-25-
อีกไม่ถึงสองอาทิตย์ก็จะเข้าช่วงสอบแล้ว ผมทั้งตื่นเต้นแล้วก็ดีใจ เพราะนอกจากจะหมดการเรียนการสอนแล้วผมยังต้องไปฝึกงานจริงจังด้วย อีกอย่างที่สำคัญคือผมกำลังจะได้เจอแม่ใหญ่
แค่คิดก็รู้สึกมีความสุข ไม่รู้สี่ปีที่ผ่านมาท่านเป็นยังไงบ้าง เพราะนอกจากจดหมายที่ส่งมานานๆทีผมก็แทบไม่รู้ข่าวท่านเลย แม่ใหญ่เคยบอกว่าจะส่งจดหมายต้องรอเวลามีคนเข้าเมือง ซึ่งบางทีก็เป็นปีกว่าจะเข้าเมืองที ในช่วงเกือบสี่ปีนี่ผมก็ได้จดหมายมาแค่สามฉบับเอง
อยากให้สอบเสร็จวันนี้เลย ผมจะได้เอาความสำเร็จไปให้ท่านดูไวๆ
“ไอ้โซ!ไอ้ขี้โกง!”
“มึงโกงก่อน”
“กูโกงไรวะ”
“มึงชนะติดกัน”
“นั่นเรียกเก่ง ไม่ใช่โกง!”
“โกง”
“ถ้าเก่งอย่างกูเรียกโกง แล้วเล่นๆอยู่มาปิดตากูนี่เรียกไร”
“ฉลาด”
“ไอ้เลวววววววววว!”
ผมส่ายหน้ามองสองเพื่อนซี้ที่นั่งเล่นเกมส์กันไปเถียงกันไปหน่ายๆ ตอนแรกก็เล่นกันดีๆอยู่หรอก แต่พอเก้าเริ่มชนะติดกันเจ้าหมาเลยงอแง ยื่นมือไปปิดตาเพื่อนเสียอย่างนั้น
“คุณเก้านี่เก่งหลายด้านเลยนะครับ”
ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคุณเจย์ เก้าเก่งหลายอย่างจริงๆ…ทั้งร้องเพลง เล่นดนตรี เล่นเกมส์ เห็นว่าเรียนก็เก่งด้วย แล้วยังเล่นกีฬาอีก
“แต่ดูแสบจริงๆ”
“นั่นสิครับ ใครเอาอยู่ได้นี่คงเก่งน่าดู”ผมพูดขำๆ วางมีดปอกผลไม้ลงแล้วเลื่อนจานไปให้คุณเจย์ “แต่ก่อนจะเอาอยู่คงปวดหัวสุดๆ”
“ผมก็ว่าแบบนั้นครับ”คุณเจย์หัวเราะแล้วดันจานชมพู่คืนให้ผม “เอาไปให้เด็กๆเถอะครับ ผมอิ่มแล้ว”
หลังจากตื่นมาตอนเช้าผมก็พบว่ามีแขกที่ควรจะสลบและตื่นสายสุดนั่งดูการ์ตูนอยู่ที่โซฟาอยู่แล้ว น่าแปลกมากที่เก้าตื่นก่อนผมเสียอีก แถมท่าทางยังไม่เหมือนคนเมาค้างอะไรแม้แต่นิดเดียว เรียกได้ว่าแข็งแกร่งจนน่าตกใจ
พอผมทำอาหารอะไรเสร็จคุณเจย์ก็มาเคาะประตู ส่วนเจ้าหมาที่ตื่นสายสุดก็เดินออกมาจากห้องเหมือนได้กลิ่นอาหารพอดี หลังจากกินข้าวเช้ากันหมด สองเพื่อนซี้ก็ไปนั่งเล่นเกมส์กันอย่างที่เห็น ผมเลยต้องแยกมานั่งปอกผลไม้ให้เพราะไม่อยากกวน ดีที่มีคุณเจย์คุยเป็นเพื่อน
“กีตาร์ ป้อนหน่อย”คนที่กำลังจดจ่อกับเกมส์เรียกผมโดยไม่หันมามอง มือหนึ่งเล่นส่วนอีกมือยังพยายามยื่นไปกวนเพื่อนให้แพ้เหมือนเดิม
“อ่อนว่ะ”เสียงเหยียดๆจากคนเก่งดังขึ้นขัดจังหวะที่โซโล่กำลังอ้าปากพอดี
“อะไร”
“แค่นี้ก็แดกเองไม่ได้ โคตรกาก”ว่าแล้วก็โชว์การใช้มือเดียวเล่นส่วนอีกมือหยิบชมพู่กินอย่างสบายใจ แถมยังหันมายักคิ้วให้เพื่อนหมาหัวร้อนเล่นอีก
“เก้า...”ผมเรียกเสียงอ่อน แต่ดูเหมือนที่กำลังจะห้ามคงไม่ทันแล้ว เมื่อหมาตัวโตละทิ้งทุกอย่างในมือแล้วพุ่งเข้าไปฟัดกับเพื่อนด้วยความหัวร้อน
เอาเถอะ...ร่าเริงกันทั้งคู่ก็ดีแล้ว
“คุณกีล์ไม่เอาด้วยเหรอครับ”คุณเจย์พูดไปขำไป ดูมีความสุขที่เจ้าหมาอารมณ์ดี
“สู้เด็กไม่ไหวแล้วครับ แก่ขึ้นเรื่อยๆ”ถึงจะต่างกันแค่สามปีก็เถอะ แต่กับเด็กที่ยังไม่พ้นยี่สิบตั้งสองคน…ถ้าไปเล่นด้วยกระดูกคงจะหักเอาเสียก่อน
“เข้าใจดีเลยครับ ยิ่งคุณชายนี่แรงเยอะมาตั้งแต่เด็กเลยด้วย”
“ผมก็พอจะเดาได้ครับ”ก็ไม่เคยสู้แรงได้เลยสักครั้งนี่นะ…
“แต่นี่ก็ใกล้ได้เวลาแล้วนะครับ”คุณเจย์เงยหน้ามองนาฬิกา “เดี๋ยวจะถึงเวลานัดแล้ว”
“ประชุมเหรอครับ”
“ครับ แต่ดูเหมือนต้องไปคุยธุรกิจต่อด้วย ผมคิดว่าจะให้คุณชายตามไปดูงานเสียหน่อย”
“ก็ดีเหมือนกันครับ เรียนรู้ไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน”ผมพยักหน้าเห็นด้วยเพราะยังไงโซโล่ก็คงหนีไม่พ้น ถึงจะดูโหดร้ายไปหน่อยเพราะเขาเป็นแค่เด็กปีหนึ่ง แต่ก็ควรจะเรียนรู้ไว้แต่เนิ่นๆจะได้ไม่ลำบากทีหลัง
เมื่อวานคุณเจย์บอกผมว่าโซโล่ต้องเข้าประชุมกับเขาวันนี้ อยากให้ไปดูงานเต็มๆเพราะยังไงวันนี้ก็ว่างอยู่แล้ว ส่วนเรื่องต้องไปคุยธุรกิจนี่คงหลังประชุมเสร็จ
นั่นเป็นเหตุผลที่เก้ายังอยู่ที่นี่ ดูเหมือนเจ้าหมาจะกลัวผมเหงา…แต่ก็ดีเหมือนกัน ผมมีเรื่องให้เก้าช่วยพอดี
“โซ ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วครับ”ผมเรียกคนที่ยังกัดกันไม่เลิก พอได้ยินอย่างนั้นเจ้าหมาก็ยอมปล่อยเพื่อนแล้วเดินหน้ามู่ทู่เข้าไปอาบน้ำแต่โดยดี
ดีที่โซโล่เป็นคนพูดง่าย ถึงจะดูเซ็งๆแต่ก็ไม่เคยปฏิเสธ เหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นอะไรที่ต้องทำ ตอนที่คุณเจย์บอกให้ไปด้วยกันก็รับคำแต่โดยดี แค่มาถามผมว่าอยู่ได้หรือเปล่าก็เท่านั้น
“งานเสร็จหมดแล้วโทรบอกพี่นะครับ จะเตรียมอาหารไว้ให้”ผมจัดปกเสื้อให้คนที่เดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับส่งยิ้มให้
“อือ...ไปนะ”เจ้าหมาทำหน้าหงอย ยกมือแตะแก้มผมเป็นเชิงลาแล้วหันหลังเดินออกไปพร้อมคุณเจย์
“สู้ๆนะครับ”ผมพูดไล่หลังไป พออีกคนหันมามองก็ชูกำปั้นขึ้นสองข้างเป็นเชิงให้กำลังใจ เจ้าหมาส่งยิ้มน้อยๆมาให้ก่อนจะปิดประตูห้อง
ผมเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างคนที่ยังเล่นเกมส์ไม่เลิก เพิ่มเติมจากเดิมคือลุกไปหยิบขนมมากินตอนไหนไม่รู้
“พี่มีไรจะพูดกับผมเหรอ”
“หืม...”ผมหันไปมองคนที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
ยังไม่ได้พูดอะไรเลย
“ตั้งแต่เช้าก็เห็นมองผมเหมือนจะพูดอะไรอยู่ตลอด พอไอ้โซออกมาก็เงียบ แสดงว่าไม่อยากให้มันรู้ชัวร์”เก้าพูดทั้งที่ยังไม่หันมามอง
รู้สึกว่าเด็กนี่จะฉลาดไปแล้ว…ช่างสังเกตจริงๆ
“จริงๆพี่ก็มีเรื่องให้เก้าช่วยนิดหน่อยครับ แต่ยังหาเวลาไม่ได้สักที”ผมยอมรับไปตามตรง ไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องปิดบังเพราะยังไงก็อยากให้ช่วยอยู่แล้ว
“เรื่องอะไรอะ”ว่าแล้วก็ยอมกดหยุดเกมส์ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับผม
“คือ...”
“เดี๋ยวพี่”
“ครับ?”ผมมองคนที่ยกมือขัดจังหวะงงๆ อยู่ๆก็ทำหน้าตาจริงจังใส่เสียอย่างนั้น
“ผมไม่ทรยศเพื่อนนะ”
“อะไรนะ”
“ถ้าพี่จะพูดอะไรไม่ดีหรือทำร้ายความรู้สึกมันลับหลัง ผมขอให้พี่หยุดเดี๋ยวนี้เลย”
“เอ่อ...”ผมเงียบไปชั่วขณะ รู้สึกเหมือนมีจุดสามจุดอยู่ในหัว แต่สุดท้ายก็เข้าใจความหมาย
ต่อหน้าก็กัดกันแทบตาย แต่จริงๆห่วงกันสุดๆเลยนี่นะ
“เก้าคิดว่าพี่จะพูดอะไรครับ”ผมอมยิ้มถามอย่างนึกสนุก อยากรู้ความคิดเด็กนี่อยู่เหมือนกัน
“ถ้าแง่ดีก็น่าจะปรึกษาผมเรื่องอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับมัน...หรือขอให้ผมช่วยเรื่องของมัน”
ผมตาโต รู้สึกเหมือนเด็กนี่จะเก่งไปแล้ว ขนาดเดายังถูกเลย
“ถ้าแง่ร้ายก็อาจจะบอกผมว่าไม่โอเคเรื่องพ่อมัน กังวลนั่นนี่ จะไปจากมัน เจอคนใหม่ มีคนมาจีบ อยากให้ช่วยทำให้เลิกกัน ให้ช่วยปิดบังอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็...”
“หยุดๆๆเลยครับเก้า”ผมยกมือห้ามคนที่พูดความเป็นไปได้ทั้งหมดออกมาอย่างรวดเร็ว บางทีก็อยากไปแงะหัวเด็กนี่ดูว่าในสมองจุอะไรไว้บ้างจริงๆ “พี่มีเรื่องให้เก้าช่วยจริงๆครับ...”
“ผมไม่...”
“แต่มันเป็นแง่ดี”ผมรีบพูดตัดก่อนอีกคนจะคิดไปว่าจะให้ช่วยอะไรแย่ๆอีก เก้าสลายใบหน้าจริงจังแทบจะทันที กลับไปนั่งไขว่ห้างหยิบขนมเข้าปากด้วยท่าทางเนือยๆเหมือนเดิม
พอรู้ว่าไม่ได้จะพูดอะไรไม่ดีกับเพื่อนตัวเองแล้วนี่เปลี่ยนท่าทางไวจริงๆ
“ช่วงวันเกิดโซพี่จะไปหาคุณแม่ครับ โซเองก็จะไปด้วย”ผมมองท่าทางผ่อนคลายของเด็กแสบแล้วก็ลอบยิ้ม "พี่คิดไว้แล้วว่าจะให้อะไรโซ"
“ให้อะไรอะ”
“ไม่ใช่ของมีราคาอะไรหรอกครับ พี่เองก็ไม่ใช่คนรวย จะให้ซื้ออะไรให้คงยาก อีกอย่างของมีราคายังไงเจ้าหมานั่นก็ซื้อเองได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”ผมหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางอยากรู้อยากเห็นของเก้า “ก็เรื่องของขวัญนี่ล่ะที่พี่อยากให้เก้าช่วย”
“ให้ผมช่วย?”
“พี่…อืม…ได้ยินว่าพวกเด็กดุริยางค์ต้องเล่นดนตรีได้หลายอย่างสินะครับ
“ก็ใช่…”เก้าทำหน้าสงสัยแต่ก็พยักหน้าตอบ “เราเรียนกันหลายอย่างไม่ใช่แค่เฉพาะของเอกตัวเอง ประมาณว่าต้องเล่นให้ได้ทุกอย่างก็ว่าได้”
“แล้วเก้าเล่นอะไรได้บ้างเหรอครับ”ผมถามด้วยความอยากรู้ส่วนตัว
“อย่าให้พูดว่าอะไรบ้างเลยพี่ เอาเป็นว่าเล่นได้ทุกอย่างที่คนทั่วๆไปพอจะนึกชื่อออกก็แล้วกัน คนเรียนคณะนี้ต้องเล่นได้หลายอย่างอยู่แล้ว อย่างน้อยก็สองสามอย่าง ยิ่งผมที่อยู่กับเครื่องดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ…จะเครื่องดนตรีสากลอะไรก็เล่นได้หมดอะ”เก้าว่าแล้วยืดอกภูมิใจเหมือนจะอวด นี่ถ้าเจ้าหมายังอยู่สงสัยได้มีพูดแขวะจนกัดกันตายไปข้างแน่นอน
แต่เอาเถอะ…ดูท่าจะเก่งจริงๆ คงว่าอะไรไม่ได้
“คือ…พี่ว่าจะร้องเพลงเป็นของขวัญ”ผมเริ่มพูดเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก
“พี่จะร้องเพลงให้มัน…ที่ถามเรื่องดนตรีแสดงว่าอยากเล่นด้วยใช่ปะ”เก้าปะติดปะต่อเรื่องอย่างรวดเร็ว ผมพยักหน้าหงึกหงักตอบกลับไป “แล้วพี่จะให้ผมช่วยอะไรเหรอ อยากเล่นอะไรอะ”
“คือช่วงวันเกิดโซพี่จะขึ้นไปหาคุณแม่บนเขาครับ ท่านเคยเขียนจดหมายมาบอกว่ามีคนเอากีตาร์มาบริจาคไว้ นอกจากกีตาร์แล้วก็คงหาอย่างอื่นไม่ได้ เพียงแต่ว่า…”
“ว่า…”
“เพียงแต่ว่าพี่ไม่ค่อยจะมีความสามารถด้านนี้สักเท่าไหร่”ผมว่าแล้วหัวเราะเขินๆ ไม่ใช่แค่กีตาร์หรอก แต่ผมแทบจะไม่เคยแตะเครื่องดนตรีอะไรสักอย่าง ตอนประกวดเดือนก็เคยพยายามแล้วแต่ดูเหมือนจะไม่ไหว จนสุดท้ายรุ่นพี่ต้องบอกให้พอแล้วร้องเพลงอย่างเดียว ซึ่ง…
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ผมว่าจริงๆร้องเพลงอย่างเดียวก็ได้นะ”
“คือจริงๆ…”ผมยกมือเกาแก้มแล้วหลบสายตาเก้าที่มองมา “จริงๆแล้วนอกจากการเรียนกับการทำงานพี่ก็ไม่เก่งอะไรเลยครับ…รวมถึงการร้องเพลงด้วย”
ผมพยายามหลีกเลี่ยงคำว่าห่วย แต่ดูเหมือนสีหน้าที่แสดงออกไปจะทำให้เก้าพอเดาได้ เด็กแสบทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันกลับมามองผม
“คงไม่ถึงขนาดนั้นมั้งพี่ ไม่ต้องร้องให้เพราะอะไรหรอก เอาแค่ไม่เพี้ยนก็พอแล้ว”
“เก้าคือ…”
คือมันไม่ใช่แค่นั้น…คำว่าห่วยที่ว่าผมหมายความตามนั้นจริงๆ ตอนปีหนึ่งที่ประกวดเดือนนี่เสียงผมแทบจะกลืนไปกับเสียงดนตรี เพราะมันทั้งเพี้ยนแล้วก็ไม่มีความเพราะ ที่ได้ตำแหน่งมานี่ผมยังแอบเสียวๆอยู่เลยว่าจะมีใครคิดว่าเส้นหรือเปล่า
“เอาน่ะพี่ ลองกันก่อน”เก้ายกเท้าขึ้นมานั่งขัดสมาธิแล้วหันมามองหน้าผม “ไหนพี่ลองร้อง โด เร มี ฟา ซอล ลา ที ตามผมนะ”
พอผมพยักหน้าแล้วเก้าก็เริ่มร้องออกมา เขาทำเหมือนมันเป็นแค่เรื่องง่ายๆที่ใครก็ทำได้ ขนาดแค่ไล่เสียงไม่กี่คำผมยังรู้สึกว่ามันเพราะเลย
“เอาเลยพี่”
ผมหลับตาแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกสติตัวเอง ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา
“ดะ…โด”
“…”
“เร”
“…”
“มี”
“…”
“ฟา”
“…”
“ซะ...เอ่อ…เก้าครับ”ผมหยุดเสียงตัวเองไว้ พอมองหน้าเก้าที่เหมือนสติหลุดไปแล้วก็รู้สึกเขินๆขึ้นมา ก็พอจะรู้หรอกว่ามันทั้งเพี้ยนทั้งห่วย ไม่งั้นจะอยากให้ช่วยหรือไงเล่า
“เอ่อ…พี่กีล์”เก้ากระพริบตา ยกมือเกาหัวตัวเองเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก “จริงๆพี่แค่ร้องไปตามความรู้สึกยังไงโซมันก็น่าจะชอบแล้วนะพี่”
“คือจริงๆพี่ก็อยากร้องๆไปตามความรู้สึกนะครับ แต่พี่กลัวโซจะขำมากกว่าซึ้ง…”ผมก้มหน้าต่ำ เผลอกัดปากขมวดคิ้วเครียดๆเพราะไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง
“ทำไมพี่ถึงอยากร้องเพลงอะ”เก้าถามด้วยสีหน้าจริงจัง
ผมมองหน้าคนถามงงๆ ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมอยู่ๆถึงถามขึ้นมา แต่ก็ตอบไปตามความจริงโดยไม่ปิดบัง
“ตอนวันเกิดพี่…ที่โซร้องเพลงให้”ผมพูดช้าๆ เผลอยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น “พี่รู้สึกมีความสุขมากเลยครับ ใจเต้นแรง ตื้นตัน เขิน มันตีกันหลายอย่าง…”
“…”
“พี่แค่คิดว่าอยากให้โซรู้สึกแบบพี่ตอนนั้นบ้าง อยากให้เขามีความสุขเหมือนที่พี่มี อยากทำอะไรตอบแทนให้เขาแบบที่เขาทำให้พี่บ้าง อยากให้มันเป็นความทรงจำดีๆที่เก็บไว้ได้ก่อนพี่จะไปฝึกงานแล้วต้องห่างกัน”
“มันจะบินไปหาทุกอาทิตย์ไม่ใช่เหรอ”
ผมหัวเราะกับคำพูดของเก้า มองใบหน้ารู้ทันแถมยังมั่นใจเกินเหตุก็พอเข้าใจแล้วว่าต้นแบบความคิดนั่นมาจากใคร
“เก้าเป็นคนแนะนำโซสินะครับ”
“แนะนำอะไร!”เก้าทำตาโต ส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่ผมนะ”
“ถ้าให้พี่เดา…เก้าน่าจะรู้ก่อนพี่บอกโซอีก เพื่อนพี่สักคนคงไปบอกล่ะสิ”ผมว่ายิ้มๆ จริงๆก็พอจะเดาออกแต่แรกแล้วว่าเพื่อนสักคนน่าจะเอาไปพูดกับเก้า เพราะตอนที่ผมบอกโซเจ้าหมาก็แค่ทำเสียงอ่อยใส่ ไม่ได้ดูแปลกใจหรือหงุดหงิดอะไร ท่าทางตอนนั้นเหมือนคนที่คิดแผนมาแล้ว
และแผนกับคำพูดคำจาแบบนั้นไม่น่าจะมาจากความคิดคนอย่างโซโล่แต่แรก มันต้องมีอะไรสักอย่างไปสะกิดต่อมก่อนแน่ๆ
“ก็พี่ไวน์บอก”เก้าตอบอ้อมแอ้ม พอเห็นผมมองขำๆก็หันมาปฏิเสธข้อกล่าวหาเดิม “แต่ผมไม่ได้บอกให้มันบินไปทุกอาทิตย์นะพี่”
“เล่าเหตุการณ์ตอนนั้นให้พี่ฟังได้หรือเปล่าครับ”ผมถามด้วยความอยากรู้ ไม่ได้ติดใจอะไร แค่อยากรู้ว่าตอนนั้นอาการของโซโล่เป็นยังไง และเด็กนี่ไปสะกิดต่อมอะไรไว้เจ้าหมาถึงได้บอกจะบินมาหาทุกอาทิตย์
“ก็พอรู้จากพี่ไวน์ผมก็บอกมัน…”
“แล้วโซไม่หงุดหงิดเหรอครับ”
“หงุดหงิดนี่น้อยไปอะ!”เก้าว่าแล้วกรอกตา “มันเงียบทั้งวันเลย ทำเหมือนคิดอะไรตลอด พูดด้วยก็ไม่พูด ถามอะไรก็ไม่ตอบ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ผมก็หงุดหงิดที่มันเป็นแบบนั้นเหมือนกัน”
“แล้วเก้าทำยังไงครับ”
“ตอนนั้นหัวร้อนเลยเข้าไปดึงผมมันแล้วด่าไอ้โง่ไปที…”ว่าแล้วก็อมยิ้มเหมือนภูมิใจกับวีรกรรมตัวเอง “ตอนแรกมันก็มองหน้าผมเคืองๆ แต่ตอนนั้นผมหงุดหงิดมากกว่ามันอีกเลยชิงพูดก่อนที่มันจะด่า”
“พูดว่า…”
“ผมบอกว่า…รวยก็รวยจะคิดมากทำส้นตีนอะไร เขามาหาไม่ได้มึงก็ไปเองสิวะ…เห็นปะพี่ ผมไม่ได้บอกให้มันบินไปทุกอาทิตย์เลยนะ”
ผมส่ายหน้ามองคนที่ยังแก้ตัวไม่เลิก จะว่าขำก็ขำ จะว่าเพลียก็เพลีย
“ครับๆ โซคิดเองนั่นแหละ”พอผมยอมเก้าก็พยักหน้าพอใจแล้วนั่งพิงโซฟาด้วยท่าทางสบายๆเหมือนเดิม “แต่เก้ารู้ใช่หรือเปล่าว่ามันเป็นไปไม่ได้…”
“เรื่องบินไปหาทุกอาทิตย์สินะ”
“ใช่ครับ”
“พี่ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนี้ต่อให้ผมไม่บอกโซมันก็เข้าใจ มันก็แค่พูดให้ตัวเองรู้สึกดีไว้ก่อนเท่านั้นล่ะ พอถึงเวลาก็ต้องผ่านไปให้ได้อยู่ดี”
พอได้ยินเก้าพูดแบบนั้นผมก็โล่งใจ ผมกังวลเรื่องที่เจ้าหมาพูดไม่น้อย โซโล่จริงจังกับคำพูด ถ้าเขาบอกว่าจะทำก็คงทำจริงๆ ผมกลัวว่าเจ้าตัวจะละเลยการเรียนหรือหน้าที่ตัวเองเพื่อมาหาผมทุกอาทิตย์ ตอนแรกคิดว่าจะให้เก้าช่วยเตือนอีกแรงเจ้าหมาจะได้เข้าใจ แต่พอเก้าว่าอย่างนั้นแล้วผมก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว ผมผิดเองที่มองว่าโซโล่เป็นเด็ก…ทั้งที่จริงๆมันไม่ใช่แบบนั้นเลย
“เอาเรื่องของขวัญพี่ก่อนดีกว่า…”เก้าวกกลับมาเรื่องเดิม ผมที่นั่งสบายๆอยู่เลยยืดหลังตรงโดยอัตโนมัติ “ถ้าพี่ไม่อยากให้โซมันรู้ จะให้ผมมาหาหรือมาหาผมตลอดก็คงไม่ได้…แถมใกล้ช่วงสอบแล้วด้วย”
“นั่นสินะ…”ผมลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย ถ้าจะให้เก้าสอนหรือช่วยอะไรก็ต้องเจอกัน แบบนี้โซโล่ต้องรู้แน่ๆ
“เอางี้…เรื่องแรกพี่ตัดเรื่องการเล่นดนตรีทิ้งก่อนเลย เพราะถ้าพี่ไม่มีพื้นฐานมาก่อนแล้วมาฝึกใหม่โดยมีระยะเวลาจำกัดแถมยังต้องหลบๆซ่อนๆนี่…ผมว่าไม่ทันวันเกิดมันแน่นอน”
“ครับ”ผมพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็กังวลหน่อยๆที่ต้องร้องเพลงสดๆโดยไม่มีดนตรีช่วย
“ส่วนเรื่องร้องเพลง…ผมว่าน่าจะช่วยทางโทรศัพท์ได้นะ หรือเอาไว้มีโอกาสก็แอบนัดเจอกันไม่ให้โซมันรู้”
“ได้ครับ”ผมพยักหน้าเห็นด้วย “งั้นถ้าพี่ว่างเมื่อไหร่จะลองทักไปก่อน ถ้าเก้าว่างตรงกันแล้วโซไม่ได้อยู่ด้วยค่อยติดต่อกันนะครับ”
“โอเคครับ”
หวังว่าจะผ่านไปด้วยดี…
ครืด ครืด
ผมหยิบโทรศัพท์ตัวเองที่ยังสั่นไม่หยุดขึ้นมาดู แปลกใจหน่อยๆเพราะร้อยวันพันปีนอกจากเพื่อนที่เมมไว้หมดแล้วกับโซโล่ก็ไม่เคยมีใครโทรมาหาผมเลย แต่นี่เบอร์แปลก…
“กีตาร์…”คนที่นอนหนุนตักผมปรือตามอง ผมรีบกดรับโทรศัพท์ไม่ให้อีกคนรำคาญแล้วลูบหัวให้นอนต่อ
หลังกลับมาจากไปคุยงานเจ้าหมาก็มีสภาพอ่อนล้า พอเข้ามาอ้อนขอนอนตักรวมถึงไล่เก้ากลับหอแล้วก็หลับไปทันที นี่ก็หลับไปได้ไม่นานเอง
พอหลับตาลงไปอีกทีคราวนี้ดูเหมือนเจ้าหมาจะหลับสนิทจริงๆ ผมขยับตัวแล้วก็ยังไม่กระดุกกระดิก ท่าทางดูเหนื่อยจนน่าสงสาร
[กะ….]
เสียงที่ดังแว่วๆมาจากในโทรศัพท์ทำให้ผมรู้สึกตัวว่ากดรับสายเบอร์แปลกนั่นไว้
“สวัสดีครับ”
[นั่นใช่กีล์ไหม]
“ครับ ไม่ทราบว่านั่นใครครับ”
[เต้ เอามาให้กูคุยบ้างดิ]
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไปทางฝั่งนั้นก็เหมือนจะแย่งโทรศัพท์กันไปมา ผมได้ยินเสียงผู้ชายสองคนเถียงกันเหมือนจะแย่งกันมาคุย เอาจริงๆผมยังไม่รู้เลยว่าพวกเขาเป็นใคร…
“เอ่อ…”
[กีล์! กีล์จะคุยกับเต้หรือมุข พูดมาเลย!]
เดี๋ยวสิ…เต้กับมุขที่ว่าคือใครผมยังไม่รู้เลย
“ไม่ทราบว่าพวกคุณปะ…”
[เอาโทรศัพท์มานี่]
จู่ๆก็มีเสียงใครอีกคนดังเข้ามาแทน น่าแปลกที่คนชื่อเต้กับมุขที่เถียงกันอยู่เงียบไปแทบจะทันที
[กีล์]
“ครับ”
[ผมจักรพรรดิ จำกันได้หรือเปล่า]
จักรพรรดิ…
“จักรพรรดิ?พี่น้องสามคิงเหรอครับ!”ผมเผลอเสียงดังด้วยความตกใจ ดูเหมือนจะขยับตัวแรงไปหน่อยจนคนที่นอนอยู่ลืมตาขึ้นมามองหน้า
[ยังเรียกแบบนั้นอีกนะ…]
ปลายสายส่งเสียงหัวเราะผ่านมาเบาๆ
“กีตาร์?”โซโล่เขย่าแขนผม มองมาด้วยความไม่เข้าใจ ผมเห็นตาแดงๆของอีกคนแล้วก็รู้สึกผิด อยากจะให้นอนต่อเลย แต่พอดูท่าทางที่โซโล่จ้องมาที่โทรศัพท์แล้วผมก็ยิ้ม รู้สึกว่าถ้ายังไม่เคลียร์เรื่องนี้เจ้าตัวคงไม่ยอมนอนต่อแน่ ผมเลยเปลี่ยนมากดเปิดลำโพงให้เขาฟังด้วย
[มุข กูได้ยินเสียงใครอยู่กับกีล์ด้วยว่ะ…..เออได้ยินเหมือนกัน]
ผมขำเบาๆกับประโยคสนทนาจากทางนั้น ส่วนคนที่นั่งฟังอยู่กับผมนี่ก็ขมวดคิ้ว หันมามองเป็นเชิงถามว่านี่อะไร
[กีล์ เป็นยังไงบ้าง]
เป็นจักรพรรดิที่กลับมาพูดอีกครั้ง
“สบายดีครับ แล้วสามคิงเป็นยังไงกันบ้าง”ผมรอบยิ้มโล่งอกเมื่อไม่เห็นโซโล่แสดงท่าทีอื่นนอกเหนือจากความไม่เข้าใจ
ดีที่ไม่หงุดหงิด…
[สบายดี…]
“แล้วนี่…”
[กีล์]
“ครับ”
[มาเจอกันหน่อยไหม]
เอ่อ…
น่าจะหงุดหงิดแล้วล่ะ…
-----------------------------------
ติดแฮชแท็ก #โซโล่กีล์
Fan Page : Chesshire. Twitter : @Chesshire04