เมาครั้งที่ 18
รถที่เอาไปซ่อมเมื่อสองอาทิตย์ก่อนจอดอยู่ในโรงรถเรียบร้อย ตอนที่ผมอยู่ญี่ปุ่นเจ้าเด็กนั่นแอบเอามาส่งให้ถึงที่บ้านแถมเรื่องค่าซ่อมก็ไม่ยอมทวงกันอีก ไม่รู้เพราะว่าลืมหรือจงใจไม่คิดเงิน ไว้ค่อยถามเองก็ได้
ผมรีบขับรถออกมาหลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยโดยมีพี่ต้นที่ออกมาส่งด้วยใบหน้าบึ้งตึง โรคขี้หวงนี่เขามีที่ไหนรับบำบัดบ้างไหม หรือผมต้องยุยงให้กันย์มีกิ๊กนะ เขาจะได้รู้ตัวสักทีว่าควรปฏิบัติตัวแบบนั้นกับใครกันแน่ แต่ถ้าทำแบบนั้นไปแล้วโดนจับได้ทีหลัง ผมคงโดนพี่ชายสั่งกักบริเวณแน่ๆ อย่าเสี่ยงจะดีกว่า
บนถนนในวันอาทิตย์ก็ยังคงเหมือนปกติ จราจรติดจัดจนเกินจะเยียวยา ถ้าเลือกได้ผมคงไม่อยากอยู่กลางเมืองหลวงแบบนี้สักเท่าไหร่ ไปไหนมาได้ก็ชักช้าไม่ได้ดั่งใจ แต่ดีหน่อยที่แฮงค์ติดธุระช่วงเช้า ประชุมเรื่องกิจกรรมกีฬามหา'ลัย ขนาดอยู่ปีสามอาจารย์ก็ยังไม่วายโยนงานมาให้ แล้วเด็กมันจะเรียนรู้เรื่องไหมล่ะ ก็ได้แค่คิดในใจไม่มีสิทธิ์มีเสียงตะไปพูดให้ใครหน้าไหนฟังหรอก
การฝ่าจราจรแออัดสิ้นสุดลงเมื่อผมขับรถเข้ามาจอดภายในตัวมหา'ลัยเพื่อรอรับแฮงค์ วันนี้เขามาแปลกเล็กน้อยตรงที่ไม่ยอมขี่บิ๊กไบค์มาเองแต่ให้เฟรนด์มาส่ง มีจุดประสงค์อะไรกันแน่นะ...
Rrrrr
เสียงริงโทนเรียกผมให้หลุดจากห้วงความคิดของตัวเอง สายตากวาดมองหาเครื่องมือสื่อสารเครื่องเก่งที่โดนละความสนใจตั้งแต่ขึ้นรถ มือเรียวคว้ามันออกมาจากเบาะด้านข้างตัวแล้วกดรับทันทีที่เห็นชื่อบนหน้าจอ
"ฮัลโหลพี่ปัน"
ผมกรอกเสียงลงไปอย่างประหลาดใจ ถึงจะทำงานด้วยกันมาได้สองสามเดือนแล้วแต่พี่ปันไม่ค่อยจะโทรหาหรอก วันนี้มาแปลก
'แกจอดรถอยู่ใต้ต้นไม้ที่ลานคณะใช่ไหมข้าว'
น้ำเสียงของพี่ปันฟังดูร้อนรนจนผมได้แต่ขมวดคิ้วยุ่ง ไอ้ที่โทรมาหากันแถมยังระบุพิกัดที่ผมอยู่ได้ขนาดนี้ มันต้องมีปัญหาอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ ชักหวั่นใจแล้วสิ
"ใช่ พี่อยู่ไหนเนี่ย เป็นสต็อกเกอร์หรือไง ออกมาเลยนะ"
ผมพูดติดตลกแต่ความจริงคือนั่งหันซ้ายหันขวาหาตัวพี่ปันให้วุ่น ทำไมมีแต่คนทำตัวแปลกประหลาดจังวะวันนี้ ท้องฟ้าที่เคยสดใสตอนนี้ก็มืดครึ้มเหมือนฝนจะตกอีกด้วย... หรือมีใครที่ไม่บริสุทธิ์เผลอไปปักตะไคร้
'ไอ้ข้าว ไม่ตลกนะ แกรีบมาที่ห้องประชุมคณะเดี๋ยวนี้เลย'
น้ำเสียงกึ่งขอร้องกึ่งสั่งดังลอดออกมาพร้อมเสียงใครหลายๆ คนกำลังโวยวายอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เหมือนคนกำลังทะเลาะกัน พี่ปันกะจะให้ผมไปห้ามทัพคนตีกันเหรอวะ จะโดนลูกหลงจนสลบไปก่อนไหมล่ะชีวิต! แค่เทควันโดสายดำเอาชนะคนกำลังโมโหไม่ได้หรอกเว้ย
"ไม่ๆ เกิดอะไรขึ้นวะพี่ ขอคำอธิบายก่อนได้ไหม อยู่ๆ เรียกไปแบบนี้ใจคอไม่ดีเลย"
ผมยืนกรานเสียงแข็งว่าให้พี่ปันเล่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นให้ฟังก่อน ไม่อย่างนั้นจะไม่ยอมดับเครื่องยนต์แล้วก้าวขาเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงตายแน่ๆ ยังอยากกินข้าวด้วยตัวเอง ไม่ใช่นอนนิ่งๆ ให้คนอื่นหยอดน้ำข้าวต้ม
'พี่ตุลย์มาหาเรื่องแฮงค์ถึงห้องประชุม คราวนี้แกจะรีบวิ่งลงมาได้หรือยังวะ!'
ไอ้ฉิบหายเอ้ย บอกตั้งแต่แรกแบบนี้ก็สิ้นเรื่องไม่ใช่หรือไงวะ ผมรีบดับเครื่องยนต์แล้วลงจากรถด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ คนที่เข้าเฝือกหาเรื่องคนที่ปกติทุกประการนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ แม่งเอ้ย พี่ตุลย์นี่ยังไง จ้องจะเอากูให้ได้เลยใช่ไหม ก็ได้เดี๋ยวจัดชุดใหญ่ให้เดินไม่รอดเลยคอยดู ถึงใจแน่ๆ !!
ผมก้าวขายาวๆ ด้วยความเป็นห่วงว่าแฮงค์จะขาดสติแล้วทำร้ายพี่ตุลย์หรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องใหญ่แน่ๆ ข้อหาทำร้ายคนไม่มีทางสู้แล้วอีกอย่างอาจจะโดนไล่ออกจากมหา'ลัยก็ได้ เพราะพ่อของหมอน่ะ เป็นอธิการบดีที่นี่ แต่พอมือเรียวผลักประตูห้องประชุมเข้าไปสิ่งที่พบคือ...
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ บ้านพี่เขาใช้ไม้ค้ำตีคนอื่นแบบนั้นเหรอวะ!"
ผมตะโกนเสียงดังจนทุกคนที่อยู่ในห้องหันมามองเป็นตาเดียว แฮงค์อยู่ในสภาพที่หน้าฟกช้ำ ตามเนื้อตัวมีรอยโดนฟาดแดงไปหมด พี่ตุลย์ยกมือที่จับไม้ค้ำค้างไว้กลางอากาศ ใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์โมโหและจริงจัง กันย์มีสภาพเละเทะน้อยกว่าใครแต่ก็เจ็บตัว ส่วนพี่พายที่พยายามเข้าไปจับตัวคนอาละวาดนั้นเบ้าตาเขียวเป็นปื้น นี่มันอะไรกันวะ!
"ข้าว..."
เสียงพี่พายร้องเรียกชื่อของผมด้วยความตะลึง
"ไอ้ข้าว!"
เสียงพี่ปันเรียกชื่อผมด้วยความโล่งใจ เดาว่าเขาคงไปหลบมุมโทรตามอธิการบดีมาที่นี่
"พี่ข้าว..."
เสียงแฮงค์เรียกชื่อผมด้วยความอ่อนล้าและในที่สุดเขาก็ทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรง พี่ตุลย์เลยใช้โอกาสนั้นจะฟาดไม้ค้ำลงอีกครั้ง แต่ใครจะยอมให้ทำแบบนั้นล่ะ ผมวิ่งเข้าไปขวางแล้วออกแรงผลักเขาจนเซไปด้านหลัง ดีแค่ไหนที่พี่พายขยับเข้ามารับตัวได้ทัน บอกไว้ก่อนว่าผมไม่มีวันสงสารคนแบบนั้น
"เป็นหมาบ้าเหรอครับพี่ตุลย์ เจ็บขนาดนี้ยังจะมาหาเรื่องคนอื่นอีกหรือไง"
ผมพูดก่อนจะนั่งลงเพื่อพยุงแฮงค์ให้ลุกขึ้นยืนโดยมีกันย์ที่เข้ามาช่วยอีกแรง พี่ปันยืนขวางตรงกลางระหว่างพวกเรากับพี่ตุลย์เอาไว้เพราะดูท่าทางคนบ้านั่นอาจจะลงมืออีกเมื่อไหร่ก็ได้
"มันแย่งข้าวไป พี่แค่จะเอากลับมา"
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเครียดแค้น ดวงตาคมจ้องมองแฮงค์อย่างไม่ลดละ นี่มันอะไรนักหนา เพราะผมอย่างนั้นเหรอ แม่งเอ้ย! มีอะไรดีนักหนาล่ะกูเนี่ย
"ผมว่าผมพูดกับพี่ตุลย์เคลียร์ไปแล้วนะ ว่าไม่ได้คิดอะไรด้วย แค่ความเป็นพี่น้องผมยังไม่อยากมีให้เลย รู้ไหม"
ผมพูดเสียงเย็นแล้วส่งสัญญาณให้กันย์กับพี่ปันพาแฮงค์ออกไปก่อน ไม่อยากพูดเรื่องแย่ๆ ต่อหน้าคนอื่นไปมากกว่านี้ เพียงเพื่อจะรักษาหน้าตาของคุณหมอและลูกชายอธิการบดีเอาไว้เท่านั้น
"ทำไม... ทุกอย่างก็เพราะมันใช่ไหม เพราะมันเข้ามาในชีวิต ข้าวก็เลยพูดทำร้ายจิตใจพี่แบบนี้"
พี่ตุลย์กัดฟันกรอดแล้วพยายามสะบัดพี่พายที่ช่วยพยุงตัวเองเอาไว้ ผมไม่เคยคิดสงสารใครที่มีนิสัยแย่แบบนี้ อยากได้อะไรก็ต้องได้อย่างนั้นเหรอ คำนี้ขอยกให้กับสิ่งของที่สามารถใช้เงินซื้อได้ก็แล้วกันเพราะคนอย่างผมมันใช้ของแบบนั้นหลอกล่อไม่ได้หรอก
"เพราะพี่ครับ มันเพราะเรื่องเหี้ยๆ ที่พี่เคยทำกับผมไงครับ ลืมไปแล้วเหรอว่าวันนั้นเป็นยังไง"
วันที่เขาพยายามปล้ำผม วันที่ผมร้องไห้อ้อนวอนขอให้พี่ตุลย์ปล่อยผมไป วันที่พี่ต้นโกรธที่สุดในชีวิต วันที่พี่พายร้องไห้จนแทบจะขาดใจที่เห็นสภาพเขาหลังจากผ่านการรุมกระทืบมา ผมยังจำได้ดี ไม่เคยลืม แล้วทำไม...
"เพราะพี่ชอบข้าว... ชอบมาก อยากได้ ให้โอกาสพี่เถอะนะ พี่สัญญาว่าจะทำตัวดีๆ"
เขาพูดเสียงสั่นและพยายามเดินเข้ามาหาทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้ไม้ค้ำ พี่พายเม้มปากแน่นและได้แต่พยุงพี่ตุลย์ แต่เป็นผมเองที่เดินถอยหลัง และนั่นทำให้ทั้งสองคนชะงักฝีเท้าทันที
"ผมคิดว่าถ้าพี่จะเป็นคนดีเพียงแค่ให้ผมเปิดโอกาสนั้น ไม่มีประโยชน์ครับ พี่เคยได้ยินไหม ที่ใครๆ มักจะบอกว่า คนไม่ใช่ทำดีให้ตายเขาก็ไม่สนใจน่ะ มันเป็นเรื่องจริงนะ และผมรู้สึกแบบนั้นกับพี่"
"ข้าว... พี่ขอล่ะ อย่าพูดแบบนั้นกับตุลย์"
พี่พายพูดเสียงแข็งแล้วส่ายหน้าเป็นสัญญาณให้ผมหยุดพูดทำร้ายจิตใจพี่ตุลย์สักที แต่ถ้าขืนทำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ เรื่องมันจะไม่จบลงในวันนี้ ซึ่งผมไม่ต้องการอะไรที่รบกวนการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกแล้ว
"พี่พายจะปกป้องคนที่รักผมไม่ว่าอะไรนะครับ แต่มันต้องไม่กระทบความรู้สึกของคนอื่น"
ผมไม่ได้อยากจะสอนคนที่ผ่านโลกมามากกว่า แต่บางครั้งก็ต้องเตือนสติกันบ้าง ไม่อยากปล่อยให้เขาใช้ความรักในทางที่ผิด สถานการณ์ตอนนี้ทำให้พี่ตุลย์มองพี่พายอย่างไม่เข้าใจ มองด้วยสายตาเคลือบแคลง
"พี่พายรักพี่ตุลย์ หันมองคนข้างๆ ตัวบ้างสิครับ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนแล้วมองดูปฏิกิริยาของเขาทั้งสองคน พี่พายเบิกตาค้างเพราะเขาไม่เคยคิดจะบอกเรื่องนี้กับใคร ส่วนพี่ตุลย์หันขวับไปมองเพื่อนสนิทด้วยแววตาเยาะเย้ย ทำไมล่ะ... ทำไมต้องใช้สายตาแบบนั้นมองคนที่รักตัวเอง
"มึงรักกูเหรอพาย คนอย่างมึงน่ะถึงจะแก้ผ้าต่อหน้า กูก็ไม่เอาหรอก"
พี่ตุลย์พูดก่อนแสยะยิ้มแล้วผลักพี่พายออกจนล้มลงกับพื้น ผมรีบวิ่งไปพยุงตัวเขาแล้วรวบตัวกอดเอาไว้ ไม่อยากเห็นคนดีๆ ต้องเสียน้ำตาเพราะคนเลวอย่างนั้น คำพูดแทงใจแบบนี้ใครจะรับไหว ผมอยากรู้ว่าที่ผ่านมาตลอดหลายปีที่เขาเป็นเพื่อนกัน เคยมีความจริงใจบ้างไหมหรือหวังแค่ผลประโยชน์
"ตุลย์... ไม่รักกันก็ไม่ว่าสักคำ ฮึก แต่ที่มึงพูดออกมาทำให้กูพอแล้วจริงๆ ทั้งความเป็นเพื่อนทั้งความรัก ต่อจากนี้ไปมึงจะเป็นจะตายก็เรื่องของมึง กูไม่สนใจแล้ว"
พี่พายหัวเราะทั้งน้ำตา เขาไม่ยอมเงยหน้ามองพี่ตุลย์เลยด้วยซ้ำ ผมไม่รู้หรอกว่าการตัดความสัมพันธ์ครั้งนี้มันยากเย็นหรือทรมานแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คนที่เจ็บเจียนตายคงเป็นคนในอ้อมกอดของตัวเอง ทั้งๆ ที่รักแต่จำเป็นต้องตัดใจมันแย่ขนาดไหนกันนะ
ผมกระชับกอดพี่พายไว้แน่นปล่อยให้เขาร้องไห้ไปเงียบๆ แล้วใช้สายตาช้อนมองพี่ตุลย์ที่เอาแต่ยืนนิ่งๆ มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน มือที่สั่นเทายกขึ้นถูใบหน้าของตัวเองอย่างแรงจนแดงไปหมด ไม่รู้ว่าความรู้สึกของเขาเป็นแบบไหนกันแน่ที่อยู่ๆ ต้องเสียเพื่อนสนิทและผมไปในเวลาเดียวกัน
"มึงมันไร้ค่าในสายตากูมานานแล้วพาย... ตั้งแต่มึงยอมขึ้นเตียงแล้วนอนครางใต้ตัวกู มึงมันง่ายเองนะ กูไม่เกี่ยว"
ผมอึ้งในสิ่งที่เพิ่งได้ยินผ่านหูไปเมื่อครู่และรับรู้ว่าแรงกระชับกอดหนักขึ้นอีกเท่าตัว ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่พายทำอะไรอย่างนั้นลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะเป็นช่วงที่ผมไปต่อป.โทต่างประเทศ พี่ตุลย์เป็นคนที่ร้ายกาจอย่างเหลือเชื่อ เกินจะเยียวยาแล้วจริงๆ
"Pie You... Just Friend with Benefit. I hope that you will Understand me."
พี่ตุลย์พูดออกมาได้อย่างหน้าตายทำให้ผมผละพี่พายออกจากอ้อมแขนอยากต่อยหน้าเขาหลายๆ ครั้งด้วยความโมโห อยากกระทืบซ้ำให้ปากที่พร่ำคำเห็นแก่ตัวสงบลงสักที เรื่องนี้ยอมรับว่าพี่พายก็มีส่วนผิด แต่มันไม่ถูกต้องที่พี่ตุลย์ทำแบบนี้ ความเป็นเพื่อนพังทลายไปตั้งแต่ตอนไหนกันนะ
"หยุดพูดสักทีได้ไหม พอแล้ว พอเถอะนะ กู... ฮึก ไม่ไหวแล้ว พอที"
พี่พายเอ่ยขอร้องด้วยเสียงที่สั่นเครือและดวงตาที่แดงก่ำ น้ำตายังคงไหลลงมาเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหยุดสักที เขาขยับเข้ามาใกล้วแล้วคว้าตัวของผมไปกอดอีกครั้ง ราวกับรู้ว่าเส้นสติของนายการินกำลังจะขาด
ผมยอมนั่งนิ่งๆ ให้พี่พายกอดไว้แบบนั้น เพราะเห็นแก่เขาก็เลยพยายามข่มอารมณ์เอาไว้ ไม่ได้ถึงกับเย็นลงแต่พอที่จะทำให้ผมไม่ใจร้อนเดินจ้ำอ้าวไปต่อยพี่ตุลย์ได้ แต่คนที่ร้ายกาจก็ยังคงทำหน้าที่เหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์ ทำร้ายคนอื่นด้วยคำพูดไรอย่างไร้ที่ติ
"มึงจะให้กูหยุดพูดเหี้ยอะไร ในเมื่อข้าวยังทำได้กูก็ทำกับมึงได้เหมือนกัน เข้าใจไหม!"
พี่ตุลย์ตะโกนดังลั่นคล้ายคนขาดสติสัมปชัญญะไปแล้ว และผมไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็นเขาร้องไห้ แต่จะให้เข้าไปปลอบนั้นคงทำไม่ได้ มันก็เหมือนการเดินเข้าไปและทิ้งความหวังให้กับเขานั่นล่ะ อยู่นิ่งๆ ข้างพี่พายยังจะดีซะมากกว่า แต่คำพูดแบบนั้นก็ทำให้ผมทนไม่ได้จนต้องโต้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวไม่แพ้กัน
"แม่งเอ้ย ขอสักทีเหอะ ที่ผมต้องพูดแรงๆ ใส่เพราะพี่มันดื้อด้านไม่รู้จักฟังสักทียังไงล่ะ ผมไม่ได้ชอบไม่ได้รักพี่ตุลย์จะให้ย้ำสักกี่ครั้งถึงพอใจวะ เมื่อไหร่จะเลิกวุ่นวายกับชีวิตผมสักที ผมเหนื่อย ผมเบื่อ ผมอยากจบเรื่องเหี้ยๆ พวกนี้สักที พี่ทำให้ผมได้ปะ"
"ไม่... พี่ทำไม่ได้ ทำไมวะ ทำไมคนๆ นั้นถึงไม่เป็นพี่!"
เขาตะโกนแล้วพยายามขยับเข้ามาหากัน แต่ใครคนหนึ่งที่พวกเราทั้งมหาวิทยาลัยรู้จักดีใช้มือรั้งต้นแขนเอาไว้... อธิการบดีทำหน้าขรึมจนผมหวาดๆ ในใจ
"ตุลย์ทำไม่ได้ แต่ลุงทำได้"
จบเรื่องด้วยการที่อธิการบดีจะส่งพี่ตุลย์ไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนอกกับญาติๆ ไม่ได้ให้อิสระอย่างที่ควรจะเป็น แต่เป็นการกักบริเวณอย่างเลือดเย็น ให้ไปกลับได้แค่บ้านและโรงพยาบาลเท่านั้น ผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ก็ต้องยอมเมื่อคนเป็นพ่ออย่างเขาต้องการดัดนิสัยลูกชายตัวเอง และให้อยู่ห่างๆ ผมเพื่อตัดใจ คนที่แย่ที่สุดในเหตุการณ์ครั้งนี้คงเป็นพี่พาย... คนที่นั่งตาแดงก่ำและเอาแต่ร้องไห้โดยไร้เสียงสะอื้น
ผมฝากพี่ปันให้พาพี่พายไปส่งที่บ้านและลางานให้เสร็จสรรพทั้งที่ไม่ควรทำแบบนี้ อาชีพหมอทำให้การใช้ชีวิตประจำวันไม่ง่ายสักเท่าไหร่ เวลาส่วนมากอุทิศให้คนไข้มากกว่าดูแลตัวเอง แต่สภาพเหมือนซอมบี้ขนาดนั้นจะให้ไปทำงาน คงไม่ได้หรอก
รถยนต์ขันเก่งทะยานออกจากลานคณะอย่างรวดเร็วเพื่อตรงไปยังโรงพยาบาลของมหา'ลัย ผมก้าวขายาวๆ เข้าสู่เขตห้องฉุกเฉินแล้วเปิดประตูเข้าไป มองซ้ายมองขวาอยู่สักครู่ก็เจอคนที่ตามหานั่งหน้าจ๋อยให้พยาบาลทำแผลอยู่โดยมีกันย์ยืนทำหน้าบึ้งอยู่ข้างๆ เห็นสภาพเขาแล้วรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์สิ้นดี ปกป้องใครไม่ได้แถมยังเป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก
ผมก้าวขายาวๆ เข้าไปแต่ต้องชะงักเท้าเมื่อได้ยินคำถามจากกันย์ มันฟังแล้วให้ความรู้สึกหงุดหงิดจนแทบบ้า
"ทำไมมึงไม่ตอบโต้ไอ้หมอนั่นบ้างวะ ปล่อยให้มันต่อยมันตีอยู่ได้"
"มึงก็เห็นสภาพพี่ตุลย์จะให้กูทำร้ายเขางั้นเหรอ"
"มึงมันพ่อพระ ไอ้คนดี ช้ำไปทั้งตัวแบบนี้เพราะเห็นใจคนอื่นไง"
กันย์ว่าด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายแต่ก็คลี่ยิ้มบางให้เพื่อนสนิทพร้อมกับยกมือขยี้หัวแฮงค์จนยุ่งเหยิงไปหมด ใบหน้าที่เคยหล่อเหลานั้นเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำแถมยังบึ้งตึงอีกด้วย มือไม้ปัดป่ายไปทั่ว น่าจะรำคาญกันย์...
"แฮงค์ เป็นยังไงบ้าง"
ผมก้าวเข้าไปหาเขาแล้วรีบถามอาการทันที แฮงค์ดูตกใจอยู่เล็กน้อยแต่ก็รีบปั้นยิ้มส่งให้กันทั้งที่มันลำบากแท้ๆ ซี้ดเลยไหมล่ะ มุมปากแตกขนาดนั้น กันย์หันมามองด้วยสายตากรุ้มกริ่มก่อนจะขอตัวกลับบ้านซะอย่างนั้น ทิ้งให้เราอยู่กันตามลำพัง พยาบาลยังหนีอะ...
"ก็อย่างที่เห็นครับ ระบมไปทั้งตัวเลย"
แฮงค์บอกเสียงหงอยๆ แล้วพยายามขยับตัวเพื่อลงจากเตียง ได้ยินเสียงซี้ดปากเป็นระยะๆ จนผมต้องสอดตัวเข้าไปพยุงเขา ไม่อยากให้เสียหลักแล้วเอาร่างกายไปชนกับอะไรอีกมันจะเจ็บมากกว่าเดิมน่ะสิ
"อย่ารีบร้อนสิ เดี๋ยวก็ได้เจ็บตัวเพิ่มหรอก โดนพี่ตุลย์ยำซะเละแบบนี้ ต่อยกลับไปบ้างสักทีสองทีก็ดีนะ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะเพราะไม่อยากให้แฮงค์เครียด แต่จริงๆ แล้วก็อยากให้เขาตอบโต้กลับไปนะถึงมันจะไม่ดีเลย เขามุ่ยหน้าลงแล้วเอนตัวพิงผมมากขึ้นกว่าเดิม จะรู้ไหมว่าน้ำหนักที่ถ่ายลงมานั้นมันเยอะน่ะ
"อยากเป็นคนดีในสายตาพี่ข้าว ไม่อยากตอบโต้คนไม่มีทางสู้แบบนั้น"
"ครับๆ พ่อคนดี"
ผมว่าเหน็บเขาไปแล้วพยุงไปที่รถเพื่อจะกลับคอนโด ไม่ต้องเดทกันแล้วล่ะสภาพยับเยินแบบนี้ แค่แวะซื้อข้าวที่ร้านใกล้ๆ ไปนั่งกินด้วยกันก็พอแล้ว
ผมแวะซื้อข้าวต้มให้แฮงค์ แต่กว่าจะได้ก็ฟาดงวงฟาดงาใส่เด็กดื้ออยู่นาน ก็มันงอแงจะกินผัดกะเพรา... โคตรไม่เจียมตัวเลย ส่วนของผมเหรอก็ข้าวต้มเหมือนกันนั่นล่ะ ถ้าไม่อิ่มค่อยต่อด้วยมาม่าแล้วกัน
ถ้วยข้าวต้มร้อนๆ วางลงตรงหน้าเจ้าของห้อง ดวงตาคมมองมันด้วยสายตาไม่ชอบใจ ผมจ้องเขาแล้วพยักพเยิดให้ลงมือจัดการมันสักทีจะได้กินยาคลายเส้นแล้วนอนพักผ่อน แต่แฮงค์กลับนั่งนิ่งจนน่าหงุดหงิด ประท้วงอะไรอีกเนี่ย
"จะนั่งมองให้มันลอยเข้าปากเองเหรอหืม"
ผมแกว่งช้อนไปมาตรงหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วมอง แฮงค์เบะปากลงเหมือนเด็กกำลังจะงอแง ดูๆ ไปแล้วก็น่าเอ็นดูว่ะ แต่ผมอยากแกล้งนี่นา
"มันจืด..."
พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแล้วเม้มปากแน่น เหมือนเด็กกำลังทำผิดจนผมไม่กล้าแกล้งต่อเลยว่ะ แต่ก็ต้องบังคับให้กินเข้าไปล่ะนะเพื่อจะได้กินยา
"ถึงมันจะจืดก็กินเข้าไปเถอะ จะได้กินยาแล้วนอนพัก พี่เป็นห่วง เข้าใจไหม"
เปลี่ยนเป็นพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วส่งสายตาขอร้องไปให้ เจ้าเด็กดื้อยอมปล่อยปากออกแล้วพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะลงมือตักข้าวต้มกินด้วยความเร็วเท่าหอยทากคลาน ผมหลุดยิ้มน้อยๆ แล้วจัดการอาหารของตัวเองไปพร้อมๆ กัน จะว่าไปแล้วเดทกันในห้องก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่หรอก
“พี่ข้าว”
แฮงค์เรียกชื่อผมหลังจากที่เรานั่งดูทีวีได้สักพัก ไล่ให้ไปนอนก็ไม่ยอมไปอ้างว่าปวดตรงนั้นบ้างล่ะปวดตรงนี้บ้างล่ะจนผมยอมใจอ่อนนั่งเป็นเพื่อนอยู่แบบนี้ จริงๆ แล้วโดยพลังเด็กโข่งอ้อนด้วยการทำสายตาละห้อยใส่ด้วยล่ะเลยกลายเป็นแบบนี้ ว่าจะกลับไปเล่นเกมสักหน่อยไว้ทีหลังก็ได้วะ นี่ไม่ได้เป็นห่วงอะไรมันเลยจริงๆ นะ
ผมหันไปมองเขาแล้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงตั้งคำถามว่ามีอะไรหรือเปล่า แฮงค์ขยับตัวเข้ามาใกล้เล็กน้อยแล้วเอาหัวทุยๆ เอนมาซบไหล่กัน ทำตัวแบบนี้แล้วจะให้ใจร้ายใส่ได้ยังไงกันวะ
“อ้อนเหรอเจ้าเด็กโข่ง ไปนอนดีๆ ไป พิงแบบนี้เดี๋ยวก็เมื่อยตัวแย่”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวเขาอย่างแผ่วเบา แฮงค์ส่ายหน้าเป็นคำตอบก่อนจะช้อนตามองกันให้ผมใส่สั่นเล่นๆ สถานการณ์แบบนี้อยากหนีไปไกลๆ เพราะกลัวตัวเองเสียการควบคุม แก้มร้อนผ่าวจนจะไหม้อยู่แล้ว
“อยากอาบน้ำจังครับ”
อยากอาบน้ำก็ไปอาบสิวะ จะบอกกันทำไม...
“ก็ไปอาบดิ บอกพี่ทำไมล่ะ”
“ถอดเสื้อไม่ได้ พี่ข้าวช่วยหน่อยได้ไหม”
เขาผละออกแล้วมองหน้าผมนิ่ง ถ้าไม่ติดว่าไอ้มุมปากที่แตกเป็นแผลมันเผลอกระตุกยิ้มล่ะก็ผมคงหลงกลแฮงค์ไปแล้ว เจ็บตัวแท้ๆ ยังไม่ละทิ้งความเจ้าเล่ห์อีก ซัดใส่สักหมัดได้ไหม เอาให้ร้ายไม่ออกไปเลย
“อย่าทำตัวเจ้าเล่ห์ จะอาบน้ำก็ไปอาบ”
ผมว่าเสียงดุๆ จนแฮงค์ยอมยกมือขึ้นยอมแพ้แล้วขอตัวไปอาบน้ำ ด้วยความเหนื่อยล้าจากการสู้รบกับพี่ตุลย์ทำให้ความง่วงกำลังคืบคลานเข้ามาและห้วงนิทราก็ชิงสติทั้งหมดไปอย่างง่ายดาย
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้กลิ่นหอมๆ ใกล้ๆ จมูก ดวงตากลมปรือขึ้นอย่างยากลำบากเพราะยังนอนไม่เต็มอิ่ม แต่เมื่อสายตาปรับโฟกัสได้ถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นแฮงค์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จและเปลือยท่อนบนยืนคร่อมกันอยู่ ท่าทางมันล่อแหลมจนผมต้องขยับตัวและเบือนสายตาหนี ใกล้เกินไปจนหัวใจเต้นแรง มันใกล้เกินไปจนอยากสัมผัส... อ่า
“ตอนพี่หลับนี่... น่ารักดีนะครับ”
เขากระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนจะคลี่ยิ้มละมุนส่งมาให้ ผมผลักหน้าอกแกร่งนั่นให้ออกไปไกลๆ แล้วขยับตัวนั่งให้ดีๆ ได้ยินเสียงหัวเราะเล็กๆ แล้วน่าหงุดหงิดชะมัด
“หุบปากไปเลย พี่จะกลับห้องแล้ว ง่วง”
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แต่จังหวะที่จะก้าวขานั้นแฮงค์กลับคว้าข้อมือรั้งกันไว้ได้อย่างแม่นยำ ต้องการอะไรอีกวะ แค่นี้ยังทำให้ผมเขินไม่พออีกหรือไง
“อย่าเพิ่งกลับสิครับ ทายาให้ก่อนได้หรือเปล่า คราวนี้ไม่ได้เจ้าเล่ห์นะ แต่ผมมองไม่เห็นแผลจริงๆ”
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนอีกแล้ว ผมหันขวับไปแยกเขี้ยวใส่แล้วสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมนั้น แต่ก็ยอมหยิบหลอดยาที่ตั้งบนโต๊ะมาถือไว้แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตามเดิม จะให้ทำยังไงได้ล่ะวะ ถ้าผมไม่ทาให้ใครที่ไหนจะมาทา ให้พวกแฟนคลับทำแทนเหรอ ฝันไปเถอะ
“ด้านหน้าทาเองไป พี่ทาให้แค่ด้านหลัง”
ออกคำสั่งอย่างจริงจังแล้วรีบทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้นสักที ไม่อยากอยู่ใกล้เขาสักเท่าไหร่เพราะความรู้สึกที่เปลี่ยนไปทำให้หัวใจเต้นแรง อาการที่แสดงออกต่อหน้าเขามันจะเริ่มชัดเจนจนน่ากลัว ถ้าอยู่ๆ ผมอดใจไม่ไหวแล้วรุกเขาก่อนจะทำยังไงล่ะวะ เสียภาพพจน์หมดแน่ๆ
ผมกลับมาที่ห้องแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนแรง พยายามข่มตาหลับอย่างสุดชีวิตแต่ทำไม่ได้ แล้วทำไมตอนอยู่กับแฮงค์ถึงหลับได้ง่ายๆ วะ วางใจน้องมันขนาดนั้นเลยเชียวเหรอ โคตรแปลกใจตัวเองเลย สุดท้ายแล้วผมก็ลุกขึ้นมานั่งเล่นเกมฆ่าเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ เพราะตอนเย็นอาสาว่าจะออกไปซื้อข้าวให้ไอ้เด็กโข่งนั่นกิน ก็อยากทำหน้าที่พี่ที่ดีเท่านั้นล่ะ ไม่มีอะไรมากหรอกน่า
ตอนเย็นไอ้จุ้นโทรมาบอกว่าอีกหนึ่งอาทิตย์จะมีการประกาศผลประกวดออกแบบตัวละครเกม ซึ่งมีแนวโน้มว่านายปรานต์จะชนะอีกด้วย ก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจนะ ก็เขาพยายามทำมันจนไม่ได้หลับได้นอนนี่นา
เกือบหนึ่งทุ่มผมก็ออกจากห้องของตัวเองเพื่อไปหาแฮงค์เพื่อถามว่าจะกินอะไรเป็นมื้อเย็น เด็กนั่นออกมาเปิดประตูให้ด้วยท่าทางสะลึมสะลือจนอดขำใส่ไม่ได้ และผมก็ได้ฟาดงวงฟาดยาใส่มันอีกรอบเพราะเจ้าตัวดีบอกว่าอยากกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำ เมื่อไหร่มันจะเข้าใจคำว่ากินไม่ได้บ้างวะ มุมปากแตก กระพุ้งแก้มก็เป็นแผล เอาแต่ใจชะมัด
“อยากกินแต่ของเผ็ด เดี๋ยวก็แสบแผล หายเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากคนตรงหน้าไปสองสามครั้งด้วยความหมั่นไส้ แฮงค์ส่งยิ้มแหยให้กันแต่ก็ฉวยโอกาสคว้ามือผมไปจับเอาไว้ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากแทบจะทันที ทำไมต้องเผลอชอบคนแบบนี้ด้วยวะเนี่ย
“อยากให้ผมหายไวๆ เหรอ”
ถามด้วยน้ำเสียงทะเล้น แววตาเป็นประกายจนชวนคนลุก ผมเหล่มองเขาอย่างระแวงแล้วตอบกลับไปไม่เต็มเสียงนักเพราะไม่รู้ว่าจะได้ตอบอะไรกลับมาอีก บรรยากาศมันชวนให้รู้สึกถึงอันตรายยังไงไม่รู้
“เออ หายเร็วๆ มันก็ดีไม่ใช่หรือไง”
ผมบอกก่อนจะสะบัดมือตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุมของเขาแล้วก้าวถอยไปด้านหลังด้วยความระแวง แฮงค์โน้มตัวลงมาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน ไอ้การจะขยับตัวหนีอีกครั้งกลายเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้เพราะเขายึดไหล่กันเอาไว้
“จูบผมสักครั้งสิ หายดีเป็นปลิดทิ้งแน่นอนเลย”
ขยับเข้ามากระซิบข้างหูจนผมรู้สึกขนลุกไปหมด แก้มร้อนผ่าวจนกลัวว่าจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ สายตาเบนหลบไม่กล้ามองคนตรงหน้าเลยสักนิด รู้ว่าคำพูดนั้นทีเล่นทีจริง ได้จริงๆ ก็ดีอะไรประมาณนั้น แต่ใครจะไปทำเล่า!!
“ใครจะไปทำแบบนั้นล่ะ เจ็บตายไปเลยไป!!!”
ผมโวยใส่น้องแล้วเดินจ้ำอ้าวออกมาทันที ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรืออายกันแน่ที่โดนหลอกให้จูบแบบนั้น กว่าจะสงบสติได้ก็ตอนที่เพิ่งรู้ตัวว่าเดินมาร้านข้าวซะไกล ปกติจะขับรถเอา... สติหายไปไหนหมดวะเนี่ย แพ้ทางเด็กไปตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ เกลียดตัวเองที่สุดเลยเว้ย ต่อไปมีแววว่าจะตามใจแฟนทุกอย่างแบบนี้ไม่ดีแน่ๆ แย่ๆ
ต่อด้านล่างนะ