
“พี่ก็จะไม่ไป”
“…”
“ที่ฝึกงานดีๆหาใหม่ได้ครับ อาจจะไม่ดีเท่าที่นั่นแต่ก็มีชื่อเสียงเยอะแยะ แถมพี่เก่งอย่างนี้ใครจะไม่รับ”ผมพูดกลั้วหัวเราะ เห็นคนฟังขำตามแล้วก็รู้สึกดี “แต่หมาตัวนี้…”
“หืม…”
“หาใหม่ไม่ได้แล้ว”
เพราะไม่ได้คิดจะทำงานที่นั่นอยู่แล้ว จะหาที่ฝึกงานใหม่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ ถ้าได้ที่นั่นอาจจะมีโอกาสได้ที่ทำงานดีๆมากขึ้นก็จริง แต่ผมก็เชื่อมั่นในความสามารถตัวเองอยู่เหมือนกันว่าจะหางานดีๆได้ต่อให้ฝึกที่อื่นก็ตาม
แต่หมาตัวนี้มีอยู่ตัวเดียว…
ต่อให้งอแงใส่บอกว่าไม่ให้ไปทั้งที่ไม่มีเหตุผล…ถ้าผมอธิบายแล้วยังไม่ยอมอีกผมก็พร้อมจะเลือกคนข้างๆมากกว่าอยู่ดี
“อีกอย่าง…ถ้าพี่ไม่มีงานทำก็ให้โซเลี้ยงแทนก็ได้”ผมพูดเล่นไปอย่างนั้น แต่กลายเป็นคนฟังพยักหน้าจริงจังเหมือนจะเอาแบบนั้นจริงๆ
“ก็ดี…จริงๆผมก็อยากให้กีตาร์อยู่บ้านมากกว่า”
“พี่ล้อเล่นนะครับ อย่าทำหน้าจริงจังสิ”ผมรีบพูด กลัวว่าเจ้าหมาจะเอาไปคิดจริงจังแล้วขังผมไม่ให้ไปทำงานจริงๆ ก็หน้าตานิ่งๆนั่นมันบอกชัดๆว่ากำลังคิดอยู่
“ผมก็ล้อเล่น”
เหรอ…หน้าตานี่ไม่ได้บอกว่าล้อเล่นเลยนะ
เรานั่งเล่นคุยเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าทำไมถึงหาเรื่องมาคุยกันได้ทุกวันไม่มีเบื่อ ทั้งที่เจอกันทุกวันตอนตื่นตอนนอน แยกกันก็แค่ตอนเรียน พอตกเย็นก็มาเจอกันอีก รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นความสุขเล็กๆที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว
“แล้ว…โซจะไม่คิดถึงพี่เหรอครับ”ผมแกล้งถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
เจ้าหมายกยิ้มมุมปาก มองผมด้วยดวงตาเป็นประกาย
“คิดถึงสิ…”
“…”
“แต่ผมรวย…”
“…”
“เพราะงั้นผมไม่โง่ปล่อยให้ตัวเองคิดถึงโดยไม่ทำอะไรหรอก”
------------------------------
ติดแฮชแท็ก #โซโล่กีล์
Fan Page : Chesshire. Twitter : @Chesshire04