-29-
ผมตื่นตั้งแต่เช้าทั้งที่เมื่อคืนก็หลับๆตื่นๆ คุณพยาบาลบอกว่าผู้สูงอายุแบบแม่ใหญ่จะนอนเยอะ บางทีก็ตื่นไม่เป็นเวลา ผมกลัวว่าแม่ใหญ่จะตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอใครเลยลุกขึ้นมาดูตลอด ดีที่ท่านไม่ได้ตื่นมาเลย แต่ก็กลายเป็นผมที่ได้นอนน้อยแทน
คุณพยาบาลเอาข้าวเช้ามาให้แล้วก็ออกไป แม่ใหญ่ตื่นมาเห็นผมอยู่ข้างๆท่านก็ส่งยิ้มมาให้ รอจนผมป้อนอาหารท่านเสร็จแล้วผมก็กลับมานั่งกุมมือท่านเหมือนเดิม
"วันนี้แม่ใหญ่ดูสดใสขึ้นนะครับ"ผมเช็ดปากให้ท่านด้วยรอยยิ้ม เพราะนอกจากท่านจะยิ้มให้ผมกว้างกว่าเดิมแล้วท่านยังดูสดใสขึ้นมากด้วย
"โซ..."
"รอให้เขาติดต่อมาดีกว่าครับแม่ใหญ่ กีล์กลัวว่าเขาจะนอนอยู่"ผมยิ้มด้วยความสุขใจ รู้สึกเหมือนแม้แต่การพูดของแม่ใหญ่ก็ดูมีแรงมากขึ้น
ครืด ครืด
"พูดถึงก็โทรมาเลย"ผมชูโทรศัพท์ให้ท่านดู ขึ้นสายเป็นคนที่กำลังรอคอลมาทางเฟส ผมกดรับแล้วเปิดลำโพง พอภาพขึ้นก็หลุดหัวเราะแทบจะทันที
[เรียบร้อยยัง]
ภาพที่เห็นคือโซโล่ที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอม มือจัดปกเสื้อตัวเองเหมือนกลัวว่าจะยับ แถมผมยังดูจัดทรงเรียบร้อยกว่าทุกวันด้วย
"จัดเต็มอะไรเบอร์นั้น"
[ตอนแรกคิดอยู่ว่าจะใส่สูท...แต่กลัวคุณแม่หาว่าเยอะ]
"ดีแล้วครับ อย่าถึงขั้นสูทเลย"ผมหัวเราะ เหลือบตามองแม่ใหญ่แล้วก็เห็นว่าท่านกำลังยิ้มอารมณ์ดี ท่าทางฝั่งนั้นจะยังไม่รู้ตัวว่าผมเปิดลำโพงให้แม่ใหญ่ฟังอยู่
[ท่านยังไม่ตื่นเหรอ]
“ยัง...มั้ง"ผมให้คำตอบโดยการขยับตัวไปนั่งข้างแม่ใหญ่แล้วหันกล้องให้เห็นเราทั้งคู่ เจ้าหมาทำตาโตนั่งตัวตรง ดูเกร็งจนผมหลุดหัวเราะเสียงดังออกมาอีกครั้ง
[กีตาร์แกล้งผม] คนที่รู้ตัวแล้วว่าผมเปิดลำโพงแต่แรกทำหน้าบูด
"พี่เปล่านะครับ"
[ไม่ต้องเลย...สวัสดีครับคุณแม่] โซโล่ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ถึงจะไม่ได้ยิ้มมากมายแต่หน้านิ่งๆก็จุดรอยยิ้มไว้ที่มุมปากตลอดเวลา ดูสุภาพกว่าปกติประมาณสิบเท่า
"สวัสดีลูก"แม่ใหญ่ตอบรับด้วยความอ่อนโยน
"วันนี้แม่ใหญ่พูดเยอะขึ้นด้วยนะครับโซ หน้าตาก็ดูสดใสมากด้วย"ผมอวดคนในกล้อง
โซโล่ไม่ได้ตอบอะไรแต่มองหน้าแม่ใหญ่นิ่งๆ บนใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความกังวลจนผมต้องหุบยิ้มลงช้าๆ
ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น ต้องดีใจไม่ใช่เหรอ...
[กีตาร์บอกว่าคุณแม่อยากคุยกับผมเหรอครับ]
"ทำอะ...อยู่"
"ท่านถามว่าทำอะไรอยู่ครับ"ผมช่วยขยายความ พยายามมองข้ามใบหน้ากังวลของโซโล่ไปและไม่นึกถึงมันอีก
[ไม่ได้ทำอะไรเลยครับ ผมตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ตีห้า สายๆถึงจะออกไปซ้อมดนตรี]
"ตีห้า..."
[กลัวว่าถ้าดูไม่ดีคุณแม่จะไม่ยอมยกลูกชายให้ครับ]
"โซ!"ผมหน้าแดงหูแดง ถลึงตาใส่คนที่ยกยิ้มไม่สะทกสะท้าน
[คุณแม่อายุเท่าไหร่แล้วครับ]
ผมเก็บอารมณ์ตัวเองกลับมาแล้วเงียบเพื่อให้ทั้งคู่คุยกัน
“เก้า…สอง”
[เก้าสิบสอง!] อย่าว่าแต่เจ้าหมาเลย แม้แต่ผมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน นี่ผม…ลืมเรื่องของแม่ใหญ่ไปมากขนาดนี้ได้ยังไง ขนาดอายุยังไม่รู้เลย [กีตาร์มั่ว]
“ขอโทษครับ”ผมแค่รู้อายุคร่าวๆแต่ไม่เคยถามแม่ใหญ่สักครั้งว่าท่านอายุเท่าไหร่แล้วกันแน่…
[กีตาร์ไม่ผิดหรอก…ก็คุณแม่ดูอ่อนกว่าวัยขนาดนี้ เป็นผมก็คงเข้าใจผิดได้ง่ายๆ…เนอะ] เจ้าหมาเอามือเท้าคาง ส่งยิ้มมาให้ผม
“ขอบคุณนะครับ…”
ขอบคุณที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น
[คุณแม่ทานข้าวแล้วเหรอครับ]
“แล้ว…”
“หน้าตาไม่น่าทานเลยครับ”ผมฟ้องแล้วเบนกล้องไปที่ชามข้าวที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างๆ
[ดูก็รู้แล้วว่าไม่อร่อยสุดๆ] คนที่ดูรสชาติจากหน้าตาอาหารเบะปาก
“แม่ใหญ่ว่ายังไงครับ”ผมหันไปถามความเห็นจากคนที่ได้ทานโดยตรงแทน
“จืด..”
[ว่าแล้ว]
“โซก็ดูแลตัวเองดีๆสิครับ จะได้ไม่ต้องมาทานข้าวโรงพยาบาล”
[ให้กีตาร์ดูแล]
“โซ…”ผมเรียกเสียงอ่อย มือที่ถือโทรศัพท์สั่นเทา ส่วนคนหน้าไม่อายก็ยกยิ้มถูกใจ…นี่ขนาดต่อหน้าแม่ใหญ่นะ
[ผมอยากไปหาคุณแม่ไวๆจังเลยครับ…แต่ผมยังติดสอบอยู่] โซโล่เมินผมแล้วหันไปอ้อนแม่ใหญ่แทน ผมมองภาพนั้นยิ้มๆโดยไม่ได้ว่าอะไร และคิดว่าแม่ใหญ่ก็คงเอ็นดูเจ้าหมาไม่ต่างจากผม
“อ่าน…”
[ไม่ต้องอ่านหนังสือแล้วครับ ผมเหลือสอบปฏิบัติตัวเดียว ที่บอกว่าไปซ้อมดนตรีก็ไปซ้อมเพื่อสอบนี่ล่ะครับ]
“เก่งอยู่แล้วนี่ครับ”ผมแซวคนที่ชอบชมตัวเองจนอีกคนทำหน้าบูดแล้วบ่นอุบอิบ
[ดนตรีไทยไม่ไหวอะ ยากมากเลย ขนาดซ้อมมาหลายอาทิตย์แล้วผมยังห่วยแตกอยู่เลย]
พอเห็นผมยิ้มเจ้าหมาก็ทำหน้าบูดกว่าเดิม แต่ผ่านไปไม่ถึงสิบวิก็เปลี่ยนเป็นยิ้มมุมปาก…ท่าทางเจ้าเล่ห์จนผมขนลุก
“โซมองอะไรอยู่ครับ”ผมถามเมื่อเห็นว่าโซโล่จ้องเลยจอโทรศัพท์ไปด้านหลังด้วยสายตาแปลกๆ
[แม่ใหญ่มองเห็นชัดหรือเปล่าครับ]
ผมหันไปมองแม่ใหญ่เพราะไม่แน่ใจเหมือนกัน ดูเหมือนท่านจะรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนแต่ผมไม่มั่นใจว่าท่านเห็นชัดแค่ไหน
“พอ…เห็น”
“ท่านบอกว่าพอเห็นครับ…โซมีอะไรเหรอ”
[ก็…จะเอานี่ให้ท่านดู] ว่าแล้วมุมกล้องก็หมุนเปลี่ยนไปเป็นถ่ายหน้าจอคอมพิวเตอร์แทน ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนจอ
“โซ…”
[คุณแม่ครับ วันนั้นกีตาร์งอแงเพราะโดนปลุกจากเสียงโทรศัพท์ด้วยล่ะ พอลุกขึ้นมาก็โวยวายใส่ผม ดูสิครับ…]
“ไอ้หมาบ้า!”
ภาพบนจอที่โซโล่ให้แม่ใหญ่ดูคือภาพที่เจ้าหมาเคยถ่ายไว้ตอนที่ผมตื่นเพราะเสียงแจ้งเตือนจากเฟสของเขา เป็นภาพผมตอนหัวฟูๆตาแดงๆหน้าตาบึ้งตึงที่อีกคนไม่ยอมลบนั่นล่ะ
[น่ารักจะตาย]
เราคุยเล่นกันอยู่สักพัก แม่ใหญ่ท่านก็โต้ตอบบ้าง ใบหน้าของท่านดูสดใสอารมณ์ดี ที่สำคัญท่านมองหน้าโซโล่มากกว่าหันมามองผมเสียอีก
ผมคงโดนเขี่ยทิ้งเร็วๆนี้…
[คุณแม่ครับ...] อยู่ๆโซโล่ก็เอ่ยด้วยเสียงจริงจัง ดวงตาคู่นั้นมีแต่ความแน่วแน่ เขาเบนสายตามาสบตาผมเหมือนจะขอกำลังใจ ก่อนจะหันไปมองแม่ใหญ่ที่กำลังมองไปที่เขาด้วยสายตาอ่อนโยน
"..."
[ผมกับกีตาร์รู้จักกันได้ไม่นานก็จริง แต่มีคนบอกผมว่าถ้ามันคือรักจริงๆ มันไม่ต้องใช้เหตุผลหรือเวลาอะไรทั้งนั้น อยู่ที่เราว่าจะกล้าเข้าไปหาเพื่อให้ได้เขามาหรือมัวคิดถึงเหตุผลแล้วปล่อยเขาไป…ผมยอมรับว่ายังไม่รู้ทุกเรื่องของกีตาร์ ไม่ได้รู้ไปหมดว่ากีตาร์ชอบหรือไม่ชอบอะไร...แต่ผมเชื่อว่าต่อจากนี้ไปในทุกๆวันเราจะรู้เรื่องของกันและกันมากขึ้นเรื่อยๆ…]
"..."
[ผมรู้ว่าผมมีแต่ปัญหา ทั้งเรื่องพ่อที่ยังไม่แน่ชัด ทั้งเรื่องอนาคตหลายๆอย่าง แถมยังเด็กกว่ากีตาร์...ชอบเอาแต่ใจตัวเอง] เขาหันมามองผมครู่หนึ่ง ยกยิ้มน้อยๆเหมือนจะบอกว่าขอโทษ
"..."
[ผมอาจไม่รู้อนาคต แต่ผมอยากสัญญากับคุณแม่อย่างหนึ่ง...]
"โซ..."ผมพูดอะไรต่อไม่ออก ความรู้สึกมากมายมันเอ่อล้นจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
[ผมจะอยู่ข้างๆกีตาร์ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น…]
"..."
[ให้ผมดูแลกีตาร์นะครับ]
โซโล่มองหน้าผมเหมือนจะย้ำว่าที่พูดเมื่อวานเขาเอาจริง…
ผมมองใบหน้ามุ่งมั่นของคนในจอโทรศัพท์ด้วยดวงตาสั่นเทา รู้สึกเหมือนตาพร่าจนต้องหลับตาลงเพื่อบดบังมันไว้ แม่ใหญ่เองก็มองไปที่โซโล่ด้วยสายตาอาทรและ…
"จ้ะ…ฝากด้วยนะ"
…หมดห่วง
[ไงล่ะกีตาร์…]
“…”
[กีตาร์…กีตาร์!]
“คะ…ครับ”ผมสะดุ้ง เงยหน้ามองจอโทรศัพท์ที่มีเสียงอีกฝั่งตะโกนออกมา
[เป็นอะไร]
“เปล่าครับ”ผมส่งยิ้มไปให้ แต่ผมเชื่อว่าโซโล่คงรู้ดีว่าผมเป็นอะไร เขายกมือขยี้หัวเหมือนคนที่ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็หันมามองจอแล้วยกยิ้ม
[ผมเป็นลูกเขยคุณแม่แล้วนะ]
“…”ผมมองคนที่ยืดอกอวดโดยไม่พูดอะไร ต้องบอกว่าพูดอะไรไม่ออกดีกว่า ก็เล่นพูดมาแบบนี้แล้วจะให้ตอบยังไงเล่า…
“โซ…”แม่ใหญ่เรียกคนในจอด้วยเสียงที่แผ่วเบาลง แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันสดใสยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
[ครับคุณแม่]
“…ไป”แม่ใหญ่พยายามพูดออกมา แต่ดูเหมือนเสียงท่านจะหายไปเป็นช่วงจนผมจับใจความแทบไม่ได้ ผมกัดริมฝีปากมองแม่ใหญ่ ฝืนบอกตัวเองให้ยิ้มทั้งที่อยากร้องไห้ “บนเขา…”
[คุณแม่ว่ายังไงบ้างกีตาร์]
“ท่านบอกให้ไปบนเขาครับ…น่าจะหมายถึงให้พี่กับโซขึ้นไปบนเขา ที่ๆท่านเคยอยู่”ผมอธิบายแล้วหันมามองแม่ใหญ่ ใช้มือข้างที่ว่างแตะมือของท่านเบาๆ “กีล์ไปไม่ได้หรอกครับ…กีล์ต้องดูแลแม่ใหญ่”
ผมหลบสายตาเมื่อสบกับสายตาของท่าน สายตา…ที่เหมือนจะบอกว่าผมเองก็รู้ดีอยู่แล้ว
[ผมจะพากีตาร์ไปเองครับคุณแม่]
“โซ!”ผมหันไปเรียกโซโล่ด้วยเสียงสั่นเทา รู้สึกร้อนที่ขอบตาจนแสบไปหมด
[อย่าร้องนะกีตาร์…อย่าร้องตอนที่ผมไม่ได้อยู่ด้วย] โซโล่มองมาที่ผมด้วยสายตาเจ็บปวด ผมหลับตาลง ไม่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ไม่อยากยอมรับอะไรทั้งนั้น
ทั้งที่ผมก็รู้ดีว่าพวกเราเข้าใจกันทั้งหมด ทั้งผมทั้งโซโล่…เพียงแต่ผมยอมรับมันไม่ได้ ในขณะที่โซโล่รู้ดีว่ามันต้องมาถึงและเลือกที่จะรับคำแม่ใหญ่
ผมมันเห็นแก่ตัว…
ผมลงมาหาอะไรทานเพราะแม่ใหญ่ไม่ยอมมองหน้าผม พอคุณพยาบาลเอาอาหารกลางวันเข้ามาให้ถึงได้อมยิ้มแล้วบอกว่าท่านคงโกรธที่ผมไม่ยอมไปทานข้าว สุดท้ายผมเลยต้องลงมาที่ร้านกาแฟชั้นล่างของโรงพยาบาล ส่วนคุณพยาบาลก็ช่วยดูแลแม่ใหญ่ให้
ผมไม่รู้สึกอยากอาหารเลยสักนิด แต่เพราะโซโล่โทรมาหาเรื่องกินข้าวพอดีเลยโดนสั่งให้กินให้ได้ พอบอกว่ากินไม่ลงจริงๆฝั่งนั้นเลยบอกว่าขนมหวานหรือโกโก้สักแก้วก็ยังดี ผมทำตามเพราะไม่อยากให้เขาเป็นห่วงไปมากกว่านี้
โซโล่วางสายไปเพราะมีคนมาตามไปซ้อม เขาบอกว่าค่ำๆจะโทรมาใหม่ ผมได้แต่นั่งมองไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย รู้สึกเหมือนมีความคิดมากมายที่บรรยายออกมาไม่ได้วนเวียนอยู่ในหัว แต่พอตั้งใจคิดก็กลายเป็นมันว่างเปล่าไปหมด
“ขอโทษนะจ้ะ ขอนั่งด้วยคนได้หรือเปล่า”
ผมหันไปมองต้นเสียงด้วยสายตาเลื่อนลอย คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นคุณยายที่นั่งอยู่บนรถวีลแชร์ ข้างๆกันเป็นเด็กผู้หญิงผมเปียในชุดนักเรียนที่กำลังยกมือไหว้ผม
“เชิญครับ”
น้องผู้หญิงเข็นรถของคุณยายมาชิดโต๊ะก่อนตัวเองจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามผมแล้วส่งยิ้มมาให้
“มาเยี่ยมญาติเหรอลูก”
“ครับคุณยาย”ผมพยักหน้า พยายามยกยิ้มส่งไปให้ท่าน
“ถ้าไม่อยากยิ้มก็ไม่ต้องยิ้มหรอก ยายไม่ถือ”ท่านหัวเราะอารมณ์ดี ส่วนน้องผู้หญิงที่นั่งอีกฝั่งก็ยังคงยิ้มแป้นโดยไม่พูดอะไร
“อร่อยนะครับ…พี่ให้”ผมดันจานขนมที่ยังไม่ได้ทานไปให้น้องผู้หญิง เธอส่ายหน้ารัวๆแล้วดันคืนมาให้ผม ยกมือชี้ที่ปากตัวเองแล้วเปลี่ยนมาชี้ผม
“มันบอกให้กินเถอะ…ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้าล่ะสิเรา”
“ดูชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอครับ”ผมพยายามหัวเราะ แต่เสียงที่ออกมากลับแหบแห้ง
“หนูก็ดูสิ…ขนาดเด็กมันยังดูออกเลย”
“น้องเขาคงกลัวผม…เลยไม่ยอมคุยด้วย”เอาแต่มองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างเดียว โดนเด็กมองแบบนี้รู้สึกแปลกๆ เหมือนจะโดนตำหนิที่ไม่ยอมกินข้าวยังไงไม่รู้
“ยัยโมหลานยายมันพูดไม่ได้หรอกจ้ะ”
“พูดไม่ได้เหรอครับ”ผมหันไปมองคุณยายด้วยความแปลกใจ ท่านพยักหน้าแล้วส่งรอยยิ้มใจดีมาให้
“พูดไม่ได้ตั้งแต่เกิดแล้ว…ยายเองก็เป็นโรคหัวใจ”ท่านยกมือลูบหัวน้องโมด้วยความเอ็นดู “ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน…”
“…”ผมเบนสายตาไปนอกหน้าต่าง เห็นบุรุษพยาบาลกำลังเข็นเตียงคนป่วยลงมาจากรถพยาบาล ห่างไปไม่มากมีคุณตาคุณยายที่กำลังเดินจูงมือกันไปขึ้นรถ ข้างๆกันมีเด็กที่กำลังร้องไห้กอดพ่อแม่เอาไว้แน่น
“เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นเรื่องธรรมชาติ…”
ผมหันกลับมามองคุณยาย ท่านยังคงมองมาที่ผมด้วยสายตาอาทรและอ่อนโยน…เหมือนกับที่แม่ใหญ่ใช้มองผม
“คนที่อยู่อาจจะเจ็บปวด…แล้วคนที่จากไปเขาจะไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ ถ้าคนที่เขารักไม่ยินยอมให้เขาไป”
“…”
“เราบังคับให้ใครอยู่กับเราไปตลอดไม่ได้…”
“…”
“แต่เราทำทุกช่วงเวลาที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุดได้นะลูก”
ผมกลับขึ้นมาบนห้องแม่ใหญ่โดยที่สมองยังเต็มไปด้วยคำพูดของคุณยายท่านนั้น ที่ท่านพูดมาไม่มีอะไรที่ผมเถียงได้เลย ทุกๆอย่างคือความจริงที่ผมต้องยอมรับ…
“แม่ใหญ่ยังไม่นอนเหรอครับ”ผมหันไปขอบคุณคุณพยาบาลที่เดินสวนออกไปก่อนจะเดินเข้าไปหาแม่ใหญ่ ท่านมองมาที่ผมด้วยความอ่อนโยนเหมือนเคย
“โซ…”
“โซไปซ้อมดนตรีไงครับ…นี่แม่ใหญ่รักโซมากกว่ากีล์แล้วเหรอ”ผมแกล้งทำหน้าบึ้ง แต่แล้วก็ต้องยิ้มตามเมื่อเห็นว่าดวงตาของท่านเป็นประกายเหมือนกำลังขบขัน
“ใช่..”
“ไม่เป็นไรครับ…กีล์ยอมก็ได้ถ้าเป็นโซ”ผมหัวเราะ เอนหัวนอนลงบนเตียงแล้ววางแก้มซ้ายของตัวเองทับมือท่านไว้ “แม่ใหญ่ยังไม่นอนก็ดีแล้วครับ กีล์จะคุยกับแม่ใหญ่ยาวๆเลย”
“…จ้ะ”
ผมสนุกอยู่กับการเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้แม่ใหญ่ฟัง เวลาผมเล่าเรื่องโซโล่ท่านจะมองมาด้วยดวงตาเป็นประกายเหมือนถูกใจอยู่เสมอ นั่นทำให้ผมเลือกแต่เรื่องของโซโล่มาเล่า พอผมบ่นว่าน้อยใจที่อยากฟังแต่เรื่องโซโล่ท่านก็จะมองโดยไม่ยอมปฏิเสธอะไร
บางทีอาจเป็นเพราะเวลาผมเล่าเรื่องโซโล่…ผมเองก็มีความสุขไม่แพ้กัน
“โซมีเพื่อนสนิทชื่อเก้าครับ…เด็กนั่นแสบมากๆเลย กีล์คิดไม่ออกจริงๆว่าคนที่อยู่ข้างๆเด็กแสบแบบนั้นได้จะต้องเป็นคนแบบไหน…”
บรรยากาศในห้องผู้ป่วยเต็มไปด้วยความสุข แม่ใหญ่โต้ตอบกับผมบ้างโดยการตอบเป็นคำสั้นๆ ถึงแม้จะแผ่วเบาลงเรื่อยๆแต่ผมก็ยังฟังรู้เรื่องอยู่
“เด็กแสบนั่นบอกให้โซมาเปิดกระเป๋าตังค์กีล์ด้วยครับ…เห็นบอกว่าถ้ามีแฟนหรือคนที่ชอบมักจะใส่รูปไว้ในกระเป๋าตังค์ ที่ยิ่งกว่าความคิดตลกๆนั่นก็คือโซของแม่ใหญ่ดันเชื่อเพื่อนทุกคำเลย…”
แม่ใหญ่ดูอารมณ์ดีมากเวลาผมพูดเรื่องเก้า นี่ขนาดยังไม่เคยเจอกันก็ดูเหมือนจะกลายเป็นลูกรักไปเสียแล้ว…
“กีล์มีแก้วคู่ด้วยนะครับ โซซื้อมาแล้วบอกให้ใช้ด้วยกัน ของโซเป็นลายหมาใส่ปลอกคอสีฟ้า ส่วนของกีล์เป็นสีชมพู กลายเป็นตั้งแต่มีแก้วคู่กีล์เลยต้องกินนมอุ่นกับโซทุกคืนเลยครับแม่ใหญ่…”
ดวงตาของแม่ใหญ่ที่มองมาที่ผมหรี่ลงเล็กน้อย แต่ผมยังคงมองเห็นประกายความสุขในดวงตาคู่นั้น และมันคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมยังยิ้มและพูดต่อไปได้
“ทานก่อนค่อยคุยกันต่อนะคะ”
ตอนเย็นเวลาเดียวกับเมื่อวานคุณพยาบาลเอาอาหารเข้ามาให้ ผมยิ้มให้เธอเมื่อเห็นว่าเธอมองไปที่แม่ใหญ่ด้วยความเป็นห่วง เธอไม่ได้พูดอะไรนอกจากส่งสายตาให้กำลังใจผมแล้วเดินออกไป เธอคงจะสังเกตว่าแม่ใหญ่ไม่ได้นอนเลยตั้งแต่ตื่นมาตอนเช้า…ทั้งที่ปกติท่านต้องนอนเยอะ
ผมป้อนข้าวแม่ใหญ่เหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ท่านกินเพียงสองคำก็เลิกกิน ผมไม่ได้ขอให้ท่านกินเพิ่มเหมือนทุกวัน แต่เลือกที่จะวางจานลงแล้วจับมือท่านนั่งเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่อ
“กีล์จะไปฝึกงานที่ภูเก็ตครับแม่ใหญ่…”
ผมยังคงพูดต่อไปแม้ว่าท่านจะไม่ได้โต้ตอบกับผม ดวงตาเป็นประกายของท่านขุ่นมัวขึ้นเรื่อยๆ ริมฝีปากของท่านก็ไม่ได้เปิดออกอีกแล้ว
“แม่ใหญ่ง่วงแล้วเหรอครับ…”เสียงของผมสั่นเทาทั้งที่คิดว่าตัวเองควบคุมมันได้ดีมาตลอด แม้แต่ร่างกายก็ยังสั่นเทาโดยไร้สาเหตุ
ผมยกมือท่านขึ้นมาแนบแก้มตัวเองแล้วหลับตาลง
“กีล์ยังไม่อยากให้แม่ใหญ่หลับเลยครับ”
เพราะถ้าท่านหลับครั้งนี้…
“แม่ใหญ่ไม่หลับไม่ได้เหรอครับ”
ท่านคงจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก
“กีล์…”เสียงของแม่ใหญ่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“ครับ…”ผมวางมือของท่านที่กุมมาทั้งวันลงเบาๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นโน้มตัวไปหาแล้วเอนหูไปจนชิดริมฝีปากของท่าน
“หะ…”
ผมหลับตาลง กำมือไว้แน่นจนเจ็บ
“ให้…”
“…”
“ให้…แม่ไปนะลูก”
.
.
.
.
‘ทำไมบูบู้ต้องไปด้วยครับแม่ใหญ่…บูบู้ไม่รักกีล์เหรอ’
‘บูบู้อายุมากแล้ว มันถึงเวลาที่บูบู้ต้องไปแล้วนะลูก’
‘แต่กีล์เหงา’
‘กีล์รักบูบู้หรือเปล่า’
‘รักครับ’
‘กีล์อยากให้บูบู้เป็นห่วงกีล์เหรอครับ’
‘ไม่อยากครับ…’
‘งั้นกีล์ก็ต้องปล่อยให้บูบู้พักผ่อน”
‘…’
“บูบู้เหนื่อยมามากแล้ว…กีล์ไม่สงสารบูบู้เหรอ’
“สงสารครับ”
‘ให้บูบู้ไปนะลูก’
.
.
.
.
เห็นแก่ตัวพอหรือยัง…
พอแล้ว…
พอได้แล้ว…
“ครับแม่ใหญ่”
--------------------------------
ติดแฮชแท็ก #โซโล่กีล์
Fan Page : Chesshire. Twitter : @Chesshire04